เทพปีศาจหวนคืน 1325-1328

 เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1325 ธาตุทั้งสี่


 


แปลโดย iPAT  


 


 


ฟางหยวนได้รับเคล็ดลับการหลอมรวมวิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งปฐพีดวงนั้นมาด้วย แต่วัสดุในการหลอมรวมส่วนใหญ่ไม่มีอยู่ในโลกใบนี้อีกต่อไป


 


 


หากฟางหยวนต้องการหลอมรวมมัน เขาต้องแก้ไขเคล็ดลับการหลอมรวมวิญญาณด้วยตนเอง


 


 


แน่นอนว่าเขาจะไม่ทำเรื่องไร้สาระเช่นนี้ ด้วยข้อมูลที่รวบรวมมา เขามีความเข้าใจเกี่ยวกับวิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งปฐพีดวงนี้มากพอแล้ว


 


 


ต่อไปฟางหยวนเริ่มอ่านมรดกระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งค่ายกล


 


 


สิ่งนี้ทำให้รากฐานบนเส้นทางแห่งค่ายกลของเขาพัฒนาขึ้นเล็กน้อย


 


 


หลังจากนั้นเขาเริ่มไตร่ตรองเกี่ยวกับการทดสอบในอาณาจักรแห่งความฝัน


 


 


ในยุคโบราณ เส้นทางแห่งค่ายกลมีบางแนวความคิดที่ได้รับความนิยม


 


 


แนวคิดดังกล่าวคือระบบธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม และไฟ พวกมันเป็นค่ายกลวิญญาณรูปแบบพื้นฐานที่สุด


 


 


โดยธรรมชาติแล้วแนวคิดนี้มีความสำเร็จในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น หลังจากผ่านไปหลายสิบปี แนวคิดนี้ก็ไม่ได้รับความนิยมอีก หากเปรียบเทียบกับประวัติศาสตร์ทั้งหมดบนเส้นทางแห่งค่ายกล ไม่กี่สิบปีถือว่าสั้นมาก แนวคิดนี้เหมือนระลอกคลื่นเล็กๆที่เลือนหายไปในสายธารแห่งกาลเวลา


 


 


‘มันเหมือนต้นกำเนิดของมนุษยชาติ ผู้คนเคยเชื่อว่ามนุษย์ถูกสร้างขึ้นโดยเทพเจ้า มันเป็นแนวคิดที่คงอยู่มาอย่างยาวนาน ในช่วงเวลานั้นผู้คนถูกครอบงำด้วยความคิดเหล่านี้ แต่เมื่อทฤษฎีต่างๆถูกพัฒนาขึ้น แนวคิดเก่าก็ถูกทำลาย เมื่อวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้า ผู้คนจึงค้นพบข้อบกพร่องมากมาย’


 


 


ความคิดของฟางหยวนล่องลอยออกไป


 


 


แนวคิดเรื่องดิน น้ำ ลม และไฟมีความคล้ายคลึงกัน


 


 


หลังจากเส้นทางแห่งค่ายกลพัฒนาขึ้น ผู้คนเริ่มพบว่าค่ายกลวิญญาณที่มีองค์ประกอบพื้นฐานทั้งสี่มีข้อบกพร่อง


 


 


พวกเขาค้นพบสิ่งใหม่ๆและก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง


 


 


ข้อมูลที่ได้รับทำให้ฟางหยวนตระหนักถึงวิธีที่จะทำให้เขาสามารถผ่านฉากแรกของอาณาจักรแห่งความฝัน


 


 


‘ปรากฎว่าข้าต้องใช้วิญญาณทั้งหมดเพื่อสร้างค่ายกลวิญญาณจริงๆ’ ฟางหยวนตระหนักรู้ได้ในที่สุด


 


 


ในเวลาเดียวกันเขาก็ถอนหายใจ ‘ตู้ซื่อเฉินผู้นี้ค่อนข้างเจ้าเล่ห์ เห็นได้ชัดว่าต้องใช้วิญญาณทั้งสี่ แต่เขากลับบอกข้าว่าต้องใช้อย่างน้อยสองดวง’


 


 


อย่างไรก็ตามแม้เขาจะรู้เรื่องนี้แต่เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้วิญญาณทั้งสี่หมุนวนอยู่รอบๆวิญญาณแก่นแท้ค่ายกลเพื่อสร้างค่ายกลวิญญาณที่มีประสิทธิภาพ


 


 


หากฟางหยวนมีวิญญาณเหล่านี้อยู่ในมือ เขาจะสามารถทดสอบในโลกของความเป็นจริง


 


 


นี่เป็นวิธีที่นิยมใช้ถอดรหัสอาณาจักรแห่งความฝันในช่วงแรก


 


 


ฟางหยวนไตร่ตรองและตัดสินใจที่จะทดสอบในอาณาจักรแห่งความฝัน


 


 


ความพยายามครั้งที่สองเหมือนก่อนหน้า แต่คราวนี้ฟางหยวนเลือกที่จะกระตุ้นใช้วิญญาณทั้งสี่ในเวลาเดียวกัน


 


 


แน่นอนว่ามันล้มเหลว


 


 


วิญญาณทั้งสี่ระเบิดขึ้นพร้อมกัน ฟางหยวนได้รับบาดเจ็บสาหัสและถูกขับไล่ออกจากอาณาจักรแห่งความฝัน


 


 


ความพยายามครั้งที่สาม ฟางหยวนเลือกใช้วิญญาณบนเส้ทางแห่งปฐพีเป็นอันดับแรกและวิญญาณบนเส้นทางแห่งวารีเป็นอันดับต่อมา แต่มันก็ยังล้มเหลว


อ่านนิยาย


 


ในความพยายามครั้งที่เจ็ด ฟางหยวนประสบความสำเร็จ


 


 


วิญญาณระดับมนุษย์ทั้งสี่บินไปรอบๆวิญญาณแก่นแท้ค่ายกล วิญญาณบนเส้นทางแห่งไฟและวิญญาณบนเส้นทางแห่งวารีบินอยู่รอบๆวิญญาณแก่นแท้ค่ายกล วิญญาณบนเส้นทางแห่งปฐพีลอยอยู่ด้านล่างขณะที่วิญญาณบนเส้นทางแห่งวายุลอยนิ่งอยู่ด้านบนอย่างสงบ


 


 


ภายใต้การควบคุมของวิญญาณแก่นแท้ค่ายกล วิญญาณทั้งสี่ปลดปล่อยพลังงานแสงสีรุ้งที่ลึกลับออกมา


 


 


พลังวิญญาณของผู้ใช้วิญาณจะฟื้นตัวขึ้นด้วยความเร็วสองเท่าภายใต้แสงสีรุ้ง


 


 


‘สำหรับผู้ใช้วิญญาณ นี่เป็นค่ายกลวิญญาณที่ใช้งานได้จริง!’ ฟางหยวนคิด


 


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า ดีมาก ดีมาก เจ้าเป็นบุตรชายของข้าจริงๆ เจ้ามีพรสวรรค์บนเส้นทางแห่งค่ายกลโดยธรรมชาติ!” ตู้ซื่อเฉินหัวเราะอย่างมีความสุขกับความสำเร็จของฟางหยวน


 


 


ฟางหยวน “…”


 


 


เนินเขา ท้องฟ้า และแผ่นดินค่อยๆเลือนหายไปจากวิสัยทัศน์ของฟางหยวน


 


 


ฉากแรกของอาณาจักรแห่งความฝันจบลง ฉากที่สองเริ่มขึ้น


 


 


ฟางหยวนถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขายืนกรานที่จะไม่ใช้ท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝันในฉากแรก สุดท้ายเขาก็สูญเสียวิญญาณความเด็ดเดี่ยวไปสิบดวง ค่าใช้จ่ายนี้ยังถือว่าต่ำ


 


 


ฟางหยวนตรวจสอบสถานการณ์โดยไม่สนใจว่าความสำเร็จบนเส้นทางแห่งค่ายกลของเขาจะเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด


 


 


ตอนนี้เขาพบว่าตนเองอยู่ในกรง


 


 


และภายในกรงขนาดมหึมานี้ยังมีกรงที่เล็กกว่า


 


 


กรงขนาดเล็กขังเสือดำที่หิวโหยเอาไว้ภายใน


 


 


‘เกิดสิ่งใดขึ้น?’ ฟางหยวนรู้สึกสับสน


 


 


เป็นเพียงเวลานี้ที่ตู้ซื่อเฉินที่ยืนอยู่นอกกรงกล่าวกับฟางหยวน “ข้าจะให้เวลาเจ้าห้านาทีในการสร้างค่ายกลวิญญาณด้วยวิญญาณเหล่านี้ หลังจากผ่านไปห้านาทีเสือดำตัวนี้จะถูกปล่อยออกมา เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าจะไม่เคลื่อนไหวและจะดูว่าเจ้าสามารถใช้ค่ายกลวิญญาณเพื่อต่อต้านเสือดำตัวนี้หรือไม่?”


 


 


“กระไรนะ!?” ดวงตาของฟางหยวนเบิกกว้าง


 


 


วิธีการเรียนรู้ชนิดนี้ เฮ้ เจ้าเป็นพ่อของเด็กผู้นี้จริงๆหรือไม่?


 


 


“เจ้าเป็นบุตรชายของตู้ซื่อเฉิน เจ้าต้องทำได้อย่างแน่นอน หากเจ้าทำไม่ได้ นั่นหมายความว่าเจ้าไม่คู่ควรที่จะเป็นบุตรชายของข้า!” ตู้ซื่อเฉินกล่าวด้วยใบหน้าไร้อารมณ์


 


 


‘สวรรค์!’ ฟางหยวนอุทานอยู่ในใจ


 


 


เขาพบว่าตนเองยังไม่โตมากนักจากฉากแรก เด็กผู้นี้ควรมีอายุอย่างมากเพียงสิบสี่ปีเท่านั้น


 


 


‘ตู้ซื่อเฉินผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นผู้อมตะฝ่ายธรรมะ แต่เหตุใดเขาถึงใจร้ายนัก? บางทีนี่อาจเป็นเพียงการข่มขู่เพื่อบังคับให้บุตรชายของเขาปลดปล่อยศักยภาพออกมาอย่างเต็มที่?’


 


 


ฟางหยวนคาดเดา


 


 


‘ไม่ว่าบุตรชายของตู้ซื่อเฉินผู้นี้จะเป็นผู้ใด เขาก็เป็นคนโชคร้ายจริงๆ’


อ่านนิยาย


 


เวลามีจำกัด ฟางหยวนเร่งสงบอารมณ์และเริ่มตรวจสอบวิญญาณที่เขามี


 


 


เสือดำที่อยู่ในกรงเป็นสัตว์ป่าทั่วไป แต่ด้วยร่างกายที่ยังเด็กของฟางหยวน เขาไม่สามารถต่อต้านมัน


 


 


เขาทำได้เพียงสร้างค่ายกลวิญญาณเท่านั้น


 


 


มีวิญญาณอยู่ห้าดวง พวกมันยังเป็นวิญญาณระดับหนึ่ง หนึ่งในนั้นคือวิญญาณแก่นแท้ค่ายกลขณะที่อีกสี่ดวงเป็นวิญญาณบนเส้นทางแห่งปฐพี วิญญาณบนเส้นทางแห่งวายุ วิญญาณบนเส้นทางแห่งวารี และวิญญาณบนเส้นทางแห่งไฟ


 


 


มันแทบจะเหมือนฉากแรก


 


 


ความแตกต่างคือแม้จะเป็นเส้นทางเดียวกันแต่มันเป็นวิญญาณที่แตกต่างออกไป


 


 


แล้วฟางหยวนควรสร้างค่ายกลวิญญาณอย่างไร?


 


 


เขาเริ่มทดลอง


 


 


ด้วยประสบการณ์ในฉากแรก ฟางหยวนเริ่มมีความเชี่ยวชาญมากขึ้น


 


 


ความพยายามครั้งแรกล้มเหลวอย่างรวดเร็ว ฟางหยวนพ่นเลือดคำโตออกมา โชคดีที่วิญญาณไม่ได้รับบาดเจ็บ


 


 


แต่เขายังไม่ถูกขับไล่ออกจากอาณาจักรแห่งความฝัน


 


 


‘ดูเหมือนข้าต้องพยายามต่อไปจนกว่าจะถึงห้านาที?’


 


 


‘แม้จะมีโอกาส แต่ในความเป็นจริง แทบไม่มีความหวังเลย’


 


 


ฟางหยวนขมวดคิ้ว


 


 


แม้จะไม่เกิดสิ่งใดขึ้นกับวิญญาณ แต่สภาพร่างกายของเขาแย่มากขณะที่พลังวิญญาณของเขาแทบหมดสิ้น


 


 


ในความพยายามครั้งต่อมา เขาแทบไม่สามารถประคองร่างกายเอาไว้ได้


 


 


มันล้มเหลวอีกครั้ง


 


 


มีเวลาเหลืออยู่แต่ฟางหยวนไม่สามารถดำเนินการต่อเพราะวิญญาณแก่นแท้ค่ายกลเสียชีวิตไปแล้ว


 


 


“ท่านพ่อ วิญญาณของข้าถูกทำลายไปแล้ว ขอวิญญาณแก่นแท้ค่ายกลให้ข้าอีกดวงได้หรือไม่?” ฟางหยวนถาม


 


 


แต่คำตอบที่เขาได้รับคือการส่ายศีรษะอย่างไร้ปรานี “จะเกิดสิ่งใดขึ้นหากเจ้าอยู่ในการต่อสู้จริง ผู้ใดจะมอบวิญญาณให้เจ้า เจ้าทำให้ข้าผิดหวัง เจ้าไม่มีโอกาสอีกแล้ว”


 


 


เมื่อถึงเวลาที่กำหนด กรงขนาดเล็กก็ปล่อยเสือดำออกมา มันพุ่งเข้ากัดลำคดของฟางหยวนทันที


 


 


อาณาจักรแห่งความฝันนี้เหมือนจริงมาก ฟางหยวนสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของการถูกกัดและลำคอที่กำลังฉีกขาด การหายใจของเขายากลำบากมากขึ้น ความเจ็บปวดพุ่งเข้าโจมตีหัวใจของเขาอย่างหนัก


 


 


เลือดไหลออกมาจากบาดแผลขณะที่เสือดำดื่มมันอย่างพึงพอใจ


 


 


ตู้ซื่อเฉินส่ายศีรษะและถอนหายใจ “เจ้าไม่คู่ควรกับการเป็นบุตรของข้า”


 


 


จากนั้นเขาก็หันหลังและจากไป


 


 


‘ไม่ช่วยจนถึงที่สุด ตู้ซื่อเฉินผู้นี้เป็นผู้อมตะฝ่ายธรรมะหรือปีศาจกันแน่?’ หลังจากถูกขับออกจากอาณาจักรแห่งความฝัน ใบหน้าของฟางหยวนก็มืดครึ้มลง


 


 


หลังจากใช้วิญญาณความเด็ดเดี่ยวเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ เขาก็สำรวจต่อไป


 


 


ความพยายามครั้งที่สอง ความพยายามครั้งที่สาม ความพยายามครั้งที่สี่…


 


 


ทุกครั้งล้มเหลว ฟางหยวนถูกเสือดำฆ่าและกัดกินอย่างน่าสังเวช


 


 


หากเป็นคนอื่น จิตใจของพวกเขาอาจพังทลายไปแล้ว


 


 


อย่างไรก็ตามฟางหยวนไม่กลัว เขาเคยพบกับความทุกข์ทรมานมากกว่านี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน


 


 


เขาปฏิบัติต่อความเจ็บปวดเหมือนสายลมที่พัดผ่านใบหน้า จิตใจของเขายังจดจ่ออยู่กับการสร้างค่ายกลวิญญาณ


 


 


ความพยายามครั้งที่สิบ ความพยายามครั้งที่สิบเอ็ด ความพยายามครั้งที่สิบสอง…


 


 


ฉากที่สองยากกว่าฉากแรกมาก อาการบาดเจ็บทางจิตวิญญาณที่เขาได้รับก็มากกว่า


 


 


ฉากแรกเขาใช้วิญญาณความเด็ดเดี่ยวเพียงสองดวงในแต่ละครั้ง แต่ฉากที่สองเขาต้องใช้วิญญาณความเด็ดเดี่ยวสามดวงเพื่อกู้คืนอาการบาดเจ็บทางจิตวิญญาณ


 


 


ฟางหยวนคำนวณค่าใช้จ่ายอย่างใจเย็น


 


 


“หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้น ข้าต้องใช้ท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝันหรือไม่?”


 


 


“เดี๋ยว!”


 


 


ขณะที่เขากำลังกังวล เขากลับได้รับแรงบันดาลใจบางอย่างขึ้นมาโดยพลัน


 


 


เขาเข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝันและพยายามต่อไป


 


 


มีวิธี!


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1326 ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งค่ายกล


 


แปลโดย iPAT  


 


 


ไม่นานหลังจากนั้นฟางหยวนก็ประสบความสำเร็จในการสร้างค่ายกลวิญญาณในอาณาจักรแห่งความฝัน


 


 


ค่ายกลวิญญาณนี้ยังใช้วิญญาณแก่นแท้ค่ายกลเป็นแกนกลางโดยมีวิญญาณบนเส้นทางแห่งปฐพีลอยนิ่งอยู่ด้านบนขณะที่วิญญาณบนเส้นทางแห่งไฟและวายุหมุนอยู่รอบๆในแนวนอน สำหรับวิญญาณบนเส้นทางแห่งวารี มันหมุนอยู่ในแนวตั้ง


 


 


ค่ายกลวิญญาณนี้ปล่อยแสงสีขาวออกไปปกคลุมเสือดำเอาไว้


 


 


มันไม่ได้มีไว้ปกป้องผู้ใช้วิญญาณแต่มีไว้กักขังศัตรู


 


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า ดี เจ้าเป็นบุตรชายของข้าจริงๆ! อีกหนึ่งเดือนจะมีบททดสอบที่เข้มงวดยิ่งขึ้น  มันจะเกี่ยวกับชีวิตและความตายของเจ้า หากไม่ผ่านการทดสอบ เจ้าจะต้องตาย” ตู้ซื่อเฉินหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง


 


 


ร่างเล็กของฟางหยวนยืนอยู่ในกรงและชำเลืองมองเสือดำที่กำลังดิ้นรนอยู่ในค่ายกลวิญญาณก่อนจะถอนหายใจเบาๆ


 


 


ฉากที่สองของอาณาจักรแห่งความฝันสิ้นสุดลง


 


 


ต่อไปเป็นฉากที่สาม


 


 


ฟางหยวนเดินตามตู้ซื่อเฉินไปยังริมแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว


 


 


เมื่อมองแม่น้ำสีแดงที่ไหลไปทางทิศตะวันออก ฟางหยวนตระหนักได้ทันทีว่ามันคือแม่น้ำมังกรแดงของภาคใต้


 


 


ภาคใต้มีแม่น้ำใหญ่สามสายได้แก่ แม่น้ำมังกรแดง แม่น้ำมังกรหยก และแม่น้ำมังกรเหลือง


 


 


ฟางหยวนรู้สึกสังหรณ์ร้ายเมื่อเห็นแม่น้ำสายนี้


 


 


ในเวลาต่อมาเขาได้ยินเสียงของตู้ซื่อเฉิน “ข้าจะให้เจ้ายืมวิญญาณ ตอนนี้เจ้าสามารถพึ่งพาตนเองเท่านั้น หากเจ้าไม่สามารถสร้างค่ายกลวิญญาณ เจ้ารู้ดีว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร”


อ่านนิยาย


 


ฟางหยวนกำลังจะถามแต่ถูกตู้ซื่อเฉินตบแผ่นหลัง


 


 


เขาไม่สามารถต้านทานพละพลังมหาศาลและถูกผลักเข้าไปในแม่น้ำมังกรแดงทันที


 


 


‘สารเลว!’ ฟางหยวนก่นด่าอยู่ในใจขณะที่เขาตกลงไปในแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวและถูกกระแสน้ำพัดพาไป


 


 


ฟางหยวนพยายามดิ้นรนอย่างสุดความสามารถ แต่เขามีเพียงร่างกายที่อ่อนแอของเด็กน้อย โชคดีที่ความสามารถในการว่ายน้ำของเขาไม่ธรรมดา ฟางหยวนดิ้นรนอยู่ชั่วครู่ก่อนจะสามารถเงยหน้าขึ้นจากผิวน้ำและสูดหายใจ


 


 


ฟาหงยวนเริ่มตรวจสอบวิญญาณที่เขามี


 


 


‘บัดซบ!’ เขาลอบสบถอยู่ในใจอีกครั้งเพราะคราวนี้ไม่ได้มีเพียงวิญญาณระดับมนุษย์สี่ดวงแต่เป็นสิบสองดวง


 


 


เขาต้องจัดการพวกมันในช่วงเวลาสั้นๆเช่นนั้นหรือ?


 


 


มีหลายวิธีที่จะจัดการพวกมันขณะที่เขาอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย นี่ทำให้ความหวังลดน้อยลงอย่างมาก


 


 


ฟางหยวนไม่ลังเลและกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝันโดยตรง


 


 


ทันใดนั้นคำตอบก็ปรากฏขึ้นในใจของเขา


 


 


เขาเข้าใจสามขั้นตอนแรกและเริ่มสร้างค่ายกลวิญญาณทันที


 


 


‘เพียงสามขั้นตอนแรกงั้นหรือ?’ ฟางหยวนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องใช้ท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝันต่อไป


 


 


ขั้นตอนที่สี่ ขั้นตอนที่ห้า และขั้นตอนที่หก


 


 


พวกมันเป็นคำตอบที่ถูกต้อง


 


 


แต่ยังเหลือบางขั้นตอนในการจัดตั้งค่ายกลวิญญาณนี้


 


 


ฟางหยวนกำลังจะกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝันเป็นครั้งที่สามแต่ในเวลานี้เขากลับถูกกระแสน้ำวนดูดกลืนเข้าไป


 


 


“ปัง!”


 


 


ฟางหยวนถูกต้นไม้พุ่งชนและหมดสติทันที


 


 


วินาทีต่อมาเขาตื่นขึ้นและกลับสู่โลกของความเป็นจริง


 


 


จิตวิญญาณของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส


 


 


เขาเร่งใช้วิญญาณความเด็ดเดี่ยวอย่างรวดเร็ว


 


 


หนึ่ง สอง สาม…หก


 


 


ครั้งนี้เขาต้องใช้วิญญาณความเด็ดเดี่ยวถึงหกดวงเพื่อกู้คืนจิตวิญญาณ


 


 


‘ฉากที่สามยิ่งยากลำบากมากขึ้น สภาพแวดล้อมในการจัดตั้งค่ายกลวิญญาณอันตรายมาก’


 


 


‘แต่…’


 


 


‘ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งค่ายกลของข้าบรรลุสู่ระดับกึ่งผู้เชี่ยวชาญเรียบร้อยแล้ว!’


 


 


ฟางหยวนตระหนักถึงสิ่งนี้


 


 


ระดับความสำเร็จคือสิ่งใด?


 


 


มันคือความเข้าใจเฉพาะทางของผู้ใช้วิญญาณ


 


 


ระดับความสำเร็จแบ่งออกเป็นห้าระดับได้แก่ สามัญ ผู้เชี่ยวชาญ ปรมาจารย์ ปรมาจารย์เอก และปรมาจารย์สูงสุด


 


 


โดยธรรมชาติแล้วมันยังมีระดับย่อยอยู่ด้วยเช่น กึ่งผู้เชี่ยวชาญ กึ่งปรมาจารย์ กึ่งปรมาจารย์เอก และกึ่งปรมาจารย์สูงสุด


 


 


ส่วนใหญ่แล้วผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์จะบรรลุระดับสามัญหลังจากพวกเขาฝึกฝนอย่างหนักมาตลอดช่วงชีวิต


 


 


การบรรลุระดับกึ่งผู้เชี่ยวชาญหาได้ยากในผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์ มีเพียงผู้ใช้วิญญาณวัยเยาว์ที่โดดเด่นหรือผู้ใช้วิญญาณที่เต็มไปด้วยประสบการณ์เท่านั้นที่จะบรรลุระดับนี้


 


 


สำหรับระดับผู้เชี่ยวชาญ เป็นเรื่องยากที่ผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์จะบรรลุถึง อาจมีเพียงหนึ่งในหมื่นคนเท่านั้น ตัวอย่างเช่นในสงครามแย่งชิงตำแหน่งเจ้าเหนือหัวของภาคเหนือ มีผู้เชี่ยวชาญบนเส้นทางแห่งทาสอยู่เพียงห้าคน หนึ่งในนั้นคือฟางหยวน


 


 


ผู้ที่มีความสำเร็จระดับกึ่งปรมาจารย์มักเป็นตัวตนชั้นสูงท่ามกลางผู้อมตะระดับหก


 


 


ระดับปรมาจารย์คือความเข้าใจที่ลึกซึ้งและอนุญาตให้ผู้อมตะสามารถเลียนแบบเส้นทางสายอื่น ตัวอย่างเช่นท่าไม้ตายอมตะของไห่ฟาน ข้อตกลงหนึ่งร้อยปี มันใช้วิญญาณบนเส้นทางแห่งกาลเวลาเพื่อบรรลุผลลัพธ์เดียวกับเส้นทางแห่งข้อมูล นอกจากนี้มันยังแสดงให้เห็นว่าความสำเร็จบนเส้นทางแห่งกาลเวลาของไห่ฟานอย่างน้อยที่สุดก็ต้องอยู่ในระดับปรมาจารย์


 


 


โดยทั่วไปมีผู้อมตะที่บรรลุระดับปรมาจารย์เพียงไม่กี่คน พวกเขามักต้องใช้เวลาสะสมความเข้าใจหลายร้อยปีควบคู่ไปกับพรสวรรค์ตามธรรมชาติ ในชีวิตแรกของฟางหยวน เขาสามารถบรรลุเป็นปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งเลือดหลังจากห้าร้อยปีเท่านั้น


 


 


ผู้ที่สามารถบรรลุระดับปรมาจารย์ส่วนใหญ่เป็นผู้อมตะระดับเจ็ด


 


 


เหนือขึ้นไปคือระดับกึ่งปรมาจารย์เอกที่ยากยิ่งกว่า พวกเขามักเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดหรือผู้อมตะระดับแปด


 


 


สำหรับระดับปรมาจารย์เอก ผู้อมตะระดับแปดจะบรรลุระดับนี้เมื่อฝึกฝนไปถึงจุดสิ้นสุดของชีวิต


 


 


ผู้ที่สามารถบรรลุระดับกึ่งปรมาจารย์สูงสุดมีไม่กี่คนในรอบหลายพันปี


อ่านนิยาย


 


ไม่จำเป็นต้องอธิบายถึงความยากลำบากของปรมาจารย์สูงสุด บนเส้นทางแห่งการหลอมรวม ตัวตนระดับนี้มีเพียงสามคนตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนาน หนึ่งในนั้นคือบรรพชนผมยาว


 


 


เดิมทีความสำเร็จบนเส้นทางแห่งค่ายกลของฟางหยวนอยู่ในระดับสามัญ แต่ตอนนี้มันก้าวเข้าสู่ระดับกึ่งผู้เชี่ยวชาญแล้ว


 


 


ผู้ใช้วิญญาณส่วนใหญ่จะพบว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะเข้าถึงระดับนี้ตลอดช่วงชีวิตของพวกเขาไม่ว่าพวกเขาจะทุ่มเทมากเพียงใดก็ตาม


 


 


ฟางหยวนบรรลุสิ่งนี้ได้โดยใช้เวลาเพียงสองหรือสามวันหลังจากสำรวจอาณาจักรแห่งความฝัน


 


 


นี่คือพลังอำนาจของอาณาจักรแห่งความฝัน


 


 


อาจกล่าวได้ว่าอาณาจักรแห่งความฝันคือศูนย์รวมความหมายที่แท้จริง เมื่อผู้อมตะประสบความสำเร็จในการคลี่คลายอาณาจักรแห่งความฝัน พวกเขาจะได้รับความหมายที่แท้จริงและทำให้ระดับความสำเร็จของพวกเขาพุ่งสูงขึ้น


 


 


‘เพียงสองฉากก็ทำให้ข้าก้าวเข้าสู่ระดับกึ่งผู้เชี่ยวชาญบนเส้นทางแห่งค่ายกลแล้ว อาณาจักรแห่งความฝันนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ’


 


 


‘ไม่แปลกใจเลยที่มันยากมาก’


 


 


‘แต่ข้าไม่เคยได้ยินชื่อของตู้ซื่อเฉินมาก่อนจริงๆ…’


 


 


วิธีการสอนของเขาทำให้ฟางหยวนรู้สึกพูดไม่ออก แต่คนที่เขาสั่งสอนคือเจ้าของอาณาจักรแห่งความฝันนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กผู้นี้เป็นตัวละครที่สำคัญ


 


 


ฟางหยวนสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเขาอยู่ห่างจากระดับผู้เชี่ยวชาญเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น


 


 


‘ตราบเท่าที่ข้าผ่านฉากที่สาม ความสำเร็จของข้าจะก้าวเข้าสู่ระดับผู้เชี่ยวชาญอย่างแน่นอน!’


 


 


ฟางหยวนเลียริมฝีปากด้วยความตื่นเต้น


 


 


การคลี่คลายอาณาจักรแห่งความฝันช่วยยกระดับความสำเร็จของเขา นี่เป็นทางลัดในการบ่มเพาะ เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่สามารถหยุดความปรารถนาอันแรงกล้าต่อมัน


 


 


แต่เนื่องจากเขาออกมาจากอาณาจักรแห่งความฝันแล้ว เขาจึงไม่รีบร้อนกลับเข้าไป


 


 


เขานึกถึงเหตุการณ์ในฉากที่สามและวิญญาณทั้งหมด


 


 


เขารู้จักพวกมันเพียงหกสิบส่วน ดังนั้นตอนนี้เขาจึงเริ่มค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับวิญญาณเหล่านั้น


 


 


สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงวิญญาณระดับมนุษย์แต่พวกมันส่วนใหญ่สูญพันธุ์ไปแล้ว


 


 


ในไม่ช้าฟางหยวนก็พบข้อมูลที่เขาต้องการ


 


 


จากนั้นเขาก็อ่านสารานุกรมวิญญาณที่เขาซื้อมาก่อนหน้านี้อีกครั้ง


 


 


แต่ความเข้าใจในการอ่านครั้งนี้แตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง


 


 


ก่อนหน้านี้ฟางหยวนเข้าใจเพียงผิวเผิน แต่ตอนนี้เขาสามารถเห็นความหมายที่ซ่อนอยู่ด้วยการกวาดตามองเพียงครั้งเดียว นี่ทำให้เขาพบสิ่งใหม่ๆ


 


 


อย่างไรก็ตามมีบางสิ่งที่ฟางหยวนยังไม่สามารถทำความเข้าใจได้อย่างถ่องแท้


 


 


ท้ายที่สุดเขาก็ยังเป็นเพียงกึ่งผู้เชี่ยวชาญ ผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์สามารถบรรลุถึงระดับผู้เชี่ยวชาญ แน่นอนว่ามรดกชิ้นนี้ยังมีบางสิ่งที่ฟางหยวนไม่สามารถทำความเข้าใจ


 


 


ฟางหยวนหมกมุ่นอยู่กับความลึกซึ้งของค่ายกลวิญญาณ โดยไม่รู้ตัวเวลาก็ค่อยๆผ่านพ้นไป


 


 


เมื่อเขากระหายน้ำ เขาจะดื่มน้ำ เมื่อเขาหิว เขาจะกินผลไม้


 


 


ความคิดมากมายผุดขึ้นในใจของเขา เขาใช้วิธีบนเส้นทางแห่งปัญญาเพื่อช่วยในการเรียนรู้


 


 


ขอบเขตเนื้อหาของเส้นทางแห่งค่ายกลกว้างใหญ่มาก มันเชื่อมโยงกับทุกเส้นทาง


 


 


เพียงเมื่อวูอันขอพบฟางหยวน เขาจึงกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง


 


 


“แปดวันผ่านไปโดยไม่รู้ตัว…” ฟางหยวนงุนงงอยู่ชั่วครู่


 


 


ความคิดที่วุ่นวายในใจของเขาค่อยๆสงบลง


 


 


ในช่วงเกือบสิบวันที่ผ่านมาแห่งการเรียนรู้ มันทำให้พื้นฐานบนเส้นทางแห่งค่ายกลของเขาแข็งแกร่งขึ้น


 


 


“เขามาที่นี่เพื่อสิ่งใด?” ฟางหยวนขมวดคิ้วอย่างไม่สามารถอดทน


 


 


แต่หลังจากครุ่นคิด เขาก็ตัดสินใจอนุญาตให้วูอันเข้าพบ


 


 


ปรากฏว่าวูอันนำเทพธิดากระต่ายขาวมารายงานสถานการณ์เกี่ยวกับธุรกิจซื้อขายโอกาสและมอบบัญชีให้ฟางหยวนตรวจสอบ


 


 


แม้ฟางหยวนจะไม่สนใจธุรกิจนี้แต่เขายังเป็นผู้นำของธุรกิจ


 


 


อีกด้านหนึ่งในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา เทพธิดากระต่ายขาวต้องส่งรายงานให้เขา


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1327 จดหมายท้าทาย


 


แปลโดย iPAT  


 


 


ฟางหยวนกวาดตามองบัญชี สิ่งนี้ช่วยให้เขาเข้าใจกองกำลังรอบตัวได้มากขึ้น จากนั้นเขาก็บอกให้วูอันและเทพธิดากระต่ายขาวออกไป


 


 


“นายท่าน มีเรื่องหนึ่งข้าไม่รู้ว่าควรกล่าวดีหรือไม่?” ก่อนออกไป วูอันกล่าวด้วยความลังเล


 


 


“พูด” ฟางหยวนกล่าวอย่างตรงไปตรงมา


 


 


วูอันรายงานฟางหยวนเกี่ยวกับข่าวลือที่เกิดขึ้นเร็วๆนี้ว่าผู้อมตะจื่อซานกำลังจะมาตรวจสอบค่ายกลวิญญาณ


 


 


ฟางหยวนเข้าใจความหมายของวูอันทันทีและโบกมือให้เขาออกไป


 


 


‘เฉียวซื่อหลิวมีผู้ชายหมายปองมากมาย จื่อซานเป็นหนึ่งในคนสำคัญ’


 


 


‘เขาไม่เคยมีความคิดที่จะมาตรวจสอบค่ายกลวิญญาณ คราวนี้เขาต้องตั้งใจมาสร้างปัญหาให้ข้า’


 


 


ผู้อมตะฝ่ายธรรมะจะไม่ต่อสู้จนตัวตายแต่พวกเขาจะใช้วิธีสร้างปัญหาและทำลายชื่อเสียงของฝ่ายตรงข้าม


 


 


‘ข้าสามารถหลีกเลี่ยงการต่อสู้และไม่สนใจชื่อเสียง’ ฟางหยวนลูบคาง ‘แต่ข้าจำเป็นต้องป้องกันไม่ให้ความลับถูกเปิดเผย ท้ายที่สุดค่ายกลวิญญาณนี้ก็ถูกสร้างขึ้นโดยตระกูลจื่อ พวกเขาเป็นกองกำลังใหญ่ของภาคใต้ที่มีความเชี่ยวชาญบนเส้นทางแห่งค่ายกล’


 


 


ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลจื่อสร้างค่ายกลวิญญาณนี้ขึ้นมาด้วยตนเอง เขาเป็นปรมาจารย์เอกบนเส้นทางแห่งค่ายกล


 


 


การมาถึงของจื่อซานเร็วกว่าที่ทุกคนคาดหมาย


 


 


งานเลี้ยงต้อนรับเขาเป็นสิ่งสำคัญ


 


 


เนื่องจากจื่อซานเป็นตัวแทนของตระกูลจื่อ เขามีหน้าที่ตรวจสอบค่ายกลวิญญาณทั้งหมด


 


 


ระหว่างงานเลี้ยงมีคลื่นใต้น้ำเกิดขึ้น


 


 


คนฉลาดจะรู้ว่านี่ไม่ใช่หน้าที่ของจื่อซานแต่เขากลับเดินทางมาที่นี่ ขณะที่ทุกคนในภาคใต้รู้ว่าจื่อซานกำลังไล่ตามเฉียวซื่อหลิว แต่ในช่วงเวลาที่ผ่านมามีข่าวลือว่าวูอี้ไห่สนิทสนมกับเฉียวซื่อหลิวเป็นอย่างมาก


 


 


วัตถุประสงค์ของจื่อซานในการเดินทางมาที่นี่ในครั้งนี้ชัดเจนมาก


อ่านิยาย


 


แต่น่าเสียดายที่ฟางหยวนไม่ได้เข้าร่วมในงานเลี้ยงต้อนรับคนผู้นี้


 


 


เขายังสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันต่อไปอย่างเงียบๆ


 


 


หลายคนให้ความสนใจกับเรื่องนี้และรู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้เห็นละครฉากใหญ่


 


 


ปาเต๋อวางถ้วยชาลง “หลานชายจื่อซาน ข้าได้แนะนำผู้อมตะทั้งหมดแล้ว พวกเขาล้วนเป็นชนชั้นสูง แต่น่าเสียดายที่วันนี้มีบางคนยังไม่ปรากฏตัว เขามาจากทะเลตะวันออกและเข้าร่วมกับกองกำลังของภาคใต้ เมื่อเร็วๆนี้เขาเอาชนะเซี่ยเฟยกุ้ยและสัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขา เขาคือผู้นำของตระกูลวูในค่ายกลวิญญาณแห่งนี้”


 


 


หัวใจของผู้อมตะทั้งหมดในงานเลี้ยงสั่นไหวเมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านี้


 


 


พวกเขารู้ว่าปาเต๋อกำลังกล่าวถึงผู้ใด


 


 


จื่อซานอยู่ในชุดคลุมสีขาว เขามีใบหน้าที่หล่อเหลา ดวงตาลึก จมูกเรียวเล็ก เขาอายุหนึ่งร้อยหกสิบปี


 


 


ปาเต๋ออาวุโสกว่าจื่อซานมาก ตระกูลจื่อและตระกูลปาเป็นพันธมิตรผ่านการแต่งงาน ดังนั้นปาเต๋อจึงเรียกจื่อซานว่าหลานชาย


 


 


จื่อซานยิ้ม “ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงของวูอี้ไห่มาก่อน น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถพบเขาในวันนี้ แต่ข้าจะอยู่ที่นี่สักพัก ระหว่างนี้ข้าหวังว่าจะได้พบกับวูอี้ไห่”


 


 


งานเลี้ยงสิ้นสุดลง วูอันและวูเหลียวพบช่วงเวลาที่ยากลำบากในงานเลี้ยง


 


 


“โอ้ เนื่องจากเป็นกรณีนี้ เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะจัดงานเลี้ยงและส่งคำเชิญไปยังจื่อซาน” ฟางหยวนคิดก่อนกล่าว


 


 


วูอันและวูเหลียวชำเลืองมองกันด้วยความตื่นเต้น


 


 


เมื่อทั้งสองจากไป ฟางหยวนก็มองไปยังอาณาจักรแห่งความฝัน


 


 


ตอนนี้เขาผ่านฉากที่สาม สี่ และห้าเรียบร้อยแล้ว


 


 


ตัวละครหลักของอาณาจักรแห่งความฝันยังเป็นตู้ซื่อเฉินที่สั่งสอนบุตรชายของเขาอย่างเหี้ยมโหด ฟางหยวนต้องพบกับความทุกข์ทรมานจากสิ่งนี้จนเขาไม่เหลือพลังงานที่จะสาปแช่งอีกต่อไป


 


 


สิ่งนี้ทำให้ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งค่ายกลของฟางยวนเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ตอนนี้เขากลายเป็นกึ่งปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งค่ายกลไปแล้ว


 


 


‘แต่ข้ายังห่างไกลจากระดับปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งค่ายกลที่แท้จริง’ ฟางหยวนรู้สึกอย่างชัดเจน


 


 


ยิ่งระดับสูงขึ้น การบรรลุก็ยิ่งยากขึ้น


 


 


‘อาณาจักรแห่งความฝันยังไม่จบ ตามขนาดของมัน เหลืออีกอย่างน้อยสองฉาก!’


 


 


‘บุตรชายของตู้ซื่อเฉินผู้นี้น่าทึ่งมาก ความสำเร็จของเขาต้องเหนือกว่าระดับปรมาจารย์อย่างแน่นอน’


 


 


‘แต่ตอนนี้จื่อซานกำลังตรวจสอบค่ายกลวิญญาณที่อยู่รอบๆ ข้าควรจะหยุดสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันในช่วงเวลานี้’


 


 


ค่ายกลวิญญาณนี้ถูกสร้างขึ้นโดยตระกูลจื่อ ฟางหยวนยังไม่เข้าใจรูปแบบของมันอย่างสมบูรณ์ ดังั้นั้นมันจะดีกว่าหากเขาระวังตัว


 


 


ฟางหยวนรู้ดีว่าหากความลับเรื่องการคลี่คลายอาณาจักรแห่งความฝันของเขาถูกเปิดเผย มันจะส่งคลื่นความปั่นป่วนและส่งผลกระทบต่อเขาเป็นอย่างมาก


 


 


ในเวลานั้นไม่เพียงภาคใต้แต่อีกสี่ภูมิภาคจะระดมกำลังกันเพื่อตามหาเขา


 


 


“วูอี้ไห่เชิญข้าไปงานเลี้ยงในวันพรุ่งนี้งั้นหรือ?” จื่อซานกล่าวกับวูอันด้วยรอยยิ้ม


 


 


“ข้าซาบซึ้งในความตั้งใจของเขา แต่…ยกโทษให้ข้าด้วย ข้ายุ่งมาก ตอนนี้ข้ากำลังจัดการเรื่องสำคัญ รอให้ข้าตรวจสอบค่ายกลวิญญาณให้เรียบร้อยก่อน หลังจากนั้นข้าจะไปเยี่ยมเขา” จื่อซานปฏิเสธคำเชิญของฟางหยวนด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า


 


 


วูอันรู้สึกหมดหนทางขณะที่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธและอับอาย


 


 


การกระทำของจื่อซานคือการตบหน้าตระกูลวู สิ่งนี้ทำให้วูเหลียวและวูอันไม่พอใจ


 


 


อย่างไรก็ตามผู้อมตะของตระกูลอื่นลอบหัวเราะกับเรื่องนี้และคิดว่ามันเป็นการแสดงที่ดี


อ่านนิยาย


 


แต่ฟางหยวนยังสงบนิ่ง


 


 


เขามองวูอันและวูเหลียวอย่างเฉยเมย “ในกรณีนี้เราจะรอ”


 


 


เขาไม่แสดงความโกรธออกมาแม้แต่น้อย


 


 


“แต่…” วูอันและวูเหลียวกังวล แต่เนื่องจากฟางหยวนดูเหมือนจะไม่กังวล พวกเขาก็ไม่สามารถทำสิ่งใดนอกจากออกไป


 


 


แม้ฟางหยวนจะไม่สำรวจอาณาจักรแห่งความฝันแต่เขายังมีสิ่งอื่นอีกมากมายที่ต้องทำ


 


 


ตัวอย่างเช่นการสร้างถ้ำขดด้ายเพื่อขยายพันธุ์แมงมุมหน้าคน


 


 


นี่จะเป็นแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของมิติช่องว่างจักรพรรดิ


 


 


ฟางหยวนเตรียมความพร้อมเอาไว้แล้ว


 


 


ทั้งหมดคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับแมงมุมหน้าคน


 


 


ตามวิธีของเผ่าตงฟาน การสร้างถ้ำขดด้ายต้องจัดตั้งค่ายกลวิญญาณและทรัพยากรอมตะระดับหกและเจ็ด


 


 


ฟางหยวนรวบรวมทรัพยากรเหล่านั้นไว้แล้ว


 


 


ต่อไปคือการจัดตั้งค่ายกลวิญญาณ


 


 


โดยทั่วไปค่ายกลวิญญาณที่อาศัยทรัพยากรอมตะสามารถสร้างขึ้นโดยปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งค่ายกลเท่านั้น


 


 


ก่อนที่จะสำรวจอาณาจักรแห่งความฝัน ฟางหยวนยังไม่เข้าใจค่ายกลวิญญาณดังกล่าว แต่ตอนนี้เขาเข้าใจมันอย่างชัดเจน ท้ายที่สุดตอนนี้เขาก้กลายเป็นกึ่งปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งค่ายกลไปแล้ว


 


 


นอกจากนั้นฟางหยวนยังได้รับแรงบันดาลใจบางอย่าง


 


 


‘บางทีข้าอาจสามารถพัฒนาค่ายกลวิญญาณนี้และเพิ่มวิญญาณความพยายามเข้าไป ตามหลักการของค่ายกลวิญญาณ หากข้าเพิ่มวิญญาณความพยายามเข้าไป ผลผลิตของแมงมุมหน้าคนจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยแปดเท่า!’


 


 


หัวใจของฟางหยวนเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น


 


 


หากเขาสามารถบรรลุเป้าหมายนี้ ธุรกิจแมงมุมหน้าคนจะนำหน้าธุรกิจปลามังกร ผลกำไรที่เขาได้รับอาจนำหน้ากระทั่งธุรกิจวิญญาณความเด็ดเดี่ยว


 


 


สิ่งนี้อาจฟังดูเหมือนเกินจริงแต่หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน มันเป็นไปได้!


 


 


วิญญาณความเด็ดเดี่ยวถูกจำกัดด้วยปริมาณดวงวิญญาณ ปัจจุบันนิกายหลางหยากำลังพยายามฆ่าสัตว์อสูรเดียวดายที่ไท่ชิวและใช้ดวงวิญญาณของพวกมันผลิตวิญญาณความเด็ดเดี่ยว พวกเขายังนำดวงวิญญาณบางส่วนมาจากสวรรค์สีเหลืองและแดนน้ำแข็งของภาคเหนือ


 


 


ประเด็นสำคัญก็คือตระกูลเซียวของทะเลทรายตะวันตกมีกำลังซื้อแมงมุมหน้าคนทั้งหมด พวกเขามีความต้องการสินค้าชนิดนี้สูงมาก


 


 


ฟางหยวนเริ่มอนุมาน


 


 


แต่ในไม่ช้าเขาก็พบปัญหา


 


 


เขาไม่สามารถสร้างค่ายกลวิญญาณไม่ว่าจะใช้วิธีบนเส้นทางแห่งปัญญากี่วิธีก็ตาม


 


 


‘ข้าเป็นเพียงกึ่งปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งค่ายกล หากข้าเป็นปรมาจารย์ ข้าจะสามารถพัฒนาค่ายกลวิญญาณนี้ได้อย่างสมบูรณ์” ฟางหยวนตระหนักถึงเรื่องนี้


 


 


“อย่างไรก็ตามแม้ข้าจะไม่ใช่ปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งค่ายกล แต่มีบางคนแถวนี้ที่เป็น”


 


 


คนผู้นี้ไม่ใช่ผู้ใดนอกจากจื่อซาน!


 


 


หลังจากจื่อซานปฏิเสธคำเชิญของฟางหยวน เขาเริ่มลาดตระเวนไปรอบๆ


 


 


ผู้อมตะทุกคนในค่ายกลวิญญาณให้การต้อนรับเขาอย่างอบอุ่น


 


 


จื่อซานตั้งใจตรวจสอบค่ายกลวิญญาณอย่างช้าๆ ทุกคนรู้ดีว่ายิ่งช้าเท่าใด ใบหน้าของตระกูลวูก็ยิ่งเสียหายเท่านั้น


 


 


โดยธรรมชาติแล้วมันคือวูอี้ไห่ที่เป็นศัตรูของจื่อซาน ไม่ใช่ตระกูลวู


 


 


คู่แข่งความรัก!


 


 


‘วูอี้ไห่ เจ้าคิดว่าตนเองสูงส่งและแข็งแกร่งมาก เจ้าดูถูกข้า เจ้าเชิญข้า แต่คิดว่าข้าจะรีบไปหาเจ้างั้นหรือ? ฮืม ข้าจะให้เจ้ามาหาข้าด้วยตนเอง!’ จื่อซานมีความตั้งใจที่แน่วแน่


 


 


แต่ในไม่ช้าแผนของเขาก็ถูกทำลาย


 


 


เพราะจดหมายท้าทายของฟางหยวนมาถึงมือเขาแล้ว


 


 


ในจดหมายฟางหยวนเขียนว่า ครั้งหนึ่งข้าเคยไปเที่ยวจุดชมวิวกับเทพธิดาซื่อหลิวและในเวลานั้นชื่อของเจ้าก็ถูกกล่าวถึง เทพธิดาซื่อหลิวยกย่องว่าเจ้าเป็นอัจฉริยะบนเส้นทางแห่งค่ายกล แต่ข้าวูอี้ไห่ไม่ยอมรับเรื่องนั้น ข้าได้สร้างปัญหาบนเส้นทางแห่งค่ายกลขึ้นมา ลองดูว่าเจ้าจะสามารถแก้ปัญหานี้ได้หรือไม่? หากเจ้าทำได้ มันจะเป็นชัยชนะของเจ้า หากเจ้าทำได้ มันจะเป็นความพ่ายแพ้ของข้า ข้าจะแจ้งให้เทพธิดาซื่อหลิวทราบถึงผลลัพธ์นี้หลังจากนั้น


 


 


จื่อซานถูกล่อลวงอย่างสมบูรณ์!


 


 


‘วูอี้ไห่ ดังคาด เจ้าทนไม่ไหวแล้ว’


 


 


‘แต่เจ้าต้องการใช้เส้นทางแห่งค่ายกลเพื่อสร้างปัญหาให้ข้าจริงๆงั้นหรือ?’


 


 


‘เจ้าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงแต่กลับต้องการใช้ปัญหาบนเส้นทางแห่งค่ายกลเพื่อทำให้ข้าอับอายงั้นหรือ? สิ่งใดที่ทำให้เจ้ามีความกล้าถึงเพียงนี้?’


 


 


‘เจ้ากำลังร้องขอความอัปยศให้กับตนเอง! ข้าจะบอกเทพธิดาซื่อหลิวเกี่ยวกับความพ่ายแพ้ของเจ้าอย่างแน่นอนและนี่จะพิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของข้า จื่อซาน!’


 


 


———————–


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1328 ความไร้ยางอายของฟางหยวน


แปลโดย iPAT  


จื่อซานรู้สึกว่าเขาถูกทำให้อับอาย


ในปัจจุบันโลกของผู้อมตะภาคใต้ไม่มีผู้ใดไม่รู้จักวูอี้ไห่ ทุกคนรู้ว่าเขาบ่มเพาะอยู่บนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง แต่ตอนนี้ฟางหยวนกลับไม่ใช้ความเชี่ยวชาญของเขาเพื่อสร้างปัญหาให้กับจื่อซานแต่เลือกปัญหาที่จื่อซานชำนาญที่สุด


มันเหมือนกับเขาไม่จำเป็นต้องใช้วิธีที่ตนเองชำนาญเพื่อจัดการศัตรูผู้นี้เพราะศัตรูผู้นี้ไม่สามารถเปรียบเทีบบกับเขา!


การดูหมิ่นนี้เป็นการท้าทายที่ยิ่งใหญ่


เขารับไม่ได้!


สิ่งนี้ไม่สามารถอดทนได้!


ดวงตาของจื่อซานเบิกกว้างขณะที่เขาบีบวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลของฟางหยวนและพึมพำ “ให้ข้าดูว่าเจ้ามีปัญหาใด?”


“หือ…นี่ค่อนข้าง…”


ในไม่ช้าร่องรอยของความเคร่งขรึมก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจื่อซาน


คำถามของฟางหยวนค่อนข้างท้าทาย


แต่ในไม่ช้าจื่อซานก็ยอมรับ “ไม่แปลกใจเลยที่เขามั่นใจว่าปัญหานี้จะสามารถก่อกวนข้า ปัญหานี้ค่อนข้างยาก”


“เขาสร้างปัญหานี้ขึ้นมาด้วยตนเองงั้นหรือ? เป็นไปไม่ได้! เขาบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง มันต้องเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งค่ายกลของตระกูลวูที่อยู่เบื้องหลังการสร้างปัญหานี้ ฮืม ด้วยตัวตนของเขาในฐานะน้องชายของวูหยง ผู้อมตะคนอื่นๆของตระกูลวูจะไม่ช่วยเขาได้อย่างไร?”


แม้ตระกูลวูจะไม่เชี่ยวชาญด้ายค่ายกลเป็นพิเศษ แต่ตราบเท่าที่เป็นกองกำลังใหญ่ พวกเขาก็ต้องมีสมาชิกที่ชำนาญด้านนี้


เนื่องจากกองกำลังใหญ่จำเป็นต้องปกป้องแหล่งทรัพยากรของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงต้องสร้างค่ายกลวิญญาณขนาดใหญ่สำหรับพวกมัน


“แต่กระทั่งผู้อมตะของตระกูลวูจะช่วยเขา ในแง่ของความเชี่ยวชาญบนเส้นทางแห่งค่ายกล ตระกูลจื่อของข้าเป็นอันดับหนึ่งของภาคใต้!”


จื่อซานรู้สึกภาคภูมิใจต่อตระกูลของตน


เขารวบรวมสติและดำดิ่งลงไปในปัญหาของฟางหยวน


ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งดำลึกลงไป


ด้วยการวิเคราะห์ของเขา เขาได้แบ่งปัญหาออกเป็นหลายสิบส่วน


“วิธีปกติใช้แก้ปัญหาน้ำกับไฟที่ต่อต้านกันไม่ได้”


“ค่ายกลวิญญาณต้องเป็นรูปแบบวงกลม”


“จะแก้ปัญหานี้อย่างไร?”


“ฮืม นี่ค่อนข้างยาก”


“แต่นี่ไม่สามารถเอาชนะข้า!”


จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของจื่อซานพุ่งทะยานขึ้น เขาบอกกับตนเองว่าเขาต้องมอบบทเรียนให้กับฟางหยวน


ให้ฟางหยวนรู้ว่าจื่อซานไม่สามารถถูกทำให้อับอาย!


“นายท่าน งานเลี้ยงตอนเย็นที่ตระกูลลั่วเชิญท่านกำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า เราควรออกไปเดี๋ยวนี้” ผู้อมตะระดับหกของตระกูลจื่อ จื่อลิ่ว เตือนจื่อซานจากนอกประตู


“ไม่ไป!” จื่อซานไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น เขาปฏิเสธในขณะที่เขายังคิดหาคำตอบต่อไป


“แต่เรารับปากแล้ว…” จื่อลิ่วลังเล


“ข้าบอกว่าไม่ได้ ออกไป!” จื่อซานตะโกนอย่างหมดความอดทน


จื่อลิ่วทำได้เพียงจากไปเท่านั้น


จื่อซานสูดหายใจลึกและมองปัญหาของฟางหยวน ดวงตาของเขาส่องประกายขณะที่เขาพึมพำ “งานเลี้ยงอันใด สิ่งสำคัญที่สุดคือการเอาชนะเขา! ยิ่งข้าสามารถแก้ปัญหานี้ได้เร็วเท่าใด มันก็ยิ่งดี!”


ค่ำคืนผ่านไปเช่นนี้


จื่อซานไม่ได้นอน ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ เส้นผมยุ่งเหยิง และเขาเหนื่อยมาก


แม้ผู้อมตะจะไม่จำเป็นต้องกินหรือนอนติดต่อกันหลายคืน แต่จื่อซานยังค่อนข้างเหนื่อย เขาไม่ได้พักผ่อนแม้แต่น้อยและพยายามแก้ปัญหาด้วยความสามารถทั้งหมด


“ปัญหานี้ยากจริงๆ แต่…ข้าแก้มันได้แล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้ากล้าท้าทายข้างั้นหรือ? ข้าจะทำให้เจ้ารู้จักความสุดยอดของข้า!”


แม้จะเหน็ดเหนื่อยแต่จื่อซานยังหัวเราะด้วยความตื่นเต้น


เขาแทบไม่สามารถอดทนรอที่จะเห็นการแสดงออกของฟางหยวน


“ข้าจะไปและสนุกกับการแสดงของเจ้าเดี๋ยวนี้!”


จื่อซานเดินไปที่ประตูแต่เขากลับหยุดเท้าอย่างกะทันหัน


“หือ ไม่! ข้ากำลังต่อสู้กับวูอี้ไห่ แล้วข้าจะไปหาเขาก่อนได้อย่างไร? ชื่อเสียงของข้าจะเสียหาย ข้าต้องส่งผู้ใต้บังคับบัญชาออกไป….”


หลังจากนั้นไม่นานจื่อลิ่วก็เข้ามาหาจื่อซาน


“เสี่ยวลิ่ว นำสิ่งนี้ไปให้วูอี้ไห่ ฮ่าฮ่า ข้าจะมอบบทเรียนให้เขา!”


จื่อลิ่วทำงานอย่างรวดเร็ว


เขารู้ว่าจื่อซานเป็นความหวังของตระกูลจื่อ ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลจื่อ จื่อชิวหยู เคยกล่าวไว้ในอดีตว่าจื่อซานจะเป็นผู้สืบทอดของเขา


จื่อชิวหยูเป็นปรมาจารย์เอกบนเส้นทางแห่งค่ายกล เขายอมรับจื่อซาน นั่นหมายความว่าจื่อซานมีโอกาสที่จะกลายเป็นปรมาจารย์เอกบนเส้นทางแห่งค่ายกลเช่นกัน


และจื่อซานไม่ได้ทำให้ตระกูลผิดหวัง


เขาแสดงความสามารถออกมาตั้งแต่อายุยังน้อย และด้วยทรัพยากรของตระกูล เขาจึงสามารถบ่มเพาะได้อย่างราบรื่น ดังนั้นความสำเร็จบนเส้งทางแห่งค่ายกลของเขาจึงไม่สามารถมองข้าม


“อืม…” ฟางหยวนค่อยๆตื่นขึ้นและกางแขนบิดขี้เกียจอย่างสะดวกสบาย


แม้จิตวิญญาณของเขาจะฟื้นฟูขึ้นด้วยวิญญาณความเด็ดเดี่ยวแต่เขายังสูยเสียพลังจิตไปมาก


วิญญาณความเด็ดเดี่ยวไม่สามารถแก้ปัญหานี้ แต่การนอนหลับจะทำให้จิตใจของเขาสงบและได้พักผ่อนอย่างแท้จริง


หลังจากฟางหยวนนอนหลับอย่างเพลิดเพลินมาตลอดทั้งคืน ความเหนื่อยล้าทั้งหมดของเขาก็หายไป


วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลจากจื่อซานถูกส่งมาขณะที่เขายังหลับอยู่


เมื่อฟางหยวนชำเลืองมองไปที่มัน ดวงตาของเขาก็ส่องประกายขึ้นด้วยความยินดี “โอ้ เขาแก้ปัญหาได้จริงๆ!”


“นี่ค่อนข้างเร็ว!”


ฟางหยวนถอนหายใจขณะที่เขาเริ่มตรวจสอบมัน


ดวงตาของเขาส่องประกายซ้ำแล้วซ้ำอีกกับวิธีแก้ปัญหาของจื่อซาน


“เป็นเช่นนี้!” ฟางหยวนลูบคาง นี่เป็นแนวคิดใหม่ทั้งหมด มันทำให้เขาได้เปิดหูเปิดตาอย่างแท้จริง


“ตามแนวคิดนี้ คำตอบนี้ยังไม่เหมาะสมกับค่ายกลวิญญาณที่ข้าต้องการ ข้าต้องปรับเปลี่ยนเล็กน้อยในบางจุด”


ฟางหยวนครุ่นคิด


เขาไม่ได้มอบค่ายกลวิญญาณที่สมบูรณ์แบบให้จื่อซานแต่นำออกมาเพียงบางส่วนเท่านั้น


คำตอบของจื่อซานไม่มีข้อผิดพลาดแต่มันยังไม่สามารถหลอมรวมกับค่ายกลวิญญาณทั้งหมด


อย่างไรก็ตามด้วยระดับความสำเร็จของฟางหยวนในปัจจุบัน เขาสามารถปรับเปลี่ยนบางอย่าง


จื่อซานเป็นปรมาจารย์และฟางหยวนเป็นกึ่งปรมาจารย์ ไม่มีความแตกต่างมากนักระหว่างสองระดับนี้


ฟางหยวนได้รับกำไรมหาศาลจากคำตอบสำหรับปัญหาที่ทำให้เขาหนักใจ


“สมแล้วที่เป็นตระกูลจื่อของภาคใต้” เขาพึมพำและชื่นชมความสามารถของจื่อซาน


เมื่อสามารถแก้ปัญหานี้ ฟางหยวนก็สามารถดำเนินการพัฒนาค่ายกลวิญญาณของเขาต่อไป


เขาเริ่มอนุมานอีกครั้ง


หลายวันผ่านไปเช่นนี้


จื่อซานกังวลมาก


หลังจากเขาส่งมอบคำตอบ เขาก็รอการตอบกลับจากฟางหยวนมาตลอด แต่หลังจากหลายวันเขาก็ยังไม่ได้รับการตอบกลับใดๆ นี่ทำให้เขาไม่สามารถดื่มและกินได้อย่างมีความสุข


“วูอี้ไห่กำลังทำสิ่งใดอยู่?” จื่อซานพึมพำ


“จื่อซาน เกิดสิ่งใดขึ้น?” ในงานเลี้ยง ผู้อมตะตระกูลลั่วถามด้วยความสงสัย


จื่อซานรู้สึกตัวในที่สุด


เขาเคยปฏิเสธคำเชิญร่วมงานเลี้ยงของตระกูลลั่วมาก่อนหน้านี้ แต่หลังจากแก้ปัญหาให้ฟางหยวน เขาก็ต้องมาร่วมงานเลี้ยงอีกครั้ง


เขาต้องเข้าร่วม มิฉะนั้นมันจะทำให้ตระกูลลั่วขุ่นเคือง


ผู้อมตะจื่อกุ้ยที่นั่งอยู่ด้านข้างเร่งไกล่เกลี่ย “ยกโทษให้เขาด้วย จื่อซานมักเป็นเช่นนี้ จิตใจของเขามักล่องลอยออกไป บางครั้งเขาก็ลืมกินอาหารเมื่อคิดถึงปัญหาบนเส้นทางแห่งค่ายกล เขาจะหยุดนิ่งอย่างกะทันหันและมันสามารถเกิดขึ้นได้แม้แต่ในขณะที่เขากำลังเดินอยู่”


จื่อกุ้ยเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดและเป็นผู้นำของตระกูลจื่อในค่ายกลวิญญาณแห่งนี้


ผู้อมตะตระกูลลั่วหัวเราะเสียงดัง “ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับพฤติกรรมของจื่อซานมาก่อน เขาเป็นอัจฉริยะบนเส้นทางแห่งค่ายกล เห้อ…หากตระกูลลั่วของข้าสามารถผลิตอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์เพียงยี่สิบหรือสามสิบส่วนของจื่อซาน ข้าจะพอใจมาก”


ในเวลาเดียวกัน คิ้วของฟางหยวนกำลังขมวดแน่น


เขาพบปัญหาอื่น


“ดูเหมือนการพัฒนาค่ายกลวิญญาณนี้จะเกินขีดความสามารถของข้าไปแล้ว”


ฟางหยวนพบปัญหาใหม่และยิ่งยากกว่าก่อนหน้า


“ในกรณีนี้ข้าจะส่งมันให้จื่อซาน” ฟางหยวนยิ้ม


“มาแล้ว มาแล้ว!” เมื่อจื่อซานกลับไปถึงที่พักของเขา เขาก็ได้รับวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลจากฟางหยวน


ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น


“คิดว่าข้าง่ายงั้นหรือ!?”


จื่อซานหัวเราะเย้ยหยันและแสดงออกราวกับผู้ชนะ


อย่างไรก็ตามหลังจากสติของเขากลับคืนมา เนื้อหาในจดหมายกลับทำให้ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความโกรธ


“วูอี้ไห่ เจ้ากล่าวเรื่องไร้สาระใด!?”


“เขาช่างไร้ยางอายนัก!”


จื่อซานสาปแช่ง


ในจดหมายฟางหยวนไม่ได้กล่าวถึงจดหมายท้าทายฉบับก่อนหน้าแม้แต่น้อย แต่เขายอมรับว่าจื่อซานมีความสามารถบางอย่าง โดยธรรมชาติแล้วจื่อซานอาจโชคดีได้เช่นกัน


“หากเจ้าสามารถแก้ปัญหานี้ได้ ข้าจะยอมรับว่าเจ้ามีคุณสมบัติที่จะไล่ตามเทพธิดาซื่อหลิว” นี่คือสิ่งที่เขียวไว้ในจดหมาย


เมื่อชื่อของเฉียวซื่อหลิวถูกกล่าวถึง จื่อซานก็ไม่สามารถอดทนต่อมันได้


“คุณสมบัติของข้าต้องให้เจ้าตัดสินงั้นหรือ?”


“วูอี้ไห่ ข้าประเมินเจ้าสูงเกินไปจริงๆ เจ้าคนไร้ยางอาย!”


จื่อซานรู้สึกเหมือนยืนอยู่ต่อหน้าฟางหยวนและกำลังเย้ยหยันเขาอยู่


“เขากล่าวว่าเคยไปเที่ยวจุดชมวิวกับซื่อหลิว กระทั่งข้าก็ไม่เคยไปแม้แต่ครั้งเดียว เจ้าคนบัดซบผู้นี้!” จื่อซานกัดฟันด้วยความขุ่นเคือง


เขาเกือบจะบดขยี้วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่อยู่ในมือ


แต่เขาคิดและต่อต้านแรงกระตุ้นนี้


“หากข้าทำลายวิญญาณดวงนี้ มันจะทำให้วูอี้ไห่สมความปรารถนา”


“ฮืม เขาสร้างปัญหาให้ข้าไม่ได้ ตอนนี้เขากลัวข้ามาก ดังนั้นเขาจึงจงใจกล่าวเช่นนี้”


“ถูกต้อง ข้าจะไม่ทำสิ่งที่เขาต้องการเห็น!”


“ข้าปล่อยให้มันเกิดขึ้นไม่ได้ ข้าต้องชนะต่อไปและทำให้เขายอมรับความพ่ายแพ้ของเขา ข้าต้องทำให้เขาตระหนักถึงความแข็งแกร่งของข้าอย่างเต็มที่!”


“แน่นอนเพื่อป้องกันความไร้ยางอายอีกครั้ง ข้าต้องทำให้มันกลายเป็นเรื่องที่ทุกคนรับรู้ ยิ่งมีคนรู้มากเท่าใดก็ยิ่งดี!”


จื่อซานเรียนรู้จากความผิดพลาดของเขา


เดิมทีที่มาของข้อพิพาทนี้เกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่ง จื่อซานรู้สึกว่ามันน่าอายเล็กน้อย แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจมันอีกต่อไป เขาเพียงต้องการกำหราบฟางหยวนให้ราบคาบเท่านั้น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)