พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1321-1322
บทที่ 1321 พยายามประเมินเขาให้สูงเข้าไว้
โดย
Ink Stone_Fantasy
ถึงแม้จะเป็นหลักการที่เรียบง่าย แค่ฟังก็เข้าใจแล้ว แต่เหมียวอี้ก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ ครุ่นคิดว่าถ้าเทียนหยวนโดนกลุ่มคนเบื้องบนสอบถามแล้วจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
เขาคิดไปคิดมาแล้วรู้สึกบันเทิง “วิธีการนี้น่าสนุกเหมือนกันนะ”
พูดจบก็หันหน้าเดินออกไป กลับไปหาปี้เยว่ฮูหยินที่ตำหนักหลังอีกครั้ง
หยางชิ่งยิ้มบางๆ เหมียวอี้ไม่ได้ถามอะไรมาก ปัญหาเรื่องรายละเอียดก็ไม่ต้องให้เขาถามอะไรมากเช่นกัน
ก็เหมือนกับที่เจาบอกฉินซี ความสามารถในการลงมือปฏิบัติของเหมียวอี้ทระนงองอาจมาก ห้าวหาญเฉียบขาดทั้งยังแก้ไขปัญหาเฉพาะได้เก่ง ในด้านนี้แม้แต่หยางชิ่งเองก็ยังทอดถอนใจที่สู้ไม่ไหว ขอแค่ชี้เส้นทางให้ชัดเจน เขาเชื่อว่าเหมียวอี้จะรู้ได้ว่าต้องทำอย่างไร การพูดกับคนฉลาดสามารถลดขั้นตอนที่ยุ่งยากออกไปได้ หรือที่เรียกกันว่า ‘กลองดีไม่ต้องตีแรงก็ดังได้’
ก่อนหน้านี้เหมียวอี้ให้ปี้เยว่พักผ่อนไปก่อน ทว่าปี้เยว่ที่นั่งอยุ่ในศาลาไม่ได้ขยับไปไหนเลย จะมีกะจิตกะใจไปพักได้อย่างไร นั่งเหม่อลอยลำพังอยู่อย่างนั้น รู้สึกหดหู่ใจ ยามเผชิญหน้ากับการกดดันที่ปุบปับของเทียนหยวน ตัวเองก็ไม่มีวามสามารถจะโต้ตอบเลยสักนิด พอนึกว่าตัวเองจะต้องสยบแน่นิ่งอยู่ใต้แทบเท้าเทียนหยวน วันหลังก็ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับลูกสาวอย่างไร ในใจรู้สึกเศร้าสลดอย่างประหลาด รู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าไร้ความสามารถ
เหมียวอี้กลับมาอีกแล้ว มาเองโดยไม่ได้เชิญ ไม่มีใครขัดขวางด้วย เป็นเพราะไห่ผิงซินด้วยเหมือนกัน ก่อนหน้านี้ปี้เยว่กันคนข้างกายออกไปหมดแล้ว
“นายท่าน!” เหมียวอี้ที่เข้าในศาลากุมหมัดคารวะ
เมื่อเห็นเหมียวอี้กลับมาอีกครั้ง ปี้เยว่ก็ได้สติกลับมาแล้วถามว่า “ยังมีเรื่องอะไรอีก?”
เหมียวอี้เองก็ไม่เกรงใจ เข้ามานั่งลงตรงข้ามนางเสียเลย แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ข้าเพิ่งจะคิดหาวิธีการได้ สามารถแก้ไขความกังวลที่อยู่ตรงหน้าให้นายท่านได้ สิ่งนี้จะทำให้เทียนหยวนทำอะไรนายท่านไม่ได้แน่นอน”
“อ้อ!” ปี้เยว่ได้ยินแล้วฮึกเหิมขึ้นมาทันที รีบยื่นมือบอก “รีบบอกมา!”
“ในเมื่อเทียนหยวนชอบเล่นแบบนี้ พวกเราเล่นตามน้ำไปก็สิ้นเรื่องแล้ว พวกเราใช้แผนสะบั้นตระกูล…” เหมียวอี้อธิบายวิธีการของหยางชิ่งให้ฟังทันที
หลังจากฟังจบ ปี้เยว่ก็พอจะเข้าใจแล้ว รู้สึกฮึกเหิมกระปรี้กระเปร่า คิ้วที่ขมวดกลุ้มใจหายไปทันที สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือรอยยิ้มที่เบิกบานใจ นางตบโต๊ะหนึ่งที แล้วกล่าวชมว่า “เป็นวิธีการที่ดี! จะต้องทำให้เทียนหยวนได้รับบทเรียนแน่นอน! หนิวโหย่วเต๋อ ในเมื่อมีวิธีการที่ดีขนาดนี้ทำไมไม่บอกไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ทำให้ข้ากังวลไปเปล่า!”
“เพิ่งจะนึกได้อย่างฉับพลันเมื่อครู่นี้เอง ก่อนหน้านี้นึกไม่ถึง” เหมียวอี้ยิ้มอย่างเก้อเขิน วิธีการนี้หยางชิ่งเป็นคนคิดได้ ไม่ใช่สิ่งที่เขาคิด เพียงแต่ไม่สะดวกจะเอ่ยถึงหยางชิ่งต่อหน้าปี้เยว่ฮูหยิน
ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ถึงแม้หยางชิ่งจะเป็นพ่อตาจอมเอาเปรียบของเขา แต่สำหรับเขาที่เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดเพราะครอบครัวฝั่งอนุภรรยาร่วมมือกันหักหลัง เขาขาดความเชื่อใจในความสัมพันธ์ระดับนี้ไปแล้ว มิหนำซ้ำหยางชิ่งก็ไม่ใช่คนใจดีมีเมตตาอะไร ตอนแรกเคยวางแผนร้ายกับอวิ๋นจือชิว ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องราวมีการเปลี่ยนแปลง หลังจากจบเรื่องแล้วมู่ฝานจวินพูดออกมาเอง อวิ๋นจือชิวจะตายอย่างไรก็ยังไม่รู้เลย กับคนประเภทนี้ เหมียวอี้จะวางใจได้อย่างไร
หลังจากหยางชิ่งมาที่พิภพใหญ่ เหมียวอี้ก็ไม่ได้มอบอำนาจใดๆ ให้เขาเลย และไม่ให้เขาอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจทางทหารด้วย แค่เอาไว้เรียกใช้อยู่ข้างกายเท่านั้น และหยางชิ่งก็เหมือนจะอ่านสถานการณ์เก่งมาก ไม่เอ่ยปากขอตำแหน่งใดๆ จากเหมียวอี้ ไม่เคยเอ่ยถึงด้วยซ้ำ ยามปกติเมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอกก็สงบเสงี่ยมไว้ตลอด
ทว่าหลังจากรู้สึกดีใจ ปี้เยว่ก็เหมือนจะกังวลอีก ขมวดคิ้วกล่าวว่า “เรื่องนี้ถ้าดำเนินการอย่างละเอียดก็ยุ่งยากนิดหน่อย ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์สิบคนในสังกัดข้า นอกจากเจ้ากับเซี่ยโห้วหลงเฉิง นอกนั้นก็เป็นคนของเทียนหยวนแทบทั้งหมด จ้านหรูอี้ก็ต้องยืนอยู่ฝั่งนั้นแน่นอน ถ้าพวกเขาแอบฝ่าฝืนคำสั่ง เรื่องนี้ก็ไม่มีทางสำเร็จได้เลย”
“หึหึ!” เหมียวอี้หัวเราะเยาะ “พวกเขาทำตามใจตัวเองไม่ได้หรอก! ในเมื่อท่านโหวเทียนหยวนอาศัยสถานการณ์ที่ตำหนักสวรรค์จับผู้ร้ายมาทำเรื่องแบบนี้ นายท่านก็สามารถอ้างเรื่องนี้กับอีกฝ่ายได้เลย กล้าแอบขัดคำสั่งงั้นเหรอ? ถ้าตั้งใจจะยัดข้อหาสมคบกับผู้ร้ายแล้วฆ่าทิ้งก็สบายมือมาก! นายท่านอ้างเรื่องนี้ไปก่อน ส่งแค่ทัพฝ่ายตรวจการที่ทำหน้าที่ประหารออกไปก็พอ ใครกล้าขัดคำสั่งก็ฆ่าไม่ละเว้น ข้าก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าใครมันจะกล้าต่อต้าน”
“แผนนี้ยอดเยี่ยมมาก!” ปี้เยว่พลันลุกขึ้นยืน หายห่วงหน้าพะวงหลังแล้ว สีหน้าฉายแววกระปรี้กระเปร่ามั่นใจในตัวเอง ติดตามเทียนหยวนมานานขนาดนี้ นางเชื่อฟังแผนการที่เทียนหยวนบอกมาตลอด แต่ตอนนี้กลับจะได้งัดข้อกับเทียนหยวน ไม่น่าเชื่อว่าในใจจะรู้สึกตื่นเต้นเร้าใจ
เมื่อมองเหมียวอี้ที่ลุกขึ้นยืนตามอีกครั้ง ในดวงตาปี้เยว่ก็ฉายแววชื่นชม ครั้งนี้นับว่าได้รับรู้ถึงความสามารถในการวางแผนกับเหมียวอี้อย่างแท้จริง ความจริงได้พิสูจน์อีกครั้งว่าผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้ามีความสามารถ การตัดสินของเทียนหยวนในปีนั้นไม่ผิดพลาด พอมาดูตอนนี้ก็พบว่าเป็นคนกล้าหาญที่เชี่ยวชาญการรบทั้งยังวางแผนได้ล้ำเลิศเกินใคร มิน่าล่ะถึงผ่านปัญหาอุปสรรคมาได้จนถึงทุกวันนี้ มีลูกน้องแบบนี้คอยช่วย ตัวเองก็ไม่โดดเดี่ยวแล้ว
“หนิวโหย่วเต๋อ ตอนนี้เจ้ากับข้าลงเรือลำเดียวกันแล้ว ถ้าเทียนหยวนล้มข้าได้ ก็จะไม่เป็นผลดีอะไรกับเจ้าเหมือนกัน วันหลังถ้าต้องการให้เจ้าออกแรงช่วย ก็หวังว่าเจ้าจะปล่อยออกมาเต็มที่” ปี้เยว่พยักหน้ายิ้มอย่างเป็นกันเอง
เหมียวอี้เข้าใจความหมายของนาง นางกำลังต้องการให้เขาช่วยเหลือนางให้มากๆ หากภายหลังเจอเรื่องประเภทนี้อีก ให้ช่วยนางวางกับดักเทียนหยวน ในใจเขาแอบรู้สึกขำ เทียนหยวนก็แค่ต้องการให้นางเชื่อฟังเท่านั้น การจะล้มเจ้าก็ไม่เป็นผลดีกับเทียนหยวนเช่นกัน เป็นเจ้าเองที่อยากจะเลิกกับเทียนหยวนให้ชัดเจน จะได้อธิบายกับลูกสาวได้สะดวก
แน่นอน เขาไม่พูดคำพูดแบบนี้ออกมาเปิดโปงเช่นกัน ได้แต่ยิ้มพร้อมกุมหมัดคารวะ “มิบังอาจขัดคำสั่ง”
เพียงแต่ในใจรู้สึกอับจนปัญญานิดหน่อย การที่ตาแก่ในนรกพวกนั้นก่อเรื่องนี้ขึ้นมา เดิมทีก็เพื่อบีบให้ปี้เยว่ช่วยเหลือเขา อยากอวดฉลาดแต่กลับจบลงด้วยความโง่เขลา กลับเป็นเขาที่ต้องช่วยนางรับมือกับอุปสรรค ทำไมรู้สึกเหมือนหัวแยกออกจากกันเลยล่ะ? จะทอดทิ้งไม่สนใจใยดีก็ไม่ได้อีก กลายเป็นตั๊กแตนที่ถูกมัดไว้บนเชือกแล้วจริงๆ
“ดี!” ปี้เยว่ที่มีความมั่นใจแล้วพยักหน้ายิ้มอย่างเป็นกันเอง “เรื่องนี้จะชักช้าไม่ได้ ข้าจะกลับไปควบคุมและเตรียมงานเดี๋ยวนี้”
เหมียวอี้เตือนอยู่ข้างกายเขาว่า “นายท่านต้องระวังคนข้างกายเอาไว้ ท่านกับเทียนหยวนเป็นสามีภรรยากันมาหลายปี คนข้างกายมีใจเอนเอียงไปทางเทียนหยวนหรือทางนายท่าน หวังว่าในใจนายท่านจะรู้ชัด”
“อืม!” ปี้เยว่พยักหน้า บอกใบ้ว่าจะจดจำไว้
ตรงประตูตำหนักคุ้มเมือง หลังจากส่งกลุ่มของปี้เยว่เดินทางกลับไป เหมียวอี้เพิ่งจะกลับเข้ามาในตำหนัก หยางชิ่งก็เข้ามาถามอีกว่า “นายท่าน แม่ทัพภาคตอบตกลงรึยัง?”
“ตอบตกลงแล้ว ข้าจะสั่งให้คนทางนี้ลงมือทันที!” เหมียวอี้ตอบ
หยางชิ่งรีบเดินตามเขา แล้วกดมือเบาๆ พร้อมบอกว่า “นายท่านอย่ารีบลงมือ! เรื่องนี้ให้ที่อื่นลงมือก่อนแล้วนายท่านค่อยลงมือตามก็ยังไม่สาย ตอนอยู่ที่จวนแม่ทัพภาค นายท่านรีดไถเงินทั้งยังตบคนอื่น เดิมทีท่านโหวเทียนหยวนก็ไม่พอใจนายท่านอยู่แล้ว ถ้าตอนนี้นายท่านชิงลงมือก่อนจะสะดุดตาเกินไป เอาแค้นเก่ากับแค้นใหม่มารวมกัน ดีไม่ดีอาจจะทำให้ท่านโหวเทียนหยวนเอาความโกรธแค้นมาลงที่นายท่านคนเดียว นี่ไม่ใช่เรื่องดีกับนายท่าน เรื่องนี้นายท่านควรจะสงบเสงี่ยมไว้ อย่าให้คนนึกเชื่อมโยงได้ว่าการโต้กลับของแม่ทัพภาคมีนายท่านยุยงอยู่เบื้องหลัง ขอเพียงนายท่านไม่ชิงออกหน้าก่อน ให้แม่ทัพภาคออกตรวจตลาดสวรรค์สิบแห่งก่อนรอบหนึ่ง ถ้าที่อาณาเขตนายท่านไม่มีจุดไหนพิเศษกว่าคนอื่น คนอื่นก็จะไม่สงสัยว่าปัญหาเกิดมาจากนายท่าน”
เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ คำพูดนี้มีเหตุผล “ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล”
หยางชิ่งบอกอีกว่า “เรื่องนี้ยังมีช่องโหว่อีกจุด นายท่านต้องเตรียมพร้อมป้องกันไว้ล่วงหน้า”
“อ้อ!” เหมียวอี้หยุดฝีเท้า แล้วถามว่า “ช่องโหว่อยู่ที่ไหน?”
หยางชิ่งตอบว่า “ถ้าเปลี่ยนให้ข้าน้อยเป็นท่านโหวเทียนหยวนแล้วเจอกับเรื่องแบบนี้ ก็จะต้องลงมือกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงแน่ เซี่ยโห้วหลงเฉิงเป็นคนต่ำทรามที่โลภสมบัติ ถ้าตบรางวัลหนักๆ ก็เป็นไปได้สูงว่าจะทำให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงแอบขัดคำสั่ง ถ้าเซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่ให้ความร่วมมือขึ้นมา…ขอถามหน่อย ท่านแม่ทัพภาคจะกล้าฆ่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงรึเปล่า? ท่านแม่ทัพภาคกับท่านโหวเทียนหยวนแตกคอกัน ในตอนนี้ที่เดียวที่สามารถตั้งหลักตั้งตัวได้ก็คือที่ตลาดสวรรค์ ท่านแม่ทัพภาคฆ่าจ้านหรูอี้ได้ แต่กลับฆ่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่ได้”
เข้าใจได้ไม่ยากว่าคำพูดนี้หมายความว่าอะไร เหมียวอี้ตกใจนิดหน่อย ถ้าเป็นแบบนี้ คนอื่นๆ จะต้องเอาเยี่ยงอย่างเซี่ยโห้วหลงเฉิงแน่นอน ตราบใดที่ปี้เยว่ไม่กล้าลงโทษเซี่ยโห้วหลงเฉิง ก็จะลงมือกับคนอื่นไม่สะดวกเช่นกัน ถึงตอนนั้นตัวเองจะยืนอยู่ฝั่งปี้เยว่หรือจะซ้ำเติมปี้เยว่ตามคนหมู่มากล่ะ? ถ้ายืนอยู่ฝั่งปี้เยว่ต่อไป ก็เหลือแค่ตัวเองคนเดียวที่ดันทุรังต่อต้าน ก็ชัดเจนว่าตั้งตัวเป็นศัตรูกับท่านโหวเทียนหยวน ถ้าฝั่งปี้เยว่พินาศลง นางก็ทำได้เพียงทำตามคำสั่งเทียนหยวน แบบนั้นตัวเองก็ลำบากแล้ว
แต่เหมียวอี้ก็สงสัยอยู่บ้าง จึงถามว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าเทียนหยวนจะทำแบบนี้?”
หยางชิ่งตอบว่า “เทียนหยวนเป็นคนยังไง ข้าน้อยก็ไม่ถึงขั้นรู้จักเขาดี แต่การที่สามารถปีนขึ้นไปถึงตำแหน่งนั้นได้ คาดว่าคงไม่ใช่คนธรรมดาๆ ขนาดนั้น พยายามประเมินเขาให้สูงเข้าไว้ เตรียมพร้อมป้องกันไว้ก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ในครั้งนี้ ในเมื่อคิดจะทำแบบนี้แล้ว ก็จะต้องเอาชนะให้ได้ ขอแค่ทำให้เทียนหยวนเสียเปรียบในครั้งนี้ เทียนหยวนก็จะไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามอีก ไม่อย่างนั้นถ้าก่อเรื่องติดต่อกันในช่วงเวลาแบบนี้ เขาก็จะอธิบายกับเบื้องบนไม่ได้ เขาเองก็ต้องชั่วน้ำหนักเหมือนกัน ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีความมั่นใจ เขาก็จะไม่บุ่ม่บามทำอะไรซี้ซั้ว ขอเพียงชนะในครั้งนี้ และไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดอะไรขึ้น ก็รับประกันได้เลยว่าจะเงียบสงบไปอีกหลายร้อยปี ให้พวกเราได้พักหายใจ ถ้าเขาจะลงมืออีกก็ต้องรอให้ช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานนี้ผ่านไปก่อน”
“อืม!” เหมียวอี้พยักหน้ายอมรับอีกครั้ง แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “เซี่ยโห้วหลงเฉิงเป็นคนต่ำทรามที่โลภเงินทองจนลืมคุณธรรมจริงๆ ในการทดสอบปีนั้น เขาหลอกลวงแม้กระทั่งพี่น้องที่ถูกส่งตัวไปปกป้องเขา ถ้าท่านโหวเทียนหยวนตบรางวัลหนักๆ ขึ้นมา เจ้าเวรนั่นก็ไม่ทำอะไรซี้ซั้วหรอก เจ้าอย่าไปมองนะว่าเขาเรียกข้าว่าพี่หนิว ถ้าท่านโหวเทียนหยวนลงมือกับเขาจริงๆ ก็เกรงว่าจะเกิดปัญหายุ่งยาก ข้าคงไปแข่งไม่ได้หรอกว่าข้ากับท่านโหวเทียนหยวนใครเงินเยอะกว่ากัน”
หยางชิ่งบอกว่า “ต่อให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงจะเป็นอย่างไร แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะต่อต้านตระกูลเซี่ยโห้ว ราชินีสวรรค์กำลังปรับปรุงตลาดสวรรค์ เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของทั้งตระกูลเซี่ยโห้วเช่นกัน คาดว่าราชินีสวรรค์ก็คงไม่อยากเห็นอำนาจท้องถิ่นมาแทรกแซงตลาดสวรรค์มากเกินไป นายท่านสามารถลงมือจากจุดนี้ได้ ให้ตระกูลเซี่ยโห้วกดดันเขา ต้องทำให้เขาไม่กล้าทำอะไรซี้ซั้ว แต่ทางที่ดีนายท่านอย่าออกหน้าไปแทรกแซงเรื่องนี้เอง อย่าโผล่หน้าไป ในปีนั้นตอนที่ราชินีสวรรค์เพิ่งจะรับช่วงต่อตลาดสวรรค์ ท่านแม่ทัพภาคก็เคยไปเยี่ยมคารวะราชินีสวรรค์มาแล้ว ไม่รู้ว่ามีวิธีติดต่อกับตระกูลเซี่ยโห้วได้หรือเปล่า ถ้าไม่มีวิธีติดต่อได้โดยตรงจริงๆ ก็ให้แม่ทัพภาคติดต่อตระกูลเซี่ยโห้วผ่านร้านค้าของตระกูลเซี่ยโห้วก็ได้ ตระกูลเซี่ยโห้วย่อมรู้ว่าจะต้องทำยังไง พวกเขาจะต้องไม่ให้คนในตระกูลตัวเองกระโดดออกมาต่อต้านราชินีสวรรค์แน่นอน”
เมื่อเข้าใจเรื่องราวแบบนี้แล้ว เหมียวอี้ก็กระจ่างใจมาก รู้แล้วว่าต้องเตรียมการอย่างไร หันกลับมาตอบพร้อมรอยยิ้มว่า ” เจ้าหัวเดียวกระเทียมลีบอยู่ที่นี่รู้สึกเหงาบ้างรึเปล่า? ให้ข้าบอกสวีถังหรานให้จัดสาวสวยมาให้สักสองสามคนดีมั้ย?”
ทำไมกระโดดมาประเด็นนี้ได้? หยางชิ่งตามเขาไม่ทันนิดหน่อย ตอนแรกก็อึ้งไปก่อน จากนั้นก็หน้าบึ้งทันที ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าลูกเขยจอมเอาเปรียบคนนี้จะคุยเรื่องผู้หญิงกับตน เหลวไหลเกินไปแล้ว แบบนี้มีอย่างที่ไหน! เขาหน้านิ่งพร้อมตอบว่า “หอนางโลมที่ตลาดสวรรค์ก็ไม่มีน้อย เงินสำหรับใช้เที่ยวหอโคมเขียวข้าน้อยก็มีอยู่” ความหมายในคำพูดก็คือ ‘เจ้าไม่ต้องมาสนใจหรอก’
เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะว่า “เอาแต่ไปหอนางโลมก็ไม่ค่อยเหมาะกระมัง? เดี๋ยวกลับไปจะอธิบายฉินซีกับฉินเวยเวยไม่สะดวก เอาอย่างนี้แล้วกัน เจ้าลองคิดดูว่าให้ชิงเหมยหรือชิงจวี๋มาที่นี่จะเหมาะกว่ากัน เดี๋ยวข้าจะให้คนถือโอกาสพามาด้วย ถ้าข้างกายเจ้าไม่มีคนคอยปรนนิบัติ ก็จะไม่ค่อยเหมาะสมนัก”
บทที่ 1322 ไล่ไปหมดแล้ว
โดย
Ink Stone_Fantasy
พูดอ้อมไปรอบหนึ่งเพื่อหยอกล้อ ที่แท้ประเด็นสำคัญก็อยู่ตรงนี้ หยางชิ่งยิ้มเจื่อนพลางกุมหมัดคารวะ “ขอบคุณที่นายท่านใส่ใจ”
ข้างกายเขาจำเป็นต้องมีคนดูแลจริงๆ พอมาอยู่ฝั่งนี้ก็ถูกยึดอำนาจไปหมดแล้ว แม้แต่คนให้เรียกใช้ก็ไม่มีเลยสักคน เขาต้องจัดการงานเบ็ดเตล็ดทุกอย่างด้วยตัวเอง สำหรับคนที่คุ้นชินการมีคนคอยทำงานเบ็ดเตล็ดให้ การใช้ชีวิตอยู่แบบนี้ไม่สะดวกเลยจริงๆ
ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะพูดหยอกต่ออีกว่า “แน่นอน ถ้าเจ้าชอบไปเที่ยวหอนางโลม ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดเหมือนกัน ท่านนั้นที่สวีถังหรานแต่งงานด้วย เจ้าเองก็เคยเห็นแล้ว ถ้าเจ้าถูกใจก็บอกมาได้เลย ข้ารับรองว่าทางนี้จะไม่มีใครเปิดเผยให้ฉินซีรู้แน่”
หยางชิ่งหน้าบึ้งอีกครั้ง “นายท่าน แบบนี้เกินไปแล้ว”
ปากพูดอย่างเกรงใจ แต่ในใจกลับด่าแล้ว ข้าก็เคยมีคนที่ชอบอยู่เหมือนกัน แต่โดนเจ้าแย่งไปแล้วไง เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีก
เหมียวอี้หัวเราะลั่นพร้อมเดินจากไป เขาไม่ค่อยสบอารมณ์กับคนที่เอาแต่วางกับดักใส่คนอื่นครั้งแล้วครั้งเล่า ทำเหมือนมีความสามารถมากกว่าตนอย่างนั้นแหละ ถ้าไม่กลั่นแกล้งเขาสักหน่อยจะรู้สึกไม่สบายใจ…
หลังจากนั้นหลายวัน ทางตำหนักคุ้มเมืองก็ได้รับข่าวอย่างต่อเนื่องกัน และมีพ่อค้าเริ่มไปแสดงท่าทีโต้ตอบที่จวนผู้บัญชาการสี่เขตเมือง แสดงความกังวลใจที่จำนวนลูกค้าลดลง แต่ก็ไม่มีใครกล้าไปบอกที่ตำหนักคุ้มเมือง เพราะเหมียวอี้ไม่สนใจสิ่งนี้
หลังจากนั้นไม่กี่วัน กำลังพลทะเลดาวนักษัตรที่วางกำลังไว้ที่ตลาดสวรรค์แห่งอื่นๆ ก็แสดงบทบาทแล้ว
เมื่อหยางชิ่งได้รับข่าวก็มาที่ตำหนักหลังทันที พอเจอหน้าเหมียวอี้ก็เตือนว่า “นายท่าน คนอื่นๆ ลงมือแล้ว ทางฝั่งเราก็เริ่มได้แล้วเหมือนกัน”
ในตึกศาลา เหมียวอี้กำลังดูว่าหยางเจาชิงสอนไห่ผิงซินทำงานอย่างไร พอได้ยินแบบนั้นก็บอกว่า “ไปบอกให้ผู้บัญชาการสี่เขตเมืองมาหาข้า”
“ขอรับ!” หยางเจาชิงวางงานในมือทันที รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อ
หางตาหยางชิ่งชำเลืองมองเหยียนซิวที่ยืนเก็บมือเงียบๆ อยู่ข้างหลังเหมียวอี้ เขาไม่รู้ว่าหลายปีมานี้เหยียนซิวไปที่ไหนมา แค่สังเกตเห็นว่าหลังจากเหยียนซิวกลับมาแล้วมีความเปลี่ยนแปลงไม่น้อย เปลี่ยนเป็นคนเงียบงันพูดน้อย เหมียวอี้เองก็ไม่ค่อยสั่งให้เหยียนซิวไปทำอะไรเหมือนกัน บ่อยครั้งเวลาที่เหมียวอี้ปรากฏตัว เหยียนซิวก็จะปรากฏตัวข้างหลังเหมียวอี้เงียบๆ ราวกับว่าเป็นเงาของเหมียวอี้ บางครั้งก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาโผล่มาจากไหน ราวกับเป็นเงาผี พอหันไปอวบเดียวจู่ๆ ก็มาโผล่อยู่ข้างหลังแล้ว จ้องเจ้าพลางยิ้มให้อย่างเย็นเยียบพิศวง ทำให้เจ้าตกใจได้เลย
สรุปก็คือหยางชิ่งรู้สึกว่าทั้งตัวของเหยียนซิวเปลี่ยนไป แววตาที่ชำเลืองมองคน ทั้งยังมีสองมือในแขนเสื้อที่ไม่ค่อยเปิดเผยออกมา แต่เขาเคยเห็นมาก่อนเล็บบนนิ้วทั้งสิบของเขาสีดำขลับ เปล่งแสงสลัวๆ แหลมคมราวกับสัตว์ป่าดุร้าย
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือรอยยิ้มของเหยียนซิว บางครั้งที่เขายิ้มบางๆ ให้เจ้า ก็จะให้ความรู้สึกเหมือนคนตาย สามารถยิ้มจนทำให้เจ้าขนลุกได้
ถึงอย่างไรก็รู้สึกว่าเหยียนซิวแปลกประหลาดไปทุกส่วน ราวกับเป็นคนละคนกับเหยียนซิวคนก่อนหน้า ทำให้คนรู้สึกถึงความมืดครึ้มน่ากลัว
เขาคิดไม่ตกว่าการที่เหยียนซิวหายไปหลายปีนั้นคือเรื่องอะไรกันแน่ เกิดอะไรขึ้นบนร่างกายถึงทำให้คนคนหนึ่งเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ จากจุดนี้จะเห็นได้ว่าเหมียวอี้มีความลับมากมายที่ไม่เปิดเผยให้เขารู้
ไห่ผิงซินเองก็ค่อนข้างกลัวตาแก่ที่ลึกลับคนนี้เช่นกัน เขามักปรากฏตัวอยู่ข้างหลังเหมียวอี้ที่ตำหนักคุ้มเมืองบ่อยๆ ติดตามอยู่อย่างเงียบๆ ราวกับวิญญาณที่ไม่ยอมไปผุดไปเกิด เหมียวอี้ปรากฏตัวเมื่อไรเขาก็โผล่มาเมื่อนั้น ถ้าไม่เห็นเหมียวอี้แล้ว ก็จะไม่เห็นเขาเช่นกัน อีกทั้งเวลาเดินยังไม่มีเสียงฝีเท้าสักนิด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามาโผล่อยู่ข้างหลังเจ้าตั้งแต่เมื่อไร
ตอนที่เจอเขาครั้งแรก ก็เป็นตอนที่จู่ๆ มีเสียงแหบพร่าดังมาจากข้างหลัง “นายท่านให้เจ้าไปหา”
ไห่ผิงซินพลันหันกลับไปมอง เหยียนซิวยิ้มให้เบาๆ ทำให้นางตกใจจนเอาสองมือทาบอกและถอยหลังไปหลายก้าว ทำให้นางตกใจจนหน้าซีด ตกใจจนแทบจะร้องไห้ ตั้งแต่นั้นมาพอเจอเหยียนซิวอีก นางก็มีเงามืดในใจแล้ว แต่เหยียนซิวกลับยังทำดีกับนาง
ตอนนี้เหยียนซิวไม่ค่อยชอบพูดเท่าไร วิธีการแสดงความเป็นมิตรก็คือยิ้มให้
กลับเป็นหยางเจาชิงที่ไม่มีปฏิกิริยากับสิ่งนี้ เพราะเขารู้อยู่แก่ใจว่าคนเป็นๆ อย่างเหยียนซิวไปฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง เหยียนซิวกลายเป็นคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง เขามีแต่ความเห็นอกเห็นใจ ไม่ได้หวาดกลัว ตอนนี้เขากลายเป็นคนที่คอยวิ่งเต้นทำงานติดต่อข้างนอกให้เหมียวอี้แล้ว เหยียนซิวแทบจะไม่ได้ยุ่งกับงานอะไรอีก นอกเสียจากข้างกายจะไม่มีคนจริงๆ เหมียวอี้ถึงจะให้เหยียนซิวโผล่หน้าออกไปสักครั้ง
ผู้บัญชาการสี่เขตเมืองมาถึงอย่างรวดเร็ว หลังจากได้รับคำสั่งแล้ว ไม่นานก็ออกไปอีก
“โง่จะตายอยู่แล้ว บิดเอวขึ้นมา ยังอยากจะโด่งดังแล้วได้แต่งงานเป็นฮูหยินของคนดีๆ มั้ย ขนาดเอวยังบิดไม่ดีเลย แล้วจะทำอาชีพนี้ได้ยังไง? งอนก้นขึ้นมา ยืดอกขึ้นมาสิ ยืดอกโก่งเอว โก่งเอสให้เหมือนธนู”
หอกลิ่นสวรรค์ สาวสวยสิบกว่าคนกำลังฝึกซ้อมอยู่ในโถงฝึกซ้อม ท่านแม่สวีกำลังถือไม้ขนไก่จิ้มฝั่งนั้นทีฝั่งนี้ทีขณะเดินอยู่ระหว่างกลุ่มเต้นระบำ ตีก้นคนนี้ ประคองหน้าอกคนนั้น คอยตะคอกตำหนิไม่หยุด
ก็ช่วยไม่ได้ ดาวเด่นของหอกลิ่นสวรรค์โดนผู้บัญชาการสวีสอยไปแล้ว นางจึงทำได้เพียงฝึกอบรมสาวสวยกลุ่มใหม่ เตรียมจะผลักดันสักสองสามคนที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่ม ปั้นเสวี่ยหลิงหลงคนที่สองออกมา
เสียงตีดังสนั่น ท่านแม่สวีใช้ไม้ขนไก่ตีบนก้นผู้หญิงคนหนึ่งอย่างแรง แล้วกล่าวอย่างโมโหว่า “จะโก่งขึ้นมาขนาดนี้ทำไม? โก่งขึ้นมาขายเหรอ? เจ้าเป็นคนขายศิลปะ ไม่ได้ขายตัว คนทำอาชีพนี้ ถ้าร่างกายโดนผู้ชายทำลายความบริสุทธิ์ก็จะหมดราคาแล้ว ต้องล่อให้ผู้ชายอยากได้สิถึงจะมีราคา ถ้าอยากขายได้ราคาดีๆ ก็ต้องมีต้นทุนนั้น!”
นางหันซ้ายหันขวาและหมุนตัวมองรอบหนึ่ง ก่อนจะบ่นอีกว่า “อย่าโทษว่าท่านแม่โหดนะ ในเมื่อเข้ามาอยู่ในวงการนี้แล้วก็ต้องลำบาก ไม่ลำบากไม่ได้หรอก ถ้าไม่ลำบากก็จะไม่ประสบความสำเร็จ ถ้าพวกเจ้าอยากสู้เพื่อหนทางที่ดีในอนาคต ตอนนี้ก็ต้องลำบากแบบนี้แหละ ถ้าทนความลำบากนี้ไม่ไหวก็กลายเป็นตัวประกอบไปทั้งชีวิตเถอะ แสงอันสดใสของอาชีพนี้ไม่มีทางส่องไปถึงตัวประกอบ เมื่อถึงตอนนั้นก็อย่าโทษว่าท่านแม่ส่งเจ้าไปติดสินน้ำใจให้ใครก็แล้วกัน ถ้าตอนนี้ทนลำบากได้ ถ้าในภายหลังประสบความสำเร็จเจ้าก็จะขอบคุณข้าเอง ถ้าไม่ประสบความสำเร็จแล้วมาเกลียดข้าก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าไม่มีต้นทุนก็ไม่มีแต่คุณสมบัติจะมาล้างแค้นข้าด้วยซ้ำ!”
สาเหตุที่เข้มงวดกับเด็กใหม่ขนาดนี้ ด้านหนึ่งก็เป็นอย่างที่นางบอก อีกด้านหนึ่งเป็นเพราะในตอนนี้หอกลิ่นสวรรค์จะประคองกิจการไม่ไหวแล้ว เมื่อไม่มีเสวี่ยหลิงหลงคอยประคองหอกลิ่นสวรรค์ กำไรของหอก็ตกฮวบ เดิมทีคนที่มาหอกลิ่นสวรรค์ก็พุ่งเป้ามาที่เสวี่ยหลิงหลงอยู่แล้ว ตอนนี้ต่อให้เจ้าลดราคา แต่ลูกค้าก็อาจจะไม่เชิญคณะระบำของหอกลิ่นสวรรค์ไปแสดงก็ได้
ตอนนี้คนที่โด่งดังที่สุดในวงการก็คือเฟยหงแห่งหอมงกุฎงาม ไม่รู้เหมือนกันว่าหอมงกุฎงามเอาความสามารถนี้มาจากไหน ไม่น่าเชื่อว่าจะหามารดาบุญธรรมที่มีอำนาจหนุนหลังให้เฟยหงได้ ทำให้ตลอดเส้นทางที่เฟยหงเดินมาจนทุกวันนี้ไม่มีใครกล้าทำลายความบริสุทธิ์ของนาง ผลปรากฏว่าทำให้สถานบันเทิงแห่งอื่นเงยหน้าอ้าปากไม่ได้แล้ว
ท่านแม่สวีก็ไม่ยอมเหมือนกัน อยากจะหาเสวี่ยหลิงหลงคนที่สองมาขึ้นสังเวียนแข่งกับเฟยหง ขอเพียงฝึกสอนนักแสดงที่มีชื่อเสียงขึ้นมาได้ เบื้องหลังมีเสวี่ยหลิงหลงคอยหนุนก็ยังสามารถกอบกู้สถานการณ์ได้เหมือนเดิม ต้องทราบไว้ว่าเสวี่ยหลิงหลงกับหวงฝู่จวินโหรวมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน กอปรกับเบื้องหลังมีอำนาจของทางการที่คอยควบคุมตลาดสวรรค์บริเวณนี้
และสิ่งที่เสวี่ยหลิงหลงสามารถช่วยท่านแม่สวีได้ก็มีเพียงเท่านี้แล้ว บางสิ่งบางอย่างสวีถังหรานก็ยังกังวลอยู่บ้าง เขาจ่ายเงินเพื่อช่วยไถ่ตัวเสวี่ยหลิงหลงมาแล้ว และแต่งงานรับนางกลับมาแล้วเช่นกัน นางกลายเป็นฮูหยินภรรยาเอกของเขาแล้ว เขาไม่อยากเห็นนางไปมาหาสู่กับหอกลิ่นสวรรค์อีก นางเองก็เข้าใจเช่นกัน แต่ถ้าไม่มีท่านแม่สวีก็ไม่มีนางในวันนี้ นางมอบเงินที่ตัวเองเก็บสะสมมาหลายปีไปให้ท่านแม่สวีหมดแล้ว ที่เหลือก็ทำได้แค่แอบดูแลอยู่เงียบๆ ออกจากวงการบันเทิงมาแล้ว ถ้าอยากจะเป็นผู้หญิงที่เดินในเส้นทางที่ถูกต้อง ก็คงไม่ดีที่จะไปมาหาสู่กับสถานบันเทิงอย่างหอกลิ่นสวรรค์บ่อยๆ
“รีบไป! รีบไป…”
จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงอื้ออึงอยู่พักหนึ่ง ท่านแม่สวีที่กำลังชี้แนะซ้ายขวาได้ยินแล้วงุนงงทันที นางวางไม้ขนไก่แล้วออกมาจากโถงฝึกซ้อม มาถึงโถงใหญ่ด้านนอก แล้วเดินออกประตูไปตลอดทาง ขณะที่เดินก็ถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
พนักงานที่เหลียวซ้ายแลขวาอยู่ตรงประตูวิ่งเข้ามา “ไม่ทราบขอรับ! กำลังพลของตำหนักสวรรค์เหมือนจะกำลังขับไล่ลูกค้าที่มาตลาดสวรรค์”
“ไล่ลูกค้า? นี่มันเรื่องอะไรกัน?” ท่านแม่สวีหยิบผ้าเช็ดหน้าบนเสื้อออกมาสะบัด พอเดินออกจากประตูใหญ่ก็หันซ้ายหันขวาด้วยสีหน้าแปลกใจ
เห็นเพียงทหารสวรรค์กลุ่มหนึ่งปรากฏตัวที่หัวถนน ไล่ลูกค้าบนถนนให้ไปทางประตูเมือง พวกลูกค้าที่เดินตลาดพากันขมวดคิ้ว เดินขวักไขว่ผ่านประตูใหญ่ของหอกลิ่นสวรรค์
ทันใดนั้น ผู้ช่วยผู้บัญชาการคนหนึ่งที่มาคุมสถานการณ์ก็ตะโกนบอกว่า “อย่าชักช้า ท่านโหวเทียนหยวนกำลังจับผู้ร้ายที่หลบหนี ทุกคนที่ไม่ใช่พ่อค้าแม้ค้าในตลาดสวรรค์พ่อค้าออกจากตลาดสวรรค์ไปทันที ไม่อย่างนั้นจะถูกมองว่าเป็นผู้ร้ายทั้งหมด”
“ขุนพล พวกเราไม่ใช่ผู้ร้ายนะ!” มีลูกค้าบางคนตะโกนบอก
ผู้ช่วยผู้บัญชาการคนนั้นตะโกนตอบว่า “ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าเจ้าใช่ผู้ร้ายรึเปล่า? รอตรวจสอบก่อนแล้วค่อยว่ากันว่าเป็นผู้ร้ายรึเปล่า ถ้ายังกล้าบ่นมากอีกข้าจะไม่เกรงใจแล้วนะ พ่อค้าทั้งสองฝั่งฟังข้าให้ดีนะ ให้ลูกค้าในร้านออกไปทันที ไม่อย่างนั้นทุกคนจะโดนลงโทษข้อหาสมคบคิดกับผู้ร้าย!”
เมื่อเห็นผู้ช่วยผู้บัญชาการเดินมาถึงนอกหอกลิ่นสวรรค์ ท่านแม่สวีก็ก้าวขึ้นมาดึงมือไว้ทันที แล้วถ่ายทอดเสียงถามว่า “ขุนพลเผิง นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
ที่เขตเมืองตะวันตกมีใครบ้างที่ไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างท่านแม่สวีกับผู้บัญชาการสวี ผู้ช่วยผู้บัญชาการคนนั้นไม่กล้าล่วงเกิน ถ่ายทอดเสียงตอบว่า “ข้าจะรู้ได้ยังไงล่ะ เบื้องบนสั่งให้ทำแบบนี้ พวกเราก็ได้แค่ทำตามคำสั่ง ถ้าท่านอยากจะรู้สาเหตุ ก็ไปถามท่านผู้บัญชาการจะเหมาะกว่า” พูดจบก็เดินไปข้างหน้าต่อ
หลังจากยืนดูเหตุการณ์อยู่ครึ่งวัน ถนนตรงหน้าก็ว่างจนม้าวิ่งได้ ไม่มีเงาของลูกค้าเลยสักคน ทั้งยังมีทหารสวรรค์กลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเดินลาดตระเวนตรวจไปมา
พ่อค้าที่อยู่สองฝั่งถนนพากันยื่นศีรษะออกมาเหลียวซ้ายแลขวา ต่างคนต่างมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา มองไม่เห็นลูกค้าเลยสักคน ตั้งแต่ตั้งตลาดสวรรค์ขึ้นมา ยังไม่เคยเห็นสภาพแบบนี้มาก่อน
พนักงานที่วิ่งเต้นสืบข่าวไปทั่วทุกที่กลับมาบอกท่านแม่สวีว่า “ไปหมดแล้ว! ลูกค้าทั้งตลาดสวรรค์ถูกไล่ออกจากตลาดสวรรค์ไปหมดแล้ว ไม่เหลือเลยสักคน ไปกันหมดแล้ว ลูกไล่ไปรับการตรวจสอบที่นอกประตูเมืองทั้งสี่”
ท่านแม่สวีกับอวี้ซวีเจินเหรินแห่งร้านขายของชำซื่อตรงที่อยู่ข้างกันมองหน้ากันเลิกลั่ก สักครู่ต่อมา บรรดาพ่อค้าแทบจะทุกคนก็พากันวิ่งไปดูที่ประตูเมืองทั้งสี่ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
คนกลุ่มหนึ่งเบียดกันอยู่นอกเมือง คนที่มีความผิดอยู่ในใจย่อมไม่กล้ารับการตรวจสอบ ต่างก็หนีออกไปแล้ว ส่วนในเมืองก็มีพ่อค้ากลุ่มหนึ่งยื่นศีรษะออกมาดู ตรงประตูเมืองมีทหารสวรรค์คอยดักตรวจคนที่เดินเข้าเดินออก
“ขุนนางสวรรค์ ข้าไม่ใช่ผู้ร้ายจริงๆ”
“เจ้าไม่ใช่ผู้ร้ายแล้วจะเป็นอะไรไปได้?”
“ข้าเป็นศิษย์ของสำนักฝูหลิง นี่คือแผ่นหยกยืนยันตัวตนของข้า ข้าได้รับคำสั่งจากสำนักให้มาซื้อของ สำนักกำหนดเวลากลับไว้แล้ว ท่านให้ข้าเข้าไปเถอะ ขุนนางสวรรค์ ถ้าข้าซื้อของเสร็จแล้วข้าก็จะไปทันที”
“ก็ได้ ค้นตัวก่อนแล้วค่อยว่ากัน พอค้นตัวแล้วเจ้าค่อยเอาหลักฐานมาพิสูจน์ ตราบใดที่พิสูจน์ได้ว่าไม่เกี่ยวข้องกับผู้ร้าย ข้าก็จะปล่อยเจ้าเข้าไปทันที”
“ข้า…จะให้ข้าพิสูจน์ยังไงล่ะ?”
“ถ้าพิสูจน์ไม่ได้เจ้าจะบ่นมากทำไม? เจ้าอาศัยอะไรมาอ้างว่าเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับผู้ร้าย? คนต่อไป…”
นี่คือบทสนทนาระหว่างทหารสวรรค์กับลูกค้าข้างนอกที่ต้องการจะเข้ามาในเมือง
ส่วนในเมือง พวกพ่อค้าที่หูผึ่งมาดูความเคลื่อนไหวสบตากันอย่างพูดไม่ออก ท่านแม่สวีหันกลับมามองอวี้ซวีเจินเหรินที่อยู่ข้างกัน แล้วถ่ายทอดเสียงด้วยสีหน้าที่เหมือนอยากจะชูนิ้วกลาง “ฉิบหายเอ๊ย! ท่านนั้นที่ตำหนักคุ้มเมืองจะก่อเรื่องแบบไหนอีกล่ะ นี่คงไม่ได้คิดจะก่อเรื่องอะไรอีกใช่มั้ย?”
สวีถังหรานกำลังนั่งดื่มด่ำกับอาหารเลิศรสบนตึกกำแพงเมือง จิบสุราชั้นดีเป็นระยะ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น