พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1319-1320
บทที่ 1319 เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางที่แท้จริง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ณ ประตูดวงดาวสำหรับผ่านไปดาวไร้ลักษณ์ ทหารสวรรค์กลุ่มหนึ่งเฝ้าอยู่ที่นี่ สอบสวนนักพรตที่สัญจรไปมาอย่างเข้มงวด
ตรงที่ไกลๆ มีกำลังพลตำหนักสวรรค์อีกกลุ่มหนึ่งเหาะเข้ามา ผู้ที่นำกลุ่มก็คือเหมียวอี้นั่นเอง
“ผู้ที่มาเป็นใคร หยุดก่อน!”
กำลังพลแถวหนึ่งที่เฝ้าประตูดวงดาวเหาะออกมา ขวางอยู่ด้านหน้าประตูดวงดาว ก่อนที่ผู้นำกลุ่มจะตะโกนถาม
เหมียวอี้โบกมือ กำลังพลข้างหลังทยอยกันหยุด ทหารยามมองสำรวจผู้ที่มา เมื่อเห็นว่าเป็นกำลังพลตำหนักสวรรค์เหมือนกัน ก็ตะโกนถามอีกว่า “มาจากไหน?”
เหมียวอี้พลิกมือโยนแผ่นหยกเข้าไป พอทหารยามรับมาอ่านในมือ ก็หัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “ก็ยังนึกว่าใครเสียอีก หนิวโหย่วเต๋อ ผู้บัญชาการใหญ่หนิวผู้โด่งดัง” เขาโยนแผ่นหยกกลับมา แล้วถามว่า “ผู้บัญชาการใหญ่หนิว ทำไมเจ้าไม่อยู่ที่ตลาดสวรรค์ดีๆ ล่ะ นี่กำลังจะไปไหน?”
ในคำพูดนี้ฟังดูไม่ค่อยหวานสักเท่าไร ดูจากยศแล้วก็น่าจะเป็นผู้บัญชาการใหญ่เหมือนกัน เป็นผู้บัญชาการใหญ่ของอาณาเขตนี้ก็ถือว่ามีตำแหน่งเทียบเท่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ เพียงแต่ฝ่ายแรกอิจฉาฝ่ายหลังมาตลอด
เหมียวอี้ตอบว่า “ได้รับคำสั่งให้มาทำงาน ไม่ทราบว่าทุกคนมาเฝ้าที่นี่ไว้หมายความว่ายังไง?”
ทหารยามหัวเราะเสียงดัง แล้วตอบว่า “สงสัยตลาดสวรรค์จะเป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ ไม่ต้องสนใจเรื่องราวข้างนอกก็ได้ อย่าบอกนะว่าผู้บัญชาการใหญ่หนิวไม่เคยได้ยินเรื่องผู้ร้ายก่อเหตุที่เกิดขึ้นช่วงนี้? พวกเราได้รับคำสั่งให้มาเฝ้าประตูดวงดาวที่นี่ ให้ตรวจสอบนักพรตที่เดินทางไปมาอย่างเข้มงวด”
เหมียวอี้พยักหน้า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็ไม่รบกวนทุกคนแล้ว หนิวขอตัวก่อนแล้วกัน” ขณะที่พูดก็กุมหมัดคารวะเตรียมจะผ่านไป
ใครจะคิดว่าทหารยามจะยกมือห้าม “ช้าก่อน! ผู้บัญชาการใหญ่หนิว ไม่ใช่ว่าหูคนนี้ไม่ไว้หน้า เพียงแต่ยากจะขัดคำสั่งเบื้องบน ไม่ว่าใครที่ผ่านมาที่นี่ก็ล้วนต้องถูกค้นตัวตรวจสอบ คนของตำหนักสวรรค์ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ถ้ามีใครกินบนเรือนขี้บนหลังคา สมคบคิดกับผู้ร้ายขึ้นมาจะไม่แย่หรอกหรือ?”
พวกเหมียวอี้สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย จะค้นตัวพวกเขางั้นเหรอ?
เรื่องผู้ร้ายเป็นอย่างไรทุกคนล้วนรู้อยู่แก่ใจ ที่บอกว่าจับผู้ร้ายก็แค่ทำพอเป็นพิธีเฉยๆ แต่ตอนนี้กลับจะค้นตัวพวกเขาจริงๆ ชัดเจนว่ากำลังกลั่นแกล้งพวกเขา
เหมียวอี้ถามเสียงเรียบว่า “พวกเราเป็นคนของตลาดสวรรค์ พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาค้นตัวพวกเรา?”
เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะให้คนพวกนี้ค้นตัว คนที่มากับเขาเป็นคนของทะเลดาวนักษัตร ถ้าบนตัวมีของต้องห้ามอะไรถูกเปิดโปงขึ้นมา แบบนั้นก็จะยุ่งยากแล้ว แล้วอีกอย่าง ถ้าให้คนจากอำนาจท้องถิ่นมาค้นตัวได้ง่ายๆ ไม่เท่ากับตบหน้าฝั่งระบบของตลาดสวรรค์หอรกเหรอ
ทหารยามหัวรลั่นพร้อมตอบว่า “คนของตลาดสวรรค์ก็เป็นคนของตำหนักสวรรค์เหมือนกัน คงจะให้ความร่วมมือกับผู้ร้ายต่อต้านตำหนักสวรรค์ไม่ได้หรอกใช่มั้ย จะไปอ้างเหตุผลนี้ที่ไหนได้ล่ะ ผู้บัญชาการใหญ่หนิว ได้โปรดอย่าทำให้หูคนนี้ลำบากใจเลย!”
เหมียวอี้แสยะยิ้ม “แล้วถ้าข้าไม่ให้ค้นตัวล่ะ เจ้าจะทำยังไง?”
ทหารยามมองไปที่เหมียวอี้ด้วยสายตาระแวดระวัง ถึงอย่างไรชื่อเสียงของเจ้าตัวก็เห็นๆ กันอยู่ ผู้บัญชาการใหญ่หนิวเป็นทหารกล้าผู้โด่งดัง โจมตีฝ่าออกมาจากทัพใหญ่หนึ่งล้าน ถ้าบอกว่าไม่กลัวเลยสักนิดก็แปลว่าโกหกแล้ว แต่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ มีหรือที่เขาจะยอมทิ้งความน่าเกรงขามของอำนาจท้องถิ่น จึงส่ายหน้ากล่าวเสียงต่ำว่า “ผู้บัญชาการใหญ่หนิว ทางที่ดีอย่าสุราคำนับมิยอมดื่ม ต้องดื่มสุราลงทัณฑ์!”
“เจ้าบังอาจ!” ฝูชิงที่ยืนอยู่ข้างกายเหมียวอี้พลันตะคอก กำลังพลที่ติดตามมาเผยอาวุธเตรียมป้องกันทันที
“หึหึ!” ทหารยามก็ไม่พูดมากเช่นกัน เพียงโบกมือหนึ่งที
“อู…อู…” ลูกน้องคนหนึ่งที่อยู่ข้างหลังเขาเป่าแตรสัญญาณทันที
ชั่วพริบตานั้น มีกำลังพลนับพันพุ่งเข้ามาทันที ถืออาวุธล้อมไว้พร้อมกัน ล้อมพวกเหมียวอี้ไว้ทั่วทุกสารทิศเป็นรูปวงกลม
ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ที่อยู่ทางซ้ายและขวากวักมือ คนสิบกว่าคนที่ติดตามมาด้วยเผยอาวุธ คอยเตรียมพร้อมป้องกันอยู่รอบกายเหมียวอี้
เหมียวอี้กวาดสายตาเย็นเยียบมองไปรอบๆ มองดูเชือกมัดเซียนที่กำลังพลพวกนั้นได้รับคำสั่งให้หยิบออกมา พวกเขามองด้วยสายตาดุร้ายเหมือนพร้อมจะโยนออกมาได้ทุกเมื่อ
ฝูชิงกับพวกอิงอู๋ตี๋ไม่เคยประมือด้วยวิธีการแบบนี้ แต่เหมียวอี้กลับเคยได้รับบทเรียนมาแล้ว รู้ว่าการล้อมโจมตีแบบนี้พัวพันได้ยากมาก เขามีประสบการณ์ในการรับมือแล้วจึงไม่หวาดกลัว แต่พวกฝูชิงเกรงว่าจะเสียเปรียบ ถ้าลงมือขึ้นมาฝั่งนี้อาจจะไม่ได้ประโยชน์ อย่างไรเสีย ต่อให้เหมียวอี้จะเก่งกาจกว่านี้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะกำลังพลนับพันพร้อมกันได้ในชั่วพริบตาเดียว
หลังจากครุ่นคิดแล้ว เหมียวอี้หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อมู่หรงซิงหัว ที่นี่คืออาณาเขตของเฉาว่านเสียง กำลังพลที่เข้าที่นี่ส่วนใหญ่ก็เป็นคนของเฉาว่านเสียง
ประสิทธิภาพชัดเจนมาก ผ่านไปไม่นาน ทหารยามก็หยิบระฆังดาราออกมา หลังจากได้ฟังคำสั่งแล้วก็โบกมือ “ปล่อยไป!”
เขาเองก็หาบันไดลงได้แล้ว ชื่อเสียงอันน่าเกรงขามของเหมียวอี้ก็เห็นๆ กันอยู่ ขนาดทัพใหญ่หนึ่งล้านยังทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้เลย แล้วพวกเขาจะไหวได้อย่างไร ตอนนี้ย่อมอาศัยโอกาสลงจากหลังลาอยู่แล้ว
กำลังพลนับพันหลีกทางให้ เหมียวอี้นำคนเหาะจากไปอย่างรวดเร็ว หายไปในประตูดวงดาวด้วยกัน
ส่วนพวกทหารยามก็ดักตรวจสอบคนกลุ่มต่อไป…
ดาวไร้ลักษณ์ เทือกเขาอันรกร้างแห้งแล้งแห่งหนึ่งที่ผ่านการสู้รบมาหลายปีติดต่อกัน
ทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ที่เป็นสุสานสิบลี้ ญาติบ้านใครชื่อแซ่ของใคร กระดูกขาวที่น่าสงสารไร้คนฝัง เสียงผีร้องควรญครางทุกคืน
พวกเหมียวอี้เหาะลงจากฟ้า ทหารยามสองคนที่เฝ้าที่นี่ถลันตัวออกมาจากป่าโบราณที่มืดครึ้มน่าสะพรึงกลัวข้างหน้า “คารวะผู้บัญชาการใหญ่”
“อืม!” เหมียวอี้ผายมือขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเดินเหยียบหญ้าแห้งนำลูกน้องเดินไปยังป่าโบราณข้างหน้า กระดูกเปราะที่อยู่ใต้เท้าส่งเสียงกรอบแกรบเป็นระยะ พวกหนูกระต่ายหมาป่าที่อยู่แถวนี้ตกใจเพราะพลังอำนาจของคนพวกนี้ รีบพากันกระโดดหนีไปแล้ว
เหมียวอี้มองดูเนินหลุมศพรอบๆ ก่อนจะถอนหายใจแล้วบอกว่า “เนินสุสานที่ไร้ระเบียบพวกนี้มีคนบ้านนอกที่ไร้ชื่อไร้นามเพิ่มขึ้นไม่น้อย ดูท่าแล้วสงครามคงจะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกมาตลอด ทั้งหมดล้วนเป็นสาวก ทำไมตำหนักสวรรค์ไม่สนใจสักนิดเลย?”
ฝูชิงที่เดินตามมาตอบว่า “การบังคับมอบพลังปรารถนาของทางนี้ต่างกับที่พิภพเล็ก ที่นี่ล้วนทำด้วยความสมัครใจ ภายใต้สถานการณ์ที่สมัครใจ ถ้าโลกสงบสุขเกินไปแล้วจะมีสักกี่คนที่เคารพบูชาด้วยความเต็มใจ เมื่อกินอิ่มนอนอุ่นมีความปรารถนาทางเพศ ความร่ำรวยสูงส่งทำให้ใจคนฟุ้งซ่าน ผู้คนต่างก็พากันไปเสพสุขหมดแล้ว ในทางตรงกันข้าม ยิ่งสภาพสังคมวุ่นวาย คนที่กราบพระวิงวอนเทพก็ยิ่งมีเยอะขึ้น”
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ตอนนี้เข้าใจแล้ว
สองคนที่อยู่ข้างหน้าร่ายอิทธิฤทธิ์กดต้นหญ้าที่แผ่คลุมทางให้เรียบ กลุ่มคนเดินเข้าไปในป่า เหมียวอี้ยกมือขึ้นมา นอกจากทหารยามสองคนกับฝูชิงและอิงอู๋ตี๋ คนอื่นๆ ล้วนกระจายตัวกันเฝ้าระวังรอบๆ ป่าโบราณ
ใต้ต้นไม้โบราณมีรากซ้อนกันสลับซับซ้อน บางทีอาจจะเป็นเพราะเนินหลุมศพเยอะเกินไป ปราณหยินเข้มข้นมาก ตรงหน้าหลุมศพเก่าแก่ที่ไร้ป้ายชื่อหลุมหนึ่ง พวกเขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เหมียวอี้เงี่ยหูตั้งใจฝัง แล้วถามว่า “หยุดตั้งแต่เมื่อไร?”
ทหารยามคนหนึ่งตอบว่า “ในสองร้อยปีมานี้ พอตกกลางคืนที่ปราณหยางถดถอยปราณหยินเข้มข้น เสียงกรีดร้องโหยหวนก็ดังก้องทั้งคืนแบบขาดๆ หายๆ ฟังแล้วรู้สึกเวทนา มนุษย์ธรรมดาตกใจจนไม่กล้าเข้าใกล้แถวนี้ ไม่อย่างนั้นเนินดินที่อยู่โดยรอบอาจจะมากกว่านี้ก็ได้ แต่จู่ๆ ก็หยุดไปเมื่อสองวันก่อน ไม่รู้ว่าสถานการณ์ข้างในเป็นอย่างไรขอรับ ถ้าไม่ได้รับคำสั่งข้าน้อยก็ไม่กล้าล่วงล้ำเข้าไป”
เหมียวอี้เงียบไปครู่เดียว แล้วตัดสินใจว่า “เปิดออก ข้าจะเข้าไปดูสักหน่อย”
“ขอรับ!” ทหารยามสองคนเอ่ยรับคำสั่ง แล้วทำลายผนึกทันที นำป้ายหลุมศพขนาดใหญ่ที่อยู่หน้าหลุมศพออก เกิดเป็นอุโมงค์ใต้ดินทางหนึ่ง
เหมียวอี้ไม่ได้ให้ทหารยามสองคนนั้นเข้าไป พาเข้าไปแค่ฝูชิงกับเหยียนซิว
ยิ่งเดินลงไปข้างล่างก็ยิ่งหนาว เดินตามช่องทางสุสานเข้าไปในช่องเก็บศพที่ก่อด้วยอิฐและอยู่ลึกลงไปใต้ดินหลายจั้ง เขาพบว่าผนังหินโดยรอบรวมทั้งบนพื้นมีน้ำค้างแข็งหนาเกาะหลายชั้น สิ่งนี้ไม่ใช่น้ำค้างแข็ง แต่เป็นสิ่งที่ก่อตัวจากปราณหยินอันหนาวเหน็บ ตอนที่พวกเขาเดินผ่านไป ภายใต้การหลอมละลายของปราณหยาง มีหมอกสีเทาลอยขึ้นมาจางๆ
โลงศพโลงหนึ่งที่ทำจากผลึกทองวางอยู่ตรงกลางช่องเก็บศพ ด้านบนเต็มไปด้วยน้ำค้างขาว
“เหยียนซิว! เหยียนซิว…” เหมียวอี้เอ่ยเรียกหลายครั้ง มีเสียงดังสะท้อนอยู่ในช่องเก็บศพ แต่กลับไม่มีเสียงตอบกลับ เหมียวอี้ไม่รอช้าอีก โบกสะบัดแขนเสื้อทันที น้ำค้างขาวบนโลงศพพังกระจายปลิวไปแล้ว
เหมียวอี้ก้าวขึ้นมาข้างหน้าและสะบัดกระบี่ผลึกแดงออกมา มีเสียงดังแกร๊ก ตัดกลอนที่ติดแน่นบนโลงศพออกไปแล้ว
ขณะที่เขากำลังจะเปิดฝาโลงศพ ใครจะคิดว่าเวลานี้ในโลงศพกลับมีเสียง “เอี๊ยดๆ” ดังมา ข้างในเหมือนจะมีบางสิ่งตกใจตื่นแล้ว เหมือนเป็นเสียงเล็บกรีดวาดบนผนัง เสียงแหลมแสบแก้วหู ทำให้คนได้ยินแล้วขนหัวลุก
เหมียวอี้ ฝูชิงและอิงอู๋ตี๋อึ้งไปชั่วขณะ
วึง! ฝาโลงศพพลันเด้งกระโดด ปราณหยินที่เข้มข้นกลุ่มหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากใต้ฝาโลงศพที่กระโดดขึ้นมาและกดลงไป ดึงดูดให้ทั้งสามสนใจ
ปั้ง! ครั้งนี้ฝาโลงศพเด้งขึ้นมาแล้วพลิกตกลงพื้น
ในโลงศพ ท่ามกลางปราณหยินเข้มข้นที่พ่นออกมา เงาร่างที่ผมยาวสยายยืนขึ้นตัวตรงดิ่ง ผมขาวที่ยุ่งเหยิงปลิวสะบัดเองโดยไร้ลม แขนสองข้างกางออกมาช้าๆ ในขณะที่หลับตา ในลำคอส่งเสียงที่ทั้งยาวทั้งอึมครึม “เฮ่อ…” ราวกับผีร้ายที่หลับยาวมานานและกำลังฟื้นขึ้นมา ทั้งตัวลอยตั้งตรงขึ้นมา
คนคนนี้จะเป็นใครไปได้ถ้าไม่ใช่เหยียนซิว เพียงแต่ภายใต้ภาพเหตุการณ์แบบนี้ ทั้งตัวเหยียนซิวดูมืดครึ้มน่าสะพรึงกลัว
พวกเหมียวอี้รีบหันไปมองรอบๆ เห็นเพียงน้ำค้างขาวบนผนังหินรวมทั้งบนพื้นละลายอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดกลายเป็นปราณหยินเข้มข้น กลิ้งม้วนไปรวมตรงเหยียนซิวที่กางแขนลอยอยู่กลางอากาศ ก่อนจะถูกเหยียนซิวดูดเข้าทางทวารทั้งเจ็ด เหยียนซิวทำสีหน้าดื่มด่ำ
ฝูชิงและอิงอู๋ตี๋มองหน้ากันเลิกลั่ก สีหน้าราวกับโดนตะคริวกิน ในแววตาเต็มไปด้วยความทึ่ง เจ้าหมอนี่หลบฝึกวิชาของนักพรตผีอยู่ที่นี่เหรอ?
ทั้งสองเรียกได้ว่าทำใจเชื่อได้ยาก เพราะก่อนหน้านี้ทั้งสองไม่รู้ว่าเหยียนซิวมาเก็บตัวทำไรอยู่ที่นี่ ตอนนี้พบว่าสภาพของเหยียนซิวเหมือนนักพรตผียิ่งกว่านักพรตผีเสียอีก นำปราณหยินมาสูดเข้าร่างกายราวกับเป็นอากาศ เหมือนกำลังดื่มด่ำเสพสุขมาก นี่ใช่สิงที่คนปกติทำเสียที่ไหนกัน จะไม่ให้ตกตะลึงได้อย่างไร?
ผ่านไปไม่นาน ปราณหยินที่อยู่ในช่องเก็บศพก็หายไปจนหมดเกลี้ยง อุณหภูมิก็สูงขึ้นเช่นกัน
เหยียนซิวที่ลอยอยู่กลางอากาศพลันลืมตา ลูกตาสองข้างขาวบริสุทธิ์ สายตาที่น่ากลัวกวาดมองทั้งสามคนอย่างช้าๆ สุดท้ายก็ไปหยุดบนใบหน้าเหมียวอี้ที่กำลังประคองดาบหรี่ตาจ้องเขา
พอเห็นเหมียวอี้ แววตาที่ขาวหมดจดน่ากลัวคู่นั้นก็กลอกอย่างช้าๆ ไม่นานแววตาก็กลับมาเป็นเหมือนคนปกติ ขณะเดียวกันปรารณหยินบนตัวเหยียนซิวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ร่างกายกลับคืนสู่ปราณหยางเหมือนคนปกติ ไม่ปรากฏปราณหยินบนตัวแม้แต่น้อย มีเพียงบนนิ้วทั้งสิบที่ขาวซีด เล็บแหลมคม ดำขลับมันวาว
ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้พวกเหมียวอี้ตกตะลึงอ้าปากค้าง
แต่สิ่งที่พวกเขาไม่เห็นก็คือ บนคอของเหมียวอี้ ลูกประคำสีเขียวเข้มในคอเสื้อของเหมียวอี้กลับเปล่งแสงสลัวติดต่อกัน
เหยียนซิวที่ปล่อยผมสยายเหาะลงมาเหยียบลงตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วกุมหมัดคารวะด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “นายท่าน!”
“เสียงของเจ้า?” เหมียวอี้มองสำรวจเขาศีรษะจดเท้า
เหยียนซิวที่ใบหน้าซีดขาวยิ้มเจื่อน “ตะโกนร้องอย่างเจ็บปวดเป็นเวลาหนึ่งร้อยกว่าปี เกรงว่าถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นก็งกลายเป็นแบบนี้เหมือนกัน”
เหมียวอี้ทอดถอนใจ ใช้หางตามองฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋แวบหนึ่ง แล้วเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงถาม “เจ้าฝึกสำเร็จหรือไม่สำเร็จกันแน่?”
“โชคดี สำเร็จแล้ว” เหยียนซิวถ่ายทอดเสียงตอบ
“ถ้าอย่างนั้นปราณหยางบนตัวเจ้าล่ะ?” เหมียวอี้ประหลาดใจทันที
“หยินหยางสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างอิสระ!” เหยียนซิวตอบ จากนั้นก็กล่าวเสริมอีกว่า “บางการฝึกของข้าน้อยต่างหากที่เป็นเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางอย่างแท้จริง!”
เหมียวอี้ถามซักไซ้ทันที “เจ้าหมายถึงวิธีการฝึกของเจ้าเหรอ?”
“ขอรับ!” เหยียนซิวตอบ
บทที่ 1320 ท่านโหวเทียนหยวนสร้างแรงกดดัน
โดย
Ink Stone_Fantasy
“…” เหมียวอี้พูดไม่ออก
เมื่อได้ฟังเหยียนซิวพูดแบบนั้น ก็เหมือนว่าวิธีการฝึกตนแบบนี้ของเขาจะสอดคล้องกับชื่อ ‘เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง’ มากกว่าจริงๆ
อย่าบอกนะว่าภายใต้การจับพลัดจับผลูของเหยียนซิว จะทำให้เจอวิธีการดั้งเดิมในการฝึกฝนเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางอย่างแท้จริงแล้ว? แบบนี้เหลือเชื่อเกินไปรึเปล่า!
ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ก็ไม่รู้ว่าถ้าปราชญ์ผีซือถูเซี่ยวและคนอื่นๆ รู้แล้วจะทนความรู้สึกได้อย่างไร
ในเวลานี้ เหมียวอี้มองเหยียนซิวด้วยแววตาที่เหมือนมองสัตว์ประหลาด
ต่อให้เขาจะไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน แต่ก็เคยได้ยินว่าทำแบบนี้ทุกข์ทรมานขนาดไหน การก้าวข้ามจากคนเป็นกลายเป็นคนตาย ได้ยินว่ารสชาติแบบนั้นทรมานยิ่งกว่าตายไปเลยเสียอีก น้อยคนนักที่จะอดทนผ่านด่านนี้ไปได้ ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่เหยียนซิวกรีดร้องโหยหวนอยู่ที่นี่เป็นเวลาเกือบสองร้อยปี แค่คิดก็รู้แล้วว่าทุกข์ทรมานขนาดไหน
ความเจ็บปวดสั้นๆ แค่กัดฟันทนเดี๋ยวก็ผ่านไป แต่ความเจ็บปวดที่ยาวนานนั้นยากจะทน! ว่ากันว่าเจ็บสั้นดีกว่าเจ็บยาว มันก็คือหลักการนี้แหละ
เหมียวอี้จินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่าเขาทนได้อย่างไร นี่ต้องใช้ความเด็ดเดี่ยวและศรัทธามากขนาดไหนถึงจะยืนหยัดอดทนผ่านเวลาเกือบสองร้อยปีนี้ไปได้ เจ้าคนประหลาดนี่รู้อยู่แจ่มแจ้งว่าเส้นทางนี้แทบจะไม่มีโอกาสรอด แต่กลับดึงดันเลือกหนทางตันแบบนี้ แต่ก็ยังเดินผ่านมาได้แล้วจริงๆ ทำให้คนพูดไม่ออกแล้ว!
ตอนแรกเหมียวอี้แค่จะช่วยให้สมปรารถนาเท่านั้น จึงเตรียมใจไว้แล้วว่าเหยียนซิวจะตาย พอได้ยินว่าเหยียนซิวไม่มีความเคลื่อนไหวแล้ว การมาครั้งนี้ก็เพื่อเตรียมมาเก็บศพเหยียนซิวเพราะเห็นแก่ไมตรีเก่า แต่ใครจะคิดว่าเหยียนซิวจะยังไม่ตาย ใครจะคิดว่าเหยียนซิวจะสมปรารถนาแล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงมาคนเดียวแล้ว คงไม่ให้พวกฝูชิงมาเห็นฉากนี้หรอก เหมือนเห็นผีตัวเป็นๆ เข้าแล้ว
“เหยียนซิว นี่เจ้า?” ฝูชิงที่ทำสีหน้าประหลาดใจอดไม่ได้ที่จะถาม
อิงอู๋ตี๋ก็มีคำถามนี้เหมือนกัน ค่อนข้างสงสัยว่าเหยียนซิวเปลี่ยนจากคนเป็นไปเป็นคนตายเพื่อฝึกเคล็ดวิชาของนักพรตผีรึเปล่า แต่ตามหลักการแล้วไม่น่าจะกลายเป็นนักพรตผีได้ แต่การที่เหยียนซิวเดี๋ยวก็กลายเป็นคนเดี๋ยวก็กลายเป็นผีแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?
เหมียวอี้ยกมือขัดจังหวะ “ไม่ต้องถามเรื่องนี้อีกแล้ว พี่รอง พี่สาม ข้าเชื่อใจพวกท่านถึงได้พาพวกท่านมา เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ก็ขอให้รู้กันแค่พวกท่านสองคน อย่าให้คนอื่นรู้อีก ข้าไม่อยากให้เรื่องนี้แพร่ออกไปข้างนอก”
ฝูชิง อิงอู๋ตี๋สบตากันแวบหนึ่ง แล้วบอกว่า “ขอรับ!”
“เก็บกวาดสักหน่อย ไปกันเถอะ!” เหมียวอี้พูดทิ้งท้าย แล้วถือกระบี่หันตัวเดินออกไป
ฝูชิง อิงอู๋ตี๋มองเหยียนซิวที่จะเป็นคนก็ไม่ใช่จะเป็นผีก็ไม่เชิง จู่ๆ เหยียนซิวก็ยิ้มให้พวกเขาแบบแปลกๆ ต่างจากรอยยิ้มของเหยียนซิวในเมื่อก่อน ทั้งสองรู้สึกหนาวสั่นอยู่พักหนึ่ง แล้วรีบหันตัวเดินตามหลังเหมียวอี้ไป
คนอื่นๆ ยืนรออยู่นอกหลุมศพพักเดียว ถึงได้เห็นเหยียนซิวที่จัดการเกล้าผมใหม่เดินออกมา
บังเอิญว่ามีแสงแดดสายหนึ่งส่องลอดพุ่มไม้ลงมาส่องบนใบหน้าเหยียนซิวที่เพิ่งเดินออกมาจากช่องหลุมศพพอดี จู่ๆ ก็เจอแสงแดด เหยียนซิวยกแขนเสื้อขึ้นมาบังโดยจิตใต้สำนึก เหมือนจะยังปรับตัวกับแสงไม่ค่อยได้หรือไม่ก็เพราะสาเหตุอื่น หลังจากนั้นครู่หนึ่งถึงได้เห็นเขาวางแขนเสื้อลงอย่างช้าๆ
คนที่เหลือหันไปมองเขา เห็นเขาไม่ได้ต่างจากก่อนหน้านี้สักเท่าไร เพียงแต่ผิวยังคงขาวมาก เหมือนจะไม่มีสีของเลือดฝาดเลย ทั้งยังมีเล็บบนนิ้วทั้งสิบนั่นอีก ดำขลับมันวาวและแหลมโผล่ออกมา
เหยียนซิววางแขนเสื้อลงแล้วยิ้มบางๆ อีกครั้ง ยังคงประหลาดอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกว่าในรอยยิ้มนี้เจือด้วยการร้องไห้ ยิ้มอย่างน่าสะพรึง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้รับความทุกข์ทรมานมาเกือบสองร้อยปีจนก่อตัวเป็นรสชาติอีกแบบอยู่ในสีหน้านี้แล้วรึเปล่า
สรุปก็คือครั้งนี้แม้แต่เหมียวอี้ก็ยังรู้สึกหนาวๆ รีบหันกลับมาบอกว่า “ไปกันเถอะ!”
พวกเขาแฉลบขึ้นฟ้าจากไป
ในเมื่อมาที่ดาวไร้ลักษณ์แล้ว เหมียวอี้ก็ถือโอกาสพาพวกเขาไปเยี่ยมคารวะสำนักลมปราณที่ดาวไร้ลักษณ์สักหน่อย ไปพูดคุยทักทายกับเจ้าสำนักอวี้หลิงเจินเหรินแล้วค่อยกลับ
ประตูดวงดาวที่กลับไปยังมีคนเฝ้าอยู่ ตอนนี้กำลังตรวจค้นคนกลุ่มอื่น แล้วก็เหมือนจงใจจะกลั่นแกล้งกลุ่มของเหมียวอี้ด้วย เหมียวอี้ต้องติดต่อมู่หรงซิงหัวอีกครั้ง ถึงได้ผ่านด่านที่ยุ่งยากนี้ไปได้อย่างราบรื่น
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เหมียวอี้มักรู้สึกว่ากลุ่มคนที่ตรวจค้นกลุ่มนี้มีลับลมคมในอะไรบางอย่าง ตามหลักการแล้วคนกลุ่มนี้น่าจะตรวจค้นพอเป็นพิธีเฉยๆ สิ ทำไมถึงตรวจค้นอย่างจริงจังขนาดนี้ล่ะ?
หลังจากกลับมาที่ตำหนักคุ้มเมืองได้เกือบครึ่งเดือน เหมียวอี้ถึงได้เริ่มสังเกตุเห็นความไม่ชอบมาพากล
มีคนเบื้องล่างรายงานขึ้นมา ว่าจำนวนลูกค้าที่ตลาดสวรรค์กำลังเริ่มลดลงทีละนิด ส่งผลกระทบกับธุรกิจการค้าของร้านค้าในตลาดสวรรค์
ถึงอย่างไรทางนี้ก็สัมผัสคลุกคลีได้ไม่ครบทุกด้าน เพียงแต่สงสัยรางๆ ว่าเกี่ยวข้องกับการตรวจค้นหรือเปล่า หยางชิ่งถึงขั้นสงสัยว่าทางท่านโหวเทียนหยวนกำลังเล่นตุกติกสร้างแรงกดดันปี้เยว่ฮูหยินหรือไม่ จึงให้เหมียวอี้ทดสอบหยั่งเชิงว่าสถานการณ์ทางด้านปี้เยว่ฮูหยินกับท่านโหวเทียนหยวนเป็นอย่างไรกันแน่
เรื่องแบบนี้เหมียวอี้สามารถถามปี้เยว่ได้โดยตรง ไม่ต้องทดสอบหยั่งเชิงเลย แต่ช่วยไม่ได้ที่หยางชิ่งไม่รู้เลยว่าระหว่างเหมียวอี้กับปี้เยว่เป็นอย่างไรกันแน่ เพียงแต่มีข้อสงสัยอยู่บ้าง
ใครจะคิดว่าจะไม่ต้องถามอะไรมาก ปี้เยว่มาเยือนด้วยตัวเองแล้ว มาที่นี่ด้วยตัวเองแล้ว
ในตำหนักคุ้มเมือง พอเด็กสาวไห่ผิงซินเห็นปี้เยว่ ก็รีบซ่อนตัวทันที
“น้ำชาหน่อย! นางหนู ข้าให้เจ้านำน้ำชามาวาง ไม่ได้ยินเหรอ?” เหมียวอี้ที่นั่งเป็นเพื่อนปี้เยว่อยู่ในศาลาศาลาหีนกลับมาบอก ไห่ผิงซินจะสนใจเขาเสียที่ไหน ก็แค่ไม่ออกมาเฉยๆ เหมียวอี้หันดลับมาเดาะลิ้นแล้วบอกว่า “ท่านดูสิ ลกน้องอบบนี้มีอย่างที่ไหนกัน? จะพลิกฟ้ารึไง”
“เฮ้อ!” ปี้เยว่โบกมือ สีหน้าเจ็บปวดกลัดกลุ้มใจ “ช่างเถอะ อย่าฝืนใจนางเลย แค่รู้ว่านางสบายดีข้าก็สงบใจแล้ว ทำไมเจ้าถึงให้นางทำงานใช้แรงงานอย่างยกน้ำชาล่ะ?” ประโยคสุดท้ายฟังดูค่อนข้างคับแค้นใจ ราวกับการทำงานของคนระดับล่างไม่ยุติธรรมกับลูกสาวนาง
เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าว่านะฮูหยิน การที่นางจะอยู่ที่นี่ก็ต้องมีสถานะอำพรางและมีทำงานอะไรสักหน่อยสิ? ท่านเห็นนางมาตั้งแต่เด็กจนเติบโต ท่านลองบอกหน่อยสิว่านางทำอะไรได้บ้าง และจะทำอะไรได้บ้าง? นางไม่ประสีประสาเรื่องในสังคม ทำอะไรก็ไม่ได้สักอย่าง มีแค่งานนี้ที่นางทำได้นิดหน่อย ถ้าเลี้ยงไว้โดยไม่ให้ทำงานอะไรเลย แบบนั้นใครเห็นแล้วจะไม่สงสัยบ้าง? ต่อให้ทำงานนี้ก็เถอะ แต่ท่านเองก็เห็นแล้ว ถ้านางอยากทำนางก็ทำ ถ้าไม่อยากทำก็ไม่ทำ ข้าไม่ได้บังคับนางสักนิดเลย”
“ตั้งแต่เด็กก็เสื้อมาค่อยชูมือ ข้าวมา ค่อยอ้าปาก นางไม่เคยทำอะไรมาก่อนจริงๆ นั่นแหละ” ปี้เยว่ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกอีกว่า “ต่อไปนี้เจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่า ‘ฮูหยิน’ อีกแล้ว”
เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ ตอนนี้เข้าใจแล้ว พยักหน้าบอกว่า “ทราบแล้วขอรับ” แล้วหันกลับมาตะโกนว่า “เหยียนซิว น้ำชา”
ผ่านไปไม่นาน เหยียนซิวก็เดินเข้ามาเบาๆ โดยไร้เสียง นำน้ำชามาวางข้างๆ
เหมียวอี้โบกมือ หลังจากให้เขาถอยไปแล้ว ก็บอกใบ้ให้ปี้เยว่ดื่มน้ำชา จากนั้นถึงได้ถามว่า “ครั้งนี้นายท่านมาหาซินเอ๋อร์เหีอ? จะให้ข้าช่วยหาทางช่วยให้ลงรอยกันสักหน่อยมั้ย?”
ปี้เยว่โบกมือ “อย่าฝืนใจนางเลย อยากจะเจอนางเป็นเรื่องรอง ที่สำคัญคือข้าได้รับรายงานมาจากเบื้องล่าง ว่าช่วงนี้กระแสลูกค้าของตลาดสวรรค์แต่ละแห่งลดลงจำนวนมาก ส่งผลกระทบกับธุรกิจของบรรดาร้านค้าในตลาดสวรรค์ ข้าเพิ่งจะออกมาสำรวจที่ตลาดสวรรค์แต่ละแห่งไปรอบหนึ่ง มาที่นี่เป็นที่สุดท้าย”
“หาสาเหตุเจอรึยัง? ทางข้าสงสัยว่าท่านโหวเทียนหยวนจะเล่นไม่ซื่ออะไรรึเปล่า” เหมียวอี้ถาม
ปี้เยว่บอกว่า “ไม่ผิดหรอก เทียนหยวนเล่นไม่ซื่อ มีคนจงใจควบคุมจำนวนคนในอาณาเขตของข้าไว้ มีแค่จวนแม่ทัพภาคตงหัวที่เกิดปัญหานี้ อาณาเขตอื่นของเทียนหยวนไม่ได้รับผลกระทบ ข้าเดาว่าเขายังสมคบคิดกับคนจำนวนหนึ่งด้วย มีร้านค้าบางร้านเอ่ยออกมาแล้ว บอกว่าการกระทำของตำหนักสวรรค์ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของพวกเขา ขอให้ลดการเก็บภาษีของปีนี้”
เหมียวอี้จึงถามอย่างแปลกใจ “ลดการเก็บภาษี? เป็นไปไม่ได้มั้ง ข้าควบคุมอาณาเขตตัวเองเข้มงวดกว่าตลาดสวรรค์ที่อื่น ถ้ามีความเคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กน้อย ก็ไม่คลาดจากสายตาข้าไปได้หรอก ทำไมทางข้าถึงไม่ได้ยินข่าวเลย?”
ปี้เยว่กลอกตา “เจ้าก็รู้เหมือนกันเหรอว่าเจ้าควบคุมเข็มงวด? ต่อให้ร้านค้าในสังกัดเจ้าอยากจะพูด แต่จะมีคนกล้าพูดออกมาเหรอ? โดนเจ้าล้างเลือดไปสองครั้งแล้วนะ!”
“…” เหมียวอี้กลั้นหายใจพูดไม่ออก จากนั้นก็หัวเราะแห้งๆ เอามือลูบจมูกทันที คำพูดนี้ไม่รู้ว่ากำลังชมหรือกำลังแดกดันกันแน่ จึงตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ร้านค้าพวกนั้นวอนโดนลงโทษ พอลงโทษไปสองครั้งก็ว่านอนสอนง่ายแล้ว เรื่องลดการเก็บภาษี พวกเขาก็คิดออกมาได้เนอะ”
ปี้เยว่ถอนหายใจแล้วบอกว่า “เทียนหยวนกำลังสร้างแรงกดดันให้ข้า! พอเก็บภาษีขึ้นมาไม่ได้ เบื้องบนจะต้องถามหาความรับผิดชอบจากข้าแน่นอน ข้าเคยติดต่อไปต่อว่าเทียนหยวนแล้ว แต่เทียนหยวนบอกว่าทำงานตามคำสั่ง บอกว่าถ้าข้ามีความเห็นแย้งอะไรก็ให้ไปบอกเบื้องบนเอาเอง ขอเพียงบนบนออกคำสั่งให้ผ่อนปรนการตรวจสอบ เขาก็จะให้ความร่วมมือทันที”
เหมียวอี้เงียบงัน ภาษีที่เก็บจากทั้งจวนแม่ทัพภาคไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ช่องโหว่นี้ต่อให้ปี้เยว่อยากจะเติมแต่ก็เติมไม่ไหว เทียนหยวนสร้างแรงกดดันขนาดนี้ เกรงว่าคงยากที่ปี้เยว่จะไม่ยอมจำนน เทียนหยวนอาศัยอำนาจทำแบบนี้ ไม่ว่าใครก็ว่าอะไรเขาไม่ได้
ที่สำคัญที่สุดก็คือ ถ้าไม่มีเทียนหยวนช่วยพูดอยู่เบื้องบน ปี้เยว่จะมีความสามารถอะไรติดต่อกับเบื้องบน เบื้องบนก็ไม่มีทางตอบตกลงเช่นกัน ถ้าออกคำสั่งลงมาให้เทียนหยวนผ่อนปรนการตรวจสอบ ก็เกรงว่าจะมีคนอ้างเหตุผลว่าจับผู้ร้ายไม่ได้ทันที มีหรือที่การต่อสู้ของเบื้องบนจะสะดุดเพราะปี้เยว่คนเดียว?
ถ้าจะไปขอเบื้องบนให้ลดการเก็บภาษีเพราะสาเหตุนี้ แต่สถานที่อื่นที่ได้รับการตรวจสอบเหมือนกันก็ไม่ได้รับผลกระทบ มีแค่ที่เจ้าเหรอที่ข้ออ้างเยอะ?
เหมียวอี้แอบถอนหายใจ การโจมตีแบบนี้ของเทียนหยวนโหดพอสมควร ครั้งนี้ให้โจทย์ยากกับปี้เยว่แล้วจริงๆ พอลงมือก็บีบคอปี้เยว่เลย เกรงว่าครั้งนี้คงยากที่ปี้เยว่จะไม่สยบอยู่ใต้แทบเท้าเทียนหยวน เหมียวอี้เองก็ไม่มีวิธีควบคุมอำนาจของเทียนหยวนได้ ต่อให้ติดต่อเกาก้วน แต่เกาก้วนก็ไม่มีความกล้าหาญที่จะสั่งให้เทียนหยวนผ่อนปรนการตรวจสอบแน่นอน
ทั้งสองคุยกันพักหนึ่ง เหมียวอี้เชิญปี้เยว่พักผ่อนอยู่ที่นี่ก่อน จากนั้นตัวเองก็ถอยออกไป
ปี้เยว่พักอยู่ที่นี่ ชายหญิงมีความแตกต่างกัน เขาไม่สะดวกจะพักอยู่ที่ตำหนักหลังแล้ว
เขาเพิ่งจะออกจากตำหนักหลัง หยางชิ่งที่รออยู่ด้านนอกก็เข้ามารับและถามว่า “นายท่าน แม่ทัพภาคมาด้วยเหตุอะไร?”
“จะเพราะอะไรได้อีกล่ะ? เจ้าเดาถูกแล้วจริงๆ เทียนหยวนกำลังเล่นไม่ซื่อสร้างแรงกดดันให้แม่ทัพภาคแล้วจริงๆ เจ้าโจรชรานี่เล่นไม่ซื่อกับการเก็บภาษี…” หลังจากเหมียวอี้เล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ ก็ส่ายหน้าถอนหายใจ แล้วบอกว่า “การเก็บภาษีเกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายของทั้งตำหนักสวรรค์ เรื่องแบบนี้ชักช้าไม่ได้ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาก็มีไม่กี่คนหรอกที่รับผิดชอบไหว! แม่งเอ๊ย ตอนนี้ข้ากังวลว่าเทียนหยวนจะถือโอกาสจัดการข้าไปด้วยเลยรึเปล่า ถ้าข้าจัดเก็บภาษีส่งขึ้นไปไม่ได้ เบื้องบนจะต้องมีคนฉวยโอกาสหาเรื่องแน่นอน รูโหว่ใหญ่ขนาดนี้ ข้าคงควักกระเป๋าตัวเองไปเติมไม่ได้หรอกมั้ง?”
“เหอะๆ!” จู่ๆ หยางชิ่งก็ส่ายหน้าหัวเราะ
“ทำไมต้องหัวเราะ?” เหมียวอี้แปลกใจ
หยางชิ่งยิ้มพร้อมตอบว่า “นายท่านไม่จำเป็นต้องคิดมาก นี่เป็นอุบายตื้นๆ นายท่านสามารถทำลายแผนนี้ได้อย่างง่ายดาย!”
เหมียวอี้ตาเป็นประกาย รีบถามว่า “หมายความว่ายังไง?”
หยางชิ่งยิ้มพร้อมอธิบาย “พวกเรามีอำนาจอิทธิพลสู้เทียนหยวนไม่ได้ แต่พวกเราสามารถใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ได้ อาณาเขตของเขาใหญ่จึงแสดงผลออกมาเต็มที่ อาณาเขตของพวกเราเล็กจึงแสดงผลแค่เล็กน้อยเช่นกัน เขาต้องการจะตรวจสอบไม่ใช่เหรอ? พวกเราแค่ให้ความร่วมมือกับพวกเขาก็สิ้นเรื่อง นายท่านสามารถแนะนำให้ท่านแม่ทัพภาคใช้แผนสะบั้นตระกูล! เทียนหยวนชอบตัดจำนวนลูกค้า งั้นพวกเราก็ตัดขาดให้เขาจนหมดเสียเลย ทำให้ไม่มีลูกค้าสักคนในตลาดสวรรค์ทุกแห่งของจวนแม่ทัพภาคตงหัว ท่านโหวเทียนหยวนสร้างปัจจัยเสี่ยงอันตรายในบริเวณนี้มากขนาดนี้ พวกเราก็สามารถอ้างเหตุผลได้เลยว่าสงสัยว่าจะมีโจรมาก่อกวนที่ตลาดสวรรค์ จึงตรวจสอบอย่างเข้มงวดด้วยเหมือนกัน ไล่ลูกค้าทุกคนไปให้หมด ต้องสร้างเรื่องให้ใหญ่โตกว่าเดิมสักหน่อย ถ้าส่งภาษีไปให้เบื้องบนไม่ได้ ก็ให้ทุกคนรับผิดชอบร่วมกันเสียเลย ข้าก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าขุนนางทั้งราชสำนักจะทนรับความเสียหายนี้ได้สักกี่วัน ดูว่าท่านโหวเทียนหยวนจะทนแรงกดดันนี้ได้รึเปล่า!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น