ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 1322-1333

 บทที่ 1322 ชายผู้คล้องม้า

 

ลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ทั้งสองตัววิ่งตะบึงไปบนทุ่งหญ้า แสงอาทิตย์ส่องประกายลงมาบนขนสีขาวดำ เปล่งแสงสว่างสดใสอยู่บนร่างกายรูปร่างเพรียวลม อย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง


ในตอนนี้ฉินสือโอวเพิ่งจะได้สัมผัสถึงเสน่ห์ของม้าพันธุ์ดี บางทีอาจจะเป็นเพราะม้าควอเตอร์พวกนั้นไม่งดงามมากพอ ไม่ใช่เพราะม้าพันธุ์ดีไร้ซึ่งเสน่ห์ดึงดูดต่อเขา


ที่ด้านหลังลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์คือฝูงห่านขาวที่กำลังยื่นคอออกมา พร้อมกับกางปีกทั้งสองข้างออก พวกมันใช้สายตาอาฆาตมาดร้ายจ้องมองไปที่ลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ที่วิ่งอยู่ทางด้านหน้า ส่วนพวกมันที่ตามอยู่ทางด้านหลังก็เรียกได้ว่าไล่ตามแบบกัดไม่ยอมปล่อย


แต่ถึงแม้ว่าทางด้านหลังจะมีกองทัพศัตรูไล่ตามมาติดๆ ลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ทั้งสองก็ยังวิ่งตะบึงได้อย่างผ่าเผยและเป็นธรรมชาติ พวกมันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวบางอย่างที่ม้าควอเตอร์ไม่มี


ฉินสือโอวชี้นิ้วไปทางด้านหน้า พวกหู่เป้าฉงหลัวร้องคำรามเสียงต่ำพร้อมกับบุกไปข้างหน้า ลูกแมวป่าทำตัวเป็นจิ้งจอกแอบอ้างบารมีสัตว์อื่น มันสะบัดหางอันใหญ่วิ่งตามไปด้านหลัง แต่หลังจากวิ่งเข้าไปถึงตรงบริเวณกึ่งกลางของทุ่งหญ้าก็ไม่เจอตัวมันแล้ว


สมัยที่ยังเล็กอยู่ พวกหู่เป้าฉงหลัวต่างก็เคยเผชิญกับความเจ็บปวดจากฝูงห่านขาว ในตอนนั้นพวกมันยังหัวอ่อน ขนก็ยังอ่อนนุ่ม ทำให้หลายๆ ครั้งเวลาถูกฝูงห่านล้อมเอาไว้พวกมันก็ไร้ซึ่งปัญญาที่จะรับมือด้วย ตอนนี้ไม่เหมือนกับตอนนั้น พวกมันโตขึ้นแล้ว การรับมือกับฝูงห่านก็เป็นเรื่องที่ทำได้อย่างง่ายดาย


ได้เห็นเงาร่างที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจบารมีของฉงต้า พวกห่านขาวก็อ่อนแรงลง ไม่กล้าไล่ตามด้วยความกำแหงอีกต่อไป แต่พากันหยุดอยู่กับที่แล้วมองดูฉงต้าด้วยท่าทีอ่อนแอ


ฉงต้าคิดในใจว่าเจ้าพวกชั่วช้าอย่างพวกแกก็มีวันนี้เหมือนกันเหรอ? ฟาดอุ้งเท้าอวบอ้วน ตบพวกห่านขาวเหมือนหวดลูกปิงปองจนพวกมันร้องแควกๆ บินกระจายไปคนละทิศคนละทางอย่างน่าเวทนา


หู่จือเป้าจือหลัวปอที่ตามมาทางด้านหลังไม่จำเป็นต้องลงมือเลย พวกมันลากเสียงจากในลำคอร้องขู่ออกมาไม่กี่ครั้ง เท่านั้นก็ทำให้พวกมันดูแข็งแกร่งมากพอแล้ว


เมื่อลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์หันกลับไปมอง ก็พบว่าฝูงห่านขาวอันธพาลถูกพวกฉงต้าโจมตีจนพ่ายแพ้ยับเยิน ลูกม้าทั้งสองตัวหันมาสบตากันชั่วครู่ ต่อจากนั้นพวกมันทั้งสองตัวก็หันหัวกลับไปอย่างไม่ลังเล แล้วบุกเข้าไปหาฝูงห่านขาวราวกับพายุหมุน กีบเท้าขนาดเล็กทั้งเตะทั้งถีบ ยิ่งทำให้สถานการณ์ทางฝั่งพวกห่านขาวยิ่งเลวร้ายขึ้นไปอีก


ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้พวกหู่เป้าฉงหลัวรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง ฉงต้าหันหัวไปดูลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ที่กำลังออกสกิลดับเบิลคิกอยู่ข้างๆ คำว่าเลื่อมใสตัวโตๆ ถูกเขียนไว้บนใบหน้าอวบอ้วนของมัน น้องชายช่างมีจิตใจที่แข็งแกร่งจริงๆ ตอนที่พวกพี่ๆ อายุเท่าพวกนายมีแต่ถูกฝูงห่านไล่จนแทบฉี่รดฉี่ราด


ฉินสือโอวกอดอกพูดด้วยรอยยิ้มว่า “โว้ว เจ้าสองตัวนี้ดูจะมีอารมณ์รุนแรงอยู่เหมือนกันนะเนี่ย”


ตอนที่ได้พบกันบนท่าเรือ สายตาของลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ยังดูขลาดอายอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับบุกเข้าไปสู้ท่ามกลางฝูงห่าน ราวกับว่าพวกมันเป็นจ้าวจื่อหลงจากภูเขาฉางซาน


คาปริโนจึงพูดขึ้นมาว่า “ปล่อยไปเถอะน่า ฉิน นี่มันจะเท่าไรกันเชียว? ปกติมาก พวกมันคือม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์นะไม่ใช่แมวลาย ถ้าไม่มีอารมณ์รุนแรงเลย แล้วพวกมันจะต้อนวัวต้อนแพะได้ยังไงกันล่ะ?”


เมื่อเทียบกันแล้ว ความสามารถของพวกวัวพันธุ์บราห์มันกับแพะขาวก็ยิ่งดูด้อยกว่า ก่อนหน้านี้พวกมันถูกฝูงห่านล้อมรังแก ต่อมาพอฉงต้าไล่ฝูงห่านพวกนั้นออกไป พวกมันก็ไม่กล้าไล่ตามเพื่อไปทำการต่อสู้ด้วย ทำเพียงแค่เข้ามาอยู่ใกล้ๆ กันแล้วรับชมการต่อสู้อย่างว่าง่ายก็เท่านั้น


ไล่ตามฝูงห่านไปได้ไม่เท่าไร พวกหู่เป้าฉงหลัวก็หยุดฝีเท้าลง ลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ชำนาญด้านการวิ่ง อย่ามองว่าอายุของพวกมันยังน้อย ตอนนี้แหละที่เป็นช่วงที่พวกมันสามารถรักษาพลังในการต่อสู้ไว้ได้ดีที่สุด พวกมันวิ่งไล่ตามอยู่ทางด้านหลัง วิ่งออกไปอีกหลายร้อยเมตรถึงเพิ่งจะหยุดฝีเท้าลง


การต่อสู้เป็นวิธีกระชับมิตรที่ดีที่สุด พวกฉงต้าดึงลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์มาเป็นพวกทันที หู่จือเข้าไปเลียน่องขาของลูกม้า ส่วนลูกม้าก็เลียหลังของมันกลับ แบบนี้ก็เท่ากับว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็ยอมรับซึ่งกันและกันแล้ว


ฉงต้าลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปหาพวกมันอย่างงกๆ เงิ่นๆ มันยื่นอุ้งเท้าอวบอ้วนออกไปตบลงบนหน้าผากของลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์เบาๆ ลูกม้าก็ยื่นนิ่งๆ อยู่ตรงนั้นราวกับว่าพวกมันคือน้องเล็กผู้ซื่อสัตย์


ภาพนี้ทำให้ฉินสือโอวเอ่ยชมออกมาขนานใหญ่ “ชิท ม้าสองตัวนี้สุดยอดไปเลย พวกมันไม่กลัวหมีสีน้ำตาลเลยเหรอเนี่ย? นี่มันหาได้ยากสุดๆ ไปเลย”


เห็นได้ชัดว่าคาปริโนเข้าใจม้าของเขามากกว่า เขาจึงพูดอธิบายด้วยความเก้อเขินว่า “ผมกล้าพูดเลยว่าพวกมันไม่ได้ไม่กลัว แต่กำลังช็อกอยู่ต่างหาก ตอนนี้คงพากันกลัวจนไม่กล้าวิ่งหนี”


ฉงต้าตบหน้าผากลูกม้าอยู่ไม่กี่ทีก็หันหลังกลับแล้วเดินกลับไป แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวมันก็เห็นว่าเพื่อนใหม่ไม่ได้เดินตามมาด้วย จึงหันกลับไปมองด้วยความประหลาดใจ


ท่อนขาเรียวเล็กของลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ทั้งสองตัวกำลังสั่นระริก พวกมันก็อยากจะก้าวเดิน แต่ดันก้าวขาไม่ออกนี่สิ…


ลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์มีรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงามมาก พวกเชอร์ลี่ย์ที่เพิ่งจะกลับมาจากในเมืองวิ่งกระโดดโลดเต้นเข้ามาหา เมื่อมองเห็นลูกม้าทั้งสองตัวพวกเขาก็ร้องเสียงแหลม แล้วพากันเฮโลพุ่งเข้ามาหาพวกมันทันที


ลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ที่กำลังกินหญ้าอยู่ตกใจจนตัวโยน พวกมันหันหัววิ่งหนีทันที กีบเท้าม้าก้าวย่างอย่างนุ่มนวล พวกเด็กๆ วิ่งไล่ตามอยู่ด้านหลังแม้แต่ก้นม้าก็คว้าไว้ไม่ทัน


รอจนวินนี่เลิกงานแล้ว ฉินสือโอวจึงอยากจูงลูกม้าอเมริกัน เพนต์ทั้งสองตัวไปรอที่หน้าประตูทางเข้า เพื่อเซอร์ไพรซ์วินนี่


แต่ปรากฏว่าพวกลูกม้ากลับตกใจเพราะพวกเด็กๆ เสียก่อน เมื่อเห็นว่ามีคนเข้ามาใกล้ พวกมันก็รับสะบัดกีบเท้าวิ่งหนีต่อทันที


ฉินสือโอวจึงโบกมือ แล้วตะโกนว่า “หู่จือเป้าจือ จัดการ จับกลับมาให้ได้!”


หู่จือกับเป้าจือชำนาญในเรื่องการล่าสัตว์เป็นอย่างยิ่ง ตัวหนึ่งไล่ตามไปโจมตีตรงๆ ส่วนอีกตัวก็ตีปีกโอบล้อมลูกม้าจากทางด้านข้าง นี่เป็นยุทธวิธีแบบฉบับดั้งเดิมของพวกมัน


ทว่าคราวนี้ยุทธวิธีนี้กลับใช้ไม่ได้ผลแล้ว พวกมันเหมาะที่จะใช้วิธีนี้ในการจัดการฝ่ายตรงข้ามที่มีขนาดตัวเล็กกว่าพวกมันเท่านั้น อย่างลูกม้าอเมริกัน เพนต์สองตัวนี้ ทั้งหู่จือและเป้าจือต่างก็ไม่มีใครมีร่างกายสูงใหญ่ ต่อให้ตามพวกมันทันแล้วยังไงล่ะ? ลูกม้าไม่ได้กลัวพวกมัน ไม่มีทางถูกพวกมันไล่ต้อนให้วิ่งกลับมาแน่


เป้าจือปิดล้อมพวกมันไว้จากทางด้านข้าง ถึงแม้ว่าจะสามารถปิดกั้นเส้นทางเอาไว้ได้ ทว่าลูกม้าอเมริกัน เพนต์หัวดำก็เลือกที่จะพุ่งเข้าชนมันอย่างไร้อารยะ ‘ปัง’ เมื่อเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นมา เป้าจือก็ม้วนกลิ้งออกไปราวกับลูกโบวลิ่ง…


แม้กระทั่งหู่จือกับเป้าจือก็จับลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ไว้ไม่ได้ ฉินสือโอวก็เริ่มปวดกระบาลขึ้นมาแล้ว เวรเอ๊ย ถ้ารู้ตั้งแต่แรกเขาคงไม่กล้าเลี้ยงลูกม้าทั้งสองตัวแบบปล่อยหรอก ดีเลยล่ะคราวนี้ รับกรรมที่ตัวเองก่อไว้ซะ


แบล็คไนฟ์เห็นฉินสือโอวหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ทางนั้น เขาเลยถามขึ้นมาว่า “บอส คุณอยากคล้องม้าสองตัวนั้นไว้เหรอครับ?”


ฉินสือโอวพยักหน้าพร้อมกับกล่าวว่า “ใช่ แต่หู่จือกับเป้าจือจับพวกมันไว้ไม่ได้ แถมเจ้าสองตัวนั้นก็ยังเด็กเกินไป ฉันเลยไม่กล้าจับพวกมันด้วยวิธีที่รุนแรงเกินไป”


แบล็คไนฟ์หัวเราะออกมา เขาถอดเสื้อตัวนอกออกเผยให้เห็นกล้ามเนื้อแข็งแรงราวกับหินผา แล้วพูดขึ้นมาว่า “คอยดูผมแล้วกันนะครับ บอส ผมพูดได้แค่ว่านี่น่ะเรื่องกล้วยๆ!”


พอพูดจบ แบล็คไนฟ์ก็ตะโกนใส่วิทยุสื่อสารว่า “แอร์แบ็ค ออกมาคล้องม้าที!”


เห็นท่าทางของแบล็คไนฟ์เป็นแบบนี้ ฉินสือโอวก็นึกว่าเขาจะร่วมมือกับแอร์แบ็ค ปรากฏว่าหลังจากแอร์แบ็ควิ่งออกมาหาแล้ว เขาก็เล่าความต้องการของฉินสือโอวให้ฟังคร่าวๆ หลังจากนั้นแอร์แบ็คจึงแผ่มือออกพร้อมกับพูดว่า “โอเค ใช้เวลามากที่สุดแค่ห้านาทีเท่านั้น เดี๋ยวแอร์แบ็คก็พาพวกมันกลับมาได้แล้วละครับ”


ฉินสือโอวถามว่า “แอร์แบ็คคล้องม้าได้ด้วยเหรอ?”


แบล็คไนฟ์จึงพูดอย่างภูมิใจนำเสนอว่า “บอส คุณต้องลืมบ้านเกิดของแอร์แบ็คไปแล้วแน่ๆ เขาคือคาวบอยจากเมืองแดลลัส รัฐเท็กซัส เขาคล้องม้าเป็นก่อนจะรู้จักช่วยตัวเองเป็นเสียอีก”


ฉินสือโอวมองดูแบล็คไนฟ์ แล้วพูดขึ้นมาว่า “ก็ถ้าอย่างนั้น งั้นฉันขอถามหน่อยว่านายถอดเสื้อผ้าท่อนบนทำไม?”


แบล็คไนฟ์หัวเราะแห้งๆ พูดพึมๆ พำๆ ว่า “อากาศร้อน อากาศมันร้อนนิดหน่อยน่ะ”


แอร์แบ็คขึ้นไปบนเรือเพื่อหาเชือกมาคล้องเป็นบ่วงบาศ ต่อจากนั้นเขาก็ขับรถเอทีวีออกไปไล่ตามลูกม้าทั้งสองตัวด้วยความเร็วราวกับติดปีก


เห็นรถเอทีวีเข้าเคลื่อนเข้ามา ลูกม้าทั้งสองก็ยิ่งรู้สึกกลัว พวกมันสะบัดกีบเท้าแยกกันวิ่งหนี แอร์แบ็คไล่ตามลูกม้าหัวสีดำวาวก่อน เขาใช้มือข้างหนึ่งบังคับรถเอทีวี ส่วนมืออีกข้างก็จับบ่วงเชือกแล้วควงมันให้เป็นวงกลม


แอร์แบ็คแขวนมันไว้ที่ด้านหลังม้าหัวสีดำตัวนั้นก่อน เขาไล่ตามมันอยู่สองนาทีกว่าๆ โดยที่ยังไม่ได้ลงมือทำอะไร เมื่อเป็นเช่นนี้จิตใจที่คอยระแวดระวังของม้าหัวสีดำก็เริ่มหายไป มันค่อยๆ ลดระดับความเร็วในการวิ่งลงอย่างช้าๆ ทั้งยังหันกลับมามองรถเอทีวีด้วยความประหลาดใจอีกด้วย

 

 

 


บทที่ 1323 จะให้โอกาสสักครั้ง

 

ความอยากรู้อยากเห็นยังฆ่าแมวตายได้ ม้าหัวสีดำยังเยาว์วัยและมีความคิดที่เรียบง่ายเกินไป พอมันลดความเร็วแล้วหันกลับไปมอง แอร์แบ็คก็เหยียบคันเร่งอย่างรวดเร็ว รถเอทีวีเพิ่มความเร็วพุ่งทะยานไปอยู่ในตำแหน่งที่ห่างจากด้านหลังของลูกม้าราวๆ สี่ห้าเมตร ขณะเดียวกันแอร์แบ็คก็ยกมือขึ้นแล้วสะบัดบ่วงบาศออกไป


เชือกเส้นหนาคล้องลงไปบนหน้าผากของม้าหัวสีดำอย่างแม่นยำ ม้าหัวดำตกใจขนานหนัก จนเผลอเพิ่มความรวดเร็วขึ้นไปอีก ในตอนนี้แอร์แบ็คดึงเชือกกลับไปข้างหลังอย่างรวดเร็วและรุนแรง ดึงจนม้าหัวสีดำเดินโซเซ ต่อจากนั้นก็ม้วนเชือกไว้บนคันจับของรถสองรอบ คราวนี้ม้าหัวสีดำก็วิ่งไปไหนไม่ได้แล้ว


หลังจากดิ้นรนขัดขืนอยู่อีกพักหนึ่ง ในที่สุดลูกม้าหัวสีดำรู้แล้วว่ามันวิ่งหนีไปไหนไม่ได้แล้ว มันจึงหยุดดิ้นอย่างยอมรับชะตากรรม มองดูเงาร่างของเพื่อนรักที่กำลังวิ่งตะบึงอย่างอิสระตาปริบๆ ด้วยความอิจฉาริษยา


แอร์แบ็คขับรถพาม้าหัวดำกลับมาส่ง เขายื่นเชือกที่ใช้คล้องม้าให้กับฉินสือโอว พร้อมกับพูดอย่างยิ้มๆ ว่า “เรียบร้อยแล้วครับ บอส ชัยชนะครั้งใหญ่เลย”


ฉินสือโอวจึงตอบเขากลับไปว่า “แล้วม้าอีกตัวหนึ่งล่ะ?”


แอร์แบ็คไหวไหล่บอกกับเขาว่า “อีกแป๊บเดียวเดี๋ยวมันก็วิ่งกลับมา ลูกม้ายังขี้ขลาดอยู่ แถมยังอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นชิน ทำให้ขาดความรู้สึกปลอดภัยเป็นอย่างมาก มันยอมวิ่งเข้าหากับดักพร้อมกับเพื่อนของมัน ดีกว่าอยู่ข้างนอกตัวเดียวด้วยความหวาดกลัว”


แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ผ่านไปประมาณสี่ห้านาที หลังจากลูกม้าอีกหนึ่งตัวที่เหลือเอ้อระเหยอยู่รอบๆ สักพัก มันก็กลับเข้ามาใกล้ด้วยความระมัดระวัง ตาดวงโตของมันจดจ้องฉินสือโอวอย่างระแวดระวัง หลังจากเข้ามาใกล้แล้วมันก็ยังอยากพาเพื่อนหัวสีดำวิ่งหนีอีกครั้ง แต่ดันถูกแอร์แบ็คที่กำลังนั่งเฝ้ากับดักรอจับเหยื่อ ใช้เชือกคล้องมันเอาไว้ได้ก่อน


ฉินสือโอวคล้องขลุมขี่พร้อมสายบังเหียนไซส์เล็กให้พวกมันทั้งสองตัว แล้วหลังจากนั้นก็จูงพวกมันให้เดินไปที่ประตูทางเข้าของฟาร์มปลา


ลูกม้าสีขาวดำเดินตามมาอยู่ทางด้านหลังอย่างไม่เต็มใจ เดินๆ อยู่สักพักทันใดนั้นมันก็โมโหขึ้นมา จึงยกเท้าถีบลูกม้าสีดำเข้าให้หนึ่งที เพราะแกนั่นแหละ ถ้าไม่ใช่เพราะแกถูกจับมา ฉันจะต้องหาเรื่องให้ตัวเองเดือดร้อนแบบนี้ไหม?


ลูกม้าหัวดำหันไปถลึงตาใส่มันด้วยความโมโห แกหมายความว่าอย่างไร? อะไรๆ ก็โทษแต่ฉันอย่างนั้นน่ะเหรอ? ฉันว่าแกจะกวนโมโหฉันมากกว่า! ด้วยเหตุนี้มันจึงรีบเดินขึ้นไปข้างหน้าสองก้าว แล้วใช้ขาหลังถีบลูกม้าสีขาวดำ


ฉินสือโอวออกแรงลากบังเหียนม้าเอาไว้ พร้อมกับด่าว่า “อยู่นิ่งๆ หน่อย ถึงยังไงก็โดนจับไว้ทั้งคู่ ยังพากันอวดดีอยู่อีกเหรอ? อีกเดี๋ยวทำตัวให้มันน่ารักๆ หน่อย ไม่อย่างนั้นคืนนี้ฉันจะจับพวกแกไปทำหม้อไฟเนื้อม้า!”


เมื่อจูงลูกม้ามาถึงหน้าประตู ก็ปรากฏให้เห็นเงาภาพของรถคาดิลแลคสีแดงสดที่วินนี่ขับมา


ขับรถเข้ามาในฟาร์มปลา ต่อจากนั้นวินนี่ก็เหยียบเบรกแล้วลงมาจากรถ เธอมองไปที่ลูกม้าทั้งสองตัวด้วยความรู้สึกเซอร์ไพรซ์ พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “เฮ้ ที่รักคะ นี่คืออะไรเหรอคะ?”


“ลูกม้ายังไงล่ะครับ เป็นยังไงบ้าง น่ารักมากๆ เลยใช่ไหมล่ะ?” ฉินสือโอวแย้มยิ้มด้วยความพอใจ เขาไม่ได้เล่าให้วินนี่ฟังว่าเขาซื้อม้ามาสองตัว วินนี่เลยไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน


วินนี่ยื่นมือเข้าไปลูบขนที่คอของลูกม้าทั้งสองตัว พวกมันทั้งคู่ก็เผยให้เห็นท่าทางขลาดอายที่ฉินสือโอวได้เห็นเมื่อครั้งแรกที่ได้พบกันอีกครั้ง พวกมันใช้ตาดวงโตพินิจดูเธอด้วยความสนใจใคร่รู้แต่ก็ยังกล้าๆ กลัวๆ


“พระเจ้า น่ารักสุดๆ ไปเลย!” วินนี่กอดลูกม้าหัวดำเอาไว้พร้อมกับช่วยสางขนให้มัน เธอหันไปพูดกับฉินสือโอวว่า “ตั้งแต่หลังเรียนจบ ฉันก็ไม่ได้เห็นม้าอเมริกัน เพนต์อีกเลย คุณไม่รู้หรอกค่ะ ที่รัก ตอนที่ฉันได้เรียนขี่ม้า ม้าที่พวกเราขี่ก็คือม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์นี่แหละ”


ฉินสือโอวตบลงบนหัวไหล่ม้าทั้งสองตัวแปะๆ พร้อมกับพูดว่า “คิดว่าผมน่าจะส่งของคุณให้คุณได้ถูกต้องแล้วนะครับ ตอนนี้พวกมันเป็นของคุณแล้ว วินนี่ ต่อไปคุณจะได้สอนทักษะการขี่ม้าให้กับพวกเด็กๆ”


วินนี่ยิ้มอย่างมีความสุขแล้วพูดว่า “นั่นไม่เป็นปัญหาอยู่แล้วค่ะ อื้อ พวกมันชื่ออะไรบ้างเหรอคะ?”


ฉินสือโอวแผ่มือออก เขาพูดว่า “รอให้คุณเป็นคนตั้ง ตอนนี้พวกมันยังไม่มีชื่อเลย”


วินนี่มองดูลูกม้าทั้งสองตัว เธอชี้ไปที่ลูกม้าที่มีหัวสีดำแล้วพูดว่า “ตัวนั้น ให้ชื่อว่าหัวดำ” หลังจ้านั้นก็ชี้ไปที่ลูกม้าอีกตัวที่มีขนสีขาวดำผสมกัน “ส่วนตัวนี้ใช้ชื่อว่าลายขาวดำ ดีไหมคะ?”


ฉินสือโอวฝืนยิ้มแล้วพูดกับเธอว่า “ไม่น่าจะดีเท่าไรนะ? ชื่อที่คุณตั้งให้สัตว์มักจะมีความเป็นวีรบุรุษอยู่ด้วยไม่ใช่เหรอครับ? หัวดำกับลายขาวดำ อันนี้มัน…”


“คุณไม่คิดว่ามันเข้ากับรูปลักษณ์ภายนอกของพวกมันเหรอคะ?” วินนี่กล่าว


ฉินสือโอวจึงพูดกับเธอว่า “เข้ากันครับ แต่ผมคิดว่า ไม่ค่อยเข้ากับลักษณะนิสัยของพวกมันสักเท่าไร”


“ถ้าอย่างนั้นคุณคิดว่าควรจะตั้งชื่อพวกมันว่าอะไรล่ะคะ?” วินนี่ถาม


จิตใจของฉินสือโอวก็เกิดอาการสั่นไหวขึ้นมา เขาชี้นิ้วไปที่เจ้าหัวดำแล้วพูดว่า “ตัวนี้ให้ชื่อเปากง คุณก็รู้ใช่ไหมว่าหน้าของเปาบุ้นจิ้นเป็นสีดำ? ส่วนอีกตัวให้ชื่อว่าตี้หลู เพราะบนหน้าผากของมันมีจุดสีขาว ในหนังสือประวัติศาสตร์บอกไว้ว่าตี้หลูคือ ‘หยาดน้ำใต้ดวงตามี กับจุดขาวที่ข้างหน้าผาก’ …”


วินนี่จ้องเขาเขม็ง ฉินสือโอวจึงเอ่ยถามเธอด้วยความสงสัย “คุณมองอะไรครับ?”


วินนี่จึงพูดกับเขาอย่างโมโหน้อยๆ ว่า “คุณคิดชื่อไว้เรียบร้อยแล้ว แล้วจะถามฉันทำไมละคะ?”


ฉินสือโอวยิ้มแหยพร้อมกับกล่าวว่า “เอ่อ ผมให้โอกาสคุณเพื่อความยุติธรรมยังไงละครับ คุณต่างหากที่คว้ามันไว้ไม่ได้”


ชื่อของลูกม้าทั้งสองตัวจึงถูกตั้งไว้แบบนี้ ลูกม้าหัวสีดำให้ชื่อว่าเปากง ส่วนอีกตัวก็ชื่อว่าตี้หลู สองชื่อนี้ต่างก็เป็นชื่อของคนดังด้วยกันทั้งคู่


พอลลี่กับคาปริโนพาสัตว์พวกนี้มาส่งเสร็จแล้ว หลังจากนั้นพวกเขาก็พากันเดินทางกลับทันที หลังจากที่ฉินสือโอวส่งพวกเขากลับไปแล้ว เขาก็เรียกพวกชาวประมงมาหา แล้วถามว่า “พวกนายมีใครสร้างคอกม้าเป็นบ้างไหม? ตอนนี้พวกเรามีม้าแล้ว สมควรที่จะสร้างคอกม้า”


นีลเซ็นเกาจมูกไปมา เขากวาดสายตาไปรอบด้าน เมื่อเห็นว่าลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ทั้งสองตัวกำลังวิ่งเล่นอยู่ในกองหญ้ากับหู่จือเป้าจือ เขาจึงพูดขึ้นมาว่า “บอส ให้พวกมันวิ่งเล่นอย่างอิสระก็ดีเหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ คุณดูสิว่าตอนนี้พวกมันกำลังมีความสุขแค่ไหน?”


เพราะว่าเมื่อแรกพบพวกมันก็ได้ช่วยกันจัดการกับฝูงห่านแล้ว ดังนั้นพวกหู่เป้าฉงหลัวจึงยอมรับลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ทั้งคู่มาเป็นพรรคพวกด้วยความยินดี หลังจากที่อยู่ด้วยกันเพียงไม่กี่ครั้ง ลูกม้าอเมริกัน เพนต์ก็ปรับตัวจนคุ้นชินกับอำนาจบารมีของฉงต้าแล้ว จึงไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเท่ากับตอนที่เจอกันครั้งแรก


แต่สำหรับพวกลูกวัวกับลูกแกะก็ยังรู้สึกหวาดกลัวมากจริงๆ พวกหู่เป้าฉงหลัวดูถูกเหยียดหยามพวกมันเป็นอย่างมาก ในเวลาปกติถ้าเพียงแค่พวกมันกล้าเข้ามาใกล้ ฉงต้าก็จะแสยะปากขู่พวกมันให้กลัว จนทำให้ตอนนี้แค่เห็นฉงต้าพวกมันก็หวาดกลัวจนฉี่แทบราดแล้ว


แอร์แบ็คพูดว่า “ไม่ ไม่ ทางที่ดีที่สุดคือต้องสร้างคอกม้า ถ้าเลี้ยงลูกม้าแบบปล่อยเป็นเวลานานพวกมันจะไม่เชื่อฟังคำสั่ง กลายเป็นสัตว์ป่าที่ฝึกได้ยาก นายต้องรู้ด้วยว่าพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงชนิดสุดท้ายที่ถูกมนุษย์ฝึกสอนได้สำเร็จ”


พูดแล้วก็ทำเลย ในความคิดของฉินสือโอว การสร้างคอกม้าสักคอกเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก ขอเพียงเตรียมวัสดุอุปกรณ์ไว้ให้พร้อม ถ้ามีคนอยู่เยอะขนาดนี้แถมยังมีเด็กๆ คอยช่วย จะต้องสร้างคอกม้าขนาดเล็กขึ้นมาได้อย่างง่ายดายแน่ๆ


แต่นี่ยังต้องใช้วัสดุด้วย ตอนที่ฉินสือโอวช็อปปิ้งบนอินเทอร์เน็ต เขาพบว่าบริษัทที่เขาสั่งซื้อกระท่อมน้อยเมื่อก่อนหน้านี้ก็มีคอกม้าแบบประกอบขายด้วยเช่นกัน


มีครบทุกอย่างทั้งผนังกันน้ำ แผ่นกระดานป้องกันการเตะถีบ หน้าต่าง การจัดการท่อน้ำ รางหญ้า รางให้น้ำ ถังหมักบ่ม หลังจากซื้อไปแล้วก็แค่ต้องประกอบพวกมันขึ้นมาตามแบบแปลนเท่านั้นก็เป็นอันเสร็จสิ้นแล้ว


แล้วแบบนี้ยังจะมีอะไรให้ต้องเสียอีก? ฉินสือโอวสั่งซื้อเลยทันที เนื่องจากเขาเคยสั่งซื้อกระท่อมมาแล้วห้าหลัง เป็นลูกค้าวีไอพีของเว็บไซต์ ดังนั้นเขาจึงมีสิทธิพิเศษ ประมาณวันพรุ่งนี้หรือไม่ก็วันมะรืนก็จะมาส่งอะไหล่แล้ว


ฉินสือโอวให้ชาร์คจัดเตรียมอุปกรณ์ไว้ หลังจากนั้นก็เรียกให้พวกเด็กๆ เข้ามาหา “โอเค นักล่าเงินรางวัลทั้งหลาย ตอนนี้ฉันจะประกาศภารกิจครั้งใหม่แล้ว นั่นก็คือการสร้างคอกม้า ทุกๆ คนจะได้รับเงินห้าสิบดอลลาร์ จะทำไหม?”


กอร์ดอนทำสีหน้าเคร่งขรึม แล้วพูดว่า “นี่คือแบบรับเหมาเลยใช่ไหมครับ?”


ฉินสือโอวไหวไหล่แล้วตอบเขาว่า “ก็น่าจะใช่นะ มีอะไรหรือเปล่า?”


กอร์ดอนกล่าวว่า “นี่เป็นขอบเขตงานที่พวกเราไม่เคยทำมาก่อน มีความยากลำบากเป็นพิเศษ…”


“พอแล้วกอร์ดอน อย่าพูดเรื่อยเปื่อย ก็แค่สร้างคอกม้า แต่นายทำอย่างกับว่าพวกเราต้องไปล่าสัตว์ประหลาด ฉิน พวกเรารับทำงานนี้ จะให้เริ่มงานตอนไหนครับ?” ชาร์คน้อยพูดด้วยความรำคาญ


ด้วยความโมโห กอร์ดอนก็ตวาดว่า “เจ้าโง่ นายไม่รู้เหรอว่าฉันจะต่อราคา? นายทำลายทุกอย่างหมดเลย เพื่อนร่วมทีมจอมทรยศ!”


“นายลองพูดอีกครั้งสิ ไอ้เด็กน้อย วอนอยากโดนแล้วใช่ไหม?”


“ฟัคยู! ก็เข้ามาสิ!”

 

 

 


บทที่ 1324 สำนักจัดหางานของนักต้มตุ๋น

 

หลังจากสั่งซื้ออุปกรณ์ประกอบคอกม้าสองวัน ในตอนที่เพิ่งจะทานมื้อเที่ยงเสร็จ ฉินสือโอวที่กำลังอ่านข่าวอยู่ในร่มไม้ก็ได้ยินเสียงเห่าของหู่จือกับเป้าจือดังขึ้นมา


เขานึกว่าบริษัทที่ขายกระท่อมแบบประกอบมาส่งวัสดุสำหรับการสร้างคอกม้าแล้ว เขาจึงลุกยืนขึ้นแล้วพูดกับตัวเองว่า “เชื่อเลย วีไอพีก็ดีอย่างนี้ล่ะนะ แบบนี้มันเร็วทันใจดีจริงๆ”


พวกเด็กๆ ก็อยู่ตรงใต้ร่มไม้เช่นกัน พวกเขาแต่ละคนกำลังนั่งทำการบ้านช่วงปิดเทอมอยู่กับโต๊ะกับเก้าอี้ตัวเล็กๆ ชีวิตเด็กประถมในแคนาดาช่างมีความสุขมากจริงๆ ฉินสือโอวเคยเห็นการบ้านของพวกเขามาก่อน ไม่ใช่แค่มีการบ้านน้อย แต่การบ้านที่ได้ก็ง่ายดายสุดๆ


ทว่าพวกเด็กๆ คงไม่ได้คิดอย่างนั้น เดิมทีพวกเขากำลังขีดเขียนกระดาษจดบันทึกอย่างหน้าดำคร่ำเครียด แต่พอได้ยินที่ฉินสือโอวพูดพวกเขาแต่ละคนก็เริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ถามว่า “คอกม้ามาถึงแล้วเหรอครับ? แบบนี้ก็ทำงานได้แล้วใช่ไหมครับ?”


ฉินสือโอวไม่พอใจกับทัศนคติด้านการเรียนของพวกเขา จึงกล่าวว่า “ฉันแค่เดาเฉยๆ มันจะเร็วขนาดนั้นที่ไหนกันล่ะ? พวกนายทำตัวดีๆ นั่งทำการบ้านอยู่ตรงนี้ซะ”


กอร์ดอนก็พูดกับเขาว่า “มันก็เร็วเท่านี้แหละ ฉิน คุณตามกระแสการพัฒนาของโลกยุคปัจจุบันไม่ทันใช่ไหมล่ะ? ยุคนี้คือยุคของการส่งพัสดุแบบเร่งด่วน! ไม่ว่าอะไรก็จัดส่งได้เร็วทันใจทั้งนั้น!”


ฉินสือโอวหัวเราะออกมา เขาพูดในใจว่าในอนาคตถ้าพวกนายมีแฟน พวกนายก็คงไม่อยากให้มันรวดเร็วไปเสียทุกสิ่งทุกอย่างแล้วล่ะ


เขาให้พวกเด็กๆ รออยู่เฉยๆ ก่อน ส่วนตัวเขาเองเดินไปที่ประตูทางเข้าฟาร์มปลา หลังจากนั้นก็ผิวปากปลอบหู่จือกับเป้าจือให้ลดความตื่นเต้นลง


หลังจากเข้ามาใกล้ประตูทางเข้าแล้ว ฉินสือโอวลองมองดูก็คิดว่าไม่น่าจะเป็นแบบนั้น ชายวัยกลางคนสองคนกำลังยืนอยู่ที่ด้านนอกประตู ลักษณะท่าทางของทั้งสองคนดูเหมือนผู้ใช้แรงงาน แต่พวกเขากลับสะพายกระเป๋ามาแค่ใบเดียว แถมยังไม่มีรถตามมาอีกต่างหาก


เมื่อเป็นเช่นนี้ แล้ววัสดุสร้างคอกม้าอยู่ที่ไหนกันล่ะ? จากที่เขารู้มาคอกม้ามีความสูงสิบเมตร กว้างห้าเมตร วัสดุก็ดีกว่ากระท่อมสำหรับดื่มกาแฟกับเบียร์อยู่หลายเท่า จะใส่ไว้ในกระเป๋าใบนี้ได้เหรอ?


ฉินสือโอวส่ายหัวแล้วถามพวกเขาว่า “พวกคุณคือคนของบริษัทเรนโบว์คอทเทจหรือเปล่า?”


ครั้งนี้ถึงคราวของคนทั้งคู่ที่ต้องส่ายหัวแล้ว ชายวัยกลางคนเชื้อสายละตินหนึ่งในนั้นใช้ภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงที่ฟังออกยากพูดกับเขาว่า “ไม่ ไม่ใช่ พวกเราเป็นคนของบริษัทจัดหางานฮันนิบาล โอ้ ผมจะพูดอย่างนั้นก็ไม่ถูก พวกเราเป็นคนที่บริษัทนายหน้าแนะนำให้มาทำงานที่นี่”


พอเขาพูดจบ พวกเขาอีกคนก็ยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้กับฉินสือโอว พร้อมกับพูดเสริมว่า “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ? คุณฉินเจ้าของฟาร์มปลาต้าฉิน?”


คนคนนี้เป็นคนจีน เขาถามเป็นภาษาจีนกลางอย่างชัดถ้อยชัดคำ


ฉินสือโอวพยักหน้ารับพร้อมกับกล่าวว่า “ใช่ครับ ผมชื่อฉินสือโอว บริษัทแนะนำพวกคุณมายังไงบ้างครับ? ให้มาดูว่าที่นี่ต้องการคนงานหรือเปล่าใช่ไหมครับ?”


พอได้ฟังที่เขาพูดจนจบ คนจีนคนนั้นก็เผยสีหน้าเป็นกังวลออกมา “ไม่ใช่ครับ คุณฉิน พวกเราคือคนที่บริษัทนายหน้าส่งให้มาทำงานที่นี่ ฟาร์มปลาไม่ได้ต้องการคนงานหรอกเหรอครับ?”


ฉินสือโอวขมวดคิ้วด้วยความงงงวย เขาเปิดจดหมายอ่าน ด้านในคือจดหมายแนะนำฉบับหนึ่ง ซึ่งช่วยแนะนำพวกเขาทั้งสองคนไว้ว่า ชายวัยกลางคนชาวละตินชื่อว่าคาปาไล ปาจิฮาเก้น วัยรุ่นคนจีนชื่อว่าซ่งชิงซาน ส่วนสุดท้ายประทับตราสีแดงสดเอาไว้


ดูจากจดหมายแนะนำที่เขียนก็เหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ฉินสือโอวจำไม่ได้ว่าเขาเคยติดต่อไปที่บริษัทจัดหาแรงงานที่ไหนมาก่อน เขานึกว่าชาร์คเป็นคนจัดการเรื่องนี้จึงควักวิทยุสื่อสารออกมาเพื่อถามว่า “ชาร์ค นายเคยไปถามหาคนงานจากบริษัทจัดหาแรงงานมาก่อนหรือเปล่า?”


ชาร์คตอบเขากลับมาว่า “ไม่นะครับ ถ้าต้องการคนงาน ผมต้องขออนุญาตคุณก่อนอยู่แล้ว”


ได้ยินแบบนี้แล้ว สีหน้าของพวกเขาทั้งสองคนก็เริ่มแย่ลง ชายวัยกลางคนชาวละตินถึงกับพึมพำขึ้นมาด้วยความร้อนอกร้อนใจ ไม่รู้ว่ากำลังพึมพำเรื่องอะไรอยู่


ฉินสือโอวตัดสายจากวิทยุสื่อสาร เขาไหวไหล่แล้วพูดกับทั้งสองคนว่า “บางทีอาจจะเขียนผิดหรือเปล่า ทั้งสองคน บางทีอาจจะเป็นฟาร์มปลาแห่งอื่นที่กำลังขาดคนหรือเปล่า?”


เขารู้ว่าไม่มีทางเป็นอย่างนั้นแน่ เนื่องจากส่วนหัวของจดหมายแนะนำเขียนชื่อฉินสือโอวกับฟาร์มปลาต้าฉินเอาไว้


ชายวัยกลางคนชายละตินจึงพูดกับเขาด้วยความร้อนรนว่า “ไม่ๆๆ เป็นไปไม่ได้ ทางบริษัทบอกว่าเป็นฟาร์มปลาต้าฉินในเมืองแฟร์เวล แถมเขายังให้รูปภาพของคุณไว้อีกด้วย คุณดูสิ”


เขาหยิบภาพถ่ายเลือนรางใบหนึ่งออกมา เป็นภาพถ่ายของฉินสือโอวจริงๆ แต่คล้ายกับว่านี่น่าจะเป็นรูปภาพที่หามาจากในข่าวมากกว่า อีกทั้งในรูปนั้นฉินสือโอวยังอุ้มหู่จือเป้าจือเอาไว้ด้วย ท่าทางเหมือนว่าเขากำลังให้สัมภาษณ์กับนักข่าวอยู่ที่บริเวณหน้าศาลตัดสิน


ซ่งชิงซานมีปฏิกิริยาตอบโต้ที่ไวกว่านิดหน่อย เขาถามฉินสือโอวด้วยความวิตกกังวลว่า “คุณไม่ได้ติดต่อไปที่บริษัทของพวกเราจริงๆ เหรอครับ? ไม่อย่างนั้นคุณลองโทรศัพท์ไปถามพวกเขาหน่อยได้ไหม?”


ฉินสือโอวพอจะรู้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกเขาทั้งสองคนเจอบริษัทนายหน้าเถื่อนเข้าให้แล้ว ที่แคนาดามีบริษัทเลวทรามแบบนี้อยู่หลายแห่ง แต่มักจะอยู่ในเมืองใหญ่เสียมากกว่า ยังไม่เคยได้ยินว่าที่นครเซนต์จอห์นมีเรื่องพวกนี้ด้วย


แต่เมื่อมองดูท่าทางของคาปาไลกับซ่งชิงซานที่เหมือนกับว่าจะเป็นแรงงานที่ขยันขันแข็ง ในใจของเขาก็เริ่มรู้สึกเห็นใจคนทั้งคู่ จึงยกโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก ขณะเดียวกันก็ถามขึ้นมาว่า “พวกคุณเพิ่งย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่นี่เหรอ?”


ซ่งชิงซานก็พอจะเดาได้เช่นกัน เขาตอบฉินสือโอวกลับไปพร้อมกับรอยยิ้มจืดเจื่อน “ผมมาที่นี่ได้ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ ส่วนพี่ชายคนนี้มาถึงที่นี่นานกว่าหน่อย มาถึงได้ประมาณสิบกว่าวันแล้วครับ”


ปลายทางที่เขาโทรไปปิดเครื่อง ฉินสือโอวเปิดลำโพงเพื่อให้พวกเขาได้ยิน หลังจากนั้นก็ไหวไหล่พูดว่า “ที่พวกคุณหางานนี้ พวกคุณได้เสียเงินหรือเปล่า?”


คาปาไลก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจึงพูดด้วยความรู้สึกสิ้นหวังว่า “จ่ายเงินไปแล้วครับ ไอ้พวกชั่วเอ๊ย! พวกเลวนั่นควรจะลงนรกไปซะ! พวกเขาเก็บเงินผมไปแปดร้อยดอลลาร์ บอกว่านี่เป็นเงินมัดจำก่อนทำงาน เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเราสร้างความวุ่นวายให้กับคุณ”


ส่วนซ่งชิงซานก็พูดอย่างกระวนกระวายใจว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราต้องรีบกลับกันแล้ว ต้องรีบไปเอาเงินจากพวกมันคืนมา”


เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนมีเหงื่อออกท่วมทั้งหน้าภายในเวลาชั่วพริบตาเดียว ฉินสือโอวก็รู้แล้วว่า เงินแปดร้อยดอลลาร์คงจะไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ สำหรับพวกเขา เขาจึงได้พูดขึ้นมาว่า “ตอนนี้ไม่มีเรือเฟอร์รี่แล้ว เดี๋ยวผมใช้เรือของตัวเองไปส่งพวกคุณแล้วกัน”


ช่วยได้ก็ช่วย สองคนนี้ดูน่าสงสารมาก จนทำให้ฉินสือโอวนึกถึงเรื่องสมัยก่อนตอนที่พ่อของเขาไปทำงานแล้วต้องเจอกับหัวหน้าผู้รับเหมาใจทราม


ฉินสือโอวขับเรือยนต์ความเร็วสูงที่เร็วที่สุดออกไป ฝ่าลมโต้คลื่นไปตลอดทั้งทาง หลังจากนั้นก็ใช้เส้นสายหารถแท็กซี่เพื่อรีบพาพวกเขาทั้งสองคนไปที่บริษัทแห่งนั้น


หลังจากกลับไปแล้ว เขาก็กลับมาอ่านข่าวต่อ เขาตั้งใจค้นหาข่าวเกี่ยวกับบริษัทนายหน้าใจโฉดโดยเฉพาะ ปรากฏว่าข่าวที่เกี่ยวข้องที่เขาหาเจอมีอยู่อย่างมหาศาล


แค่ช่วงต้นเดือนของเดือนนี้ กระทรวงแรงงานของแคนาดาได้บุกค้นองค์กรจัดหาแรงงานชั่วคราวไปแล้วตั้ง 50 แห่ง ผลการตรวจสอบชี้ให้เห็นว่า เกือบ 75% ขององค์กรจัดหางานหรือเท่ากับ 37 องค์กร ล้วนแต่มีพฤติการณ์ที่ผิดต่อกฎหมาย มีเพียง 13 แห่งที่เหลืออยู่เท่านั้นที่ดำเนินงานอย่างถูกต้อง ในบรรดาองค์กรที่มีพฤติการณ์ที่ผิดกฎหมายตั้งอยู่ที่ โทรอนโตเป็นจำนวนมากที่สุดถึงสามแห่ง


อีกทั้งองค์กรจัดหาแรงงานชั่วคราวเหล่านี้ยังเป็นนายหน้าใต้ดิน พวกเขาล้มเหลวในการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยมาตรฐานการคุ้มครองแรงงานโดยสิ้นเชิง ทั้งไม่จ่ายเงินค่าล่วงเวลาให้กับพนักงาน ไม่ให้หยุดวันหยุดนักขัตฤกษ์ไปจนถึงไม่ให้มีวันลาพักร้อน


บริษัทนายหน้าของแคนาดาแตกต่างกับประเทศอื่นๆ พวกเขาสามารถจัดการงานได้ตรงตามมาตรฐาน ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่าเป็นบริษัทแรงงานคน บางโรงงานก็ใช้เพียงแค่ผู้รับเหมาหาคนงาน ทางโรงงานจ่ายเงินให้กับบริษัทนายหน้า ส่วนบริษัทนายหน้าก็จะเป็นฝ่ายจ่ายเงินเดือนและให้สวัสดิการสังคมให้แก่คนงาน


การใช้แรงงานคนด้วยวิธีนี้มีข้อดีอยู่หนึ่งอย่าง ซึ่งก็คือวิธีนี้ทำให้หมดความยุ่งยาก พวกเขาไม่ต้องไปติดตามดูประวัติและสุขภาพของคนงาน หากเกิดปัญหาบริษัทนายหน้าจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง


หลังจากได้อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว ก็ไม่ได้มีข่าวของพวกซ่งชิงซาน ฉินสือโอวจึงไม่ได้คิดอะไรมาก เขาเพียงแต่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาคุยกับวินนี่ตอนที่กลับมาถึงแล้ว วินนี่บอกว่าเธอรู้เรื่องพวกนี้มาก่อนแล้ว แท้ที่จริงนี่เป็นปัญหาใหญ่ในสังคมแคนาดาที่มีมาอย่างยาวนาน แต่รัฐบาลไม่ได้เข้าไปจัดการแก้ปัญหา คนที่ได้รับความเดือดร้อนก็เป็นเพียงคนธรรมดา ทั้งยังเป็นผู้อพยพเสียส่วนใหญ่

 

 

 


บทที่ 1325 ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ

 

วันต่อมาในช่วงเวลาที่แทบจะเท่ากับเมื่อวาน หู่จือกับเป้าจือก็พากันเห่าร้องขึ้นมาอีกครั้ง พอฉินสือโอวออกไปดู ก็พบว่าคราวนี้เป็นคนของบริษัทเรนโบว์คอทเทจ พวกเขาจ้างรถขนสินค้าคันหนึ่งจากในเมืองเพื่อนำวัสดุมาส่ง


การสร้างคอกม้าต้องใช้วัสดุอุปกรณ์จำนวนมาก ฉินสือโอวจึงให้แบล็คไนฟ์กับชาร์คเช็กของที่ได้รับเทียบกับรายการสินค้าทีละรายการ เพราะนี่ไม่ใช่กระท่อมธรรมดาๆ ราคาของมันไม่ได้น้อยเลย คอกม้าหนึ่งคอกมีราคาถึงสามหมื่นแปดพันดอลลาร์ สำหรับครอบครัวคนธรรมดาแล้วนี่แทบจะเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับหนึ่งปีเลยด้วยซ้ำ


สินค้าราคาสูงย่อมได้รับการบริการคุณภาพสูงตามไปด้วย เมื่อก่อนตอนที่มาส่งกระท่อมแบบประกอบ พอคนงานมาส่งของเสร็จก็พากันกลับเลยทันที ทว่าคราวนี้มีวิศวกรคนหนึ่งติดตามมาด้วย ซึ่งเขารับปากกับฉินสือโอวว่าจะช่วยมุงคอกม้าด้วย


แต่บริษัทในแคนาดาก็ยึดถือหลักการในการทำงานเป็นอย่างมาก บริษัทเรนโบว์คอทเทจจะช่วยเขามุงคอกม้า แต่แท้ที่จริงแล้วพวกเขาแค่ส่งวิศวกรมาคอยควบคุมดูแลการทำงานเท่านั้น วิศวกรคนนี้พูดอย่างชัดเจนว่า เขาไม่ได้จะช่วยลงแรงทำงาน ถ้าเขาจะต้องลงแรง ก็ต้องเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม


ฉินสือโอวจึงแอบคิดในใจว่าแม่เอ็งสิ ในมือของฉันมีคนเก่งๆ อยู่ตั้งหลายคน จะให้แกช่วยทำงานทำซากอะไร?


ขณะที่กำลังเช็กรายการสินค้า หู่จือกับเป้าจือก็แหงนหน้าเห่าขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อฉินสือโอวมองตามแนวสายตาของสุนัขแลบราดอร์ เขาก็ได้พบกับเงาร่างของคนสองคนที่กำลังทำท่าทางหมดอาลัยตายอยาก สองคนนั้นคือคาปาไลกับซ่งชิงซานนั่นเอง


พอเห็นว่าที่ประตูทางเข้าของฟาร์มปลามีคนอยู่เยอะ ทั้งสองคนก็พูดเสียงเบาอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ไม่กี่ประโยค หลังจากนั้นค่อยย้ายไปยืนเบียดกันอยู่อีกฝั่งหนึ่ง


ฉินสือโอวเห็นว่าเสื้อผ้าของพวกเขาทั้งคู่สกปรกเลอะเทอะไปหมด บนหน้าผากกับบนแขนมีแต่เม็ดเหงื่อที่ไหลออกมา ทำให้เขารู้ว่าทั้งสองคนกำลังเผชิญความทุกข์ยากอยู่ไม่น้อย เขาจึงถอนหายใจออกมาแล้วเข้าไปถามว่า “เป็นยังไงบ้าง?”


ซ่งชิงซานกลืนน้ำลายลงไปต่อจากนั้นก็ตอบเขาว่า “ขอบคุณนะครับที่ช่วยพวกเราเอาไว้เมื่อวาน คุณฉิน แต่พวกเราไปถึงที่นั่นช้าเกินไป บริษัทใจทรามนั่นพากันหนีไปแล้ว มีคนหลงเชื่อพวกมันอยู่หลายคน พวกเราไปแจ้งความแล้ว แต่ตำรวจไม่ได้รับปากว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะสะสางคดีได้สำเร็จ”


ที่แคนาดาไม่ว่าอะไรก็ดีไปหมด หน่วยงานที่รับผิดชอบก็สุจริตโปร่งใส เพียงแต่อัตราความสำเร็จต่ำ ซึ่งเห็นได้จากการทำงานตำรวจนั่นเอง อัตราความสำเร็จในการไขคดียังพอใช้ได้ แต่ติดตรงที่พวกเขาทำงานได้ช้าจนเกินไปนี่แหละ


ฉินสือโอวพูดด้วยความประหลาดใจว่า “ทำไมพวกคุณถึงถูกหลอกได้ล่ะ? พอได้งานมาก็น่าจะรีบไปทำงานเลยใช่ไหม แล้วแบบนี้ถ้ามีปัญหาพวกคุณก็ต้องรู้ตั้งแต่ทีแรกแล้วไม่ใช่เหรอ?”


ซ่งชิงซานพูดกับเขาอย่างเศร้าซึม “ตำรวจบอกว่าบริษัทนายหน้าผิดกฎหมายพวกนี้จงใจหลอกคนที่เพิ่งอพยพมาใหม่โดยเฉพาะ ตอนแรกผมหางานผ่านบริษัทนั้น ที่จริงเขาหางานร.ป.ภ ให้ผมแบบไม่คิดเงิน แต่นั่นมันเป็นแค่งานหลอกๆ ผมทำงานได้วันเดียวบริษัทนั้นก็ไล่ผมออกจากงาน”


“ต่อมาผมกลับไปหาบริษัทนายหน้าอีกครั้ง พวกเขาแนะนำงานที่ฟาร์มปลาให้ผม แต่ก็อ้างว่าเพราะผมมีประวัติไม่ดีมาก่อน จำเป็นต้องให้ผมต้องจ่ายเงินประกัน คาปาไลก็โดนหลอกแบบนี้เหมือนกัน หลังจากที่พวกเราจ่ายเงินประกันไปแล้ว จะยังไม่ได้เริ่มงานทันที พวกเขาหลอกเราว่าตอนนั้นฟาร์มปลาของคุณยังไม่ขาดคนงาน ต้องรอให้ชาวประมงลาออกก่อนสักสองสามวันถึงจะให้พวกเราไปทำงานแทนคนที่ลาออกไป”


เมื่อฟังที่ซ่งชิงซานเล่าจบ ฉินสือโอวก็เข้าใจแล้ว แท้ที่จริงแล้วพวกบริษัทนายหน้าผิดกฎหมายใช้วิธีหาเงินด่วนนั่นเอง พวกเขาจะเช่าสถานที่เป็นระยะเวลาสั้นๆ หลังจากเรียกเก็บเงินจากคนงานที่ตอบรับการว่าจ้างแล้ว พอผ่านไปเจ็ดวันหรือสิบวันก็จะให้พวกเขาไปที่บริษัทสักแห่งหนึ่ง


รอจนถึงวันที่คนงานเหล่านั้นไปทำงาน พอพวกเขาส่งจดหมายแนะนำเสร็จแล้วก็จะหอบเงินหนีไปทันที พอถึงตอนนั้นการซ่อนตัวในประเทศแคนาดาที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ บางพื้นที่ห่างไกลจากผู้คนหลายร้อยกิโลเมตร ก็เป็นเรื่องง่ายๆ ไม่ใช่เหรอ?


หลังจากพูดจบ ซ่งชิงซานก็มองไปที่ฉินสือโอว แล้วพูดกับเขาว่า “คุณฉิน พวกเราไปถามคนอื่นมา ได้ยินมาว่าคุณเป็นคนจีนใจบุญสุนทานที่ เป็นคนใหญ่คนโตในนครเซนต์จอห์น ทั้งยังเป็นคนที่มากความสามารถ คุณช่วยหางานให้พวกเราทำหน่อยได้ไหมครับ? คุณก็เห็นว่าฟาร์มปลาของคุณมีขนาดใหญ่ถึงเพียงนี้ แบบนั้นก็น่าจะยังขาดคนงานใช่ไหมละครับ? ผมกับพี่ใหญ่คาปาไลทนความลำบากได้ ไม่ว่างานอะไรพวกเราก็ยอมทำ”


ฉินสือโอวยิ้มเจื่อนๆ ออกมา เขาเป็นคนใจบุญสุนทานมากความสามารถที่ไหนกันล่ะ ฟาร์มปลามีพื้นที่กว้างใหญ่จริงๆ แต่เขาไม่ได้ขาดแคลนคนงานสักหน่อย และต่อให้ขาดคนจริงๆ สองคนนี้ก็ทำงานในทะเลไม่เป็นอยู่ดี


แต่จะปฏิเสธเลยทันทีก็คงจะไม่ดี ฉินสือโอวจึงถามพวกเขาก่อนว่า “เสี่ยวซ่ง ในเมื่อนายยอมทนความลำบากได้ แล้วทำไมถึงได้อพยพมาที่แคนาดาล่ะ? ทำไมไม่อยู่ที่จีนต่อ?”


ซ่งชิงซานจึงพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดกลัดกลุ้มใจว่า “ผมไม่ได้อพยพมา ผมมีปัญญาทำแบบนั้นที่ไหนกัน? ผมเป็นแรงงานส่งออก ที่แคนาดาได้รายรับสูงผมเลยอยากมาที่นี่เพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัว”


เขาลองคำนวณเงินให้ฉินสือโอวดู ขอแค่ยอมทำงานสกปรกงานเหนื่อยงานหนัก รายได้เดือนหนึ่งที่แคนาดานับว่าไม่น้อยเลย พวกเขาจะหาเงินได้มากถึงหกพันดอลลาร์ และหากเป็นแรงงานมีฝีมือจะสามารถหาเงินได้มากตั้งแต่แปดพันดอลลาร์ไปจนถึงหนึ่งหมื่นดอลลาร์


และถ้าประหยัดหน่อยหนึ่งเดือนใช้เงินแค่ประมาณพันสองพันดอลลาร์ก็เพียงพอแล้ว ไม่ว่ายังไงก็สามารถเก็บเงินได้ถึงห้าพันดอลลาร์ อีกทั้งเงินห้าพันดอลลาร์เมื่อแปลงเป็นเงินหยวนจะเท่ากับสองหมื่นห้าพันหยวน ผู้ใช้แรงงานธรรมดาๆ ในประเทศจีนจะหาเงินมากขนาดนี้ได้ยังไงกัน?


คาปาไลเป็นชาวคิวบา ที่บ้านเก่าของเขามีรายได้ที่ต่ำยิ่งกว่า เพื่อจะมาทำงานที่แคนาดาครอบครัวของเขาต้องเป็นหนี้ต่างประเทศถึงจะส่งเขามาที่นี่ได้ แต่ปรากฏว่าพอเขามาถึงแคนาดากลับโดนคนหลอกเอาเงินไปแปดร้อยดอลลาร์ ซ่งชิงซานเล่าให้ฟังว่าเขาเจ็บปวดใจมากจนนอนไม่หลับเลยทั้งคืน


ฉินสือโอวส่ายหัวไปมา พวกนักต้มตุ๋นนี่น่าขยะแขยงเหลือเกิน แคนาดาต้องเพิ่มการควบคุมดูแลความสงบเรียบร้อยของสังคมให้มากขึ้นกว่าเดิมแล้วจริงๆ นักต้มตุ๋นประเภทนี้ต้องถูกจับมาทั้งหมด แล้วลงโทษขั้นรุนแรง ในความคิดของเขาพฤติกรรมรังแกเอารัดเอาเปรียบคนที่อ่อนแอกว่าแบบนี้ เป็นเรื่องที่สร้างความเดือดดาลให้กับผู้คนอย่างแท้จริง


ฟาร์มปลาไม่มีงานที่เหมาะกับพวกเขา ฉินสือโอวเห็นคนทั้งคู่เหงื่อออกจนท่วมตัว เขาจึงให้ทั้งสองเข้ามาพักผ่อนก่อนสักครู่ เขาจะลองคิดดูว่ามีงานที่อะไรที่พอจะเหมาะกับพวกเขาทั้งสองคนบ้าง


คิดอยู่สักครู่ เขาก็โทรศัพท์ไปหาวินนี่ แล้วเล่าสถานการณ์ในตอนนี้ให้เธอฟังอย่างคร่าวๆ


วินนี่พูดกับเขาด้วยรอยยิ้ม “คุณอยากช่วยพวกเขาเหรอคะ คุณฉินคนใจบุญ?”


ฉินสือโอวก็ตอบเธอกลับไปด้วยความขุ่นเคือง “อย่าล้อเล่นนะครับ ในความคิดของผมพวกเขาไม่มีอะไรเลย แต่วินนี่คุณไม่ได้เห็นพวกเขาอย่างที่ผมเห็น สองคนนี้น่าสงสารมากจริงๆ ถ้าช่วยได้เราก็ช่วยพวกเขาสักหน่อยเถอะ เป็นลูกมีพ่อมีแม่ มีครอบครัวให้เลี้ยงดูด้วยกันทั้งนั้น เอาใจเขามาใส่ใจเราเถอะ”


วินนี่กล่าวว่า “โอเคค่ะ คุณลองถามหน่อยว่าพวกเขายินดีที่จะทำงานทำความสะอาดไหม บริษัทท่องเที่ยวของเมืองนี้เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน เริ่มมีปัญหาเรื่องความสะอาดแล้ว ฉันกำลังวางแผนว่าจะขยายแผนกทำความสะอาดอยู่พอดี”


ที่แคนาดางานทำความสะอาดมีเงินเดือนและสวัสดิการที่สูงมาก งานทำความสะอาดกับบรรณารักษ์และพนักงานบริการเทศบาลเมืองเป็นของ “สมาคมแรงงานเทศบาลเมือง” ซึ่งมีเงินเดือนและสวัสดิการที่ดีมาก พนักงานทำความสะอาดธรรมดาๆ คนหนึ่งจะมีรายได้ประมาณชั่วโมงละ 30 ดอลลาร์ ค่าจ้างรายปีอยู่ที่ราวๆ หนึ่งหมื่นสองพันดอลลาร์แคนาดา


แต่นี่สำหรับพนักงานทำความสะอาดที่ ‘มีการจัดสรรตำแหน่ง’ เท่านั้น การจัดสรรตำแหน่งในที่นี้หมายถึงถูกรับเข้ามาอยู่ในสมาคมแรงงานเทศบาลเมือง ไม่ใช่พนักงานทำความสะอาดทุกคนที่จะมีรายรับสูงถึงขนาดนี้ ไม่อย่างนั้นวัยรุ่นหนุ่มสาวจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยไปทำไมกัน?


เมืองแถบชนบทอย่างเมืองแฟร์เวล พนักงานทำความสะอาดไม่มีทางได้เงินเดือนและสวัสดิการแบบนั้นแน่ เงินเดือนที่ได้จะน้อยลงครึ่งหนึ่ง ประมาณห้าพันดอลลาร์และงานที่ทำก็ยากลำบาก


ฉินสือโอวลองพูดให้ซ่งชิงซานกับคาปาไลฟังดูคร่าวๆ ทั้งสองคนยังไม่ทันฟังจบก็รีบพากันพยักหน้าแล้ว ทั้งยังพูดอย่างดีใจว่า “ทำ พวกเราจะทำครับ! คุณฉิน ขอบคุณคุณจริงๆ!”


ฉินสือโอวมอบนามบัตรของตัวเองให้พวกเขาเก็บเอาไว้ พร้อมกับพูดว่า “พวกคุณไปที่เทศบาลเมืองได้เลยนะ เอานามบัตรของผมไปให้นายกเทศมนตรี เธอจะช่วยจัดการให้พวกคุณเอง”


ทั้งสองคนแสดงความซาบซึ้งที่มีต่อเขาอย่างล้นเหลือแล้วจึงจากไป ในตอนนี้นีลเซ็นและคนอื่นๆ ที่ยืนดูอยู่ทางด้านข้างก็เข้ามาถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น


พอฉินสือโอวเล่าเรื่องนี้ให้พวกเขาฟังจนจบ นีลเซ็นก็ยกนิ้วโป้งให้พร้อมกับพูดว่า “บอส คุณเป็นคนดีจริงๆ แถมยังมีเสน่ห์เหลือล้นอย่างไม่ต้องสงสัยเลย”


พอแล้วล่ะ ได้รับบัตรคนดีมาหนึ่งใบฉินสือโอวจึงยิ้มแล้วผลักเขาไปหนึ่งที “เอาล่ะๆ ฉันก็ช่วยเท่าที่ช่วยได้ นี่มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องความมีเสน่ห์? เตรียมตัวทำงานได้แล้ว ลองดูหน่อยว่าบ่ายวันนี้จะประกอบคอกมาได้หรือเปล่า”

 

 

 


บทที่ 1326 สร้างคอกม้า

 

เพราะได้รับอิทธิพลมาจากประเทศอังกฤษ การแข่งม้าจึงเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมากในแคนาดา การออกแบบคอกม้ากลายมาเป็นการศึกษาเฉพาะทางแขนงหนึ่ง ทำให้เกิดคอกม้าแบบประกอบชิ้นส่วนขึ้นมา


หากมองดูจากองค์ประกอบโดยรวมแล้ว จะพบว่าวัสดุที่ใช้ทำคอกม้าหลังนี้ไม้กระดานที่ทำมาจากไม้โอ๊ก ด้านนอกเป็นสีแดง ส่วนด้านในเป็นสีน้ำตาลโทนอุ่น วิศวกรอธิบายให้ฟังว่าสีน้ำตาลโทนอุ่นคือสีที่ม้าชอบ ฉินสือโอวจึงถามเขาว่าม้าทุกตัวชอบสีเดียวกันหมดเลยเหรอ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก


ถ้าดูจากแบบแปลนและวิดีโอสอนวิธีประกอบจะเห็นได้ว่าคอกม้าหลังนี้เป็นคอกม้าที่สวยมาก ประกอบไปด้วยห้องเดี่ยวทั้งหมดสี่ห้อง โดยจะเป็นการเลี้ยงแบบปิด ทั้งผนังและหลังคาต่างก็ทำมาจากแผ่นไม้หนา ไม้ที่ใช้ก็เป็นไม้ซุงไม่ใช่ไม้กระดานคุณภาพต่ำที่อัดจากผงไม้


ฤดูหนาวของแคนาดามีอากาศหนาวเย็นและในฤดูร้อนก็มีรังสีค่อนข้างสูง คอกม้าแบบปิดจึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะสามารถต้านทานอากาศหนาวในฤดูหนาวได้ ทั้งยังสามารถป้องกันรังสีจากดวงอาทิตย์ในฤดูร้อนได้อีกด้วย


หลังจากวิศวกรอธิบายขั้นตอนการประกอบโดยภาพรวมให้ฟังแล้ว หลังจากนั้นฉินสือโอวก็บอกให้แบล็คไนฟ์เริ่มพาพวกเด็กๆ ประกอบสร้างคอกม้า ซึ่งดูแล้วก็ไม่น่าจะมีอะไรยุ่งยาก


อันดับแรกคือการปูเตียงสำหรับคอกม้าหรือก็คือการปูพื้นคอกม้า ฉินสือโอวเห็นว่าเตียงก็คือพื้นไม้นั่นเอง ซึ่งวิศวกรได้อธิบายให้ฟังว่า “นี่คือไม้เมเปิล มันสามารถป้องกันการลื่นไถลได้ดี แถมยังมีเนื้อไม้ที่ค่อนข้างอ่อนนุ่มซึ่งช่วยปกป้องกีบเท้าของม้าได้”


ฉินสือโอวหยิบพื้นไม้แผ่นแผ่นหนึ่งขึ้นมาดู แผ่นไม้เรียบลื่นเสมอกันดี พอเขาลองใช้มือดึงดูก็รู้สึกว่าเป็นแผ่นไม้ที่มีความยืดหยุ่นค่อนข้างดีเลย แต่หลังจากลองใช้มือพลิกไปพลิกมา ตอนที่เอากลับไปวาง เขากลับรู้สึกถึงความเหนียวเหนอะหนะที่มือ จึงถามขึ้นมาว่า “บนแผ่นไม้คืออะไรเหรอ?”


วิศวกรคนนั้นก็ตอบเขาด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นนวัตกรรมของทางบริษัทน่ะครับ เราทาแว็กซ์เคลือบพื้นไม้กันลื่นไว้หนึ่งชั้น หลังจากทาแว็กซ์เคลือบแล้ว ก็จะง่ายต่อการทำความสะอาดและช่วยปกป้องคอกม้า ไม่ให้ถูกย่ำจนพื้นไม้พังได้ด้วย”


ก่อนอื่นต้องปูพื้นคอกม้าไว้บนพื้นดินบริเวณหนึ่ง บูลที่กำลังปูพื้นก็พูดพึมพำขึ้นมาว่า “ชิท บอส ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนสมัยนี้ถึงได้เกลียดคนรวย นายทุนแบบพวกคุณนี่ทำกันเกินไปแล้วจริงๆ”


ฉินสือโอวเองก็กำลังทำงานอยู่เหมือนกัน เขาขนแผ่นไม้ไปด้วยพร้อมกับถามบูลไปด้วย “เป็นอะไรนะ?”


บูลมักจะประสาทเสียอยู่บ่อยๆ แต่แค่ปล่อยเขาไว้เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง ฉินสือโอวแบกไม้ไว้สองแผ่น อีวิลสันก็เดินเข้ามารับของไปทั้งหมดแล้วพูดกับเขาด้วยเสียงอู้อี้ในลำคอ “ผมขนเอง บอสไม่ต้องทำหรอกครับ”


ทางด้านบูลก็พูดกับตัวเองว่า “แค่เลี้ยงม้าคุณยังปูพื้นไม้ให้พวกมันเลย แถมผมว่าเนื้อไม้พวกนี้ก็ดีกว่าไม้ที่บ้านผมใช้เสียอีก แล้วแบบนี้ผมจะไม่เกลียดพวกคนรวยได้ยังไงกันล่ะ?”


พอได้ยินที่เขาพูด วิศวกรคนนั้นก็ถึงกับยกยิ้มด้วยความลำพองใจ


หลังจากนั้นชาร์คก็พูดขึ้นมา “ฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนตอนที่ไปดูคอกม้าของบ้านอื่น พื้นเตียงคอกม้าที่ใช้ก็มีแต่ดินกับทราย แค่กดอัดพื้นให้เรียบก็พอแล้ว อย่างมากที่สุดก็ใช้ซีเมนต์ทาทับหนึ่งชั้น ยังไม่เคยเห็นที่ไหนปูพื้นไม้มาก่อนเลย”


วิศวกรคนนั้นจึงรีบอธิบายให้พวกเขาฟังว่า “เฮ้ มันไม่เหมือนกันนะเพื่อน พวกคุณลองไปดูคอกม้าของม้าแข่งสิ มีแต่ต้องปูพื้นไม้ทั้งนั้น แบบนี้ถึงจะปกป้องกีบเท้าของม้าได้ และถึงจะไม่ใช้พื้นไม้ แต่ก็อย่าใช้ซีเมนต์เลย ปูพื้นยางมะตอยแทนดีกว่า”


เมื่อปูพื้นเตียงคอกม้าเสร็จ วิศวกรจึงบอกให้พวกเขาพักงานก่อน ส่วนเขาก็หยิบเครื่องมือวัดขึ้นมาลองตรวจสอบ


เนื่องจากจำเป็นจะต้องปูพื้นเตียงให้ลาดเอียงเล็กน้อย ซึ่งแทบจะมองไม่เห็นระดับความลาดเอียง เพื่อให้ปัสสาวะของม้าที่อยู่บนพื้นไหลไปรวมกันได้ง่ายขึ้น และไม่ทำให้ม้าสัมผัสถึงได้ในหลายๆ คราว


หลังจากตรวจดูแล้วเขาก็พยักหน้าพร้อมกับพูดว่า “โอเค ใช้ได้แล้วล่ะ ทำพื้นเตียงเสร็จแล้ว สามารถติดตั้งผนังกับที่กั้นห้องได้เลย”


ฉินสือโอวหยิบแบบแปลนขึ้นมาดู คอกม้าหลังนี้มีห้องแยกทั้งหมดสี่ห้อง ห้องขนาดราวๆ แปดตารางเมตรเป็นห้องที่จัดไว้ให้ลูกม้าอยู่ ส่วนอีกสองห้องที่มีขนาดพื้นที่สิบกว่าตารางเมตรจัดไว้ให้ม้าโตเต็มวัย


ใช้ค้อน คีมกับเลื่อยไฟฟ้าร่วมกัน แค่แป๊บเดียวพวกทหารก็ติดตั้งที่กั้นห้องเสร็จ ดังนั้นหลังจากติดตั้งผนังเสร็จคอกม้าทั้งหลังก็จะประกอบกันเป็นรูปเป็นร่างแล้ว


แต่ยังมีของบางอย่างที่ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญมาช่วยดำเนินการ หลังจากติดประตูคอกเสร็จ วิศวกรก็บอกให้กั้นห้องเล็กแยกไว้ด้านนอกอีกหนึ่งห้อง เรียกว่ากำแพงบังลม เนื่องจากบนเกาะมีลมพัดแรงและม้าก็ทนลมพัดไม่ไหว


ต่อจากนั้นก็เป็นการติดตั้งวงจรไฟฟ้า เสียบสายไฟแต่ละเส้นเข้าไปแล้วติดเต้ารับไว้ในจุดที่มีการป้องกันในหลายๆ มุมเต้ารับแต่ละอันจะมีฝาครอบป้องกัน เพื่อลดอันตรายจากการถูกไฟดูด


แต่ฉินสือโอวคิดว่านี่ไม่จำเป็นเท่าไรเลย วิศวกรคนนั้นจึงพูดกับเขาด้วยรอยยิ้มว่า “อย่าดูถูกมันนะ เพื่อน ทุกปีมีม้าอย่างน้อยสิบตัวที่ถูกไฟดูดตาย เพราะพวกมันชอบถ่ายหนักถ่ายเบาไปทั่ว และของพวกนี้ยังเป็นสื่อกระแสไฟฟ้า เพราะอย่างนั้นคุณลองคิดดูสิว่าถ้ามีม้าสักตัวฉี่รดเต้ารับ…”


“โอ้ ชิท ภาพเหตุการณ์แบบนั้นมันดุเดือดเกินไปแล้ว!” แบล็คไนฟ์พูดไปขำไป


แอร์แบ็คก็หัวเราะออกมาเหมือนกัน เขากล่าวว่า “เพื่อนเอ๋ย ฉันก็เคยดวงดีได้เห็นเรื่องแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน ตอนอยู่บ้านเก่าที่แดลลัส คอกม้าของเพื่อนของพ่อฉันเกิดปัญหาขึ้นมา ฉันเลยตามไปดูด้วย ฟัค บางส่วนของม้าตัวนั้นดูแทบไม่ได้เลยล่ะ!”


“ถูกเผาจนเกรียมเลยเหรอ?” แบล็คไนฟ์ถาม


แอร์แบ็คตอบว่า “ไม่ ไม่ถึงกับเกรียม แต่ฉันมั่นใจว่าน่าจะสุก ถูกไฟช็อตจนสุกเลย”


“ทำไมล่ะ? นายดูจากอะไร?”


“ก็เพราะว่ากลิ่นเนื้อย่างมันลอยคลุ้งขึ้นมาในอากาศน่ะสิ”


ออสเปรก็พูดอย่างยิ้มๆ ว่า “แล้วพวกนายได้โรยพริกป่นกับผงยี่หร่าก่อนกินมันไหมล่ะ? พวกคาวบอยน่าจะกล้ากินทุกอย่างเลยไม่ใช่เหรอ?”


แอร์แบ็คเตะเขาเข้าให้หนึ่งที แล้วพูดกับเขาว่า “ฟัคยู ไอ้เวรออสเปร นายกำลังดูถูกคาวบอยอยู่นะโว้ย! ถ้ากล้าไปพูดแบบนี้ที่แดลลัสล่ะก็ ฉันกล้าพูดเลยว่าแค่ห้าวินาทีนายก็โดนเป่าหัวกระจุยแล้ว!”


พอได้ฟังที่พวกเขาคุยกัน ฉินสือโอวก็หันไปพูดกับวิศวกรคนนั้นว่า “เอาล่ะ เพื่อน ผมต้องขอยอมรับเลยว่า พวกคุณเก็บรายละเอียดงานได้ดีจริงๆ คุ้มค่ากับเงินก้อนนี้ของผมมากๆ ใช่ไหมล่ะ?”


เชื่อมต่อวงจรไฟฟ้าเสร็จแล้ว ต่อจากนั้นก็ติดหน้าต่าง หน้าต่างของคอกม้าจะต้องรับแสงและถ่ายเทอากาศได้ดี ทุกห้องจะต้องเหลือรูระบายอากาศไว้ด้านใน ฉินสือโอวถามว่ามีไว้ทำไม วิศวกรจึงตอบว่านี่คือรูสำหรับท่อของเครื่องปรับอากาศ


“บูลพูดถูกแล้วล่ะ ฉันก็ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ยังจะต้องติดเครื่องปรับอากาศไว้ในห้องของม้าพวกนี้ด้วยเหรอ?” แบล็คไนฟ์พูดด้วยความไม่พอใจ “ขอบอกไว้เลยนะว่าเมื่อสามสิบปีก่อน คนดำอย่างพวกเรายังไม่มีของพวกนี้ให้ใช้เลย”


วิศวกรคนนั้นจึงพูดกับพวกเขาว่า “นี่ไม่ใช่สิ่งจำเป็นหรอก เพียงแต่ว่าคอกม้าของพวกเราเป็นอุปกรณ์ระดับไฮเอนด์ สามารถนำไปใช้เลี้ยงม้าพันธุ์เธอร์รัพเบรตได้ ม้าพันธุ์เธอร์รัพเบรตหนึ่งตัวราคาอย่างต่ำๆ ก็เป็นล้านแล้ว ถ้าเสียเงินอีกไม่กี่ร้อยดอลลาร์ติดเครื่องปรับอากาศสักตัวก็คงไม่ถือว่าเป็นของฟุ่มเฟือยหรอกใช่ไหมล่ะ?”


เครื่องปรับอากาศไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับการเลี้ยงม้าธรรมดาอย่างม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์หรือม้าควอเตอร์ แค่หน้าต่างก็สามารถปรับอุณหภูมิได้แล้ว


ขนาดพื้นที่ของหน้าต่างกับขนาดพื้นที่ของห้องมีอัตราส่วนที่ตายตัว คอกม้าทั้งหลังจะมีอัตราส่วนอยู่ที่ 1:12 อัตราส่วนหน้าต่างของห้องม้าจะเท่ากับ 1:10  โดยที่หน้าต่างจะสูงจากพื้น 2 เมตร แล้วกินพื้นที่ขึ้นไปถึงหลังคา


หลังจากติดหน้าต่างเสร็จก็มาปูทางฝึกม้า ซึ่งก็คือทางเดินในคอกม้านั่นเอง ซึ่งส่วนนี้แค่อัดดินให้แน่นก็ใช้ได้แล้ว วิศวกรแนะนำให้ฉินสือโอวใช้คอนกรีตปิดทับ เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกหนูขุดจนเป็นรูแล้วมุดขึ้นมาทำให้ม้าตกใจ


ขั้นตอนสุดท้ายคือการมุงหลังคา ประกอบโครงสร้างหลักของคอกม้าเสร็จแล้ว ทางบริษัทยังได้ส่งอุปกรณ์เสริมอย่างรางใส่น้ำกับรางใส่อาหารมาให้ด้วย รางใส่อาหารเป็นแบบสามารถเคลื่อนย้ายได้ ทั้งยังแข็งแรงทนทานและง่ายต่อการล้างทำความสะอาด


วิศวกรลองแสดงตัวอย่างให้พวกเขาดูว่ารางให้อาหารอันนี้สามารถปรับระดับความสูงได้ ดังนั้นจึงปรับให้เหมาะกับความสูงของม้าได้ รางให้อาหารมีความสูงอยู่ระหว่าง 80 เซนติเมตรถึงสองเมตร ลึกสี่สิบเซนติเมตร มีรูปร่างเป็นทรงกลม ซึ่งสามารถป้องกันไม่ให้กระแทกกับม้าได้

 

 

 


บทที่ 1327 ไหนใครพูดไม่ฟัง

 

หลังจากการก่อสร้างโดยรวมเสร็จ ก็ยังเหลือเตียงพับสองเตียง บูลหัวเราะฮ่าๆ และพูดว่า “ชิท เพื่อน อย่าบอกนะว่าพวกเราต้องเตรียมเตียงไว้ให้ม้าพวกนี้ด้วยน่ะ”


แอร์แบ็คใช้สายตาเวทนาคนโง่มองไปที่บูลแล้วพูดว่า “พูดบ้าอะไรของนาย? เตียงนี่มีไว้ให้คนนอนต่างหากเล่า!”


ชาร์คเองก็พูดอย่างไม่พอใจว่า “ไอ้โง่ อย่าเอาสติปัญญาที่มีอยู่น้อยนิดของนายไปโชว์ให้คนอื่นเห็นนะ แบบนี้จะทำให้ภาพลักษณ์ฟาร์มปลาของพวกเราดูแย่เอาได้!”


ประตูคอกม้าทั้งสองฝั่งยังมีที่ห้องเล็กที่ถูกกั้นไว้อีกสองห้อง พอแอร์แบ็คนำเตียงเข้าไปวาง หลังจากนั้นก็จะใช้เป็นที่นอนของคาวบอยได้


อย่างที่เขาว่ากันว่าม้าที่ไม่ได้กินหญ้ามื้อดึกไม่มีทางอ้วนพี การให้อาหารและการเลี้ยงม้าเป็นงานที่ยากลำบากมาก หากเป็นการเลี้ยงม้าอย่างมืออาชีพ จะต้องมีคนเข้ามานอนอยู่ในคอกม้าเพื่อทำงานกะกลางคืน


สำหรับฉินสือโอวแล้วนี่ไม่ใช่สิ่งจำเป็น เนื่องจากเขาเลี้ยงม้าแค่สองตัว อีกทั้งยังเลี้ยงไว้เพื่อความเพลิดเพลินเป็นการสำคัญ และเขาก็ไม่ได้คิดว่าจะฝึกม้าสองตัวนี้ให้กลายเป็นม้าแข่งระดับสุดยอดอะไรเลยด้วย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องลำบากมาดูแลม้าตอนกลางคืน


เมื่อเป็นเช่นนี้ห้องที่กั้นไว้สองห้องจึงสามารถใช้เป็นห้องอเนกประสงค์กับห้องเก็บของได้ ใช้ห้องหนึ่งเก็บอุปกรณ์ต่างๆ อย่างขลุมขี่พร้อมสายบังเหียนกับอานม้า ส่วนอีกห้องหนึ่งก็เอาไว้เก็บหญ้าและอาหารสำหรับเลี้ยงม้า


นอกจากนี้แล้วยังต้องสร้างส้วมหลุมไว้ในคอกม้าอีกด้วย แอร์แบ็คเองก็มีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาพูดอย่างจนปัญญาว่า “ก่อนฉันจะสิบห้า เงินค่าขนมส่วนใหญ่ก็มาจากการขุดส้วมหลุมนี่แหละ ชิท หนึ่งหลุมได้สองดอลลาร์ แม่งเอ๊ย ตอนนั้นฉันโคตรคึกเลยล่ะ!”


หลุมส้วนถูกสร้างไว้ด้านหลังคอกม้า ห่างจากคอกม้าประมาณสองร้อยเมตร อยู่ในที่ร่มหันหน้าไปทางทิศเหนือ แอร์แบ็คพาอีวิลสันไปช่วยกันจัดการเรียบร้อยแล้ว ขุดส้วมหลุมมีความลึก 1 เมตร และใช้ปูนซีเมนต์โบกบริเวณรอบๆ


เมื่อจัดการเสร็จการสร้างคอกม้าก็เป็นอันเสร็จสิ้นดีแล้ว ฉินสือโอวลองทดสอบน้ำกับไฟฟ้าดูแล้วพบว่าไม่มีปัญหาอะไร ต่อจากนั้นจึงพาเปากงกับตี้หลูเข้ามาข้างใน


อาศัยอยู่ในคอกม้าย่อมไม่มีความสุขเท่าได้อยู่ในทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ หลังจากที่พวกลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ถูกพามาถึงทางเข้าคอกพวกมันก็หยุดเท้าไม่ยอมก้าวไปข้างหน้า พยายามใช้กีบเท้าไถพื้นสนามหญ้าทำการประท้วงแบบเงียบๆ


พวกหู่เป้าฉงหลัวกับลูกแมวป่าที่เดิมทีกำลังเล่นกันอยู่กับลูกม้า เมื่อเห็นว่าเพื่อนของพวกมันถูกลากเข้ามาที่นี่จึงพากันตามมาด้วย ทุกตัวกำลังมองภาพเหตุการณ์นี้ด้วยความสนอกสนใจ


เชอร์ลี่ย์เห็นแบบนี้แล้วก็ใจอ่อน เธอพูดว่า “ฉิน ช่างมันเถอะค่ะ ไม่อย่างนั้นก็เลี้ยงพวกมันแบบปล่อยดีไหมคะ? คุณดูสิ พวกหู่จือฉงต้าก็ไม่เห็นจะถูกขังเลย”


ฉินสือโอวหันไปมองลูกม้าอเมริกัน เพนต์ที่ไม่ยินยอมให้ตัวเองถูกขัง แล้วจึงหันไปมองเหล่าสัตว์เลี้ยงที่เรียงตัวเป็นแถวเดียวกันอยู่ทางด้านหลัง หลังจากนั้นเขาก็ครุ่นคิดอยู่สักพัก ในขณะที่เชอร์ลี่ย์กำลังคิดว่ามีโอกาสที่จะพลิกสถานการณ์ เขาก็พูดขึ้นมาว่า “ที่จริง ให้พวกมันเล่นอยู่ข้างนอกก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”


เมื่อได้ยินอย่างนี้เชอร์ลี่ย์ก็ดีใจขนาดหนักขึ้นมาทันที เธอยื่นแขนออกไปกอดตี้หลูเอาไว้ แต่หลังจากนั้นฉินสือโอวก็พูดต่ออีกว่า “แต่ ฉันซื้อคอกม้ามาแล้วนี่สิ จะไม่ใช้เลยก็คงไม่ได้หรอกใช่ไหมล่ะ? เพราะอย่างนั้น พาพวกมันเข้าไปอยู่ในนั้นก็ดีแล้ว ใช้ของให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ไง”


เชอร์ลี่ย์ “…”


ลูกม้าขัดขืน ฉินสือโอวจึงหันไปพยักหน้าให้กับอีวิลสัน คนหลังถอดเสื้อผ้าออก แล้วเดินเข้ามาอุ้มเปากงที่มีหัวสีดำเหมือนถ่านขึ้นมา หลังจากนั้นก็หอบฮืดฮาดพามันเข้าไปอยู่ในคอกม้า


ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ลูกม้าตกใจจนฉี่แทบราด เปากงถึงกับไม่กล้าดิ้นตัวออกจากอ้อมแขนของอีวิลสัน ส่วนตี้หลูก็ยิ่งเสียอาการมันฉี่เร็ดออกมาแล้วเล็กน้อย


สำหรับอีวิลสัน การอุ้มลูกม้าก็เหมือนกับการที่คนทั่วไปอุ้มลูกแกะนั่นเอง ไม่มีอะไรลำบากเลยแม้แต่นิดเดียว


อีวิลสันเดินออกมาจากคอกม้าอีกครั้ง คราวนี้ไม่จำเป็นต้องให้เขาจัดการตี้หลูก็รีบสับเท้าวิ่งเข้าไปในคอกม้าด้วยตัวเอง


ฉินสือโอวหันกลับไปเรียกปอหลัวให้เข้ามาหา หลังจากนั้นก็ให้มันมาดูลูกม้าที่ถูกขังไว้ในคอก พื้นที่ในคอกม้ามีขนาดพอดี ลูกม้าอเมริกัน เพนต์ที่ยืนอยู่ข้างในก็ยืนมองเพื่อนๆ ที่มีอิสระเป็นของตัวเองด้วยท่าทางน่าสงสาร


ฉงต้าตบประตูคอกม้า มันร้องคร่ำครวญอยู่ที่สองทีพร้อมกับเบิกตาโตจ้องมองฉินสือโอว


ฉินสือโอวไหวไหล่ เขาเคาะหน้าผากของมันแล้วพูดว่า “เห็นแล้วใช่ไหม ต่อไปนี้ถ้าใครไม่เชื่อฟัง ก็จะถูกขังไว้ในนี้ เข้าใจไหม?”


สัตว์เลี้ยงทั้งฝูงมองดูเขาด้วยท่าทางทึ่มทื่อ หลังจากนั้นหู่จือกับเป้าจือก็รีบเข้ามาเลียฝ่ามือออดอ้อนเขาทันที ลูกแมวป่าเองก็ขยับเข้ามาใกล้อย่างรักใคร่สนิทสนมพยายามทำตัวให้น่ารักเพื่อออดอ้อน


ในเวลาอาหารค่ำ พอวินนี่นำอาหารมาเทใส่ชามอาหารของบรรดาสัตว์เลี้ยง พวกมันก็พากันกินอาหารของตัวเองอย่างว่ายง่าย เมื่อกินเสร็จก็คาบชามอาหารของตัวเองเข้าไปในครัว หลังจากนั้นก็กลับไปนั่งอยู่ในห้องรับแขกอย่างเชื่องๆ


วินนี่รู้สึกประหลาดใจ เธอพูดขึ้นมาว่า “เอ๊ะ เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะเนี่ย? ทำไมเย็นวันนี้พวกเด็กๆ ถึงว่าง่ายนักล่ะ?”


ปกติเวลากินอาหารพวกสัตว์เลี้ยงเหล่านี้จะต้องทะเลาะกันให้ได้สักครั้ง อันดับแรกฉงต้าจะเป็นฝ่ายแย่งอาหารของหู่จือกับเป้าจือก่อน แล้วหู่จือกับเป้าจือก็จะไปแย่งลูกหมาป่าขาวกินอีกที ส่วนหลัวปอก็จะแย่งของกินของลูกแมวป่า ลูกแมวป่าเองก็แย่งเฟอเรทสองพี่น้อง รังแกกันตามน้ำหนักและขนาดตัวเป็นทอดๆ


หลังจากทะเลาะกันเสร็จแล้ว กินอาหารเสร็จแล้ว การต่อสู้ก็จะถูกยกระดับขึ้น พวกมันทุกตัวจะเริ่มเล่นกัน ตีกันวุ่นวายตั้งแต่ห้องรับแขกไล่ไปจนถึงริมชายหาด ทุกๆ ครั้งก็จะมีเศษหญ้าเศษทรายติดตัวกลับมาเสมอ แต่วันนี้กลับเป็นเหมือนกับคนละคน


ฉินสือโอวหัวเราะพร้อมกับเล่าเรื่องเมื่อตอนบ่ายให้เธอฟัง วินนี่พอได้ฟังอย่างนั้นก็หัวเราะออกมาบ้าง เธออุ้มเสี่ยวเถียนกวาที่มีน้ำมันติดอยู่เต็มมือขึ้นมาแล้วพูดกับเขาว่า “พรุ่งนี้คุณพาเธอไปแถวๆ นั้นบ้างสิคะ ตอนนี้ก็มีแต่ลูกสาวของพวกเราที่ดื้อที่สุดแล้วล่ะค่ะ”


ฉินสือโอวรับลูกสาวมาอุ้ม หลังจากนั้นก็ถามเธอว่า “คนสองคนเมื่อเที่ยงที่ผมส่งไปให้ไม่ได้สร้างความวุ่นวายให้คุณใช่ไหม?”


วินนี่ไหวไหล่พูดว่า “วุ่นวายแล้วยังไงล่ะคะ? คุณเป็นสามีของฉัน ฉันก็ต้องฟังคำของคุณใช่ไหมล่ะ? มีปัญหาก็ต้องแก้ปัญหา ถ้าไม่มีปัญหาก็สร้างมันขึ้นมาจะได้ช่วยกันแก้ไข”


ฉินสือโอวพูดด้วยรอยยิ้ม “อืม เป็นภรรยาที่ดีจริงๆ เดี๋ยวผมจะออกใบประกาศสำหรับการเป็นแม่ที่ดีกับภรรยาที่น่ารักให้ก็แล้วกัน พูดจริงๆ เลยนะ สองคนนั้นที่ถูกส่งไปไม่ได้สร้างปัญหาอะไรใช่ไหม?”


วินนี่พูดกับเขาว่า “ไม่ได้มีปัญหาอะไรค่ะ ฉันให้พวกเขาเซ็นสัญญาแล้ว สัญญาที่เซ็นก็สอดคล้องกับกฎหมายมาตรฐานแรงงาน เงินเดือนสี่พันแปดร้อยดอลลาร์ ทำงานสัปดาห์ละสี่สิบแปดชั่วโมง มีค่าล่วงเวลาแล้วก็จ่ายค่าประกันให้ด้วย พวกเขาก็ดูเต็มใจดีนะคะ”


ที่วินนี่ทำแบบนี้ถือว่าใจดีมากๆ ปัจจุบันนี้บริษัทจัดหางานทั่วๆ ไปในแคนาดามักจะกดขี่ผู้ย้ายถิ่นฐานใหม่ เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีการศึกษาต่ำ ทั้งยังไม่รู้กฎหมายมาตรฐานแรงงาน


เหตุการณ์ประเภทนี้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะในช่วงสองปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงที่แคนาดายอมรับผู้อพยพมากที่สุด ธุรกิจที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายบางแห่ง จะบีบแรงงานอพยพใหม่ด้วยวิธีนี้ แม้กระทั่งงานนั่งโต๊ะก็ยังถูกเอารัดเอาเปรียบ


แต่ต่อมาหลังจากการต่อสู้ของสหภาพแรงงาน รัฐบาลพรรคเสรีนิยมจึงต้องจัดทำร่างพระราชบัญญัติฉบับที่ 18 โดยกำหนดให้หน่วยงานจัดหาแรงงานชั่วคราวและบริษัทที่เป็นลูกค้าของพวกเขาต้องรับรองค่าจ้าง ค่าจ้างงานในวันหยุดราชการและค่าล่วงเวลาของพนักงานตามกฎหมาย


แต่ถึงแม้จะมีข้อกำหนดทางทางกฎหมายแล้ว แต่ก็ยังมีบริษัทขนาดเล็กบางแห่งที่กดขี่แรงงานอพยพใหม่อยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับงานในชนบท ดังนั้นแม้ว่าแคนาดาจะมีสวัสดิการที่ดี แต่ก็ไม่ใช่สวรรค์ ยิ่งเป็นผู้อพยพย้ายถิ่นฐานใหม่ที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจแล้ว ก็เรียกได้ว่านี่คือนรกดีๆ นี่เอง


เมื่อวานนี้ตอนที่ฉินสือโอวกำลังค้นหาข่าวเกี่ยวกับบริษัทนายหน้าผิดกฎหมาย เขาเห็นข่าวมากมายที่เกี่ยวข้องกับการกดขี่เอารัดเอาเปรียบแรงงานที่เพิ่งอพยพย้ายถิ่นฐานมาใหม่ โดยเฉพาะผู้อพยพชาวจีนที่ต้องพบกับการกดขี่ครั้งแล้วครั้งเล่า


ผู้อพยพชาวจีนมักจะมีจิตสำนึกในการรักษาสิทธิของตนที่ค่อนข้างต่ำ อีกทั้งยังมีโอกาสน้อยมากที่ชาวจีนจะลาออกหรือฟ้องร้องผู้ว่าจ้างเพราะไม่ได้รับค่าล่วงเวลาหรือค่าจ้างในวันหยุดราชการ พวกเขามักจะจัดการปัญหาเรื่องการไม่ได้รับค่าจ้างด้วยการลาออกเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา โดยจะไม่เอาตัวเองไปพบกับความยุ่งยากแค่เพราะเพื่อเงินค่าจ้างสำหรับหนึ่งถึงสองสัปดาห์


และก็เป็นเพราะเห็นข่าวพวกนี้ ฉินสือโอวจึงตัดสินใจช่วยซ่งชิงซานกับคาปาไล ก็เหมือนกับที่เขาคุยโทรศัพท์กับวินนี่นั่นแหละ สำหรับเขาแล้วนี่เป็นเรื่องที่ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ แต่สำหรับคนที่ไม่มีความสามารถ ไม่มีคอนเน็คชั่นอย่างซ่งชิงซานกับคาปาไลแล้ว นี่เป็นความยากลำบากที่ไม่มีอะไรมาเปรียบเทียบได้เลย

 

 

 


บทที่ 1328 ปลาหัวเมือกที่ดีที่สุด

 

ฉินสือโอวทานมื้อเช้าแล้วไปที่ท่าเรือตั้งแต่เช้าตรู่ วันนี้ต้องออกทะเลเพื่อไปจับปลาหัวเมือก เขาต้องออกไปกับเรือด้วย เพราะปลาชนิดนี้เป็นปลาที่ค่อนข้างหายาก


รอจนเขาขึ้นเรือแล้ว บูลที่กำลังปัดกวาดเรือฮาวิซทอยู่ก็พูดกับเขาด้วยรอยยิ้มว่า “เฮ้ บอสครับ วันพรุ่งนี้จะมีพระจันทร์สีเลือด คุณคิดว่าจะใช้อะไรดูมันเหรอ?”


ฉินสือโอวหยุดฝีเท้า แล้วพูดกับเขาว่า “พระจันทร์สีเลือด? ใช่แล้ว ฉันจำได้ว่าครั้งก่อนชาร์คบอกว่าเราจะได้เห็นพระจันทร์สีเลือดตั้งแต่เดือนก่อนแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมยังไม่ได้เห็นอีกล่ะ?”


ชาร์ควางถังน้ำที่อยู่ในมือลง แล้วพูดกับเขาด้วยรอยยิ้มเก้อเขิน “ชิท ตอนนั้นผมเห็นจากข่าวที่มีคนแชร์มา ไอ้โง่นั่นเขียนเวลาผิดน่ะครับ ต้องเดือนสิงหาคมถึงจะได้เห็นพระจันทร์สีเลือดใช่ไหมล่ะ?”


ฉินสือโอวจ้องมองเขาพร้อมกับพูดว่า “อย่าบอกฉันนะว่า ไอ้โง่คนนั้นชื่อว่าชาร์ค”


บูลและคนอื่นๆ ก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมาทันที ชาร์คไหวไหล่แล้วพูดว่า “ตอนนั้นฉันไม่ได้ดูให้ดี โอเคไหม? เลิกหัวเราะได้แล้ว บอส คุณจะดูพระจันทร์สีเลือดด้วยวิธีไหน?”


ฉินสือโอวจึงถามเขากลับไปว่า “มันจะอยู่ให้เห็นนานแค่ไหนล่ะ?”


พวกชาวประมงหันมาสบตากันหลังจากนั้นก็พากันไหวไหล่ “นายรู้ไหม?” “ไม่รู้ ฉันไม่รู้ แล้วนายล่ะ?” “พูดอะไรไร้สาระขนาดนี้วะ ถ้าฉันรู้ฉันจะถามนายทำบ้าอะไร?”


“แต่ถึงยังไงก็คงไม่อยู่ตลอดทั้งคืนหรอก จันทรุปราคาเต็มดวงหายไปเร็วมากๆ” นีลเซ็นกล่าว


เบิร์ดชี้ไปที่เขาแล้วพูดว่า “ใช่ๆ นีลเซ็นนายพูดถูก นายแม่งเป็นอัจฉริยะทางวิทยาศาสตร์ที่โคตรแย่เลย คิดว่าพวกเราไม่รู้หรือยังไงว่าจันทรุปราคาเต็มดวงจะไม่อยู่ให้เห็นตลอดทั้งคืนน่ะ?”


บูลพูดกับชาร์คว่า “แล้วมือถือซูเปอร์โฟนของนายล่ะ? รีบใช้อินเทอร์เน็ตค้นเร็ว”


ชาร์คควักก้อนอิฐสีดำยี่ห้อโนเกียออกมา แล้วพูดว่า “ใช้นี่ค้นแทนได้ไหมล่ะ? ไอโฟนเครื่องนั้นฉันให้แพรีสไปแล้วล่ะ”


พวกชาวประมงคุยกันเรื่องไร้สาระเก่งมากๆ พอเปิดประเด็นคุยกันเรื่องนี้ พอคุยกันจนถึงตอนท้ายฉินสือโอวเองก็ไม่รู้แล้วว่าพวกเขากำลังคุยอะไรกันอยู่


“เอาล่ะๆ ทำงานกันเถอะ เรื่องแบบนี้พวกนายคุยกันแล้วสนุกมากเลยหรือไง?” ฉินสือโอวพูดไปส่ายหัวไป


ชาร์คพูดขึ้นมาว่า “ถ้าอย่างนั้นบอสอยากไปดูพร้อมกับพวกเราไหมล่ะครับ? พวกเราจะเข้าไปในเมือง จะได้ดูพร้อมกับทุกคน จะต้องสนุกสุดยอดแน่ๆ ผมยังไม่เคยดูพระจันทร์สีเลือดมาก่อนเลย”


ฉินสือโอวก็พูดว่า “ทำไมต้องเข้าไปดูถึงในเมือง? ที่ฟาร์มปลาก็ไม่ใช่ว่าจะมองไม่เห็นสักหน่อย”


“แต่คุณมีกล้องโทรทรรศน์ไหมล่ะ? กล้องโทรทรรศน์ดาราศาสตร์ ที่หน้าตาเหมือนกับปืนใหญ่นั่นน่ะ” ชาร์คถาม


ฉินสือโอวส่ายศีรษะ “ดูของพวกนั้นต้องใช้กล้องโทรทรรศน์ดาราศาสตร์ด้วยเหรอ? ใช้ตาเปล่ามองไม่เห็นเหรอ?”


นีลเซ็นจึงพูดกับเขาว่า “ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้นครับบอส ใช้กล้องโทรทรรศน์ดาราศาสตร์ก็จะเห็นได้ชัดกว่าตั้งเยอะ แล้วคุณก็จะเห็นรายละเอียดต่างๆ บนดวงจันทร์ได้ชัดกว่าด้วย แบบนั้นจะต้องทำให้คุณทึ่งได้แน่ๆ”


“ฮิวจ์คนน้องมีกล้องโทรทรรศน์แบบนี้อยู่ตัวหนึ่ง ถ้าอยากดูอะไรพวกเราก็จะไปหาเขา”


ฉินสือโอวลองคิดๆ ดูหลังจากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “โอเค ถ้าอย่างนั้นฉันจะลองดูแล้วกัน ถ้าวินนี่ชอบเหมือนกัน ฉันก็จะเข้าเมืองไปพร้อมกับพวกนายด้วย”


ปัดกวาดเรือประมงเรียบร้อย พวกชาวประมงก็ออกทะเลได้ ก่อนอื่นจะต้องวนดูบริเวณแถบชายฝั่งทะเลของฟาร์มปลาก่อน ฉินสือโอวมองลงไปในน้ำ น้ำทะเลที่นี่ใสสะอาดไม่มีอะไรเทียบได้ จนทำให้สามารถมองเห็นวิวและหอยทะเลที่อาศัยอยู่ใต้น้ำได้อย่างชัดเจน


หอยเชลล์อาศัยอยู่ในบริเวณแถบชายฝั่งทะเลได้อย่างดี ฉินสือโอวจึงพยักหน้าพูดด้วยความพึงพอใจว่า “สวยงามมากๆ บางทีฉันน่าจะหาสัตว์ทะเลชนิดใหม่มาเลี้ยงเพิ่ม พวกนายคิดยังไงถ้าฉันจะเพาะเลี้ยงหอยนางรม?”


“ก็ไม่ยังไงนะครับ” ชาร์คเดินเข้ามาพูดกับเขา “ในข่าวใหม่บอกว่า CFIA ออกประกาศเมื่อวันที่ 9 ว่าหอยนางรมที่เพาะพันธุ์ในรัฐบริติชโคลัมเบียประสบปัญหาการปนเปื้อนของเชื้อวิบริโอพาราแฮโมไลติคัส ต้องนำออกจากชั้นวางจำหน่ายทั้งหมด ตอนนี้มีเคสผู้ป่วยที่เกิดจากแบคทีเรียชนิดนี้อยู่หลายรายแล้ว”


CFIA คือหน่วยงานตรวจสอบอาหารของแคนาดา โดยจะรับผิดชอบด้านความปลอดภัยของอาหารในประเทศ เวลาที่ฟาร์มปลาต้าฉินจะส่งออกอาหารทะเลก็ต้องผ่านการตรวจสอบอย่างเคร่งครัดจากหน่วยงานนี้เช่นกัน


ฉินสือโอวไม่ได้ติดตามข่าวนี้ พอเขาลองถามชาร์ค ชาร์คก็เล่าให้เขาฟัง หลังจากนั้นก็เข้าไปเอาหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นออกมาจากเคบินเรือเพื่อให้ฉินสือโอวอ่านข่าวนี้เอาเอง


ในฐานะที่เป็นเจ้าของฟาร์มปลา เขาจึงจำเป็นต้องติดตามกระแสความเคลื่อนไหวของตลาดค้าอาหารทะเล โดยปกติแล้วฉินสือโอวจะศึกษาจากข่าวด้านการตลาดในตอนกลางคืน แต่ช่วงนี้เขากำลังยุ่งอยู่กับการควบคุมจิตสำนึกแห่งโพไซดอนเพื่อสร้างวังคริสทัลใต้ทะเล ทำให้พลาดข่าวไปบ้าง


ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้รัฐบริติชโคลัมเบียมีผู้ที่ป่วยจากเชื้อวิบริโอพาราแฮโมไลติคัสอยู่หลายราย ตอนแรก CFIA ยังหาสาเหตุไม่พบ เมื่อเร็วๆ นี้ถึงเพิ่งพบว่าหอยนางรมที่ใช้เป็นวัตถุดิบในร้านอาหารตะวันตกบางแห่งมีปัญหา ในขณะนี้เคสผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องก็เพิ่มขึ้นเป็น 70 รายแล้ว เฉพาะสำนักงานสาธารณสุขชายฝั่งแวนคูเวอร์เพียงแห่งเดียวก็มีผู้ป่วยมากกว่า 30 รายแล้ว


จากนั้น CFIA จึงออกประกาศเรียกเก็บอาหารโดยกำหนดให้ทุกช่องทางการจำหน่ายรวมถึงร้านค้าปลีก ผู้จัดจำหน่าย ร้านอาหารและผับบาร์ ให้นำหอยนางรมที่สงสัยว่าจะมีการปนเปื้อนของแบคทีเรียเหล่านี้ออกจากชั้นวางจำหน่าย พร้อมทั้งดำเนินการตรวจสอบหอยนางรมที่วางจำหน่ายในตลาดอย่างเคร่งครัด


ชาวแคนาดามักจะเกิดปัญหากับการทานอาหารทะเล เนื่องจากชาวแคนาดาและชนพื้นเมืองอเมริกันมักจะนิยมรับประทานอาหารหลายอย่างแบบดิบๆ การทานหอยนางรมสดๆ ก็ยิ่งมีมากเป็นพิเศษ ทุกๆ ปีจะเกิดกรณีผู้ป่วยจากการติดเชื้อวิบริโอพาราแฮโมไลติคัส เพียงแต่ว่าปีนี้มีมากกว่าทุกปีเท่านั้นเอง


เมื่อได้อ่านข่าวนี้ไปแล้ว ฉินสือโอวก็พับความคิดที่จะเลี้ยงหอยนางรมของปีนี้เก็บไว้ทันที หอยนางรมที่ดีที่สุดในแคนาดาล้วนแต่ถูกเพาะเลี้ยงที่รัฐบริติชโคลัมเบีย ที่จริงแล้วหลังจากการล่มสลายของฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์ ศูนย์กลางการผลิตอาหารทะเลก็ย้ายไปอยู่ที่รัฐบริติชโคลัมเบียแทน


ที่อเมริกาเหนือ สิ่งที่อุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงกลัวที่สุดก็คือการประสบกับปัญหาเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อน เชื้อรากุ้งมังกรแก๊ฟคี่ทำให้อุตสาหกรรมการผลิตกุ้งมังกรทรุดตัวลงอย่างไม่มีวันฟื้นขึ้นมาได้ หอยนางรมก็ดันมาประสบกับวิกฤตการณ์เชื้อวิบริโอพาราแฮโมไลติคัสปนเปื้อนอีก ดูท่าว่าอุตสาหกรรมสัตว์น้ำคงจะซวยหนักเลยทีเดียว


โชคดีที่เชื้อวิบริโอพาราแฮโมไลติคัสไม่ได้ทำให้หอยนางรมตาย แรงโจมตีที่มีต่อธุรกิจนี้จึงไม่รุนแรงนัก ไม่เหมือนกับเชื้อรากุ้งมังกรแก๊ฟคี่ที่ทำให้กุ้งมังกรใกล้ชายฝั่งทะเลล้มตายทั้งหมด


เรือฮาวิซทขับมาถึงริมขอบบริเวณเขตน้ำทะเลลึก อวนลากแผ่นตาข่ายยาวๆ ถูกทอดลงไป หลังจากลากแหออกแล้วความเร็วของเรือก็ถูกลดระดับลงเพื่อเริ่มดำเนินการจับปลา


อวนกลุ่มแรกถูกยกขึ้นมา ข้างในล้วนแต่เต็มไปด้วยปลาหัวเมือกตัวอวบอ้วนสีแดง ชาร์คจับปลาติดมือขึ้นมาสองตัวแล้วใช้มีดผ่าตัดกรีดผ่าท้องปลาเพื่อตรวจสอบหลังจากนั้นจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “สภาพการกินไม่เลวเลย เหมือนว่าแถวนี้จะมีอาหารอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์เลยล่ะ”


แลนซ์พูดขึ้นมาว่า “นี่ปกติจะตาย ฉันยังไม่เคยจับปลาตัวไหนในฟาร์มของพวกเราขึ้นมาแล้วเห็นว่ามีตัวไหนกินไม่อิ่มเลยนะ”


ต่อจากนั้นชาร์คก็เฉือนเนื้อปลาออกเป็นแผ่นๆ บูลนำชามใส่น้ำสะอาดออกมาวาง แล้วพวกชาวประมงก็พากันเข้ามาหยิบเนื้อปลาขึ้นมาส่องกับแสงอาทิตย์ สะบัดเนื้อปลาลงในน้ำสะอาดสองสามทีแล้วทานเข้าไปทั้งอย่างนั้น


ขณะที่กำลังทานเนื้อปลาพวกชาวประมงก็พร้อมใจกันพยักหน้าแล้วพูดว่า “อืม คุณภาพเนื้อปลานี่ดีจริงๆ ปลาหัวเมือกรอบนี้ถือว่าเยี่ยมยอดสุดๆ เลย”


ไม่ใช่ว่าพวกชาวประมงตะกละ ที่เมื่อสักครู่พวกเขายกเนื้อปลาขึ้นส่องกับแสงแดดก็เพราะต้องการจะดูว่ามีปรสิตอยู่ในเนื้อปลาหรือเปล่า อีกทั้งการทานเนื้อปลาดิบก็ตัดสินจากสภาพการณ์ปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย ถ้ามีเชื้อแบคทีเรียอยู่ในตัวปลา รสชาติของเนื้อปลาก็จะเปลี่ยนไป


ฉินสือโอวไม่ได้ทำงานพวกนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เขาคิดว่าการทานเนื้อปลาดิบก็คือพฤติกรรมที่รนหาที่ตายให้ตัวเองอย่างหนึ่ง ถ้าหากมีเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส หรือปรสิตปนเปื้อน แบบนั้นคงจะจบไม่สวยเท่าไรนัก


เพราะเป็นคนหลังยุคแปดศูนย์ที่เคยประสบกับโรค SARS มาก่อน ชีวิตนี้ทั้งชีวิตท่านชายฉินจึงไม่มีทางที่จะกินของดิบเป็นอันขาด ไม่ว่าจะเป็นเป็ดไก่ปลาหรือแพะแกะวัวหมูก็ตาม บทเรียนจากอีเห็นเครือยังไม่เพียงพออีกเหรอ?


ปลาหัวเมือกของฟาร์มปลามีคุณภาพดีเยี่ยม อวบอ้วนสมบูรณ์ เมื่อดูจากภายนอกแล้วจะให้ความรู้สึกเหมือนปลาทองตัวอ้วนอยู่หน่อยๆ ซึ่งพบได้น้อยมาก เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วปลาจากทะเลลึกส่วนใหญ่จะมีลักษณะลำตัวเรียวยาว ไม่อวบอ้วน ซึ่งฟาร์มปลาต้าฉินก็สามารถเพาะเลี้ยงปลาหัวเมือกคุณภาพเยี่ยมแบบนี้ออกมาได้

 

 

 


บทที่ 1329 ซูเปอร์เทเลสโคป

 

ปลาหัวเมือกแต่ละอวนถูกทยอยยกขึ้นมา เนื่องจากความกดอากาศทำให้ปลาทะเลน้ำลึกเหล่านี้ตายทันทีหลังจากโผล่ขึ้นมาสัมผัสกับอากาศ ดังนั้นชาวประมงจึงต้องนำพวกมันไปแช่แข็งอย่างรวดเร็ว เพื่อรักษาความสดของปลาเอาไว้


ในตอนนี้ฉินสือโอวก็ต้องเข้าไปช่วยงานด้วยเหมือนกัน ไม่จำเป็นเอาไปใส่ห้องแช่แข็ง พวกเขาเตรียมกล่องเก็บรักษาอุณหภูมิมาก่อนแล้ว ข้างในมีน้ำแข็งอยู่ แค่เก็บปลาพวกนี้แยกตามขนาดก็พอแล้ว


จับขึ้นมาห้าอวน ได้ปลาหัวเมือกราวๆ สองตัน ส่วนใหญ่ยาวยี่สิบเซนติเมตรกว่าๆ ลำตัวอวบอ้วน ดูแล้วไม่นับว่ามีขนาดใหญ่นัก แต่ที่จริงที่ปลาพวกนี้โตได้ถึงขนาดนี้ก็ถือว่าตัวใหญ่มากแล้ว เพราะปกติต้องใช้เวลาตั้งแปดสิบถึงหนึ่งร้อยปีเลยทีเดียว


ปลาหัวเมือกเป็นผู้เฒ่าในหมู่ปลาทะเล จากการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ พบว่าพวกมันสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึงสองร้อยปี!


เนื่องจากเติบโตได้ช้า ปลาชนิดนี้จึงมีปริมาณน้อยมาโดยตลอด ที่ฟาร์มปลาต้าฉินสามารถจับขึ้นมาได้คราวละสองตันก็น่าประหลาดใจมากแล้ว อย่างที่เม็กซิโก ผลการผลิตรวมทั้งประเทศ ยังจับขึ้นมาได้เพียงปีละสี่ร้อยตันเท่านั้น


ที่ปลาหัวเมือกมีราคาแพง ไม่ใช่เพียงเพราะการเจริญเติบโตที่ช้าและความขาดแคลนเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะเนื้อของปลาชนิดนี้มีแร่ธาตุและวิตามินที่ร่างกายมนุษย์ต้องการมากกว่า 20 ชนิดทั้งยังมีโปรตีนสูง มีไขมันต่ำและคอเลสเตอรอลต่ำ


แต่นี่ยังไม่ใช่สิ่งล้ำค่าที่สุด สิ่งที่ล้ำค่ากว่านั้นคือ “สมองทองคำ” ที่อยู่ในหัวและกระดูกของปลาหัวเมือก ที่สามารถกระตุ้นเซลล์สมอง เพิ่มความจำและชะลอความชราได้ต่างหาก สามารถนำกระดูกของมันมาต้มดื่มเพื่อบำรุงตับและไตได้ หากดื่มเป็นประจำก็จะสามารถยืดอายุได้ด้วย


ปลาหัวเมือกของฟาร์มปลาต้าฉินเป็นปลาที่ฉินสือโอวล่อมาจากเขตน่านน้ำภายนอก เขาควบคุมปริมาณการจับปลา โดยหนึ่งเดือนเขาจะจับขึ้นมาแค่หนึ่งครั้ง ไม่ว่าจะได้ปลาเท่าไรเขาก็จะทิ้งอวนลงไปแค่ห้าปากเท่านั้น


สำหรับฝูงปลาหัวเมือกหนึ่งฝูงแล้ว ปริมาณการจับเท่านี้ถือว่ามีสิทธิ์ทำให้พวกมันสูญพันธุ์ได้เลย แต่ฉินสือโอวก็เพิ่มพลังโพไซดอนให้พวกมันทุกวัน ซึ่งนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้พวกมันอ้วนพีขนาดนี้ พวกปลาหัวเมือกไม่ได้อ้วนเพราะกินอาหารเยอะหรอกนะ


พลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตต่างกันออกไปตามแต่ละชนิด สำหรับปลาหัวเมือกแล้วมันมีผลในด้านการช่วยกระตุ้นให้เกิดการเจริญเติบโตเหมือนกันกับปะการัง หลังจากที่ปลาชนิดนี้ดูดซึมพลังโพไซดอนเข้าไปแล้วก็จะสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว


วันนี้พวกเขามาจับปลาหัวเมือกโดยเฉพาะ และปลาหัวเมือกทั้งสี่ตันนี้ก็คุ้มค่ากับแรงกายแรงใจและเวลาที่เสียไปของพวกเขาแล้ว


ในบรรดาอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉิน ปลาหัวเมือกหนึ่งกิโลกรัมมีมูลค่ากว่าห้าล้านดอลลาร์สหรัฐ และในร้านอาหารชั้นนำเมนูปลาหัวเมือกหนึ่งจานก็มีมูลค่าหลายพันดอลลาร์ แตกต่างกันไปตามระดับของร้านอาหาร


นำปลาหัวเมือกแต่ละตัวลงไปเก็บไว้ในกล่องเก็บรักษาอุณหภูมิตามขนาดของปลาเสร็จ เรือฮาวิซทก็เดินทางกลับ หลังจากเข้าเทียบท่าเรือ ก็มีรถกระบะขับเข้ามาแล้วรีบขนย้ายเข้าไปไว้ในห้องแช่แข็งทันที ครั้งนี้ต้องแช่แข็งเอาไว้ หลังจากนั้นก็จะนำไปส่งให้กับร้านจำหน่ายอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินอีกที


ฉินสือโอวโทรไปหาบัตเลอร์ แล้วพูดกับเขาว่า “เฮ้ เพื่อน จับปลาหัวเมือกขึ้นมาแล้วนะ นายจะมารับไปตอนไหน? รอบนี้หนักประมาณห้าพันปอนด์”


บัตเลอร์ก็ตอบเขากลับมาว่า “รอฉันก่อน พรุ่งนี้ฉันก็จะไปหานายที่นั่นแล้ว ตอนนี้ปลาพวกนี้ขายได้ค่อนข้างดีเลย ฉันรอให้นายจับพวกมันขึ้นมาตั้งนานแล้ว”


ฉินสือโอวได้ยินว่าเขาจะมาที่นี่พรุ่งนี้ จึงถามเขาด้วยความลังเลเล็กน้อยว่า “ถ้านายจะมาพรุ่งนี้ งั้นนายพอจะหากล้องโทรทรรศน์ดาราศาสตร์มาด้วยได้ไหม? อันที่ดูเหมือนปืนใหญ่น่ะ คืนพรุ่งนี้จะได้ดูพระจันทร์ด้วยกัน”


เสียงหัวเราะของบัตเลอร์ดังลอดออกมาจากโทรศัพท์ “เฮ้อ ฉันว่านะ นี่นายคอยจับตามองฉันอยู่หรือเปล่าเนี่ย? เมื่อวานฉันเพิ่งจะซื้อกล้องโทรทรรศน์สะท้อนแสงมา ทำไมวันนี้นายก็ถามหามันแล้วล่ะ?”


ถือว่าบังเอิญมากจริงๆ ฉินสือโอวหัวเราะออกมา แบบนี้ก็พอดีเลย มีกล้องโทรทรรศน์ของบัตเลอร์พวกเขาก็ไม่ต้องเข้าไปในเมืองแล้ว ทุกคนแบ่งกันดูอยู่ที่บ้านก็พอ


เขาว่าแบบนี้มันดีจริงๆ เช้าวันต่อมาบัตเลอร์ก็นั่งเครื่องบินมาที่นี่ แถมยังนำของที่เหมือนกับปืนใหญ่มาด้วยสองอัน ซึ่งนี่ก็คือกล้องโทรทรรศน์สะท้อนแสงนั่นเอง ตอนที่เห็นฉินสือโอวก็ถึงกับตกใจเช่นกัน


“ใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ?” ฉินสือโอวถามด้วยความประหลาดใจ


บัตเลอร์บอกว่า “แน่นอนสิ นี่มันถึงแสนดอลลาร์สหรัฐเลยนะ! ตอนนี้นักดาราศาสตร์ที่นิวยอร์กก็ใช้เจ้านี่แหละในการสังเกตดวงดาวบนท้องฟ้า ฉันได้ยินมาว่าสามารถมองเห็นได้ไกลถึง 40,000 ปีแสงเลยนะ!”


“ฟัค 40,000 ปีแสงเลยเหรอ!” บูลหลุดอุทานอย่างแตกตื่น “ขนาดแสงยังใช้เวลาเดินทางตั้งสี่หมื่นปี มันต้องไกลแค่ไหนกัน?”


เบิร์ดพูดแกมหัวเราะว่า “พูดแบบนี้ทำให้นายยิ่งดูซื่อบื้อกว่าเดิมอีกนะ ใครบอกว่ากล้องโทรทรรศน์ที่มองได้ไกลถึงสี่หมื่นปีแสงจะต้องเป็นกล้องโทรทรรศน์ที่ดีกันน่ะ?”


“ถ้าอย่างนั้นนายอยากจะให้มันมองได้ไกลแค่ไหนกันล่ะ? อย่าทำตัวเป็นพวกไม่รู้จักพอไปหน่อยเลย” บัตเลอร์พูดอย่างไม่สบอารมณ์


เบิร์ดจึงไหวไหล่แล้วพูดว่า “กล้องโทรทรรศน์มองไปได้ไกลแค่ไหนไม่ได้มีความหมายอะไรเลย ถ้าจะตัดสินว่ามันดีหรือไม่ดี ก็ต้องดูว่ามันช่วยให้มองเห็นได้ชัดแค่ไหนต่างหาก พวกนายรู้ไหม ดวงตาของคนทั่วไปก็สามารถมองออกไปไกลได้ถึงสี่หมื่นปีแสงเหมือนกันนะ”


“จะเป็นไปได้ยังไง?” สีหน้าของบัตเลอร์เต็มไปด้วยความงงงวย


เบิร์ดจึงถามว่า “พวกนายไม่เคยใช้ตาเปล่ามองดูกาแล็กซีแอนโดรเมดามาก่อนเลยเหรอ?”


“ต้องเคยอยู่แล้วสิ แอนโดรเมดา เนบิวลา กลุ่มดาวนายพราน แล้วก็มีอะไรอีกนะ?”


“มีอะไรก็ไม่ต้องไปสนใจแล้ว แค่รู้ไว้ว่าแอนโดรเมดาอยู่ห่างจากโลกสี่หมื่นปีแสงก็พอ” เบิร์ดกล่าว


บัตเลอร์ยังพูดอย่างไม่ยอมแพ้ “ที่นายพูดก็อาจจะไม่ถูกก็ได้”


เบิร์ดจึงพูดอย่างยิ้มๆ ว่า “นี่มันความรู้รอบตัวนะ ฉันอาจจะไม่ได้รู้ลึกเกี่ยวกับกล้องโทรทรรศน์ แต่ตอนที่พวกเราฝึกวิชาซุ่มยิง พวกเราก็ต้องศึกษาความรู้เกี่ยวกับกล้องโทรทรรศน์ด้วย ถามนีลเซ็นสิ”


นีลเซ็นไหวไหล่แล้วตอบว่า “ความรู้พื้นๆ แบบนี้ผมไม่จำเป็นต้องพูดถึงด้วยซ้ำ”


หลังจากนั้นบัตเลอร์ก็ควักมือถือออกมาต่อสายโทรทันที หลังจากอีกฝั่งรับสายแล้วเขาก็เริ่มตะโกนออกไปว่า “ฟัคยู! เนวิล ไอ้ลูกหมา! นายกล้าหลอกฉันเหรอ? นายตายแน่! นายตายแน่!”


ฉินสือโอวหัวเราะออกมาเสียงดัง รอจนบัตเลอร์คุยโทรศัพท์ด้วยความโมโหเสร็จแล้ว เบิร์ดที่กำลังส่องดูกล้องโทรทรรศน์ดาราศาสตร์อยู่ตลอดเวลาก็พูดขึ้นมาว่า “แต่นี่เป็นกล้องโทรทรรศน์ที่สุดยอดมากๆ เลยนะ คืนนี้พวกเราอาจจะมองเห็นรอยเท้าที่อาร์มสตรองทิ้งไว้บนดวงจันทร์ก็ได้”


บัตเลอร์เบิกตาโต “นายรีบบอกฉันให้มันครบๆ ตั้งแต่แรกไม่ได้หรือไงวะ”


เบิร์ดไหวไหล่ตอบว่า “เมื่อกี้แค่แก้ไขความเข้าใจผิดของนายที่มีต่อความรู้รอบตัวก็เท่านั้น ไม่ได้บอกสักหน่อยว่ากล้องโทรทรรศน์ตัวนี้ดีหรือไม่ดี”


คราวนี้พวกชาวประมงคนอื่นๆ ก็หัวเราะออกมาแล้วเช่นกัน


ช่วงเที่ยงฮิวจ์คนน้องถามฉินสือโอวผ่านวิทยุสื่อสารว่าอยากจะไปดูพระจันทร์สีเลือดด้วยกันไหม ฉินสือโอวก็พูดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องว่า “ไม่ล่ะ เพื่อน พวกเราไม่ต้องไปที่นั่นหรอก ที่บ้านฉันก็มีกล้องโทรทรรศน์อยู่ตัวหนึ่งเหมือนกัน ราคาถึงแสนดอลลาร์สหรัฐเลยนะ!”


“ชิท นายนี่เป็นมหาเศรษฐีของแท้เลยนะ”


“ขอบคุณนะ แต่ก็ไม่เท่าไรหรอก”


“ไม่ต้องขอบคุณหรอก ฉันสิต้องขอบคุณนาย ฉิน นายขนกล้องโทรทรรศน์เข้ามาในเมืองหน่อยสิ พวกเราจะจัดปาร์ตี้หมาป่าก่อจลาจลกันในเมือง นายน่าจะไม่เคยไปงานปาร์ตี้ที่มีธีมแบบนี้มาก่อนใช่ไหมล่ะ มาเถอะนะ”


ฉินสือโอวก็อยากจะปฏิเสธ เพียงแต่ว่าหลายๆ คนก็ไปร่วมงานนี้ แถมยังมีคนโทรศัพท์มาหานายกเทศมนตรีอีกต่างหาก บอกว่าจะให้นายกเทศมนตรียึดกล้องโทรทรรศน์ของเขามาใช้


ท่านชายฉินกลัวการคุกคามของคนพวกนี้นี่แหละ ดังนั้นเขาจึงบอกพวกนั้นไปอย่างไม่ลังเลว่า บ่ายวันนี้เขาจะเอากล้องโทรทรรศน์เข้าไปไว้ที่สนามบาสตรงหัวมุมถนนในเมือง “เรื่องแบบนี้ไม่ต้องไปรบกวนนายกเทศมนตรีของพวกเราหรอกใช่ไหม?”


เสียงร้องดีใจของคนกลุ่มนั้นดังออกมาจากวิทยุสื่อสาร ฮิวจ์คนน้องก็ร้องเอ็ดตะโรโวยวายว่า “เพื่อน นายทำตัวจองหองต่อไปเถอะ ตอนนี้พวกเรามีวิธีควบคุมนายแล้ว”


“แต่คืนนี้ฉันจะจัดการนายแน่” ฉินสือโอวพูดยิ้มๆ

 

 

 


บทที่ 1330 การเปลี่ยนแปลงของเมืองเล็ก

 

ช่วงบ่ายฉินสือโอวขับรถฟอร์ดเอฟ 650 ที่แสนดุดันของเขาเข้าไปในเมือง เขาไม่ได้เข้าไปในเมืองมาสักพักหนึ่งแล้ว เนื่องจากฟาร์มปลาเป็นเหมือนโลกใบเล็กๆ ของเขาไปแล้ว ไม่ว่าอะไรก็มีครบ


หลังจากมาถึงในเมืองแล้ว เขาก็ต้องตกตะลึงเพราะพบว่าภายในช่วงเวลาหนึ่งเมืองเล็กๆ แห่งนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือ เมื่อเขาขับรถมาถึงถนนในเมือง ก็มีรถม้าคันหนึ่งวิ่ง ‘กุบกับกุบกับ’ เข้ามาหา!


“ชิท!” ฉินสือโอวพึมพำคำสบถด้วยความเคยชิน เขาหักพวงมาลัยรถด้วยความเร่งรีบ รถฟอร์ดจึงสามารถอ้อมผ่านรถม้าไปได้


ทว่าม้าควอเตอร์ที่ลากรถอยู่ก็ยังคงก้าวเดินต่ออย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อน ขายาวๆ ของมันก้าวเป็นจังหวะ เมื่อกีบเท้าแตะเข้ากับพื้นถนนก็จะส่งเสียง ‘กุบกับกุบกับ’ ออกมาอย่างเด่นชัด


ฉินสือโอวลดกระจกรถลง จึงเห็นว่ามีคนกำลังยื่นหัวออกมาจากบนรถม้าเพื่อส่งยิ้มให้เขา มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นคนรู้จักกัน เป็นชาวเมืองที่มักจะเจอกันบ่อยๆ ตอนไปดื่มเหล้านั่นเอง


“เกือบจะชนรถม้าของฉันแล้วนะ” คนคนนั้นพูดพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง


ฉินสือโอวกลอกตาแล้วตอบกลับไปว่า “นายทำตัวกร่างเกินไปแล้วนะ เมื่อกี้นี้ไม่ยอมเปิดทางให้ฉันเลยได้ยังไงกัน!”


คนขี่ม้าหัวเราะฮ่าๆ พร้อมกับสะบัดบังเหียน รถม้ายังคงแล่นตรงไปข้างหน้า นี่คือรถม้าแบบเปิดโล่ง ค่อนข้างคล้ายกับรถม้าแบบคลาสสิกบนท้องถนนในยุโรปช่วงศตวรรษที่สิบเจ็ด ผู้โดยสารจะหันหน้าไปทางด้านหลัง


ฉินสือโอวขับรถไปข้างหน้าอย่างช้าๆ หลังจากนั้นเขาก็ได้พบกับรถม้าอีกคัน คราวนี้เป็นรถม้าแบบมีหลังคาปิดอย่างมิดชิด เป็นประเภทที่มีสี่ล้อ หน้าต่างทั้งสองฝั่งมีสีสันสวยงาม ผู้โดยสารข้างในกำลังโยกคลอนไปมา แต่ก็ยังยื่นกล้องถ่ายรูปออกมาถ่ายรถกระบะของฉินสือโอวเอาไว้


เห็นได้ชัดว่า ผู้โดยสารที่อยู่ข้างในคงจะเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนนั่นเอง เนื่องจากรถฟอร์ดเอฟ 650 ยังไม่เข้าสู่ตลาดในประเทศจีน คนรักรถกระบะทั้งหลายจึงทำได้แค่เสพความฟินตอนอยู่ต่างประเทศ


ฉินสือโอวขับรถไปหาฮิวจ์คนน้อง เจ้าหมอนี่ไม่ได้อยู่ที่ร้านขายของชำ แต่กำลังเล่นบาสอยู่ที่หัวมุมถนน


รถฟอร์ดขับเข้าไป ขณะที่เข้าไปใกล้สนามบาส ฮิวจ์คนน้องที่กำลังส่งลูกอยู่ก็ส่งบอลไปให้วัยรุ่นคนหนึ่ง แล้วหมุนตัวก้าวเท้ายาวๆ เข้ามาหาเขา หลังจากนั้นก็ยกเท้าเหยียบขอบล่างของกันชนหน้าแล้วกระโดดขึ้นไปที่ด้านหน้าของรถ


ฉินสือโอวตกใจจนสะดุ้ง โชคดีที่ตอนนี้รถกำลังวิ่งด้วยความเร็วที่ไม่มากนัก เขาเหยียบเบรกด้วยความเร่งรีบ เพื่อให้ฟอร์ดเอฟ 650 ที่เหมือนกับนกนักล่าขนาดยักษ์หยุดวิ่งทันที


“นายแม่งเป็นบ้าไปแล้วหรือไง?” ฉินสือโอวยื่นหัวออกมาจากหน้าต่างรถเพื่อตะโกนด่าฮิวจ์คนน้อง “อยากตายก็ไปหาทางรถไฟสิวะ อย่าให้ฉันต้องเหนื่อยไปด้วย ไอ้เวรนี่!”


ฮิวจ์คนน้องนั่งลงตรงหน้ารถเขาพูดอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่า “เฮ้ ฉิน ผ่อนคลายหน่อย นายต้องผ่อนคลายความรู้สึก ทำไมต้องเครียดขนาดนี้ด้วยล่ะ?”


ฉินสือโอวลงจากรถแล้วดึงเขาลงมาอย่างคนอารมณ์ไม่ดี “นายถามฉันเหรอว่าทำไมถึงต้องเครียด? ถ้าเมื่อกี้ฉันเหยียบเบรกผิดไปเหยียบคันเร่งแทน นายรู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น?”


ฮิวจ์คนน้องไหวไหล่ตอบเขาว่า “นายไม่มีทางทำอย่างนั้นหรอกน่า นายเป็นคนรอบคอบจะตายไป มาเถอะ เล่นด้วยกันหน่อยไหม?”


เขากวักมือไปมา ต่อจากนั้นใครสักคนก็โยนลูกบาสมาให้ฉินสือโอว ตอนนี้ฉินสือโอวกำลังยืนอยู่นอกสนาม เขาแค่เล็งอย่างคร่าวๆ แล้วกระโดดขึ้นไปพร้อมกับสะบัดแขนและขยับข้อมือเบาๆ เท่านั้นก็สามารถชู้ตลูกบาสลงได้แล้ว


“ชึบ!” ลูกบอลหนังร่วงลงสู่ห่วงบาสอย่างแม่นยำ ราวกับลูกศรที่แทงทะลุหัวใจ


เสียงปรบมือกะหร็อมกะแหร็มก็ดังขึ้นมาทันที แถมยังมีคนตะโกนบอกกับเขาว่า “คูล สตีเฟ่น เคอร์รี!”


ตอนนี้เคอร์รีเป็นผู้เล่นที่ทรงอิทธิพลของเอ็นบีเอ ลงมือแค่ครั้งเดียวเขาก็สามารถทำลูกสามแต้มได้แล้ว


ฉินสือโอวนั่งอยู่บนหน้ารถแล้วมองพวกเขาเล่นกัน ฮิวจ์คนน้องส่งขวดน้ำให้เขาหลังจากนั้นก็นั่งลงข้างๆ กัน เขาเปิดขวดน้ำแร่ออกแล้วเทลงไปบนหัวทันที ทั้งยังสะบัดหัวไปมาพร้อมกับยิ้มหัวเราะว่า “สดชื่นจริงๆ”


ฉินสือโอวขยับมานั่งอีกข้างด้วยความรังเกียจ และพูดกับเขาว่า “สดชื่นอะไรล่ะ หู่จือเป้าจือที่บ้านฉันเวลาอาบน้ำก็ทำแบบนี้ทุกครั้งเหมือนกันเลย พวกนายเหมือนกันมากจริงๆ”


ฮิวจ์คนน้องไม่ใช่พวกที่ชอบเถียงเพื่อเอาชนะ เขาหัวเราะคิกคักพร้อมกับพูดว่า “เหมือนมากจริงๆ เหรอ? ฉันน่ารักเหมือนหู่จือกับเป้าจือเลยใช่ไหม?”


ฉินสือโอวพ่ายแพ้ให้กับเขาแล้ว “ช่วงนี้ธุรกิจที่ร้านดีขนาดนี้ ทำไมนายถึงเอาแต่ออกมาเล่นข้างนอกแบบนี้ล่ะ? ไม่ต้องคอยเฝ้าร้านบ้างเหรอ?”


ฮิวจ์คนน้องพูดอย่างไร้ซึ่งความกังวล “ก็มีเพื่อนร่วมชาติของนายอยู่ที่นั่นแล้วไม่ใช่เหรอ? มีเขาเฝ้าร้าน ปัญหาทุกอย่างก็หมดไปแล้ว”


เขากำลังพูดถึงจางเผิงนักบัญชีที่ฉินสือโอวจ้างมา ทีแรกจุดประสงค์ที่เขาจ้างนักบัญชีคนนี้มา ก็เพื่อที่จะช่วยร้านขายของชำกับร้านปืนคำนวณภาษี ขณะเดียวกันก็ช่วยฮิวจ์คนน้องดูแลร้านขายของชำไปด้วย


แต่ตอนนี้งานหลักๆ ของจางเผิงกลายมาเป็นการดูแลร้านขายของชำแล้ว ทั้งยังกลายมาเป็นพนักงานขายด้วย ตั้งแต่เขามาที่นี่ ฮิวจ์คนน้องก็เป็นอิสระ


ฉินสือโอวชี้ไปที่เขา พร้อมกับส่ายหัวไปมาแล้วบอกว่านายนี่มันน่าเหนื่อยหน่ายใจจริงๆ พอฮิวจ์คนน้องออกจากสนาม คนอื่นๆ ก็เลิกเล่นบาสแล้วเหมือนกัน พอดีกับที่ ฉินสือโอวกำลังขนกล้องโทรทรรศน์ลงจากรถด้วยความระมัดระวัง เพื่อเตรียมตัวดูพระจันทร์สีเลือดในคืนนี้


เมื่อได้เห็นกล้องโทรทรรศน์ที่เหมือนกับปืนใหญ่เช่นนี้ นักท่องเที่ยวบางส่วนที่เดิมทีกำลังดูแข่งบอลอยู่ก็พากันส่งเสียงฮือฮาและล้อมกันเข้ามาถ่ายรูปทันที


ฉินสือโอวขยับไปอีกข้าง ในตอนนี้เขาได้ยินว่ามีคนเรียกเขา พอหันกลับไปดูถึงได้รู้ว่านั่นคือคาปาไลที่เขาได้เจอเมื่อไม่กี่วันก่อนนั่นเอง


ตอนนี้ชาวคิวบาที่สวมเครื่องแบบพนักงานทำความสะอาดสีเหลืองสดใส พร้อมกับลากรถคันเล็กไว้ในมือ เขากำลังยิ้มแหยๆ โบกมือให้ฉินสือโอวมาจากจุดที่ไม่ได้ไกลออกไปเท่าไรนัก


ฉินสือโอวจึงเดินเข้าไปหาแล้วถามเขาว่า “เฮ้ เพื่อน งานเป็นยังไงบ้าง? แล้วชีวิตตอนนี้ล่ะ ปรับตัวให้เข้ากับที่นี่ได้แล้วหรือยัง?”


คาปาไลใช้ภาษาอังกฤษที่ไม่ค่อยแข็งแรงนักพูดกับเขาว่า “ที่นี่เป็นเหมือนสวรรค์เลย สวยงามเกินไปจริงๆ สวยจริงๆ สวยจริงๆ! เมื่อวานนี้ผมถ่ายรูปไว้ ตอนกลางคืนส่งไปให้คนที่บ้านดู พวกเขาตะลึงจนตาค้างเลยล่ะ แล้วก็มีโลมาที่ท่าเรือ สุดยอดมาก ลูกผมชอบมาก พวกเขาก็อยากเห็นเหมือนกัน”


ฉินสือโอวพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณพาพวกเขามาเที่ยวก็ได้นะ นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สุดยอดไปเลยล่ะ”


คาปาไลพยักหน้ารับแล้วพูดว่า “ถ้ามีเงินแล้ว ผมจะพาพวกเขามาดู เงินเดือนเยอะมาก นายกเทศมนตรีก็ดีมากๆ ผมบอกว่าไม่มีเงิน เธอก็เลยบอกให้ผมไม่ต้องจ่ายค่ากินค่าอยู่ คนดี เธอจิตใจดีมากๆ แล้วก็สวยมากด้วย เหมาะสมกับคุณมาก คุณมีภรรยาแล้วหรือยังครับ?”


ฉินสือโอวยิ้มอย่างมีความสุขยิ่งกว่าเดิม เขาพูดว่า “เธอคือภรรยาของผมเองครับ ดังนั้นนามบัตรของผมถึงใช้กับเธอได้ผลยังไงล่ะ”


ได้ยินคนแปลกหน้าบอกว่าเขากับวินนี่เหมาะสมกันมากๆ ท่านชายฉินรู้สึกดีใจมากจริงๆ


คาปาไลเองก็หัวเราะออกมาเช่นกัน เขาเห็นว่าสนามบาสว่างแล้ว จึงพูดขึ้นมาว่า “ผมต้องทำงานแล้ว คุณฉิน ถ้ามีเวลาผมจะทำอาหารจากบ้านเกิด หวังว่าคุณจะตอบรับคำชวนนะครับ”


ฉินสือโอวพยักหน้าตอบ “ไม่มีปัญหาครับ”


ได้ยินคาปาไลบอกว่าโลมาในเมืองนี้น่ารักมาก ฉินสือโอวเห็นว่าฟ้ายังสว่างอยู่จึงขับรถไปที่ท่าเรือ


โลมาอาศัยอยู่ในน่านน้ำบริเวณด้านหน้าท่าเรือ ต้องนั่งเรือเล็กเพื่อเข้าไปใกล้ๆ แต่ถึงยังไงพวกมันก็มักจะลอยตัวอยู่บนผิวน้ำอยู่แล้ว ดังนั้นต่อให้ยืนอยู่บนท่าเรือก็มองเห็นพวกมันได้เช่นกัน


เรือลำเล็กแล่นไปท่ามกลางฝูงโลมา บนเรือมีคนยกปลาแฮร์ริ่งขึ้นมาแล้วยื่นลงไปบนผิวน้ำ โลมาตัวหนึ่งก็โผล่หัวออกมากินปลาตัวนั้นลงไป ต่อจากนั้นก็มีคนยื่นปลาลงไปอีก เพื่อเข้าใกล้โลมาต่อไปเรื่อยๆ


โลมาพวกนี้เข้ากับเมืองนี้ได้ดีมากๆ พวกมันไม่มีหางจึงไม่สามารถหาอาหารเองได้ ดังนั้นทางเทศบาลจึงเปิดโปรแกรมท่องเที่ยวขึ้นมา ซึ่งอนุญาตให้นักท่องเที่ยวสามารถป้อนอาหารโลมาได้


ทว่า ปลาที่นักท่องเที่ยวจะใช้ป้อนอาหารต้องเป็นปลาที่ตกขึ้นมาเอง ทางราชการของเมืองนี้บอกว่าที่ทำแบบนี้ก็เพราะอยากรับรองความสดของปลา แต่แท้จริงแล้วเป็นการบังคับขายต่างหาก เนื่องจากเมื่อเป็นแบบนี้พวกนักท่องเที่ยวที่อยากจะป้อนอาหารโลมาก็ต้องเช่าเบ็ดและซื้อเบ็ดตกปลาไปด้วย

 

 

 


บทที่ 1331 ธีมปาร์ตี้

 

หลังจากลงจากรถแล้วฉินสือโอวก็ยืนดูภาพทิวทัศน์ของพวกโลมาที่กำลังเล่นกันอย่างเชื่องช้าอยู่ไกลออกไปจากท่าเรือ โลมาปากขวดพวกนี้ขยับตัวและเคลื่อนไหวอย่างงุ่มง่าม หางที่เป็นส่วนสำคัญที่สุดของพวกมันถูกตัดทิ้งไปแล้ว แบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับเสือร้ายที่สูญเสียขาหลังเลย


แต่พวกมันกลับสามารถเล่นกันอยู่บนผิวน้ำได้อย่างมีความสุข ส่วนใหญ่ก็มักจะเล่นกันแบบโลมาหลายๆ ตัวไล่ตามโลมาแค่ตัวเดียว การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างเชื่องช้า แต่กลับเล่นกันอย่างดุเดือด และบางครั้งก็เรื่องสนุกๆ อย่างโลมาที่ถูกไล่ปล้ำ และบางครั้งก็กระโดดไปบนผิวน้ำได้ด้วย


ได้เจอกับคนที่มาป้อนอาหาร ถ้ามีโลมาที่ยังหิวอยู่พวกมันก็จะหมุนหัวออกมากิน ในตอนนี้ถ้ามีคนยื่นมือออกไปลูบพวกมันจะไม่มีทางปฏิเสธแน่ๆ มีแม้กระทั่งโลมาบางตัวที่ดีใจจนทำท่าทางเหมือนกำลังยิ้มออกมาให้เห็น ซึ่งสามารถสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับนักท่องเที่ยวได้มากเหมือนกัน


ชีวิตยากลำบาก แต่ก็ต้องอยู่ต่อไปให้ได้ ขณะที่กำลังมองดูโลมาที่มีความสุขในแบบของตัวเองพวกนี้ก็ทำให้ฉินสือโอวอดคิดแบบนี้ไม่ได้


เขากำลังดูวิวพวกนี้อย่างเพลิดเพลิน แต่ในตอนนี้เองใครบางคนก็เดินเข้ามาหาเขาแล้วพูดว่า “สวัสดี เพื่อน นายอยากหารค่าเช่าเรือออกไปดูโลมาด้วยกันไหม?”


ฉินสือโอวหันหน้ากลับไปด้วยความงงงวย แล้วถามว่า “คุณคุยกับผมเหรอ?”


คนที่เข้ามาคุยกับเขาคือเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เขาคนนั้นพูดพร้อมกับแย้มรอยยิ้ม “ใช่ คุณเคยไปดูโลมามาแล้วเหรอ? อยากไปด้วยกันอีกครั้งไหม? เรือลำเล็กที่สุดนั่งได้หกคน ตอนนี้พวกเราได้คนถึงห้าคนแล้ว ถ้าเพิ่มคุณมาด้วยก็ครบพอดี ประหยัดเงินได้เยอะเลย”


ฉินสือโอวยิ้มออกมา เขาพูดด้วยใจที่สั่นไหวว่า “โอเค ไปดูด้วยกันก็ได้”


ตั้งแต่ที่พาโลมาพวกนี้กลับมาด้วย เขาก็ได้แต่ใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนเพื่อเพิ่มพลังให้กับพวกมันเพียงอย่างเดียว แต่ไม่เคยเข้าไปดูพวกมันจากบนผิวน้ำเลย


ตอนที่เขาเดินตามวัยรุ่นคนนั้นมาถึงริมท่าเรือ ก็มีคนสี่คนที่สวมเสื้อกับกางเกงแขนสั้นขาสั้นกำลังรอพวกเขาอยู่ จนกระทั่งเขาเดินเข้ามาใกล้ๆ หญิงสาวคนหนึ่งก็เบิกตาโตพร้อมกับพินิจพิจารณาเขาอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเธอก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณคือเศรษฐีบ้านนอกฉิน?”


ฉินสือโอวแย้มยิ้มเหือดแห้ง ตั้งแต่เรื่องที่เขาขับคาดิลแลคไปขายเกี๊ยวเป็นประเด็นในอินเทอร์เน็ตเมื่อปีที่แล้ว หลังจากนั้นเศรษฐีบ้านนอกฉินก็กลายมาเป็นชื่อเรียกของเขา ตอนนี้คนที่มาคุยก้บเขาในเวยป๋อส่วนใหญ่ก็พากันเรียกเขาแบบนี้


“ฉินสือโอวครับ สวัสดีครับทุกๆ คน” ฉินสือโอวทักทายพวกเขาตามมารยาท


เด็กวัยรุ่นที่อยู่ข้างๆ ถึงกับนิ่งค้างไปแล้ว “ผมว่าแล้ว ผมคุ้นหน้าคุณมากๆ แต่จำไม่ได้ว่าที่แท้คุณคือคุณฉินคนนั้น นึกว่าเจอนักท่องเที่ยวด้วยกันเสียอีก”


พอเห็นว่าฉินสือโอวจะขึ้นเรือด้วย ชาวเมืองที่ปล่อยเช่าเรือก็โยนกุญแจมาให้เขา แล้วพูดว่า “นายก็จะขึ้นเรือลำนี้ด้วยเหรอ? น่าตกใจจริงๆ”


ฉินสือโอวสตาร์ทเครื่องเรือพร้อมกับแย้มยิ้ม เขาเพียงแค่บังคับหางเสือที่หางอย่างง่ายๆ เรือยนต์ลำเล็กก็ส่งเสียงดังก้องขึ้นมา แล้วแล่นไปตามผิวน้ำทันที


คนบนเรือชวนเขาคุย ฉินสือโอวก็คุยด้วยตามประสาพลางลดความเร็วเรือลง หลังจากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปกวนน้ำ เพื่อปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกไปในบริเวณรอบๆ


พอทำแบบนี้ เมื่อโลมาปากขวดตัวที่อยู่ใกล้เขาที่สุดสัมผัสได้ถึงจิตสำนึกแห่งโพไซดอน มันก็พยายามว่ายน้ำเข้ามาหาด้วยความแข็งขัน ทั้งยังยื่นหัวออกมายิ้มและสบตากับเขาอีกต่างหาก


ฉินสือโอวยื่นมือออกไปลูบหัวของมัน สาวน้อยคนหนึ่งก็ยื่นปลากะพงมาให้เขาหนึ่งตัว เธอพูดกับเขาด้วยรอยยิ้มเขินอาย “คุณให้อาหารมันได้นะคะ”


ฉินสือโอวเสียสละที่ให้เธอ เขาพูดว่า “มาสิ คุณป้อนมันเถอะ มันต้องชอบอยู่ใกล้ผู้หญิงสวยๆ มากกว่าแน่ๆ”


เรือยนต์ลำเล็กขับวนอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นฉินสือโอวก็ปรับหางเสือแล้วขับกลับไปที่ท่าเรือ


เช่าเรือครึ่งชั่วโมงคิดเป็นเงินหกสิบดอลลาร์ เฉลี่ยคนละสิบดอลลาร์ ราคานี้ถือว่าไม่แพงเลย ถูกกว่าเรือลำเล็กที่อยู่ตามจุดชมวิวในประเทศจีนเสียอีก แถมที่นี่ยังสามารถขับไปไหนก็ได้ภายในเวลาครึ่งชั่วโมง


ตอนที่กำลังเอาเรือไปคืน เจ้าของเรือก็ใช้คำภาษาจีนที่พอพูดได้อย่างตะกุกตะกักพูดขายของกับคนเหล่านี้ “ออกทะเล ตกปลาไหม? เช่าเหมาลำ เรือใหญ่ สี่ร้อย ทั้งวัน!”


เช่าเหมาลำเรือก็เป็นรายการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างหนึ่งเช่นกัน เรือหนึ่งลำสามารถบรรทุกคนได้ถึงสิบกว่าคน แบบนี้พอคนสิบคนออกทะเลไปด้วยกัน เฉลี่ยแล้วก็ตกคนละสี่สิบดอลลาร์เท่านั้น แต่พวกเขาจะสามารถล่องเรือตกปลาได้ตลอดทั้งวัน


คนเหล่านี้พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ แถมภาษาอังกฤษที่คนบนเกาะแฟร์เวลใช้ก็ไม่ใช่ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันที่นิยมใช้กันอีกต่างหาก การสื่อสารจึงเป็นเรื่องที่ทำได้ลำบากมาก ฉินสือโอวจึงได้แต่ส่ายหัวแล้วเข้าไปช่วยแปลให้


พวกเขาห้าคนอยากจะเช่าเหมาลำเรือ เพียงแต่ว่ามีกันอยู่น้อยเกินไปเลยรู้สึกว่าราคาสี่ร้อยดอลลาร์มันแพงไปหน่อย พวกเขามีกันทั้งหมดแปดคน เลยถามชาวประมงว่าคิดราคาสามร้อยดอลลาร์ได้ไหม


ฉินสือโอวลองถามให้ แต่ชาวประมงก็ส่ายหัวตอบว่าไม่ได้ เพราะขับเรือออกทะเลต้องใช้น้ำมันเยอะ แถมตอนอยู่กลางทะเลเขายังช่วยจัดการอาหารทะเลให้อีกต่างหาก ถ้าให้ต่ำกว่าสี่ร้อยดอลลาร์กำไรที่ได้ก็จะน้อยเกินไป


พวกเขาทั้งห้าคนปรึกษากันอยู่สักพัก ดูแล้วก็น่าจะยังอยากไปอยู่นั่นล่ะ ฉินสือโอวจึงพูดกับพวกเขาว่า “ไม่อย่างนั้นพวกคุณเปลี่ยนเป็นเรือยอชต์ที่มีขนาดเล็กกว่ากันไหมล่ะ ไม่ต้องนั่งเรือประมงออกทะเล แบบนี้ก็ตกปลาได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าพื้นที่น้อยกว่า ราคาจะได้ถูกลงหน่อย”


พวกเขาเห็นยอมรับความคิดเห็นของเขา ฉินสือโอวจึงเข้าไปคุยกับชาวประมงให้อีกครั้ง คราวนี้ชาวประมงพยักหน้ารับแล้ว แบบนี้คิดราคาสามร้อยสี่สิบดอลลาร์ได้ เพราะเรือยอชต์กินน้ำมันน้อยกว่าเรือประมงอยู่ครึ่งหนึ่ง


ท้ายที่สุดก็ตกลงราคาได้ที่สามร้อยยี่สิบดอลลาร์ คนกลุ่มนี้จ่ายเงินมัดจำไปแล้วหนึ่งร้อยดอลลาร์ พรุ่งนี้ค่อยนัดกันมาเจอกับชาวประมงที่นี่


ในช่วงเวลานี้ท้องฟ้าค่อยๆ เปลี่ยนสีแล้ว ฉินสือโอวจึงขับรถกลับเข้าไปในเมือง เพื่อหาอะไรทานหลังจากนั้นจะได้ไปดูพระจันทร์สีเลือด


ตอนที่เขามาถึงในเมืองชาร์คและคนอื่นๆ ยังมาไม่ถึง ใกล้จะถึงเวลากินข้าวแล้วพวกชาวประมงถึงรีบตามมาทีหลัง เขาถามว่าทำไมถึงได้ช้าขนาดนี้ ชาร์คจึงอธิบายให้ฟังว่า “พวกเราเตรียมงานบางส่วนอยู่น่ะครับ วันมะรืนต้องทำงานแล้ว”


“งานอะไร?” ฉินสือโอวถาม


ชาร์คตอบเขาด้วยรอยยิ้ม “ขุดหอยงวงช้างไงครับ วันนี้มีจันทรุปราคาเต็มดวง ตั้งแต่พรุ่งนี้ก็จะเริ่มมีปรากฏการณ์น้ำลดครั้งใหญ่แล้ว ซึ่งก็คือโอกาสที่จะได้ขุดหอยงวงช้างตรงแถบชายฝั่ง ตรงแถบชายฝั่งของเราก็มีหอยงวงช้างอยู่ไม่น้อยเลยนะครับ”


ฉินสือโอวงงงัน ใช่แล้ว จันทรุปราคาเต็มดวงหมายถึงการเกิดปรากฏการณ์น้ำลดครั้งใหญ่ที่สุดในปีนี้ เรื่องนี้เขาก็รู้เพียงแต่เขาแต่จำเรื่องขุดหอยงวงช้างไม่ได้ น้ำลดเป็นโอกาสดีที่จะได้ขุดหอยงวงช้าง


ฮิวจ์คนน้องจัดธีมปาร์ตี้ขึ้นมา เรียกว่าคืนของมนุษย์หมาป่า


พอถึงช่วงพลบค่ำก็มีคนนำอุปกรณ์ประกอบฉากที่เกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์มนุษย์หมาป่ามาวางไว้ที่หัวมุมถนนอยู่อย่างไม่ขาด หลังจากนั้นก็จุดกองไฟไว้รอบๆ สนามบาสอยู่หลายกอง ฮิวจ์คนน้องที่ห่มหนังหมาป่าเอาไว้ก็กำลังยุ่งกับการจัดงานอยู่เช่นกัน


ฉินสือโอวเห็นแล้วก็อุทานออกมาด้วยความชื่นชม ฮิวจ์คนน้องช่างทุ่มเทจริงๆ อากาศร้อนขนาดนี้ แถมยังมีแคมป์ไฟ เขาก็ยังห่มหนังหมาป่าอยู่ได้อีก…


พวกเขาทานมื้อเย็นที่ร้านอาหารของคุณลุงฮิคสัน หลังจากทานอาหารเสร็จแล้วพอออกมาจากร้าน เขาก็เห็นว่ามีคนแต่งคอสเพลย์อยู่ไม่น้อยเลย เหมือนมางานเทศกาลวันฮาโลวีนไม่มีผิด


หลังจากทานอาหารเสร็จชาร์คและคนอื่นๆ ก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเช่นกัน ฉินสือโอวถามว่า “ทำไมต้องเปลี่ยนชุดเพื่อทำเรื่องปัญญาอ่อนพวกนี้ด้วย?”


พวกชาวประมงพากันยิ้มหัวเราะแต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา ทว่าก็ยังยืนยันที่จะเปลี่ยนเป็นชุดที่ตัวเองเตรียมมาเหมือนเดิม มีบางคนที่ไม่ได้เปลี่ยนชุด เพียงแค่แต่งหน้าอย่างง่ายๆ หรือไม่ก็สวมหน้ากากมนุษย์หมาป่าเท่านั้น


ทันใดนั้นเสียงแจ้งเตือนในใจของฉินสือโอวก็ดังขึ้นมาอย่างหนัก เห็นได้ชัดว่าคนชั่วพวกนี้คิดจะลอบทำร้ายเขา ดูจากที่พวกเขาไม่ยอมอธิบายอะไรให้ฟังเลยก็พอจะรู้แล้ว ต้องคิดจะแกล้งเขาแน่ๆ


ตอนนี้ฉินสือโอวรู้ทันแล้ว นี่เป็นผลจากการซึมซับและสังเกตคนรอบข้างของเขา เขาเห็นข่าวคนแคนาดาแกล้งผู้อพยพที่เพิ่งย้ายมาใหม่ผ่านทางทีวีอยู่เป็นประจำ


ฉินสือโอวไม่มีพร็อพประกอบ แต่เขาก็ไม่อยากเขียนหน้าเขียนตา เลยคิดว่าจะไปซื้อพวกขนหมาป่ามาจากร้านขายของชำ ทำได้แค่ต้องเล่นใหญ่แบบฮิวจ์คนน้องแล้วล่ะ


จางเผิงยังคงเฝ้าร้านด้วยความรอบคอบระมัดระวัง พอเห็นเขามาเลยถามด้วยความเคยชินว่า มิสเตอร์ ไม่ทราบว่าคุณต้องการ…ให้ตาย บอสเหรอครับ? คุณมาที่นี่ได้ยังไง?”


ฉินสือโอวบอกเขาว่าอยากได้หนังหมาป่าสักผืน จางเผิงจึงตอบเขาอย่างจนปัญญาว่า “ไม่มีแล้วครับ หนังอะไรก็ไม่เหลือแล้ว ถูกเช่าไปหมดแล้วล่ะครับ” พอพูดจบเขาก็ยกยิ้มด้วยความพอใจ “หนังสัตว์หนึ่งผืนให้เช่าหนึ่งคืนได้เงินตั้งยี่สิบดอลลาร์ บอส ผมค้าขายเป็นยังไงบ้างครับ?”


“ยอดฝีมือเลย แต่ฉันจะถูกฆ่าตายอยู่แล้ว!”

 

 

 


บทที่ 1332 พระจันทร์สีเลือด

 

พระจันทร์สีเลือดปรากฏตัวขึ้นในเวลาหนึ่งทุ่ม ด้วยเวลาที่เคลื่อนคล้อยผ่านไปจนเข้าสู่จุดสูงสุดในตอนสองทุ่มครึ่ง ณ เวลานั้นพระจันทร์ก็กลายเป็นสีน้ำตาลอมแดงอย่างเต็มดวง


ฉินสือโอวขับรถกลับไปที่ฟาร์มปลาแล้วก็ขับกลับมาที่นี่อีกหนึ่งรอบ บนริมถนนรอบๆ สนามบาสมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่กำลังถือขวดเหล้าพร้อมกับหัวเราะพูดคุยกัน คราวนี้ไม่มีดีเจคอยเปิดแผ่นเล่นเพลงจังหวะหนักแน่นแล้ว ถึงแม้ว่าที่ตรงนี้จะกำลังครึกครื้นทว่าก็ไม่ได้มีเสียงจ้อกแจ้กจอแจมากนัก


เขาลงจากรถแล้วทอดสายตามองออกไป ผู้คนที่มาร่วมงานปาร์ตี้ต่างก็แต่งกายอย่างแปลกประหลาด ส่วนใหญ่แล้วพากันแต่งเป็นมนุษย์หมาป่า แต่ฉินสือโอวกลับรู้สึกว่าคนพวกนี้กำลังสวมหน้ากากหัวหมามากกว่า


เมื่อมองเห็นฉินสือโอว ฮิวจ์ก็เข้ามาทักทายเขาทันที “เฮ้ เพื่อน ทำไมถึงเพิ่งมาล่ะ?” ขณะที่กำลังพูดเขาก็พินิจพิเคราะห์ไปด้วย แล้วจึงพูดขึ้นมาอย่างประหลาดใจ “นายจะมาปาร์ตี้ทั้งแบบนี้จริงๆ เหรอ? นี่มันเป็นธีมปาร์ตี้นะ”


ตอนนี้ฉินสือโอวเข้าใจชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว ธีมของงานปาร์ตี้คล้ายกับการแต่งคอสเพลย์ ผู้จัดจะคิดธีมขึ้นมา ถ้าทุกคนอยากมาร่วมงานก็ต้องแต่งตัวให้ตรงตามธีม ไม่เช่นนั้นจะถูกลงโทษ


ฉินสือโอวไหวไหล่แล้วตอบเขาไปว่า “แล้วต้องทำยังไง? ต้องแต่งตัวเป็นมนุษย์หัวหมาแบบพวกนายน่ะเหรอ?”


ชาวเมืองคนหนึ่งที่เดินผ่านมาทางด้านข้างจึงพูดกับเขาอย่างไม่พอใจว่า “ชิท ฉิน ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองถูกหยามเลย! มนุษย์หัวหมาอะไรกัน? ฉันเป็นมนุษย์หมาป่าชัดๆ! บรู๋วๆๆ”


“ใครบอกว่าพวกเราเป็นมนุษย์หัวหมา?”


“ฟัค ดูไอ้ฉินเวรนั่นสิ เขาจะมาหาเรื่องให้มันระทึกใจเล่นหรือยังไง?”


“ไม่ต้องพูดแล้ว เข้าไปจัดการเขาเลยดีกว่า แล้วไอ้เวรฮิวจ์คนน้องล่ะ? เขาชอบเรื่องพวกนี้ที่สุดเลยไม่ใช่เหรอ?”


ผู้คนที่อยู่รอบข้างล้อมเข้ามาด้วยเจตนาที่ไม่ดี ฉินสือโอวชี้นิ้วไปที่พวกเขาแล้วพูดว่า “เฮ้ ฟังฉันนะ พวกนายอย่าล้อมเข้ามาตามใจแบบนี้สิ ฉันรู้ว่านี่คือธีมปาร์ตี้ แล้วฉันก็เตรียมตัวมาแล้วเหมือนกัน…”


ขณะที่กำลังพูดเขาก็เปิดประตูฝั่งที่นั่งด้านหลังออก เงาร่างสีขาวจึงกระโดดลงมาข้างล่าง มันสะบัดขนแหงนหน้าแล้วส่งเสียงร้องออกมา “อ๋าว บ๊อกๆๆ…”


รอยยิ้มพึงพอใจบนใบหน้าของฉินสือโอวหายวับไปในทันที เขาหันกลับไปดึงหลัวปอไว้ แล้วเอ็ดมันว่า “เจ้าโง่ แกเป็นหมาป่านะ! แกเป็นหมาป่า! แกจะเห่าแบบนี้ไม่ได้เข้าใจไหม?”


หมาป่าขาวโตมากับหู่จือและเป้าจือ ถึงแม้ว่าสุนัขแลบราดอร์จะรังแกมันอยู่บ่อยๆ ทว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็มีลักษณะท่าทางคล้ายคลึงกัน ก่อนที่หลัวปอจะได้พบพ่อกับแม่ มันก็ถือว่าตัวเองเป็นหมาแลบราดอร์มาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้มันจึงพากเพียรฝึกฝนเสียงเห่าแบบสุนัขแลบราดอร์อย่างหนัก


เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคำตำหนิของฉินสือโอว ลูกหมาป่าขาวจึงยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ มันม้วนหางสีขาวขึ้นมา ทั้งส่ายทั้งสะบัด…


ผู้คนที่อยู่โดยรอบพากันหัวเราะออกมา มีใครบางคนพูดขึ้นมาว่า “ฉิน หมาของนายเป็นแค่หมาธรรมดา ไม่ใช่หมาป่าสักหน่อย ฮ่าๆ นายพาหมามาด้วยทำไมละเนี่ย?”


“นี่คือหมาป่าโว้ย!” ฉินสือโอวถลึงตาใส่เขาหนึ่งที หู่จือกับเป้าจือก็มุดออกมาจากเบาะหลังแล้วเช่นกัน พอพวกมันเห็นว่าหลัวปอกำลังเลียมือของเขาด้วยความสนิทสนม จึงพากันตามเข้ามาเลียบ้าง


ฮิวจ์คนน้องที่กำลังเปลือยท่อนบนเข้ามาส่งเบียร์ให้ฉินสือโอวหนึ่งขวด แล้วพูดกับเขาว่า “นายตั้งใจจะมาป่วนปาร์ตี้ของพวกเราหรือเปล่าเนี่ย?”


ฉินสือโอวกล่าวว่า “ฉันก็เข้าธีมปาร์ตี้เหมือนกันนะโว้ย ไม่เห็นหรือไง? หมาป่าสามตัว ฉันคือคนเลี้ยงหมาป่ายังไงเล่า!”


ฮิวจ์คนยิ้มอย่างเหยียดหยาม เขากำลังจะไล่ต้อนเขาอย่างไม่ยอมเลิกรา ทว่าในตอนนี้ดันมีเสียงคนตะโกนขึ้นมาเสียก่อน “เฮ้ยพวกเรา ดูนั่นเร็ว พระจันทร์โผล่ออกมาแล้ว!”


“ไหนๆ? ส่งกล้องส่องทางไกลมาให้ฉันที เร็วๆๆ!” ฮิวจ์คนน้องสะบัดฉินสือโอวทิ้งแล้วพุ่งเข้าไปหากล้องส่องทางไกลที่ตั้งไว้ตรงกลางสนามทันที


ฉินสือโอวมองไปยังท้องทางด้านทิศตะวันออก ท้องฟ้ายังไม่ทันมืดสนิท ทางฝั่งทิศตะวันตกยังคงมีประกายแสงของพระอาทิตย์ในยามเย็น ทว่า ณ เวลานี้เป็นช่วงที่พระจันทร์จะเต็มดวงและอยู่ใกล้กับโลกที่สุด ทำให้ยังสามารถมองเห็นพระจันทร์ได้ดังเดิม


ตอนนี้พระจันทร์ยังไม่เข้าสู่บริเวณเงาโลก ด้วยเหตุนี้จึงยังไม่เกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวง จึงไม่ปรากฏให้เห็นร่องรอยของพระจันทร์สีเลือดเลยแม้แต่นิดเดียว


หากจะดูพระจันทร์สีเลือดก็ต้องรอให้พระจันทร์เข้าสู่ส่วนกลางของเงาโลก นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการกระจายตัวของลำแสง


เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าแสงของพระอาทิตย์เกิดจากการรวมตัวกันของลำแสงสีสันต่างๆ เช่นแดง ส้ม เหลือง เขียว น้ำเงิน ครามและม่วง แต่สีเหลือง สีเขียวและสีฟ้ามีคลื่นแสงที่ค่อนข้างสั้น จึงได้รับผลกระทบของการกระจายแสงในชั้นบรรยากาศค่อนข้างมาก ลำแสงสีแดงมีระยะห่างของความยาวคลื่นที่ค่อนข้างยาว ทำให้ได้รับผลกระทบจากการกระจายตัวของแสงไม่มาก จึงสามารถทะลุผ่านชั้นบรรยากาศออกไป จนเกิดการหักเหบนพระจันทร์ที่หลบอยู่หลังเงาโลก


แต่ไม่ใช่ว่าจันทรุปราคาเต็มดวงจะทำให้เกิดพระจันทร์สีเลือดได้ทุกครั้ง เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับดัชนีหักเหแสงของชั้นบรรยากาศ มีเพียงช่วงเวลาพิเศษที่มีการกรองแสงอย่างเข้มข้นขนาดนี้เท่านั้น ถึงจะสามารถมองเห็นพระจันทร์สีเลือดได้


ฉินสือโอวเจอวินนี่แล้ว ชาร์คและคนอื่นๆ กำลังนั่งอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่ม ขณะเดียวกันก็ดื่มเบียร์และทานอาหารที่ทุกคนนำมาเพื่อรอให้พระจันทร์สีเลือดปรากฏตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างช้าๆ


รอเพียงไม่นาน เงาค่อยๆ อับแสงลงตามการเคลื่อนที่ของพระจันทร์ หลังจากนั้นราวกับว่ามันถูกอาบด้วยสารเคมีสีแดง พระจันทร์หายตัวไปจากทางฝั่งนี้แล้วโผล่ออกไปอีกทาง ในตอนนี้มันถูกเคลือบด้วยสีน้ำตาลแดงแล้ว


“ว้าว สวยจัง” วินนี่กล่าว “มาเถอะ พวกเราชูแก้วขึ้นเถอะ ดื่มเพื่อพระจันทร์ที่งดงาม”


ขณะนี้ทุกๆ คนต่างก็ชูแก้วขึ้น พวกเขาแหงนหน้าแล้วหอนออกมาด้วยเสียงที่พยายามทำให้คล้ายกับหมาป่า พากันร้องบรู๋วๆๆ ออกมา


หลัวปอที่กำลังเดินเตร่อยู่รอบๆ ได้ยินเสียงเห่าหอนของหมาป่าที่สยดสยองราวกับเสียงร้องของวิญญาณ มันก็ตกใจจนตัวโยน แล้วรีบมุดเข้าไปหาอ้อมอกของฉินสือโอวทันที ฉินสือโอวดันมันออกมา แล้วพูดอย่างจนปัญญาว่า “แกลองหอนสิ หอนน่ะ แกเป็นหมาป่านะ!”


เดิมทีหู่จือกับเป้าจือกำลังนอนหมอบอยู่บนพื้น แต่เมื่อมองเห็นพวกมนุษย์กำลังพากันแหงนคอเห่าหอน พวกมันจึงลุกขึ้นมาแล้วแหงนหน้าหอนใส่พระจันทร์อย่างโง่เซ่อ แน่นอนว่านี่ไม่เกี่ยวอะไรกันกับพระจันทร์สีเลือด พวกมันแค่รู้สึกคึกคักเพราะคนหมู่มากเลยอยากร่วมสนุกด้วยก็เท่านั้น


ทางด้านหลัวปอยังคงปิดปากเงียบ หู่จือกับเป้าจืออยากหอนก็หอนไป ส่วนตัวมันจะเอาแต่เกาะติดอ้อมกอดของวินนี่อยู่อย่างนี้นี่แหละ


วินนี่จึงกอดมันไว้แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “หลัวปอไม่หอนก็ดีเหมือนกัน ถ้ามีคนมองออกว่าหนูคือหมาป่าขาวนิวฟันด์แลนด์ แบบนั้นต้องแย่แล้วแน่ๆ”


โดยปกติแล้วหลัวปอมักจะแสดงออกอย่างเงียบเชียบ คนในเมืองนี้จึงนึกว่ามันเป็นเพียงสุนัขสีขาวตัวใหญ่มาโดยตลอด ถึงแม้ว่ามันจะมีหน้าตาเหมือนหมาป่าทุกอย่าง ทว่ากลับไม่มีกลิ่นอายความดุร้ายของหมาป่าอยู่เลย ชาวเมืองจึงไม่ได้นึกถึงร่างกายแบบหมาป่าของมัน


ฉินสือโอวรู้สึกผิดหวังขนาดหนัก เขากล่าวว่า “ผมนึกว่าช่วงที่พระจันทร์เต็มดวงหมาป่าจะหอนออกมานานๆ จริงๆ เสียอีก”


เบิร์ดที่กำลังดื่มเหล้าอยู่ข้างๆ ไหวไหล่แล้วพูดกับเขาว่า “ต้องไม่ใช่อย่างนั้นอยู่แล้ว หมาป่าแค่คุ้นชินกับการหอนในตอนกลางคืนเพื่อเรียกหมาป่าในฝูงให้มารวมตัวกันหรือหอนเพื่อหาคู่ หรืออาจจะข่มขู่ศัตรูด้วยการใช้เสียงหอนเพื่อไล่ศัตรูก็เท่านั้น ส่วนสาเหตุที่มีคนเล่าต่อกันมาว่าหมาป่าจะหอนเพราะพระจันทร์ นั่นก็เพราะว่าเมื่อก่อนยังไม่มีหลอดไฟ จึงมีแค่คืนที่แสงจันทร์สว่างมนุษย์ถึงจะสามารถมองเห็นภาพฝูงหมาป่าหอนออกมาอย่างยาวนาน ต่อมาพอรวมกับการแต่งแต้มศิลปะเล็กๆ น้อยๆ เลยกลายมาเป็นตำนานเรื่องมนุษย์หมาป่า”


คนหมู่มากพากันลากเสียงในลำคอส่งเสียงหอนออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน เสียงร้อง ‘บรู๋วๆ’ ดังขึ้นมาไม่ขาด ในขณะเดียวกันเสียง ‘บ๊อกๆๆ’ ก็ดังประสานขึ้นมา นี่ย่อมต้องเป็นเสียงหู่จือกับเป้าจือที่ถือเอาช่วงเวลาชุลมุนตีเนียนร้องผสมโรงกับคนอื่นๆ อย่างแน่นอน


รอจนมีคนปรับกล้องส่องทางไกลอย่างแม่นยำ ฉินสือโอวก็รีบเบียดเข้าไปแย่งคนอื่นๆ ดูเป็นคนแรกทันที เขามีแรงกำลังเยอะทั้งยังเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว ฮิวจ์คนน้องกับคนอื่นๆ เบียดเขาเข้าไปไม่ได้ จึงทำได้แค่สบถด่าเขาด้วยความโกรธเคือง


ฉินสือโอวไม่สนใจ เขาส่องดูพระจันทร์อย่างตั้งอกตั้งใจ บัตเลอร์บอกว่ากล้องส่องทางไกลของเขามีกำลังขยายหนึ่งร้อยเท่า สามารถมองเห็นรายละเอียดต่างๆ บนพระจันทร์ได้อย่างชัดเจน ในตอนนี้ที่ฉินสือโอวกำลังส่องขึ้นไปก็เป็นอย่างที่เขาว่าไว้จริงๆ สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาของเขาคือภูเขารูปวงแหวนผืนหนึ่ง ที่สามารถมองเห็นได้อย่างเด่นชัด


ทว่าหากกำลังขยายสูงเกินไป จะขยับเขยื้อนกล้องส่องทางไกลไม่ได้ ไม่เช่นนั้นแล้วเลนส์ของกล้องส่องทางไกลจะมีแต่ภาพเลือนราง จนมองไม่เห็นสิ่งต่างๆ อีกต่อไป

 

 

 


บทที่ 1333 พระจันทร์สีเลือดกับกระแสน้...

 

ได้ใช้กล้องโทรทรรศน์ดาราศาสตร์ชมจันทร์เป็นครั้งแรกในชีวิต ฉินสือโอวคิดว่านี่เป็นเรื่องหนึ่งที่ควรค่าแก่การจดจำ ดังนั้นเขาจึงโอบกระบอกเลนส์เอาไว้แล้วถ่ายรูปคู่กับมัน หลังจากนั้นก็โพสต์รูปภาพอวดคนในเวยป๋อกับทวิตเตอร์


แต่ในความเป็นจริงแล้วเขากลับมองไม่เห็นอะไรเลย หรือจะพูดอีกอย่างว่า บนดวงจันทร์ไม่ได้มีสิ่งควรค่าให้ชมเลยสักอย่าง


แต่กลับกันเมื่อไม่ได้ใช้กล้องโทรทรรศน์ เพียงแค่เงยหน้าขึ้นไปมองดูพระจันทร์สีน้ำตาลอมแดงบนท้องฟ้าด้วยตาเปล่า แบบนั้นกลับมีความน่าสนใจยิ่งกว่า


พอเขาพูดกับบัตเลอร์แบบนี้ บัตเลอร์จึงตอบเขากลับมาด้วยความโมโห “นายอย่าตอบแทนน้ำใจกันแบบนี้เลย เพื่อน นี่เป็นกล้องโทรทรรศน์ของฉันแท้ๆ แต่ฉันดันใช้มันเพื่อดูปรากฏการณ์พระจันทร์สีเลือดไม่ได้!”


พระจันทร์กับโลกกำลังอยู่ในวงโคจรเดียวกัน ปรากฏการณ์พระจันทร์สีเลือดเต็มดวงเกิดขึ้นแค่ราวๆ ยี่สิบนาทีเท่านั้น ในที่แห่งนี้มีผู้คนที่กำลังรอชมซูเปอร์มูนอยู่นับร้อย ทว่ากล้องโทรทรรศน์กลับมีอยู่แค่สองตัว คาดว่าพวกเขาคงจะแย่งชิงกันอย่างดุเดือด


ฉินสือโอวจึงถามด้วยความงงงวยว่า “ฉันให้นายตามชาร์คไปไม่ใช่เหรอ? พวกนายไปต่อแถวดูสิ”


บัตเลอร์พูดอย่างขุ่นเคือง “ใช่แล้ว ใช่ ไปกับชาร์ค ไปกับบูล ไปกับเบิร์ด ไปกับนีลเซ็น แต่มันมีประโยชน์ตรงไหนกัน? พอดูเสร็จพวกเขาก็ไป ไม่ได้จองที่ไว้ให้ฉันเลย! นายดูแลลูกน้องของนายให้มันดีๆ หน่อยเถอะ!”


นี่มันเกินไปจริงๆ ฉินสือโอวเรียกชาร์คและคนอื่นๆ เข้ามาหาด้วยท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง พวกชาร์คจึงร้องขอความเป็นธรรมแล้วพูดกับเขา “ไม่ใช่ครับ บอส เมื่อสักครู่พวกเราตามหาคุณบัตเลอร์อยู่ตลอด แต่ก็หาเขาไม่เจอ เลยคิดว่าเขาไม่ได้ตามพวกเรามา”


“ฟัคยู ฉันตามก้นนายอยู่ตลอดเลยเหอะ!”


“ชิท คุณเปิดสกิลล่องหนหรือเปล่าเนี่ย? ผมหาคุณไม่เจอจริงๆ นะ”


“ผมก็เหมือนกัน”


ฉินสือโอวหันไปมองบัตเลอร์ แล้วพูดกับเขาอย่างคนไม่รู้ว่าจะพูดอะไร “เพื่อน ใครบอกให้นายใส่เสื้อผ้าสีดำมาคืนนี้กันล่ะ?”


บัตเลอร์ชี้นิ้วไปที่ทุกๆ คนแล้วพูดอย่างโกรธจัดว่า “พวกนายแม่งเหยียดเชื้อชาติ! ฉันจะบอกให้ว่าที่พวกนายพูดมันเป็นการดูถูกคนดำอย่างพวกเรา!”


ชาร์คแผ่มือทั้งสองข้างออกอย่างคนที่ไม่มีความผิด ฉินสือโอวจึงส่งสายตาบอกเป็นนัยว่าเขาเข้าใจ คืนนี้เป็นคืนจันทรุปราคาเต็มดวงทำให้ไม่มีแสงจันทร์ และเพื่อชมปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเลยไม่ได้เปิดไฟ มีเพียงกองไฟที่สุมไว้อยู่ไม่กี่กองเท่านั้น แถมยังอยู่ห่างกันตั้งไกล ยิ่งคนดำแบบเขาสวมเสื้อผ้าสีดำแบบนี้ แล้วใครมันจะมองเห็นเขากันล่ะ?


เมื่อชมซูเปอร์มูนจนสมกับความปรารถนาไปแล้ว ฉินสือโอวก็ไปที่กลับบ้าน แล้วปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกไปค้นหาหอยงวงช้างที่แถบชายฝั่งทะเลในบริเวณที่ค่อนข้างเป็นจุดศูนย์กลาง เขาจดจำไว้อย่างคร่าวๆ พรุ่งนี้พอมาขุดหาหอยงวงช้างก็ทำได้ง่ายแล้ว


จิตสำนึกแห่งโพไซดอนทั้งสามสายท่องไปในบริเวณแถบชายฝั่งทะเล ส่วนจิตสำนึกแห่งโพไซดอนอีกสายหนึ่งก็ท่องไปตามแม่น้ำสายเล็ก ตอนนี้ถึงช่วงที่ปลาไส้ตันฟลอริดาจะฟักออกจากไข่แล้ว ลูกปลาไส้ตันจึงปรากฏตัวให้เห็นอยู่อย่างไม่ขาดสาย เขาต้องดูพวกมันสักหน่อย แล้วพาพวกมันกลับไปด้วยกัน


ตัวของลูกปลาไส้ตันฟลอริดาที่เพิ่งฟักตัวออกมาจากไข่ยังมีขนาดเล็กแค่นิดเดียวเท่านั้น ดวงตาของมนุษย์แทบจะไม่สามารถแยกออกได้เลย ฉินสือโอวใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนค้นหาพวกมันได้อย่างยากลำบาก แต่เขาต้องพาพวกมันกลับไปให้ทันเวลา ถ้ายังทิ้งพวกมันไว้ในลำธาร พวกมันก็จะกลายเป็นอาหารของตัวหมัดน้ำสารพัดชนิด


การแพร่พันธุ์ถึงจะนับว่าเป็นวิธีขยายฝูงปลาที่ดี เมื่อลูกปลาไส้ตันฟลอริดาฟักตัวแล้ว ฉินสือโอวประมาณการไว้ว่าน่าจะสามารถขยายฝูงปลาได้ถึงหนึ่งร้อยเท่า! แบบนี้รอแค่ลูกปลาโตขึ้นก็สามารถจับขึ้นมาขายได้แล้ว


ฉินสือโอวคาดหวังกับปลาไส้ตันฟลอริดาเป็นอย่างมาก ตั้งแต่พาพวกมันกลับมาที่ฟาร์มปลา นานๆ ครั้งถึงจะตกพวกมันขึ้นมากินสักตัวสองตัว นอกเหนือจากนั้นเขาก็จะรักษาปลาชนิดนี้ไว้อย่างดี


นับตั้งแต่เกิดจันทรุปราคาเต็มดวงในครั้งนั้น น้ำทะเลบริเวณชายทะเลก็เริ่มลดระดับลง ทีแรกกระบวนการนี้ยังเป็นไปอย่างเชื่องช้า แต่พอถึงช่วงสิบเอ็ดโมงเป็นต้นไปน้ำทะเลก็จะลดระดับลงค่อนข้างเร็ว ซึ่งฉินสือโอวก็สามารถสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำทะเลทุกครั้งที่กลับไปตรวจตามบริเวณชายฝั่ง


เขาตื่นมาออกกำลังกายยามเช้า เมื่อออกไปยืนอยู่บนชายหาด สิ่งที่มองเห็นก็คือแนวปะการังหลากสีที่กำลังเปิดรับอากาศ ชายหาดแตกต่างกับโลกใต้ทะเลอย่างเห็นได้ชัด สิ่งหนึ่งเกิดขึ้นจากทรายเม็ดละเอียดสีเงินที่อยู่รวมตัวกัน ส่วนอีกสิ่งหนึ่งเป็นสีเขียวดั่งมรกต ก้นทะเลในบริเวณใกล้ชายฝั่งเต็มไปด้วยสาหร่ายทะเลสีเขียวเข้ม


ฉินสือโอวสูดหายใจเข้าลึกๆ กลิ่นคาวเค็มของน้ำทะเลก็ไหลเข้ามาตามหลอดลมลงมาจนลงไปถึงหลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ อยู่หลายครั้งก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมา ราวกับว่าเขาได้ชำระล้างหลอดลมและปอดด้วยการสูดอากาศเข้าไป


หู่จือกับเป้าจือวิ่งเข้ามาหา พวกมันใช้อุ้งเท้าเขี่ยไปมาอยู่หลายครั้ง จนหมึกกระดองที่อยู่ใต้สาหร่ายทะเลก็โผล่หัวออกมา มันคิดจะหนีไปให้ไวแต่ก็ถูกหู่จือตะครุบไว้เสียก่อน ต่อจากนั้นก็คาบมันไว้ในปากแล้ววิ่งส่ายก้นกลับเข้ามาหาเขา


สุนัขแลบราดอร์จับสิ่งมีชีวิตจำพวกหมึกกระดองได้เป็นครั้งแรก ทั้งยังนึกว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดชนิดใหม่ มันจึงนำมาวางไว้ตรงหน้าฉินสือโอวแล้วแหงนหน้ารอรับคำชมจากเขา


ฉินสือโอวหัวเราะออกมา แล้วขยี้ใบหูใหญ่ๆ ของหู่จือเพื่อเป็นรางวัล คราวนี้พอได้รับแรงเชียร์หู่จือและเป้าจือก็ยิ่งคึกคักยิ่งกว่าเดิม พวกมันวิ่งลงทะเลอีกครั้งแล้วเขี่ยสาหร่ายทะเลออก ของที่พวกมันหาได้ก็มักจะเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ซ่อนตัวอยู่ข้างใต้


อย่างเช่นปูเสฉวนบก ปูก้ามดาบ ลูกปูหิมะ ลูกกุ้งมังกรกับพวกลูกหมึก สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มักจะซ่อนตัวอยู่ในพื้นทราย เพียงไม่นานสุนัขแลบราดอร์ทั้งสองตัวก็สามารถรวบรวมพวกมันได้ถึงหนึ่งกอง


ฉินสือโอวลองตรวจดูแล้วก็อดแสยะปากออกมาไม่ได้ ท่าจะไม่ดีแล้วสิ สาหร่ายทะเลเพิ่งจะโตเต็มที่ทั้งยังเหี่ยวเฉาได้ไว น้ำทะเลลดระดับครั้งนี้ทิ้งสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ไว้ไม่น้อยเลย


สาหร่ายทะเลมีความสามารถในการรักษาน้ำทะเล ดังนั้นเมื่อน้ำทะเลลดระดับลง สิ่งมีชีวิตที่ซ่อนตัวอยู่ในทรายบางส่วนจึงไม่สามารถตามน้ำทะเลที่ลดลงไปได้ทันเวลา ทำให้ถูกทิ้งไว้แบบนี้


ระดับน้ำทะเลที่ลดลงอย่างหนักครั้งนี้จะกินเวลาสิบสองชั่วโมง นี่เป็นน้ำทะเลลดระดับครั้งใหญ่ที่สุดในรอบปี ต้องรอให้ถึงตอนเที่ยงวันระดับน้ำทะเลถึงจะค่อยๆ กลับมาสูงขึ้น ในระหว่างนี้สิ่งมีชีวิตบางส่วนจะต้องตายลงอย่างแน่นอน อย่างเช่นพวกปลาลิ้นหมาพันธุ์เล็กเป็นต้น


หลังจากทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้วบรรดาชาวประมงก็ขนเอาอุปกรณ์มาขุดหอยงวงช้าง พวกเชอร์ลี่ย์ กอร์ดอนก็กระโดดโลดเต้นวิ่งตามมาด้วย พวกเขาถามฉินสือโอวด้วยความตื่นเต้นดีใจว่า “ฉิน พอจะมีงานให้รางวัลให้นักล่ามือทองได้ทำบ้างไหม?”


ฉินสือโอวยิ้มหัวเราะพร้อมกับพูดว่า “มาสิ มีงานให้ทำจริงๆ ล่ะ เอาเลยพวกนายไปแหวกสาหร่ายตามหาปลาชนิดนี้หน่อย ปลาลิ้นหมาพันธุ์เล็ก ถ้าเจอแบบที่ยังเป็นๆ อยู่ก็เก็บรวบรวมไว้ในถังใส่น้ำ สิบตัวหนึ่งดอลลาร์”


กอร์ดอนยืดอกขึ้นเตรียมตัวจะต่อราคา คราวนี้เสี่ยวชาร์คไม่ได้ขัดเขาแล้ว แต่คอยศึกษาวิธีอยู่ทางด้านหลังแทน


“ฉิน คุณก็รู้นี่ ผมว่าราคาเท่านี้ไม่ค่อยเหมาะเท่าไรนะ” กอร์ดอนเริ่มพูดประโยคเดิมเหมือนทุกครั้ง


ฉินสือโอวก็พูดยิ้มๆ ว่า “เหมือนว่าราคาน่าจะต่ำไปหน่อยใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นนายอยากได้เท่าไรล่ะ? หนึ่งตัวหนึ่งร้อยดอลลาร์เอาแบบนั้นไหมล่ะ?”


กอร์ดอนเกาจมูกด้วยความประหม่าแล้วพูดว่า “ไม่ต้องถึงกับตัวละร้อยหรอก ตัวละห้าสิบก็พอแล้ว…”


ฉินสือโอวกลอกตาใส่เขาหนึ่งที “ห้าสิบดอลลาร์บ้านนายน่ะสิ! อยากทำก็ทำไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ ตัวละหนึ่งร้อยเซ็นต์ ถ้าไม่ทำก็กลับไปเขียนการบ้านนู้น!”


กอร์ดอนซึมลงไปทันที เขาทำอะไรไม่ได้แล้วจึงตอบกลับไปว่า “โอเค พวกเราจะทำครับ แต่ฉิน แบบนี้คุณกำลังทำผิดกฎหมายอยู่นะ ผมเคยเรียนเรื่องกฎหมายมาตรฐานแรงงานกับพี่วินนี่!”


ฉินสือโอวจึงตอบกลับไปว่า “อืม ถ้านายเรียนเรื่องกฎหมายมาตรฐานแรงงานมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นนายก็น่าจะรู้แล้วใช่ไหมว่าสมาคมแรงงานกับศาลไม่อนุญาตให้พวกเราใช้แรงงานเด็ก?”


กอร์ดอนตอบว่า “พวกเราไม่ใช่เด็กสักหน่อย พวกเราคือนักล่าเงินรางวัลต่างหาก!”


“ถ้าเป็นนักล่าเงินรางวัลก็ไม่เหมาะที่จะใช้กฎหมายมาตรฐานแรงงานน่ะสิ ดังนั้นอย่าทำให้ฉันต้องเสียเวลา ถ้าจะทำก็ไปเริ่มงาน ทำเสร็จแล้วค่อยเอาปลามารับเงินรางวัล” ฉินสือโอวโบกมือปัดด้วยความรำคาญ


กอร์ดอนพูดอย่างท้อใจ “ฉิน คุณเผด็จการเกินไปแล้วนะ ทำไมไม่ปลูกฝังความกระตือรือร้นต่อการทำงานให้พวกเราสักหน่อยล่ะ?”


ฉินสือโอวโอบเขาไว้แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ที่รัก ฉันกำลังช่วยให้พวกนายได้สัมผัสถึงด้านมืดของสังคมล่วงหน้า ดังนั้นรีบไปทำงานซะ ตอนนี้ฉันคือนายทุนหน้าเลือด เข้าใจหรือยัง?”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)