พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1325-1330
บทที่ 1325 อยู่ในหน้าที่ความรับผิดชอบ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เซี่ยโห้วหลงเฉิงประสบกับเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รายงานปี้เยว่ หรือเรียกได้ว่าติดต่อมาฟ้อง ทำให้ท่านโหวเทียนหยวนตกใจจนแทบจะปัสสาวะราดกางเกง
ที่เรือนด้านในของจวนแม่ทัพภาคตงหัว ปี้เยว่เก็บระฆังดาราแล้ว นางเม้มริมฝีปากกลั้นขำ พอหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ ก็หัวเราะจนร่างงามสั่นเทิ้มทันที
สามารถทำให้เทียนหยวนยอมแพ้แบบนี้ได้ ถือเป็นเรื่องที่สะใจมากสำหรับนาง ดีจัง ในใจยิ่งรู้สึกเหมือนถูกกระตุ้นให้ผ่อนคลาย
ผ่านไปตั้งกี่ปีแล้ว นางใช้ชีวิตอยู่ภายใต้เงามืดของเทียนหยวนมาตลอด นอกจากการปะทะฝีปากกันระหว่างสามีภรรยา นางก็ไม่กล้าต่อต้านอะไรทั้งนั้น อยู่โดดเดี่ยวเดียวดายมาหลายปีก็ยังไม่กล้ามีชู้ ประการแรกเป็นนางต้องพึ่งพาเทียนหยวน ประการต่อมาอาจจะเป็นเพราะนางกลัวเทียนหยวน นางจะเคยคิดได้อย่างไรว่าตัวเองจะจัดการเทียนหยวนได้ ในใจนางรู้สึกถึงอกถึงใจมาก
ไม่ง่ายเลยกว่าจะหยุดหัวเราะได้ นิ้วเรียวงามเคาะบนโต๊ะน้ำชาเบาๆ จากนั้นก็ส่ายหน้าเล็กน้อยด้วยความอัศจรรย์ใจ
ในปีนั้นเทียนหยวนบอกไว้แล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นคนมีความสามารถ วันนี้นับว่านางยอมรับจากใจแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าคาดเดาได้แม้กระทั่งว่าเทียนหยวนจะไปหาเซี่ยโห้วหลงเฉิง ทำให้นางเตรียมการได้ทันเวลา อุดทางหนีทีไล่ของเทียนหยวนไว้ได้ ร้ายกาจเกินไปแล้ว!
ตอนนี้นางยิ่งเชื่อว่าเวลาเหมียวอี้ก่อเรื่องที่ตลาดสวรรค์เมื่อก่อน ล้วนเป็นสิ่งที่วางแผนเอาไว้แล้ว ไม่อย่างนั้นคนที่ก่อเรื่องใหญ่โตติดต่อกันแบบนั้นจะอยู่รอดปลอดภัยมาถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร?
ทว่าในคืนนั้นนางดีใจไม่ออกแล้ว
ภายใต้แสงจันทร์ ท่านโหวเทียนหยวนบุกเข้ามาในจวนแม่ทัพภาคเพียงลำพัง ฮูหยินของเขาอยู่ที่นี่ ที่นี่นับว่าเป็นบ้านของเขาเช่นกัน ใครจะกล้าขวางเขาไว้ล่ะ
เทียนหยวนมุ่งตรงมาที่ลานบ้านด้านหลัง พอสามีภรรยาพบหน้ากัน ปี้เยว่ก็ถูกกดดันประชิดเข้ามาจนก้าวถอยหลัง นางถูกเทียนหยวนดึงเข้ามาในอ้อมกอดทันที แล้วลากนางเข้าไปในบ้านโดยตรง ฉีกถอดเสื้อผ้าของปี้เยว่ออกจนหมด แล้วทำ ‘หน้าที่เดิม’ ของเขาอย่างบ้าระห่ำ ภายนอกเสียเปรียบแล้ว แต่ตอนนี้กลับใช้วิธีการของเพศผู้เพื่อเอาชนะ
ปี้เยว่อยากจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตา กับเรื่องแบบนี้ ตามหลักเหตุผลแล้วไม่มีใครตำหนิอะไรเทียนหยวนได้ คนในจวนแม่ทัพภาคกลับหลบเลี่ยงไปพร้อมกัน…
ผ่านไปไม่นาน การตรวจสอบตรงประตูดวงดาวรอบๆ จวนแม่ทัพภาคตงหัวก็คลายคามเข้มงวดแล้ว ฝั่งปี้เยว่ก็ยกเลิกคำสั่งห้ามที่ตลาดสวรรค์แต่ละแห่งแล้วเช่นกัน พ่อค้าแม่ค้าสัญจรไปมาเหมือนเดิม ทุกอย่างเหมือนจะกลับมาเป็นปกติแบบเดิมแล้ว
“เทียนหยวนประนีประนอมได้เร็วขนาดนี้เชียวเหรอ?”
ตำหนักดาราจักร ประมุขชิงกำลังเดินอยู่ระหว่างชั้นหนังสือลับที่มีจำนวนมากราวกับทะเลหมอก พร้อมเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ
ซือหม่าเวิ่นเทียนที่ติดตามอยู่ข้างหลังตอบว่า “ใช่ขอรับ เทียนหยวนไปหาเซี่ยโห้วหลงเฉิงที่ตำหนักคุ้มเมืองดาวอวี้หลัวด้วยตัวเอง เมื่อไม่บรรลุจุดประสงค์ ตอนหลังก็ไปลากปี้เยว่เข้าห้องที่จวนแม่ทัพภาคตงหัวอีก เหมือนกำลังล้างแค้น จากนั้นเทียนหยวนก็ยอมถอยให้แล้ว ปี้เยว่ก็วางมือเช่นกัน ครั้งนี้นับว่าเทียนหยวนโดนฮูหยินของตัวเองทำให้เสียหน้าจนหมดสิ้น แต่เบื้องล่างก็ได้ข่าวมาอีก บอกว่าการที่ปี้เยว่ทำสำเร็จครั้งนี้ ที่จริงเป็นเพราะตระกูลเซี่ยโห้วที่ออกความคิดอยู่เบื้องหลัง”
ประมุขชิงหยุดเดินแล้วหยิบม้วนหนังสือโบราณมาไว้ในมือ กางออกตรวจอ่านพร้อมถามว่า “ไม่ใช่ว่าเทียนหยวนตบปี้เยว่จนปี้เยว่โต้กลับด้วยความโมโหเชียวหรอกเหรอ?”
“เรื่องนี้ก็ไม่ค่อยแน่ใจขอรับ แม้แต่คนข้างกายปี้เยว่ก็ยังไม่รู้เลย เกรงว่าเรื่องนี้คงจะมีแค่ปี้เยว่กับตระกูลเซี่ยโห้วรู้ชัดที่สุด” ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบ
สมาธิของประมุขชิงจดจ่ออยู่ที่ของในมือ กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า “ให้ราชินีสวรรค์มาพบข้าหน่อย”
ผ่านไปไม่นาน นอกตำหนักดาราจักร ผู้ติดตามรออยู่ข้างนอก ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่ถูกเรียกพบก้าวเข้ามาในตำหนักเพียงลำพัง ซือหม่าเวิ่นเทียนที่รออยู่ตรงประตูทำความเคารพ “พระนาง!” จากนั้นยื่นมือเชิญทันที เชิญให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตามเขามา
ทั้งสองเดินตามกันอยู่ระหว่างชั้นหนังสือที่มีมากมายราวกับทะเลหมอก พอเจอประมุขชิงที่กำลังตรวจอ่านม้วนหนังสือโบราณอย่างจริงจัง เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ย่อเข่าข้างเดียวคำนับ พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มที่เป็นกันเอง “ฝ่าบาท!”
“อืม!” ประมุขชิงที่หันข้างให้ยกมือเบาๆ บอกใบ้ว่าไม่ต้องมากพิธี
จากนั้นเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้า ลงมือจัดม้วนหนังสือโบราณตรงหน้าประมุขชิงที่เดิมทีก็เรียบร้อยอยู่แล้วด้วยตัวเอง
ประมุขชิงไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา เพียงถามเสียงเรียบว่า “เฉิงอวี่ ได้ยินเรื่องระหว่างสามีภรรยาของเทียนหยวนมาแล้วหรือยัง?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนเหลือบตาขึ้นสังเกตปฏิกิริยาของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่เงียบๆ นางยิ้มบางๆ พร้อมตอบว่า “ตลาดสวรรค์เกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนั้น หม่อมฉันจะไม่รู้ได้อย่างไรเพคะ ได้ยินว่าสองคนนั้นต่างคนต่างถอยคนละก้าวแล้ว การค้าขายของตลาดสวรรค์กลับมาเป็นปกติแล้ว”
ประมุขชิงค่อยๆ ม้วนเก็บม้วนหนังสือโบราณวางกลับไปบนชั้นหนังสือ แล้วเดินไปข้างหน้าต่อ ขณะที่ตรวจดูของบนชั้นหนังสือ เขาก็กล่าวว่า “ข้างล่างมีข่าวลือมา ว่าสาเหตุที่ปี้เยว่ได้เปรียบในครั้งนี้ ทำให้เทียนหยวนผิดหวังหมดอาลัยตายอยากได้ ก็เป็นเพราะตระกูลของเจ้าออกความคิดอยู่เบื้องหลัง?”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่จัดม้วนหนังสือโบราณที่เขาวางลงอีกครั้ง แล้วเดินพูดอยู่ข้างหลังด้วยรอยยิ้ม “ข่าวนี้หม่อมฉันก็ได้ยินมาเหมือนกัน แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยโห้วจริงๆ เพคะ หม่อมฉันตั้งใจไปถามมาแล้ว ที่จริงปี้เยว่ติดต่อกับร้านค้าของตระกูลเซี่ยโห้ตั้งแต่ตอนที่นางลงมือแล้ว นางให้ผู้จัดการร้านส่งข่าวให้ตระกูลเซี่ยโห้ว ให้ตระกูลเซี่ยโห้วเตรียมป้องกันไม่ให้เทียนหยวนมาลงมือกับเซี่ยโห้วหลงเฉิง หม่อมฉันได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทให้ปรับปรุงตลาดสวรรค์ ตระกูลเซี่ยโห้วย่อมไม่มีทางต่อต้านฝ่าบาทอยู่แล้ว ถึงได้เตือนเซี่ยโห้วหลงเฉิงอย่างเข้มงวด แต่ใครจะคิดว่าจะเป็นอย่างที่ปี้เยว่คาดไว้จริงๆ เทียนหยวนเสียเปรียบเพราะปี้เยว่ เลยจะมาลงมือกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงจริงๆ ด้วย แต่มีการเตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้าแล้ว เทียนหยวนย่อมทำไม่สำเร็จ หม่อมฉันรับรองต่อฝ่าบาทได้เลยว่าตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้ออกความคิดใดๆ ให้ปี้เยว่เลย ตั้งแต่ต้นจนจบของเรื่องนี้ ล้วนเป็นปี้เยว่ที่ประลองกับเทียนหยวนอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ที่พลิกไปพลิกมา ขนาดตระกูลเซี่ยโห้วเองก็ยังถูกนางเรียกใช้งานแล้ว”
“อ้อ! เหอะๆ…” ประมุขชิงหยุดเดินแล้วหันตัวมา ไม่น่าเชื่อว่าจะเริ่มหัวเราะแล้ว เขาหันกลับมาหาซือหม่าเวิ่นเทียนอีก แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ผ้าประดับศีรษะไม่ยอมหลีกให้หนวดเคราจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าเทียนหยวนจะแพ้ให้กับฮูหยินของตัวเองแล้ว! ยามปกติปี้เยว่ไม่เคยแสดงความสามารถเลย ครั้งนี้โดนเทียนหยวนตบ สงสัยจะโมโหแล้วจริงๆ นางแค่ไม่ลงมือเท่านั้น พอลงมือขึ้นมาก็ไม่ธรรมดาเลย มองทะลุแผนการทั้งยังบีบจนเทียนหยวนเสียหน้า โจมตีจนเทียนหยวนหมดความสามารถจะรับมือ ไม่ธรรมดนะ! เฉิงอวี่ ในมือเจ้ามียอดฝีมือโผล่มาคนหนึ่งแล้วนะ!”
“ปี้เยว่แสดงความสามารถอย่างน่าทึ่งจริงๆ แต่ท่านโหวเทียนหยวนก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน หลานเซี่ยโห้วหลงเฉิงส่งข่าวกลับมาที่บ้าน บอกว่าเทียนหยวนฝากให้เขาไปบอกตระกูลเซี่ยโห้ว ว่าบัญชีแค้นนี้เขาจะมาทวงคืนกับตระกูลเซี่ยโห้ว ตอนนี้ข้างนอกมีข่าวลือว่านี่เป็นแผนของตระกูลเซี่ยโห้ว เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นฝีมือของเทียนหยวน เขาสูญเสียการควบคุมที่ตลาดสวรรค์แทบหมดแล้ว ตอนนี้แม้แต่เมียก็ไม่ยืนยู่ข้างเขา เห็นได้ชัดว่าเขาจงใจเสี้ยมให้กลุ่มขุนนางต่อต้านเรื่องปรับปรุงตลาดสวรรค์ จะได้บรรลุเป้าหมายที่บอกใครไม่ได้ของเขาได้สะดวก” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถือโอกาสแทงเทียนหยวนหนึ่งดาบ เทียนหยวนวางกับดักตระกูลเซี่ยโห้วได้ เมื่อตระกูลเซี่ยโห้วได้โอกาสก็ย่อมต้องให้บทเรียน
เป็นอย่างที่คาดไว้ ประมุขชิงได้ยินแล้วดวงตาฉายแววเย็นเยียบ จะบอกว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่กำลังฟ้องเพื่อกลั่นแกล้งก็ไม่ได้ เพราะการกระทำแบบนี้ของเทียนหยวน เดิมทีก็เพื่อควบคุมตลาดสวรรค์อยู่แล้ว ต่อให้เป็นคนตาบอดก็มองออก ที่จริงมีขุนนางในราชสำนักคนไหนบ้างที่ไม่อยากควบคุมตลาดสวรรค์ เพียงแต่ครั้งนี้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ฟ้องเรื่องเทียนหยวนให้ดูใหญ่โตต่อหน้าประมุขชิงก็เท่านั้นเอง ปั้นเทียนหยวนให้กลายเป็นกองหน้าในการต่อต้าน เซี่ยโห้วเฉิงอวี่อยู่ข้างกายประมุขชิงมานานขนาดนี้ นางเข้าใจดีที่สุดว่าประมุขชิงไม่ชอบอะไร คนที่อยู่ในระดับอย่างประมุขชิง สิ่งที่รังเกียจที่สุดก็คือการที่มีคนมาท้าทายอำนาจบารมีของเขา
เห็นเพียงประมุขชิงทำเสียงฮึดฮัด “เอาชนะเมียตัวเองไม่ได้ รู้จักแต่แอบใช้อุบายตื้นๆ สิ่งของไร้ประโยชน์!”
ในขณะนี้เอง อีกฝั่งหนึ่งของชั้นหนังสือก็มีคนคนหนึ่งปรากฏตัว เป็นทูตตรวจการฝ่ายขวาเกาก้วน เมื่อเห็นประมุขชิงอยู่ที่นี่ เขาก็รีบก้าวเข้ามาคำนับ
“ค้นหาเจอรึยัง?” ประมุขชิงถาม
เกาก้วนใช้สองมือมอบแผ่นหยกแผ่นหนึ่งให้ “ค้นหาเจอแล้วขอรับ ผลงานทดสอบที่ปี้เยว่ได้อันดับเก้ามีเพียงส่วนน้อยที่ซ้ำกับบริเวณอื่น จุดที่สำรวจส่วนใหญ่แตกต่างกับของคนหมู่มาก น่าจะไม่ใช่การโกงขอรับ”
“อ้อ!” ประมุขชิงยื่นมือไปหยิบแผ่นหยกมาตรวจดู ขณะที่ดูก็พยักหน้าเบาๆ “แม้แต่อาณาเขตที่สำรวจก็ครบถ้วนสมบูรณ์มาก ไม่ใช่เก็บรวบรวมมาทีละนิดละหน่อย ดูท่าแล้วคงจะไปเสี่ยงอันตรายที่นรกมาแล้วจริงๆ ดูจากสิ่งนี้ก็รู้แล้วว่าปี้เยว่มีความสามารถและความกล้าหาญอยู่บ้างจริงๆ ตอนนี้ข้าเชื่อแล้วว่าเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้เป็นปี้เยว่ที่พลิกเมฆคว่ำฝนเองกับมือ เฉิงอวี่ การตบฉาดนั้นของเทียนหยวนมันช่างดีจริงๆ เป็นการมอบไม้ชั้นดีมาให้เจ้าแล้ว ดูแลนางให้ดีหน่อยนะ”
“หม่อฉันเข้าใจแล้วเพคะ” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตอบพร้อมรอยยิ้ม
ซือหม่าเวิ่นเทียนที่อยู่ข้างๆ แววตาวูบไหวเล็กน้อย ที่มาที่ไปของคะแนนการทดสอบของปี้เยว่ เขาเคยรายงานประมุขชิงไปแล้ว ไม่รู้ว่าการที่ประมุขชิงให้เกาก้วนตรวจสอบอีกหมายความว่าอย่างไร แต่มีอย่างหนึ่งที่เขารู้อยู่แก่ใจ นั่นก็คือมีเรื่องบางเรื่องที่ประมุขชิงให้เพียงฝั่งซือหม่าเวิ่นเทียนไปทำเท่านั้น ไม่ให้เกาก้วนรู้ แต่ก็มีเรื่องบางเรื่องที่ให้แค่เกาก้วนทำ ไม่ให้ซือหม่าเวิ่นเทียนรู้เช่นกัน
ประมุขชิงคืนแผ่นหยกให้เกาก้วน แล้วบอกเซี่ยโห้วเฉิงอวี่อีกว่า “คืนนี้ข้าจะค้างที่ตำหนักนารีสวรรค์”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้ยินแล้วดีใจ “เพคะ! ถ้าฝ่าบาทไม่มีอย่างอื่นจะกำชับแล้ว หม่อมฉันก็ขออนุญาตกลับไปเตรียมตัว” นางต้องกลับไปอาบน้ำหวีผมดีๆ สักหน่อย
ประมุขชิงโบกมือ รอจนกระทั่งเกาก้วนออกไปแล้ว ก็เหลือแค่ซือหม่าเวิ่นเทียนที่อยู่ข้างกาย ประมุขชิงบอกอีกว่า “ทางจวนแม่ทัพภาคตงหัวฮวงจุ้ยดี เกิดไม้ชั้นดีขึ้นต่อเนื่องกัน เจ้าหนิวโหย่วเต๋อนั่นเป็นอย่างไรบ้าง?”
ตั้งใจเอ่ยถึงหนิวโหย่วเต๋อผู้ต่ำต้อยอีกแล้ว ซือหม่าเวิ่นเทียนเข้าใจในทันที เข้าใจสาเหตุที่ประมุขชิงให้เกาก้วนไปสืบผลงานของปี้เยว่แล้ว นี่ไม่ใช่การพุ่งเป้าไปที่ปี้เยว่ เขาตอบว่า “ส่งสายลับไปแล้วขอรับ ถ้ามีโอกาสเหมาะสมก็จับยัดเข้าไปข้างกายหนิวโหย่วเต๋อได้”
เขาชำนาญเรื่องประเภทนี้ และเป็นสิ่งที่อยู่ในหน้าที่ด้วย คนที่ประมุขชิงสนใจ เขาก็ต้องสนใจเช่นกัน ไม่ใช่ว่าทุกคนที่แสดงผลงานได้ดีแล้วประมุขชิงจะใช้งานได้ อย่างแรกเลยคือต้องสืบประวัติเบื้องลึกให้ชัดเจนก่อน หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหาจริงๆ ถึงจะจัดให้อยู่ในกลุ่มคนที่จะชุบเลี้ยงได้…
เรื่องที่เทียนหยวนกับภรรยางัดข้อกัน สะเทือนไปถึงคนที่ตำหนักสวรรค์จำนวนไม่น้อย ทว่าเหมียวอี้ทำตามคำแนะนำของหยางชิ่ง ซ่อนตัวอยู่หลังม่านตลอด คอยกระตุ้นยั่วยุเรื่องราวทั้งหมด แต่กลับไม่ดึงดูดความสนใจของใครเลยตั้งแต่ต้นจบจบ ทำตัวสงบเสงี่ยมอยู่ห่างจากคลื่นลม ในเมื่อบรรลุเป้าหมายแล้ว ก็ต้องหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน
จากนั้นสี่อ๋องสวรรค์กับจอมพลทั้งสิบเอ็ดคนก็กลับมาจากแดนสุขาวดีได้อย่างราบรื่น เรื่องน่ากังวลทุกอย่างที่ตำหนักสวรรค์เงียบสงบลงแล้ว เรื่องราวที่คาดเดาได้ยากก็ถูกกดเอาไว้เช่นกัน ตราบใดที่เบื้องบนไม่วุ่นวาย เรื่องของเบื้องล่างก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทำให้ทุกคนที่รู้สึกตึงเครียดโล่งใจแล้วเช่นกัน
เหมือนจะไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องที่พยานโดนผู้ร้ายฆ่าล้างเลือดอีก จำนวนคนที่ตรวจสอบอยู่ตามประตูดวงดาวแต่ละแห่งก็เริ่มลดลงโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน จนกระทั่งหายไปอย่างเงียบๆ เรื่องบางเรื่องผ่านไปตามธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลใดๆ
แต่ที่ประตูของตำหนักคุ้มเมืองในตอนนี้กลับมีแขกที่มาไม่บ่อยปรากฏตัว หลังจากแขกถูกพาเข้ามาในตำหนักคุ้มเมืองแล้ว เหมียวอี้ก็กันทุกคนออกไป แล้วพาแขกเข้ามาในห้องสมาธิของตัวเอง
เมื่อไม่มีคนนอกแล้ว ชายรูปร่างกำยำที่ยืนอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้ก็ดึงหนังปลอมบนใบหน้าออก เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา เป็นเยียนเป่ยหงนั่นเอง
เหมียวอี้ยิ้มอย่างรู้ใจ “พี่ใหญ่เยียน หลายปีมานี้ท่านไปไหนมากันแน่ น้องชายติดต่อไปบ่อยทำไมท่านไม่สนใจเลย?”
รอยยิ้มของเยียนเป่ยหงยังคงเปิดเผยและองอาจผึ่งผาย หัวเราะเสียงดังแล้วบอกว่า “ไม่ใช่ว่าไม่สนใจ แค่ไม่อยากเพิ่มความยุ่งยากให้เจ้า”
“พี่ใหญ่เยียนพูดแบบนี้ได้ยังไง ให้หาที่พักให้พี่ใหญ่เยียนก็ยังไม่มีปัญหาเลย แค่ยกมือก็จัดการได้แล้ว จะบอกยุ่งยากได้ยังไง” เหมียวอี้กล่าว
เยียนเป่ยหงโบกมือบอกว่า “เรื่องบางเรื่องพูดมากตอนนี้ก็ไม่ดี ในภายหลังน้องชายจะเข้าใจเอง”
พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ เหมียวอี้ก็ไม่ถามอะไรมากอีก ในปีนั้นที่มาถึงพิภพใหญ่ เขาก็เคยเชิญให้เยียนเป่ยหงมาทำงานข้างกายตัวเองแล้ว ตอนนี้ก็ยังปฏิเสธเหมือนเดิม จึงถามด้วยรอยยิ้มว่า “มาเยี่ยมกันบ่อยๆ ก็ได้อยู่แล้วมั้ง?”
เยียนเป่ยหงตอบว่า “ทีแรกก็ว่าจะมาตั้งนานแล้ว แต่ใครจะคิดว่าจู่ๆ จะมีการตรวจค้นตามประตูดวงดาวแต่ละแห่ง ก็เลยต้องอดทนเอาไว้ก่อน รอให้เลิกตรวจแล้วก็มาหาเจ้าทันทีเลย”
“ท่านไม่ใช่ผู้ร้ายเสียหน่อย ถึงยังไงพวกเขาก็ตรวจค้นพอเป็นพิธีเฉยๆ อยู่แล้ว ท่านผ่านไปผ่านมาตามปกติจะมีอะไรน่ากลัว?” เหมียวอี้แปลกใจ
“นี่คือสาเหตุที่ข้ามาหาเจ้าไง” เยียนเป่ยหงถอนหายใจ
บทที่ 1326 ลดตำแหน่งเป็นเทพแห่งภูผา
โดย
Ink Stone_Fantasy
เหมียวอี้ไม่ค่อยเข้าใจ ถามอย่างสงสัยว่า “หมายความว่ายังไง?”
เยียนเป่ยหงใช้การปฏิบัติจริงตอบเขา เรียกคนสองคนออกมาจากกระเป๋าสัตว์โดยตรง นำมาวางไว้บนเตียงหิน นอกจากหงซิ่วกับหงฝูแล้วจะเป็นใครไปได้
เพียงแต่ทั้งสองคนกำลังสลบ โดนโซ่ที่ทำจากผลึกม่วงมัดไว้อย่างแน่นหนา บนใบหน้าและผิวหนังที่เผยให้เห็นเป็นสีสันหลากหลาย เหมียวอี้ที่ก้าวขึ้นมาดูข้างหน้านิ่งเงียบ เขาเข้าใจแล้ว หญิงรับใช้ทั้งสองของเยียนเป่ยหงโดนเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาย้อนทำร้ายเพราะวิชาที่ฝึก ครั้งนี้มาเพื่อให้ตนช่วยแก้ไขให้
“ข้าคงไม่ต้องพูดอะไรมากแล้ว น้องชายคงเข้าใจแล้วใช่มั้ย?” เยียนเป่ยหงถาม
เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ เพียงแต่อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วถามว่า “พี่ใหญ่เยียน ขออภัยที่ข้าพูดตรงๆ ที่พิภพใหญ่ไม่เหมือนกับพิภพเล็ก การย่อยยาแก่นเซียนก็เร็วมากเช่นกัน จำเป็นต้องรับความทุกข์ทรมานเพราะวิชามารนั่นด้วยเหรอ? ตอนนี้มีน้องชายอยู่ แต่ถ้าเมื่อไรน้องชายเกิดปัญหาขึ้นแล้วยื่นมือช่วยไม่ได้ล่ะ ทำแบบนี้ไม่ใช่การแกว่งเท้าหาเสี้ยนหรอกเหรอ?”
เยียนเป่ยหงโบกมือ “หลังจากมาถึงพิภพใหญ่ ข้าก็ไม่เคยให้พวกนางสองคนดูดวรยุทธ์ของคนอื่นอีกเลย ให้พวกนางใช้ยาแก่นเซียนมาตลอด วันนี้พอจะบรรลุระดับทะยานสวรรค์ก็ยังอาการกำเริบเหมือนเดิม เกรงว่าจะเป็นเพราะตอนอยู่พิภพเล็กดูดวรยุทธ์คนอื่นไว้เยอะเกินไป”
“อ้อ!” เหมียวอี้เข้าใจแล้ว ถามอีกว่า “แล้วท่านล่ะ?”
เยียนเป่ยหงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวอย่างซื่อสัตย์จริงใจว่า “ถึงแม้ยาแก่นเซียนจะทำให้เพิ่มวรยุทธ์ได้รวดเร็ว แต่ถ้าเทียบกับความเร็วในการดูดของวิชามารของข้า ก็ยังถือว่าช้าไปหน่อย ที่พิภพใหญ่มียอดฝีมือมากมาย ถ้าข้าไม่รีบเพิ่มวรยุทธ์ของตัวเองให้สูงขึ้น พวกเราสามคนจะปกป้องตัวเองได้ยังไง จะไปช่วงชิงยาแก่นเซียนให้พวกนางสองคนเพียงพอได้ยังไง”
เหมียวอี้หันหน้าไปด้านข้าง หลับตาลงพลางถอนหายใจ แล้วหันหน้ากลับมาอีกครั้ง “ในเมื่อท่านรู้แล้ว ทำไมไม่ให้พวกนางทำลายวิชามารนั่นซะ ทำไมต้องสร้างความผิดพลาดให้ตัวเอง? ที่ข้ามียาแก่นเซียนจ่ายให้พวกท่านสามคนอยู่แล้ว ต่อให้ท่านจะไม่ต้องการของที่ได้มาเปล่าๆ เหมือนรับทาน ข้าก็สามารถหาตำแหน่งให้ท่านที่ตลาดสวรรค์ได้ รับรองว่าพวกท่านเลี้ยงตัวเองได้แน่ ทำไมต้องไปแตะต้องวิชามารที่ยิ่งฝึกยิ่งถลำลึกนั่นอีก?”
เยียนเป่ยหงยกมือขึ้นตบบ่าเขา “น้องชาย ความสัมพันธ์แบบนี้ของพวกเราก็ดีมากอยู่แล้ว ถ้าให้ข้าเอาแต่ยื่นมือขอเจ้า หรือกลายเป็นลูกน้องของเจ้า ความสัมพันธ์ระหว่างเราก็จะเปลี่ยนรสชาติเข้าสักวัน และข้าก็บอกไปแล้ว ว่าถ้าข้าอยู่ข้างกายเจ้า สักวันก็จะทำให้เจ้าลำบากไปด้วย รักษาระยะห่างเอาไว้ดีกว่า ถ้าเกิดปัญหาขึ้นแล้วส่งข่าวมาให้ยื่นมือช่วยเหลือ แบบนี้ก็ดีมากอยู่แล้ว”
เมื่อเห็นว่าเกลี้ยกล่อมไม่ได้ผล เหมียวอี้ก็ยิ้มเจื่อนอย่างจนใจ ถามว่า “แล้วตอนนี้ท่านวรยุทธ์เท่าไรแล้ว?”
เยียนเป่ยหงยกมือลบโคลนซ่อนจิตตรงหว่างคิ้วออก เผยสัญลักษณ์วรยุทธ์บงกชทองขั้นเก้า
เหมียวอี้พูดไม่ออก ตอนที่เยียนเป่ยหงมาถึงพิภพใหญ่ก็ยังมีวรยุทธ์แค่บงกชทองขั้นหนึ่งอยู่เลย ใช้เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ร้อยปีก็วรยุทธ์เหนือกว่าเหมียวอี้แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะวรยุทธ์ถึงระดับบงกชทองขั้นเก้าแล้ว คาดว่าคงอยู่ไม่ไกลจากระดับบงกชรุ้ง เหมียวอี้เรียกได้ว่าได้รับรู้ถึงความวิปริตของวิชามารนั่นอีกครั้ง
เยียนเป่ยหงบอกว่า “ข้ารู้ว่าน้องชายกังกังวลอะไร ข้ายังห่างจากระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพอีกไกล ตอนนี้ข้ายังไม่มีปัญหาอะไรหรอก ช่วยชีวิตพวกนางสองคนก่อนแล้วกัน ช่วงนี้ข้าช่วยร่ายอิทธิฤทธิ์ระงับให้พวกนางมาตลอด ไม่ให้เจ็ดอารมณ์หกปรารถนาในร่างกายพวกนางแพร่กระจายเร็วเกินไป แต่ข้ากลัวว่าเวลานานไปแล้วพวกนางจะทนรับไม่ไหว”
เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ให้ข้าจัดการข้างนอกให้เรียบร้อยก่อน เดี๋ยวข้ากลับมาลงมืออีกที”
เยียนเป่ยหงพยักหน้า เหมียวอี้หันตัวเดินออกไป
บทสนทนาระหว่างทั้งสองตรงไปตรงมาและจริงใจ ธุระก็คุยธุระ ไม่มีเรื่องปากหวานก้นเปรี้ยวอะไรทั้งนั้น
หลังจากจัดการเรื่องข้างนอกเรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ก็เข้าสู่สภาวะเก็บตัวฝึกตนชั่วคราว เริ่มลงมือจัดการบนตัวหงซิ่วก่อน
เวลาที่เก็บตัวก็ไม่ได้นานเท่าไรนัก ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น ไม่ได้ยุ่งยากเหมือนตอนที่ทำให้เยียนเป่ยหงครั้งก่อน สาเหตุหลักเป็นเพราะการบรรลุระดับบงกชทองในครั้งนี้ พวกนางดูดวรยุทธ์ของคนอื่นไปไม่เยอะเท่าไร พลังที่ย้อนทำร้ายจึงไม่ร้ายแรงมาก บวกกับที่เยียนเป่ยหงช่วยระงับไว้ด้วย สาเหตุสำคัญเป็นเพราะวรยุทธ์ของเหมียวอี้สูงกว่าพวกนางสองคนเยอะมาก ตอนนี้ก็ยิ่งมีเปลวเพลิงคอยช่วย เวลาจัดการกวาดล้างจึงคล่องมือกว่าเดิม
หลังจากแก้ไขปัญหาของผู้หญิงทั้งสองเรียบร้อยแล้ว เยียนเป่ยหงก็ไม่ได้อยู่ต่อนาน พาคนเหาะออกไปแล้ว เหมียวอี้ถามว่าไปไหนก็ไม่ตอบ ตอนมาก็มาอย่างกระทันหัน ตอนไปก็ไม่พะว้าพะวง…
เพียงชั่วดีดนิ้ว ก็ผ่านไปแล้วอีกหนึ่งพันปี
ที่นอกจวนแม่ทัพภาคตงหัว ชายหุ่นหมีคนหนึ่งกำลังกอดต้นไม้ใหญ่ร้องไห้เสียงดัง ร้องไห้แบบเจ็บปวดระทมใจ คนที่ร้องไห้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเซี่ยโห้วหลงเฉิงนั่นเอง
ที่ด้านข้างต้นไม้ แม่ทัพภาคตงหัวปี้เยว่ยืนอยู่หน้าสุด เหมียวอี้ จ้านหรูอี้ เหยียนซู่ เหยาสิ้ง ติงเจ๋อเฉวียน ซ่างหรูเยว่ เกาโย่ว เหลียนฟางอวี้ รุ่ยฝาน ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ทั้งเก้าคนอยู่กันครบ
เมื่อเห็นเซี่ยโห้วหลงเฉิงร้องไห้อย่างปวดใจขนาดนี้ ทุกคนที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับทำสีหน้าแปลกๆ
สาเหตุก็ไม่ใช่เพราะอะไร เซี่ยโห้วหลงเฉิงถูกลดขั้นให้เป็นเทพแห่งภูผาในสถานที่ที่กันดารจนแม้แต่นกก็ไม่บินผ่านไปขี้ใส่
ไม่รู้ว่าเขาไปทำความผิดร้ายแรงอะไรเกินให้อภัยมา แต่ความผิดเล็กๆ นั้นมีเยอะเกินไป ถ้าดาวอวี้หลัวยังมีแม่ทัพภาคนั่งคุมเหมือนในปีก่อนๆ เขาก็ยังไม่เดินมาถึงขั้นนี้ เป็นเพราะดาวอวี้หลัวไม่มีใครควบคุมเขา บวกกับภูมิหลังและนิสัยเจ้าอารมณ์…ตอนแรกเขายังสามารถควบคุมตัวเองได้ แต่ตอนหลังเริ่มทำตามอำเภอใจแล้วจริงๆ ก่อกรรมทำชั่วที่ตลาดสวรรค์ดาวอวี้หลัวจนแม้แต่สวรรค์และคนต่างก็พากันเคียดแค้น
ที่แปลกก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีใครรายงานพฤติกรรมของเขาเลย หรือไม่ก็มีคนรายงานแล้วแต่มีคนจงใจเหยียบไว้ ไม่น่าเชื่อว่าร้านค้าของผู้มีอำนาจมากมายขนาดนั้นจะเงียบกริบกับพฤติกรรมที่เหิมเกริมของเขา ถึงขนาดพูดได้ว่า การที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงเดินมาถึงขั้นนี้ได้ เป็นเพราะมีคนจงใจให้ท้ายส่งเสริม
แต่ทางตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่ได้หูหนวกตาบอดเช่นกัน สังเกตได้ถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว รู้สึกได้ว่ามีคนที่มีเจตนาไม่ซื่อ ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่จึงออกคำสั่งให้ลงโทษอย่างรุนแรง ลดตำแหน่งของเซี่ยโห้วหลงเฉิงให้ไปเป็นเทพแห่งภูผาในถิ่นธุรกันดาร ให้เขาออกห่างจากวงการความขัดแย้ง
ทางดาวอวี้หลัวดีใจจนแทบจะบรรเลงดนตรีเฉลิมฉลอง
ที่จริงถ้ามองจากบางมุม ตระกูลเซี่ยโห้วก็กำลังตั้งใจจะปกป้องเซี่ยโห้วหลงเฉิง แต่ประเด็นคือเซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่ได้คิดแบบนี้
“เซี่ยโห้วหลงเฉิง ไปตั้งใจเริ่มต้นใหม่ที่นั่นเถอะ ในภายหลังยังมีโอกาส” ปี้เยว่ถอนหายใจ
เซี่ยโห้วหลงเฉิงเอามือทุบอกทันที เงยหน้าโวยวายว่า “ข้าไม่ยอม!”
“ผู้บัญชาการใหญ่ เวลาก็ผ่านมานานแล้ว ทางนั้นกำหนดเวลาให้ท่านไปรับตำแหน่งแล้ว” คนคุ้มกันส่งที่ปี้เยว่ส่งมากล่าวเตือนเสียงเบา
“ผู้บัญชาการใหญ่บ้าบออะไรล่ะ!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงหันกลับมาตะคอก ยกแขนเสื้อปาดน้ำตา เดินไปตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วจู่ๆ ก็กางแขนสองข้างกอดเหมียวอี้เอาไว้ พร้อมกล่าวเสียงสะอึกสะอื้น “น้องหนิว ข้าอัดอั้นตันใจ!”
เหมียวอี้กลอกตามองบน คิดในใจว่านี่เจ้ายังอัดอั้นตันใจอีกเหรอ แค่สิ่งที่เจ้าทำลงไป ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นก็คงตายไปร้อยครั้งแล้ว แต่แน่นอน ภายนอกเหมียวอี้ออกแรงผลักเขาออก แล้วพูดปลอบใจว่า “พี่เซี่ยโห้ว ตราบใดที่มีชีวิตก็ย่อมมีหวัง”
เซี่ยโห้วหลงเฉิงย้ายไปที่จ้านหรูอี้ แล้วกางแขนจะเข้าไปกอด
จ้านหรูอี้ตอบสนองรวดเร็ว พลิกมือหยิบมีดสั้นด้ามหนึ่งออกมาจ่อคอเซี่ยโห้วหลงเฉิง พร้อมถามเสียงต่ำว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
ไม่รู้เหมือนกันว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงจงใจหรือไม่จงใจ ถึงอย่างไรก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง หันตัววิ่งหนีออกไปแล้ว ขณะเดียวกันก็เงยหน้าขึ้นฟ้าแล้วถอนหายใจยาว “น่าเสียใจนักที่เกิดมาในตระกูลชั้นสูง!”
ในน้ำเสียงแฝงความรู้สึกเสียใจและอ้างว้างจากใจจริง แต่กลับทำให้คนกลุ่มหนึ่งกลอกตามองบนพร้อมกัน ปี้เยว่ก็ยิ่งหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก พึมพำในใจว่า คนอื่นสิต้อง ‘เกลียดที่เจ้าเกิดมาในตระกูลชั้นสูง’ ไม่อย่างนั้นคงทำให้เจ้าตายไปนานแล้ว
จู่ๆ เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็เหาะขึ้นฟ้าไป แล้วก็มีเสียงดังมาไกลๆ ว่า “ทุกคน ถ้าว่างๆ ก็มาเยี่ยมข้าบ้างนะ!”
มีแต่ผีน่ะสิที่จะไปหาเจ้า! ทุกคนปากไม่ตรงกับใจ กุมหมัดคารวะและกล่าวพร้อมกันว่า “พี่เซี่ยโห้วรักษาตัวด้วย”
รอจนกระทั่งเงาคนหายไปจากบนท้องฟ้าแล้ว จ้านหรูอี้ถึงได้แสยะยิ้ม “เจ้าเวรนี่เป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ปีเดียว เกรงว่าจะมีรายได้เท่ากับพวกเราที่ทำงานนี้หลายปี ในหนึ่งพันกว่าปีมานี้ไม่รู้ว่าตักตวงเงินทองไปมากเท่าไรแล้ว ยังมีหน้าร้องไห้เสียใจที่นี่อีก”
“ในที่สุดก็ไปสักที แต่ทำให้ดาวอวี้หลัวเสียหายย่อยยับแล้ว” เกาโย่วกล่าว
“ตระกูลเซี่ยโห้วก็เด็ดขาดจริงๆ ส่งเขาไปอยู่ในสภานที่ทุรกันดารเสียเลย ต่อไปคงไม่มีทางสร้างหายนะให้ใครได้แล้วละมั้ง?” ติงเจ๋อเฉวียนถาม
เหมียวอี้ก็ส่ายหน้าเงียบๆ อย่างณู้สึกปลงเช่นกัน เซี่ยโห้วหลงเฉิงคนนี้ช่างเป็นเหมือนโคลนเหลวที่ก่อเป็นกำแพงไม่ได้จริงๆ ไม่อย่างนั้นตระกูลเซี่ยโห้วจะทำแบบนี้กับเขาได้อย่างไร เกรงว่าการจากกันครั้งนี้จะทำให้มีโอกาสพบกันได้ยากแล้ว…
ดอกไม้บานดอกไม้ร่วง ฤดูใบไม้ผลิผ่านไปฤดูใบไม้ร่วงมาเยือน กาลเวลาไร้ซึ่งหัวใจ ดวงดาวเคลื่อนคล้อย เวลาผ่านไปแล้วสองพันปี
“ตลาดสวรรค์ ดาวเทียนหยวน…”
ตำหนักดาราจักร ประมุขชิงที่จัดการกิจธุระอ่านรายงานทีละเรื่อง สุดท้ายก็หยิบรายชื่อผู้เข้าร่วมทดสอบขึ้นมา บังเอิญสังเกตเห็นประวัติที่อยู่หลังรายชื่อฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ เงยหน้ามองซือหม่าเวิ่นเทียนที่อยู่ด้านล่าง “ลูกน้องของหนิวโหย่วเต๋อชื่อฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ใช่รึเปล่า?”
วนมาถึงการทดสอบผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์อีกแล้ว ครั้งนี้เป็นการทดสอบเสริม ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ใช่ว่าจะเป็นได้ทั้งชีวิต มักจะมีเหตุการณ์ขึ้นๆ ลงๆ อยู่แล้ว ยกตัวอย่าเช่นเซี่ยโห้วหลงเฉิง มีตำแหน่งว่างเยอะมาก นำคนที่อยู่อันดับต้นๆ เติมไปก่อนแล้ว ตอนนี้ยังไม่ได้เติมตำแหน่งผู้บัญชาการที่อยู่ส่วนบน ในภายหลังถ้ามีคนขาดก็ต้องดึงผู้ที่เคยผ่านการทดสอบขึ้นไปก่อน ตอนนี้ก็แสดงความสามารถอยู่กันข้างไปก่อนแล้วกัน ก็อย่างที่เคยบอกไว้ คนที่ไม่เคยเข้าร่วมการทดสอบที่แดนอเวจีจะไม่สามารถรับตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ได้
ซือหม่าเวิ่นเทียนครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วพยักหน้าตอบว่า “ขอรับ! ล้วนเป็นผู้บัญชาการใต้สังกัดของของหนิวโหย่วเต๋อขอรับ เหมือนจะเข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้ด้วย”
“ใต้สังกัดของหนิวโหย่วเต๋อมีกี่คนที่ไปไปเข้าร่วมการทดสอบ?”
“ถ้าข้าน้อยจำไม่ผิด น่าจะไปสองคนขอรับ”
ประมุขชิงส่ายแผ่นหยกในมือ “นี่คือรายชื่อผู้ผ่านการทดสอบที่เกาก้วนส่งขึ้นมา เรียกได้ว่าขุนพลยอดเยี่ยม ทหารในสังกัดไร้คนอ่อนแอจริงๆ ส่งไปแล้วสองคน ไม่น่าเชื่อว่าจะผ่านการทดสอบทั้งสองคน”
ที่จริงประมุขถิ่นสี่ทิศทะเลดาวนักษัตรก็ไปร่วมการทดสอบทุกคน เพียงแต่สงเวยกับหงเทียนไม่ได้อยู่ในสังกัดของเหมียวอี้ เป็นการฝากชื่อกับสถานที่อื่นไป มีเหมียวอี้แอบช่วยเหลืออย่างลับๆ จะไม่ให้ทั้งสี่ผ่านการทดสอบก็คงยาก ทั้งยังมีรายชื่ออยู่อันดับต้นๆ ทั้งหมดด้วย การเติมเข้าตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ก็ไม่ใช่ปัญหาเลย
แน่นอน ทางด้านแดนอเวจีมีการเตรียมการอีกอย่างไว้แล้ว ไม่ได้ทำให้ทั้งสี่คนรู้ว่าเหมียวอี้เกี่ยวข้องกับแดนอเวจี
ส่วนสวีถังหรานกับมู่หรงซิงหัว ถ้าไม่มีเหมียวอี้ ‘ระดมพล’ จะถ่อเอาชีวิตไปล้อเล่นที่นั่นทำไม พวกเขาไม่ได้ปเข้าร่วมการทดสอบ
“มีความเป็นไปได้ว่าได้รับถ่ายทอดประสบการณ์มาจากหนิวโหย่วเต๋อขอรับ” ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบ
ประมุขชิงครุ่นคิดเล็กน้อง ก่อนจะกล่าวว่า “ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปสามพันกว่าปีแล้ว เขาน่าจะตักตวงทรัพยากรฝึกตนที่ตลาดสวรรค์ได้มากพอแล้ว จะเป็นล่อหรือจะเป็นม้าก็ควรจะจูงออกมาเดินเล่นสักหน่อย ทางเจ้าสืบเสาะหาความจริงเป็นอย่างไรบ้าง สามารถใช้งานได้รึยัง?”
เมื่อถามมาแบบนี้ ซือหม่าเวิ่นเทียนก็อับอายนิดหน่อย ตอบว่า “คนที่เตรียมไว้ยังเข้าไปอยู่ข้างกายเขาไม่ได้ขอรับ”
ประมุขชิงหรี่ตา “ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว แค่ผู้บัญชาการตลาดสวรรค์เล็กๆ คนเดียว คนของเจ้าแทรกเข้าไปไม่ได้เหรอ?” เขาแทบจะพูดออกมาว่าเจ้ามัวไปทำอะไรกินอยู่
ซือหม่าเวิ่นเทียนรีบบอกว่า “เจ้ากนุ่มนั่นล่วงเกินคนเยอะเกินไป ทั้งยังเคยโดนลอบสังหาร มีจิตสำนึกในการเตรียมป้องกันดีมาก ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว เขายอมให้ที่ตำหนักคุ้มเมืองขาดคนมาตลอด ไม่ยอมเติมคนใหม่ง่ายๆ ตอนนี้ก็ยิ่งตั้งใจฝึกตน แทบจะไม่ได้เข้าสังคมอะไรเลย คนข้างกายเขาก็ระวังภายนอกอย่างเข้มงวดมาก ทั้งตลาดสวรรค์ก็ถูกเขาควบคุมไว้อย่างแน่นหนาอีก แค่มีความเคลื่อนไหวเล็กน้อยก็จะมีคนมาตรวจสอบทันที กำลังคนหลายชุดที่เตรียมไว้เข้าใกล้เขาไม่ได้เลย เพื่อไม่ให้แหวกหญ้าให้งูตื่นจนโดนสงสัย ตอนนี้จึงกำลังหาโอกาสอยู่ตลอดขอรับ”
พอพูดถึงเรื่องนี้เขาก็ปวดหัวเหมือนกัน เพื่อที่จะหาโอกาส เขาถึงขั้นส่งคนไปก่อเรื่องด้วย อยากจะล่อเหมียวอี้ออกมา แต่ก็ไม่จำเป็นต้องให้เหมียวอี้ออกหน้าเลย เบื้องล่างมีคนมาแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว ไม่ได้รบกวนการฝึกตนของเหมียวอี้เลย ด้วยความที่ใจร้อน เลยลองก่อเรื่องให้ถี่ขึ้นหน่อย เลยโดนหยั่งเชิงกลับทันที เป็นวิธีการที่เงียบเชียบมาก แต่แทบจะกำจัดคนของเขาจนหมด โชคดีที่หน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายของตำหนักสวรรค์ทำงานประเภทนี้มานานแล้ว มีประสบการณ์โชคโชนไม่ธรรมดาจริงๆ ทำให้ค้นพบได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นจะเกิดผลลัพธ์ที่น่าอับอายเกินไป
บทที่ 1327 บงกชทองขั้นเก้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
เพียงแต่การที่หน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายผู้สง่าน่าเกรงขามฝ่าเข้าไปในตำหนักคุ้มเมืองเล็กๆ ไม่ได้ ก็ทำให้ซือหม่าเวิ่นเทียนเดือดดาลนิดหน่อย เขาอยากจะลองใช้กำลังบังคับจริงๆ แต่จนใจที่การแทรกสายลับเข้าไปไม่เหมือนกับเรื่องอื่นๆ จะใช้กำลังบังคับไม่ได้ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องขึ้นหรือไม่ แต่ถ้าถูกเปิดโปงแล้วก็เท่ากับแพ้ มิหนำซ้ำคนของหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายก็เปิดเผยตัวตนไม่ได้ ฐานะที่แท้จริงจะถูกปิดบังอยู่ในเงามืดตลอดไป ถ้าเปิดเผยตัวตนขึ้นมาก็อาจจะโดนจับตามอง จะโดนคนอื่นอาศัยเบาะแสนี้สืบเรื่องอื่น
จนกระทั่งวันนี้ หน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายมีกำลังคนมากเท่าไรกันแน่ เป็นใครบ้างกันแน่ ทั้งตำหนักสวรรค์มีแค่สองคนที่รู้เรื่องนี้ นั่นก็คือประมุขชิงกับซือหม่าเวิ่นเทียน
ทว่า นี่เป็นเรื่องที่น่าอับอาย!
หน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายของตำหนักสวรรค์ย่อมไม่ยอมเสียเปรียบเรื่องนี้อยู่แล้ว ขนาดตำหนักคุ้มเมืองเล็กๆ ยังฝ่าเข้าไปไม่ได้ แล้วจะรายงานผลงานกับประมุขชิงได้อย่างไร? ตอนหลังซือหม่าเวิ่นเทียนจึงออกโรงด้วยตัวเอง ทรัพยากรที่เขาสามารถระดมได้มีเยอะมาก ไปที่ตำหนักคุ้มเมืองของดาวเทียนหยวนอาจจะเจอจุดอ่อนให้ลงมือ
ทว่าสิ่งที่ทำให้ซือหม่าเวิ่นเทียนตกใจก็คือ ทางตำหนักคุ้มเมืองของเหมียวอี้ก็เหมือนจะสังเกตเห็นจุดอ่อนของเขาแล้วเช่นกัน เพียงแต่อีกฝ่ายไม่ใช่แค่ไม่เสริมจุดอ่อนของตัวเอง แต่กลับพุ่งเป้ามาที่จุดอ่อนของเขาเพื่อวางกับดักอีกครั้ง แทบจะกำจัดคนของเขาจนหมดอีกแล้ว แต่ยังดีที่หน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายของตำหนักสวรรค์มีประสบการณ์ในด้านนี้โชกโชน เมื่อสังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากลเล็กน้อย ก็รีบปลีกตัวออกมาอย่างเงียบๆ ทันที
การปะทะกันอย่างลับๆ นี้ทำให้ซือหม่าเวิ่นเทียนเข้าใจแล้ว ว่าการหยั่งเชิงก่อนหน้านี้อาจจะทำให้ตำหนักคุ้มเมืองของเหมียวอี้สงสัย ถึงได้วางกับดักรอไว้เหมือน นั่งเฝ้ากระต่ายอยู่ใต้ต้นไม้
อีกฝ่ายระวังตัวถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะทำอะไรได้อีก! สิ่งที่ทำให้อับจนปัญญาที่สุดก็คือ เหมียวอี้ควบคุมตลาดสวรรค์อย่างเข้มงวดเกินไป ไม่เหมือนสมาคมร้านค้าตลาดสวรรค์แห่งอื่นที่ร้านค้าของตระกูลผู้มีอำนาจมีอำนาจตัดสินใจ ครั้งก่อนหลังจากที่เทียนหยวนกับฮูหยินงัดข้อกัน ทางตำหนักคุ้มเมืองของเหมียวอี้ก็ใช้แผนการใหม่แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะเสี้ยมยุยงให้ร้านค้าที่ไม่มีใครหนุนหลังกับร้านค้าของตระกูลผู้มีอำนาจกลายเป็นศัตรูกัน ทางนั้นมีข่าวลือแพร่ออกมาตลอด ว่าร้านค้าของตระกูลผู้มีอำนาจพวกนั้นคิดจะโต้ตอบโดยการผูกขาดธุรกิจบางอย่างที่ทำกำไรดี
ฝั่งของเขาตรวจสอบมาแล้ว พบว่าข่าวลือถูกปล่อยออกมาจากตำหนักคุ้มเมือง ส่วนตำหนักคุ้มเมืองก็อาศัยโอกาสนี้จงใจสร้างความวุ่นวาย สร้างช่องทางลับในการรายงานข่าวขึ้นมา สร้างนิสัยแอบรายงานเรื่องชาวบ้านให้กับบรรดาร้านค้าที่ไม่มีใครหนุนหลัง ร้านค้าพวกนั้นจึงตาโตเพื่อผลปะรโยชน์ของตัวเอง ถ้าตลาดสวรรค์พบความผิดปกติใดๆ ก็จะสงสัยก่อนเลยว่าร้านค้าของตระกูลผู้มีอำนาจกำลังจะเล่นตุกติกอะไร และรีบรายงานข่าวอย่างลับๆ ทันที
ภายใต้สถานการณ์ที่มีดวงตาของตลาดสวรรค์คอยจับตามองอยู่ทุกที่ นอกจากร้านค้าของผู้มีอำนาจพวกนั้นไม่กล้าเคลื่อนไหวแล้ว แม้แต่กำลังพลของสี่เขตเมืองก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวผิดปกติเหมือนกัน เมื่อใช้วิธีการนี้ เหมียวอี้ก็สามารถควบคุมทั้งตลาดสวรรค์ได้แล้ว ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดเลยว่าจะเล่นลูกไม้อะไรได้ง่ายๆ ยิ่งคลุกคลีด้วยมากขึ้น ยิ่งทำความรู้จักมากขึ้น ซือหม่าเวิ่นเทียนก็ยอมแพ้ผู้บัญชาการใหญ่หนิวแล้วจริงๆ
ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ การจับตาดูความเคลื่อนไหวของตำหนักคุ้มเมืองก็ได้สร้างความยุ่งยากให้หน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายของตำหนักสวรรค์เป็นอย่างมาก ซือหม่าเวิ่นเทียนจำเป็นต้องสั่งให้ลูกน้องหยุดเคลื่อนไหวชั่วคราว หน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายไม่มีทางไปทำเรื่องประเภทงัดข้อกับเป้าหมาย ไม่อย่างนั้นก็จะหมายความว่าโดนเปิดโปงแล้ว
พอเป็นแบบนี้ หน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายก็ทำได้เพียงเฝ้ารอโอกาสอยู่เงียบๆ ตอนนี้ซือหม่าเวิ่นเทียนจึงอับอาย แต่ซือหม่าเวิ่นเทียนก็ดันไม่สะดวกจะบอกประมุขชิงอย่างเปิดเผยอีกว่า แม้แต่เขาลงมือด้วยตัวเองก็ยังทำไม่สำเร็จ ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นการแสดงให้เห็นว่าตัวเองไร้ความสามารถเกินไป ทำได้เพียงอ้างเหตุผลว่าเหมียวอี้ล่วงเกินคนไว้เยอะเกิน ทั้งยังเคยโดนลอบสังหาร จึงระแวดระวังตัวเป็นพิเศษ
ประมุขชิงพูดไม่ออก ได้แต่จ้องเขาอยู่อย่างนั้น
ซือหม่าเวิ่นเทียนโดนจ้องจนอึดอัดไปทั้งตัว สุดท้ายประมุขชิงก็กล่าวช้าๆ ว่า “ข้าเตรียมจะจูงเขาออกมาเดินเล่นสักหน่อย เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
นี่เป็นการกดดันให้ตัวเองแสดงท่าทีแล้ว จะได้หรือไม่ได้เป็นเรื่องที่พูดแค่ประโยคเดียวเท่านั้น ซือหม่าเวิ่นเทียนกุมหมัดคารวะรับประกันทันที “ฝ่าบาทได้โปรดให้เวลาข้าน้อยสามปี ภายในสามปีนี้จะต้องส่งคนไปอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อได้แน่นอน?”
“สามปี? แค่ยัดคนคนเดียวเข้าไปอยู่ข้างกายผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เล็กๆ ยังต้องให้ทูตซ้ายตรวจการของข้าเอ่ยปากขอเวลาสามปีอีกเหรอ สงสัยหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายจะเจอกับตอแข็งที่จัดการยากแล้วจริงๆ”
“ตอบฝ่าบาท เป็นเพราะตำแหน่งของหนิวโหย่วเต๋อต่ำเกินไป คนที่อยู่ข้างกายมีไม่เยอะ แค่เคลื่อนไหวเพียงนิดเดียวก็สะดุดตาแล้ว แล้วเขาก็ไม่อยากคลุกคลีกับภายนอกด้วย ถึงได้ยิ่งลงมือลำบากขอรับ”
ซือหม่าเวิ่นเทียนย่อมมีเหตุผลมารับมืออยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงนั่งในตำแหน่งนี้อย่างมั่นคงไม่ได้
ประมุขชิงพยักหน้าเบาๆ “ขนาดพวกเจ้ายังชักช้าจัดการไม่ได้เสียที ข้าชักยิ่งสนใจหนิวโหย่วเต๋อนั่นมากขึ้นทุกทีแล้ว ข้าจะจดจำสามปีที่เจ้าบอกเอาไว้!”
“จะไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวังแน่นอนขอรับ!” ซือหม่าเวิ่นเทียนกุมหมัดคารวะ
ภายนอกดูเคารพนับถือ แต่ในใจกลับด่าแม่แล้ว เพื่อผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เล็กๆ คนเดียว ครั้งนี้เขาต้องยอมแลกทุกอย่างแล้วจริงๆ…
เหมียวอี้กำลังนั่งสมาธิอยู่ในห้องสมาธิ ตรงหว่างคิ้วมีภาพมายาเคลื่อนไหว สัญลักษณ์อิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้วเป็นภาพมายาดอกบัวสีทองเก้ากลีบเบ่งบาน
เหมียวอี้ที่ลืมตาอย่างช้าๆ ถอนหายใจยาว เสียเวลาไปสามพันกว่าปี ในที่สุดวรยุทธ์ก็บรรลุถึงระดับบงกชทองขั้นเก้าแล้ว
หลังจากการต่อสู้ของบุคคลระดับสูงในปีนั้น ทำให้อำนาจฝ่ายต่างๆ หยุดทะเลาะกันและอยู่อย่างสงบเสงี่ยม ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้เกิดความสงบสุขสามพันกว่าปีอย่างที่หาพบได้ยาก เขาแทบจะตัดขาดการเข้าสังคมกับทุกคน เอาแต่ตั้งใจฝึกตน เพราะในใจเขารู้อย่างชัดเจน ว่าเป็นไปไม่ได้ที่ความสงบสุขนี้จะคงอยู่ตลอดไป วรยุทธ์ของเขาคือจุดอ่อนที่สามารถทำให้เขาเกิดอันตรายถึงชีวิตได้ สองพันปีก่อนตอนที่ไปส่งเซี่ยโห้วหลงเฉิง เขาก็สังเกตเห็นแล้วว่าวรยุทธ์ของจ้านหรูอี้อยู่ในระดับบงกชรุ้ง
ไม่ใช่แค่จ้านหรูอี้เท่านั้น ที่จวนแม่ทัพภาคตงหัวในตอนนี้ มีผู้บัญชาการใหญ่ที่วรยุทธ์ระดับบงกชรุ้งจำนวนสามคนแล้ว มีข่าวรายงานมาว่าเหยียนซู่กับเกาโย่วก็มีวรยุทธ์ถึงระดับบงกชรุ้งขั้นหนึ่งแล้วเช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะเขาสร้างผลงานที่เรื่องยิงนักพรตบงกชรุ้งตายเอาไว้ กอปรกับเบื้องบนมีปี้เยว่คุมอยู่ เกรงว่าคนพวกนั้นคงจะเริ่มมาหาเรื่องเขาตั้งนานแล้ว
เขารู้อย่างแจ่มแจ้ง ตอนยังไม่เกิดเรื่องขึ้นก็ไม่เท่าไร แต่ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา คนพวกนั้นจะต้องมาหาเรื่องตนแน่นอน ดังนั้นเขาจึงต้องเร่งเพิ่มวรยุทธ์ของตัวเองแข่งกับเวลาเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด
ด้วยเหตุนี้เขาจึงแทบจะเก็บตัวฝึกตนอยู่ตลอดเวลา ทางจวนแม่ทัพภาคตงหัวมีปี้เยว่คอยแบกรับให้ ต่อให้เขาไปไม่บ่อยก็แทบจะไม่เป็นไรเลย ตลาดสวรรค์ก็ถูกควบคุมไว้อย่างดีมาก แทบจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นเลย ทั้งข้างล่างข้างบนสงบมั่นคงมาก นอกจากจะไปนอนค้างกับพวกอนุภรรยาผ่านทางใต้ดินเป็นบางครั้ง นอกนั้นพวกลูกน้องก็แทบจะไม่ได้เห็นหน้าเขาเลย
ในตอนนี้เขาโบกมือเรียกยาแก่นเซียนออกมา แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ระเบิดพลังจิตวิญญาณที่ขาวข้นเหมือนน้ำนมออกมา
หลังจากดูดซับจนหมด เขาก็นับนิ้วคำนวณ ความเร็วในการย่อยยาแก่นเซียนสูงถึงสามร้อยหกสิบเม็ดต่อวันแล้ว แต่ถ้าอยากจะบรรลุถึงระดับบงกชรุ้ง อย่างน้อยก็ต้องใช้ยาแก่นเซียนอีกสี่ร้อยล้านกว่าเม็ด แค่ระยะห่างของขั้นนี้ก็ต้องใช้เวลาสามพันสามร้อยกว่าปีแล้ว
ตอนนี้การจะเพิ่มวรยุทธ์สักขั้นก็ต้องใช้เวลาเป็นพันปีแล้ว เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขื่นขม การเก็บตัวฝึกตนหลายพันปีรอบนี้ เกรงว่าคงจะใช้ชีวิตได้ไม่เต็มอิ่มเท่าเวลาหลายวันของมนุษย์ธรรมดา เวลาของคนในแดนฝึกตนผ่านไปเหมือนความฝันจริงๆ เวลาส่วนใหญ่ล้วนใช้ไปกับอดทนอย่างเงียบๆ เพื่อเพิ่มวรยุทธ์ให้สูงขึ้น
เหมียวอี้หย่อนเท้าสองข้างลงจากเตียง เดินออกมาจากห้องสมาธิ ไม่สะดวกจะเก็บตัวฝึกตนต่ออีก ก่อนหน้านี้เขาได้ข่าวมา ว่าฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋กำลังจะลับมาจากการทดสอบแล้ว ต้องเตรียมการเรื่องของพวกเขา
ไห่ผิงซินกำลังนั่งสมาธิอยู่ในโถงหลักด้านนอก พอได้ยินเสียงประตูหินเปิดออก นางก็หยุดฝึกตนแล้วลุกขึ้นยืน ไม่รู้ว่าเหมียวอี้สั่งอะไรไว้ ถึงอย่างไรนางก็ไม่เคยถามเลย เหมียวอี้จะเอ่ยปากพูดก็ไม่เป็นไร ถ้าไม่เอ่ยปากพูดนางก็ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่
ขณะมองดูภาพมายาดอกบัวสีทองห้ากลีบตรงกว่างคิ้วของนาง เหมียวอี้ก็ยิ้มบางๆ ขนาดนางหนูคนนี้ก็บรรลุระดับบงกชทองขั้นห้าแล้ว
อันที่จริงลูกน้องของเขาในตอนนี้ ขอแค่เป็นคนที่พามาจากพิภพเล็ก ต่อให้เคล็ดวิชาฝึกตนแย่ขนาดไหน วรยุทธ์ต่ำสุดก็คือบงกชทองขั้นสามแล้ว วันเวลาช่างไม่ปรานีใครเลยจริงๆ
พอเดินออกมาจากตำหนักหลัก ไห่ผิงซินก็หันกลับมามองโดยจิตใต้สำนึก เป็นอย่างที่นางคาดไว้ เหยียนซิวโผล่มาจากไหนอีกแล้วก็ไม่รู้ กำลังตามอยู่ข้างหลังเหมียวอี้อย่างเงียบๆ
เหมียวอี้ก็หันกลับมาเช่นกัน ทั้งตำหนักคุ้มเมืองในตอนนี้ คนที่วรยุทธ์สูงสุดเกรงว่าจะเป็นเหยียนซิวแล้ว
เหยียนซิวใช้โคลนซ่อนจิตปิดบังวรยุทธ์ของตัวเองไว้ ตอนนี้นอกจากเหมียวอี้แล้ว ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าเหยียนซิวมีวรยุทธ์เท่าไร ตั้งแต่เหยียนซิวฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง ความเร็วในการฝึกตนก็เรียกได้ว่าก้าวหน้าไวมาก ขนาดอวี้หนูเจียวที่ฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางเหมือนกันก็ยังเทียบไม่ติดเลย แม้แต่ความเร็วในการฝึกตนของเหมียวอี้ก็ยังเทียบกับเหยียนซิวไม่ติดเช่นกัน ตอนนี้เหยียนซิววรยุทธ์สูงกว่าเขาแล้ว บรรลุระดับบงกชรุ้งขั้นหนึ่งตั้งแต่หนึ่งร้อยปีก่อนแล้ว
จากข่าวที่ส่งมาจากทางแดนอเวจี ปราชญ์ผีซือถูเซี่ยวที่ได้รับทรัพยากรจากลัทธิผี ตอนนี้ก็มีวรยุทธ์แค่ระดับบงกชทองขั้นแปดเอง ล้าหลังกว่าเหยียนซิวที่เริ่มฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางทีหลังเช่นกัน
และในตอนนี้ ในบรรดาคนทั้งหมดที่ฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง เหยียนซิวก็เป็นคนเดียวที่ได้ฝึกเคล็ดวิชาภาคดิน เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางภาคดินนี้ แม้แต่อวี้หนูเจียวที่เป็นอนุภรรยาของตัวเอง เหมียวอี้ก็ไม่ได้มอบให้นางด้วยซ้ำ ซือถูเซี่ยวก็ย่อมไม่ได้เช่นกัน ให้เหยียนซิวเพียงแค่คนเดียว ถ้าเหยียนซิวต้องการทรัพยากรฝึกตน เหมียวอี้ก็มีให้อย่างเพียงพอเช่นกัน และไม่ให้เหยียนซิวออกไปทำงานอะไรด้วย ให้เขาฝึกตนอย่างสงบใจเฉยๆ
ในสวนดอกไม้ภายใต้ม่านราตรี หลังจากเดินเล่นช้าๆ อยู่ไม่กี่รอบ หยางชิ่งกับหยางเจาชิงก็มาคำนับพร้อมกัน
เหมียวอี้หันกลับมาพูดกับไห่ผิงซินว่า “นางหนู ตรงนี้ไม่มีเรื่องของเจ้าแล้ว เจ้ากลับไปฝึกตนเถอะ”
ไห่ผิงซินเบะปากแล้วหันหน้าเดินจากไป ทำท่าเหมือนบอกว่า ‘ข้าก็ไม่อยากอยู่กับเจ้าเหมือนกัน’ ในใจกลับพึมพำว่า จะพูดคุยเรื่องน่าอับอายกันจนต้องหลบเลี่ยงข้าอีกแล้ว เชอะ!
หยางชิ่งเดินตามอยู่ข้างๆ พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ครั้งนี้นายท่านเก็บตัวฝึกตนสิบกว่าปีโดยไม่ได้ออกมาเลย”
เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ก็ช่วยไม่ได้ จ้านหรูอี้ เหยียนซู่และเกาโย่วต่างก็บรรลุระดับบงกชรุ้งหมดแล้ว สักวันหนึ่งพวกเขาก็ต้องมาหาเรื่องข้า ข้าต้องเร่งทำเวลา”
หยางชิ่งพยักหน้าเบาๆ แล้วกล่าวอย่างลังเลว่า “ตอนนี้เทียบกับเมื่อก่อนไม่ได้ เมื่อก่อนอำนาจท้องถิ่นควบคุมตลาดสวรรค์ หลังจากวรยุทธ์ของผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์สูงถึงระดับบงกชรุ้งแล้ว ส่วนใหญ่ก็ต้องย้ายกลับไปรับตำแหน่งที่อาณาเขตตัวเอง ตำแหน่งที่รายได้เยอะแบบนี้ก็จะเปลี่ยนให้นักพรตบงกชทองคนอื่นมาทำแทน เป็นไปไม่ได้ที่คนคนเดียวจะครอบครองผลประโยชน์ไปทั้งหมด ต้องให้คนในพรรคพวกเดียวกันมาผลัดกันรับตำแหน่ง แต่ตอนนี้ตลาดสวรรค์แยกระบบออกมาจากอำนาจท้องถิ่นแล้ว สามารถเลื่อนตำแหน่งและโยกย้ายเองได้ทั้งระบบ พอวรยุทธ์ของพวกเขาถึงระดับบงกชรุ้ง ก็ไม่ต้องย้ายออกไป ในภายหลังก็จะมีโอกาสคบค้ากับนายท่านเยอะขึ้นมาก”
เหมียวอี้โบกมือ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว เปลี่ยนประเด็นสนทนาแล้ว “เวยเวยยังสบายดีใช่มั้ย ไม่ได้กลับไปหานางหลายปีแล้ว”
“สบายดีมากขอรับ! เพียงแต่คิดถึงนายท่านมาก ก่อนที่จะมาเวยเวยก็บอกข้าน้อยเอาไว้ ว่าให้ข้าน้อยตั้งใจทำงานอยู่ข้างกายนายท่าน” หยางชิ่งตอบ
เหมียวอี้ไม่เชื่อหรอกว่าฉินเวยเวยจะพูดอะไรแบบนี้ได้ ถามว่า “เจ้าเตรียมจะกลับไปพักหลายๆ ปีไม่ใช่เหรอ? ทำไมกลับมาเร็วขนาดนี้ล่ะ?”
“เจาชิงส่งข่าวมาหาข้า ข้าก็เลยขอคำแนะนำฮูหยิน ฮูหยินก็เลยส่งกูกูน้อยไปรับข้าน้อยมาที่นี่ขอรับ” หยางชิ่งกล่าว
“อ้อ!” เหมียวอี้หันกลับมามองหยางเจาชิง “มีเรื่องอะไรเหรอ?”
“จากเบาะแสต่างๆ ในปีนั้น ข้าน้อยสงสัยมาตลอดว่ามีคนจงใจจะเข้าใกล้นายท่าน ไม่รู้ว่ามีจุดประสงค์อะไร เคยหยั่งเชิงหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่ได้ผล ถึงขั้นจ้างกำลังพลมาช่วยจับกุมก็ยังไม่ได้เรื่องอะไรเช่นกัน ตอนหลังก็เลยวางกับดัก แต่อีกฝ่ายระวังตัวดีมาก พอสังเกตได้ก็ปลีกตัวหนีไป พวกเขาลงมือได้อย่างไม่ธรรมดา ข้าน้อยวางกับดักติดต่อกันแต่ไม่ได้อะไรเลย เพิ่งจะรู้ตัวว่าอีกฝ่ายก็สังเกตเห็นแล้วเหมือนกัน แหวกหญ้าให้งูตื่นแล้ว หลังจากเงียบไปหลายปีขนาดนี้ จู่ๆ ก็รู้สึกได้ว่ามือนั้นเหมือนจะโผล่มาอีกแล้ว ข้าน้อยถึงได้รีบกลับมาจะดูว่าจะสามารถกดดันให้อีกฝ่ายปรากฏตัวได้มั้ย” หยางชิ่งกล่าว
บทที่ 1328 เลือกที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทอีกแล้ว
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในปีนั้นเหมียวอี้ก็เคยได้ยินเขาเอ่ยถึงเรื่องนี้เหมือนกัน จึงหรี่ตาถามว่า “โผล่มาอีกแล้วเหรอ เป็นใครกันแน่ที่ใช้ความพยายามขนาดนี้เพื่อจะเข้าใกล้ข้า แล้วทำไมต้องเข้าใกล้ข้าด้วย?”
เขาถึงขั้นสงสัยว่ากำลังจะมีคนลอบสังหารเขาอีกแล้วรึเปล่า แต่จากการวิเคราะห์ของหยางชิ่งในปีนั้น ก็ไม่น่าเป็นไปได้ที่จะมีคนคิดลอบสังหารเขาอีก เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนวรยุทธ์ต่ำกว่าระดับบงกชรุ้งคิดโจมตีตำหนักคุ้มเมือง มิหนำซ้ำความสามารถของเหมียวอี้ก็ไม่ได้อ่อนด้อย ส่วนคนที่วรยุทธ์สูง ถ้าคิดจะลอบสังหารก็สามารถถือโอกาสลงมือตอนเหมียวอี้โผล่หน้าออกมาได้เลย ไม่จำเป็นต้องทำลับๆ ล่อๆ ใช้ความพยายามมากขนาดนี้เพื่อเข้ามาสนิทสนม ทั้งยังแหวกหญ้าให้งูตื่นได้ง่ายๆ ด้วย
ในเมื่อไม่ได้อยากจะลอบสังหารเขา เขาที่ตั้งใจฝึกตนมาตลอดจึงขี้เกียจจะสนใจ จึงส่งต่อให้หยางชิ่งไปจัดการแทน เขารู้ว่าตัวเองจัดการได้ไม่เหมาะสมเท่าหยางชิ่ง แต่ในมือหยางชิ่งก็ไม่มีอำนาจทางทหารใดๆ ตอนนี้เพียงรับหน้าที่ทำงานด้านข่าวกรองที่ตำหนักคุ้มเมือง ไม่มีอำนาจจะระดมโยกย้ายกำลังพล ไม่ว่าจะระดมกำลังพลอะไรก็ต้องให้หยางเจาชิงถือคำสั่งของเหมียวอี้ออกมา เท่ากับเหมียวอี้แยกอำนาจทางทหารออกจากหยางชิ่งโดยสิ้นเชิงแล้ว
หยางชิ่งกล่าวว่า “ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอนขอรับ ช่วงนี้ข้าลองครุ่นคิดดู เกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับคนของตำหนักสวรรค์”
“ทำไมคิดอย่างนั้น?” เหมียวอี้แปลกใจ
หยางชิ่งอธิบายว่า “อันดับแรกตัดเรื่องลอบสังหารนายท่านไปได้เลย ในเมื่อไม่ใช่การลอบสังหารนายท่าน การที่คนทั่วไปจะมาเข้าใกล้นายท่านก็ไม่มีความหมายอะไร คนทั่วไปที่อยากเข้าใกล้นายท่านก็เพียงเพราะอำนาจของนายท่านยังมีผลที่ตลาดสวรรค์เท่านั้น หรือไม่ก็เพราะมีธุระอะไรจะติดต่อนายท่าน ถ้าอยากจะจัดการธุระอะไรที่ตลาดสวรรค์หรืออยากจะติดต่อนายท่าน ก็สามารถมาหานายท่านโดยตรงได้เลย ถ้าไม่สะดวกจะมาหาแบบเปิดเผย ก็มาแบบลับๆ ก็ได้ มาเสียเวลาทำลับๆ ล่อๆ แบบนี้ไม่มีความหมาย ถ้าไม่ได้มาหานายท่านเพราะเรื่องที่กล่าวมาข้างต้น นั่นก็แปลว่าอยากจะเข้าใกล้นายท่านเฉยๆ แต่การพบกันครั้งสองครั้งเพื่อเรื่องที่เป็นประโยชน์ ก็ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เช่นกัน ดังนั้นจึงไม่น่าจะเข้าใกล้นายท่านเพื่อจะเจอกันแค่ครั้งสองครั้ง แต่อยากจะอยู่ใกล้ชิดนายท่านในระยะยาว เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเป้าหมายของอีกฝ่ายคือการเข้าตำหนักคุ้มเมือง แต่เงื่อนไขแรกของการเข้าตำหนักคุ้มเมืองก็คือต้องมีสถานะตำหนักสวรรค์ ถ้าไม่มีสถานะตำหนักสวรรค์ก็ไม่มีทางที่จะอยู่ตำหนักคุ้มเมืองได้นาน นายท่านไม่มีทางเสี่ยงอันตรายง่ายๆ เพื่อแก้ไขสถานะตำหนักสวรรค์ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องและรับเข้ามาในตำหนักคุ้มเมือง ประการต่อมา ในขณะที่พวกเราควบคุมตลาดสวรรค์ไว้เข้มงวดแบบนี้ แต่อีกฝ่ายยังถอนกำลังออกไปได้อย่างเงียบเชียบ จะเห็นได้ว่าไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทำได้ จะต้องเข้าใจสภาพกำลังพลตำหนักสวรรค์ที่เฝ้าคุมที่นี่และสถานการณ์ของสมาคมร้านค้าตลาดสวรรค์เป็นอย่างดีสามารถสังเกตความเคลื่อนไหวของพวกเราได้ตลอดเวลา ถึงได้ไหวตัวทันและถอนตัวออกไป นี่คือเรื่องที่คนทั่วไปจะทำได้เหรอ? และข้าก็วางกับดักไว้แน่นหนา แต่อีกฝ่ายก็ยังปลีกตัวออกไปได้โดยไม่ทิ้งร่องรอย แบบนี้แปลว่าอีกฝ่ายช่ำชองการทำเรื่องประเภทนี้มาก ประสบการณ์โชกโชนที่สุด ไม่ได้พุ่งเป้ามาที่นายท่านเป็นครั้งแรกแน่นอน คนที่มีความสามารถขนาดนี้ได้จะต้องมีอำนาจอิทธิพลไม่ใช่น้อยๆ พอเชื่อมโยงกับการวินิจฉัยก่อนหน้านี้ ก็มีความเป็นไปได้เก้าในสิบว่าจะเป็นคนของตำหนักสวรรค์ ข้าน้อยสงสัยว่าจะมีอำนาจฝั่งไหนของตำหนักสวรรค์ที่คิดอยากจะจับตาดูนายท่านหรือเปล่า!”
“เฝ้าจับตาดูข้าเหรอ? ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เล็กๆ อย่างข้า จะใช้ความพยายามากขนาดนี้เพื่อเฝ้าจับตาดูข้าทำไม?” เหมียวอี้รู้สึกตกตะลึงในใจ เขาสงสัยว่าฝั่งตัวเองทำเรื่องอะไรที่เผยพิรุธแล้วหรือเปล่า
เห็นได้ชัดว่าหยางชิ่งเดาความคิดเขาออก พยักหน้าเบาๆ พร้อมบอกว่า “ข้าน้อยกังวลเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ก็รู้สึกว่ามีเลศนัย ถ้าเรื่องลับๆ ของพวกเราเปิดเผยแล้วจริงๆ ถ้าอีกฝ่ายไม่มาบีบเราโดยตรง ก็ลงมือจับไปสืบสวนโดยตรงได้เลย ยิ่งไม่มีทางที่จะพุ่งเป้ามาที่นายท่านคนเดียว เกรงว่าคนที่เกี่ยวข้องกับนายท่านก็จะถูกเฝ้าสังเกตการณ์เหมือนกัน แต่คนอื่นไม่มีความผิดปกติใดๆ เลย”
เหมียวอี้สีหน้าเงียบขรึม กล่าวเน้นย้ำว่า “เป็นใครกันแน่!”
“ถ้าไม่สืบเรื่องนี้ให้ชัดเจน เกรงว่าพวกเราคงจะกินอิ่มนอนหลับได้ยาก ดังนั้นข้าน้อยคิดว่า ครั้งนี้จะต้องทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง ถ้ามีอะไรที่ไม่คาดคิดขึ้นมา พวกเราจะได้เตรียมพร้อมปลีกตัวได้สะดวก” หยางชิ่งกล่าว
เหมียวอี้พยักหน้าช้าๆ แล้วหันกลับมาอีก “เจ้าเตรียมจะทำยังไง?”
หยางชิ่งตอบว่า “อีกฝ่ายฉลาดกะล่อนเกินไป ถ้าประมือกันลับๆ ก็มีแต่จะทำให้ตัวเองไร้สมอง ศัตรูอยู่ในที่ลับเราอยู่ในที่แจ้ง พวกเราเสียเปรียบเกินไปแล้ว ก่อนอื่นเราต้องหาทางทำให้ศัตรูอยู่ในที่แจ้งเสียก่อน ถ้ามองเห็นทุกการกระทำของอีกฝ่ายชัดเจน พวกเราถึงจะรับมือได้สะดวก ไม่สู้ยอมถอยก่อนเพื่อจะรุก!”
“ทำไมใช้วิธีการยอมถอยเพื่อจะรุกได้?” เหมียวอี้ถาม
หยางชิ่งตอบว่า “ข้าน้อยคิดทบทวนความผิดพลาดของตัวเองก่อนหน้านี้ พบว่าการที่พวกเราป้องกันแน่นหนาเกินไปจนไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายก็อาจจะไม่ใช่เรื่องดี ไม่สู้ให้โอกาสอีกฝ่ายเข้าใกล้นายท่านสักครั้ง ให้คู่ต่อสู้เป็นฝ่ายกระโดดออกมาเอง เพียงแต่ก่อนหน้านี้นายท่านไม่เคยยอมปรากฏตัวง่ายๆ เลย จู่ๆ ปรากฏตัวก็อาจจะทำให้คนสงสัย แต่ตอนนี้กำลังมีโอกาสดี ไม่ว่าจะเป็นด้านเหตุผลหรือด้านความรู้สึกก็ฟังขึ้น สามารถทำได้อย่างไร้ช่องโหว่ ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ผ่านการทดสอบกลับมาแล้ว กำลังจะขึ้นตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ ทุกคนจัดงานเลี้ยงฉลองเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ นายท่านเป็นผู้บังคับบัญชาเก่าของพวกเขา จะไม่โผล่ไปแสดงความยินดีได้ยังไง?”
เหมียวอี้ครุ่นคิดพลางพยักหน้า “ไม่เลว!”
หยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ พลันกล่าวว่า “แบบนี้จะเกิดอันตรายอะไรรึเปล่า? ถ้ามีคนต้องการจะลอบสังหารนายทท่านจริงๆ จะทำยังไง?”
เหยียนซิวมองไปที่หยางชิ่งเงียบๆ
หยางชิ่งตอบว่า “เรื่องนี้ง่ายมาก ตรวจสอยสถานที่จัดงานอย่างเข้มงวดล่วงหน้าหนึ่งวัน ผู้ร่วมงานที่วรยุทธ์เกินระดับบงกชรุ้งห้ามเข้ามา เหลือไว้เพียงนักพรตบงกชทองจำนวนหนึ่ง อาศัยความสามารถที่นายท่านโจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านก็ยังไม่เพียงพอให้พวกเขากลัว ถึงอย่างไรในสถานที่นั้นก็ยังมีคนอีกมาก ทำแบบนี้ยังมีประโยชน์อีกอย่าง ไม่ต้องประกาศว่านายท่านจะมาร่วมงานเลี้ยง แต่ฝ่ายตรงข้ามจะเดาออกแน่นอนว่านายท่านจะไป พวกเราจะได้ไม่ต้องประกาศล่วงหน้าจนทำให้คนสงสัย”
“ระหว่างทางไปกลับก็อันตรายเหมือนกัน ตามความเห็นของขา ไม่สู้จัดงานที่ตำหนักคุ้มเมืองก็สิ้นเรื่องแล้ว” หยางเจาชิงกล่าว
แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะกล่าวอย่างเด็ดขาดว่า “ไม่ต้องเถียงกันแล้ว จัดที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทก็สิ้นเรื่อง!” ดวงตาฉายแววเย็นเยียบ บนตัวเผยกลิ่นอายสังหารรางๆ
หยางเจาชิงกับหยางชิ่งพูดไม่ออก ครั้งก่อนสังหารจนเลือดไหลนองเป็นแม่น้ำที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท ครั้งนี้เลือกที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทอีกแล้ว…
หลังจากตัดสินใจเรื่องนี้แล้ว หยางชิ่งก็บอกอีกว่า “นายท่าน มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ไม่รู้ว่าควรจะพูดดีมั้ย”
เหมียวอี้ก้าวขึ้นมาข้างหน้าช้าๆ “ว่ามาเถอะ”
หยางชิ่งลังเลนิดหน่อย “สงเวย ฝูชิง อิงอู๋ตี๋ หงเทียนไปเข้าร่วมการทดสอบด้วยกัน นึกไม่ถึงว่าทั้งหมดจะผ่านการทดสอบ กำลังจะได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เทียบเท่ากับนายท่านแล้ว สี่คนนั้นต่างคนต่างมีลูกน้อง หัวเรี่ยวหัวแรงของพวกเขาที่ทะเลดาวนักษัตรก้มาที่นี่แทบจะทั้งหมด สิ่งที่ใช้ผูกมัดพวกเขาไม่ค่อยได้ผลแล้ว ถึงแม้นายท่านจะบีบจุดอ่อนของพวกเขาอยู่ แต่พวกเขาก็รู้จุดอ่อนของนายท่านเหมือนกัน นายท่านทำอะไรพวกเขาไม่ได้ หากในภายหลังคิดจะเมินเฉยนายท่าน…”
เหมียวอี้กล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “เป็นพี่น้องร่วมสาบานกันหนึ่งครั้ง ข้าเมตตาและรักษาสัจจะเต็มที่แล้ว จะเลือกยังไงก็ตามใจพวกเขา”
มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เขายังไม่ได้บอกหยางชิ่ง ว่าเขาติดต่อกับเทพประจำดาวฟ้าเถาะไว้แล้ว เทพประจำดาวฟ้าเถาะยังมีอิทธิพลต่อตลาดสวรรค์ในอาณาเขตของตัวเองอยู่บ้าง หัวหน้าภาคตลาดสวรรค์บางคนก็เป็นคนของเขาด้วยซ้ำ แม่ทัพภาคตลาดสวรรค์ก็มีคนของเขาเหมือนกัน หลายปีมานี้เบื้องล่างมีตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ว่างพอดี เตรียมตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ให้สักสี่ตำแหน่งก็ไม่มีปัญหา
เรื่องบางเรื่องจะอยู่ได้นานหรือไม่ เหมียวอี้ก็กำลังคิดจะทดลองเช่นกัน
เป็นอย่างที่เขาบอก เขาช่วยพวกสงเวยให้ผ่านการทดสอบที่แดนอเวจีและช่วยช่วงชิงตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ เท่านี้ก็นับว่าเมตตาเต็มที่แล้ว เรียกได้ว่าไม่เสียแรงที่เป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน ส่วนที่เหลือ ก็ต้องดูแล้วว่าพวกสงเวยจะเลือกอย่างไร เขาเป็นฝ่ายให้อิสระในการเลือกกับสี่คนนั้นก่อน ถ้าคิดว่าการที่ทุกคนเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันในปีนั้นไม่สำคัญ…ถ้าเจ้าไร้คุณธรรมก็อย่ามาโทษว่าข้าไร้สัจจะ คนของทะเลดาวนักษัตรมาเยอะเกินไป บังเอิญว่าคนที่รู้ภูมิหลังของเหมียวอี้ก็มีเยอะเกินไปเช่นกัน เขาไม่ถือสาที่จะทำให้คนพวกนี้หายไปโดยสิ้นเชิง
อาศัยกำลังพลของทะเลดาวนักษัตรมาทำให้ตำแหน่งของตัวเองที่ตลาดสวรรค์มั่นคง ถ้าจะพลิกมือกำจัดทิ้อีก บางที่อาจจะเป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘ข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง’ แต่เหมียวอี้เดินมาถึงทุกวันนี้ได้เพราะไม่มีทางเลือก ข้ามอบสิทธิ์ในการเลือกให้พวกสงเวยแล้ว…
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็ผ่านการทดสอบกลับมาได้อย่างราบรื่น นอกเมืองมีคนไปต้อนรับไม่น้อย มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานก็อยู่ด้วยเช่นกัน หยางเจาชิงที่ตำหนักคุ้มเมืองก็มาแล้ว
ลูกน้องที่ทั้งสองพามาจากทะเลดาวนักษัตรก็ยิ่งตื่นเต้นดีใจไม่หยุด ประมุขถิ่นสี่คนกำลังจะได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์แล้ว น้ำในแม่น้ำใหญ่เพิ่มขึ้น น้ำในคลองก็เต็ม นี่คือเรื่องธรรมชาตอ
เมื่อทักทายปราศรัยอยู่นอกเมืองครู่หนึ่ง ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็ตามหยางเจาชิงไปรายงานผลการปฏิบัติงานที่ตำหนักคุ้มเมือง ถ้าเบื้องบนยังไม่แต่งตั้งให้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ สองคนนี้ก็ยังเป็นลูกน้องของเหมียวอี้อยู่
สองคนที่ผ่านการทดสอบมาได้อย่างราบรื่นรู้สึกตื่นเต้นดีใจมาก ใครจะคิดว่าพอเจอหน้าเหมียวอี้ก็ได้ยินข่าวที่ไม่ดีทันที
เรื่องที่มีคนอยากเข้าใกล้เหมียวอี้ ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋รู้อยู่แล้ว ทั้งสองเคยระดมกำลังพลไปสืบเรื่องนี้ตามคำแนะนำของหยางชิ่ง เพียงแต่สืบไม่เจอเบาะแสอะไร เมื่อรู้ว่ามือมืดนั่นโผล่มาอีกแล้ว ทั้งสองก็รู้สึกหนาวสั่นเช่นกัน ทั้งสองไม่อยากให้เกิดเรื่องขึ้นกับเหมียวอี้ ทุกคนถูกผูกมัดอยู่ด้วยกัน ถ้าภูมิหลังของเหมียวอี้ถูกปิดโปงขึ้นมา ก็ไม่เป็นผลดีกับกับทั้งสองที่เพิ่งไต่เต้าขึ้นตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่
หลังจากปรึกษากันแล้ว ทั้งสองก็ออกจากตำหนักคุ้มเมืองไปวางกำลังจัดการเรื่องนี้
จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก ในห้องทำงาน กลิ่นสุราอบอวล สุราอาหารวางอยู่บนโต๊ะทำงาน สวีถังหรานนั่งดื่มเพียงลำพัง สุราศักดิ์สิทธิ์เข้าปากจอกแล้วจอกเล่า ดื่มสุราจนเมาหมายแล้ว
เสวี่ยหลิงหลงที่เดินเข้ามาในห้องทำงานยกแขนเสื้อขึ้นบังจมูกโดยอัตโนมัติ นางขมวดคิ้วเล็กน้อย พอเห็นท่าทางของสวีถังหรานก็รู้แล้วว่าสวีถังหรานจงใจจะเมามาย ไม่อย่างนั้นถ้าร่ายอิทธิฤทธิ์กำจัดฤทธิ์สุรา ก็คงไม่ดื่มจนเมามายขนาดนี้
“ฮูหยินมาแล้วเหรอ มาเถอะ ดื่มสุราเป็นเพื่อนข้าหน่อย” สวีถังหรานที่ใบหน้าแดงก่ำและเมาเลอะเลือนชูจอกสุราขึ้นพร้อมหัวเราะโง่ๆ ก่อนจะดื่มย้อมใจอีกอึก
เสวี่ยหลิงหลงก้าวขึ้นมาแย่งกาสุราและจอกสุราวางไว้ด้านข้าง แล้วถามว่า “หลายวันมานี้เหมือนนายท่านจะอารมณ์ไม่ดีเลยนะคะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึเปล่า?”
สวีถังหรานเอนศีรษะพิงบนเก้าอี้ แกว่งแขนไปมาพร้อมบอกว่า “เหลวไหล ใครบอกว่าข้าอารมณ์ไม่ดี ข้าอารมณ์ดีมาก ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋กำลังจะได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่แล้ว ข้าดีใจมากๆ จะอารมณ์ไม่ดีได้ยังไงล่ะ ข้าแค่รู้สึกไม่ยุติธรรมแทนมู่หรงซิงหัว เฮ้อ! เจ้าสองคนนั้นก็ใจกล้าจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะถ่อไปเข้าร่วมการทดสอบที่แดนอเวจี ทั้งยังทำสำเร็จอีกด้วย มู่หรงซิงหัวเป็นผู้บัญชาการของที่นี่มานานขนาดขนาดนี้ ผู้บัญชาการหนิวกลายเป็นผู้บัญชาการใหญ่แล้ว ตอนนี้ผู้บัญชาการฝูกับผู้บัญชาการอิงก็กลายเป็นผู้บัญชาการใหญ่แล้วเหมือนกัน แต่ละคนมาช้ากว่าทั้งนั้น แต่ก็ไต่เต้านำหน้ามู่หรงซิงหัวไปแล้ว…”
หอกลิ่นสวรรค์ ในโถงฝึกซ้อม ท่านแม่สวีโบกไม้ขนไก่ในมือแรงขึ้นแล้ว เดินผ่านอยู่ระหว่างกลุ่มผู้หญิงสิบกว่าคนที่กำลังเต้นระบำ ถ้ามองเห็นอะไรขัดตานิดเดียวก็ใช้ไม้ขนไก่ตีทันที ลงมือค่อนข้างหนัก ปากก็บ่นด่าไม่หยุด
“…ทุกคนตั้งใจฝึกให้ข้าหน่อย เฟยหงนั่นมีอะไรดีนักหนา ก็แค่มีมารดาบุญธรรมที่มีคนโอบอุ้ม ถ้าพูดถึงความสามารถจริงๆ ดาวเด่นที่ข้าฝึกในปีนั้นเหนือกว่าตั้งเยอะ พวกพ่อค้าตาถั่ว ไม่น่าเชื่อว่าจะให้หอกลิ่นสวรรค์ของข้าไปเป็นตัวประกอบให้นาง ถุย…”
ข่าวที่กลุ่มพ่อค้าต้องการจะจัดงานเลี้ยงที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทเพื่อฉลองให้ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋แพร่ออกไปแล้ว ดูจากภาพเหตุการณ์ที่ตรวจค้นป้องกันล่วงหน้า คนที่ตาไม่บอดก็ล้วนดูออก ว่าผู้บัญชาการใหญ่หนิวโหย่วเต๋อจะต้องให้เกียรติมาร่วมงานด้วยตัวเองแน่ ดังนั้นพวกพ่อค้าจึงเหมาจ้างคณะระบำที่มีชื่อเสียงของตลาดสวรรค์มาผลัดกันขึ้นเวทีแสดง แต่เฟยหงที่เป็นดาวเด่นของหอมงกุฎงามได้เป็นตัวแสดงหลัก คณะระบำอื่นๆ เป็นตัวแสดงประกอบ ทำให้ท่านแม่สวีโมโหมาก นึกถึงในปีนั้นที่เฟยหงมีสิทธิ์แค่เป็นตัวประกอบให้หอกลิ่นสวรรค์ของนาง แต่จนใจที่ตอนนี้ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว แต่นางก็ยังฝึกคนที่สามารถขึ้นสังเวียนปะทะกับเฟยหงไม่ได้สักคนเลย
บทที่ 1329 ข้ามาดูเอาสนุกเฉยๆ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เพียงแต่ไม่มีข่าวใดที่จะพิสูจน์ได้ว่าผู้บัญชาการใหญ่หนิวจะไปที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท เป็นแค่การคาดเดาของทุกคนเท่านั้น กอปรกับการตรวจค้นอย่างเข้มงวด ไม่ให้นักพรตที่วรยุทธ์เกินระดับบงกชทองเข้าร่วมงานเลี้ยง อีกทั้งยังเป็นงานมงคลของลูกน้องตัวเอง เบาะแสต่างๆ แสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่าเป็นไปได้สูงที่ผู้บัญชาการใหญ่หนิวจะไปร่วมงานเลี้ยง
ก็เพราะด้วยเหตุนี้เอง ถึงได้ทำให้ท่านแม่สวียิ่งโมโห งานเลี้ยงที่บุคคลระดับสูงสุดของตลาดสวรรค์จะไปเข้าร่วม แต่ไม่น่าเชื่อว่าหอกลิ่นสวรรค์ของนางจะเป็นได้เพียงตัวประกอบ และสาเหตุที่ทำให้หอของนางตกต่ำกลายเป็นตัวประกอบก็คือเหมียวอี้กับสวีถังหราน จะว่าไปแล้วนางก็สนิทสนมกับสองคนนี้อยู่บ้างเหมือนกัน แต่ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ดูแลนางเลยสักนิด ตามหลักการแล้วควรจะช่วยนางข่มหอมงกุฎงามไว้สิถึงจะถูก นางจึงรู้สึกโมโหมาก
แน่นอน นี่เป็นเพียงความคิดเพียงฝ่ายเดียวของนางเท่านั้น แต่สำหรับเหมียวอี้กับสวีถังหรานแล้ว นอกจากจะกินอิ่มแล้วไม่มีงานทำเท่านั้นแหละ จะให้ช่วยข่มหอนางโลมเพื่อช่วยหอนางโลมอีกแห่งงั้นเหรอ? อย่างมากถ้าท่านแม่สวีปั้นดาวเด่นขึ้นมาได้ แล้วให้ช่วยคุ้มครองดาวเด่นให้ก็ยังพอไหว ด้วยฐานะตำแหน่งอย่างพวกเขา จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการแข่งขันระหว่างหอนางโลมได้อย่างไร แบบนั้นคงสมองมีปัญหาแล้ว
ทว่าเรื่องนี้ก็พอจะเข้าใจได้ ความคิดที่เกิดจากจุดยืนของตัวเองคนเดียวมักจะเห็นแก่ตัวเสมอ
ก่อนจะถึงตอนเย็นของวันถัดมา บรรดาพ่อค้าของเขตเมืองตะวันออกกับเขตเมืองใต้ก็ทยอยกันมาร่วมงานเลี้ยง ไม่ใช่ว่าผู้จัดการร้านของทุกร้านจะมาร่วมงานได้หมด ถ้าให้ทุกร้านของสองเขตเมืองมาร่วมงานด้วยทั้งหมด ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทก็คงจะแน่นจนหาที่นั่งไม่ได้ ร้านที่ค่อนข้างใหญ่และมีหน้ามีตาหน่อยถึงจะมาเข้าร่วมงานเลี้ยงได้
รวมๆ แล้วมีคนมาเข้าร่วมงานเลี้ยงหลายพันคน อวิ๋นจือชิวก็บังเอิญได้อยู่ระดับบนเช่นกัน ขนาดของร้านค้านางอาจจะยังไม่ใหญ่พอ แต่ก็มีเครือข่ายเส้นสายอยู่ที่เขตเมืองตะวันออกพอสมควร กอปรกับสิ่งที่เรียกว่า ‘ความสัมพันธ์’ กับผู้บัญชาการใหญ่หนิวในปีนั้น ที่เขตเมืองตะวันออกแห่งนี้นางก็นับว่ามีหน้ามีตาพอสมควร
ช่างไม้กับช่างหินมาส่งนาง แค่กลับถูกทหารยามกันไว้ตรงประตูแล้ว ปล่อยให้อวิ๋นจือชิวเข้าไปคนเดียวเท่านั้น ไม่ได้รับการยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ และทุกคนก็ไม่สามารถพาผู้ติดตามเข้ามาได้เช่นกัน พ่อค้าแม่ค้ากลุ่มใหญ่พูดคุยกันอยู่บริเวณประตู อวิ๋นจือชิวกำลังยิ้มอย่างเป็นกันเองอยู่ท่ามกลางคนกลุ่มนั้น ราวกับรู้จักทุกคนดีมาก
นี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้การค้าของนางมีเอกลักษณ์ บ้านไหนบ้างที่ไม่มีผู้หญิง ไม่ว่าบ้านไหนก็มีผู้หญิงเยอะกว่าทั้งนั้น และผู้หญิงก็ค่อนข้างสนใจสิ่งของประเภทเครื่องประดับด้วย เมื่อไปมาหาสู่กันนานๆ ก็ย่อมรู้จักร้านค้าส่วนใหญ่หมดแล้ว
ผ่านไปไม่นาน หวงฝู่จวินโหรวกับนางก็เจอกันท่ามกลางคนกลุ่มนั้น ทั้งสองยืนพูดคุยหัวเราะอยู่ด้วยกัน ดึงดูดสายตาของคนจำนวนไม่น้อยเลย คนหนึ่งก็หน้าตาสวยโดดเด่นกว่าใคร คนหนึ่งก็มีรูปร่างยั่วราคะแบบที่ยากจะปิดบัง ทั้งสองเป็นผู้หญิงประเภทที่ดึงดูดสายตาผู้ชายได้ง่าย
ถึงแม้ร้านค้าสมาคมวีรชนจะไม่ได้ตั้งอยู่บนเขตเมืองตะวันออกและเขตเมืองใต้ แต่ร้านค้าที่อยู่ระดับบนของตลาดสวรรค์ก็ยังมาได้ ถึงอย่างไรฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็กำลังจะได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์แล้ว ไม่ว่าทั้งสองจะไปรับตำแหน่งที่ไหน แต่ร้านค้าระดับบนก็มีสาขาอยู่แทบจะทุกที่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามาเพราะอะไร
เมื่อโคมไฟสว่าง รอจนกระทั้งบรรดาพ่อค้าแม่ค้ามากันเยอะพอสมควร ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็นำคนมาปรากฏตัวพร้อมกันแล้ว
“ผู้บัญชาการฝู ผู้บัญชาการอิง”
“สามารถไปมาได้อย่างอิสระที่แดนอเวจีและได้คะแนนดี ผู้บัญชาการทั้งสองท่านช่างกล้าหาญ!”
“ยินดีกับผู้บัญชาการทั้งสองท่านที่กำลังจะได้เลื่อนตำแหน่ง ร้านค้าของเขตเมืองตะวันออกและใต้รู้สึกเป็นเกียรติ!”
คำพูดสรรเสริญเยินยอ คำพูดตามมารยาท คำพูดประจบสอพลอไหลกลิ้งมาราวกับกระแสน้ำ
ส่วนฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็อารมณ์สดชื่นแจ่มใสเช่นกันเช่นกัน กุมหมัดคารวะขอบคุณรอบวง
หลังจากกลุ่มคนสนทนาปราศัยกันแล้ว ผู้จัดการเซียวฉีเจินที่รับช่วงต่อภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทจากโจวหรานก็เชิญให้ทุกคนหลีกทาง แล้วยื่นมือเชิญผู้บัญชาการทั้งสองคน “ผู้บัญชาการทั้งสอง เชิญด้านใน!”
“เชิญ!” กลุ่มคนที่หลีกทางให้ก็กล่าวเชิญเช่นกัน
ฝูชิงยกมือขึ้นกดเล็กน้อย “ทุกท่านรอสักครู่ ยังมีอีกคนที่จะมาด้วย”
“ไม่ทราบว่ายังจะมีใครมาอีก?” เซียวฉีเจินถามหยั่งเชิง
ผู้บัญชาการทั้งสองยิ้มโดยไม่ตอบอะไร เพียงยืนรออยู่ตรงประตู ทุกคนส่งสายตาให้กันอย่างเงียบๆ ไม่ต้องบอกก็รู้แล้ว คนที่ทำให้ผู้บัญชาการทั้งสองยืนรอได้ จะต้องเป็นท่านนั้นที่ตำหนักคุ้มเมืองแน่นอน
ถึงแม้จะไม่ใช่สิ่งที่เหนือความคาดหมาย แต่พอนึกขึ้นได้ว่ามาจัดงานที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทอีก มีบทเรียนก่อนหน้านี้แล้ว กลุ่มผู้จัดการร้านก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น กังวลว่างานเลี้ยงดีๆ จะไม่มีอยู่จริง ท่านนั้นเรียกได้ว่าลงดาบกับร้านค้าของตลาดสวรรค์อย่างไม่ปรานีเลยสักนิด ไม่สนว่าเจ้าจะมีใครหนุนหลัง ไม่มีใครที่เขาไม่กล้าฆ่า คิดไปคิดมาก็อกสั่นขวัญแขวน
รออยู่ไม่นาน คนจำนวนหนึ่งจากตำหนักคุ้มเมืองก็ถลันตัวเข้ามาแล้ว ผู้ที่นำหน้ามาก็คือเหมียวอี้ สวีถังหรานกับมู่หรงซิงหัวติดตามอยู่ทางซ้ายและขวา เหยียนซิว หยางชิ่ง ไห่ผิงซินตามอยู่ข้างหลัง ส่วนหยางเจาชิงก็เฝ้าอยู่ที่ตำหนักคุ้มเมือง
พอเหยียนซิวเหยียบลงพื้น ก็กวาดสายตามองกลุ่มคนที่อยู่รอบข้างอย่างช้าๆ ส่วนหยางชิ่งจะสำรวจปฏิกิริยาของทุกคนเช่นกัน
“ผู้บัญชาการใหญ่!” ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋รีบก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะ
“ผู้บัญชาการใหญ่!” กลุ่มพ่อค้ารีบกุมหมัดคารวะตามเช่นกัน ในน้ำเสียงฟังดูไม่ค่อยคึกคักเหมือนก่อนหน้านี้ เปลี่ยนเป็นจริงจังเรียบร้อยขึ้นนิดหน่อย
เสียงพูดคุยหัวเราะคิกคักรอบๆ ก็เงียบลงแล้วเช่นกัน ไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหวซี้ซั้วแม้แต่คนเดียว อวิ๋นจือชิวกับหวงฝู่จวินโหรวสบตากันแวบหนึ่งเหมือนรู้ใจ พบว่าพอเหมียวอี้ปรากฏตัว ก็ส่งอิทธิลพลต่อกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าในงานมากพอสมควร บรรยากาศเฉลิมฉลองในงานหายไปในรวดเดียว ทุกคนเปลี่ยนเป็นสำรวมแล้ว
เหมียวอี้กำลังยืนอยู่ตรงหน้ากลุ่มคน ลักษณะท่าทางน่าเกรงขาม โดดเด่นเหมือนนกกระเรียนฝูงไก่ มาดของวีรบุรุษแสดงออกมาอย่างสะดุดตา ทำให้หวงฝู่จวินโหรวทั้งรักทั้งแค้น เรียกได้ว่าแค้นจนกัดฟันกรอด ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว คำพูดตัดสัมพันธ์ของเหมียวอี้ในปีนั้นทำให้นางเจ็บปวดมากจริงๆ นางไม่ถึงขั้นทนไม่ไหวจนต้องทุ่มเทฝ่ายเดียวอีก กำลังรอให้เหมียวอี้พูดจาอ่อนโยนยอมแพ้มาตลอด ตอนหลังนางจึงเล่นตามสถานการณ์เช่นกัน นางถึงขั้นจงใจหลอกใช้เซี่ยโห้วหลงเฉิงให้มาปลุกปั่นเหมียวอี้ แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะใจแข็งเหมือนหิน ทำอย่างไรก็ไม่ติดต่อนางอีกเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคำพูดคำจาที่อ่อนโยนอะไรทั้งนั้น
ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋อดไม่ได้ที่จะสบตากัน ตอนที่ทั้งสองมาถึงงานทุกคนก็ยังคึกครื้นมากอยู่เลย แต่พอเหมียวอี้ปรากฏตัว ก็ไม่มีใครกล้าหายใจแรงสักคน นี่ก็คือความแตกต่าง สำหรับทั้งสองคนที่กำลังจะได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ พวกเขานับว่าได้เห็นแล้วว่ามาตรฐานของผู้บัญชาการใหญ่เป็นอย่างไร แต่ก็เป็นเรื่องยากมากหากทั้งสองคิดจะทำให้ได้ถึงมาตรฐานนี้ นอกเสียจากทั้งสองจะหัวแข็งกล้าสังหารหมู่พวกพ่อค้าของตลาดสวรรค์เหมือนเหมียวอี้ แต่นั่นคือวิธีการเล่นที่ไม่ห่วงชีวิต
ส่วนไห่ผิงซินก็มองสำรวจรอบๆ อย่างแปลกใจ เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นฉากที่ใหญ่โตขนาดนี้ ถึงแม้จะเคยได้ยินเรื่องที่เหมียวอี้ทำที่นี่มาก่อนแล้ว และรู้ด้วยว่าเหมียวอี้เป็นพี่ใหญ่ของดาวเทียนหยวน แต่นางก็นึกไม่ถึงว่าจะมีคนมากมาขนาดนี้เห็นเหมียวอี้แล้วกลัวเหมือนหนูเห็นแมว
เจ้าหมอนี่น่ากลัวขนาดนี้เชียวเหรอ? ยามปกตินางเรียกได้ว่าไม่สนใจใยดีเหมียวอี้ เพราะนางคิดมาตลอดว่าตัวเองเป็นตัวประกันที่เหมียวอี้จับไว้ใช้บีบมารดาตัวเอง
สำหรับภาพเหตุการณ์นี้ สวีถังหรานกับมู่หรงซิงหัวเงียบงัน ปฏิกิริยาของทุกคนคือสิ่งที่พวกเขาคาดเดาไว้อยู่แล้ว
เหมียวอี้กวาดสายตาเย็นเยียบมองไปรอบๆ แล้วก็หยุดอยู่บนใบหน้าฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ จากนั้นเปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้ม “ได้ยินว่าพวกพ่อค้าจัดงานเลี้ยงเพื่อฉลองให้กับผู้บัญชาการทั้งสอง ข้าเลยมาดูเอาสนุกสักหน่อย คงไม่ถือว่ารบกวนใช่มั้ย?”
“ผู้บัญชาการใหญ่มาได้ก็นับเป็นเกียรติของพวกเราแล้ว เชิญด้านในขอรับ!” ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋หันตัวหลีกทางให้พร้อมกัน แล้วยื่นมือเชิญ
กลุ่มคนที่ล้อมตรงนี้อยู่รีบแยกออกเป็นสองฝั่งอย่างรวดเร็ว หลีกทางให้เรียบร้อยแล้ว
ท่ามกลางสายตาของกลุ่มคน เหมียวอี้เดินเบิกทางอยู่ข้างหน้า คนอื่นๆ ทยอยกันเดินตามหลัง
ทะเลสาบก็ยังเป็นทะเลสาบแห่งเดิม ตึกศาลาบนทะเลสาบก็ยังตั้งอยู่ในตำแหน่งเดิม เพียงแต่ผ่านมาหลายปีแล้วจึงปรับปรุงซ่อมแซมไปหลายครั้ง สะพานทั้งโค้งทั้งเรียบที่อยู่โดยรอบยังคงเชื่อมต่อกับรอบด้านเหมือนเดิม
กำลังเป็นฤดูกาลที่ดี ระหว่างใบบัวสีเขียวหยกบนทะเลสาบมีดอกบัวหลากสีโผล่พ้นโคลนตม บางครั้งก็มีกบกระโดลงน้ำ ในระหว่างนั้นมีโคมไฟหลากสีประดับตกแต่งลอยอยู่ มันลอยเคลื่อนไหวช้าๆ ตามสายลม เกลื่อนกลาดสอดคล้องกับหมู่ดาวบนท้องฟ้า เป็นทิวทัศน์ที่งดงามน่าหลงใหล ระหว่างตึกศาลากลางทะเลสาบมีเสีงดนตรีไพเราะบรรเลงต้อนรับแขก
ผู้หญิงหลายคนที่สวมชุดนางในแบบกระโปรงผ้ามุ้งบางถือโคมไฟนำทางอยู่บนสะพาน
จู่ๆ ประตูทั้งสี่ด้านบนสิ่งปลูกสร้างหลักใจกลางทะเลสาบก็เปิดออก โคมไฟกลางทะเลสาบส่องสว่างขึ้นในชั่วพริบตาเดียว มองปราดเดียวก็เห็นถึงความโอ่อ่าตระการตาในนั้น
รูปแบบด้านในมีการเปลี่ยนแปลงเยอะมาก ลานระบำตรงตั้งอยู่กลางน้ำที่ใสแจ๋ว รอบๆ ลานระบำถูกขุดจนว่าง มีน้ำทะเลสาบไหลผ่าน โคมไฟหลากสีลอยบนผิวน้ำ ด้านบนเป็นสะพานหยก
กลุ่มนางระบำกำลังเต้นระบำต้อนรับแขกอยู่กลางลานระบำ
พอเข้ามาข้างใน เหมียวอี้ก็ขึ้นไปนั่งบนแท่นสูงสุดที่เป็นตำแหน่งหลัก หยางชิ่งกับเหยียนซิวยื่นอยู่ข้างหลัง ทั้งสองยังคงสำรวจประเมินทุกคนที่อยู่ในงาน เหมือนไม่อยากพลาดรายละเอียดอะไรไป ส่วนไห่ผิงซินก็ยืนอยู่ข้างกายเหมียวอี้ รับหน้าที่รินสุราให้
เมื่ออยู่ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ ไห่ผิงซินก็ไม่ถึงขั้นชักสีหน้าใส่เหมียวอี้
หลังจากทุกคนที่อยู่ด้านนอกนั่งลงแล้ว เหล่านางระบำบนลานระบำก็ถอยออกไป เปลี่ยนเป็นสาวงามคนหนึ่งร้องเพลงเสียงเบา เสียงดนตรีก็เปลี่ยนเป็นนุ่มนวลเช่นกัน ไม่รบกวนเสียงสนทนาในงานเลี้ยง
กลุ่มคนประจบประแจงเหมียวอี้ก่อน จากนั้นถึงได้สรรเสริญตัวละครหลักอย่างฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋
เหมียวอี้ยกจอกสุราดื่มแสดงความยินดีกับทั้งสอง ขณะที่ทุกคนพูดคล้อยตาม ก็มองดูสุราในจอกอย่างระแวงเล็กน้อย กังวลว่าจะมีการแสดงบทวางยาพิษซ้ำเหมือนในปีนั้น มองดูคนที่อยู่รอบกายอย่างเงียบๆ มีคนแข็งใจดื่มลงไปแล้ว บางคนยกแขนเสื้อขึ้นมาบังแล้วเก็บสุราเข้าในกำไลเก็บสมบัติ ท่วงท่าในการดื่มสุราค่อนข้างสุภาพมีวัฒนธรรม
หวงฝู่จวินโหรวมีสิทธิ์อยู่ในสถานที่นี้ด้วย แต่อวิ๋นจือชิวกลับนั่งมองอยู่ไกลๆ ในศาลาที่อยู่รอบนอกสิ่งปลูกสร้างหลัก
หลังจากสาวงามที่ร้องเพลงและนางระบำถอยออกจากลานไปแล้ว สตรีชุดแดงคนหนึ่งก็ลอยออกมาจากบนตึกศาลา นางสะบัดเส้นผ้าแพรสีแดงระบำเหาะขึ้นเหาะลงอยู่กลางอากาศ สวยงามน่ามองมาก ทำให้คนตกตะลึงในความงดงามอ่อนโยน ชั่วพริบตานั้นก็ได้ดึงดูดสายตาของทุกคนแล้ว
พอนางเหยียบลงพื้น เส้นผ้าแพรสีแดงทางซ้ายและขวาก็สะบัดพลิ้วราวกับสายรุ้ง แล้วก็หมุนตัวเบาๆ เส้นผ้าแพรสีแดงสองเส้นม้วนครอบตัวนางไว้ราวกับพายุหมุน แล้วก็หยุดอย่างกะทันหัน ก่อนจะลอยลงมา ม่านสีแดงที่พันรอบกายตกลงพื้นอย่างช้าๆ สาวงามที่ยืนสงบนิ่งอยู่ตรงกลางปรากฏตัวทีละนิด แล้วหันหน้ากลับมาอย่างอ่อนช้อย ชำเลืองมองเหมียวอี้ที่อยู่ด้านบน ดวงตางามราวกับคลื่นน้ำในฤดูใบไม้ร่วง ใสสะอาดน่าประทับใจ
เป็นการชำเลืองสายตาที่งามล่มเมืองจริงๆ เป็นยอดหญิงงามในหมู่มนุษย์!
“ดี!” จู่ๆ ก็มีเสียงกล่าวชมจากคนในงานดังเป็นแถบๆ ตามด้วยเสียงถอนหายใจอย่างตกตะลึง
แค่ขึ้นเวทีก็ทำให้คนรู้สึกอัศจรรย์ใจแล้ว เหมียวอี้ก็จ้องนางพลางยกจอกสุราขึ้นมาจ่อปากดื่มอย่างเนิบนาบเช่นกัน ของสวยงามใครๆ ก็ชอบทั้งนั้น
ระหว่างซอกหน้าต่างของตึกชั้นบน ท่านแม่สวีกำลังกะเทาะเปลือกถั่วอย่างช้าๆ พอเหลือบมองความเคลื่อนไหวด้านล่างที่กำลังดึงดูดสายตาผู้ชม นางก็กลอกตามองบนทันที ราวกับกะเทาะถั่วแล้วเจอหนอน เอียงหน้า “ถุย” ทิ้งแล้ว
“จันทร์กระจ่างมีมาตั้งแต่ยามใด ยกจอกสุราขึ้นถามฟ้า มิอาจรู้ว่าวิมานบนสวรรค์ ณ ยามนี้เป็นปีใด ข้าใคร่โดยสารวายุกลับไป แต่เกรงกลัววิมานหยกอันงดงาม ยิ่งสูงยิ่งเหน็บหนาว ร่ายรำเพื่อสร้างเพียงเงาเสมือน ไหนเลยเทียบได้กับโลกมนุษย์…”
ทว่าเมื่อสตรีด้านล่างสะบัดแขนเสื้อสีแดง เริ่มเปล่งเสียงร้องเคล้าเสียงดนตรีประกอบ ก็ข่มระงับเสียงชมและความเคลื่อนไหวทุกอย่างทันที ท่านแม่สวีที่กำถั่วมาจ่อตรงปากก็อึ้งเช่นกัน มองดูสตรีที่เต้นระบำร้องเพลงเดี่ยวด้านล่างอย่างตะลึงค้าง
“ผู้หญิงคนนี้ดูคุ้นตานิดหน่อยนะ” เหมียวอี้หันกลับมาถ่ายทอดเสียงถาม
หยางชิ่งที่อยู่ด้านหลังถ่ายทอดเสียงตอบทันทีว่า “ผู้หญิงคนนี้ชื่อเฟยหง เป็นดาวเด่นของหอมงกุฎงาม และเป็นยอดพธูของทั้งตลาดสวรรค์เช่นกัน เป็นอันดับหนึ่งของทั้งอาณาเขตดาวนี้ มีขุนนางระดับสูงมากมายส่งคนมาเชิญไปทำการแสดงแม้จะอยู่ไกล นายท่านอาจจะลืมไปแล้ว ในปีนั้นนางเพิ่งจะขึ้นเวทีครั้งแรกก็ได้แสดงในภัตตาคารนี้แล้ว แต่บังเอิญประสบเหตุการณ์ที่นายท่านสังหารหมู่ ในปีนั้นนางเพิ่งอายุสิบห้าปี ยังไม่เติบโตเต็มที่ ไม่ได้มีเสน่ห์เท่าตอนนี้ ตอนหลังนางนับว่าดวงดีมาก มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ออกไปแสดงข้างนอกแล้วได้รับความโปรดปรานจาก ‘แม่เฒ่าลวี่’ ถูกแม่เฒ่าลวี่รับเป็นบุตรสาวบุญธรรม แบบนี้ถึงไม่มีใครกล้าแตะต้องนาง ไม่อย่างนั้นคนที่สวยขนาดนี้คงโดนเด็ดไปนานแล้ว จะยังโด่งดังจนถึงตอนนี้ได้ยังไง”
บทที่ 1330 ยอดพธูเฟยหง
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อหยางชิ่งอธิบายแบบนี้ เหมียวอี้ก็นึกขึ้นได้แล้ว ในปีนั้นเหมือนจะมีฉากแบบนี้เกิดขึ้น สตรีที่สวมชุดแดงเช่นเดียวกันลอยลงมาจากบนตึกศาลา แต่เป็นเพียงสาวน้อยวัยแรกรุ่นเท่านั้น ใบหน้ารูปงดงามน่าทึ่ง ถึงแม้จะยังไม่เติบโต แต่กลับทำให้มองออกแล้วว่าเป็นไข่ที่จะฟักตัวไปเป็นยอดหญิงงาม
ตอนนั้นในอ้อมอกเขาก็กอดสาวงามอยู่คนหนึ่งเหมือนกัน ยังคงจำสิ่งที่สาวงามคนนั้นบอกได้ อย่าไปมองเชียวว่าเฟยหงอายุน้อย เพราะชื่อเสียงของนางสามารถกดดันเสวี่ยหลิงหลงได้แล้ว มีแนวโน้มว่าจะแย่งตำแหน่งกับเสวี่ยหลิงหลง แต่จนใจที่ภูมิหลังสู้เสวี่ยหลิงหลงไม่ได้ เกรงว่าถ้าไม่ได้โด่งดังมีชื่อเสียงก็คงจะโดนผู้ชายเก็บไว้ครอบครองเป็นเนื้อต้องห้ามของตัวเองแล้ว
ตอนหลังเกิดเงากระบี่แสดงสะท้อนคมดาบ เลือดน้องกลายเป็นแม่น้ำ สาสงามในอ้อมกอดโดนเขาวางยาพิษในสุราจนตาย สาวน้อยชุดแดงคนนั้นก็ตกใจหมอบพื้นตัวสั่นเช่นกัน
สาเหตุที่เขาเรียกภาพที่ติดอยู่ในความทรงจำนี้ขึ้นมาได้ ก็เป็นเพราะชุดสีแดงที่สาวน้อยคนนั้นใส่ออกเวที ทำให้เขามองปราดเดียวแล้วนึกถึงภาพที่เจอเทพธิดาหงเฉินครั้งแรกในปีนั้น เขาจึงมองดูหลายรอบ มีภาพติดอยู่ในความทรงจำจริงๆ เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าเมื่อผ่านไปหลายปีแล้วจะมาปรากฏตรงหน้าอีก เสน่ห์ความงดงามก็ยิ่งเหนือกว่าในปีนั้น เสวี่ยหลิงหลงที่เป็นยอดพธูในปีนั้นเทียบไม่คิด
จะพูดอย่างนี้ก็แล้วกัน ในบรรดาผู้หญิงทั้งหมดที่เหมียวอี้เคยเจอมา ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคนนี้มีเพียงจู๋เก๋อชิงที่เทียบติด ส่วนพวกหวงฝู่จวินโหรวก็ทำได้เพียงอับอายที่ตนเองสวยสู้ไม่ได้
แต่ชื่อ ‘เฟยหง’ ที่ติดอยู่ในความทรงจำของเขาไม่เหมือนกับตอนแรก ในตอนนั้นตัวของนางติดอยู่ในความทรงจำแค่จางๆ เท่านั้น แต่หลังจากชื่อนี้ผ่านหูก็ลืมไปตั้งนานแล้ว สาเหตุที่มีภาพติดอยู่ในความทรงจำจริงๆ ก็เป็นเพราะ ‘แม่เฒ่าลวี่’ ในปีก่อนๆ เขาก็เคยได้ยินมาเหมือนกันว่านางระบำดาวรุ่งที่ชื่อว่าเฟยหงในอาณาเขตของเขาถูกแม่เฒ่าลวี่รับเป็นบุตรสาวบุญธรรม บางครั้งเวลาพวกลูกน้องจัดงานเลี้ยงก็เชิญให้เขาไปเข้าร่วมงาน บอกว่าเฟยหงจะมาทำการแสดงศิลปะให้ดู บอกว่าคุ้มค่าแก่การดู ทว่าตอนนั้นใจเขาจดจ่ออยู่กับการฝึกตน การเข้าสังคมทั้งหมดถูกเขาผลักออกไป ตอนหลังจึงไม่เคยเจอเฟยหงคนนี้เลย
แม่เฒ่าลวี่เป็นผู้ดูแล ‘สวนบรรณาการ’ ให้ตำหนักสวรรค์ สวนบรรณาการคือสถานที่สำหรับปลูกผลไม้เซียนให้ตำหนักสวรรค์โดยเฉพาะ ปลูกผลไม้เซียนส่งให้วังสวรรค์โดยเฉพาะ สวนท้อที่เหมียวอี้เคยปล้นในปีนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของสวนบรรณาการเช่นกัน ถึงแม้แม่เฒ่าลวี่จะไม่มีอำนาจอะไรที่ตำหนักสวรรค์ แต่กลับเป็นคนในสังกัดของวังสวรรค์โดยตรง ถามหน่อยว่าจะมีใครที่กินอิ่มแล้วว่างงานไปล่วงเกินบุตรสาวบุญธรรมของนาง ยั่วโมโหคนของวังสวรรค์สนุกนักเหรอ?
“จากเรือนสีชาด สาดสู่หน้าต่าง แสงจันทร์แยง หลับมิลง ควรไร้โกรธเกลียด เหตุใดให้พรากก่อน ค่อยเต็มดวง? คนมีทุกข์สุขร่วมและจาก จันทร์มีมืดสว่าง เต็มและพร่อง เรื่องนี้ไร้ความสมบูรณ์แบบมาตั้งแต่โบราณ ขอเพียงชีวิตยืน ร่วมชมจันทร์ห่างพันลี้…”
เสียงเพลงนุ่มนวลอ่อนหวาน ลักษณะงดงามเหนือมนุษย์ธรรมดา ท่วงท่าระบำของสาวงามเนิบนาบเป็นธรรมชาติ พลิกแพลงได้หลาดหลายอย่างไม่ขัดแย้งกัน เข้ากันได้ดีกับใบหน้าที่งามเลิศล้ำ ราวกับดอกกล้วยไม้ในหุบเขากำลังรับสายลมเย็นสดชื่น ทำให้ทุกคนที่อยู่ในงานตกอยู่ในภวังค์
สามารถทำให้คนทั้งงานเงียบงันและจดจ่อมองการแสดงของนางคนเดียวได้ สิ่งนี้ก็เพียงพอที่จะอธิบายปัญหาได้แล้ว
นี่คือเพลงใหม่ที่เฟยหงยังไม่เคยแสดงที่ไหนมาก่อน หลังจากฝึกดีแล้วก็นำมาแสดงที่นี่เป็นครั้งแรก แม้แต่คณะระบำใหญ่จากที่ต่างๆ ที่อยู่บนตึกก็ทำสีหน้าตั้งใจเงี่ยหูฟัง สิ่งที่สามารถดึงดูดคนในอาชีพเดียวกันได้ก็ย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว
ในห้องบนตึกที่หอมงกุฎงามใช้งานชั่วคราว พอท่านแม่เฝิงที่กำลังแต่งหน้าชำเลืองมองปฏิกิริยาของด้านล่าง บนใบหน้าก็ยิ้มเริงร่าราวกับดอกไม้บานแล้ว
“เฮ้อ…” อีกด้านหนึ่ง ท่านแม่สวีกำลังยืนแอบมองอยู่ตรงซอกหน้าต่าง จู่ๆ นางก็ถอนหายใจ กินถั่วไม่ลงแล้ว บนใบหน้าเต็มไปด้วยความขื่นขม ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะรู้สึกมไยอมแพ้ แต่ตอนนี้ก็ต้องกลืนน้ำลายเช่นกัน แค่บทเพลงเพลงนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่หอกลิ่นสวรรค์จะสร้างสรรค์ออกมาได้แล้ว ถึงแม้จะเป็นเสวี่ยหลิงหลงในปีนั้น ก็เกรงว่าจะโดนข่มดับแล้วเช่นกัน จึงทำได้เพียงแอบถอนหายใจ ทุกยุคสมัยของแผ่นดินย่อมปรากฏอัจฉริยบุคคล
ท่านสามีคนปัจจุบันของเสวี่ยหลิงหลง ในตอนนี้ผู้บัญชาการสวีถังหรานจ้องมองเฟยหงทำการแสดงเดี่ยวอย่างเหม่อลอย ไม่รู้ว่าหลังจากเสวี่ยหลิงหลงได้เห็นแล้วจะรู้สึกอย่างไร
เหมียวอี้จ้องมองจอกสุราที่ยกขึ้นมา ปรากฏว่าในนั้นว่างเปล่า จึงวางกลับลงไปใหม่อีกครั้ง แล้วเอียงหน้ามองไห่ผิงซินที่คอยรินสุราอยู่ข้างๆ ทำให้เขาหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกทันที พบว่าเด็กสาวก็มองจนใจลอยแล้วเช่นกัน มีผู้ติดตามรับใช้ที่ไม่ทุ่มเทแบบนี้ด้วยเหรอ?
“นางหนู!” เป็นหยางชิ่งที่ถ่ายทอดเสียงเร่งไห่ผิงซิน นางถึงได้สติกลับมาและรินสุราให้เหมียวอี้
ถึงแม้เพลงและระบำจะดี แต่หยางชิ่งกลับไม่มีอารมณ์จะดู ค่อยระวังสีหน้าที่เปลี่ยนไปของคนในงานอยู่ตลอด การปรากฏตัวของเหมียวอี้ท่ามกลางฝูงชนในงานใหญ่ได้ทำให้เขาตึงเครียดในใจตั้งแต่แรกแล้ว แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่คนหูหนวกตาบอด ของดีก็ยังเป็นของดีอยู่วันยังค่ำ ถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ต่อไป ชมว่า “ว่ากันว่าหลังจากเฟยหงโด่งดังแล้ว ทุกเพลงที่นางร้องล้วนเป็นเพลงที่นางแต่งเอง ว่ากันว่ากู่ฉิน หมากล้อม วากภาพ เขียนพู่กัน ร้องเพลงเต้นระบำ ไม่มีอะไรที่นางไม่เชี่ยวชาญ มีฝีมือหลากหลาย เป็นผู้หญิงที่มีความสามารถ เดิมทีเป็นคนบรรเลงเครื่องเป่า วันนี้ได้ยินว่าประโยค ‘ยิ่งสูงยิ่งเหน็บหนาว’ ได้บรรยายเสียงในใจของยอดพธูทั้งหมดแล้ว เรียกได้ว่าเพลงกินใจคน เกรงว่าจะเป็นผลงานของนางจริงๆ ชื่อเสียงของยอดพธูคนนี้ไม่ใช่ของปลอม ไม่รู้เหมือนกันว่าหอมงกุฎงามใช้พลังความคิดไปมากเท่าไรเพื่อผลักดัน ‘เทพีแห่งบุปฝา’ นี้ขึ้นมา!”
“ในปีนั้นเทพีแห่งบุปฝานี้เกือบจะโดนข้าสั่งประหารแล้ว” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ
หยางชิ่งเข้าใจ ในปีนั้นเป็นเวลาช่วงชิงอำนาจในการครอบงำตลาดสวรรค์ กระแสคลื่นพัดกระพือฮือโหม แสงดาบเงากระบี่ สู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย คนที่เดินมาถึงขั้นนี้ได้ ใครจะไปสนใจความเป็นความตายของนางระบำคนหนึ่งที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ก็เหมือนเวลาเบื้องบนก่อเรื่องแล้วไม่สนใจใยดีความเป็นความตายของคนเบื้องล่าง ยามกลุ่มลูกพี่ใหญ่งัดข้อกัน ก็มีคนไม่รู้ตั้งเท่าไรที่กลายเป็นเครื่องสังเวย ถ้าไม่ใช่เพราะความใจอ่อนชั่ววูบ เกรงว่าแม้แต่เสวี่ยหลิงหลงที่เป็นฮูหยินของสวีถังหรานก็คงจะโดนประหารตายไปพร้อมกันแล้ว
“จันทร์กระจ่างมีมาตั้งแต่ยามใด ยกจอกสุราขึ้นถามฟ้า มิอาจรู้ว่าวิมานบนสวรรค์ ณ ยามนี้เป็นปีใด ข้าใคร่โดยสารวายุกลับไป แต่เกรงกลัววิมานหยกอันงดงาม ยิ่งสูงยิ่งเหน็บหนาว ร่ายรำเพื่อสร้างเพียงเงาเสมือน ไหนเลยเทียบได้กับโลกมนุษย์…”
เสียงบทเพลงค่อยๆ หยุดตามเสียงดนตรีบรรเลงที่เบาลง ผ้าแพรสีแดงสองเส้นที่กำลังหมุนวนหายไปอย่างช้าๆ ถูกเก็บเข้าไปในกำไลเก็บสมบัติแล้ว เฟยหงย่อเข่าให้เหมียวอี้ซึ่งเป็นแขกผู้มีเกียรติที่นั่งอยู่เบื้องบน คำนับอย่างนิ่มนวล จากนั้นก็หันตัวเดินที่ลานระบำและสะพานหยกที่เชื่อมต่อกับรอบด้าน เตรียมจะถอยออกจากเวที
“ดี!”
ในงานเงียบงันนานมาก ไม่ง่ายเลยกว่ากลุ่มแขกในงานจะดึงตัวเองออกจากเสียงดนตรีที่วนเวียนอยู่ในหูได้ เสร็จแล้วถึงได้สติกลับมา เสียงตะโกนชมดังฮือฮาอยู่พักหนึ่ง มีคนไม่น้อยปรบมือตะโกน
มีบางคนที่ไม่ได้ดื่มแล้วจะรู้สึกอารมณ์ไม่ดี จับจอกสุราได้ก็กรอกลงปาก สายตาเหม่อค้างอยู่ตามท่วงท่าของเฟยหง พอก้มหน้ามองจอกสุราที่ว่างเปล่าของตัวเอง สีหน้าก็เปลี่ยนทันที หันซ้ายหันขวาอยากจะคายอกมา…
จู่ๆ ก็มีคนคนหนึ่งตะโกนเสียงดัง “เฟยหง! ผู้บัญชาการใหญ่ให้เกียรติมาร่วมงานด้วยตัวเอง จะไม่ไว้หน้าได้ยังไง ควรจะไปรินสุราให้ด้วยตัวเองสิ!”
“ใช่แล้ว ๆ!”
พอคนแรกพูดแบบนี้ ก็ทำให้กลุ่มคนประจบเอาใจตามทันที เป็นนิสัยไม่ดีของผู้ชายที่คุ้นชินกับการไปที่ยวสถานบันเทิง
คนที่คอยจัดลำดับการแสดงก็อ่านสถานการณ์ออกเช่นกัน ยกมือให้สัญญาณเล็กน้อย หยุดระบำที่กำลังจะขึ้นเวทีเอาไว้ก่อน ให้แขกได้สนุกสนานอย่างเต็มที่ก่อน
บรรยากาศคึกคะกอบอุ่นมาก แม้แต่เหมียวอี้เองก็ไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีอะไรไม่เหมาะสม
คนอื่นอาจจะไม่สังเกตเห็นอะไร อาจจะคิดว่าเป็นแค่การประจบสอพลอเท่านั้น แต่หยางชิ่งกลับเป็นคนที่ความคิดปลอดโปร่งกว่าคนอื่น แค่มีจุดที่ไม่ชอบมพากลนิดเดียวก็ทำให้เขาระวังตัวแล้ว ปัญหาเกิดตั้งแต่ตอนที่เหมียวอี้มาถึงภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท ทุกคนต่างก็เชื่อฟังและรับปากอย่างเดียว ตอนนี้กลับมีคนเป็นฝ่ายโยงเรื่องนี้มาที่ตัวเหมียวอี้…หยางชิ่งรีบกวาดตามองคนที่เอ่ยออกมาก่อน
เมื่อได้ยินเสียงคนยุยงเอ็ดตะโรมากขนาดนี้ เฟยหงที่เดินไปถึงข้างสะพานเล็กแล้วก็หยุดนิ่ง นางลังเลเล็กน้อย ท่าทางเหมือนลำบากใจ เงยหน้ามองชั้นลอยตรงเพดานด้านบนแวบหนึ่ง หลังจากโด่งดังมีชื่อเสียงแล้ว นางก็มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธเรื่องแบบนี้ได้ เมื่อดังแล้วก็ไม่ต้องทำเรื่องประเภทยกจอกสุราเอาใจใครแบบนี้
หน้าต่างบนชั้นลอยเปิดออกครึ่งหนึ่งทันที ท่านแม่เฝิงแห่งหอมงกุฎงามโผล่ออกมาครึ่งตัว โบกมือถ่ายทอดเสียงให้เฟยหงที่อยู่ด้านล่าง “แม่ทูนหัวของข้า ไปรับแขกสักหน่อยเถอะ เจ้าเองก็เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นในปีนั้นแล้ว เขาตัดหัวคนไปเยอะเชียวนะ! ท่านนั้นไม่สนใจหรอกว่าเจ้าจะมีใครหนุนหลัง คนที่มีภูมิหลังใหญ่กว่าเจ้าก็ฆ่าทิ้งไปแล้วเป็นกอง ถ้าไม่ไว้หน้าจนทำให้เขาไปต่อไม่ถูก เจ้าก็จะมีปัญหาแล้ว แม่ทูนหัวรีบไปเถอะ
ทุกคนก็เงยหน้ามองตามเฟยหงเช่นกัน พอเห็นปฏิกิริยาของท่านแม่เฝิง ก็มีคนเริ่มคิดอยากจะดูละครสนุกๆ แล้ว ดูว่าเฟยหงจะไว้หน้าเหมียวอี้หรือไม่
เฟยหงที่หยุดอยู่ข้างสะพานกัดริมฝีปาก แล้วหันตัวช้าๆ เปลี่ยนทิศทาง นางเดินมาทางเหมียวอี้ ข้ามสะพานขึ้นบันไดมาแล้ว
ขณะมองดูนางเดินขึ้นมา ไห่ผิงซินก็เหมือนจะตาเป็นประกายเล็กน้อย เรียกได้ว่าตาลุกวาวแล้วจริงๆ ให้ความรู้สึกเหมือนจะคลั่ง นางมองดูจอกสุราของเหมียวอี้ แล้วรีบโค้งตัวเติมสุราในกาให้เต็มก่อน เต็มปริ่มเป็นพิเศษ!
สตรีสวมชุดนางในที่อยู่ด้านข้างรีบเดินเข้ามา ยกถาดสุรารออยู่ เฟยหงที่เดินมาถึงด้านล่างโต๊ะยาวของเหมียวอี้หยิบถ้วยสุราจากถาดนั้น ใช้สองมือที่เรียวยาวยกจอกสุราอยู่ตรงข้ามเหมียวอี้ คำนับอย่างสุภาพและเยือกเย็น ดูสบายตาสบายใจ พร้อมกล่าวด้วยเสียงไพเราะดุจเสียงนกขมิ้น “ผู้บัญชาการใหญ่มาเยือนด้วยตัวเอง เฟยหงไม่มีอะไรจะแสดงความกตัญญู ทำได้เพียงรินสุราแสดงน้ำใจค่ะ หวังว่าผู้บัญชาการใหญ่จะไว้หน้า”
เหมียวอี้ที่นั่งสงบนิ่งอยู่เบื้องสูงจ้องประเมินนางศีรษะจรดเท้า สายตาเย็นชาไร้อารมณ์ เขาไม่ได้มีเจตนาความคิดอะไร ยื่นมือไปคว้าจอกสุราบนโต๊ะขึ้นมาชูแสดงน้ำใจเล็กน้อย
เฟยหงยกแขนเสื้อขึ้นมาป้องใบหน้าทันที เงยหน้าดื่มอึกเดียวหมดจอก แล้วเผยจอกสุราที่ดื่มไปจนหมดถึงก้น
เหมียวอี้ก็ดื่มหมดในอึกเดียวเช่นกัน แล้วกวาดสายตามองทุกคนที่อยู่ในงาน เผยจอกสุราที่ดื่มจนแห้งให้ทุกคนเห็น บอกใบ้ให้รู้ว่าข้าดื่มสุราจอกนี้ไปแล้ว
“ดี!”
คน้ด้านล่างส่งเสียงชมฮือฮาอีกครั้ง
เฟยหงวางจอกสุรากลับไว้บนถาด แล้วโค้งตัวคำนับเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวขอตัว “ขอบคุณผู้บัญชาการใหญ่ค่ะ!”
นางหันตัวกำลังจะเดินลงบันได แต่ใครจะคิดว่าท่ามกลางกลุ่มคนจะมีเสียงตะโกนอีกว่า “ดื่มสุราจอกเดียวจะสนุกเต็มที่ได้ยังไง ถ้ามีความตั้งใจจริง ก็ไม่สู้อยู่สนุกกับผู้บัญชาการใหญ่ไปเลยสิ ข้าว่าไม่ต้องขึ้นเวทีแสดงแล้วล่ะ ไม่สู้คอยอยู่รินสุราข้างกายผู้บัญชาการใหญ่เสียเลย”
หยางชิ่งกวาดสายตามอง พบว่ามีเพิ่มมาอีกคนแล้ว
“เป็นความคิดที่ดี!”
ในงานมีเสียงโห่ร้องอีกแล้ว ทำให้เฟยหงที่ยกกระโปรงเดินลงถูกกดดันอีกแล้ว นางยืนอยู่บนบันได ไม่รู้ว่าจะลงหรือจะขึ้นดี
อวิ๋นจือชิวที่นั่งอยู่ในศาลาไกลๆ ได้ยินแล้วมองมา นางด่าในใจว่า ผู้ชายก็ชอบทำเรื่องแบบนี้กันทั้งนั้น ไม่มีใครดีสักคน
หวงฝู่จวินโหรวที่อยู่ในงานทำสีหน้าเรียบเฉย เหมือนเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง เพียงแต่แววตาที่มองเฟยหงค่อนข้างล้ำลึก
เฟยหงทำท่าทางลำบากใจมาก เงยหน้ามองบนชั้นลอยอีกครั้ง เห็นเพียงท่านแม่เฝิงเปิดหน้าต่างออกมาครึ่งหนึ่ง นางถ่ายทอดเสียงพร้อมทำท่าประนมมือ “แม่ทูนหัว ล่วงเกินเขาไม่ไหวหรอก ลำบากเจ้าสักครั้งเถอะ”
วันนี้อารมณ์ความคิดของเหมียวอี้ไม่ได้อยู่ที่ความงามของผู้หญิง เขาสนใจแต่มองสำรวจโดยรอบอย่างเงียบๆ มาตลอด ดังนั้นจึงไม่ค่อยสนใจเรื่องให้สาวงามอยู่ด้วย และไม่จำเป็นต้องทำให้นางระบำคนหนึ่งลำบากใจด้วย จึงเป็นฝ่ายโบกมือก่อน ขณะกำลังจะบอกให้ทุกคนหยุด ใครจะคิดว่าหยางชิ่งที่อยู่ข้างหลังจะหัวไวพูดตามสัญญาณมือของเขา ให้คำอธิบายอีกแบบกับสัญญาณมือของเขาแล้ว บอกไห่ผิงซินว่า “นางหนู ยังไม่รีบออกไปอีก มารบกวนอารมณ์สุนทรีของนายท่านได้ยังไง”
เหมียวอี้แอบอึ้ง วางมือลงแล้วเช่นกัน หางตาเหล่มองไปข้างหลังเล็กน้อย รู้ว่าการที่จู่ๆ หยางชิ่งพูดแบบนี้จะต้องมีสาเหตุแน่นอน”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น