เทพปีศาจหวนคืน 1318-1321
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1318 ตำนานเทศกาลไหว้พระจันทร์
แปลโดย iPAT
‘เจ้าล้อเล่นใช่หรือไม่? ชาเก้ากลิ่นหอมของข้าไม่สามารถเปรียบเทียบกับน้ำทะเลถ้วยหนึ่งงั้นหรือ?’ ลั่วมู่ซือคำรามอยู่ในใจแต่ภายนอกยังสงบนิ่ง
‘บัดซบ! วูอี้ไห่กำลังเล่นตลก เรากำลังเสนอชา แต่เขาเสนอน้ำทะเล ช่างไร้ยางอายนัก! เทพธิดาซื่อหลิวยังยอมรับเขาอีก นี่มันน่าโมโหเกินไปแล้ว!’ หลุนเฟยลอบกำหมัดแน่นอยู่ใต้โต๊ะ
เทพธิดาเถียนลู่เร่งแก้ไขสถานการณ์ “ดวงจันทร์ขึ้นสูงแล้ว หลังจากดื่มชา หากไร้บทกวี มันคงไม่สมบูรณ์”
ฟางหยวนแสร้งไม่เข้าใจ “เราต้องอ่านบทกวีจริงๆงั้นหรือ?”
ดวงตาของลั่วมู่ซือและหลุนเฟยส่องประกายขึ้นทันที นี่เป็นโอกาสอีกครั้ง
โอกาสที่จะล้มคู่แข่งความรักของพวกเขา!
‘คราวนี้อย่าคิดว่าจะสามารถหลบเลี่ยง ข้าจะผลักเจ้าลงบนพื้นและกระทืบซ้ำอย่างดุเดือด!’
จิตใจของลั่วมู่ซือเต็มไปด้วยความคิดเช่นนี้แต่ภายนอกเขายังยิ้มและแสดงท่าทางที่สง่างาม
เช่นเดียวกับหลุนเฟยที่คิดคล้ายคลึงกัน
อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่รู้ว่าฟางหยวนเป็นคนเช่นไร
แข่งขันบทกวี?
สวรรค์!
นี่มันแย่ยิ่งกว่าการแสดงต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญ
ฟางหยวนมาจากดาวโลก เขามีบทกวีดั้งเดิมที่มีชื่อเสียงจำนวนมากอยู่ในหัว พวกมันล้วนเป็นผลงานชิ้นเอกที่สั่นสะเทือนโลกทั้งใบ เขาสามารถใช้หนึ่งในนั้นทำให้สองคนนี้ไม่สามารถกอบกู้ใบหน้าของตนเองได้อีกเลย
“ถูกต้อง เราจะท่องบทกวี มีเรื่องราวอยู่เบื้องหลังสิ่งนี้” เฉียวซื่อหลิวตอบฟางหยวน
“โอ้ โปรดอธิบาย” ฟางหยวนถามต่อ
“นี่เป็นตำนานที่ส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่นของภาคใต้และยังเป็นที่มาของเทศกาลไหว้พระจันทร์อีกด้วย” เฉียวซื่อหลิวกล่าว
กาลครั้งหนึ่ง ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งในภาคใต้
ชายหนุ่มตกหลุมรักบุตรสาวของผู้ใช้วิญญาณชราและหญิงผู้นี้ก็หลงรักชายหนุ่มเช่นกัน
ชายหนุ่มรวบรวมความกล้าเพื่อขอแต่งงาน แต่เขาพบกับการปฏิเสธของผู้ใช้วิญญาณชรา
“เจ้าเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาขณะที่บุตรสาวของข้าเป็นผู้ใช้วิญญาณที่มีอนาคตสดใส เจ้าจะคู่ควรกับบุตรสาวของข้าได้อย่างไร?”
ชายหนุ่มอ้อนวอนแต่ผู้ใช้วิญญาณชรายังปฏิเสธและเย้ยหยัน “เจ้ากำลังฝันกลางวัน เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยให้บุตรสาวของข้าแต่งงานกับเจ้างั้นหรือ!? เจ้าเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่ไม่สามารถชงชา แล้วเจ้าจะมีประโยชน์ใด?”
ชายหนุ่มตอบ “มันก็เป็นเพียงน้ำชามิใช่หรือ? หากข้าสามารถชงชา ท่านจะอนุญาตให้บุตรสาวของท่านแต่งงานกับข้าหรือไม่?”
ผู้ใช้วิญญาณขรารู้สึกปวดหัว
เขารู้ว่าบุตรสาวของเขาก็รักชายผู้นี้เช่นกัน การทุบตีชายหนุ่มอย่างรุนแรงจะทำให้บุตรสาวของเขาเกลียดชังเขา
“หากเจ้าสามารถชงชาได้ตามความคาดหวังของข้า ข้าจะให้โอกาสเจ้า”
ชายหนุ่มดีใจและตกลงทันที “ข้าจะทำให้สำเร็จ!”
บุตรสาวของผู้ใช้วิญญาณชรากังวลมากเมื่อได้ยินเรื่องนี้ “ครอบครัวของข้ามีชื่อเสียงในเรื่องชา เจ้าต้องชงชาให้ท่านพ่อของข้าพึงพอใจ เจ้าเป็นเพียงมนุษย์ที่ไม่มีความสามารถของผู้ใช้วิญญาณ แล้วเจ้าจะชงชาเลิศรสได้อย่างไร?”
ชายหนุ่มตอบ “อย่ากังวล ผู้ใดบอกว่ามนุษย์ไม่สามารถชงชา ข้าขอบอกหลักการสามข้อกับเจ้า”
“ข้อแรก กฎของป่า ปลาใหญ่กินปลาเล็กและปลาเล็กกินกุ้ง”
หลังกล่าวจบคำชายหนุ่มเดินไปที่ลำธารและจับปลาตัวใหญ่ขึ้นมา เขาผ่าร่างของปลาตัวใหญ่และนำปลาตัวเล็กออกมาจากภายใน จากนั้นเขาก็ผ่าร่างของปลาตัวเล็กและดึงกุ้งออกมาจากภายใน
“ข้อสอง มนุษย์จำเป็นต้องกินและขับถ่าย”
ชายหนุ่มกินกุ้งและถ่ายออกมา
“ข้อสาม อุจจาระสามารถหล่อเลี้ยงพืชให้เติบโตขึ้น”
ชายหนุ่มฝังอุจจาระของตนไว้ใต้ดินและแน่นอนว่ามันทำให้ต้นไม้ผลิบาน
ชายหนุ่มดึงดอกไม้ชนิดหนึ่งขึ้นมาและนำมันไปแช่ในแอ่งน้ำเล็กๆทำให้มันกลายเป็นน้ำชา
ผู้ใช้วิญญาณชราไม่สามารถกล่าวสิ่งใดเป็นเวลานานหลังจากจิบชาชนิดนี้
บุตรสาวของเขากล่าว “ท่านพ่อ ท่าจะไม่ผิดคำพูดใช่หรือไม่?”
ผู้ใช้วิญญาณชราต้องพยักหน้าด้วยความไม่เต็มใจ “เจ้าหนู เจ้าผ่านการทดสอบแรกแล้ว แต่ยังเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์ธรรมดาจะแต่งงานกับบุตรสาวของข้า เจ้าหยาบคายเกินไปและขาดพรสวรรค์ เจ้าท่องบทกวีไม่ได้”
ชายหนุ่มเกาศีรษะและกล่าวด้วยความกังวล “แม้ข้าจะไม่เคยท่องบทกวีมาก่อน แต่ข้าสามารถทดลอง”
ผู้ใช้วิญญาณชราเย้ยหยัน “เจ้า?”
ชายหนุ่มถามกลับ “เหตุใดข้าจะทำไม่ได้?”
“หนุ่มน้อย การท่องบทกวีไม่ใช่การสวดมนต์เพียงไม่กี่ประโยค พวกเราผู้ใช้วิญญาณสามารถทำให้สวรรค์พิภพเปลี่ยนไปได้ด้วยการท่องบทกวี เราสามารถทำให้มนุษย์กระโดดขึ้นสู่อากาศด้วยความปิติยินดี เจ้าทำได้หรือไม่?”
ชายหนุ่มกล่าวเสียงต่ำ “จะรู้ได้อย่างไรหากไม่ทดลอง?”
“เอาล่ะ เช่นนั้นก็ทดลอง แล้วอย่ากล่าวว่าข้าไม่ให้โอกาส หากล้มเหลว เจ้าต้องจากไปและไม่กลับมาพบบุตรสาวของข้าอีก”
ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับเงื่อนไข เขาเริ่มเดินไปรอบๆและนึกถึงบทกวีที่เคยอ่าน
แต่เขาไม่เคยท่องบทกวีมาก่อน เขาไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นอย่างไร
ในช่วงเวลานี้เขาเห็นมดอยู่บนพื้น เขาเห็นนกและดวงอาทิตย์ตกที่นอกหน้าต่าง ทันใดนั้นเขาก็ตบศีรษะของตนเอง
เขาเริ่มท่อง “นกกระจอกบินต่ำและอสรพิษเลื้อยคลาน มดกลับบ้านเมื่อยามฝนตก”
ภาคใต้มีฝนกตกบ่อยครั้งแม้ตอนนี้จะเป็นฤดูใบไม้ผลิก็ตาม
ชายหนุ่มพึ่งกล่าวจบ ฝนก็โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า
การแสดงออกของผู้ใช้วิญญาณชราเปลี่ยนไป
ชายหนุ่มกล่าวต่อ “ฝนฤดูใบไม้ผลิหยดหนึ่งเหมือนน้ำมัน มากเกินไปจะทำให้เราสับสน”
ฝนเริ่มตกหนักขึ้น ท้องฟ้าเริ่มมืดลง
การแสดงออกของผู้ใช้วิญญาณชราดูไม่น่ามองเล็กน้อย
ชายหนุ่มคว้าศีรษะของตนและเกา “ต้นไม้ผลิบานเมื่อเริ่มทำการเกษตร เส้นผมร่วงหล่นราวกับเมล็ดพันธุ์ที่กระจัดกระจาย”
เมื่อถึงจุดนี้ชายหนุ่มก็ไม่สามารถสร้างสรรค์บทกวีได้อีก
“ข้าควรให้เวลาเจ้ามากกว่านี้” ผู้ใช้วิญญาณชราเย้ยหยัน
ดวงตาของชายหนุ่มส่องประกายขึ้นทันที เขาชี้นิ้วไปที่ผู้ใช้วิญญาณชรา “นายท่านนำธัญพืชทั้งหมดออกไป ท้องที่หิวโหยของเราล้วนเจ็บปวด”
ผู้ใช้วิญญาณชรากระทืบเท้าด้วยความโกรธและผุดลุกขึ้นยืนพร้อมกับโยนถ้วยชาในมือลงบนพื้น
จากนั้นเขาก็ชี้นิ้วไปที่ชายหนุ่มและตะโกน “เป็นมนุษย์ธรรมดาแต่กลับกล้าหาญนัก!”
แต่บุตรสาวของเขากลับหัวเราะและปรบมือ “ยอดเยี่ยม! กวีบทนี้สามารถเปลี่ยนแปลงสวรรค์พิภพและยังทำให้ทำให้ท่านพ่อกระโดดขึ้นได้อีกด้วย”
ผู้ใช้วิญญาณชราโกรธที่เห็นบุตรสาวเชิญชูชายหนุ่ม แต่เขาก็ไม่สามารถทำสิ่งใด
“ดี ดี ดี ถือว่าผ่านการทดสอบที่สอง แต่ยังมีบททดสอบสุดท้าย หากเจ้าต้องการแต่งงานกับบุตรสาวของข้า แล้วของหมั้นอยู่ที่ใด? เจ้าสามารถนำของขวัญที่ทำให้ข้าพอใจมาได้หรือไม่?”
ชายหนุ่มก้มศีรษะลงด้วยความหดหู่ เขาอาศัยอยู่ในกระท่อมมุงจาก นอนบนเสื่อฟาง และมีเสื้อผ้าเก่าๆเพียงชุดเดียว
“ข้าจะใช้ทรัพย์สินทั้งหมดของข้าเป็นของหมั้น” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ให้ข้าดูก่อน!” ผู้ใช้วิญญาณชรากล่าว
ชายหนุ่มนำผู้ใช้วิญญาณชราไปที่บ้านของเขา
จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “ทั้งหมดนี้คือทรัพย์สินของข้า”
“กระท่อมหลังเก่าที่มีรูอยู่ทุกหนทุกแห่ง?” ผู้ใช้วิญญาณชราชี้นิ้วไปที่กระท่อมด้วยความรังเกียจ
“เสื่อฟางที่กำลังแตกใบ?” ผู้ใช้วิญญาณชราโยนเสื่อฟางลงบนพื้น
“หินพวกนี้คืออุจจาระงั้นหรือ?” ผู้ใช้วิญญาณชราเตะหินและทำลายมัน
ชายหนุ่มก้มศีรษะลง
ทุกประโยคที่ผู้ใช้วิญญาณชรากล่าวทำให้ศีรษะของชายหนุ่มก้มต่ำลงเรื่อยๆ
แต่จังหวะที่ผู้ใช้วิญญาณชราเตะก้อนหินจนแตก วิญญาณที่งดงามราวกับดวงจันทร์กลับบินออกมา
ผู้ใช้วิญญาณชราตะลึง
ชายหนุ่มก็เช่นกัน เขาหยิบก้อนหินขึ้นมาจากเนินเขาแบบสุ่มโดยไม่ได้ตั้งใจคัดเลือก
บุตรสาวของผู้ใช้วิญญาณชรากรีดร้องอย่างมีความสุข “วิญญาณดวงนี้เพียงพอแล้วสำหรับเป็นของหมั้นใช่หรือไม่?”
ผู้ใช้วิญญาณชราไม่สามารถโต้แย้ง เขาไม่สามารถกล่าวสิ่งใดออกมาได้อีกและในที่สุดเขาก็ทำได้เพียงปล่อยให้บุตรสาวของตนแต่งงานกับชายหนุ่มผู้นี้เท่านั้น
ฟางหยวนเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนแล้ว
มันเป็นความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับผู้ใช้วิญญาณและจบลงด้วยชัยชนะของมนุษย์
มันแสดงให้เห็นถึงความกระหายในชีวิตที่ดีขึ้นของมนุษย์เช่นเดียวกับการแสวงหาความสุข
เฉียวซื่อหลิวเล่าเรื่องนี้ให้ฟางหยวนฟังและอธิบายเกี่ยวกับประเพณีของเทศกาลไหว้พระจันทร์อย่างผ่อนคลาย ทั้งยังบอกเหตุผลที่เทศกาลไหว้พระจันทร์ของภาคใต้ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้วิญญาณหรือมนุษย์จะต้องชงชา ท่องบทกวี และผ่าหิน
“เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจ ขอบคุณเทพธิดาซื่อหลิวที่ตอบข้อสงสัยของข้า” ฟางหยวนกล่าวอย่างสุภาพ
เฉียวซื่อหลิวยิ้ม “เหตุใดต้องสุภาพนัก เรียกข้าว่าซื่อหลิว”
“หือ?” ดวงตาของลั่วมู่ซือเบิกกว้าง
ทัศนคติของเฉียวซื่อหลิวที่มีต่อวูอี้ไห่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับวิธีที่นางปฏิบัติต่อชายหนุ่มอีกสองคน
“เราดื่มชาแล้ว ตอนนี้มาท่องบทกวีกันเถอะ” หลุนเฟยกล่าวและมองฟางหยวนด้วยสายตาที่เย็นชา
ดวงตาที่งดงามของเฉียวซื่อหลิวหันไปทางหลุนเฟย “หลุนเฟย เจ้าช่างกระตือรือร้นนัก เช่นนั้นข้าของฟังผลงานของเจ้าเป็นคนแรก”
หลุนเฟยหัวเราะอย่างมีความสุข เขาเร่งตอบ “เช่นนั้นข้าก็ขอเสนอผลงานทั่วๆไปของข้า”
เขายืนขึ้นและค่อยๆเดินออกไปนอกศาลาขณะท่องบทกวี
ก้าวเข้าสู่สังคมในฐานะเด็กหนุ่มที่โง่เขลา
ข้าเดินไปข้างหน้าด้วยตนเองทีละก้าว
แต่คืนนี้ข้าไม่ได้ดื่มเพียงลำพัง
เพราะความฝันที่งดงามของข้าอยู่ใต้แสงจันทรา
หลุนเฟยในชุดสีฟ้าท่องบทกวีของเขาอย่างช้าๆ
หลังจากท่องบทกวีจนจบ เขาก็เดินกลับเข้าไปข้างใน
เฉียวซื่อหลิวสัมผัสได้ถึงความหลงใหลที่อยู่ในดวงตาของหลุนเฟย ดังนั้นนางจึงเร่งเบี่ยงสายตาไปทางฟางหยวน
อย่างไรก็ตามฟางหยวนไม่ได้มองนางและไม่แสดงความเกลียดชังต่อหลุนเฟย เขาเพียงดื่มชาอย่างเงียบๆเท่านั้น
นี่ทำให้เกิดร่องรอยของความผิดหวังขึ้นในดวงตาของเฉียวซื่อหลิว
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1319 แข่งขันท่องบทกวี
แปลโดย iPAT
“บทกวีที่ดี” เทพธิดาเถียนลู่หัวเราะ “โดยเฉพาะประโยคสุดท้าย ข้าคิดว่ามันต้องกล่าวถึงข้าอย่างแน่นอน ฮ่าฮ่า”
นางทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลง
หลุนเฟยเผยรอยยิ้มขมขื่นและนั่งลง “โปรดอย่าสนใจบทกวีที่หยาบคายของข้า”
“หลุนเฟย เจ้าถ่อมตัวเกินไป เอาล่ะ ข้าก็มีบทกวีเช่นกัน” ลั่วมู่ซือกล่าว
“โอ้ เช่นนั้นก็ขอให้เราได้ฟังมัน” เฉียวซื่อหลิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ลั่วมู่ซือเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะท่องบทกวีอย่างช้าๆ
ปีนภูเขาเพื่อแสวงหาความเป็นอมตะ
อันตรายอยู่ในทุกย่างก้าว
ละอองฝุ่นลอยคละคลุ้งเหมือนแสง
วิญญาณความมืดแฝงอยู่ในหัวใจ
ความฝันดั่งหยกทอง
พันปีแห่งความเหงา
ห้าภูมิภาคและเก้าสวรรค์
ทุกสิ่งอยู่ในลมหายใจเดียวกัน
แนวคิดและจินตนาการในบทกวีนี้ทำให้กลุ่มผู้อมตะต้องขบคิดอย่างระมัดระวัง
อันตรายอยู่ในทุกย่างก้าว ผู้อมตะจำเป็นต้องจัดการภัยพิบัติและบ่มเพาะอย่างยากลำบาก พวกเขาต้องทุ่มเทความพยายามในการจัดการมิติช่องว่างของตน มันเหมือนกับการปีนภูเขา ยิ่งสูงก็ยิ่งอันตราย
ละอองฝุ่นลอยคละคลุ้งเหมือนแสง ความหมายคือเวลามักผ่านไปอย่างรวดเร็ว มนุษย์ก็เหมือนกับฝุ่นที่ลอยอยู่
วิญญาณความมืดแฝงตัวอยู่ในหัวใจ บนพื้นผิวมันหมายถึงผู้อมตะที่เก็บวิญญาณอมตะและวิญญาณระดับมนุษย์ไว้ในมิติช่องว่าง แต่ผู้อมตะในที่นี่ล้วนมีภูมิหลังที่ลึกซึ้ง ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถดื่มด่ำกับความหมายที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
วิญญาณความมืดหมายถึงความพ่ายแพ้ ความล้มเหลว การประนีประนอม ความผิดหวัง และความรู้สึกด้านลบทั้งหมด
มนุษย์คิดว่าผู้อมตะมีชีวิตที่ดีแต่ผู้อมตะต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากที่พวกเขาไม่รู้
ผู้อมตะต้องอดทนต่อแรงกดดันมหาศาลในการบ่มเพาะของตน มันหลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับพวกเขาที่จะเกิดความรู้สึกในแง่ลบ แม้แต่เทพอมตะหรือเทพปีศาจก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ความฝันเหมือนหยกทอง พันปีแห่งความเหงา มันหมายถึงความมั่งคั่งทุกชนิดเป็นเพียงเรื่องผิวเผินเช่นความฝัน เมื่อเวลาผ่านไป ความรัก ความเกลียดชัง และความรู้สึกทั้งหมดจะหายไป มันแสดงให้เห็นว่าบทกวีมองการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างเฉยเมย
ประโยคสุดท้าย ห้าภูมิภาคและเก้าสวรรค์ ทุกสิ่งอยู่ในลมหายใจเดียว มันเต็มไปด้วยพลังอำนาจ ความยิ่งใหญ่ และอีกมากมาย ตราบเท่าที่มนุษย์ยังมีลมหายใจเหลืออยู่ พวกเขาก็ยังมีชีวิต เมื่อสูญเสียลมหายใจ พวกเขาจะตาย ผู้คนต่างดิ้นรนและต่อสู้เพื่อลมหายใจเดียว ทุกคนพยายามทำงานอย่างหนักเพื่อสนับสนุนตนเอง
เขาท่องบทกวีช้าๆก่อนจะเร่งความเร็วขึ้น นี่ทำให้ผู้ฟังค่อยๆคล้อยตาม
ชั่วขณะหนึ่งศาลาตกสู่ความเงียบ เหล่าผู้อมตะค่อยๆขบคิดเกี่ยวกับมัน
เฉียวซื่อหลิวคิดกับตนเอง ‘แปลก จากความเข้าใจของข้าเกี่ยวกับหลิวมู่ซือ เขาสามารถสร้างบทกวีนี้ได้อย่างไร เขาอาจขโมยผลงานของบางคนมา ฮืม เขาไม่ได้บอกว่ามันเป็นผลงานของเขา!’
ภายนอกลั่วมู่ซือดูสงบนิ่งและนั่งดื่มชาอย่างเงียบๆ แต่รอยยิ้มบนริมฝีปากของเขากลับเผยร่องรอยบางอย่างออกมา
เฉียวซื่อหลิวลอบเย้ยหยันแต่ไม่ได้เปิดเผยลั่วมู่ซือ
จากนั้นนางก็หันหน้าไปทางฟางหยวน
การแสดงออกของฟางหยวนแปลกประหลาดมาก
‘นี่คือบทกวีของฉีจื่อ เป็นไปได้อย่างไร!? ไม่ใช่ว่าถ้ำสวรรค์ของปีศาจอมตะฉีจื่อจะปรากฏขึ้นเมื่ออาณาจักรแห่งความฝันเฟื่องฟูในสงครามห้าภูมิภาคงั้นหรือ?’
‘แปลกมาก!’
ปีศาจอมตะฉีจื่อเป็นผู้เชี่ยวชาญจากอดีตกาล เขาเป็นผู้อมตะระดับแปดที่ทรงพลังและเคยต่อสู้กับเทพปีศาจไร้ขอบเขต ผลคือชนะหนึ่งครั้ง เสมอหนึ่งครั้ง และแพ้หนึ่ง
แน่นอนว่าเวลานั้นเทพปีศาจไร้ขอบเขตยังไม่บรรลุระดับเก้า
และในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย เทพปีศาจไร้ขอบเขตบรรลุระดับเก้าเรียบร้อยแล้ว แต่การต่อสู้ยังดำเนินไปถึงเก้าวันเก้าคืนก่อนที่ฝ่ายหลังจะพ่ายแพ้ อย่างไรก็ตามเทพปีศาจไร้ขอบเขตไม่ได้สังหารปีศาจอมตะฉีจื่อและปล่อยเขาไป
ในเวลานั้นเทพปีศาจไร้ขอบเขตกล่าวว่า “เจ้าเป็นศัตรูตัวฉกาจของข้า แต่หากไม่มีเจ้า ข้าก็คงไม่บ่มเพาะอย่างสิ้นหวังถึงเพียงนี้ เจ้ามีส่วนผลักดันให้ข้าก้าวเข้าสู่ระดับปัจจุบัน”
หลังจากได้รับการยอมรับและยกย่องจากเทพปีศาจไร้ขอบเขต ชื่อของปีศาจอมตะฉีจื่อก็ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์
เขาทิ้งถ้ำสวรรค์ไว้ให้คนรุ่นหลังและมันยังอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
ในชีวิตแรกของฟางหยวน อาณาจักรแห่งความฝันจำนวนมากปรากฏขึ้นในสงครามห้าภูมิภาค หลังจากกำแพงภูมิภาคหายไป การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ดังกล่าวทำให้ปราณสวรรค์พิภพเกิดความปั่นป่วน นี่ทำให้ถ้ำสวรรค์ที่ซ่อนอยู่มากมายปรากฏสู่โลกภายนอก
ถ้ำสวรรค์ของปีศาจอมตะฉีจื่อเผยตัวออกมาในสถานการณ์นี้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทันทีที่มันปรากฏขึ้น มันจะทำให้เกิดความโกลาหลมากเพียงใด
‘มันคือบทกวีของฉีจื่อที่ถูกจารึกไว้ในถ้ำสวรรค์ของเขา ลั่วมู่ซือรู้จักบทกวีนี้ได้อย่างไร?’
‘เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาเคยเข้าไปในถ้ำสวรรค์ฉีจื่อมาก่อน!’
ความคิดของฟางหยวนค่อนข้างว้าวุ่น
ถ้ำสวรรค์ฉีจื่อมีมรดกที่แท้จริงระดับเดียวกับของโป้ชิงอยู่ภายใน กระทั่งไห่ฟานก็ยังไม่สามารถแข่งขัน
‘หากข้าได้รับมรดกที่แท้จริงนี้…’
‘ข้าจะได้รับมรดกที่แท้จริงของฉีจื่อด้วยการฆ่าลั่วมู่ซือผู้นี้หรือไม่?’
เจตจนาสังหารเกิดขึ้นในใจของฟางหยวนอีกครั้ง
โดยไม่รู้ความคิดของฟางหยวน ลั่วมู่ซือชำเลืองมองฟางหยวนด้วยใบหน้าท้าทาย “ข้าสงสัยว่าท่านวูอี้ไห่มีผลงานที่ยอดเยี่ยมหรือไม่? เรากำลังรออยู่”
“นั่นเป็นเรื่องปกติ” หลุนเฟยเร่งกล่าว “ต้นกำเนิดของท่านวูอี้ไห่ไม่ธรรมดา เขามีประสบการณ์มากมายและยิ่งไปกว่านั้นทะเลตะวันออกยังมีทรัพยากรมากมาย ข้าคงไม่สามารถเปรียบเทียบความสำเร็จด้านวิชาการกับท่านวูอี้ไห่”
ทั้งสองยกย่องฟางหยวนด้วยถ้อยคำที่ไพเราะแต่มันเต็มไปด้วยเจตนาร้าย
เฉียวซื่อหลิวตระหนักถึงเรื่องนี้ แต่นางไม่ได้ปกป้องฟางหยวนและยังสนับสนุน “ข้าอยากฟังบทกวีของท่านจริงๆ ข้าแน่ใจว่ามันต้องน่าสนใจและพิเศษอย่างแน่นอน”
“ถูกต้อง”
ฟางหยวนถูกกดดันอยู่ชั่วครู่ เขาถูจมูกและเผยรอยยิ้มขมขื่น “สหาย พวกท่านประเมินข้าสูงเกินไป ข้าจะมีบทกวีได้อย่างไร ข้าไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไร?”
“วูอี้ไห่ เจ้าถ่อมตนเกินไป!” ลั่วมู่ซือหัวเราะ
ฟางหยวนยักไหล่ “ข้ากล่าวเรื่องจริง ข้าไม่รู้กระทั่งว่าพวกเราต้องท่องบทกวีเพื่อชื่นชมดวงจันทร์”
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น วูอี้ไห่ เหตุใดเจ้าไม่สร้างมันขึ้นมาตอนนี้ มันต้องเป็นผลงานชั้นยอดอย่างแน่นอน อย่ากังวล หากมันต้องใช้เวลาอยู่บ้าง เราทุกคนก็ยินดีที่จะรอ” หลุนเฟยไม่ปล่อยโอกาสโจมตีฟางหยวน
ฟางหยวนถอนหายใจ
แน่นอนว่าเขามีบทกวีมากมายอยู่ในหัว
พวกมันเพียงพอที่จะจัดการผู้อมตะเหล่านี้
แต่…
แต่แล้วอย่างไร?
ฟางหยวนมองไปรอบๆ
ลั่วมู่ซือและหลุนเฟยรักเฉียวซื่อหลิวโดยธรรมชาติ พวกเขาถือว่าฟางหยวนเป็นคู่แข่งที่น่ารังเกียจ ทั้งคู่ตกลงร่วมมือกันโดยปริยายเพื่อเอาชนะฟางหยวน มันจะมีสิ่งใดดีขึ้นที่จะต่อสู้กับผู้แพ้?
เทพธิดาเถียนลู่เป็นสหายที่ดีที่สุดของเฉียวซื่อหลิวและทำงานหนักเพื่อช่วยเฉียวซื่อหลิว สำหรับคนรักของนาง เขาไม่กล่าวสิ่งใดและจิบชาอยู่อย่างเงียบๆ นี่เป็นแสดงให้เห็นถึงความฉลาดของเขา
ด้านเฉียวซื่อหลิว…
เทพธิดาผู้นี้มีทั้งรูปลักษณ์และภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่ นางยังเป็นหนึ่งในสามผู้อมตะหญิงที่งดงามที่สุดของภาคใต้ นางย่อมมีความภาคภูมิใจโดยธรรมชาติ
ตระกูลเฉียวอาจสั่งให้นางเข้าหาฟางหวนแต่นางมีวิธีการของตนเอง
นางวางแผนจัดงานเทศกาลไหว้พระจันทร์ขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน ไม่เพียงรายละเอียดเล็กๆเรื่องการจัดที่นั่ง แต่นางยังพาสหายสนิทมาช่วยสนับสนุนและสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือนางเชิญหลุนเฟยและลั่วมู่ซือมาด้วย
เมื่อชายสองคนแข่งขันกันเพื่อแย่งหญิงงาม แม้นางจะเป็นหมู พวกเขาก็ต้องคิดว่านางยอดเยี่ยม มันจะทำให้เกิดการแข่งขันและผู้ชนะจะได้ชื่นชมหมูตัวนี้
มันคือการทำให้ตัวนางมีคุณค่ามากขึ้น
เฉียวซื่อหลิวตระหนักถึงตรรกะนี้ ดังนั้นนางจึงจัดงานนี้ขึ้นมาเพื่อกระตุ้นความคิดของฟางหยวน เมื่อฟางหยวนเริ่มไล่ตามนาง นางก็จะตกลงและกลายเป็นภรรยาของฟางหยวน
หากเป็นวูอี้ไห่ตัวจริง เขาอาจตกหลุมพรางไปแล้ว
น่าเสียดายที่คนที่นางกำลังเผชิญหน้าอยู่คือฟางหยวน
ฟางหยวนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลวูและตระกูลเฉียวรวมถึงแผนการของตระกูลเฉียว
ด้วยความเข้าใจนี้ ฟางหยวนจึงมีข้อได้เปรียบและสามารถเลือกกลยุทธ์ ขณะที่ลั่วมู่ซือและหลุนเฟยเป็นเพียงตัวตลกริมถนน
ผู้อมตะทั้งหมดมองฟางหยวนและสร้างแรงกดดันให้เขา
‘ลั่วมู่ซือและหลุนเฟยต้องการให้ข้าอับอาย เฉียวซื่อหลิวต้องการให้ข้ายอมรับการท้าทาย บางทีนางอาจไม่พอใจเล็กน้อย เพราะความงามนี้ น้ำทะเลยังหยาบคายเกินไป’
ฟางหยวนคิดก่อนกล่าว “เช่นนั้นข้าก็จะท่องบทกวี โปรดอย่าหัวเราะ”
“พวกเรากำลังฟังอยู่!”
“พวกเรารออยู่นานแล้ว!”
ลั่วมู่ซือและหลุนเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ในเวลาต่อมาพวกเขาก็ได้ยินบทกวีของฟางหยวน
“โอ้ ทะเลกว้างใหญ่ เจ้าถูกสร้างขึ้นมาจากน้ำ”
“โอ้ เจ้าม้า เจ้ามีสี่ขา”
“โอ้ คนงาม เจ้ามีดวงตาและปาก”
บทกวีจบลงเพียงเท่านี้
ทั้งศาลาเงียบกริบ!
การแสดงออกของทุกคนดูเหมือนแข็งทื่อ
แม้แต่เฉียวซื่อหลิวและเทพธิดาเถียนลู่ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
‘นี่ นี่ นี่…นี่มันเรื่องบัดซบใด!?’
‘นี่คือบทกวีงั้นหรือ? ขยะ!’
‘วูอี้ไห่เป็นคนป่าเถื่อนจริงๆ’
‘นี่มันเรื่องไร้สาระอันใด!? ชื่นชมดวงจันทร์ ท่องบทกวี มันเป็นเหตุการณ์ที่สง่างาม แต่ตอนนี้มันพังทลายลงอย่างสมบูรณ์!’
กลุ่มผู้อมตะกรีดร้องอยู่ภายใน
ฟางหยวนยิ้มและมองเฉียวซื่อหลิว “ข้าสงสัยว่าเทพธิดาซื่อหลิวพอใจหรือไม่?”
‘พอใจ? เจ้าต้องบ้าไปแล้ว’
‘เจ้ายังกล้าถามคำถามนี้อีกงั้นหรือ? เจ้าช่างอุกอาจนัก!’
ลั่วมู่ซือและหลุนเฟยคำรามอยู่ในใจแต่ภายนอกพวกเขายังสงบนิ่ง
ศาลายังเงียบเช่นเดิม
“อา…ฮ่าฮ่า…” เฉียวซื่อหลิวหัวเราะแม้จะฟังดูเหมือนถูกบังคับก็ตาม “บทกวีนี้พิเศษจริงๆ บอกตามตรง…ข้าไม่เคยได้ยินบทกวีเช่นนี้มาก่อน มันคู่ควรกับการที่ท่านเป็นผู้สร้างสรรค์จริงๆ…ตอนนี้เมื่อข้าพิจารณาอย่างรอบคอบ มันค่อนข้างตลกจริงๆ”
ลั่วมู่ซื่อ “…”
หลุนเฟย “…”
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1320 โปรดประเมิน
แปลโดย iPAT
ลั่วมู่ซือและหลุนเฟยพูดไม่ออก
พวกเขาต้องการวิจารณ์ฟางหยวนอย่างรุนแรง แต่เมื่อเฉียวซื่อหลิวกล่าวเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่สามารถกล่าวเป็นอื่น มิฉะนั้นมันจะทำให้เฉียวซื่อหลิวสูญเสียใบหน้า
ลั่วมู่ซือและหลุนเฟยรู้สึกเหมือนกำลังอมแมลงวันไว้ในปากและไม่สามารถคายออกมา
ฟางหยวนหัวเราะและมองไปรอบๆ
เฉียวซื่อหลิวรักษารอยยิ้มไว้บนใบหน้าขณะที่เทพธิดาเถียนลู่แสดงออกด้วยความกังวล สายตาของนางปรากฏถึงความเห็นอกเห็นใจ ในฐานะสหายสนิทของเฉียวซื่อหลิว เทพธิดาเถียนลู่จะไม่ทราบเจตนาของนางได้อย่างไร? หลังจากทั้งหมดฟางหยวนไม่ได้งับเหยื่อ ดังนั้นพวกนางจึงไม่สามารถทำสิ่งใด
สำหรับลั่วมู่ซือและหลุนเฟย การแสดงออกของพวกเขาดูแข็งทื่อและค่อนข้างตลก
ฟางหยวนมองคนทั้งสอง “เป็นอย่างไรบ้าง บทกวีของข้าไม่เลวใช่หรือไม่?”
‘ไม่เลว!?’
ดวงตาของลั่วมู่ซือและหลุนเฟยเบิกกว้างและจ้องมองคนไร้ยางอายที่อยู่ตรงหน้า
แต่หลังจากนั้นเขาก็ได้ยินฟางหยวนกล่าวต่อ “แม้ข้าจะมีแรงบันดาลใจและสามารถสร้างสรรค์บทกวีที่ซื่อหลิวพึงพอใจ แต่ข้ายังต้องการฟังความคิดเห็นของพวกท่าน”
‘สร้างสรรค์? สิ่งไร้สาระนี้สามารถเรียกว่าบทกวีงั้นหรือ? เจ้าต้องการฟังความคิดเห็นงั้นหรือ?’
‘ซื่อหลิว โอ้ ซื่อหลิว เหตุใดเจ้าถึงให้เกียรติคนไร้ยางอายผู้นี้นัก? เฮ้ แล้วผู้ใดให้เจ้าพูดจากับนางอย่างใกล้ชิดเช่นนี้!’
ลั่วมู่ซือและหลุนเฟยกรีดร้องอยู่ในใจ
แต่พวกเขาไม่สามารถแสดงออก พวกเขาต้องกล่าวถ้อยคำที่สุภาพเช่นเดียวกับเฉียวซื่อหลวิเพื่อไม่ทำให้นางอับอาย
สิ่งนี้ทำให้พวกเขารู้สึกรังเกียจยิ่งกว่าการกินแมลงวัน
ฟางหยวนเข้าใจอย่างชัดเจนว่ามันเป็นบทกวีขยะแต่ไม่ว่าอย่างไรลั่วมู่ซือกับหลุนเฟยก็ต้องแสดงความคิดเห็นในทางที่ดี
“บทกวีนี้…อา…มัน…ชัดเจน…เข้าใจง่าย…และ…ท่องง่าย…” ลั่วมู่ซือพูดตะกุกตะกัก สีหน้าของเขาดูไม่น่ามองมากขึ้นเรื่อยๆ
ฟางหยวนพยักหน้าด้วยรอยยิ้มและหันไปทางหลุนเฟย “แล้วท่านคิดอย่างไร?”
หลุนเฟยมองฟางหยวนด้วยรอยยิ้มที่ดูเหมือนกระตุกเล็กน้อย เขากล่าวอย่างเฉยเมย “นี่เป็นบทกวีที่ดี”
คิ้วของฟางหยวนยกขึ้นข้างหนึ่ง เขาจะปล่อยให้คนผู้นี้หลุดลอยไปอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร เขาถามต่อ “มันดีอย่างไรงั้นหรือ?”
หลุนเฟยโกรธจัด ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำขณะที่เขากรีดร้องอยู่ภายใน ‘ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่ามันดีอย่างไร!? เพราะมันไม่มีสิ่งใดดีเลยแม้แต่น้อย! เจ้าสร้างขยะชิ้นนี้ขึ้นมาและยังต้องการคำชมอีกงั้นหรือ? สารเลว!’
หลุนเฟยต้องการปาถ้วยน้ำชาไปที่ใบหน้าของฟางหยวน มีเพียงสิ่งนี้ที่จะทำให้เขาระบายความโกรธออกมา
แต่เฉียวซื่อหลิวอยู่ข้างๆ หลุนเฟยจึงไม่สามารถทำเช่นนั้น
สิ่งสำคัญก็คือเขาไม่เหมือนลั่วมู่ซือเพราะเขาเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษ ในทางตรงข้ามวูอี้ไห่มีสถานะสูงส่ง เขามาจากตระกูลวูและยังเป็นน้องชายในสายเลือดของวูหยง!
หลุนเฟยทำได้เพียงระงับความโกรธของตนขณะที่เขาเค้นสมองคิดถ้อยคำที่เขาจะประเมินบทกวีของฟางหยวน
“ข้ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้าร่วมในเทศกาลไหว้พระจันทร์ในครั้งนี้ ข้าไม่เคยคิดเลยว่าตนเองจะสามารถสร้างสรรค์บทกวี” ฟางหยวนเผยรอยยิ้มให้กับเฉียวซื่อหลิวอย่างมีความหมาย
จิตใจของเฉียวซื่อหลิวสั่นสะท้านเล็นน้อย นางยิ้มตอบ “ต่อไปคือการผ่าหิน บางทีท่านอาจได้รับผลประโยชน์มหาศาล”
“แน่นอน ข้าคาดหวังกับมันมากที่สุด เรามาผ่าหินกันเถอะ” เทพธิดาเถียนลู่ช่วยเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว
“ข้าเตรียมหินไว้มากมาย ทุกท่านโปรดเลือก” เฉียวซื่อหลิวต้องเตรียมมาโดยธรรมชาติ
บรรยากาศในศาลาเริ่มผ่อนคลายลง
ลั่วมู่ซือและหลุนเฟยถอนหายใจด้วยความโล่งอก อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องสรรเสริญบทกวีขยะของฟางหยวนอีกต่อไป
หินที่เฉียวซื่อหลิวเตรียมไว้มีขนาดต่างกัน พวกเขาผลักกันเลือกหินและผ่ามันทันทีเพื่อดูว่ามีวิญญาณอยู่ภายในหรือไม่
เกี่ยวกับวิญญาณระดับมนุษย์ มันเป็นเรื่องง่ายมากที่ผู้อมตะจะได้รับ
ด้วยเหตุนี้บรรยากาศจึงค่อนข้างผ่อนคลาย พวกเขาจะไม่รู้สึกจริงจังเหมือนผู้ใช้วิญญาณ
โดยธรรมชาติแล้วนี่เป็นเรื่องของผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์เท่านั้น เนื่องจากผู้อมตะมีวิธีการมากมายในการตรวจสอบหินเหล่านั้นว่ามีวิญญาณอยู่ภายในหรือไม่ อย่างไรก็ตามในงานเทศกาลไหว้พระจันทร์ พวกเขาจะไม่กลโกงและอาศัยเพียงโชคของตนเองเท่านั้น
มันเป็นเพียงการละเล่นที่สนุกสนาน
แต่ความหมายของมันแตกต่างออกไปสำหรับลั่วมู่ซือและหลุนเฟย
พวกเขากำลังต่อสู้กับฟางหยวนอย่างลับๆ แต่ผลที่ปรากฏคือพวกเขาแทบกระอักเลือด ผลของการผ่าหินของฟางหยวนยังเป็นที่หนึ่งตั้งแต่ต้นจนจบ
การผ่าหินโดยอาศัยสายตาอันเฉียบแหลมของผู้ใช้วิญญาณ ฟางหยวนไม่ขาดแคลนทักษะในด้านนี้ เขาเริ่มเข้าบ่อนการพนันมาตั้งแต่ชีวิตแรก
โดยไม่ต้องกล่าวถึงโชค
เขาเชื่อมโยงโชคกับผู้โชคดีอีกหลายคน ตัวเขาเอายังได้รับโชคจากวิญญาณอมตะโชคอึสุนัข แล้วเขาจะไม่โชคดีได้อย่างไร
แต่เขาก็เหนือกว่าคนอื่นๆเพียงเล็กน้อย
คนที่กดดันเขามากที่สุดคือลั่วมู่ซือ
คนผู้นี้ไม่ได้เป็นผู้บ่มเพาะสันโดษ เขามาจากหนึ่งในกองกำลังใหญ่ของภาคใต้ ตระกูลลั่ว
สายตาของเขาแหลมคมมาก โชคของเขาก็ค่อนข้างดี ผลงานของเขาด้อยกว่าฟางหยวนเพียงเล็กน้อย
‘ดูเหมือนเขาจะค่อนข้างโชคดี’
‘มิฉะนั้นเขาคงไม่รู้จักบทกวีของฉีจื่อ…’
ฟางหยวนคิดกับตนเอง
มันไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาที่จะจัดการหลุนเฟย แต่ลั่วมู่ซือแตกต่างออกไป เขาเป็นสมาชิกของตระกูลลั่ว
แน่นอนว่าไม่ว่าเขาจะตัดสินใจทำสิ่งใด ตัวตนของวูอี้ไห่ก็ไม่สามารถเกี่ยวข้อง
เมื่อเทศกาลไหว้พระจันทร์สิ้นสุดลง มันก็ดึกมากแล้ว
ทุกคนอำลาและแยกย้ายกันไป
“ข้าจะไปส่งท่าน” เฉียวซื่อหลิวกล่าวกับฟางหยวน
ดวงตาของลั่วมู่ซือและหลุนเฟยกลายเป็นแดงก่ำ
“ไปกันเถอะ!” ลั่วมู่ซือและหลุนเฟยเคยเป็นคู่แข่งที่เกลียดชังกัน แต่หลังจากคืนนี้พวกเขาได้บรรลุข้อตกลงอย่างเงียบๆ
ผู้อมตะสี่คนออกจากศาลาตามลำดับโดยทิ้งเทพธิดาเถียนลูและคนรักของนางเอาไว้
“เห้อ…” เทพธิดาเถียนลู่ถอนหายใจ “เทศกาลไหว้พระจันทร์คืนนี้ช่างเหน็ดเหนื่อยนัก”
“มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้” คนรักของนางปลอบใจ
ทั้งสองจับมือกันและเผยรอยยิ้มจากนั้นจึงก้าวขึ้นไปบนก้อนเมฆและจากไป
“วูอี้ไห่ผู้นี้เป็นคนบ้าอย่างสมบูรณ์ เขาแต่งบทกวีได้บัดซบนัก! สิ่งนั้นไม่สามารถเรียกว่าบทกวี!” ลั่วมู่ซือเต็มไปด้วยความโกรธ
“แต่เทพธิดาซื่อหลิวมีมุมมองที่แตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง!” หลุนเฟยกัดฟัน
“หึ มุมมองที่แตกต่างงั้นหรือ? คุณค่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือตัวตนของเขา!” ลั่วมู่ซือกล่าวด้วยความอิจฉาเล็กน้อย
การแสดงออกของหลุนเฟยเต็มไปด้วยความมุ่งร้าย “ข้าจะไม่สามารถข่มตาหลับหากวูอี้ไห่ยังสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุข!”
ระหว่างทางลั่วมู่ซือและหลุนเฟยพูดคุยกันอย่างเผ็ดร้อน
“โอ้ เจ้ามีความคิดอย่างไร? ตระกูลวูกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาจากทุกทิศทาง แต่พวกเขาก็ยังสามารถรักษาสถานะ หากเจ้าต้องการต่อต้านวูอี้ไห่ เจ้าต้องพิจารณาถึงตระกูลวูไม่ว่าจะในที่สาธารณะหรือเป็นการส่วนตัว วูหยงอยู่เบื้องหลังวูอี้ไห่ เราต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์นี้” ลั่วมู่ซือเป็นผู้อมตะฝ่ายธรรมะ เขาตระหนักถึงความยากลำบากนี้
หากพวกเขาประเมินความสัมพันธ์นี้สูงเกินไป พวกเขาจะไม่สามารถทำสิ่งใดกับวูอี้ไห่ แต่หากพวกเขาประเมินต่ำเกินไป ผู้ใดจะสามารถรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
หลุนเฟยขบริมฝีปากและคิด ‘ผู้อมตะฝ่ายธรรมะจะกังวลทุกสิ่ง ในทางกลับกันฝ่ายปีศาจสามารถดำเนินการได้ทุกอย่าง’
อย่างไรก็ตามหลุนเฟยไม่ใช่ปีศาจอมตะ เขาเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษที่มีแนวโน้มที่จะเข้าสู่ฝ่ายธรรมะ
หลุนเฟยเย้ยหยัน “เราไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวด้วยตนเอง เทพธิดาซื่อหลิวเป็นที่หมายปองของผู้ชายมากมาย เราจะแจ้งคนเหล่านั้น พวกเขาจะต้องโกรธมากโดยเฉพาะเมื่อเทพธิดาซื่อหลิวไม่ได้เชิญพวกเขามาในครั้งนี้”
“เจ้ากำลังพูดถึงคนตระกูลจื่องั้นหรือ?” การแสดงออกของลั่วมู่ซือกลายเป็นซับซ้อน
ผู้อมตะตระกูลจื่อเคยเป็นคู่แข่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก่อนหน้านี้ลั่วมู่ซือเกลียดชังเขามาก แต่ตอนนี้เขากำลังจะใช้ประโยชน์จากคนผู้นี้เพื่อมอบบทเรียนให้กับวูอี้ไห่
“แม้วูอี้ไห่จะสามารถเอาชนะเซี่ยเฟยกุ้ย แต่มันเป็นเพราะเขามีข้อมูลของฝ่ายตรงข้าม หากเขาแข็งแกร่งจริง เขาจะสามารถยึดหอยภูเขาและไม่จำเป็นต้องเจรจากับสัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขา คนตระกูลจื่อแข็งแกร่งกว่าวูอี้ไห่อย่างแน่นอน นอกจากนี้เขายังเกลียดชังทุกคนที่ยุ่งเกี่ยวกับเทพธิดาซื่อหลิว” หลุนเฟยกล่าว
ลั่วมู่ซือตัดสินใจ “เอาล่ะ เราจะแจ้งจื่อซานเกี่ยวกับเรื่องในวันนี้!”
เฉียวซื่อหลิวไปส่งฟางหยวนก่อนที่นางจะกล่าวลาอย่างไม่เต็มใจ
แต่นางกลับไปที่ตระกูลเฉียวไม่ใช่ศาลาเดิม
นางไปพบผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลเฉียว
นี่คือตัวละครที่ช่วยฟางหยวนให้กลับเข้าสู่ตระกูลวูก่อนหน้านี้
ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลเฉียววางถ้วยชาลงอย่างช้าๆ “แม้วูอี้ไห่จะเติบโตขึ้นในทะเลตะวันออกแต่เขายังเป็นบุตรชายของวูตู๋ซิ่ว เจ้าคิดอย่างไร?”
เฉียวซื่อหลิวหรี่ตาก่อนกล่าว “ข้าเห็นด้วย”
ฟางหยวนบังคับให้คนทั้งสองชื่นชมบทกวีขยะของเขา นี่คือการโจมตีทางอ้อม
เฉียวซื่อหลิวตระหนักดีว่านี่คือการเผชิญหน้าระหว่างผู้คนของฝ่ายธรรมะ มันเต็มไปด้วยรอยยิ้มแต่แท้จริงแล้วมันคือการต่อสู้ในที่มืด
ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลเฉียวถอนหายใจ “ตระกูลเฉียวของเราเป็นพันธมิตรกับตระกูลวูมาตลอด แต่เรายังไม่สามารถเจาะลึกเข้าไปในแกนกลางของพวกเขา ตอนนี้วูอี้ไห่เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
เฉียวซื่อหลิวกัดริมฝีปาก สายตาของนางเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ แต่นางยังพยักหน้า “ข้าเข้าใจ”
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1321 ใช้งานได้แต่ไม่สามารถเชื่อใจ
แปลโดย iPAT
เทศกาลไหว้พระจันทร์ผ่านไปแต่ฟางหยวนยังอยู่ข้างนอก
เขาเริ่มเข้าหาเฉียวซื่อหลิว แม้ฝ่ายหลังจะไม่เต็มใจ แต่เมื่อมันเป็นคำสั่งของตระกูล นางจึงไม่สามารถปฏิเสธฟางหยวน
ข่าวลือเริ่มแพร่กระจายออกไปทีละเล็กทีละน้อย
วูอี้ไห่กับเฉียวซื่อหลิวสนิทสนมกันมากและมักจะไปเดินเล่นชมทิวทัศน์กันเสมอ
ไม่ว่าจะเป็นวูอี้ไห่น้องชายของวูหยงหรือเฉียวซื่อหลิวหนึ่งในสามเทพธิดาของภาคใต้ พวกเขาต่างมีชื่อเสียงโด่งดังทั้งคู่
การกระทำของพวกเขาถูกพูดถึงในวงกว้าง
กลุ่มชายที่ชื่นชอบเฉียวซื่อหลิวไม่พอใจ แต่พวกเขาก็ต้องยอมรับว่าวูอี้ไห่เป็นคู่แข่งที่น่ากลัว โดยไม่ต้องกล่าวถึงสิ่งใด เพียงความสัมพันธ์ของตระกูลวูและตระกูลเฉียว วูอี้ไห่ก็มีข้อได้เปรียบมากแล้ว
ในความเป็นจริงฟางหยวนไม่ต้องการมีชื่อเสียง มันจะดีที่สุดหากเขาสามารถกดชื่อเสียงของวูอี้ไห่ให้อยู่ในระดับต่ำที่สุด
น่าเสียดายที่สถานการณ์ไม่เป็นไปตามความปรารถนาของเขา เนื่องจากเฉียวซื่อหลิว ชื่อเสียงของฟางหยวนจึงขจรขจายออกไป
สถานการณ์นี้ส่งผลต่อฟางหยวนในไม่ช้า
มีผู้คนพยายามอนุมานเกี่ยวกับเขามากขึ้น
มันยากที่จะจัดการสถานการณ์นี้ด้วยเพียงวิญญาณอมตะขีดจำกัดความมืด
ฟางหยวนมักวางมิติช่องว่างลงและเข้าไปซ่อนตัวอยู่ที่นั่น
มิติช่องว่างแยกออกจากโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์ ตราบเท่าที่ฟางหยวนไม่ออกมา การอนุมานจะเป็นเรื่องยาก
เว้นเพียงบางคนจะมีวิธีการพิเศษเช่นท่าไม้ตายอมตะสัมผัสแห่งโชคของฟางหยวน
อย่างไรก็ตามนี่ทำให้ฟางหยวนสามารถวางมิติช่องว่างลงได้บ่อยครั้งและค่อยๆดูดซับปราณสวรรค์พิภพทีละเล็กทีละน้อยเพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับมิติช่องว่างจักรพรรดิ
นอกจากนั้นฟางหยวนยังใช้ช่องทางของตระกูลวูเพื่อสืบข้อมูลของลั่วมู่ซือและหลุนเฟย
มันยังไม่ใช่เวลาที่เขาจะเคลื่อนไหว แต่มันไม่เสียหายที่จะรวบรวมข้อมูลของเป้าหมายเอาไว้ล่วงหน้า
ผู้อมตะมีวิธีการที่ลึกลับมากมาย หากประมาทเพียงเล็กน้อย พวกเขาอาจล้มเหลวอย่างน่าสังเวช
ฟางหยวนระวังตัวเสมอ แม้เขาจะมีแผนปลิดชีพลั่วมู่ซือและหลุนเฟย แต่เขาก็จะเริ่มหลังจากเข้าใจเป้าหมายอย่างถ่องแท้แล้วเท่านั้น
สิ่งสำคัญอีกประการก็คือเขาต้องสะสมความแข็งแกร่งสำหรับช่วงเวลาสำคัญ
ราชสีห์จะทุ่มเทพละกำลังทั้งหมดเพื่อล่ากระต่าย
ครึ่งเดือนผ่านไป วูหยงเรียกฟางหยวนเข้าพบอีกครั้ง
“น้องชาย ข้ามีงานเล็กน้อย เลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่ง” วูหยงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“ท่านพี่ โปรดออกคำสั่ง มันเป็นหน้าที่ของข้าที่จะช่วยเหลือตระกูล” ฟางหยวนตอบ
วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลบินออกมา ฟางหยวนเห็นภารกิจสามอย่าง
เมื่อเร็วๆนี้มีคนค้นพบว่าในส่วนลึกของภูเขาซวนหมิงดูเหมือนจะมีกลิ่นอายของวิญญาณอมตะป่า
ข้อมูลนี้ดึงดูดความสนใจของผู้บ่มเพาะสันโดษมากมายให้เดินทางไปที่นั่น
สิ่งสำคัญก็คือกองกำลังตระกูลหยางได้ส่งคนออกไปเช่นกัน
หากข้อมูลเป็นความจริง กองกำลังที่ได้รับวิญญาณอมตะ รากฐานของพวกเขาจะแข็งแกร่งขึ้น ตระกูลวูย่อมไม่ปล่อยโอกาสนี้ที่หลุดมือ
ปัจจุบันสถานการณ์ของตระกูลวูกลับสู่เสถียรภาพแล้ว
นอกจากนั้นภูเขาซวนหมิงยังอยู่ใกล้กับอาณาเขตของตระกูลวู แม้มันจะไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของพวกเขา แต่มันก็มีอาณาเขตติดกัน
หากตระกูลวูไม่ส่งผู้อมตะออกไป กองกำลังอื่นอาจคิดว่าตระกูลวูอ่อนแอลง
ดังนั้นวูหยงจึงต้องเคลื่อนไหว หากพวกเขาไม่ได้รับวิญญาณอมตะ พวกเขาก็ต้องทำลายมันและไม่ปล่อยให้มันตกอยู่ในมือของตระกูลหยาง
ภารกิจที่สองคือระดับน้ำในแม่น้ำมังกรแดงเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อไม่นานมานี้ หากไม่สามารถควบคุม มีเแนวโน้มที่มันจะทำให้เกิดอุทกภัย
หากเกิดอุทกภัย ทรัพยากรที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงจะถูกทำลาย สภาพแวดล้อมจะเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์
กองกำลังใหญ่ที่อยู่ใกล้แม่น้ำมังกรแดงให้ความสนใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
ส่วนหนึ่งของแม่น้ำมังกรแดงไหลผ่านอาณาเขตของตระกูลวู
พวกเขาต้องส่งผู้อมตะไปตรวจสอบสถานการณ์และพยายามป้องกันไม่ให้เกิดอุทกภัย
สำหรับภารกิจที่สาม ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองของตระกูลอี้กำลังจัดงานเลี้ยงวันเกิดครบรอบหนึ่งพันสองร้อยปีของเขา
ตระกูลวูจำเป็นต้องส่งผู้อมตะไปเป็นตัวแทนเพื่อมอบของขวัญวันเกิด
ตระกูลอี้เป็นตระกูลที่มีอำนาจ ฐานทัพใหญ่ของพวกเขาอยู่ที่ภูเขาหลินจือซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของภาคใต้และติดกับทะเลตะวันออก
ในความเป็นจริงตระกูลอี้มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับกองกำลังของทะเลตะวันออก
สำหรับตระกูลวู ฐานทัพใหญ่ของพวกเขาตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของภาคใต้ อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาอยู่ทางใต้ที่สุดของบรรดากองกำลังใหญ่ทั้งหมด
ตำแหน่งที่ตั้งของทั้งสองกองกำลังทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลอี้และตระกูลวูอยู่ในระดับที่ดีมาตลอด
ผูกมิตรกับศัตรูที่อยู่ห่างไกลและโจมตีศัตรูที่อยู่ใกล้ นี่เป็นหลักการพื้นฐาน
แม้หลายกองกำลังจะสร้างความยากลำบากให้แก่ตระกูลวู แต่ตระกูลอี้ไม่เคยเข้าร่วม เพื่อรักษาความสัมพันธ์นี้ ตระกูลวูต้องส่งผู้อมตะไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองของตระกูลอี้
“เจ้าตัดสินใจหรือยัง?” หลังจากไม่นาน วูหยงก็เปิดปากถาม
ฟางหยวนพยักหน้า “ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะเลือกงานที่สอง ความแข็งแกร่งของข้าไม่สูงมากนัก การเลือกไปภูเขาซวนหมิงอาจทำให้ข้าต้องต่อสู้กับผู้อมตะของตระกูลหยาง ตระกูลหยางมีความเชี่ยวชาญด้านจิตวิญญาณขณะที่ข้าไม่เก่งเรื่องนี้”
“แล้วเหตุใดไม่เลือกภารกิจที่สาม?” วูหยงถามด้วยรอยยิ้ม “แท้จริงแล้วสถานะของเจ้าเหมาะสมที่สุดสำหรับงานนี้ เพราะเจ้าเป็นน้องชายของข้า เจ้าจะได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นจากตระกูลอี้”
ฟางหยวนส่ายศีรษะและเผยรอยยิ้มขมขื่น “พี่ชายโปรดเห็นใจ งานเลี้ยงวันเกิดย่อมต้องมีตัวแทนจากกองกำลังมากมาย ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของตระกูลวู หากข้าไปร่วมงานเลี้ยง ผู้อมตะคนอื่นๆจะต้องสร้างปัญหาให้ข้าอย่างแน่นอน ข้าไม่สามารถจัดการพวกมันได้ทั้งหมด ความยากลำบากของข้าไม่ใช่สิ่งใด แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นคือข้าอาจทำให้ตระกูลสูญเสียใบหน้า นั่นจะเป็นบาปที่ใหญ่หลวงของข้า”
วูหยงหัวเราะ “ในเมื่อเจ้าไตร่ตรองแล้ว เราก็จะทำตามความต้องการของเจ้า”
“ท่านพี่ หากไม่มีเรื่องอื่นอีก ข้าขอลา”
“ไปเถอะ” วูหยงโบกมือ
ฟางหยวนกล่าว “หากแม่น้ำมังกรแดงล้นและกลายเป็นภัยพิบัติ มันจะทำให้สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนต้องพบกับความทุกข์ทรมาน นี่เป็นเรื่องสำคัญ หลังจากเตรียมตัว ข้าจะรีบไปที่นั่นทันที”
“ดี พักผ่อนได้ตามสบาย เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับเจ้า เจ้าต้องตัดสินใจให้ดี” วูหยงแสดงออกด้วยความมั่นใจในตัวฟางหยวน
“ข้าจะทำให้ดีที่สุด” ฟางหยวนยืนยันก่อนจะจากไป
อย่างไรก็ตามฟางหยวนไม่เห็นว่าหลังจากที่เขาจากมา รอยยิ้มของวูหยงกลับเลือนหายไปและถูกแทนที่ด้วยความผิดหวัง
‘สำเร็จ!’ หัวใจของฟางหยวนสั่นสะท้านขึ้นด้วยความยินดี แต่เขาไม่ได้แสดงออกมา
เขาเก็บของบางอย่างและรีบออกเดินทางไปทางเหนือทันที
ฟางหยวนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วแต่เพียงเมื่อเขาบินข้ามแม่น้ำมังกรเหลือง ผู้อมตะวูฝาก็เรียกเขาเอาไว้ “ท่านวูอี้ไห่ ช้าก่อน ข้ามีคำสั่งใหม่จากผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่ง”
ฟางหยวนลอบหัวเราะอยู่ภายใน ‘มาแล้ว!’
อย่างไรก็ตามภายนอกเขายังแสดงออกด้วยความประหลาดใจ เขาหยุดกลางอากาศและถามวูฝา “ผู้อาวุโสวูฝา เกิดสิ่งใดขึ้น?”
“เห้อ…” วูฝาถอนหายใจและแสดงออกด้วยความกังวล “มีคำกล่าวที่ว่าเมื่อฝนตกลงมา อุบัติเหตุมักเกิดขึ้นเสมอ ที่ค่ายกลวิญญาณ ตระกูลปาสร้างปัญหาให้กับพวกเรา ผู้อาวุโสวูเป่ยที่ประจำการอยู่ที่นั่นได้รับบาดเจ็บและไม่สามารถรักษาสถานการณ์ต่อไป ไม่ใช่ว่าท่านต้องการไปที่นั่นงั้นหรือ? ตอนนี้โอกาสมาถึงแล้ว!”
“ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งตัดสินใจเปลี่ยนผู้อาวุโสวูเป่ยกับท่านเพื่อให้ผู้อาวุโสวูเป่ยกลับมารักษาอาการบาดเจ็บ ท่านวูอี้ไห่โปรดกลับไปประจำการที่ค่ายกลวิญญาณด้วย”
ฟางหยวนขมวดคิ้วลึกราวกับเขาไม่ได้เตรียมใจกับเรื่องนี้เอาไว้ “สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ข้ายัง…”
ขณะที่กล่าวเช่นนี้เขาชำเลืองมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือโดยไม่รู้ตัวและกล่าวด้วยความลังเลา “แต่ปัญหาของแม่น้ำมังกรแดงค่อนข้างรุนแรง เราต้องรีบแก้ไข”
“ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งจัดการเรื่องนี้อย่างเหมาะสมแล้ว ท่านวูอี้ไห่ไม่จำเป็นต้องกังวล ตอนนี้ท่านต้องรีบไปยังค่ายกลวิญญาณ นี่คือจดหมายของท่านวูหยง ท่านสามารถไปยังภูเขาอี้เทียนโดยตรงและไม่จำเป็นต้องกลับไปที่ตระกูลวู” วูฝามอบวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับฟางหยวน
ฟางหยวนรับจดหมายและอ่านมัน
เนื้อหาในจดหมายเป็นเสียงของวูหยงที่บอกถึงสถานการณ์เลวร้ายที่ค่ายกลวิญญาณและต้องการให้ฟางหยวนไปที่นั่นทันที
ฟางหยวนถอนหายใจลึก “ดูเหมือนข้าจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องไป”
“โปรดรีบไป ท่านวูอี้ไห่” วูฝากล่าวด้วยความกังวล
ฟางหยวนส่ายศีรษะก่อนจะบินไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
วูฝามองฟางหยวนกระทั่งเขาหายตัวไปจากขอบฟ้า
จากนั้นเขาก็เผยรอยยิ้มเย้ยหยัน ทุกคนรู้ว่าภูเขาที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือคือภูเขาต้าเผิงซึ่งเป็นที่ตั้งของตระกูลเฉียว
วูฝากลับไปที่ตระกูลวูและรายงานวูหยง “ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่ง ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ท่านวูอี้ไห่เดินทางไปยังค่ายกลวิญญาณแล้ว”
วูหยงกำลังเขียนข้อความบนกระดาษอยู่บนโต๊ะทำงาน
เขาพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะหยุดสิ่งที่ทำอยู่ตรงหน้า
มีถ้อยคำเขียนไว้บนกระดาษ “ใช้งานได้แต่ไม่สามารถเชื่อใจ”
“นานมาแล้วเมื่อข้ายังเด็ก ท่านแม่ถามความคิดเห็นของข้าเกี่ยวกับตระกูลเฉียว ข้าตอบด้วยห้าคำนี้ ข้ายังจำรอยยิ้มของท่านแม่ได้อย่างชัดเจน” วูหยงถอนหายใจ “น่าเสียดายที่น้องชายของข้าไม่เข้าใจเรื่องนี้”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น