ลำนำบุปผาพิษ 1317-1326
บทที่ 1317 ช่วยชีวิต 3
แต่กู้ซีจิ่วไม่ยอม นางไม่อยากให้ผู้ใดแตะต้องร่างกายของตี้ฝูอี ยิ่งไปกว่านั้นการผ่าตัดที่แม่นยำเช่นนี้ หลัวจั่นอวี่เข้ามาแทรกไม่ได้จริงๆ เธอทำคนเดียวได้
หลัวจั่นอวี่ทำได้แค่ถอยไปด้านข้างอย่างเงียบๆ คอยยื่นพวกกรรไกรหรือปากคีบให้นางเป็นครั้งคราว
กู้ซีจิ่วไม่พูดจาอันใด และไม่ได้ถามไถ่อาการไป๋หลี่เช่อ นางลืมคนคนนั้นไปเสียสนิทแล้ว…
ความจริงวันนี้กู้ซีจิ่วเหนื่อยล้ายิ่งนัก ต่อสู้กับสัตว์ร้ายมาทั้งวัน โดยเฉพาะรอบสุดท้ายที่ตั้งกระบวนพลสู้กับมังกรปีศาจยิ่งเหนื่อยไม่เบา
เมื่อสักครู่ผ่าตัดให้ไป๋หลี่เช่อหนึ่งชั่วยามกว่า ตอนนี้ก็มาผ่าตัดให้ตี้ฝูอีอีก ยืนมาเกือบจะสองชั่วยามแล้ว…
หนึ่งชั่วยามเท่ากับสองชั่วโมง สามชั่วยามก็คือหกชั่วโมง
เที่ยงคืนแล้ว นางยังคงยุ่งอยู่
ถึงแม้นางใจเย็นมาตลอด ทว่าใบหน้าซีดเผือดและหน้าผากที่มีเหงื่อออกเผยให้เห็นสภาพที่แท้จริงของนาง
ในระหว่างนั้นหลัวจั่นอวี่คิดอยากจะเปลี่ยนตำแหน่งกับนาง แต่ก็ถูกนางปฏิเสธ
การผ่าตัดครั้งนี้ยาวนานเกือบสามชั่วยาม ถึงจะเสร็จสมบูรณ์อย่างแท้จริง
ห้องหัวใจที่ถูกแทงทะลุเข้าไปได้รับการรักษาเรียบร้อยแล้ว กระดูกซี่โครงที่หักก็ต่อติดแล้ว อวัยวะภายในอื่นๆ ซึ่งถูกกระแทกบุบสลายนางก็ใช้พลังวิญญาณรักษาให้หายแล้ว…
ถึงแม้การผ่าตัดจะเสร็จสิ้น แต่ตี้ฝูอียังไม่ฟื้นขึ้นมา ไม่มีการตอบสนองใดๆ
หลัวจั่นอวี่เห็นสีหน้ากู้ซีจิ่วไม่สู้ดีจริงๆ จึงบังคับนางไปพักผ่อน เขาจะอยู่ดูแลตี้ฝูอีตรงนี้เอง
กู้ซีจิ่วส่ายหน้าปฏิเสธอีกครั้ง นางดื่มน้ำอึกหนึ่งแล้วดึงเก้าอี้มานั่งลงข้างกายตี้ฝูอี ท่าทางประหนึ่งต้องการหยั่งรากอยู่ข้างกายเขา
หลัวจั่นอวี่หมดหนทาง ทำได้เพียงออกไปทำอาหารให้นางด้วยตัวเอง เมื่อทำเสร็จและยกเข้ามา ก็พบว่ากู้ซีจิ่วนั่งกุมมือตี้ฝูอีอยู่ตรงนั้น วางใบหน้าของตัวเองไว้กลางฝ่ามือข้างหนึ่งของเขา กำลังกระซิบว่า “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย อย่านอนหลับอีกเลยได้หรือไม่? ท่านฟื้นขึ้นมาก่อน ฟื้นขึ้นมาก่อน…ท่านนอนหลับแบบนี้ ข้ากลัว…”
เสียงของนางสะอึกสะอื้นเล็กน้อย “ตี้ฝูอี ข้ากลัว! ข้ากลัวจริงๆ…”
มือของเขาเย็นเฉียบตลอดเวลา สองมือกู้ซีจิ่วกุมมือเขาไว้ พยายามใช้อุณหภูมิของร่างกายตัวเองทำให้เขาอบอุ่น ใบหน้าของนางแนบชิดอยู่กับฝ่ามือของเขา หยาดน้ำตาก็ไหลรินลงบนผ่ามือเขาเช่นกัน
ดึกดื่นค่ำคืนที่เดียวดายเช่นนี้ ในที่สุดนางก็ทนดูแลเขาไม่ไหวแล้ว เผยให้เห็นความอ่อนแอของนาง…
หลัวจั่นอวี่จิตใจเป็นทุกข์เช่นกัน
น้องสาวคนนี้เข้ามาได้สิบกว่าวันแล้ว ทำการสิ่งใดแข็งแกร่งเด็ดขาด เขาไม่เคยเห็นนางกลัวอะไรมาก่อน ทว่าตอนนี้เขารับรู้ได้ถึงความกลัวของนาง!
นางกลัวตี้ฝูอีมีอันเป็นไป กลัวอย่างสุดชีวิต!
ยามนี้แม้แต่เจ้าหอยยักษ์กับลู่อู๋น้อยต่างก็เชื่อฟัง หลบอยู่ที่มุมหนึ่งไม่กล้าย่างกรายเข้ามารบกวน
หลัวจั่นอวี่ก้าวมาจับชีพจรของตี้ฝูอี ชีพจรเขายังคงไม่สม่ำเสมอ เต้นช้ายิ่งนัก คนปกติเต้นเจ็ดสิบถึงแปดสิบครั้งต่อนาที ของเขาเต้นสี่สิบครั้งโดยประมาณ เคราะห์ดีที่เต้นมีกำลังกว่าเมื่อสักครู่มากแล้ว เป็นข้อพิสูจน์ว่าการผ่าตัดของกู้ซีจิ่วสำเร็จลุล่วงด้วยดี
เขาปลอบใจกู้ซีจิ่ว “ซีจิ่ว ไม่ต้องกลัวไป ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายแข็งแกร่งยิ่งนัก น่าจะใกล้เป็นเทพแล้ว ชีวิตนี้เขาผ่านร้อนผ่านหนาวและความทนทุกข์ทรมานมากมาย ไม่ตายง่ายๆ หรอก…ตอนเขาเพิ่งเข้ามาก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่ก็ยังใช้ความสามารถของตัวเองคนเดียวจัดการทุกอย่างได้…”
ความจริงแล้วเมื่อสักครู่กู้ซีจิ่วเอาแต่สาละวนจะช่วยชีวิตคน จึงไม่ได้คิดว่าตี้ฝูอีเข้ามาเมื่อใด เข้ามาได้อย่างไรกันแน่ ยามนี้เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้จึงอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
หลัวจั่นอวี่จึงเล่าเหตุการณ์ตอนที่ตี้ฝูอีเข้ามาให้นางฟังคร่าวๆ
————————————————————-
บทที่ 1318 ช่วยชีวิต 4
หลัวจั่นอวี่จึงเล่าเหตุการณ์ตอนที่ตี้ฝูอีเข้ามาให้นางฟังคร่าวๆ กู้ซีจิ่วมองไปทางเจ้าหอยยักษ์ที่อยู่ตรงมุมห้อง เจ้าหอยยักษ์หดตัว “เจ้านาย ข้าพยายามอย่างที่สุดแล้ว…”
“ตอนเจ้าเจอข้าเหตุใดไม่บอกในทันทีว่าเขามาหาข้าโดยได้รับบาดเจ็บ กลับมัวแต่พูดจาไร้สาระก่อน!”
หากเจ้าหอยยักษ์พูดออกมาในตอนนั้น เธอต้องช่วยเขาก่อนแน่นอน…
บางทีอาจจะช่วยรักษาได้เร็วกว่านี้หน่อย
เจ้าหอยยักษ์ไม่มีคำใดมาโต้แย้ง หดหัวเข้าไปในเปลือกหอย ดูเหมือนคำพูดแรกที่มันพูดตอนเจอเจ้านายคือชื่นชมความกล้าหาญของนาง เพียงแต่ยังไม่ทันรอให้มันพูดต่อ เจ้านายก็พาคนเคลื่อนย้ายในพริบตาหนีไปแล้ว…
ยามนี้ไม่ใช่เวลาตามหาว่าเป็นความรับผิดชอบของผู้ใด กู้ซีจิ่วสูดลมหายใจเข้าเบาๆ ให้หลัวจั่นอวี่กลับไปพักผ่อนก่อน ตอนนี้ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่ยอมห่างจากกายตี้ฝูอีอย่างแน่นอน
หลัวจั่นอวี่เกลี้ยกล่อมนางไม่ได้ จึงทำได้แค่บังคับให้นางกินอาหารที่ช่วยบำรุงนั้นลงไป ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง คิดว่าตี้ฝูอีทางนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว เขาจึงอยากให้กู้ซีจิ่วไปดูไป๋หลี่เช่อสักหน่อย
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “ไม่จำเป็นต้องดูอีก ถึงแม้ข้าไม่ได้ผ่าตัดเขาให้เสร็จเรียบร้อย แต่ข้าเชื่อมต่อกล้ามเนื้อและเส้นเลือดหลักที่สำคัญอย่างเช่นเส้นประสาทและกระดูกให้แล้ว ท่านให้ยาเขาอีกหน่อย…” เธอพูดชื่อยาหลายชนิดนั้น และให้หลัวจั่นอวี่ไปดูแลไป๋หลี่เช่อเอง
เห็นได้ชัดมากว่านางไม่มีทางขยับเขยื้อนไปไหนอีกอย่างแน่นอน
หลัวจั่นอวี่มองดูนาง “ซีจิ่ว เจ้ารักเขาใช่ไหม?”
กู้ซีจิ่วชะงักงัน มองดูตี้ฝูอีที่อยูบนเตียง และไม่ได้ปฏิเสธ “ใช่”
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้า…เขาทำเรื่องอันใดผิดต่อเจ้าใช่หรือไม่?” หลัวจั่นอวี่อยากรู้ที่มาที่ไปของเรื่องราวสักเล็กน้อย
กู้ซีจิ่วหลุบตาลง เรื่องของเธอกับตี้ฝูอีซับซ้อนเกินกว่าที่จะอธิบายออกมาได้ในไม่กี่ประโยค อีกอย่างเธอไม่ใช่คนที่ชอบบอกเล่าความรู้สึกตัวเองให้คนอื่นฟัง ดังนั้นจึงส่ายหน้า “ท่านพี่ ข้าเหนื่อย ไม่อยากพูดเรื่องเหล่านั้น”
หลัวจั่นอวี่มองใบหน้าอันซีดเผือดของนาง ก็ไม่อยากบังคับนางแล้วเช่นกัน หลังกำชับนางอยู่สองประโยคค่อยหันกายเดินจากไปก่อน
รุ่งเช้าวันถัดมา เขายังไม่วางใจน้องสาว จึงมาหาอีกรอบ เห็นกู้ซีจิ่วกำลังเช็ดหน้าผาก ใต้วงแขน และบริเวณอื่นให้ตี้ฝูอี ยุ่งเสียยิ่งกว่าผึ้งงานเสียอีก
“เขาเป็นอะไรไป?” หลัวจั่นอวี่มองๆ ตี้ฝูอี เขายังคงไม่มีทีท่าจะฟื้นขึ้นมา
“เมื่อคืนเขาไข้ขึ้น ตอนนี้ไข้เพิ่งจะลด…” กู้ซีจิ่วถ่างตาที่ขอบตาดำคล้ำตอบกลับ
หลัวจั่นอวี่เป็นทุกข์ยิ่งนัก ไม่ต้องถามเลยว่ากู้ซีจิ่วคอยดูแลเขาอยู่ที่นี่ทั้งคืนจริงๆ ไม่ได้พักผ่อนแม้แต่น้อย
หลัวจั่นอวี่ก้าวไปด้านหน้าตรวจวัดชีพจรของตี้ฝูอี สภาพแทบจะเหมือนกันกับเมื่อคืน เขาอดขมวดคิ้วไม่ได้ “เขาไม่ได้ตื่นขึ้นมาเลยหรือ?”
กู้ซีจิ่วพยักหน้า “ใช่…ใช่แล้ว บางทีเมื่อคืนตอนข้าผ่าตัดให้เขาอาจใช้ยาชามากเกินไป จึงทำให้เขานอนหลับอยู่อย่างนี้…พี่ ท่านจับชีพจรของเขาแล้วรู้สึกมีความคืบหน้าจากเมื่อคืนหน่อยหรือไม่?”
ชัดเจนว่าทักษะการแพทย์ของเธอสูงกว่าหลัวจั่นอวี่ สิ่งที่หลัวจั่นอวี่มองออกเธอก็ย่อมต้องมองออก
เพียงเพราะจิตใจที่เฝ้าปรารถนาให้เขาดีขึ้นมานั้นมีมากเกินไป จึงสูญเสียความสามารถในการวิเคราะห์ตัดสิน หวังแต่เพียงว่าตัวเองจะมองผิดไป…
หลัวจั่นอวี่มองสายตาที่คาดหวังของนาง ฝืนใจพูดความจริงออกไปไม่ไหว จึงพยักหน้ารับ “อืม ดีกว่าเมื่อคืนเล็กน้อย ซีจิ่ว เจ้าอย่าใจร้อนเกินไป เขาบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นฟื้นขึ้นมาช้าก็เป็นเรื่องปกติแล้ว ดีร้ายอย่างไรเขาก็ไม่ได้อาการทรุดหนักลงไม่ใช่หรือ?”
กู้ซีจิ่วพยักหน้า กล่าวโดยสัญชาตญาณว่า “นั่นก็จริง หลังการผ่าตัดยี่สิบสี่ชั่วโมงเป็นช่วงเวลาอันตรายที่สุด ตอนนี้ยังไม่ยี่สิบสี่ชั่วโมงเต็ม ไม่ทรุดหนักลงก็แปลว่าดีแล้ว…”
บทที่ 1319 ช่วยชีวิต 5
ประโยคนี้คล้ายเป็นการอธิบายให้หลัวจั่นอวี่ฟัง และคล้ายว่าเป็นการปลอบใจตัวเอง
หลัวจั่นอวี่ปวดใจ นางขวัญหนีดีฝ่อถึงเพียงนี้กลับยังฝืนทำเป็นเข้มแข็ง ทำให้กระบอกตาของเขาอดไม่ได้ที่จะแสบเคืองขึ้นมา
เขาไม่อยากเห็นน้องสาวเหน็ดเหนื่อยถึงเพียงนี้ ด้วยเหตุนี้จึงฝืนใจบังคับนางให้ไปพักผ่อนอีกครั้ง รับประกันว่าจะคอยเฝ้าอยู่ที่นี่อย่างดี จะไม่ให้ตี้ฝูอีเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นสักนิดเลย
กู้ซีจิ่วเหนื่อยล้าจริงๆ แต่เธอกลับทราบสภาพในตอนนี้ของตนเป็นอย่างดี ต่อให้กลับไปนอนที่เรือนก็นอนไม่หลับแน่นอน ต้องเฝ้าอยู่ข้างกายเขาถึงจะอุ่นใจ
และอาการบาดเจ็บเช่นนี้ของตี้ฝูอีก็ไม่อาจเคลื่อนย้ายได้ เลี่ยงไม่ให้สะเทือนถึงบาดแผล
คิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอจึงสั่งให้เจ้าหอยยักษ์ไปย้ายเตียงของตนมา เธอจะนอนที่นี่
หลัวจั่นอวี่คัดค้านนางไม่ได้ ทำได้เพียงยอมรับ
เตียงทั้งสองหลังถูกวางเคียงกัน เพียงเธอลืมตาขึ้นมาก็จะมองเห็นใบหน้าของเขา เช่นนี้กู้ซีจิ่วถึงได้สบายใจขึ้นเล็กน้อย กำชับหลัวจั่นอวี่ให้จับตามองดีๆ เธอพักผ่อนครู่เดียวก็พอแล้ว
ปกติแล้วกู้ซีจิ่วเป็นจอมขี้เซา หากเป็นเมื่อก่อน เหน็ดเหนื่อยมานานถึงเพียงนี้ขอเพียงได้มุดขึ้นเตียง เธอก็หลับไปเลยแต่ตอนนี้ถึงแม้เธอจะนอนอยู่บนเตียงก็หลับไม่ลง ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้งีบสักตื่น กลับฝันว่าเขาสิ้นชีพ ต่อมาจึงสะดุ้งตื่นหลั่งเหงื่อเย็นเฉียบโทรมกาย
สิ่งแรกที่ทำคือหันไปมองสีหน้าของตี้ฝูอี พบว่าเขายังไม่มีความเปลี่ยนแปลงเช่นเดิม…
จิตใจเธอกระสับกระส่าย ผ่านไปแปดชั่วโมงแล้วนับจากการผ่าตัดเสร็จสิ้น ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ตี้ฝูอีสมควรฟื้นขึ้นมาได้แล้ว!
ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาเป็นเทพ ยิ่งไม่ควรจะสลบอยู่ตลอดเช่นนี้
ฝันร้ายที่เกี่ยวข้องกับการตายของเขาผุดขึ้นมาในใจ ทำให้หัวใจเธอบีบรัด เขาคงจะไม่หลับไม่ตื่นเช่นนี้ไปตลอดกระมัง?!
ผลลัพธ์เช่นนี้กู้ซีจิ่วปฏิเสธที่จะยอมรับ!
แต่ที่นี่วิชาแพทย์ของเธอล้ำเลิศที่สุดแล้ว เรื่องที่เธอไม่รู้ผู้อื่นยิ่งไม่มีทางรู้ เธออยากถามหยกนภา แต่ยามนี้ไม่อาจสื่อสารกับหยกนภาได้…
สามวัน!
ตี้ฝูอีสลบไปสามวันเต็มๆ แล้ว!
บาดแผลบนร่างเขาเริ่มสมานกันแล้ว เป็นสัญญาณอันดี แต่การที่เขาไม่ฟื้นขึ้นมาสักทีกลับทำให้กู้ซีจิ่วหวั่นวิตกยิ่งนัก เป็นทุกข์เป็นร้อน
เธอก็ไม่พักผ่อนเลยเช่นกัน สามวันมานี้ไม่ออกห่างจากข้างกายเขาเลย จับตามองความเคลื่อนไหวของเขาตลอดเวลา
แน่นอน สามวันมานี้เธอลองใช้ทุกวิธีที่ทราบแล้ว แต่ตี้ฝูอีราวกับกลายเป็นเจ้าชายนิทราไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ฟื้นขึ้นมา
เมื่อเวลาผันผ่านไป เธอก็ยิ่งสิ้นหวังขึ้นเรื่อยๆ
รัตติกาลมาเยือนอีกคราแล้ว เธอเฝ้าอยู่หน้าเตียงตี้ฝูอี มองดวงหน้ายามหลับใหลที่เสมือนรูปปั้นหยกของเขา ความสิ้นหวังในใจคล้ายจะรัดรึงขึ้นเป็นพักๆ ถ้าหากเขาหลับไม่ตื่นอยู่แบบนี้ เช่นนั้นเธอควรจะทำอย่างไรดี?
เธอจับมือของตี้ฝูอีที่อยู่ริมเตียงแน่น “ตี้ฝูอี ท่านกำลังลงโทษข้าใช่ไหม? ลงโทษที่ข้ามาช่วยท่านไม่ทันเวลา…ถือว่าข้าผิดเองดีไหม? ท่านตื่นมามองข้าเถอะ…ท่านเข้ามาน่าจะอยากคุยกับข้ากระมัง? แต่ท่านกลับไม่ฟื้นขึ้นมาสักที…ตี้ฝูอี ท่านตื่นมาอธิบายให้ข้าฟังสิ เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเป็นท่านที่ผิดต่อข้า เป็นท่านชัดๆ ที่มีคนอื่นอยู่ในใจ ข้าถึงเลือกถอยออกมา แล้วท่านจะมาตามหาให้เกิดเรื่องขึ้นอีกทำไม? ตี้ฝูอี ข้าไม่เข้าใจเลย ข้าไม่เข้าใจว่าสรุปแล้วท่านคิดจะทำอะไรกันแน่…”
น้ำเสียงเธอคล้ายจะไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่บ้าง “ท่านตื่นมาพูดกับข้าเลยนะ!”
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ฟื้นขึ้นมาจึงฉุนเฉียวอีกครั้ง “ถ้าท่านยังยืนกรานที่จะไม่พูดออกมาในยามนี้ เช่นนั้นต่อไปข้าจะไม่ฟังท่านพูดแล้ว! ท่านไม่อยากให้ข้าไปรักษาคนอื่นใช่ไหม? งั้นข้าจะไปรักษาคนอื่นแล้ว…”
เธอพูดไปเรื่อยๆ ไม่ได้สังเกตว่าปลายนิ้วมืออีกข้างของตี้ฝูอีกระดิกนิดๆ แล้ว
วิธีปลุกเจ้าชายนิทราอย่างเขาให้ฟื้นก็คือพูดคุยเรื่องราวบางอย่าง ดังนั้นกู้ซีจิ่วที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่ค่อยชอบพูดคุยนักสามวันนี้แทบจะกลายเป็นคนช่างจ้อไปแล้ว
“ช่างเถอะ ท่านไม่ตื่นก็แล้วไปเถอะ” กู้ซีจิ่วเอ่ยออกมาอีกประโยค ลุกขึ้นมาหมายจะไปดื่มน้ำสักอึก
เพิ่งจะลุกขึ้นยังไม่ทันได้ตั้งตัว จู่ๆ ก็สังเกตเห็นว่ามุมชุดตนถูกอะไรเกี่ยวไว้ สุ้มเสียงที่อ่อนระโหยเล็กน้อยแว่วขึ้นด้านหลัง “เจ้ากล้าไปก็ลองดู!”
——————————————————–
บทที่ 1320 ร่วมเรียงเคียงหมอน
กู้ซีจิ่วค่อยๆ หันกลับไป เห็นว่าตี้ฝูอีลืมตาขึ้นเล็กน้อยแล้ว มือข้างหนึ่งดึงมุมชุดของตนไว้ มือของเขาไม่มีเรี่ยวแรงสักเท่าใด เมื่อเธอหมุนตัว มุมชุดนั้นก็หลุดออกจากฝ่ามือเขา…
แต่ดวงตาของเขากลับเปิดขึ้นอย่างแท้จริงแล้ว มีสติแจ่มชัด กำลังมองเธออยู่
เขาฟื้นแล้ว! เขาฟื้นแล้วจริงๆ!
ทั้งสองคนสบตากัน หัวใจกู้ซีจิ่วคล้ายถูกจู่โจม ความสิ้นหวังที่คืบคลานอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจถูกโจมตีจนล่าถอยไปในชั่วพริบตา ราวกับแสงตะวันสาดส่องมาถึงโลกที่ถูกเมฆทึบบดบังเสมอมาแล้ว ความปีติยินดีมหาศาลเอ่อล้นขึ้นมาในทรวง หัวใจเสมือนลูกโป่งที่พองตัวขึ้นมาในทันใด มีไอบางอย่างพุ่งตรงมายังปลายจมูก ทำให้จมูกของเธอแสบเคือง กระบอกตาแดงก่ำ
เธอเม้มริมฝีปากกะพริบตา กะพริบไล่ความแสบเคืองนั้น พลางจับมือเขาไว้ “ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว!”
มือของเขายังคงเย็นเฉียบอยู่ ทว่ามือของเธอกลับเย็นกว่าเขาเสียอีก เย็นเหมือนไอศกรีมแท่งน้อย
เมื่อตี้ฝูอีจับมือกับเธอก็ขมวดคิ้วน้อยๆ “เหตุใด…มือจึงเย็นถึงเพียงนี้?” พลันพลิกข้อมือ คิดจะตรวจชีพจรเธอดู
แต่ตอนนี้มือของเขายังไม่มีแรงเท่าไหร่ การพลิกข้อมือครั้งนี้จึงพลิกไม่ขึ้น กลับถูกเธอกุมไว้แน่นยิ่งขึ้น เธอกำลังตรวจอาการให้เขา
เขาฟื้นขึ้นมาหนนี้ ชีพจรปกติขึ้นไม่น้อยแล้ว มีพลังมากกว่าเมื่อก่อนมากนัก เธอถอนหายใจเบาๆ “ชีพจรท่านดีขึ้นมากเลย” จากนั้นก็มองหน้าเขา “สีหน้าก็ดีขึ้นมากเช่นกัน…”
กล่าวถึงตรงน้ำเสียงของเธอก็ค่อนข้างสั่นเครือ ชะงักไป
ไม่มีใครรู้ว่าหลายวันมานี้เธอหวาดกลัวมากแค่ไหน! กลัวว่าเขาจะหลับไปไม่ฟื้นขึ้นมา กลัวว่าเขาจะจากไปเช่นนี้
เธอจับชีพจรใหเขาเสร็จแล้ว ทว่ายังคงจับมือเขาไว้ตามสัญชาตญาณไม่ยอมปล่อยเลย หวั่นว่าพอปล่อยมือแล้วเขาจะหลับใหลไปอีก
ถึงแม้นางจะไม่ได้กล่าวถ้อยคำหวานซึ้งเลยสักประโยค แต่เบ้าตาที่แดงเล็กน้อยของนาง นิ้วมือที่เย็นเฉียบ เส้นผมยุ่งเหยิง ขอบตาที่มีรอยคล้ำจางๆ ถึงขั้นที่น่าสงสัยว่าบนหน้ายังมีคราบน้ำตาอยู่ ตลอดจนภาษากายที่ไร้สุ้มเสียงล้วนบอกได้ชัดว่าที่แท้นางใส่ใจเขามากนัก บ่งบอกชัดเจนว่าหลายมานี้นางเหนื่อยยากมากแค่ไหน…
มือของตี้ฝูอีบีบแน่นเล็กน้อย อยากรั้งนางเข้าสู่อ้อมกอด แต่ไม่มีแรงสักเท่าไหร่ การดึงครั้งนี้ก็ดึงให้นางขยับไม่ได้เลย บาดแผลที่ถูกกระเทือนกลับปวดแปลบขึ้นมา
กู้ซีจิ่วจับตามองเขาอยู่ตลอด พอเห็นว่าจู่ๆ เหงื่อผุดขึ้นมาบนหน้าผากเขา ก็ตกใจทันที รีบยืนมือไปเช็ดเหงื่อให้เขา “ทำไมจู่ๆ ก็เหงื่อออกล่ะ? ยังมีตรงไหนที่รู้สึกไม่สบายอยู่? ปวดแผลหรือเปล่า? ผิดปกติตรงไหน?” เธอพ่นคำถามออกมาเป็นพรวนปานปืนใหญ่
“ขยับมาข้างหน้า” ตี้ฝูอีเอ่ย
กู้ซีจิ่วจึงเข้าใกล้เขาอีกหน่อย
“ใกล้อีกนิด”
กู้ซีจิ่วเงียบงัน ถ้าใกล้อีกนิดเธอจะปีนขึ้นเตียงเขาโดยตรงได้แล้วนะ!
“ท่านจะพูดอะไร? สรุปแล้วไม่สบายตรงไหนกันแน่?” กู้ซีจิ่วกังวลในเรื่องที่เธอใส่ใจที่สุด เพียงแต่ยังคงขยับเข้าใกล้เขาอีก นอนพาดอยู่ข้างกายเขาแล้วครึ่งตัว
ตี้ฝูอีตบๆ ข้างกาย “ขึ้นมาสิ”
เตียงหลังนั้นถึงแม้ไม่ใหญ่ แต่ยังคงเหลือเฟือสำหรับการนอนด้วยกันสองคน
กู้ซีจิ่วใจเต้นแวบหนึ่ง ร่วมเรียงเคียงหมอนกับเขารึ? เรื่องระหว่างเธอกับเขายังไม่ได้พูดให้กระจ่างเลย…
ให้เธอปีนขึ้นเตียงเขาตอนนี้ออกจะเกินไปหน่อย
ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงไม่ขยับเขยื้อน
ตี้ฝูอีถอนหายใจเบาๆ “ข้าเป็นเช่นนี้เจ้ายังกลัวว่าข้าจะทำอะไรเจ้าอยู่อีกหรือ? กลัวข้าถึงเพียงนี้เชียว?”
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว “มีอะไรน่ากลัวกัน? ใช่แล้ว สรุปแล้วท่านเป็นยังไงบ้าง?” เธอมองสีหน้าเขา คล้ายว่าจะดีขึ้นกว่าตอนที่หมดสติอยู่ ถึงแม้ยังซีดเซียวอยู่ แต่ดีร้ายอย่างไรริมฝีปากก็มีสีเลือดเล็กน้อยแล้ว ดูเหมือนเขาจะไม่เป็นไรแล้ว
ถึงอย่างไรเธอไม่ได้พักผ่อนมาสี่วันแล้ว ยามนี้พอโล่งอกได้ ก็ฝืนต่อไปไม่ไหวอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อยากแยกจากเขาเพื่อกลับไปพักที่เรือนของตน
บทที่ 1321 ร่วมเรียงเคียงหมอน 2
ถึงอย่างไรเธอก็ไม่ได้พักผ่อนมาสี่วันแล้ว ยามนี้พอโล่งอกได้ ก็ฝืนต่อไปไม่ไหวแล้วอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อยากแยกจากเขาเพื่อกลับไปพักที่เรือนของตน เกรงว่าถ้าตนไปเดี๋ยวเขาจะสลบไปอีก
ดังนั้นเธอจึงคิดเล็กน้อย ขยับเตียงให้เข้าใกล้ฝั่งนี้อีกหน่อยเสียเลย จากนั้นขึ้นไปนอนแล้วหาวออกมาทีหนึ่ง “ข้าจะงีบสักตื่น ท่านปรับลมปราณไปก่อนนะ”
เธอง่วงจนแทบไม่ไหวแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะทนจนชินไปแล้วหรือไม่ หลังจากนอนลงไป เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าดวงตาเมื่อยล้าจนแทบไม่ไหวแล้วกลับนอนไม่หลับ เธอจึงใช้วิชาลับนับแกะของตนเสียเลย เพิ่งจะได้หนึ่งร้อยสิบตัว ทันใดนั้นก็จับสัมผัสบางอย่างได้ ลืมตาขึ้นมาทันที จากนั้นก็กระเด้งตัวขึ้นจากเตียง
ตี้ฝูอีลงจากเตียงแล้ว!
เพียงแต่เขาไม่มีแรงจริงๆ เพิ่งจะลงพื้นสองขาก็อ่อนยวบ ลื่นล้มใส่เตียง…
หัวใจของกู้ซีจิ่วแทบจะเด้งออกมา เธอเคลื่อนกายไปอยู่เบื้องหน้าเขา ยื่นมือไปพยุงเขาไว้ “ท่านจะทำอะไรอีก?!” กล่าวประโยคหนึ่งออกมาอย่างจนปัญญา “ตี้ฝูอี ท่านอยู่สงบๆ หน่อยไม่เป็นหรือ?”
ไม่ง่ายเลยกว่าเธอจะยื้อชีวิตเขากลับมาได้ เขาคิดจะหาเรื่องอีกหรือไง?
หลังจากพูดจบก็รู้สึกว่าถ้อยคำนี้คล้ายว่าจะคุ้นหูอยู่บ้าง…
ตี้ฝูอีเคลื่อนไหวครานี้เห็นได้ชัดว่าสะเทือนบาดแผลเข้า เหงื่อเย็นเฉียบโซมศีรษะเขา แต่ดวงตากลับมองดูเธอ “ข้าอยากกอดเจ้า…”
ประโยคนี้ของเขาคล้ายจะเป็นการออเซาะ กู้ซีจิ่วอับจนวาจา เห็นแก่ที่เขาเพิ่งปีนกลับมาจากประตูนรกได้ เธอจะหยวนๆ ให้สักหน่อยแล้วกัน กู้ซีจิ่วพยุงเขาขึ้นเตียงอย่างระมัดระวังก่อน โชคดีที่เรี่ยวแรงของเธอมากพอ ไม่ถึงกับประคองไม่ไหว
ท่าทางของเธอเหมือนโอบเครื่องเคลือบที่เปราะบางชิ้นหนึ่งไว้ โอบเบาๆ วางเบาๆ ตี้ฝูอียุดแขนเสื้อเธอไว้ “ขึ้นมาอยู่กับข้า”
กู้ซีจิ่วนวดคลึงหว่างคิ้ว “ได้ ได้” ถึงยังไงตอนนี้เขาก็ทำอะไรไม่ได้ กู้ซีจิ่วจึงไม่กังวลว่าเขาจะช่วยโอกาสเอาเปรียบ ด้วยเหตุนี้เธอจึงขึ้นไปบนเตียงเขาด้วย เลิกผ้าห่มแล้วมุดเข้าไป
เตียงนี้ใหญ่โตพอ สามารถนอนกันสองคนได้
กู้ซีจิ่วนอนตรงริมเตียง “แบบนี้ได้แล้วกระมัง?”
ตี้ฝูอีมองช่องว่างระหว่างคนทั้งสอง เพียงพอจะให้คนตัวเล็กๆ ขึ้นมานอนได้อีกคน…
เขาไม่พูดอะไร เตรียมจะกระเถิบเข้ามาอย่างลำบากลำบน
กู้ซีจิ่วรีบกดเขาไว้ “ท่านห้ามขยับ!”
ตี้ฝูอีมองเธอ “งั้นเปลี่ยนเป็นเจ้าขยับแทนไหม?”
กู้ซีจิ่วเงียบไป ทำไมเธอรู้สึกว่าบริบทของรูปประโยคนี้ค่อนข้างไม่ถูกต้องกันนะ!
เพื่อป้องกันไม่ให้เขาเล่นลูกไม้อะไรอีก กู้ซีจิ่วจึงกระเถิบไปอยู่ข้างกายเขา อยู่ติดกับเขาเสียเลย
เช่นนี้ร่างกายของทั้งสองคนจึงแนบชิดกัน ได้กลิ่นลมหายใจของกันและกัน
จมูกได้กลิ่นหอมเย็นที่คุ้นเคยจากร่างเขา ตอนที่ตี้ฝูอีสลบอยู่กลิ่นหอมเย็นนี้อ่อนจางจนแทบไม่ได้กลิ่นเลย
ตอนนี้เมื่อได้กลิ่นอีกครั้ง ดวงตาของกู้ซีจิ่วจึงแสบร้อนเล็กน้อย ความจริงแล้วเธอโหยหาอ้อมกอดของเขายิ่งนักเสมอมา ทุกครั้งที่มุดอยู่ในอ้อมแขนเขา เธอจะรู้สึกสบายใจเป็นพิเศษ
เพียงแต่ยามนี้เธอไม่กล้ามุดเข้าไป ประการแรกคือยังไม่ได้สะสางกันให้ชัดเจน ประการที่สองคือเขายังเจ็บหนักอยู่ เธอกลัวว่าการเคลื่อนไหวจะกระทบกระเทือนบาดแผลเขาเข้า…
เธอคิดจะจับชีพจรเขาอีกครั้งตามสัญชาตญาณ เป็นความเคยชินที่ก่อตัวขึ้นในหลายวันมานี้
ตี้ฝูอีก็ปล่อยให้เธอจับ แขนข้างหนึ่งโอบเข้ามา กอดเธอไว้ครึ่งหนึ่ง ครั้งนี้ไม่มีลวดลายแล้ว “หลับเถอะ ข้าจะมองเจ้าหลับ”
กู้ซีจิ่วมีค่อนข้างมีปมต่อคำว่า ‘หลับ’ “แล้วท่านจะหลับไหม?”
ตี้ฝูอีส่ายหน้าเบาๆ “ไม่หรอก” เขาหลับมามากพอแล้ว!
กู้ซีจิ่วถึงได้วางใจเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้เธอจึงปิดตาลง เตรียมจะงีบสักตื่น
จะว่าไปก็แปลก ก่อนหน้านี้ตอนที่เธอนอนคนเดียวไม่ว่ายังไงก็นอนไม่หลับ แต่พออิงแอบอยู่ข้างกายเขา ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะผล็อยหลับไปรวดเร็วนัก
ตี้ฝูอีหลุบตามมองนาง…
—————————————————————
บทที่ 1322 ร่วมเรียงเคียงหมอน 3
ตี้ฝูอีหลุบตามมองนาง สภาพของนางในยามนี้จนตรอกมอซอโดยแท้ แต่เขากลับรู้สึกว่านางน่ามอง น่ามองอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน นางหลับสนิทยิ่งนัก แพขนตาหลุบลู่ดั่งพัดเล่มน้อย
เมื่อนางหลับเล่ห์เหลี่ยมจะลดน้อยลง เสมือนเด็กน้อยที่ไม่หือไม่อือ
เขาอดกลั้นต่อความเจ็บปวดดึงนางมากอดไว้ในอ้อมอก นางก็โอบเอวเขาไว้ตามสัญชาตญาณ
ใบหน้าน้อยๆ ของนางซุกอยู่ใกล้ทรวงอกเขา ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดอยู่ตรงนั้น ความรู้สึกนั้นอบอุ่นอย่างยิ่ง
ตี้ฝูอีอดใจไม่ไหวจึงก้มลงไปจุมพิตหน้านางคราหนึ่ง ถึงแม้จะทำอะไรไม่ได้ แต่ได้กอดนางไว้เช่นนี้ เขาก็รู้สึกพอใจมากแล้ว
ดังนั้นเขาที่พออกพอใจอยู่จึงกอดนางไว้แล้วหลับตาปรับลมปราณเล็กน้อย เขาใช้เคล็ดปรับลมปราณแบบพิเศษอย่างหนึ่ง การปรับลมปราณเช่นนี้มีประโยชน์ต่อการรักษาบาดแผลที่สุด
เขาเพิ่งหลับตาปรับลมปราณได้ไม่กี่นาที จู่ๆ ก็สัมผัสบางอย่างได้จึงลืมตาขึ้น
กู้ซีจิ่วตื่นแล้ว โน้มกายเข้ามากึ่งหนึ่งมองเขาอย่างตื่นตระหนก เมื่อเห็นเขาลืมตาขึ้นเป็นการยืนยันว่าเขายังมีสติอยู่ เธอถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วนอนลงไปอีกครั้ง เอ่ยพึมพำ “ดีแล้ว ท่านไม่ได้สลบไป…” กล่าวประโยคนี้ยังไม่จบนางก็ผล็อยหลับไปอีกครั้ง
ตี้ฝูอีพูดไม่ออก ดูเหมือนการที่เขาหมดสติในหลายวันมานี้จะสร้างเงามืดให้นางไม่น้อย นางในยามนี้เหมือนเด็กน้อยขวัญเสียคนหนึ่ง
ในใจเขาทั้งปวดหนึบทั้งอบอุ่น ไม่ปรับลมปราณต่อแล้ว เพียงกอดนางไว้เงียบๆ มองนางหลับใหล หากไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย เดี๋ยวนางจะตื่นขึ้นมาอีก…
เป็นอย่างที่เขาคาดการณ์ไว้ หลังจากกู้ซีจิ่วหลับไปไม่กี่นาทีก็ลืมตามองเขาอย่างขวัญเสียอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเขายังตื่นอยู่เธอถึงได้วางใจ จากนั้นก็หลับไปอีก
ดำเนินไปเช่นนี้ เธอหลับอยู่ในอ้อมกอดเขากว่าหนึ่งชั่วยาม ตื่นขึ้นมากว่าสิบครั้ง และทุกครั้งล้วนต้องได้รับการยืนยันว่าเขายังตื่นอยู่ จับชีพจรเขาไปตามสัญชาตญาณ…
สุดท้ายตี้ฝูอีจึงสัญญากับเธอว่า “วางใจเถอะ ก่อนเจ้าตื่นข้าจะไม่หลับเด็ดขาด!”
ดังนั้นในที่สุดกู้ซีจิ่วเลยหลับไปอย่างสงบมากขึ้น การหลับงีบสุดท้ายนี้ก็นานขึ้นเล็กน้อย ประมาณครึ่งชั่วโมง
เมื่อเธอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็ดูแจ่มใสขึ้นไม่น้อย แน่นอนว่าพอเธอตื่นขึ้นมาอย่างแรกที่ทำยังคงเป็นการมองเขาและจับชีพจร ตี้ฝูอีก็ปล่อยให้เธอจับอย่างว่าง่าย ซ้ำยังไม่ลืมที่จะเอ่ยหยอกเธอ “ข้อมือข้าถูกเจ้าจับจนแทบด้านเป็นไตแล้วนะ”
กู้ซีจิ่วหน้าแดงนิดๆ เธอก็รู้สึกเหมือนกันว่าตัวเองค่อนข้างประสาทแล้ว
ด้วยเหตุนี้เธอเลยปล่อยข้อมือเขา เอ่ยวาจาที่คล้ายกับหมอเฉพาะทางออกมาประโยคหนึ่ง “ชีพจรของท่านทรงพลังขึ้นมาก ฟื้นฟูได้ไม่เลว!”
ตี้ฝูอีมองนาง “เอาล่ะ บอกข้ามา หลายวันที่ผ่านมาเจ้าไม่กินไม่นอนเลยหรือ?” เมื่อครู่เขาก็จับชีพจรนางดูเช่นกัน ชีพจรของนางเบาโหวงเลื่อนลอย เป็นอาการของการอดนอนและขาดสารอาหาร
กู้ซีจิ่วชะงักไปครู่หนึ่ง หลายวันมานี้ที่เขาสลบไปเธอคอยเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอด ถึงแม้หลัวจั่นอวี่จะมาส่งอาหารให้เธออยู่หลายครั้ง แต่เธอไม่มีความอยากอาหารอันใดเลย ทุกครั้งล้วนกินเพียงคำสองคำก็พอแล้ว
ยามนั้นไม่รู้สึกหิวเลยจริงๆ ถึงขั้นที่ในทรวงอกมักจะรู้สึกจุกแน่นอยู่เสมอ
ตอนนี้พอตี้ฝูอีถามออกมาเช่นนี้ เธอรู้สึกหิวขึ้นมาทันควัน ร่างกายก็ค่อนข้างอ่อนล้า จึงตอบอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “ก็ไม่กี่วันหรอก ท่านฟื้นขึ้นมาก็ดีแล้ว ข้าจะออกไปบอกให้คนเอาน้ำผลถันภังคีมาให้ท่านดื่ม…”
เธอกระโดดลงจากเตียง ขณะที่กำลังจะวิ่งออกไป ก็มีเสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้นด้านนอก หลัวจั่นอวี่ก้าวเข้ามาพร้อมกับสำรับอาหาร
ทันทีที่เห็นตี้ฝูอี เขาทั้งตกใจทั้งยินดี “อ่า ท่านฟื้นแล้ว!”
พลางพ่นลมหายใจออกมายาวๆ “ท่านสลบไปถึงสี่วันเชียวนะ!”
ตี้ฝูอีมองไปทางกู้ซีจิ่ว สี่วัน? นางอยู่ข้างกายเขาคอยดูแลจนไม่ได้พักผ่อนตลอดสี่วันหรือ?
ถึงแม้นางจะหลับไปงีบหนึ่งแล้ว แต่รอยคล้ำใต้ตายังคงเข้มยิ่งนัก
บทที่ 1323 ร่วมเรียงเคียงหมอน 4
ถึงแม้นางจะหลับไปงีบหนึ่งแล้ว แต่รอยคล้ำใต้ตายังคงเข้มยิ่งนัก ดวงตาดั่งน้ำในฤดูใบไม้ร่วงคู่นั้นเต็มไปด้วยเส้นสีแดง ริมฝีปากที่เคยชุ่มชื้นก็แปรเปลี่ยนเป็นแห้งผาก เส้นผมพันกันยุ่งเหยิง เรียกได้ว่าไม่น่าดูเอาเสียเลย
เขาทั้งอบอุ่นหัวใจทั้งเจ็บปวด ตบมือนางเบาๆ “ข้าฟื้นขึ้นมาก็ไม่เป็นอะไรแล้ว เจ้าไปล้างหน้าล้างตาหาอะไรกินก่อนเถิด”
คำพูดนี้เตือนใจกู้ซีจิ่ว เธอลูบหน้าตัวเองโดยไม่รู้ตัว พลันคิดขึ้นมาได้ว่าตัวเองยุ่งอยู่ตรงนี้มาสี่วัน แม้แต่หน้าก็ไม่ได้ล้าง…
เวรเอ้ย หน้าตาเธอในตอนนี้คงอธิบายได้ด้วยคำเดียวเท่านั้น…มอมแมม!
เธออยู่ต่อหน้าเขาด้วยใบหน้ามอมแมมมาตั้งนาน! ซ้ำยังมุดเข้าอ้อมกอดของเขาด้วย!
เธอหน้าแดง รีบลุกขึ้นยืนส่งเสียงพูด “ข้าจะไปล้างหน้าล้างตา” แล้วเดินจากไปโดยเร็ว
หลัวจั่นอวี่อดนวดหว่างคิ้วไม่ได้ สตรีแต่งกายงามเพื่อคนที่ตนรัก น้องสาวที่แข็งแกร่งมาตลอด เมื่ออยู่ต่อหน้าตี้ฝูอีก็มีกลิ่นอายของหญิงสาวในที่สุด ดูเหมือนน้องสาวตัวน้อยจะตกหลุมรักเข้าแล้วจริงๆ!
เขาหันหน้ามองไปทางตี้ฝูอี “ท่านชอบกู้ซีจิ่วจริงๆ หรือ?”
ตี้ฝูอีหลับตาลงเล็กน้อย “ยังต้องให้พูดอีกหรือ?”
“ชอบจนถึงขั้นอยากแต่งนางเป็นภรรยา?”
“หากนางไม่หนีมา ห้าวันก่อนหน้านี้คือคืนวันแต่งงานของข้ากับนาง”
หลัวจั่นอวี่ตกตะลึง สีหน้าจริงจังขึ้นมา “หนีมาก่อนการแต่งงาน…เช่นนั้น ต้องมีเรื่องอันใดที่ทำให้นางรับไม่ได้เกิดขึ้นแน่นอน มิเช่นนั้น ด้วยนิสัยของนางและความรู้สึกที่มีต่อท่าน ไม่น่าจะถึงกับหนีไป ท่านทำเรื่องอันใดที่ผิดต่อนาง?”
ตี้ฝูอีลืมตาขึ้น ในชีวิตนี้ เขาไม่เคยถูกถามราวกับผู้ร้ายถูกสอบสวนเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งคนที่ถามยังเป็นผู้น้อย
หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงคร้านจะสนใจเด็กน้อยผู้นี้ หากแต่ยามนี้…ยามนี้เขาเป็นพี่ชายของซีจิ่ว ซึ่งก็คือพี่เขยของเขา…
ช่างเถิด เห็นแก่หน้าของซีจิ่ว เขาจะไม่ลดตัวไปมีเรื่องกับเด็กไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่คนนี้
“ระหว่างข้ากับนางมีเรื่องเข้าใจผิดกันเล็กน้อย ข้ามาครั้งนี้ก็เพื่อจะอธิบายให้นางเข้าใจ”
“เสี่ยวจิ่วเป็นคนใจกว้าง ตรงไปตรงมา นางไม่ใช่ผู้หญิงคิดเล็กคิดน้อย แถมนางยังชอบท่านขนาดนั้น หากเป็นเรื่องเข้าใจผิดเล็กน้อย ข้าว่านางไม่มีทางหนีการแต่งงานมา…” หลัวจั่นอวี่เฉลียวฉลาดยิ่งนัก
ตี้ฝูอีหลุบตาลง “ไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิดเล็กน้อย แต่ข้าจะอธิบายให้นางเข้าใจ”
หลัวจั่นอวี่พูดอย่างดุดัน “ข้าไม่สนว่าระหว่างท่านกับนางมีเรื่องเข้าใจผิดอันใด แต่ในเมื่อนางหนีการแต่งงานมา เช่นนั้นก็พิสูจน์ได้ว่าความรู้สึกในช่วงนี้ของนางกับพวกท่านไม่สู้ดีนัก ท่านทำให้นางรู้สึกไม่มั่นคง…”
เห็นได้ชัดว่า เขาคิดถึงความแค้นระหว่างพ่อแม่ของตนเอง หากไม่เจ็บช้ำน้ำใจจนถึงจุดหนึ่ง ตอนนั้นท่านแม่จะหนีไปด้วยเหตุอันใด?! หากไม่ใช่เพราะพ่อกดดันแม่เช่นนั้น นางคงไม่มีทางกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย…
ดังนั้นเขาจึงรังเกียจเรื่องที่เอาความรู้สึกมากดดันให้สตรีอยู่ข้างกายเป็นที่สุด!
“ตี้ฝูอี ข้ารู้ว่าท่านคือทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้ทรงศักดิ์ ฐานะของท่านสูงส่งกว่าเสี่ยวจิ่วนัก อายุของท่านมากกว่าปู่ข้าเสียอีก แผนการในใจของท่านย่อมต้องล้ำลึกกว่าเสี่ยวจิ่ว อย่างไรเสีย ทั่วทั้งทวีปนี้ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายรอบคอบยิ่งนัก นอกจากท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดก็ไม่อยู่ในสายตาท่าน…”
ตี้ฝูอีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยถาม “นี่เจ้ากำลังชมข้างั้นรึ?”
หลัวจั่นอวี่ส่งเสียงฮึ “ข้ากำลังพูดความจริง!”
ตี้ฝูอีทอดถอนใจ “อืม เช่นนั้นก็คือชื่นชมข้า ถึงแม้การชมของเจ้าค่อนข้างพิลึกพิลั่นก็เถอะ เจ้าเอ่ยชมข้ามาตั้งนานต้องการจะสื่อถึงอะไรกันแน่?”
หลัวจั่นอวี่กระชับหมัดไว้ใต้แขนเสื้อ “สิ่งที่ข้าต้องการจะบอกก็คือ ไม่ว่าฐานะของท่านสูงส่งแค่ไหน แต่ในใจของข้า…”
———————————————————–
บทที่ 1324 ร่วมเรียงเคียงหมอน 5
หลัวจั่นอวี่กระชับหมัดไว้ใต้แขนเสื้อ “สิ่งที่ข้าต้องการจะบอกก็คือ ไม่ว่าฐานะของท่านสูงส่งแค่ไหน แต่ในใจของข้าท่านสู้ไม่ได้แม้แต่ปลายก้อยของน้องสาว ข้าจะไม่ยอมให้ท่านมาข่มเหงนาง ใช้ความชมชอบกักขังนาง ให้นางมีชีวิตอยู่ไม่สู้ยอมตาย…”
ตี้ฝูอีเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “เจ้าคงไม่ได้มองข้าเป็นบิดาเจ้าไปแล้วกระมัง?”
หลัวจั่นอวี่นิ่งอึ้ง
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายท่านนี้พูดจาน่าหมั่นไส้ยิ่งนัก ทำให้หลัวจั่นอวี่ที่สุภาพเรียบร้อยอยากอัดเข้าให้สักกำปั้น
เขารู้สึกหงุดหงิดใจจริงๆ กู้ซีจิ่วอดนอนตั้งสี่วันสี่คืน เหตุใดเขาจึงได้นอนหลับสบายเล่า?
เขาฝันร้ายมาตลอด ไม่ฝันว่ากู้ซีจิ่วฆ่าตัวตายเพราะความรัก ก็ฝันว่านางร้องไห้หวาดผวาท่ามกลางสายฝน…ทำให้เขาตกใจตื่นอยู่บ่อยครั้ง เมื่อตื่นขึ้นมาก็รีบวิ่งมาดูน้องสาว และถือโอกาสมาดูว่าตี้ฝูอีตายไปหรือยัง…
ยามนี้ไม่ง่ายเลยกว่าที่ตี้ฝูอีจะฟื้นขึ้นมา ดูจากความตื่นตัวของเขาก็ไม่น่าจะตายแล้ว เขาไม่ตาย น้องสาวก็ไม่มีทางเกิดเหตุอันใด หลัวจั่นอวี่จึงยังคงโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
แต่เขาเกรงว่าน้องสาวของตนจะเดินซ้ำรอยเดิมของแม่ ยามแม่ทุกข์ทรมาน ตอนนั้นเขายังเด็ก ไม่อาจปกป้องคนที่รักได้ ทำได้เพียงมองแม่เศร้าโศกเสียใจ หมดอาลัยตายอยากวันแล้ววันเล่า จนในที่สุดก็ก้าวสู่เส้นทางแห่งความตาย
ตอนนี้เขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เป็นชายชาตรีที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ย่อมต้องปกป้องน้องสาวรอบด้าน ไม่ให้นางโดนรังแกได้อีก!
หลัวจั่นอวี่สูดลมหายใจเข้าเบาๆ ก่อนยิ้มเย้ยหยัน “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ข้าไม่สนใจว่าท่านมีฐานะอะไร ข้าไม่มีทางยอมให้ท่านรังแกน้องสาวข้า! วันหน้าข้าจะสืบหาความจริงระหว่างท่านกับนางว่าเกิดอะไรขึ้น และจะดูว่าเสี่ยวจิ่วมีความคิดอย่างไร หากนางไม่มีใจให้กับท่านแล้ว ข้าจะไม่อนุญาตให้ท่านฝืนใจนางแม้แต่น้อย! ต่อให้นางยินยอมด้วยตัวเอง ข้าก็จำต้องไตร่ตรองดูให้ดี เพื่อป้องกันไม่ให้นางถูกท่านหลอกหลวง!”
ตี้ฝูอีกล่าวอันใดไม่ออก เจ้าเด็กนี่ใจกล้าอย่างชายชาตรีอยู่บ้าง เข้าข้างคนของตัวเองยิ่งนัก…
“วางใจเถอะ ข้าจะไม่ฝืนใจนาง” น้ำเสียงของตี้ฝูอีเรียบเฉย “ข้าจะให้นางเลือกเอง!”
หลัวจั่นอวี่ไม่เชื่อเขา สิ่งที่เขาได้ยินตอนเด็กคือทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายลึกลับเอย สูงส่งเอย
แต่เมื่ออยู่ที่นี่กลับได้ยินผู้คนพูดถึงทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายแล้วเกลียดจนขบกัดฟัน บอกว่าเขาหน้าเนื้อใจเสือประหนึ่งสุนัขจิ้งจอก วิธีการแปลกประหลาด โหดร้ายและไร้ซึ่งความปรานี ถึงแม้จะเป็นหัวหน้าสานุศิษย์สวรรค์ทั้งห้า แต่อีกสี่คนล้วนถูกเขาเล่นงานอย่างโหดร้าย…
กล่าวโดยสรุป สิ่งที่เขาได้ยินมาทั้งหมดเป็นข่าวเชิงลบของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย หากไม่ใช่เพราะกู้ซีจิ่วใส่ใจเขาถึงเพียงนี้ หลัวจั่นอวี่ไม่คิดจะช่วยเหลือแม้แต่น้อย
ยามนี้สถานที่แห่งนี้เป็นอาณาเขตของเขา ต่อให้ตี้ฝูอีเคยเป็นมังกรที่แข็งแกร่งตัวหนึ่ง ทว่าก็ไม่อาจทำร้ายงูเจ้าถิ่นอย่างเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้น สภาพของตี้ฝูอีตอนนี้ก็ไม่นับว่าเป็นมังกรที่แข็งแกร่งแล้ว
เพียงแค่ออกแรงนิดเดียวก็สามารถปลิดชีพเขาได้!
ดังนั้น หลัวจั่นอวี่จึงพูดจาอย่างไม่เกรงใจนัก “จำคำนี้ของท่านเอาไว้ ข้าจะคอยดู! ถึงแม้เสี่ยวจิ่วจะมึนงงไปชั่วขณะเพราะความรู้สึก แต่ข้าไม่ใช่! หากท่านกล้าทำเรื่องที่ผิดต่อนางแม้เพียงน้อย ข้าก็มีวิธีจัดการท่านได้!”
ช่างเป็นการข่มขู่ที่มีเอกลักษณ์ยิ่งนัก ตี้ฝูอีหัวเราะออกมา มองหลัวจั่นอวี่หัวจรดเท้าคราหนึ่ง “ตอนนั้นข้าคิดไม่ผิดที่ช่วยเจ้าไว้ มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ดี”
หลัวจั่นอวี่ตะลึงงัน ตอนนั้นเขาพลาดพลั้งบุกเข้ามาในป่าทมิฬ ถูกสัตว์ร้ายจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวจนบาดเจ็บสาหัส ซ้ำยังร่วงหล่นลงไปในแม่น้ำเย็นเยือกสายหนึ่ง เกือบถูกสัตว์ร้ายในแม่น้ำกลืนกิน ในสถานการณ์คับขันมีลำแสงสายหนึ่งฉุดเขาขึ้นมาจากแม่น้ำ ตอนนั้นเขากึ่งหลับกึ่งตื่น รู้สึกเหมือนมีคนอยู่ข้างกายทิ้งตำราไว้ให้เล่มหนึ่ง จากนั้นเมื่อเขาฟื้นขึ้นก็มาอยู่ที่นี่แล้ว
บทที่ 1325 ร่วมเรียงเคียงหมอน 6
เนื่องจากมารดาทิ้งรอยแผลบาดลึกไว้ให้เขา เขาสูญเสียความทรงจำไปแล้ว ทว่าเขายังจำหนังสือเล่มนั้นได้รางๆ ดังนั้นหลังจากรักษาบาดแผลเรียบร้อย จึงเริ่มศึกษาตำราเล่มนั้น พลังวิญญาณถึงได้พัฒนาก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากภาพจำเลือนรางเกินไป หลัวจั่นอวี่จึงคิดมาตลอดว่าตอนนั้นผู้ที่ช่วยเหลือเขาคือเทพเซียน ตำราเล่มนั้นคือสิ่งที่เทพเซียนประทานให้ เขาถึงกับสงสัยว่าตัวเองได้รับพรจากสวรรค์ ผู้ที่ประทานตำราให้เขาคือเทพเซียนที่เบื้องบนส่งมา…
ที่แท้ตอนนั้นคนที่ช่วยเขาไว้เป็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย!
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเขาไว้
ท่าทีเดือดดาลของหลัวจั่นอวี่ลดลงกึ่งหนึ่ง “ท่าน…ข้าได้ยินว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายโหดเหี้ยมเลือดเย็น ตอนนั้นเหตุใดท่านจึงช่วยข้า?”
ตี้ฝูอีเลิกคิ้ว “ช่วยคนจำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยหรือ?”
หลัวจั่นอวี่กล่าว “สำหรับคนอื่นไม่จำเป็น แต่สำหรับท่านจำเป็น”
ตี้ฝูอีครุ่นคิด ตอบกลับเขาไปสองคำว่า “ลืมแล้ว”
หลัวจั่นอวี่นิ่งอึ้ง
ตี้ฝูอีเหลือบมองเขา ทอดถอนใจเบาๆ “พักเรื่องของซีจิ่วไว้ก่อน หลัวจั่นอวี่ ตอนนั้นข้าช่วยเจ้าไว้ เจ้าก็ควรตอบแทนข้าสักนิดใช่หรือไม่?”
หลัวจั่นอวี่มองเขาอย่างระแวดระวัง “บุญคุณที่ท่านช่วยชีวิตข้าจดจำได้เป็นอย่างดี แต่ข้าไม่มีทางเอาความสุขของน้องสาวมาตอบแทนท่าน อย่าได้คิดว่าข้าจะขายน้องสาวตัวเอง!”
ตี้ฝูอีขบเม้มริมฝีปาก “เจ้าคิดมากเกินไปแล้วจริงๆ เรื่องของข้ากับนาง พวกเราจะแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ไม่ต้องลำบากเจ้า”
“เช่นนั้น ท่านอยากให้ข้าตอบแทนท่านอย่างไรดี?”
ตี้ฝูอีมองอาหารที่โต๊ะแล้วมองเขาอีกครั้ง “รบกวนยกอ่างให้ข้าล้างมือหน่อย แล้วยกข้าวมาให้ข้าด้วย ข้าหิวแล้ว”
หลัวจั่นอวี่กล่าวไม่ออก
เขาถอนใจด้วยความโล่งอก “แค่นี้หรือ? นึกไม่ถึงว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็ต้องกินข้าว…” เขายังคิดว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอดข้าวอดน้ำ ซึมซับลำแสงสุริยันจันทราเพื่อความอยู่รอดเสียอีก!
ตี้ฝูอีหลับตาลง “อืม เรื่องที่เจ้าไม่คาดคิดมีอยู่ถมไป ช่วยเอากระโถนมาให้ข้าใบหนึ่งด้วย”
หลัวจั่นอวี่แน่นิ่ง
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายติดดินเยี่ยงนี้ หลัวจั่นอวี่ค่อนข้างรับไม่ไหว หันกายไปเตรียมการด้วยน้ำตานองหน้า
ตี้ฝูอีปรับลมปราณอยู่บนเตียง ฟื้นฟูพลังวิญญาณและพลังกายของตัวเองอย่างต่อเนื่อง การผ่าตัดที่กู้ซีจิ่วทำให้เขาสำเร็จลุล่วง ต่อไปเขาปรับสมดุลเองต่อก็ได้แล้ว
การบาดเจ็บครั้งนี้เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพียงแต่หลังจากเข้ามาเกิดเรื่องไม่คาดคิดเล็กน้อย ทำให้เขากับกู้ซีจิ่วเกือบจะคลาดกันเช่นนี้!
เคราะห์ดีที่เหตุการณ์ร้ายแรงแต่ไม่อันตราย ในที่สุดเขาก็ผ่านด่านนี้เข้ามาได้แล้ว!
ขอเพียงเขาตื่นขึ้นมาอย่างแท้จริง แล้วรักษาตัวเอง เช่นนั้นย่อมคุ้มแรงที่เสียไป อีกทั้งเขายังพกโอสถติดตัวมาเพียงพอ จึงหายเป็นปกติได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ตอนที่เขาเริ่มตื่นขึ้นมายังไม่มีแรงสักนิด จับชายเสื้อยังต้องออกแรงมากมาย ทว่าหลังจากปรับลมปราณ เขารู้สึกมีเรี่ยวแรงขึ้นมาบ้างเล็กน้อยแล้ว
หลัวจั่นอวี่เดินเข้ามา ยกน้ำและหยิบกระโถนเข้ามาจริงๆ เขาส่งกระโถนให้ตี้ฝูอีกก่อน “ท่านจัดการเสียก่อน?”
ตี้ฝูอีเหลือบมองแวบหนึ่ง ขมวดคิ้ว “นี่ของใคร? ไม่มีอันใหม่หรือ?”
หลัวจั่นอวี่อยากเอากระโถนฟาดหน้าเขา ใช้กระโถนยังจะเรื่องมากขนาดนี้ เหตุใดไม่ขึ้นสวรรค์ไปเสีย?!
เขากล่าวด้วยใบหน้าเย็นชา “มีแค่อันนี้อันเดียว จะใช้หรือไม่ใช้!”
คนส่วนมากที่นี่เป็นชายฉกรรจ์หยาบโลน ปกติมักจะฝ่าแดดฝ่าลมฝน เรื่องเช่นนี้หากไม่มีสตรีอยู่ด้านข้าง พวกเขาก็จัดการได้ทุกที่ ไฉนเลยต้องเตรียมกระโถนอะไรนี่?
กระโถนใบนี้เขาก็ทำมันขึ้นมาเองกับมือ!
ตี้ฝูอีมีหลักการเป็นอย่างมากในด้านนี้ “เช่นนั้นช่างเถิด ข้าไม่ใช้แล้ว”
—————————————————
บทที่ 1326 กลั้นมันเอาไว้ไม่ดีกระมัง?!
หลัวจั่นอวี่มองเขาด้วยความสงสัย เรื่องนี้ไม่ใช้กระโถนจัดการได้ด้วย? เขากลั้นมันกลับไปแล้วหรือ?
กลั้นมันเอาไว้ไม่ดีกระมัง?!
“ท่านแน่ใจหรือว่าจะไม่ใช้? อย่าไปยึดติดเลย ท่านคงไม่ให้ข้าทำอันชั่วคราวให้หรอกกระมัง? นั่นก็ไม่ทันหรอก”
ตี้ฝูอีถอนหายใจ “ข้าไม่อาจยอมรับได้ อีกอย่าง ความจริงข้ายังไม่รีบร้อน เพียงแต่ให้เจ้าตระเตรียมไว้ ทำใหม่อีกอันก็แล้วกัน ใช้ไม้ซุงม่วงที่อยู่บนเขา เอาแบบที่มีกลิ่นหอม”
หลัวจั่นอวี่นิ่งอึ้ง สามมุมมองของเขาพังทลายแล้ว!
ผู้ชายขี้จุกจิกเยี่ยงนี้ น้องสาวตัวน้อยของเขาทนไปได้อย่างไร?!
……
ตี้ฝูอีไม่เจอกู้ซีจิ่วมานานแล้ว เด็กคนนี้บอกว่าจะไปล้างหน้าล้างตาก็วิ่งหายไปไม่เห็นเงา
กลับเป็นหลัวจั่นอวี่ที่คอยดูแลอยู่ในห้องมาตลอด เขาไม่ได้ออกจากห้องนี้เลยยกเว้นไปทำกิจวัตรประจำวัน
“ซีจิ่วเล่า?” ตี้ฝูอีอดถามถึงไม่ได้
หลัวจั่นอวี่น้ำเสียงเรียบเฉย “นางช่วยชีวิตท่านไว้ได้ก็ดีมากแล้ว ท่านยังคาดหวังให้นางมาดูแลข้างกายตลอดเลยรึ?”
ตี้ฝูอีปรับลมปราณตอนเช้ากับกลางวันแล้ว ฟื้นฟูพลังได้ไม่น้อย ได้ยินหลัวจั่นอวี่กล่าวเช่นนี้ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย นางคงไม่ได้หนีไปอีกกระมัง?!
เขาหลับตาทั้งคู่ลงปรับลมปราณ เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ได้โต้เถียงอะไรกับหลัวจั่นอวี่
หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาลืมตา ลุกขึ้นลงจากเตียงในทันที
หลัวจั่นอวี่ตกใจ “ท่านทำอะไร?!”
“ข้าจะไปดูนาง!” เหตุที่เขาเข้ามาครั้งนี้ไม่ได้เข้ามาเพื่อให้นางรักษาบาดแผลให้เขา เรื่องบางเรื่องจำเป็นต้องอธิบายกันซึ่งหน้า
หลัวจั่นอวี่ปวดหัว “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ท่านหยุดก่อนเป็นอย่างไร? ท่านให้นางนอนหลับพักผ่อนอย่างสงบได้หรือไม่? เพื่อรักษาให้ท่าน นางไม่ได้นอนมาสี่วันสี่คืนแล้ว! ตอนนี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะนอนหลับไป…”
การเคลื่อนไหวของตี้ฝูอีชะงักลง ในที่สุดก็ไม่ลงจากเตียงแล้ว “ก็ได้”
เขาไม่ได้นอนลง แต่นั่งสมาธิฟื้นฟูอยู่ตรงนั้น การนั่งสมาธิยังคงเป็นวิธีที่รวดเร็วที่สุดในการฟื้นฟูพลังวิญญาณที่แท้จริง
หลัวจั่นอวี่เห็นเขาไม่ได้เป็นอะไร จึงไม่สนใจเขาแล้ว
เขายังมีเรื่องที่ต้องสะสางอีกมากมาย ดังนั้นจึงกลับห้องของตัวเอง
เมื่อตี้ฝูอีตื่นขึ้นจากนั่งสมาธิ ฟ้าด้านนอกมืดลงแล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นตอนกลางคืนแล้ว
กู้ซีจิ่วยังคงไม่มา ตี้ฝูอีลุกขึ้นลงจากเตียง ถึงแม้บาดแผลของเขาสาหัส ทว่าเขาเป็นถึงร่างเทพ และด้วยการช่วยเหลือของยาวิญญาณจึงทำให้เขาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ยามนี้สามารถลงจากเตียงได้แล้ว
หลังจากลงจากเตียงเขาขยับแขนขาเล็กน้อย รู้สึกว่าพละกำลังกลับมาไม่น้อย ถึงแม้พลังวิญญาณยังไม่ฟื้นฟู แต่เดินเล่นไปรอบๆ ได้
ภายในห้องเงียบสงัด เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเขาเอง แน่นอนว่า หูของเขาดียังได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของห้องข้างๆ
หัวใจเขาพลันสั่นไหว เดินออกไปดู
เรือนพันสมานของกู้ซีจิ่วถึงแม้จะอยู่ติดกับเรือนร้อยสมานของหลัวจั่นอวี่ ทว่าผนังกั้นห้องทั้งสองทำออกมาได้ดีมาก ดีตรงที่ต่อให้ภายในห้องใดห้องหนึ่งมีผู้บาดเจ็บร้องโอดครวญโหยหวน ก็ไม่มีทางเสียงดังไปรบกวนผู้บาดเจ็บอีกห้องหนึ่ง
แขนข้างหนึ่งของไป๋หลี่เช่อถูกดึงขาดทั้งที่ยังมีชีวิต ความเจ็บปวดเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทนรับไหว ต่อมาถึงแม้กู้ซีจิ่วจะต่อแขนให้เขา แต่เนื่องจากการผ่าตัดดำเนินไปเพียงแค่กึ่งหนึ่ง ไม่ได้เสร็จสมบูรณ์ ดังนั้น แขนที่บาดเจ็บของเขายังคงมีอาการที่ตามมาหลงเหลืออยู่ ขยับเพียงเล็กน้อยก็เจ็บปวดปางตาย…
ถึงแม้จะพักฟื้นมาห้าวันแล้ว แขนที่บาดเจ็บของเขายังคงบวมดังถังน้ำโยง
ตอนที่ตี้ฝูอีเดินเข้าไป เขากำลังโอดครวญอยู่บนเตียงเพียงลำพัง หยาดเหงื่อบนใบหน้าราวกับเม็ดถั่วเหลือง
พอตี้ฝูอีเข้ามา เห็นได้ชัดว่าเขาตกใจ “ท่าน…เป็นใคร?” พลันนึกขึ้นมาได้ “ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย?!”
เขาเพียงได้ยินเรื่องราวการมาถึงของตี้ฝูอี นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบหน้ากัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น