ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 1314-1321
บทที่ 1314 เจตนาของภรรยา
ฉินสือโอวก็ห่วงเรื่องนี้เช่นกัน ขนแร่ทองคำทั้งลำแบบนี้ออกจะน่ากลัวไปหน่อย แค่อธิบายว่างมขึ้นมาจากแถบทะเลสาธารณะคงไม่ได้
เมื่อก่อนพวกเขาจะปล่อยข่าวเรื่องสมบัติเรืออับปางในแถบทะเลสาธารณะใกล้ๆ กับทะเลอาณาเขตของอเมริกา ครั้งนี้ถ้าทำแบบนั้นแล้วพวกเอฟบีไอ เอ็นเอสเอ ซีไอเอได้ข่าวแล้วชิงลงมือก่อน จัดการย้ายแร่ไปไว้ภายในเขตทะเลอาณาเขต จากนั้นก็ทำเรื่องโดยมีหลักฐานพร้อม
อย่างไรเสียนี่ก็เป็นประเทศที่มีกำลังทัพเรือที่แกร่งที่สุดในโลก และยังเป็นรัฐบาลอันธพาลอันเลื่องชื่อ ผลงานศิลปะมูลค่าหลายสิบล้านจากเรืออับปางอาจจะไม่คุ้มค่าที่พวกเขาจะคิดวางแผนเล่ห์กล แต่แร่ทองคำมูลค่าสี่ถึงห้าพันล้านดอลลาร์นั้นเพียงพอแน่นอน
งานศิลปะต่อให้แพงกว่านี้ก็เป็นแค่ของสะสม ทองน่ะเป็นสกุลเงินแข็งเลยนะ!
ในด้านนี้กลับกลายเป็นรัฐบาลแคนาดาที่ไม่เคี่ยวแบบนั้น เพียงแต่แคนาดามีฉายาว่าประเทศแห่งภาษี อัตราภาษีสูงมาก ถ้าแร่ทองคำนี้หลอมและจำหน่ายภายในแคนาดา พวกเขาต้องจ่ายภาษีสูงกว่าที่อเมริกาครึ่งหนึ่ง
แต่ภายใต้สถานการณ์นี้ จ่ายภาษีไม่เป็นไร สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการได้ทองพวกนี้มาต่างหาก
“แอตแลนติกเหนือไม่ค่อยมีเรือขนส่งสมบัติ เราจะอธิบายที่มาที่ไปของแร่ทองพวกนี้อย่างไร?” ฉินสือโอวใช้นิ้วเคาะโต๊ะ “นี่เป็นปัญหาใหญ่ไม่ใช่เหรอ?”
บิลลี่พูดยิ้มๆ “วางใจเถอะ เรื่องนี้ฉันจัดการเอง เรืออับปางในแอตแลนติกเหนือก็มีไม่น้อย ฉันจะหาข่าวลือที่น่าเชื่อถือแล้วเอาแร่ทองคำพวกนี้ไปผูกเข้าด้วยกันก็โอเคแล้ว”
ฉินสือโอวคิดๆ ดูแล้วพูดขึ้น “พวกเรากลับเซนต์จอห์น เรียกเบลคกับแบรนดอนมาประชุม ถึงเวลาที่ต้องหารือเรื่องนี้กันหน่อยแล้ว”
บิลลี่พยักหน้า จากนั้นก็ทำหน้าชื่นตาบานต่อไป “เพื่อน คืนนี้กะจะสนุกอย่างไร?”
ฉินสือโอวชูเครื่องดื่มขึ้นพลางพูดว่า “ดูหนังสักเรื่องเป็นไง?”
บิลลี่แบมือออกไปข้างตัวแล้วร้องออกมา “อย่าทำงั้นสิ เพื่อน นี่มันไมอามี สวรรค์ของผู้ชาย! เอาน่า นายไม่ต้องสนใจมันแล้ว นี่มันถิ่นฉัน ทุกอย่างฉันจะจัดการเอง นายเตรียมรับความสุขเถอะ!”
สนุกที่บิลลี่หมายถึงก็คือไปเที่ยวผับ ฉินสือโอวกับเหมาเหว่ยหลงไม่ได้สนใจเรื่องแบบนี้ แต่ไปเที่ยวหน่อยก็ได้
ดังนั้นเป็นเวลาสองวันติดที่พอตกกลางคืนบิลลี่ก็พาพวกเขาไปดิ้นในผับ ฉินสือโอวยังพอว่า พอวันที่สามไม่ว่าอย่างไรเหมาเหว่ยหลงก็ไปไม่ได้แล้ว บิดเอวจนเจ็บ!
หลังจากนั้นฉินสือโอวก็ไปไม่ได้แล้ว เพราะว่าวินนี่นั่งเครื่องมาที่ไมอามี
วินนี่มาครั้งนี้ไม่ได้มาคนเดียว เธอยังพาฮานี่ย์และเจ้าหน้าที่รัฐคนอื่นๆ มาเพื่อประชุมกับคาเมรอน บริษัทหนัง และนักลงทุน ทั้งสามฝ่ายนี้เพื่อหารือเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานที่ถ่ายทำบางส่วนไปที่เกาะแฟร์เวล
แบบนี้ฉินสือโอวก็ถือว่าได้รับการปลดปล่อย พอวินนี่มา เขาก็กลับบ้านได้แล้ว ส่วนนิมิตส์ให้เธอดูแลก็ได้
นกโจรสลัดใหญ่เห็นวินนี่ดีใจกว่าเห็นฉินสือโอวเสียอีก รีบกระพือปีกบินไปตรงหน้าเธอ วนรอบๆ ตัวเธอเหมือนลูกหมาตัวหนึ่ง แล้วเอาหัวคลอเคลียขาเธอยกใหญ่
วินนี่กอดนิมิตส์ขึ้นมา จากนั้นก็มองฉินสือโอวด้วยสายตาแปลกๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร ตรงไปรวมตัวกับคาเมรอนและคนอื่นๆ ที่มารับและคุยกันเล็กน้อย
แต่ว่าพอทั้งสองคนอยู่กันสองต่อสอง จู่ๆ เธอก็ดึงฉินสือโอวแล้วถามว่า “ที่รักคะ คุณเจอเรื่องกลุ้มอะไรหรือเปล่า?”
ฉินสือโอวพูดด้วยความประหลาดใจ “เปล่า ไม่มีอะไรนี่”
วินนี่ส่ายหน้าอย่างแน่วแน่แล้วพูดว่า “ท่าทางคุณแปลกๆ นี่ไม่ใช่คุณ คุณต้องมีเรื่องกลุ้มอะไรแน่ๆ เกี่ยวกับเรื่องหนังหรือเปล่า?”
สัญชาตญาณและเซนส์ของผู้หญิงนี่เยี่ยมจริงๆ ฉินสือโอวอุทาน เขาพูดว่า “ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหนัง ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแต่ผมต้องกลับไป จัดการกับเรื่องนี้สักหน่อย”
ได้ยินฉินสือโอวบอกว่าจะกลับไปวินนี่ก็ขมวดคิ้วไม่พอใจและพูดว่า “คุณยุ่งขนาดนั้นเลยเหรอคะ? ฉันกะว่าอยากจะมาใช้เวลากับคุณที่นี่ ปรากฏว่าพอฉันมาถึงคุณก็จะไป”
ฉินสือโอวจูบเธอก่อนจะพูดว่า “ที่รัก ผมจำเป็นต้องกลับ มีเรื่องสำคัญรอผมอยู่ ถ้าเรื่องนี้จัดการเรียบร้อย คุณก็จะได้เป็นภรรยาของเศรษฐีที่รวยที่สุดในเซนต์จอห์นแล้ว”
วินนี่ดึงแขนเขาไว้ก่อนจะจ้องลึกเข้าไปในตาของเขาและเอ่ยขึ้น “พวกคุณเจอสมบัติเรืออับปางอะไรอีกใช่ไหม? ฟังฉันนะคะฉิน ฉันไม่ได้อยากเป็นภรรยาของเศรษฐีที่รวยที่สุด ฉันแค่อยากให้เราอยู่ด้วยกันก็เท่านั้น พวกเรามีเงินมากพอแล้ว ไม่ใช่เหรอ?”
ฉินสือโอวตบหลังเธอแล้วพูดปลอบใจ “อย่าคิดมากเลย ไม่มีอะไร เราได้อยู่ด้วยกันแน่ๆ”
พอบอกลาวินนี่เสร็จ ฉินสือโอวก็รีบกลับเซนต์จอห์นพร้อมบิลลี่และเหมาเหว่ยหลง
แบบนี้เหมาเหว่ยหลงก็ไม่มีความจำเป็นที่จะอยู่ต่อ เขาเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินเซนต์จอห์นแล้วตรงกลับแฮมิลตันไปดูแลฟาร์มของเขาต่อ
ก่อนที่จะกลับมา ฉินสือโอวโทรหาเบลคกับแบรนดอน ฉะนั้นตอนที่พวกเขากลับมาที่ฟาร์มก็เห็นทั้งสองคนอยู่ที่นั่นแล้ว
ข้างๆ ทั้งสองคนยังมีสาวสวยคนหนึ่งอยู่ด้วย พอเห็นฉินสือโอวแบรนดอนก็ชี้ไปที่เธอแล้วพูดยิ้มๆ “ยังจำเธอได้ไหม?”
ฉินสือโอวจำได้อยู่แล้ว ผู้หญิงคนนี้เป็นแอร์โฮสเตสเหมือนกับวินนี่ ก่อนหน้านี้ที่ไปร่วมประชุมประจำปีด่วนก็คือแอร์โฮสเตสคนนี้ที่บริการพวกเขา
นอกจากนี้เขาก็ติดตามวีแชทของแบรนดอน พอกลับมาจากเกรตแบร์ริเออร์รีฟ ครึ่งปีให้หลังมานี้มักจะเห็นแบรนดอนลงรูปคู่ของทั้งสองคนบ่อยๆ ดูท่าคราวนี้แบรนดอนจะจริงจังเสียแล้ว
แน่นอนว่าอายุเขาก็ไม่น้อยแล้ว ฉินสือโอวนึกว่าเขาจะเป็นพวกครองตัวเป็นโสดเสียอีก
หญิงสาวยื่นมือออกมา และยิ้มกว้างก่อนพูดขึ้น “เทรซี่ สต็อกตัน สวัสดีค่ะคุณฉิน ยินดีที่ได้พบคุณอีกนะคะ”
“สวัสดีครับเทรซี่” ฉินสือโอวพูด “ยินดีต้อนรับสู่ฟาร์มปลาของผม ถ้าชอบล่ะก็ ผมให้คนพาไปเที่ยวได้นะครับ”
เทรซี่พูดพร้อมรอยยิ้มดีใจ “แบบนั้นก็ดีเลยค่ะ”
หลังจากกลับไปที่วิลล่า ฉินสือโอวก็โบกมือเรียกเชอร์ลี่ย์ ให้เธอพาเทรซี่ออกไปเดินเล่น
เทรซี่เดินออกไป ไม่ได้พูดอะไรมาก รอจนเธอไปแล้วฉินสือโอวก็พูดกับแบรนดอนว่า “ต่อไปชีวิตนายคงลำบากแน่”
แบรนดอนยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่สิ ควรบอกว่าดีขึ้นกว่าเดิม เธอก็เหมือนกับวินนี่”
บิลลี่มองทั้งสองด้วยความงุนงงแล้วพูดว่า “พวกนายคุยเรื่องอะไรกัน? ทำไมฉันไม่รู้เรื่อง?”
เบลคพูดยิ้มๆ อย่างจนใจ “ไอ้งั่งอย่างแกก็ยากจะเข้าใจคำพูดซับซ้อนพวกนี้ ดูไม่ออกเหรอ? เทรซี่เป็นผู้หญิงฉลาด เธอรู้ว่าพวกเรามีเรื่องจะคุยกัน ฉะนั้นพอฉินเชิญเธอไปเที่ยวชมฟาร์มปลาเธอไม่ได้พูดอะไรแล้วก็ไปเลย”
บิลลี่เกาจมูกก่อนจะพูดแบบเพิ่งเข้าใจ “มิน่าล่ะ ฉินถึงพูดว่าแบรนดอนจะให้ชีวิตลำบาก มีแฟนเป็นผู้หญิงฉลาดชีวิตก็ลำบากจริง”
ฉินสือโอวเปิดโทรศัพท์และเชิญให้พวกเขานั่งลง “โอเค ไม่คุยเรื่องพวกนี้แล้ว มาพูดเรื่องจริงจังกันดีกว่า ทองพวกนี้จะจัดการอย่างไร? ฉันกับบิลลี่เสนอให้ขนไปทางแอตแลนติกเหนือแล้วค่อยเข้าแคนาดา”
เบลคครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ขนมาแคนาดาเลยก็ไม่เลวนะ ตระกูลฉันมีคอนเนคชั่นเยอะกว่าที่นี่ แต่เอาจริงๆ ทองสิบตันออกจะเยอะไปหน่อย”
บทที่ 1315 ภาษีที่ทำให้รู้สึกสิ้นหวัง
แบรนดอนเป็นคนที่มีอายุมากที่สุดในบรรดาพวกเขาทั้งสี่คน ตอนที่ไปจัดการเรื่องสมบัติใต้น้ำ เขาไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกไปมากนัก ถึงอย่างไรหน้าที่เรื่องการโอนเงินและขั้นตอนการชำระภาษีที่เขาเป็นผู้รับผิดชอบก็ไม่เคยเกิดปัญหามาก่อน
ทว่าคราวนี้เขาได้เผยบุคลิกแบบพี่ใหญ่ที่น่านับถือออกมาให้เห็นแล้ว “จัดการแร่ทองคำเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยาก ก็แค่แร่ทองคำสกัดอย่างหยาบๆ หนึ่งพันตันเองไม่ใช่เหรอ? ลองฟังวิธีของฉันดู ฉันคิดไตร่ตรองมานานแล้ว”
ทั้งสามคนมองไปที่เขา เขาชะงักไปพักหนึ่งแล้วพูดขึ้นมาว่า “แร่ทองคำหนึ่งพันตันที่งมขึ้นมาได้จากเรือหนึ่งลำดูไม่น่าเชื่อถือเกินไป พวกเราสามารถขยายให้มันใหญ่กว่านี้ได้อีก ด้วยการหากลุ่มเรือที่จมอยู่ใต้มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือหนึ่งกอง! แล้วพวกเราก็ยังต้องปล่อยข่าวออกไปด้วย พอถึงเวลานั้นก็ค่อยทิ้งแร่ทองคำสักสิบตันลงไป แล้วให้บริษัทกู้สมบัติใต้น้ำเข้ามาจัดการ”
ฉินสือโอวไหวไหล่ “ทำไมต้องทำอย่างนั้น? นี่ก็เป็นเงินหลายล้านดอลลาร์สหรัฐอยู่เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”
“ขยายกลุ่มคนที่ได้รับผลประโยชน์ให้ใหญ่ขึ้น เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเรื่องนี้ และเป็นการลดความเสี่ยงที่พวกเราจะถูกตรวจสอบ” แบรนดอนกล่าว
ทั้งสามคนพยักหน้ารับเพื่อบอกเป็นนัยว่าพวกเขาเข้าใจแล้ว แบรนดอนก็พูดต่ออีกว่า “แต่เรื่องที่ฉันยังต้องคิดอยู่คือ เราควรจะจัดการเรื่องนี้ที่อเมริกา ทำไมถึงต้องมาจัดการที่แคนาดา? การเก็บภาษีของแคนาดาน่ากลัวเกินไป อย่าจัดการเรื่องเงินๆ ทองๆ ที่นี่เลย”
แคนาดาถูกเรียกว่า “ประเทศแห่งภาษีหลักหมื่น” ระบบงานที่เกี่ยวกับการเก็บภาษีของพวกเขามีความซับซ้อนเป็นอย่างมาก ยากที่จะใช้ตัวเลขเพียงจำนวนเดียวมาอธิบายว่าผู้คนต้องชำระภาษีเป็นจำนวนเงินเท่าไร
แต่ว่าก็ยังมีวิธีคิดคำนวณอย่างง่ายๆ อยู่หนึ่งวิธี นั่นก็คือแคนาดามีวันหยุดที่ได้รับการยอมรับเนื่องจากการปฏิบัติมาอย่างยาวนานที่เรียกว่า “วันอิสรภาพจากภาษี” เป็นวันหยุดตามเทศกาลที่ประชากรแคนาดาเกลียดชังที่สุด
แค่เห็นชื่อก็ทราบได้ถึงความหมายของมัน วันหลังจากวันอิสรภาพจากภาษีรายรับของทุกๆ คนก็จะเป็นอิสระแล้ว เงินที่หามาได้หลังจากวันนี้จึงจะเป็นเงินของพวกเขาอย่างแท้จริง แต่ก่อนหน้าวันนี้หนึ่งวัน เงินส่วนใหญ่ที่ผู้คนหามาได้ล้วนแต่ต้องนำมาชำระภาษีทั้งสิ้น เงินที่หามาได้หลังจากวันนี้ถึงจะเข้ากระเป๋าเงินของพวกเขาเอง
วันอิสรภาพจากภาษีของปีนี้คือวันที่ 8 เดือนมิถุนายน ซึ่งสามารถพูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า เงินที่ชาวแคนาดาหามาได้ก่อนที่จะถึงวันนี้ เงินที่หามาได้ทั้งหมดก็เพิ่งจะเพียงพอสำหรับชำระภาษีของปีนี้พอดี
แน่นอนว่า วันหยุดนี้มีไว้สำหรับชนชั้นคนทำงานกินเงินเดือนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น สำหรับคนที่ร่ำรวยเป็นอันดับต้นๆ อย่างฉินสือโอวกับคนเร่ร่อนพวกนั้น วันหยุดพวกนี้ก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นแล้ว
แต่จากจุดนี้ก็สามารถเห็นได้แล้วว่าการเก็บภาษีของแคนาดาน่ากลัวมากแค่ไหน ชาวต่างชาติมองเห็นเพียงสวัสดิการพิเศษของประเทศนี้ จึงพากันอพยพย้ายถิ่นฐานมาที่นี่ รอจนย้ายถิ่นฐานเข้ามาปักหลักอยู่ที่นี่เรียบร้อยแล้วถึงจะรู้ว่าจริงๆ แล้วตัวเองถูกหลอก ภาษีที่ต้องจ่ายจะทำให้พวกเขาตกใจจนฉี่แทบราดเลยล่ะ
นอกจากนี้แล้ว สถาบันเฟรเซอร์ที่มีชื่อเสียงก็ได้สร้างวิธีรวบรวมสถิติขึ้นมาหนึ่งวิธี พวกเขาเลียนแบบ “ดัชนีราคาผู้บริโภค” ในดัชนีราคารวมของสำนักงานสถิติ ในการสร้าง “ดัชนีชี้วัดภาษีผู้บริโภคของแคนาดา” ขึ้นมา
แคนาดามีการเก็บภาษีที่หลากหลาย รวมไปถึงภาษีประเภทต่างๆ ที่ต้องจ่ายให้กับสหพันธรัฐ และรัฐบาลท้องถิ่นของแต่ละรัฐ อย่างเช่น ภาษีเงินได้ ภาษีเงินเดือน ภาษีสุขภาพอนามัย ภาษีการค้า ภาษีอสังหาริมทรัพย์ ภาษีน้ำมันเชื้อเพลิง ภาษีรถยนต์ ภาษีนำเข้าและภาษีเหล้า-บุหรี่เป็นต้น
หลังจากนำภาษีพวกนี้มารวมกันแล้ว การเก็บภาษีรวมของครอบครัวชาวแคนาดาในปีที่แล้ว รวมแล้วอยู่ที่ 33,272 ดอลลาร์แคนาดา ครองอัตราส่วน 42.1% ของรายได้เฉลี่ย 79,010 ดอลลาร์ ต่อครอบครัว ตามผลการวิจัยของสถาบันเฟรเซอร์ นี่สามารถจัดอยู่ในสิบอันดับแรกของโลกได้เลย
ยังมีบางประเทศที่สุดยอดยิ่งกว่านี้ อย่างเช่นตัวเลขดัชนีของสวีเดนที่สูงถึง 56.6% เดนมาร์ก 55% อารูบา แน่นอนว่าประเทศเหล่านี้มีความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนและคนรวยน้อยที่สุด อีกทั้งประชากรในประเทศก็ยังมีสวัสดิการที่ดีที่สุดอีกด้วย
ฉินสือโอวควักมือถือออกมาลองคำนวณ ‘ติ้กๆ ติ้กๆ’ ดูอยู่สักพัก จากนั้นก็ถอนหายใจพูดว่า “เวรเอ๊ย เมื่อก่อนฉันคิดมาตลอดเลยว่าคราวนี้จะได้กลายเป็นมหาเศรษฐีจากทรัพย์สมบัติที่เพิ่มเป็นสองเท่า แต่ที่จริงแล้วเงินที่ฉันจะได้ก็มีอยู่ไม่เท่าไรเองไม่ใช่เหรอ? อย่างน้อยๆ ก็ต้องจ่ายภาษีตั้ง 50% ต่อให้ฉันจะได้ส่วนแบ่งถึงสองร้อยล้าน แต่ก็ต้องจ่ายภาษีตั้งหนึ่งร้อยล้านน่ะเหรอ?!”
เมื่อพูดจบ เขาก็เริ่มรู้สึกไม่แน่ใจ “ครั้งที่แล้วๆ มาไม่ได้จ่ายเยอะขนาดนั้นไม่ใช่เหรอ?”
พวกเขาเคยนำผลงานศิลปะไปประมูลหลายครั้งแล้ว เมื่อก่อนฉินสือโอวก็เคยลองคำนวณดูแล้ว ทุกๆ ครั้งที่จ่ายภาษีก็ไม่ถึง 20% และไม่มีทางถึง 50% อย่างแน่นอน
แบรนดอนกล่าวว่า “ใช่แล้ว ที่ผ่านมาไม่ได้จ่ายเยอะขนาดนั้น เมื่อก่อนฉันใช้บริษัทจำลองเพื่อทำการหลบเลี่ยงภาษีทุกครั้ง นายต้องรู้ด้วยว่าหลายๆ แห่งบนโลกใบนี้ที่มีการเก็บภาษีที่ค่อนข้างต่ำ อย่างเช่นที่มาเก๊า ที่มีการเก็บภาษีแค่ 12% เท่านั้น ต่อให้รวมเงินติดสินบนทั้งหมดแล้ว ก็ไม่มีทางถึงครึ่งหนึ่งของ 50%”
“แต่ถ้านำแร่ทองคำมาจัดการที่แคนาดา หากคิดจะทำการเลี่ยงภาษีในต่างประเทศอีกมันก็ไม่ง่ายอย่างนั้นแล้วล่ะ แคนาดามีการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับภาษีที่เข้มงวดกว่าที่อเมริกา โดยเฉพาะเรื่องตามจับภาษีนอกประเทศนะ ฟัค แม่งเอาจริงเอาจังสุดๆ ไปเลย!”
เมื่อปรึกษากันอย่างนี้แล้ว ฉินสือโอวกับบิลลี่ก็ตกตะลึงไปเลย ดูท่าว่าถ้าจัดการแร่ทองคำที่อเมริกาคงจะคุ้มทุนที่สุด ภาษีกว่าครึ่งหนึ่ง นี่นับว่ามีมูลค่าที่สูงเกินไปแล้ว
“หรือพวกเราจะทำเรื่องนี้ที่อเมริกา?” ฉินสือโอวถอนหายใจแล้วถามออกมา น่าหดหู่จริงๆ “ฉันกังวลว่าถ้าพวกที่วอร์ชิงตันรู้เรื่องแร่ทองคำของพวกเรา แล้วจะส่งกองทัพเรือมาปล้นไปจากเรา”
ตามกฎหมายว่าด้วยการค้นพบที่กำหนดใช้ทั่วโลก หากพวกเขางมแร่ทองคำพวกนี้ขึ้นมาแล้วนำขึ้นฝั่งที่อเมริกา พวกเขาก็ต้องประกาศเรื่องนี้ผ่านทางสื่อก่อนเป็นอันดับแรก
กฎหมายว่าด้วยการค้นพบเป็นกฎหมายระหว่างประเทศเกี่ยวกับการงมสมบัติที่มีผลบังคับใช้มานานกว่าครึ่งศตวรรษ เดิมทีกฎหมายข้อนี้ไม่ได้ถูกบัญญัติขึ้นเพื่อคุ้มครองเรือหรือสมบัติที่อับปางลงใต้น้ำ แต่ใช้สำหรับทรัพย์สมบัติที่ไม่เคยมีเจ้าของมาก่อนอย่างวาฬ ปลา และสัตว์ทะเลชนิดต่างๆ
ต่อมาเนื่องจากการงมสมบัติในทะเลต่างประเทศเป็นที่นิยมขึ้น กฎหมายว่าด้วยการค้นพบจึงค่อยๆ ถูกนำมาใช้กับซากเรืออับปาง บรรดานักกฎหมายจึงเชื่อว่า นั่นเป็นเพราะเวลาผ่านมาหลายปีแล้ว เรือที่อับปางลงก็หมายถึงสิ่งที่เจ้าของเดิมทิ้งไว้ กลายเป็นของที่ไม่มีเจ้าของเหมือนกันกับสัตว์ทะเล
เกี่ยวกับเรื่องบริษัทกู้ซากเรือ กฎหมายว่าด้วยการค้นพบถือเป็นสิ่งที่ดี สามารถอธิบายกฎหมายข้อนี้อย่างง่ายๆ ได้ว่า “ใครหาเจอก็ให้คนนั้น” ดังนั้นในปัจจุบันเรือที่งมขึ้นมาได้จากน่านน้ำนานาชาติจึงเป็นไปตามระเบียบปฏิบัติแบบนี้แทบจะทั้งหมด ใครค้นพบจุดที่มีซากเรืออับปางแล้วกู้มันขึ้นมาสมบัติที่ได้ก็จะเป็นของคนนั้น
ด้วยเหตุนี้ ภายใต้สถานการณ์ปกติการป่าวประกาศข่าวเรื่องนี้จึงไม่เป็นปัญหา ใครเป็นคนค้นพบ คนนั้นเป็นคนกู้ขึ้นมา และของที่ได้ก็จะตกเป็นของผู้นั้น นี่มีการคุ้มครองจากกฎหมายระหว่างประเทศ ผู้ขุดค้นธรรมดาๆ จะไม่สามารถแย่งชิงไปได้ ต่อให้จะประกาศข่าวที่มีความเกี่ยวข้องกันออกไปก็ไม่เป็นปัญหา
ทว่า รัฐบาลอเมริกามีความสามารถในการทำเรื่องนี้ ถ้าพวกมันได้ข่าวแล้วรีบทำตัดหน้าไปก่อน แล้วจะทำอย่างไรกันล่ะคราวนี้?
หลังจากที่ฉินสือโอวพูดถึงความวิตกกังวลของเขาออกไปแล้ว แบรนดอนกับเบลคก็ส่ายหัว แล้วพูดว่า “นายกังวลจนเกินเหตุแล้ว ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้หรอก ทองคำแค่สิบตัน ไม่มีค่าพอให้รัฐบาลอเมริกาต้องลงมือเองหรอก”
บิลลี่ก็พยักหน้าพูดเสริมว่า “ใช่แล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลย รัฐบาลอเมริกาไม่ได้ชั่วร้ายถึงขั้นนั้นหรอก”
ฉินสือโอวมองหน้าเขาพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “ถ้าอย่างนั้นทำไมก่อนหน้านี้นายถึงได้เห็นด้วยกับฉันที่บอกให้เอาแร่มาจัดการที่แคนาดาล่ะ?”
บิลลี่ทอดถอนใจด้วยความเศร้าแล้วกล่าวว่า “เราสองคนไม่ได้คำนึงถึงเรื่องเดียวกัน ปกติแล้วพวกนายไม่ได้ติดตามข่าวคราวด้านนี้ เลยไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร ไอ้พวกวอชิงตันพวกนั้นไม่ได้แค่กำหนดกฎหมายว่าด้วยเรืออับปางที่ถูกละทิ้งขึ้นมาเอง แต่พวกมันยังคิดที่จะยกเลิกกฎหมายว่าด้วยการค้นพบที่เป็นที่ยอมรับของนานาชาติ ไปใช้ร่างอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมใต้น้ำของยูเนสโกแทนอีกต่างหาก”
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรอีก?” ฉินสือโอวไม่ได้ติดตามข่าวในด้านนี้จริงๆ เบลคก็พอจะได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง ทว่าไม่ได้ติดตามอย่างจริงจัง ส่วนแบรนดอนน่ะเหรอ? ตอนนี้เขาเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เลยยิ่งไม่รู้เรื่องนี้เข้าไปใหญ่
บทที่ 1316 พระราชวังคริสทัลจำลอง
บิลลี่อธิบายเรื่องร่างอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมใต้น้ำของยูเนสโกที่กำลังถูกผลักดันอยู่ในตอนนี้ให้ฟังคร่าวๆ ด้วยรอยยิ้มจืดเจื่อน นี่เป็นกฎหมายระหว่างประเทศที่อเมริกาพยายามเสนอให้นำมาปฏิบัติใช้อย่างจริงจัง โดยจะถือว่าผู้ที่ทำการกู้วัตถุจะไม่มีกรรมสิทธิ์ในวัตถุใดๆ ก็ตามที่ถูกขุดค้นขึ้นมา
ร่างอนุสัญญาฉบับนี้เสนอให้ยกเลิกกฎหมายว่าด้วยการค้นพบและกฎหมายการช่วยเหลือที่ใช้กับซากเรืออับปางที่อยู่ในขอบเขตด้านประวัติศาสตร์ ซากเรืออับปางที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์จะต้องถูกจัดการและได้รับการคุ้มครองเหมือนกันทั้งหมด
นอกจากนี้ เพื่อให้แน่ใจได้ว่าจะสามารถยับยั้งการกู้วัตถุใต้น้ำทางพาณิชย์ทุกประเภทได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าจะเป็นการกู้ซากเรืออับปางในเขตน่านน้ำสากล แต่ทุกประเทศที่ร่วมลงนามก็จะไม่สามารถอนุญาตให้เรือที่ทำการกู้ซากเรืออับปางที่เป็นโบราณวัตถุเข้าเทียบท่าได้
ร่างอนุสัญญายังกำหนดไว้อีกว่า ต้องได้รับการอนุญาตจากในประเทศเท่านั้น ถึงจะสามารถดำเนินการกู้วัตถุใต้น้ำขึ้นมาได้ อีกทั้งประเทศที่มีความเกี่ยวข้องจะต้องยึดวัตถุโบราณทั้งหมดที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของร่างอนุสัญญา และจะมีบทลงโทษทางกฎหมายอย่างเข้มงวด และมีการปรับเงินกับประเทศที่นำเข้าโบราณวัตถุที่ถูกกู้ขึ้นมาอย่างผิดกฎหมาย
สำหรับบริษัทกู้วัตถุใต้น้ำนี่ถือเป็นเรื่องร้ายแรงมาก หากกฎข้อบังคับเหล่านี้ถูกนำมาปฏิบัติใช้ เช่นนั้นแล้วบริษัทกู้วัตถุใต้น้ำกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ในตอนนี้ล้วนแต่ต้องปิดตัวลงทั้งสิ้น
พอได้ฟังบิลลี่อธิบายแล้ว เบลคกับแบรนดอนก็รู้สึกหนาวไปถึงกระดูกสันหลัง “มีเรื่องที่เฮงซวยขนาดนี้ด้วยเหรอ? พวกคนอเมริกาอย่างพวกนายคิดจะทำบ้าอะไรกัน?”
ฉินสือโอวกลับมีท่าทีที่นิ่งสงบ เป็นแบบนี้แล้วมันทำไม? ที่ประเทศของพวกเรา นโยบายที่นำมาปฏิบัติก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้นแหละโอเคไหม
เขาไม่สนใจกฎหมายระหว่างประเทศพวกนี้หรอก ถึงอย่างไรสำหรับเขาแล้วกฎหมายข้อนี้ถือเป็นข้อดีเสียอีก สมบัติที่จมอยู่ใต้มหาสมุทรส่วนใหญ่เป็นโบราณวัตถุไม่ใช่แร่จำนวนมหาศาลแบบนี้ ดังนั้นบริษัทกู้วัตถุใต้นำจึงเป็นคู่แข่งของเขาทั้งนั้น เมื่อไม่มีคู่แข่งเหลืออยู่แล้ว สมบัติใต้ทะเลก็จะเป็นของเขาแค่คนเดียวแล้วไม่ใช่เหรอ?
ส่วนจะอธิบายเรื่องสมบัติพวกนี้อย่างไรนั้น ฉินสือโอวก็แค่บอกว่าเป็นมรดกตกทอดจากปู่สอง เหมือนกับตอนที่จัดการสมบัติจากใต้ทะเลสาบเฉินเป่าก็พอแล้ว แคนาดาคุ้มครองทรัพย์สินส่วนบุคคลจากการล่วงละเมิด
เพียงแต่ว่าตอนนี้เขาจะแสดงออกว่าเขาสนับสนุนข้อกฎหมายใหม่ไม่ได้ เขาจึงแสดงท่าทีไม่พอใจเพราะความโมโหออกมา “ฟัค คนอเมริกานี่แม่งชอบเจ๋อเรื่องของชาวบ้านไปทั่วจริงๆ เลย อย่าเข้าใจผิดนะ บิลลี่ ฉันไม่ได้ว่านาย ฉันหมายถึง…”
“ตอนนี้จะยังพูดอะไรอีก? ชิท หวังจริงๆ เลยว่าพวกวอร์ชิงตันมันจะฉิบหายกันให้หมด!” บิลลี่ก็อดด่าไม่ได้เหมือนกัน “ไอ้ลูกหมาพวกนี้เอาเงินภาษีที่พวกเราจ่ายไปกินไปดื่มไปเลี้ยงเมียน้อย สุดท้ายแม้แต่น้ำซุปก็ไม่เหลือไว้ให้พวกเรากินแม้แต่หยดเดียว!”
ถ้ากฎหมายระหว่างประเทศอันใหม่ถูกนำมาบังคับใช้ บริษัทกู้วัตถุใต้น้ำโอดิสซีย์ที่เป็นตัวแทนครอบครัวของพวกเขาก็ต้องปิดตัวลง และต่อให้ไม่ถูกปิด แต่ถ้าอยากจะหาเงินก็คงทำได้ยากแล้ว
ด่าอยู่สักพัก แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้นประเด็นนี้อยู่ดี จะทำอย่างไรกับทองคำสิบตันพวกนี้?
“ได้เงินน้อยหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก…” ฉินสือโอวส่ายหัวพูดอย่างจนปัญญา “คราวนี้จัดการพวกมันที่แคนาดานี่แหละ”
เบลคส่ายหัวอย่างคนที่มั่นคงในจุดยืน เขากัดฟันแล้วพูดว่า “พวกเราต้องมีจิตใจที่กล้าได้กล้าเสีย เพื่อน เราต้องมีจิตใจที่กล้าได้กล้าเสีย! ช่างหัวกฎหมายระหว่างประเทศ ทุบไปทุบมา รถจักรยานก็กลายเป็นมอเตอร์ไซค์ได้! กู้ขึ้นมาจากอเมริกา แล้วก็ใช้วิธีเดิม ไปเลี่ยงภาษีที่มาเก๊า!”
ปรึกษากันอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่มีไอเดียที่ดีกว่านี้แล้ว สุดท้ายจึงตัดสินใจลองสู้ดูสักตั้ง ตัดสินใจว่าจะไปจัดการแร่ทองคำที่อเมริกาเหมือนเดิม
หลังจากนั้นเทรซี่ก็กลับมา แล้วเอ่ยชมว่าฟาร์มปลาของฉินสือโอวมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามมาก
ฉินสือโอวบอกว่าตอนนี้ยังไม่ดีเท่าไรนัก ที่ฟาร์มปลากำลังเตรียมตัวสร้างสวนดอกไม้ เลยทำให้ไม่เป็นระเบียบเท่าไร อีกทั้งยังไม่ได้สร้างบ่อน้ำร้อน ถ้าสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาจะเชิญทุกๆ คนให้มาเที่ยวพักผ่อนที่นี่
ตกดึกนอนอยู่บนเตียงคนเดียว ฉินสือโอวเปิดหน้าต่างที่อยู่บนหัวนอนออก มองดูแสงดาวเปล่งประกายระยิบระยับท่ามกลางความมืดมิดในยามค่ำคืนอย่างใจลอย ขณะเดียวกันก็พาจิตสำนึกแห่งโพไซดอนทั้งสี่สายดำดิ่งลงไปในน้ำ
เป็นเวลานานมากแล้ว ที่เขาไม่ได้ใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนเพื่อตรวจดูฟาร์มปลา แต่ใช้มันเพื่อขนกระจกนิรภัยใต้น้ำไปที่บริเวณใกล้ๆ กันกับแนวปะการัง เพื่อสร้างวังใต้น้ำที่มีเอกลักษณ์เป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใคร
แน่นอนว่า จิตสำนึกแห่งโพไซดอนไม่ใช่ช่าง มันทำงานที่ต้องใช้ความประณีตละเอียดอ่อนไม่ได้ เขาทำได้แค่ขนกระจกนิรภัยใต้น้ำพวกนี้ไปจัดวางไว้ให้มีรูปทรงเหมือนบ้านก็เท่านั้น
เขาประมาณการไว้ว่าจะสร้างมันขึ้นมาก่อนหน้าที่งานแต่งงานของเขากับวินนี่จะมาถึง แล้วหลังจากนั้นค่อยพาเธอดำน้ำลงไปดู
กระจกใต้น้ำแต่ละชิ้นถูกส่งเข้ามาด้วยความเหน็ดเหนื่อยและลำบากยากเย็น ฉินสือโอวมองดูมันอยู่สักพัก หลังจากนั้นก็ใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนทั้งสามสายส่งกระจกเข้ามาเพิ่มตามส่วนที่ยังขาดต่อไป และให้อีกหนึ่งสายที่เหลือไปหาคราเคน ให้มันออกเดินทางไปยังทิศใต้ เพื่อไปเป็นกำลังหนุนให้กับเรือที่ขนส่งแร่ทองคำ
เรือที่บิลลี่ใช้ในการขนส่งแร่ทองคำล็อตนี้เป็นเรือสำหรับกู้วัตถุใต้น้ำลำหนึ่งจากตระกูลของเขา ระหว่างทางต้องระวังเรื่องการรักษาความลับเป็นอย่างมาก คนที่อยู่บนเรือไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้โทรศัพท์ นอกจากกัปตันเรือและต้นหนเรือแล้ว คนอื่นๆ ที่เหลือจะจับโทรศัพท์ผ่านดาวเทียมไม่ได้ เป็นการรักษาความลับในการทำงานขั้นสูงสุด
หลังจากฉินสือโอวออกคำสั่งกับคราเคนไปแล้ว เขาก็เคลื่อนย้ายจิตสำนึกแห่งโพไซดอนไปไว้ในงูเหลือมทะเลตัวหนึ่ง งูเหลือมทะเลยักษ์จำนวนสิบตัวกำลังว่ายน้ำอยู่ที่ใต้ท้องเรืออย่างรวดเร็ว คุ้มกันเรือกู้งมวัตถุอยู่อย่างลับๆ
ตรวจการณ์ผ่านงูเหลือมทะเลอยู่สักพัก การเดินเรือไม่ได้มีปัญหาอะไร จิตสำนึกแห่งโพไซดอนทั้งสี่สายกวาดดูลาดเลาในบริเวณรอบๆ ด้วยความรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าไม่มีเรือลำอื่นไล่ตามมา เขาจึงดึงจิตสำนึกแห่งโพไซดอนกลับมา และสร้างวังคริสทัลของเขาต่อไป
แบ่งประเภทตามรูปทรงอย่างคร่าวๆ อันดับแรก เขาสร้างผนังทั้งสี่ด้านไว้บนพื้นที่ราบรอบแนวปะการัง แน่นอนว่าในตอนสุดท้ายเมื่อสร้างเสร็จแล้วก็จะมีผนังเพียงสี่ด้านเท่านั้น ถึงอย่างไรก็คงไม่สามารถตั้งขื่อคานอันใหญ่เพื่อทำหลังคาได้หรอกใช่ไหมล่ะ?
หลังคามีไว้สำหรับบังแดดบังฝน แต่ในสภาพแวดล้อมใต้ทะเลแบบนี้ มันจำเป็นจะต้องบังแดดบังฝนด้วยเหรอ?
ยุ่งอยู่กับงานมาตลอดสองคืน วินนี่พานิมิตส์กับบรรดาเพื่อนร่วมงานของเธอกลับมาถึงเกาะแล้ว ฉินสือโอวที่ตั้งใจจะไปรับเธอ ก็ถามเธอว่า “เรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับ?”
วินนี่ทำท่าทางมือบอกเขาว่า ‘โอเค’ แล้วพูดว่า “ใช่ค่ะ พวกเขาแค่อยากถ่ายทำฉากมรสุมที่ไมอามี่เท่านั้น ส่วนเรื่องราวของฟาร์มปลาจะถูกถ่ายทำในเมือง แล้วก็จะเปิดเส้นทางการท่องเที่ยวสายใหม่เพิ่มอีกหนึ่งสาย ใช่ไหมคะ?”
“นี่เป็นความดีความชอบของผม คุณต้องตอบแทนผมด้วยนะครับ” ฉินสือโอวพูดไปยิ้มไป เขาเข้าไปรับนิมิตส์ เจ้าตัวหลังถลึงตาใส่เขาด้วยความไม่พอใจ มันกระพือปีกบินขึ้นสูง ไปรวมตัวกับบุชและแคลร์ที่เขาพามาด้วยกันหลังจากนั้นก็พากันบินหนีไป
วินนี่พูดอย่างยิ้มๆ ว่า “ฮ่า คราวนี้คุณทำให้ลูกไม่พอใจจริงๆ แล้วล่ะ คุณพามันไปไมอามี่ แต่ตัวเองดันหนีมาก่อน”
ฉินสือโอวกล่าวว่า “แต่ผมก็ยังให้คุณอยู่เป็นเพื่อนมันไม่ใช่เหรอครับ?”
กลับมาถึงฟาร์มปลาแล้ว พอฉินสือโอวลงรถ เขาก็มองเห็นหู่จือกับเป้าจือที่กำลังนั่งอยู่ในพงหญ้ากำลังมองดูอะไรสักอย่างด้วยความสนอกสนใจเป็นอย่างยิ่ง ขนาดเขากับวินนี่กลับมาบ้านก็ยังไม่ได้รับความสนใจจากพวกมันเลย
ฉินสือโอวเดินตามไปแนวสายตาของสัตว์เลี้ยงทั้งสองตัว เงาร่างสีเทาของพี่น้องเฟอเรทปรากฏตัวอย่างเลือนรางอยู่ในพงหญ้าสีเขียวสด พวกมันทั้งสองตัวย่ำเท้าหาของอยู่ในพงหญ้าไปทางซ้ายทางขวาด้วยท่วงท่าอ่อนช้อย ไม่รู้ว่ากำลังหาอะไรอยู่
หาอยู่สักพัก อยู่ๆ เฟอเรทผู้พี่ที่มีร่างกายแข็งแรงกว่าก็สะบัดหัวด้วยความกระปรี้กระเปร่า อีกเดี๋ยวต่อมามันก็กระโดดขึ้นไปในอากาศ แล้วมุดหัวเข้าไปในโพรงใต้พงหญ้า
ต่อจากนั้น เสียงร้องแหลมก็ดังขึ้นมาจากในโพรงทันที พอฉินสือโอวได้ยินก็คิดว่า นี่ใช่เสียงของกระรอกดินหรือเปล่านะ?
เขารีบเดินเข้าไปดู ก็เห็นเฟอเรทผู้พี่กำลังลากลูกกระรอกดินตัวหนึ่งออกมาข้างนอก หางเล็กๆ กระดกขึ้นอย่างแรง พร้อมออกแรงกดอุ้งเท้าเล็กไว้บนพื้น ลูกกระรอกดินตัวนั้นทั้งดิ้นทั้งร้อง แต่ก็ยังถูกมันลากออกมาอยู่ดี
ฉินสือโอวรีบจับเฟอเรทผู้พี่ขึ้นมา ในที่สุดลูกกระรอกดินก็หนีรอดจากอุ้งมือมารได้แล้ว มันรีบไปหลบอยู่ที่ด้านหลังเท้าของเขา แล้วเงยหน้าขึ้นไปมองเขาด้วยความรู้สึกน้อยใจเพราะไม่ได้รับความเป็นธรรม ดวงตาสีดำกลมโตคลอไปด้วยหยดน้ำตา
บทที่ 1317 เสี่ยวหมิงไปไหนแล้ว
เห็นฉินสือโอวจับพี่น้องเฟอเรทขึ้นมา วินนี่ก็เข้ามาถามว่า “เกิดอะไรขึ้นคะ?”
ฉินสือโอวรู้สึกกลุ้มใจอยู่นิดหน่อย เขากล่าวว่า “เฟอเรทสองตัวนี้จ้องพวกลูกกระรอกดินตาเป็นมันเลย ผมกลัวว่าพวกมันจะกินลูกกระรอกดินเข้าไปน่ะ”
พอพูดจบ เขาก็หันไปจ้องหู่จือกับเป้าจือที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างว่านอนสอนง่าย แล้วดุพวกมันว่า “ลุกขึ้น พวกแกสองตัวนั่งอยู่ตรงนั้นทำไม? ดูหนังหรือยังไง? ทำไมไม่รู้จักช่วยลูกกระรอกดิน?”
หู่จือกับเป้าจือรีบลุกขึ้นยืน แล้วส่ายหางเอาใจฉินสือโอว
วินนี่อุ้มลูกกระรอกดินที่ยังอกสั่นขวัญแขวนไม่หายตัวนั้นขึ้นมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เธอพูดขึ้นมาว่า “ไม่ใช่ค่ะ อาจจะไม่ใช่การล่าอาหารก็ได้ ฉันคิดว่าพวกมันอาจจะแค่อยากจะเล่นเกมแมวจับหนู แกล้งลูกกระรอกดินเล่นๆ”
ในตอนนี้ก็มีหัวเล็กๆ สีเหลืองโผล่ออกมาจากพงหญ้าอีกครั้ง พอลูกกระรอกดินพวกนี้ยื่นหัวออกมามองแล้วเห็นฉินสือโอวกับวินนี่ พวกมันก็รีบวิ่งออกมาทันที บางตัวมีรอยเลือดติดอยู่บนขนสีเหลือง บางตัวก็ยกเท้าวิ่งโขยกเขยกเข้ามาที่ทางด้านหน้าของทั้งสองคนแล้วพากันร้องครวญครางอย่างน่าสงสาร
พอพี่น้องเฟอเรทอ้าปากร้องเสียงแหลมใส่พวกมัน พวกลูกกระรอกดินก็ถอยไปข้างหลังด้วยความรีบร้อน พากันเข้ามาอยู่ใกล้ๆ กันด้วยท่าทางที่น่าสงสาร
ฉินสือโอวมองดูท่าทางของลูกกระรอกดินที่กำลังตกที่นั่งลำบาก เขาก็พูดด้วยสีหน้าที่ไม่ดีว่า “เฟอเรทสองตัวนี้เป็นสัตว์ป่าที่ยังไม่ได้รับการฝึก คุณดูที่พวกมันทำกับลูกกระรอกดินทั้งครอบครัวสิ นี่คือท่าทางของสัตว์ที่แกล้งกันเล่นเหรอ?”
วินนี่มองดูเฟอเรทแบลคฟุต เธอควักมือถือออกมาออกมาค้นหาข้อมูลอยู่สักพัก หลังจากนั้นเธอก็คิดออกแล้วพูดขึ้นมาว่า “อ้อ ฉันรู้แล้วค่ะ พวกมันไม่ได้จะแกล้งเล่น เฟอเรทในช่วงอายุราวๆ สามสี่เดือนจะเริ่มฝึกล่าอาหาร พวกมันจะใช้ลูกกระรอกดินทั้งครอบครัวเพื่อฝึกทักษะการล่าอาหารนั่นเอง”
เฟอเรทแบลคฟุตมีความชื่นชอบต่อสัตว์ตระกูลหนูเป็นพิเศษ อย่างในตอนที่แพรรีด็อกถูกญาติของพวกมันทำให้บาดเจ็บสาหัสจนทรมานยิ่งกว่าตาย
ฉินสือโอวรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว แต่พี่น้องเฟอเรทยังอายุน้อย ขนาดตัวก็ยังเล็ก ตัวเล็กกว่าลูกกระรอกดินตั้งสองเท่า เขาคาดไม่ถึงว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกลูกกระรอกดินก็ยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับเฟอเรทแบลคฟุต
นี่คือสิ่งที่เรียกว่าการสยบศัตรูทางธรรมชาติ เดิมทีลูกกระรอกดินก็เป็นสัตว์ป่าตัวน้อยที่ว่านอนสอนง่ายอยู่แล้ว พวกมันมีนิสัยขี้ขลาด แค่ลมพัดหญ้าไหวพวกมันก็มุดเข้าไปซ่อนตัวในรูแล้ว โดยเฉพาะกับเฟอเรทแบลคฟุตที่เป็นศัตรูโดยธรรมชาติของพวกมัน พวกมันก็ยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่
ฉินสือโอวจิ้มหน้าผากพวกลูกกระรอกดินอย่างพ่อที่อยากให้ลูกทำตัวดีขึ้น เขาพาพี่น้องเฟอเรทมาไว้ตรงหน้าพวกมัน แล้วพูดด้วยความโมโหว่า “สัตว์ที่ตัวเล็กแค่นี้พวกแกกลัวทำไมกัน?”
พอพี่น้องเฟอเรทเข้ามาใกล้ ลูกกระรอกดินทั้งครอบครัวก็พากันก้าวถอยหลังทันที ต่อจากนั้นก็มุดหัวลงไปขุดรูอย่างรวดเร็ว แล้วมุดลงไปติดๆ กัน ผ่านไปได้สักพักถึงเพิ่งจะกล้าโผล่หัวออกมาอย่างเหนียมอาย
ฉินสือโอวถอนหายใจออกมา แล้วพูดว่า “พอไม่มีเสี่ยวหมิงที่คอยปกป้องพวกมัน เจ้าพวกนี้ก็ทำอะไรไม่เป็นเลย ใช่แล้ว เสี่ยวหมิงล่ะ? ทำไมมันถึงได้ยอมให้เพื่อนตัวน้อยของตัวเองถูกรังแกจนมีสภาพแบบนี้กันล่ะ?”
วินนี่มองไปรอบๆ แล้วพูดว่า “น่าจะไม่อยู่ที่นี่นะคะ ไม่อย่างนั้นพวกกระรอกดินคงจะไปหามันตั้งแต่นานแล้ว ลูกเฟอเรทเองก็คงไม่กล้ารังแกพวกมันแบบนี้แน่”
ตามหาอยู่สักพักแต่ก็หาเสี่ยวหมิงไม่เจอ ฉินสือโอวลองไปดูที่ใต้ต้นชูการ์เมเปิล แต่ก็ไม่มีร่องรอยของเสี่ยวหมิง เขาจึงเริ่มรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาแล้ว
กลับไปที่บ้านก่อนแล้ว ที่นั่นเธอกำลังอุ้มลูกสาวที่ไม่ได้เจอกันมาสองวันพร้อมกับเรียกว่าลูกรักๆ อยู่อย่างนั้น เสี่ยวเถียนกวาบิดตัวอย่างแรง เพราะไม่อยากให้เธออุ้ม เธอแค่อยากคลานเล่นด้วยตัวเธอเองก็เท่านั้น
แม่ของฉินสือโอวพูดด้วยรอยยิ้มอิ่มอกอิ่มใจว่า “เด็กน้อยในครอบครัวของพวกเราโตเร็วจริงๆ เลย ดูสิตอนนี้เธอก็สามารถคลานได้แบบนี้แล้ว ใช้เวลาอีกไม่เท่าไรเดี๋ยวก็คงเดินได้แล้วล่ะ”
วินนี่พูดอย่างยิ้มๆ ว่า “ถ้าเสี่ยวเถียนกวาวิ่งเป็น พวกสัตว์เลี้ยงในบ้านก็คงซวยแล้วละค่ะ เธอค่อนข้างเหมือนฉันตอนยังเป็นเด็กอยู่นิดหน่อย ตอนเป็นเด็กฉันเป็นหัวหน้าแก๊งเลยละค่ะ แล้วฉินละคะ? ฉินเป็นแบบนั้นไหม?”
พ่อของฉินสือโอวพ่นลมหายใจต่ำออกทางจมูก พูดว่า “หนูถามถึงเสี่ยวโอวน่ะเหรอ? เสี่ยวโอวเป็นพวกแข็งในอ่อนนอก อย่างกับหมัดกระโดดใส่ไฟสุมเตียง เก่งแต่ตอนอยู่ในบ้าน พอพ้นประตูบ้านไปก็กลายเป็นคนขี้กลัวแล้ว”
ฉินสือโอวร้องเหอะอย่างอ่อนระโหยโรยแรง หลังจากนั้นก็กลับมาร้อนรุ่มกลุ้มใจต่อ
แม่ฉินมองดูเขาด้วยความรู้สึกประหลาดใจ แล้วถามขึ้นมาว่า “แกเป็นอะไรไป? สีหน้าไม่ค่อยดีเลย เรียกหมอโอดอมมาดูอาการหน่อยไหม?”
ฉินสือโอวพูดอย่างจนปัญญาว่า “ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมกำลังเป็นห่วงเสี่ยวหมิงอยู่น่ะ ใช่แล้ว พ่อครับแม่ครับ หลายวันมานี้มีใครเห็นเสี่ยวหมิงบ้างไหม?”
กระรอกน้อยมีความอยากอาหารต่ำ โดยทั่วไปแล้วมันจะจัดการปัญหาเรื่องอาหารด้วยตัวเอง มันปีนป่ายกระโดดโลดเต้นได้ วิ่งก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดสน เบอร์รีหรือผักสด ก็ไม่ได้สร้างความลำบากให้กับมัน ดังนั้นปกติแล้วมันจึงไม่ได้กลับมากินอาหารที่นี่
พ่อฉินแม่ฉินส่ายหัว แม่ฉินพูดว่า “ใช่แล้ว หลายวันมานี้ไม่ได้เห็นกระรอกน้อยเลย”
ฉินสือโอวก็ยิ่งเป็นกังวลมากขึ้นไปอีก เขาพูดว่า “ไม่ได้การแล้ว ผมต้องออกไปตามหามัน”
เขาคนเดียวอาจจะหามันไม่เจอ ทว่าเขามีหู่จือกับเป้าจืออยู่ด้วย เขาจึงหยิบรูปถ่ายออกมาให้สุนัขแลบราดอร์ทั้งสองตัวดู แล้วถามว่า “มันหายไปไหนแล้ว?”
หู่จือกับเป้าจือมองดูฉินสือโอวอยู่สักพัก หลังจากนั้นจึงหมุนตัววิ่งออกไปข้างนอก ฉินสือโอวจึงวิ่งตามพวกมันไปด้วยความเร่งรีบ
ปรากฏว่าพอออกมาข้างนอกแล้ว พวกสุนัขแลบราดอร์ก็วิ่งตะบึงเข้าไปทางป่าเล็กโดยพลัน ฉินสือโอววิ่งตามไม่ทัน เขาทำได้แค่ตะโกนบอกให้พวกมันวิ่งช้าลงอีกหน่อย
วินนี่เรียกเขาให้กลับเข้า เธอพูดกับเขาว่า “หาเสี่ยวหมิงไม่เจอ บางทีมันน่าจะเข้าไปหาสัตว์ชนิดเดียวกันบนภูเขาแล้วหรือเปล่าคะ? ฤดูร้อนเป็นฤดูติดสัดของกระรอกแดง นี่มันเป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ?”
ฉินสือโอวก็ยังรู้สึกเป็นกังวลอยู่ดี เสี่ยวหมิงเป็นสัตว์เลี้ยงที่อยู่กับเขามาตั้งแต่แรก แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นกระรอกแดง สัตว์ชนิดนี้ไม่เคยถูกฝึกมาก่อน ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วพวกมันจึงไม่ชอบอยู่ใกล้ชิดกับคนเท่าไรนัก
ดังนั้นหลังจากที่เลี้ยงหู่จือกับเป้าจือ ฉินสือโอวก็ปฏิบัติกับมันอย่างเย็นชา ตอนนี้เมื่อลองมาคิดดูเขาก็รู้สึกอยากจะขอโทษเสี่ยวหมิงบ้างแล้ว
หู่จือกับเป้าจือแลบลิ้นหันมามองเขาจากที่ไกลๆ เขากัดฟันแน่น แล้วรีบขับรถเอทีวีตามเข้าไป
เป็นอย่างที่คิดไว้ สุนัขแลบราดอร์วิ่งเข้าไปในป่าเล็กแล้ว พอวิ่งเข้ามาข้างในป่าเล็กพวกมันก็ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อแล้วเหมือนกัน ทำได้แค่ร้องโฮ่งๆ แหงนหน้ามองฉินสือโอวอยู่อย่างนั้น
ฉินสือโอวอุ้มสุนัขแลบราดอร์ทั้งสองตัวขึ้นมาอยู่บนรถ ใจของเขาเริ่มนิ่งขึ้นมาบ้างแล้ว แบบนี้ดูเหมือนว่าวินนี่น่าจะพูดถูก เสี่ยวหมิงขึ้นเขาไปหาคู่แล้วนั่นเอง
เมื่อคิดถึงเรื่องหาคู่ ฉินสือโอวก็อดหันไปมองหู่จือกับเป้าจือไม่ได้ นี่เรียกได้ว่าเป็นหนุ่มโสดตามมาตรฐานเลยล่ะ ตอนนี้พวกมันก็อ้วนท้วนแข็งแรงบึกบึนแล้ว ถึงวัยที่ควรจะได้รับการปลดปล่อยแล้ว เขาจะเมินเฉยกับปัญหานี้ไม่ได้
หู่จือกับเป้าจือติ๊งต๊องไม่รู้เรื่องรู้ราว พอเห็นฉินสือโอวมองมา พวกมันก็เกาะไหล่เขาไว้ โน้มเข้าไปใกล้ๆ เริ่มออดอ้อนเขาด้วยการใช้หน้าผากนุ่มลื่นถูกับใต้คางของเขาทันที
เห็นว่าท้องฟ้ายังสว่างอยู่ จากเรื่องของเสี่ยวหมิงทำให้ฉินสือโอวนึกได้ว่าเขาไม่ได้เล่นกับพวกสัตว์เลี้ยงมานานมากแล้ว เขาจึงกลับไปลากฉงต้า ปอหลัว ราชาเจ้าป่าซิมบ้ากับหลัวปอมาด้วยกัน แล้วขับเจ็ทสกีลากพวกมันออกไปที่ทะเล
นี่ทำให้หลัวปอตกใจจนขวัญเสีย มันกลัวน้ำสุดขีด จึงใช้อุ้งเท้ากดกับแผ่นพลาสติกนอนหมอบอยู่บนเกาะล่องแก่ง มันแหงนหน้าขึ้นไปบนฟ้าร้องครวญครางออกมาไม่หยุดไม่หย่อน “บรู๊วๆ! บรู๊วๆๆๆ!”
ขับเคลื่อนเทพเจ้าสายฟ้ามืดสาดละอองคลื่นไปทั่ว พวกชาร์คนั่งเรือกลับมาเจอพอดี เมื่อได้เห็นภาพนี้ก็เอ่ยชมออกมาว่า “เฮ้ บอสครับ สมแล้วที่หลัวปอเป็นถึงราชาหมาป่า คุณดูท่าร้องคำรามตอนที่อยู่บนน้ำของมันสิ สง่างามไม่แพ้ภาพหมาป่าภูเขาร้องคำรามใต้แสงจันทร์เลย!”
“ผมกล้าพนันเลยว่า หลัวปอต้องอยากลงน้ำแน่ๆ มันกำลังร่ำร้องเพราะต้องการจะเอาชนะมหาสมุทรให้ได้ ใช่ไหม?”
หลัวปอหันหัวกลับไปถลึงตาใส่พวกชาวประมง มันไปทำอะไรให้โกรธแค้น? ไม่รู้เหรอว่าถ้าลงน้ำแล้วฉันจะกลายเป็นลูกหมาตกน้ำน่ะ?
ขณะที่ทางฝั่งของสาวน้อยหมาป่าขาวกำลังหวาดกลัว ทันใดนั้นฉงต้าก็ลุกยืนขึ้น มันหันไปถลึงตาโตใส่พวกชาวประมง ต่อจากนั้นก็แหงนหน้าร้องคำรามออกมาสองครั้ง แล้วเริ่มวิ่งอยู่บนเกาะล่องแก่ง
บทที่ 1318 ฉงต้าเจ็บปวดหัวใจ
ตอนนี้ฉงต้าเป็นหมีโตเต็มวัยที่มีรูปร่างสูงใหญ่แล้ว พอมันวิ่งอยู่บนเกาะล่องแก่ง แล้วเกาะพลาสติกอันเล็กๆ จะไปรับไหวได้อย่างไรกัน? ทันใดนั้นเกาะพลาสติกทั้งอันก็สั่นไหวอย่างรุนแรง
กล้ามเนื้อของหลัวปอแข็งตึงไปทั่วทั้งร่างกาย ขนนุ่มละเอียดสีขาวราวกับหิมะเส้นยาวตั้งตรงขึ้น มันแหงนหน้าถลึงตาใส่ฉงต้าพร้อมกับส่งเสียงร้องคำรามอย่างเดือดดาล “โฮ่งๆ! โฮ่งๆๆๆ!”
ฉินสือโอวหยุดเจ็ทสกี เขาหันกลับไปมอง เขาเข้าใจความหมายจากเสียงเห่าร้องของหลัวปอได้ในทันที ไอ้เซ่อแกอยู่นิ่งๆ เดี๋ยวนี้เลยนะ! นั่งลง! ไม่อย่างนั้นก็ไสหัวออกไปซะ!
ฉงต้าเลือกทางสุดท้าย มันวิ่งบุกเข้าไปหาเรือของพวกชาร์ค พอวิ่งมาถึงริมเกาะล่องแก่งมันก็กระทืบเท้าอย่างแรงแล้วกระโดดลงไปในน้ำ ว่ายน้ำไปทางฟาร์มปลาเหมือนกับทุ่นลูกบอลลอยน้ำ
ราวกับว่าเกาะล่องแก่งกำลังประสบกับแผ่นดินไหว ครึ่งหนึ่งของเกาะจมลงไปในน้ำ เมื่อเป็นเช่นนี้แผ่นพลาสติกอีกครึ่งหนึ่งจึงกระดกขึ้นไปข้างบน พวกสัตว์เลี้ยงที่อยู่บนเกาะก็พากันลื่นจนตกลงไปในน้ำ
หู่จือเป้าจือไม่สนใจ พวกมันว่ายน้ำเป็นอยู่แล้ว ราชาเจ้าป่าซิมบ้าเองก็ไม่ใส่ใจเช่นกัน ก็แค่น้ำ ถ้าดื่มเข้าไป ก็แค่คายออกมา นี่มีอะไรน่ากลัวตรงไหนกัน?
หลัวปอตกใจกลัวจนแทบทนไม่ไหวแล้ว เดิมทีหน้าก็เป็นสีขาวเหมือนหิมะอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะขาวซีดยิ่งกว่าเดิมเสียอีก…
แต่ว่าอุ้งเท้าของมันยังคงยึดติดอยู่ในร่องบนแผ่นพลาสติกอย่างเหนียวแน่น ทำให้มันไม่ได้ลื่นตกลงไปในน้ำ แต่ห้อยอยู่บนเกาะล่องแก่งแทน เมื่อเป็นแบบนี้พอเกาะล่องแก่งค่อยๆ ลอยขึ้นมามันก็เลยปลอดภัยไม่ตกลงไปในน้ำ
ปอหลัวก็ไม่กลัวน้ำเหมือนกัน หลังจากร่วงลงไปในน้ำมันก็เริ่มดำผุดดำว่ายทันที มันดำน้ำลงไปดูว่าพอจะมีสาหร่ายทะเลที่มันสามารถงมขึ้นมากินได้บ้างไหม
ราชาเจ้าป่าซิมบ้าเองก็ไม่ได้กลัวน้ำ หลังจากร่วงลงไปในน้ำ ซิมบ้าก็ขยับขาทั้งสี่ข้างว่ายน้ำอย่างสบายอกสบายใจ หลังจากนั้นไม่กี่วินาที สีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อนก็หายไปไม่เหลือไว้ให้เห็น ถูกแทนที่ด้วยความหวาดกลัว แล้วลูกแมวป่าก็ค่อยๆ จมลงไปในน้ำ
ฉินสือโอวหมุนตัวกลับไปมองดูสัตว์เลี้ยงที่กำลังสร้างความวุ่นวายอยู่ในน้ำ หลังจากนั้นเขาก็ถามชาร์คว่า “แมวป่าก็ว่ายน้ำเป็นเหรอ?”
ชาร์คพูดอย่างงงงันว่า “ไม่รู้สิครับ สัตว์ตระกูลแมวน่าจะว่ายน้ำไม่เป็นไม่ใช่เหรอครับ? เขาว่ากันว่าแมวเป็นสัตว์ที่ได้มาจากการฝึกสอนของคนอียิปต์ไม่ใช่เหรอ? อียิปต์ไม่มีทะเล แล้วพวกมันจะว่ายน้ำเป็นได้ยังไง?”
บูลเถียงอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “พูดจาไร้สาระ ทะเลแดงไม่ใช่ทะเลเหรอ? ในหนังสืออพยพ ศาสดาพยากรณ์โมเสสผ่านไปที่ไหนกันล่ะ? ไม่ใช่ทะเลแดงหรอกเหรอ?”
แซ็กเห็นด้วยกับบูล จึงพูดขึ้นมาว่า “ใช่ เพื่อน นายพูดถูกทุกอย่างเลย ‘เมื่อเวลานั้นมาถึง เมื่อโมเสสชี้ไม้เท้าไปที่ทะเล พระยโฮวาห์ก็บันดาลให้เกิดลมตะวันออก ทำให้น้ำทะเลถอยกลับอยู่หนึ่งคืน น้ำแยกออกจากกัน ทะเลที่เหือดแห้งกลายเป็นพื้นดิน ชาวอิสราเอลเดินลงสู่พื้นดินบนทะเลที่เหือดแห้ง น้ำกลายเป็นกำแพงขนาบข้างพวกเขาทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวาแบบนั้นใช่ไหม?”
นีลเซ็นก็พูดว่า “แมวเบงกอลก็ว่ายน้ำได้นะ แต่ว่า ทำไมพวกเราต้องเถียงกันเรื่องนี้ด้วย? บอส แมวป่าว่ายน้ำไม่ได้นะ พวกมันอาศัยอยู่บนต้นไม้กับในพื้นหิมะ จะว่ายน้ำเป็นได้ยังไง?”
ฉินสือโอวชะงักงันไปทันที ต่อจากนั้นเขาก็สบถออกมาว่า ‘ชิท’ แล้วกระโดดจากเจ็ทสกีลงไปในทะเล จิตสำนึกแห่งโพไซดอนมองหาลูกแมวป่าจนเจอ เจ้าเด็กนี่ว่ายน้ำไม่เป็นจริงๆ ขาเล็กสั้นทั้งสี่ข้างปัดป่ายไปมาอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ตัวของมันก็ยังจมดิ่งลงไปเรื่อยๆ
เขากลัวว่าลูกแมวป่าจะเป็นอะไรไป ฉินสือโอวใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนม้วนเอามันขึ้นมา ส่งมันขึ้นมาให้พ้นผิวน้ำ หลังจากนั้นเขาก็ว่ายน้ำเข้าไปหาลูกแมวป่าอย่างรวดเร็ว แล้วพามันขึ้นไปอยู่บนเกาะล่องแก่ง
นีลเซ็นที่อยู่บนเรือพูดขึ้นมาว่า “ร่างกายของแมวป่าไม่เหมาะกับการว่ายน้ำ เพื่อให้อุ้งเท้าของพวกมันปรับตัวเข้ากับการเดินบนพื้นหิมะ มันเลยมีขนที่ยาวมาก เหมือนกับสวมรองเท้าบูตกันหิมะ ฉันขอถามพวกนายหน่อย มีตัวอะไรบ้างที่สวมรองเท้าบูตกันหิมะแล้วยังว่ายน้ำได้?”
ฉินสือโอวลองหันไปมองดู ขนเส้นบางละเอียดบนขาสั้นเล็กของราชาเจ้าป่าซิมบ้าเปียกจนกลายเป็นกลุ่มก้อน ถ้าให้มันสะบัดขาว่ายน้ำภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ก็นับว่ารังแกกันเกินไปแล้วจริงๆ
“แล้วทำไมนายไม่รีบบอกตั้งแต่แรก?” ฉินสือโอวถลึงตาใส่นีลเซ็นอย่างคนอารมณ์ไม่ดี
นีลเซ็นไหวไหล่ “ผมไม่ทันสังเกต ผมแค่อยากรู้ว่า ฉงต้าว่ายน้ำมาทางพวกเราทำไม?”
เรื่องนี้ฉินสือโอวก็เพิ่งรู้ว่าเมื่อสักครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้น เขากล่าวว่า “ใครเป็นคนแขวนปลาไว้บนเรือ? นี่คือปลาอะไร? ทำไมถึงได้แขวนไว้เยอะขนาดนี้?”
ด้านนอกตรงด้านข้างเรือที่ขับมามีปลาตัวอ้วนหลายสิบตัวที่ถูกร้อยเข้าไว้กับเส้นเอ็นตกปลา ปลาพวกนี้มีสีแดงทั่วทั้งตัว กำลังแกว่งไปแกว่งมาอาบแสงแดดอยู่ตรงนั้น คิดว่าฉงต้าน่าจะเห็นแล้วเกิดความรู้สึกอิจฉาขึ้นมา
ชาร์คชี้ไปที่ปลาที่แขวนไว้ข้างนอกพวกนั้นแล้วพูดอย่างยิ้มๆ ว่า “นั่นคือปลากะพงแดงครับ เรียกอีกอย่างว่าปลาแดง เหมาะกับการนำมาทำเป็นปลาตากแห้งมากๆ เพราะพวกมันไม่ดึงดูดแมลงวัน”
ฉินสือโอวพยักหน้ารับ นีลเซ็นบอกให้บูลขับเรือเข้าไปใกล้ๆ แล้วส่งผ้าขนหนูที่ยังแห้งอยู่ให้กับเขาหนึ่งผืนพร้อมกับบอกว่า “รีบเช็ดตัวลูกแมวป่าให้แห้งเถอะครับ สัตว์ตระกูลแมวนอกจากเสือดาว แมวเบงกอลกับพวกที่เหลืออีกไม่กี่ชนิด พวกสัตว์ชนิดอื่นในตระกูลแมวถ้ามีน้ำเกาะอยู่บนตัวนานๆ ต้องไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่”
ฉินสือโอวปีนขึ้นไปบนเกาะล่องแก่ง แล้วย้ายแมวป่ามาอยู่ตรงกลาง
หลัวปอคลานไปข้างหน้าอย่างผู้มีประสบการณ์ มันเคลื่อนที่ทีละก้าวไปจนถึงตรงกลาง หลังจากนั้นก็ถอนหายใจออกมา แล้วมุดหัวเข้าไปในอ้อมกอดของฉินสือโอว ไม่ยอมแม้กระทั่งจะหันไปมองดูทะเล ไม่มองก็ไม่เห็นจะได้ไม่ต้องกลัว
หลังจากเล่นกันอยู่ในน้ำได้สักพักหู่จือก็อยากปีนขึ้นมาบ้าง ฉินสือโอวเข้าไปผลักมันลงน้ำอีกครั้ง พอเป้าจือจะปีนขึ้นมาจากอีกฝั่ง เขาก็วิ่งไปผลักมันลงน้ำอีกรอบ
หู่จือกับเป้าจือรู้สึกกระปรี้กระเปร่าคึกคักขึ้นมาทันที พวกมันชอบเล่นมากจริงๆ พอเห็นว่าฉินสือโอวยอมเล่นเป็นเพื่อน พวกมันก็ไม่เหน็ดไม่เหนื่อยอีกต่อไป พากันว่ายน้ำรอบเกาะล่องแก่ง แล้วหลังจากนั้นก็ปีนขึ้นมา
ฉินสือโอววิ่งไปผลักพวกมันให้ลงไปจากเกาะ ปอหลัวมองดูอยู่สักพักแล้ว มันก็รีบว่ายน้ำเข้ามาหาเพราะอยากเล่นเกมด้วยเหมือนกัน ในตอนนี้ฉงต้าที่กินปลาแดงไปสองตัวก็กำลังกลับมาหาอย่างอืดอาดเชื่องช้า แน่นอนว่า ฉินสือโอวก็ไม่ยอมปล่อยให้มันขึ้นมาบนเกาะล่องแก่งเหมือนกัน
ฉงต้ากระวนกระวายใจขึ้นมาแล้ว มันยื่นอุ้งเท้าใหญ่ออกไปตบเกาะล่องแก่งอย่างแรง อีกนิดเดียวก็จะทำให้เกาะล่องแก่งคว่ำแล้ว
ซิมบ้ากับหลัวปอตกใจกลัวจนฉี่แทบราด จนพากันขู่คำรามใส่ฉงต้าไม่หยุด
ฉินสือโอวลากฉงต้าให้ว่ายน้ำออกไปไกลๆ หลังจากนั้นเขาก็ขึ้นไปบนเจ็ทสกี แล้วเร่งคันเร่งลากเกาะล่องแก่งออกไป
ฉงต้าร้อนใจจะแย่แล้ว มันปัดป่ายอุ้งเท้าที่ทั้งใหญ่ทั้งหนาอย่างแรง พยายามยื่นคอออกมาให้พ้นผิวน้ำ พร้อมกับร้องสะอึกสะอื้นครวญครางเรียกหาฉินสือโอว
ฉินสือโอวขับห่างออกไปอีกนิด เขายิ้มแล้วหันหลังกลับมามองดู ทันใดนั้นเขาก็พบว่าฉงต้าไม่ได้ตามมาด้วยแล้ว แต่ลอยตัวอยู่บนผิวน้ำแล้วจ้องมองเขาอยู่อย่างนั้น
พอเห็นว่าฉงต้าไม่เล่นด้วย ฉินสือโอวเลยต้องขับกลับไปหามัน แต่ปรากฏว่าพอเข้าไปใกล้ๆ เขาก็ถึงกับตกใจอย่างหนัก ดวงตาของฉงต้าเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ถึงแม้ว่าบนตัวบนหัวของมันจะมีแต่น้ำทะเล แต่ฉินสือโอวก็แยกได้ว่าอันไหนคือน้ำทะเลแล้วอันไหนคือน้ำตาของมัน
เกาะล่องแก่งกลับมาแล้ว แต่ฉงต้าก็ไม่ได้ปีนขึ้นไป มันเงยหน้าขึ้นแล้วจ้องมองมาที่ฉินสือโอว หยาดน้ำตาไหลออกมาจากดวงตากลมโตของมันอยู่เนืองๆ
ฉินสือโอวรีบลงน้ำเพื่อไปกอดมัน เขายื่นมือออกไปเช็ดน้ำตาให้มัน หลังจากนั้นก็ดันมันขึ้นไปบนเกาะล่องแก่ง ในตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกเสียใจแล้ว เมื่อกี้เขาเล่นแรงเกินไป ทำให้ฉงต้าตกใจจนแทบแย่แล้ว
เขาตามมันขึ้นมาบนเกาะล่องแก่ง หยิบผ้าขนหนูมาเช็ดขนให้ฉงต้า แต่ฉงต้าก็ไม่สนใจเขา มันฟุบอยู่บนเกาะล่องแก่งมุดหัวเข้าไปในอุ้งเท้าหน้าทั้งสองข้าง เหมือนกับว่ากำลังนอนหลับอยู่ ไม่ว่าใครจะผ่านเข้ามามันก็ไม่สนใจทั้งนั้น
รอจนกลับมาถึงฝั่ง ฉงต้าก็ลุกขึ้นมา แล้วเดินกลับไปที่วิลล่าด้วยความหดหู่ไม่มีชีวิตชีวา ฉินสือโอวเข้าไปสางขนบนหลังให้มัน ปกติเวลาที่เขาทำแบบนี้ ฉงต้าจะให้ความร่วมมือด้วยการพลิกตัวปล่อยให้เขาแกล้งจั๊กจี้มันเล่น
แต่ครั้งนี้ไม่ใช่แบบนั้นแล้ว ฉงต้าเดินก้มหน้าอยู่ตัวเดียว มันเดินเข้าไปในวิลล่าพร้อมกับสูดจมูกสะอึกสะอื้น แล้วมุดตัวเข้าไปในอ้อมกอดของวินนี่ทันที
หลัวปอกับราชาเจ้าป่าซิมบ้าก็อยากให้ปลอบใจพวกมันเหมือนกัน เดิมทีพวกมันก็อยากวิ่งเข้าไปแย่งชิงอ้อมกอดของวินนี่จากฉงต้า แต่เมื่อเห็นท่าทางของฉงต้าแล้ว สัตว์เลี้ยงทั้งสองตัวก็ยอมหยุดอยู่อีกฝั่ง นั่งมองมันตาปริบๆ อยู่ทางด้านข้างอย่างช่วยอะไรไม่ได้
บทที่ 1319 กำลังภายในกับผีน่ะสิ
เดิมทีวินนี่กำลังช่วยแม่ฉินเข้าครัวทำอาหาร พอพวกฉินสือโอวพากันกลับมาเธอถึงได้ออกมาดู แต่ปรากฏว่าตอนนี้เธอกลับเข้าไปในครัวไม่ได้แล้ว ฉงต้ามุดเข้ามาหาอ้อมอกเธอแล้วน้ำตาก็หยด ‘แหมะๆ’ เลยทันที
“นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” วินนี่ถามด้วยความตกใจ
ฉินสือโอวเกาจมูกพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ แล้วตอบเธอว่า “ไม่รู้เหมือนกัน ฉงต้าก็อยู่ในฤดูหาคู่เหมือนกันหรือเปล่า? พอเห็นว่าตัวเองไม่มีคู่เลยรู้สึกเศร้าจนร้องไห้ออกมา?”
วินนี่เผยรอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวออกมา คิ้วทั้งสองข้างค่อยๆ ชี้สูงขึ้น ปรากฏรอยยิ้มอันตรายขึ้นบนริมฝีปากสีแดงสด
ฉินสือโอวอธิบายกับเธอว่า “มันก็เป็นไปได้นะ คุณไม่รู้หรอก เมื่อก่อนตอนที่ผมอยู่เมืองไหเต่า หลายๆ ครั้งผมก็ร้องไห้เพราะเศร้าใจที่ไม่มีแฟนสักที แอบร้องไห้คนเดียว มันเจ็บปวดหัวใจมากจริงๆ”
วินนี่พูดด้วยรอยยิ้ม “คุณจะแถไปถึงเมื่อไรกันคะ?”
ฉินสือโอวถอนหายใจออกมาอย่างหมดปัญญา ในที่สุดก็ต้องพูดความจริงออกมา
พอได้ฟังเขาพูดจนจบแล้ว วินนี่ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา ในตอนนี้เสี่ยวเถียนกวาก็เข้ามาดึงหูของฉงต้าพอดี รอยยิ้มใสซื่อปรากฏอยู่บนใบหน้าเล็กๆ มือเล็กๆ ของเธอจับเอาใบหูอ่อนนุ่มของฉงต้าเอาไว้แล้วออกแรงดึงมันลงมาข้างล่าง
ดีเลยทีนี้ ลูกระเบิดของวินนี่อยู่ในจุดที่กำลังจะปะทุออกมาอยู่แล้ว ความแค้นของพ่อมีลูกสาวเป็นคนเอาคืน วินนี่อุ้มเธอขึ้นมาแล้วตีก้นเล็กๆ ของเธอเข้าให้สองที หลังจากนั้นก็พูดอย่างเด็ดขาดจริงจังว่า “เคยบอกหลายครั้งแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่รู้เหรอว่าแม่บอกไม่ให้หยิกเพื่อนแบบนี้?”
เสี่ยวเถียนกวาแหงนหน้าขึ้นไปมองหน้าเธอ หลังจากนั้นพอรู้ว่าตัวเองถูกตีก้น เธอก็แบะปากแล้วร้องไห้โฮเลยทันที ขณะที่กำลังร้องไห้เธอก็ยื่นมือออกมาตีวินนี่ด้วย
ได้ยินเสียงร้องของหลานสาว แม่ฉินที่อยู่ในห้องครัวก็รีบวิ่งออกมาถามว่า “เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น?”
วินนี่หันกลับไปพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่มีอะไรค่ะ คุณแม่คะ คุณแม่ไปทำอาหารต่อเถอะค่ะ เดี๋ยวพอหนูโอ๋สักหน่อยลูกก็คงไม่เป็นอะไรแล้ว เด็กน้อยนี่เพิ่งจะถูกหนูตีมาแกเลยโมโหนะคะ”
ฉินสือโอวคิดว่าคราวนี้ลูกสาวของเขาน่าสงสารจริงๆ วินนี่ไม่เคยปล่อยให้ลูกทำตัวเสียนิสัยตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ที่ลูกสาวดึงหูฉงต้ายังไม่เท่าไร แต่พอถูกตีแล้วยังกล้าตีเธอคืน แบบนี้ก็เท่ากับหาเรื่องให้ตัวเองเลยไม่ใช่เหรอ?
แต่วินนี่กลับไม่ได้ไปอบรมสั่งสอนเด็กน้อยต่อ แต่ช่วยเช็ดน้ำตาให้กับเด็กน้อยแล้วโยกตัวลูกไปมา เธอฮัมเพลงกล่อมเด็กเพื่อโอ๋ลูกสาวตัวน้อย ขณะเดียวกันก็กอดหน้าผากของฉงต้าเอาไว้ พร้อมกับใช้มือเกาหน้าผากอ้วนๆ ของมันไปด้วย
พอเป็นแบบนี้แค่แป๊บเดียวเด็กหญิงตัวน้อยก็หยุดร้องแล้ว เพียงแต่ว่าเธอยังส่งเสียงสะอึกสะอื้นขึ้นมานานๆ ครั้ง ฉงต้าก็หยุดร้องไห้แล้วเหมือนกัน แต่ฉินสือโอวคิดว่ามันตกใจจนหยุดร้องไห้มากกว่า ท่าทางของวินนี่ตอนที่สั่งสอนเสี่ยวเถียนกวาเมื่อสักครู่ ต้องทำให้มันนึกถึงเรื่องไม่ดีบางอย่างที่มันเคยทำไว้แน่ๆ
โอ๋เด็กน้อยทั้งสองได้แล้ว วินนี่ก็จับเถียนกวายัดให้กับฉงต้า ครั้งนี้เด็กน้อยไม่ได้ดึงหูของฉงต้าอีก แต่นั่งเล่นกับตัวเองคนเดียวอยู่ในอ้อมกอดของมัน
วินนี่ทำหน้าบึ้งบอกให้ฉินสือโอวนั่งลงข้างๆ ฉินสือโอวก็ยิ้มแหยๆ แล้วพูดกับเธอว่า “ผมนึกว่าคุณจะจัดการลูกสาวของเราให้เรียบร้อยเสียอีก”
วินนี่ถลึงตาใส่เขา พูดว่า “ลูกสาวเรายังไม่รู้เรื่องรู้ราว ถ้าเธอรู้เรื่องรู้ราวแล้ว ถ้าถูกลงโทษแล้วยังทำตัวเป็นเด็กกล้าตีแม่คืน คุณก็คอยดูแล้วกันว่าฉันจะจัดการเธอยังไง!”
ฉินสือโอวพูดกับเธอว่า “ถึงตอนนั้นผมจะช่วยคุณจัดการกับเธอเอง!”
วินนี่จึงตอบเขากลับไปว่า “อย่าเปลี่ยนเรื่อง ลูกสาวเรายังไม่รู้เรื่องเลยยังให้อภัยได้ แต่คุณเป็นเด็กเหมือนกันกับเธอด้วยเหรอคะ? คุณก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวเหมือนกันเหรอ? เรื่องนี่ฉันจะไม่ยกโทษให้คุณเด็ดขาด คุณแกล้งฉงต้าแบบนี้ได้ยังไงกันคะ?”
ฉินสือโอวพูดอย่างจนปัญญาว่า “เรื่องนี้โทษผมได้ด้วยเหรอครับ? ผมก็แค่แกล้งหยอกเล่นเฉยๆ”
วินนี่จึงพูดด้วยความโมโหว่า “แกล้งหยอกเล่น? คุณโยนฉงต้าลงไปในทะเลนะ! นั่นมันคือมหาสมุทร! เด็กๆ พวกนี้ไม่เข้าใจว่าคุณล้อเล่นหรอกนะคะ พวกเขามีแต่จะรู้สึกว่าตัวเองถูกทอดทิ้งเท่านั้น!”
ฉินสือโอวทำได้แค่ยกมือขึ้น แล้วพูดว่า “เอาล่ะๆ ต่อไปผมจะไม่ล้อเล่นแบบนี้อีกแล้ว”
พอพูดจบ เขาก็นั่งลงตรงข้ามฉงต้า เขายื่นมือออกไปพร้อมกับพูดว่า “พ่อขอโทษนะ ลูกรัก เย็นนี้พวกเรากินข้าวด้วยกันดีไหม?”
ฉงต้ายังคงก้มหน้าก้มตาไม่สนใจเขา มันถึงกับยอมเล่นกับเสี่ยวเถียนกวาที่มันเคยไม่อยากเล่นด้วย
วินนี่ร้องเหอะออกมา แล้วพูดกับเขาว่า “คิดเอาเองแล้วกันนะคะ คราวนี้ฉงต้าเจ็บปวดใจมากจริงๆ”
ช่วงเวลาอาหารเย็น ฉินสือโอวเก้าอี้ของโต๊ะอาหารให้ฉงต้าหนึ่งตัว พอพวกหู่จือเป้าจือหลัวปอเห็นก็พากันคาบกะละมังใส่อาหารวิ่งเข้ามาก่อความวุ่นวาย ลูกแมวป่าก็กระโดดขึ้นไปบนขาของเขาอย่างคล่องแคล่ว แล้วยื่นหัวยื่นหน้าออกไปหาโต๊ะอาหาร
“ประโยคนั้นพูดว่ายังไงนะ? ไม่กลัวความยากจนอะไรนะ?” พ่อฉินหัวเราะฮ่าๆ ออกมาเมื่อได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้
ขณะที่เชอร์ลี่ย์กำลังทาเนยลงไปบนขนมปังเธอก็พูดขึ้นมาว่า “ไม่กลัวความยากจนแต่กลัวความไม่เท่าเทียม ใช่ไหมคะ?”
แม่ฉินจึงเอ่ยปากชมเธอว่า “นับวันเชอร์ลี่ย์ก็ยิ่งพูดภาษาจีนได้คล่องแคล่วขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปจะไปเป็นทูตประจำประเทศจีนใช่ไหม?”
เชอร์ลี่ย์แย้มรอยยิ้มหวาน พูดว่า “หนูขอคิดดูก่อนดีกว่าค่ะ เพราะหนูยังอยากเป็นนักไวโอลินมากกว่า”
ฉินสือโอวกลอกตาใส่ เชอร์ลี่ย์จึงถามเขาด้วยความไม่พอใจว่า “ฉิน คุณหมายความว่ายังไงคะ?”
ฉินสือโอวจึงพูดด้วยความรู้สึกรำคาญใจว่า “ฉันไม่ได้ทำใส่เธอ แต่ฉันถูกเด็กงี่เง่าพวกนี้ต่างหาก โอเค ถ้าแหย่ไม่ได้ฉันก็จะไม่แหย่แล้ว ทุกคนไปนั่งกินอาหารบนพรมเถอะ”
ไม่ใช่แค่กินข้าวเป็นเพื่อนฉงต้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่พอตกดึกฉินสือโอวก็ยังปูเสื่อ นอนกอดฉงต้าเอาไว้ เพื่อทำให้มันรู้สึกว่าเขาอยู่กับมันตลอดเวลา และไม่อยากเสียมันไป
แบบนี้ฉงต้าถึงได้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ขณะที่กำลังนอนหลับมันก็เกาะติดฉินสือโอวไว้อย่างแนบแน่น
ฉินสือโอวเลยต้องไปหยิบเอาแป้งเย็นเด็กของลูกสาวมา ขนของฉงต้าไม่ได้แข็งมากขนาดนั้น แต่มันแค่ร้อนเกินไปหน่อย…
ตอนที่กำลังเตรียมตัวเข้านอน ไวส์ก็กอดหมอนใบเล็กวิ่งลงมาหาเขาแล้วพูดว่า “อาจารย์ พวกเรานอนด้วยกันเถอะครับ”
ฉินสือโอวพูดด้วยความจำใจว่า “ไวส์ ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เลยนะ นายฝันร้ายหรือยังไง?”
ไวส์ตอบเขากลับไปด้วยความกลัดกลุ้มว่า “ไม่ใช่ครับ แต่พรุ่งนี้พ่อกับแม่ของผมจะมารับผมกลับอเมริกาแล้ว ต้องรอจนถึงตอนเปิดเทอมปลายเดือนกันยายนผมถึงจะได้กลับมาที่นี่”
ฉินสือโอวนึกขึ้นมาได้ในทันที ดูเหมือนว่าช่วงหลายวันนี้ที่วอร์ชิงตันจะเริ่มงานประชุมเกี่ยวกับแหล่งพลังงานอะไรสักอย่าง ครั้งที่แล้วไวส์เคยบอกว่าพ่อแม่ของเขาก็ไปงานนี้เหมือนกัน เขาเกือบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วด้วยซ้ำ
เมื่อเป็นแบบนี้เขาคงปฏิเสธไม่ได้แล้ว เลยเขยิบเพื่อหลีกทางให้เขาได้เข้ามา พร้อมกับบอกเขาว่า “มาสิ เด็กดี มานอนตรงกลางระหว่างอาจารย์กับฉงต้า ฉงต้าก็คงจะคิดถึงนายเหมือนกัน”
ไวส์ยิ้มอย่างมีความสุขพร้อมกับพูดว่า “ใช่แล้ว อาจารย์ครับ ผมก็จะคิดถึงคุณกับฉงต้าเหมือนกัน”
เอนตัวนอนได้สักพัก ฉินสือโอวกำลังจะหลับอยู่แล้ว แต่อยู่ดีๆ ไวส์ก็พูดขึ้นมาอีกว่า “อาจารย์ ผมอยากไปนอนตรงฝั่งของอาจารย์”
ฉินสือโอวก็พูดพึมๆ พำๆ ว่า “อยู่ใกล้ๆ กันกับฉงต้าก็ดีแล้วนะ จนกว่าจะถึงปลายเดือนกันยา นายก็จะไม่ได้เจอฉงต้าแล้วเหมือนกัน”
ไวส์ “แต่ผมร้อนนี่”
“อดทนหน่อยเถอะน่า ลองคิดดูสิว่าฉงต้าจะไม่ได้เจอนายอีกนานเลยนะ รีบสนิทกันไว้ตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า”
“ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ก็ส่งแป้งเย็นเด็กมาให้ผมที ผมเหงื่อออกเยอะมาก!”
ช่วงเช้าเฮลิคอปเตอร์ของสองสามีภรรยาบรูซก็มาถึงฟาร์มปลาแล้ว วิเวียนลงมาจากเครื่องบินเป็นคนแรก เธอพุ่งเข้าไปหาไวส์พร้อมกับกางมือออก ดวงตาคู่นั้นชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำตา หลังจากได้กอดไวส์แล้วเธอก็เอาแต่ร้องว่า ‘ลูกรักของแม่’ ออกมาอย่างไม่ขาดสาย
จอร์จมองดูสีหน้าของไวส์เป็นอย่างแรก หลังจากนั้นก็เข้าไปทักทายฉินสือโอว เขาจับมืออย่างแรงพร้อมกับพูดว่า “ขอบคุณ ฉิน ขอบคุณนะ!”
ฉินสือโอวก็ตอบเขากลับไปด้วยรอยยิ้ม “ไวส์เป็นเด็กดีมากๆ ผมไม่ต้องดูแลอะไรเขาเลย เพราะอย่างนั้นคุณไม่ต้องขอบคุณผมหรอก”
จอร์จจึงพูดด้วยความยรู้สึกตื่นเต้นว่า “ไม่ๆๆ ไม่ใช่แค่เรื่องไวส์อย่างเดียว แต่คุณยังเป็นอาจารย์ของผมกับวิเวียนด้วย กำลังภายในที่คุณสอนพวกเรามาเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก ตั้งแต่พวกเราฝึกทำสิ่งนี้ จิตใจและพละกำลังของผมกับวิเวียนดีขึ้นมาก เหมือนกับว่าพวกเราเด็กลงไปเป็นสิบปีอย่างนั้นเลยล่ะ!”
ฉินสือโอวหัวเราะเสียงดังออกมา กำลังภายในกับผีน่ะสิ!
บทที่ 1320 นัดแรกของงานแต่งงาน
สองสามีภรรยาบรูซค้างที่ฟาร์มปลาหนึ่งคืน วันต่อมาถึงจะกลับไปที่วอชิงตัน ตอนที่บอกลากันจอร์จก็ยังเล่นมุก ถามฉินสือโอวว่าสนใจจะทำความรู้จักกับโอบามาไหม เขาพาไปแนะนำให้รู้จักกันได้นะ
ฉินสือโอวรู้ว่านี่คือการพูดเล่น และแน่นอนว่าเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกสนใจที่จะทำความรู้จักกับโอบามาอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงบอกจอร์จว่าให้ช่วยโปรโมตอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินสักหน่อยก็พอ บอกให้ประธานาธิบดีของอเมริกาลองชิมอาหารทะเลระดับโลกดูสักหน่อย
ส่งพวกเขาทั้งครอบครัวเสร็จแล้ว ฉินสือโอวเพิ่งคิดว่าจะไปตระเวนดูรอบๆ ทะเลสาบเฉินเป่า ทว่าเออร์บักก็มาหาเขา แล้วบอกว่าเขาควรเตรียมการ์ดเชิญงานแต่งงานได้แล้ว
ฉินสือโอวจึงบอกว่าปล่อยให้ทางฝั่งวินนี่ได้เตรียมตัวก่อนดีกว่า ทางฝั่งของเขามีคนเยอะแถมยังซับซ้อนเกินไป ต้องเตรียมตัวและวางแผนให้ดีๆ
เออร์บักเลยบอกกับเขาว่า “ไม่ ฉิน นายต้องลิสต์รายชื่อแขกก่อน ถึงจะสะดวกกับทางฝั่งวินนี่”
ฉินสือโอวพูดอย่างประหลาดใจว่า “ทำไมล่ะครับ?”
เออร์บักยิ้มแล้วตอบเขาว่า “จำได้ไหม วินนี่เคยบอกว่าระหว่างเธอกับเพื่อนสมัยเรียนเกิดความเข้าใจผิดกันอย่างหนัก ถ้าเป็นการ์ดเชิญงานแต่งธรรมดาๆ พวกเธอคงไม่มางานแน่ๆ แต่ถ้าบนการ์ดเชิญมีชื่อของท่านรัฐมนตรีแมทธิว จิน มีชื่อของเจ้าชายเฮนรี และมีชื่อของคาเมรอนที่เป็นนักแสดง แบบนั้นพวกเธอต้องพากันมางานนี้แน่ๆ”
ฉินสือโอวนึกถึงภาพเหตุการณ์ตอนที่เขาบอกว่าจะแต่งงานขึ้นมาได้ทันที วินนี่บอกว่าเพื่อนสมัยเรียนของเธออาจจะไม่มางานแต่งงาน แต่เออร์บักก็บอกว่าพวกเธอต้องมาแน่ เรื่องทั้งหมดเขาจะเป็นคนจัดการเอง ที่แท้ตาเฒ่าก็วางแผนไว้แบบนี้นี่เอง
เมื่อเป็นแบบนี้เขาก็ไม่มีอะไรจะแย้งแล้ว หลังจากนั้นเป็นเวลาติดกันสี่วัน ถึงจะตัดสินใจลิสต์รายชื่อแขกที่มาร่วมงานได้สำเร็จ ในระหว่างนั้นเขาได้โทรศัพท์ไปหาแขกทุกคนว่าพอจะมีเวลาว่างไหม ถ้ามีเวลาว่าง เขาก็จะส่งการ์ดเชิญไปให้
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือแขกรับเชิญคนสำคัญทั้งสาม เจ้าชายเฮนรี เจ้าชายจากอาหรับ และรัฐมนตรีแมทธิว จินต่างก็เป็นคนที่ค่อนข้างมีหน้ามีตาในสังคมกันทั้งนั้น ถ้าบอกว่าพวกเขาจะมาร่วมงาน เมื่อมีพวกเขาทั้งสามคน งานแต่งงานของฉินสือโอวก็จะกลายเป็นงานแต่งงานระดับสูง
ฉินสือโอวส่งบัตรเชิญมางานแต่งงานให้เพื่อนสมัยมัธยมปลายกับเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยทุกคน เขาจะรับผิดชอบตั๋วเครื่องบินไปกลับและพาพวกเขาไปดื่มไปเที่ยวหลังจากมาถึงแคนาดา พวกเพื่อนๆ จ่ายแค่เงินใส่ซองสำหรับงานแต่งงานก็พอแล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายที่เหลือทั้งหมดเขาจะเป็นคนจัดการเอง
ในบัตรเชิญที่ส่งไปให้เพื่อนๆ ร่วมชั้นเรียนพวกนั้น เขาไม่ได้บอกว่าจะมีใครมาร่วมงานแต่งงานของเขาบ้าง เพราะเขาไม่อยากให้มีจุดประสงค์อย่างอื่นแอบแฝงมากับมิตรภาพของเพื่อนเก่า
เมื่อกำหนดรายชื่อแขกที่จะมาร่วมงานเรียบร้อยแล้ว ฉินสือโอวก็รู้สึกราวกับว่าเขาได้ปัดภาระออกไปจนพ้นตัวแล้ว ทว่าเออร์บักก็บอกเขาอีกว่า เขายังต้องจัดเตรียมที่พักล่วงหน้าสำหรับแขกที่จะมาร่วมงานด้วย
ฉินสือโอวเลือกจัดงานในช่วงวันหยุดต่อเนื่องที่ยาวที่สุดของปี ทว่าสาเหตุไม่ใช่เพียงเพราะว่าเขาต้องการดูแลเรื่องการเดินทางให้เพื่อนสมัยเรียนที่มาจากจีนเพียงอย่างเดียว แต่อีกหนึ่งสาเหตุเป็นเพราะวินนี่เป็นคนเลือกจัดงานในช่วงเวลานี้
ตามตำนานเทพนิยายท้องถิ่นของแคนาดา วันอังคารในสัปดาห์ที่สองของเดือนตุลาคมเป็นวันเทศกาลที่เทพทั้งหลายจะร่วมอวยพรให้กับคู่บ่าวสาวที่เพิ่งจะแต่งงานกันใหม่ๆ วันนี้เป็นวันเทศกาลที่มีหญิงชายชาวแคนาดาแต่งงานกันเยอะที่สุด
แน่นอนว่า ช่วงเวลานี้ย่อมเป็นช่วงที่จองห้องพักได้ยากที่สุดด้วยเช่นกัน
สำหรับเกาะแฟร์เวลแล้วนี่เป็นเรื่องที่จัดการได้ง่ายมาก เมืองแฟร์เวลปิดการท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดยาวของปีนี้ ไม่ได้รับนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้ามา โดยได้คำนึงถึงความปลอดภัยของเจ้าชายเฮนรี เจ้าชายอาหรับ รัฐมนตรีแมทธิว จิน รวมไปถึงกลุ่มผู้บริหารและประธานกรรมการเป็นหลัก หากเกิดปัญหาเรื่องมีคนแอบแฝงตัวเข้ามาฉินสือโอวคงรับผิดชอบไม่ไหว
เมื่อเป็นเช่นนี้โรงแรมที่มีบรรยากาศแบบเมืองเล็กๆ ก็เพียงพอสำหรับการเข้าพักแล้ว จัดการให้คนธรรมดาพักอยู่ที่นี่ แล้วส่งแขกระดับสูงให้พักที่โรงแรมห้าดาวในนครเซนต์จอห์น เป็นอีกครั้งแล้วที่ฉินสือโอวได้ใช้ทรัพยากรของบริษัทอเมริกันเอ็กซ์เพรสเพื่อจองชุดห้องพักชั้นพิเศษจำนวนมาก
หลังจากจองโรงแรมฮิลตันได้ไม่นาน น้องสาวคนน้องของพี่น้องฮิลตัน นิกิ ฮิลตันก็โทรศัพท์มาหาเขาอีกครั้ง
ครั้งที่แล้วที่นิกิโทรหาเขา เขาก็รู้สึกแปลกประหลาดใจอยู่เหมือนกัน มาคราวนี้พอเธอโทรมาอีกครั้ง เขาเลยยิ่งสับสนงงงวย จึงถามหยั่งเชิงฮิลตันคนน้องว่าเธออยากจะมาร่วมงานแต่งของเขาด้วยใช่ไหม
ตอนนี้ถึงคราวฮิลตันคนน้องที่รู้สึกสับสนบ้างแล้ว เธอไม่รู้เรื่องงานแต่งงานของฉินสือโอว แน่นอนล่ะว่าเธอไม่มีเหตุผลที่จำเป็นจะต้องรู้เรื่องนี้ เนื่องจากทั้งสองคนไม่เคยคลุกคลีกัน อย่างมากที่สุดก็เป็นแค่คนรู้จักกัน ฉินสือโอวจึงไม่ได้วางแผนว่าจะเชิญเธอมางานแต่งงาน
พอรู้ว่างานแต่งงานของเขาจะถูกจัดขึ้นในวันอังคารสัปดาห์ที่สองของเดือนตุลาคม ฮิลตันก็หัวเราะเจื่อนๆ แล้วพูดว่า “บังเอิญจริงๆ เลยค่ะ ฉิน ฉันมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่กำลังจะแต่งงานวันนั้นเหมือนกัน ดังนั้นฉันเลยต้องขอโทษด้วยจริงๆ ที่ฉันอาจจะไปร่วมงานแต่งงานของคุณไม่ได้”
ฉินสือโอวก็รีบพูดขึ้นมาทันทีว่า “อ้อๆ เป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ ครับ นี่ไม่มีอะไรให้ต้องขอโทษเลย ต่างก็เป็นเรื่องน่ายินดีเหมือนกันทั้งคู่เลยไม่ใช่เหรอครับ?”
ฮิลตันคนน้องหัวเราะออกมา หลังจากนั้นก็พูดอย่างไตร่ตรองมาดีแล้วว่า “ฉิน คุณรู้ใช่ไหมคะว่า ฉันต้องส่งของขวัญอวยพรงานแต่งงานที่ไม่เหมือนใครให้กับเพื่อนสนิท อืม แต่หลังจากที่ฉันตามหาดูแล้ว ฉันก็คิดว่าฉันคงจะต้องขอความช่วยเหลือจากคุณ”
ฉินสือโอวจึงพูดกับเธอว่า “ถ้าผมพอจะช่วยได้ ผมก็ยินดีที่จะทำครับ แต่ขอถามหน่อยว่าผมต้องช่วยยังไงเหรอครับ?”
ในตอนนี้เขาเข้าใจถึงจุดประสงค์ของฮิลตันที่โทรมาหาเขาทั้งสองครั้งแล้ว นั่นเป็นเพราะเธออยากขอความช่วยเหลือจากเขาก็เท่านั้น เพียงแต่ว่าตอนที่รู้จักกันครั้งแรก เธอไม่กล้าพูดกับเขาตรงๆ ก็เท่านั้น
ฮิลตันคนน้องก็พูดกับเขาว่า “คุณฝากปะการังแดงคุณภาพสูงจากทะเลน้ำลึกไว้ที่ร้านแฟล็กชิพสโตร์ของบริษัททิฟฟานี่แอนด์โคหนึ่งชิ้นใช่ไหมคะ? ได้ยินมาว่ามันมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ฉันอยากขอซื้อไว้สักส่วนหนึ่ง ไม่รู้ว่าคุณจะยอมตัดใจขายให้ไหม?”
เมื่อได้ยินเธอพูดแบบนี้ ฉินสือโอวก็หัวเราะออกมา แล้วพูดว่า “ไม่มีปัญหาครับ นิกิ ด้วยมิตรภาพที่พวกเรามีต่อกันแล้ว ผมจะปฏิเสธคุณได้ยังไงกันละครับ? โดยเฉพาะคนที่สวยมากๆ อย่างคุณด้วยแล้ว”
เขามีปะการังน้ำลึกสีแดงอยู่เยอะแยะ อยากหาช่องทางจำหน่ายจะตาย ลูกค้าแบบฮิลตันคนน้องเขาต้องยินดีต้อนรับอยู่แล้ว
ฮิลตันคนน้องได้ฟังคำที่เขาพูดก็ดีใจมาก เธอพูดว่า “พระเจ้าคุ้มครองจริงๆ แบบนั้นดีที่สุดเลยค่ะ หลายวันมานี้ฉันอยากโทรมาหาคุณทุกวันเลย แต่กลัวว่าจะได้ยินคำปฏิเสธของคุณ ฉันเคยเห็นปะการังสีแดงชิ้นนั้นมาก่อน มันสวยมากจริงๆ ถ้าเป็นฉัน ฉันคงทำใจขายมันไม่ลงแน่ๆ”
เธอรู้อยู่แล้วว่าฉินสือโอวไม่ได้ขาดแคลนเงินทอง
ฉินสือโอวจึงบอกกับเธอว่า “คืออย่างนี้นะครับ ต้นเดือนหน้าผมจะเดินทางไปนิวยอร์ก พอถึงตอนนั้นพวกเราค่อยคุยกันเรื่องราคา ดีไหมครับ?”
ฮิลตันคนน้องตอบรับด้วยความดีใจว่า “ไม่มีปัญหาอยู่แล้วค่ะ ใช่แล้ว ฉิน ครอบครัวของฉันพอจะมีธุรกิจด้านการบริการอยู่บ้าง ถ้าคุณมีความต้องการทางด้านนี้ อย่างเช่นว่าต้องการจองโรงแรมระดับไฮเอนด์กับการจัดงานแต่งงานที่เหนือระดับ หรือความต้องการเกี่ยวกับบริกรในงาน คุณบอกฉันได้เลยนะคะ ฉันจะจัดการให้เอง”
ฉินสือโอวไม่ได้ต้องการเรื่องพวกนี้ สำหรับเรื่องงานแต่งงานเขาได้ติดต่อบริษัทรับจัดงานแต่งมืออาชีพผ่านคาเมรอนเรียบร้อยแล้ว ชื่อบริษัท OK-KNOT
บริษัทนี้ดำเนินการให้บริการนายทุนอเมริกันระดับสูงและดาราฮอลลีวูดมาโดยตลอด ถึงเวลานั้นแม้กระทั่งบอดี้การ์ดพวกเขาก็จะจัดเตรียมให้ อีกทั้งบริการด้านการคุ้มกันความปลอดภัยก็เป็นจุดแข็งของบริษัทแห่งนี้เช่นกัน ให้บริการอย่างครบวงจรเลยทีเดียว
ปี 2016 งานแต่งงานของทอม ครูซกับเคที โฮล์มส นักแสดงฮอลลีวูดชื่อดังก็มีบริษัทรับจัดงานแต่งงานแห่งนี้เป็นผู้ดำเนินงานให้ ในตอนนั้นทอมคาดหวังว่าเขาจะได้จัดงานแต่งงานในปราสาทเก่าแก่สักแห่ง บริษัท OK-KNOT จึงใช้ปราสาทโอเดสคาลชิที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงโด่งดังในศตวรรษที่ 15 เพื่อจัดงานแต่งงานให้กับเขา ต้องรู้ด้วยว่าปราสาทแห่งนี้ไม่เคยปรากฏต่อสาธารณชนมาก่อนเลย ทำให้เห็นได้ว่าพวกเขามีความสามารถมากเพียงใด
ฉินสือโอวไม่รู้ว่าการจัดงานแต่งงานครั้งนี้ต้องใช้เงินเยอะแค่ไหน บริษัท OK-KNOT ยังไม่ได้ทำการเสนอราคาให้กับเขา แต่ก็คาดว่าน่าจะไม่ต่ำกว่าสี่ห้าล้านดอลลาร์สหรัฐ เงินทุนสำหรับการรักษาความปลอดภัยเพียงอย่างเดียวก็ใช้เงินถึงล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐแล้ว
เวลายังไม่ทันเข้าสู่เดือนกันยายน เขาไม่จำเป็นต้องวนเวียนอยู่กับเรื่องงานแต่งงานเลย ฉินสือโอวยังคงใช้ชีวิตอยู่ที่ฟาร์มปลาของเขาได้อย่างสบายอกสบายใจเหมือนเช่นเคย
แน่นอนว่า ตอนนี้สามารถเรียกฟาร์มปลาของเขาว่าฟาร์มเกษตรหรือฟาร์มเลี้ยงสัตว์เล็กๆ ได้แล้ว นอกจากปลูกผัก ธัญญาหารกับองุ่นแล้ว พอลลี่ยังส่งลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ ขณะเดียวกันก็ได้ส่งลูกสัตว์เลี้ยงสำหรับใช้แรงงานอีกจำนวนหนึ่งมาให้เขาด้วย
บทที่ 1321 ลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์...
พอได้รับสายโทรศัพท์จากพอลลี่ ฉินสือโอวก็พาชาร์ค บูลและคนอื่นๆ อีกสองสามคนไปที่ท่าเรือนครเซนต์จอห์น พอลลี่และชายไว้หนวดเคราอีกคนหนึ่ง กับคนขาวไว้ผมเปียกำลังถกเถียงอะไรบางอย่างกับตาเฒ่าคนหนึ่ง ข้างๆ คือลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์สองตัวที่ได้รับการดูแลอย่างสะอาดสะอ้านกับลูกวัวและลูกแพะอีกหนึ่งฝูง
“เฮ้ เพื่อน เป็นไงบ้าง?” ฉินสือโอวกระโดดขึ้นไปบนท่าเรือแล้วทักทายเขา
เนื่องจากเรื่องที่เชื่อมโยงกันหลายๆ อย่าง ฉินสือโอวจึงกลายเป็นคนดังในท้องถิ่นไปแล้ว ชาวประมงที่อยู่บนท่าเรือต่างก็รู้จักเขาทั้งนั้น พอเห็นเขามาจึงพากันทักทายหยอกล้อกันเล่นกับเขา
ใครคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “ฉิน ได้ยินมาว่าที่ฟาร์มปลาของนายเจอปีศาจทะเลคราเคน นายไม่กลัวบ้างเลยเหรอ?”
ซีมอนสเตอร์จึงยื่นหัวออกไปถามเขาว่า “มีใครเรียกฉันหรือเปล่า?”
ชาวประมงที่อยู่รอบๆ ก็พากันหัวเราะออกมา คนที่เอ่ยปากพูดเมื่อก่อนหน้านี้ พูดขึ้นมาอีกว่า “หดหัวกลับไปซะ มันไม่เกี่ยวอะไรกับนายหรอกเพื่อน! พวกเราพูดถึงซีมอนสเตอร์ ปีศาจทะเลของจริง ปีศาจที่สามารถลากเรือทั้งลำไปที่เขตทะเลลึกได้ คราเคนแห่งทะเลเหนือ!”
ฉินสือโอวชนหมัดกับเขา นี่คือธรรมเนียมของกะลาสีเรือ ซึ่งคล้ายคลึงกับการทักทายตอนพบหน้ากันของคนผิวดำ เขาพูดอย่างยิ้มๆ ว่า “อย่าไปฟังเรื่องไร้สาระของพวกนักข่าวเลย นี่มันศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดแล้วนะ พวกเราต้องเชื่อในวิทยาศาสตร์สิ จะไปมีปีศาจยักษ์ทะเลเหนือได้ยังไงกันล่ะ? นั่นมันเป็นนิทานหลอกเด็กชัดๆ”
ข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องนั้นแพร่กระจายอยู่ในท่าเรือนิวฟันด์แลนด์และรัฐโนวาสโกเชียไม่ขาดสาย เรื่องที่ีเล่าต่อกันย่อมต้องเป็นตอนที่เขาใช้คราเคนเพื่อให้เรือขโมยปลาพวกนั้นกลัวจนหนีออกไป ตอนวันที่มีหมอกตกหนักวันนั้นอย่างแน่นอน
“ไม่ๆๆ” ชาวประมงคนนั้นส่ายหัวอย่างแรง “ไม่ใช่เรื่องไร้สาระนะ มีตั้งคนหลายคนที่ได้เห็นร่องรอยของคราเคนแห่งทะเลเหนือ! ชิท ไม่รู้ว่าที่ปีนี้จับปลาได้น้อยลง เป็นเพราะมันด้วยหรือเปล่า”
ฉินสือโอวหัวเราะแล้วตอบเขาว่า “ถ้ามีคราเคนแห่งทะเลเหนือ ก็ต้องมีโพไซดอนกับทูตสวรรค์ด้วยสิ พวกนายเคยเห็นมาก่อนไหมล่ะ? หรือบอกได้ไหมว่าเคยมีใครเห็นมาก่อนหรือเปล่า?”
พอคุยเล่นกับพวกชาวประมงเสร็จแล้ว ฉินสือโอวก็เดินไปหยุดอยู่ข้างๆ พอลลี่แล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
ไม่ต้องรอให้พอลลี่เอ่ยปาก ตาเฒ่าที่เถียงกันกับเขาก็ชิงพูดขึ้นก่อนเลยว่า “ฉิน พวกนายรู้จักกันด้วยเหรอ? นายมาก็ดีแล้ว เพื่อนของนายคนนี้ไม่เคารพกฎของท่าเรือเรา ดูเขาสิ เอาตัวอะไรมาด้วยก็ไม่รู้ วัวกับแพะแล้วก็ม้าเนี่ยนะ? เขาคิดว่าที่นี่คือตลาดค้าปศุสัตว์หรือยังไง?”
พอลลี่ก็ตวาดออกมาว่า “เฮ้ ไม่ต้องพูดให้มันฟังดูแย่ขนาดนี้หรอก โอเคไหม? สัตว์พวกนี้ของผมอึฉี่ใส่ท่าเรือจริงๆ อันนี้ผมยอมรับ! แต่ผมก็รับปากแล้วไม่ใช่เหรอ? ว่าผมจะทำความสะอาดให้น่ะ เท่านี้ยังไม่พออีกเหรอ?”
ตาเฒ่าคนนั้นก็ตอบกลับมาว่า “ก็ต้องไม่พออยู่แล้ว ตามกฎนายต้องจ่ายค่าปรับด้วย สองร้อยดอลลาร์ อยากได้ใบเสร็จด้วยไหมล่ะ?”
เมื่อได้ยินแบบนี้พอลลี่ก็เดือดดาลขึ้นมาทันที เขาพูดด้วยความโมโหว่า “ไม่มีกฎแบบนี้หรอก เพื่อน มันไม่มีกฎแบบนี้หรอกนะ! คุณเป็นพวกชอบกลั่นแกล้งคนต่างถิ่นใช่ไหมล่ะ?”
ฉินสือโอวตบไหล่ตาเฒ่าคนนั้นแล้วพาเขาเดินขึ้นมาข้างหน้าอีกไม่กี่ก้าว หลังจากนั้นก็พูดกับเขาเสียงเบาว่า “เอาล่ะ ผู้เฒ่าสมิธ เพื่อนของผมเขาเป็นคนแผ่นดินใหญ่ เขาไม่เข้าใจกฎของคนบนท่าเรืออย่างพวกเราหรอก เรื่องค่าปรับเดี๋ยวผมจะจัดการเอง แต่ช่วยลดราคาให้ผมหน่อย เหลือหนึ่งร้อยดอลลาร์ได้ไหม?”
ชายชราถอนหายใจออกมาแล้วพูดกับเขาว่า “ก็ได้ เห็นแก่หน้าของนายหรอกนะ ฉิน ฉันเห็นแก่นายหรอกนะ ถ้าอย่างนั้นปรับแค่หนึ่งร้อยดอลลาร์ก็พอ ฟัค ฉันเกลียดการทำความสะอาดอึพวกนี้ที่สุดเลย”
ฉินสือโอวตบไหล่ของเขาเบาๆ พร้อมกับส่งสายตาให้ชาร์ค แล้วหลังจากนั้นจึงพาพอลลี่เดินไปด้านหลัง
พอลลี่ถามเขาอย่างไม่ยอมแพ้ “คงไม่ต้องจ่ายค่าปรับจริงๆ หรอกนะ?”
ฉินสือโอวตอบเขาว่า “ท่าเรือมีกฎของท่าเรืออยู่ แต่แน่นอนว่าค่าปรับ 200 ดอลลาร์นั่นน่ะกลั่นแกล้งนายเกินไปแล้วจริงๆ มากับฉันเถอะเพื่อน จัดการพาพวกสัตว์ที่นายพามาให้ขึ้นไปอยู่บนเรือของฉัน เดี๋ยวเรื่องทางนี้ฉันจัดการเอง”
เขามองไปที่ชายไว้หนวดเครากับผู้ชายถักเปียไว้ผมหางม้าที่อยู่ข้างๆ กันแล้วถามว่า “คุณคือมิสเตอร์คาปริโนใช่ไหม?”
ชายวัยกลางคนไว้หนวดเครายิ้มแล้วยื่นมือออกมา “ใช่แล้ว สวัสดีครับ คุณฉิน ช่วงนี้ผมได้ยินพอลลี่เอ่ยชื่อของคุณเป็นอยู่เป็นประจำ เขาบอกว่าคุณเป็นคนหนุ่มที่ใจป้ำมาก แน่นอนว่า ผมต้องยอมรับเลยว่าคุณเป็นอย่างนั้นจริงๆ”
“แล้วเคยพูดถึงเรื่องอื่นเกี่ยวกับผมด้วยหรือเปล่า?”ฉินสือโอวยิ้มพร้อมกับจับมือทักทายกันกับเขา
คาปริโนกล่าวว่า “อืม เขายังบอกด้วยว่าคุณเป็นเจ้าของฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เขาเคยเห็น”
ฉินสือโอวจึงส่ายหัวแล้วตอบเขากลับไปว่า “บางทีคุณอาจจะได้ยินมาผิดแล้วก็ได้นะ เขาบอกว่าฟาร์มผมเป็นฟาร์มปลาที่ยอดเยี่ยมหรือเปล่า?”
คาปริโนไม่ได้พูดเรื่องนั้นต่อ แต่ตอบเขากลับไปว่า “บางทีคุณอาจจะเป็นเจ้าของฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่ยอดเยี่ยมด้วยก็ได้ เจ้าของฟาร์มปลาคงไม่ซื้อม้าหรอกใช่ไหมล่ะ? มาเถอะ ลองมาดูตัวลูกม้าสองตัวนี้หน่อย คุณติดขัดอะไรหรือเปล่า?”
เขาก็เป็นเจ้าของฟาร์มเลี้ยงสัตว์แห่งหนึ่งเหมือนกันกับพอลลี่ เพียงแต่ว่าศักยภาพด้านเงินทุนของเขาแข็งแกร่งกว่าพอลลี่มากนัก ในฟาร์มของเขาเลี้ยงม้าพันธุ์ดีไว้ถึงห้าสิบกว่าตัว
ลูกม้าทั้งสองตัวถูกผูกไว้บนท่าเรือ ความสูงตั้งแต่พื้นถึงไหล่ของมันสูงเท่าๆ กันกับเอวของฉินสือโอว ตัวหนึ่งมีหน้าผากสีดำล้วน ตั้งแต่ส่วนคอลงไปเป็นสีขาวบริสุทธิ์ ส่วนอีกตัวก็มีสีดำเสียส่วนใหญ่ บนร่างกายของมันมีขนสีขาวเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่หนึ่งผืน เหมือนกับกลุ่มเมฆสีขาวที่อยู่กันเป็นหย่อมๆ ดูแล้วสวยงามยิ่ง
ประโยชน์ใช้สอยที่สำคัญของม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ก็เพื่อความเพลิดเพลิน ผู้หญิงกับเด็กๆ ชอบม้าพันธุ์นี้เป็นอย่างมาก อัตราการปรากฏตัวในการแข่งขันม้ามีไม่สูง แต่เมื่อเทียบกับม้าทุกๆ สายพันธุ์แล้ว นี่ถือว่าเป็นม้าที่ค่อนข้างว่าง่ายและเชื่อฟังสายพันธุ์หนึ่งเลย
ฉินสือโอวไม่รู้เรื่องม้า แต่ดูจากกำลังวังชาและลักษณะภายนอกของมันแล้ว ม้าสองตัวนี้ก็ไม่เลวเลย ตอนที่เขายื่นมือออกไปลูบม้าตัวที่มีหัวสีดำ ลูกม้าตัวนั้นไม่ได้หลบเขา แต่กลับจ้องมองเขาอย่างขลาดอาย
“เหมือนสาวน้อยเลย ใช่ไหมล่ะ?” ฉินสือโอวพูดด้วยรอยยิ้ม
คาปริโนก็พูดขึ้นมาว่า “มันก็เป็นสาวน้อยตัวหนึ่งจริงๆ นั่นล่ะ เป็นสาวน้อยที่แสนรู้มาก หลังจากนี้ถ้าได้อยู่กับเธอเดี๋ยวคุณก็รู้เอง ผมคิดว่าเธอต้องรักคุณแน่ๆ”
นอกจากลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ทั้งสองตัว พอลลี่ยังได้พาลูกวัวห้าตัวกับลูกแพะภูเขามาอีกห้าตัว พวกที่อึฉี่เรี่ยราดไปเมื่อสักครู่ก็คือพวกมันนั่นเอง ตอนนี้พวกมันเข้ามาอยู่ใกล้ๆ กันแล้วพากันส่งเสียงร้องนุ่มทุ้มออกมา ดูท่าทางน่ารักบ๊องแบ๊ว ทำให้ฉินสือโอวรู้สึกได้ว่าพวกมันต้องอร่อยมากแน่ๆ
ใช่แล้ว ที่เขาอยากเลี้ยงวัวเลี้ยงแพะก็เพื่อเอาไว้เชือดกินเมื่อถึงฤดูหนาว
ปิดตาให้พวกลูกม้าลูกแพะกับลูกวัวเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นถึงจะส่งพวกมันขึ้นไปบนเรือได้อย่างปลอดภัย
หลังจากพากลับมาที่เกาะแฟร์เวลแล้ว พอฉินสือโอวนำลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ทั้งสองตัวลงมา พวกมันก็สะบัดกีบเท้าวิ่งไปที่บริเวณทุ่งหญ้าที่ปลูกไว้เป็นอาหารสัตว์ทันที พวกมันกินอาหารแห้งไปตลอดทาง คาดว่าน่าจะเป็นเพราะพวกมันเองก็ร้อนใจเหมือนกัน
เห็นว่ามีเพื่อนตัวเล็กๆ เข้ามาใหม่อีกแล้ว พวกหู่เป้าฉงหลัวกับลูกแมวป่าจึงพากันวิ่งออกมาจากประตูวิลล่า พวกมันจ้องลูกม้ากับลูกแพะพวกนี้ตาเป็นมัน หลังจากนั้นก็เริ่มพากันแหกปากร้องตะโกนออกมา
ก็เหมือนกับตามปกติ พวกวัวม้าแพะตกใจจนวิ่งเตลิดไปทั่วทุกทิศ ตัวอื่นยังไม่เท่าไร แต่ฉงต้ามีอำนาจบารมีที่แข็งแกร่งมากจริงๆ เมื่อมันวิ่งออกมาข้างนอกแบบนี้ กล้ามเนื้อและไขมันส่วนเกินบนร่างกายก็สั่นกระเพื่อมไปมา เหมือนกับภูเขาสีน้ำตาลลูกเล็กที่กำลังเคลื่อนที่อยู่อย่างไรอย่างนั้น!
ฉินสือโอวเข้าไปดึงฉงต้าเอาไว้ พร้อมกับตะโกนบอกให้หู่จือกับเป้าจือกลับเข้าไปในวิลล่า คาปริโนก็กลัวเหมือนกัน เขาถามฉินสือโอวว่า “พระเจ้า ทำไมคุณถึงได้เลี้ยงสัตว์ที่น่ากลัวขนาดนี้กันล่ะ?”
พอลลี่เคยเจอกับพวกหู่เป้าฉงหลัวมาก่อน เขาจึงอธิบายด้วยรอยยิ้มว่า “คราวนี้นายก็รู้แล้วใช่ไหมล่ะ ว่าทำไมฉันถึงบอกว่าฉินเป็นเจ้าของฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่ยอดเยี่ยมมาก?”
คาปริโนมองดูบรรดาสัตว์ป่าที่ว่านอนสอนง่ายเหมือนเด็กๆ ตรงด้านหน้าฉินสือโอว ชั่วขณะหนึ่งเขาก็พยักหน้ารัวเร็วเหมือนทุบกระเทียมแล้วตอบว่า “ใช่แล้ว เขาเป็นฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่ยอดเยี่ยมมาก! น่านับถือจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกนายเป็นคนพาฉันมาที่นี่ ฉันคงคิดว่าตอนนี้ฉันกำลังอยู่ที่คณะละครสัตว์!”
ขณะที่บรรดาลูกวัวลูกม้าและลูกแพะที่วิ่งหลบเลี่ยงการคุกคามของพวกหู่เป้าฉงหลัวไปถึงสนามหญ้าอย่างยากลำบากกำลังพากันก้มหน้ากินหญ้า ในระหว่างนั้นอยู่ดีๆ พวกมันก็ส่งเสียงดังเอะอะโวยวายขึ้นมาอีกครั้ง ลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ทั้งสองตัวกำลังคาบหญ้าสีเขียวเอาไว้ในปากพร้อมกับวิ่งตะบึงตรงมาทางด้านหน้า ด้านหลังมีลูกวัวกับลูกแพะที่กำลังส่งเสียงร้องอยู่
“นี่เกิดอะไรขึ้นอีก?” คาปริโนถามอย่างงงงวย
ฉินสือโอวถอนหายใจออกมา แล้วตอบเขาว่า “ผมลืมปัญหาเรื่องนี้ไปเลย ที่ฟาร์มปลาของผมยังมีห่านที่ร้ายกาจมากๆ อีกหนึ่งฝูง เจ้าพวกนี้หวงอาณาเขตสุดๆ คาดว่าพวกลูกวัวลูกแพะคงจะเผลอไปแหย่มันเข้า”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น