เทพปีศาจหวนคืน 1312-1317
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1312 ปล้นสะดมยอดเขาเยือกแข็ง
แปลโดย iPAT
ผู้อมตะตระกูลเซี่ยพ่ายแพ้และจากไปอย่างเงียบๆ
ฟางหยวนหยุดใช้ท่าไม้ตายอมตะและเปลี่ยนเป็นร่างมนุษย์กลับไปยังยอดเขาเยือกแข็ง
คฤหาสน์วิญญาณระดับมนุษย์ถูกนำออกไป ตอนนี้เหลือเพียงยอดเขาเยือกแข็งที่หนาวเย็นเท่านั้น
จิตใจของฟางหยวนยังสงบนิ่งและปราศจากระลอกคลื่นใดๆ ชัยชนะไม่คุ้มค่าที่เขาจะหวงแหนหรือคุยโว สำหรับศักดิ์ศรี เขาทิ้งไปนานแล้ว
‘ชัยชนะที่ง่ายดายได้มาเพราะข้ามีข้อได้เปรียบ’
รู้เขารู้เราจะไม่มีวันพ่ายแพ้
สองผู้อมตะตระกูลเซี่ยไม่รู้วิธีการต่อสู้ของฟางหยวน พวกเขาทำได้เพียงคาดเดาเท่านั้น ในทางตรงข้ามฟางหยวนรู้รายละเอียดทั้งหมดของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นท่าไม้ตายอมตะ อารมณ์ หรืออื่นๆ เขารู้เรื่องเหล่านี้จากข้อมูลที่ได้รับจากตระกูลวู
เรื่องนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความสำคัญของข้อมูล
มันเหมือนกันผู้อมตะเยี่ยนฮวงที่สามารถเอาชนะวูอวี้ป๋อ
พวกเขาได้รับชัยชนะด้วยสติปัญญา
วูอวี้ป๋อทรงพลังแต่ทุกคนรู้จักท่าไม้ตายอมตะของเขา เมื่อเขาประมาท ทุกอย่างจึงจบลงเช่นนั้น
ฟางหยวนมีข้อมูลมากกว่า เขาดำเนินแผนการไปทีละขั้นตอน ในที่สุดเขาก็บังคับให้ผู้อมตะตระกูลเซี่ยล่าถอย
‘กระดองเต่าวัชระค่อนข้างมีประสิทธิภาพ แต่มันจะไม่ใช่เรื่องง่ายในอนาคต’
ผู้อมตะตระกูลเซี่ยจะรวบรวมข้อมูลและประสบการณ์การต่อสู้เพื่อคิดวิธีรับมือและตอบโต้กระดองเต่าวัชระในที่สุด
‘เรื่องนี้จะทำให้วูอี้ไห่มีชื่อเสียงมากขึ้น’
‘ท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นเต่าพยากรณ์และกระดองเต่าวัชระเป็นสิ่งที่น่าทึ่ง แต่เมื่อข้าใช้มันหลายครั้ง มีโอกาสสูงที่บางคนจะสามารถคิดค้นวิธีตอบโต้’
‘แท้จริงแล้วเกราะหวนคืนของข้าก็กำลังถูกวิเคราะห์โดยสิบนิกายโบราณ ถ้ำสวรรค์นิรันดร ปีศาจอมตะเซี่ยหู และกองกำลังอื่นๆ ข้าต้องระวังในการใช้งานมันครั้งต่อไปโดยเฉพาะต่อหน้าผู้คนเหล่านี้’
ฟางหยวนระวังตัวมาก
วูอวี้ป๋อเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนสำหรับเรื่องนี้
มันไม่ง่ายที่จะสร้างท่าไม้ตายอมตะ แต่ท่าไม้ตายอมตะที่ทรงพลังไม่สามารถหยุดอยู่ที่เดิม มันต้องก้าวหน้าและพัฒนาขึ้นตลอดเวลา มิฉะนั้นมันจะถูกทำลายโดยบางคน
แต่การพัฒนาท่าไม้ตายอมตะก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน
นอกเหนือจากแรงบันดาลใจ สิ่งสำคัญที่สุดคือระดับความสำเร็จของผู้อมตะ
‘และวิธีที่ดีที่สุดในการยกระดับความสำเร็จก็คืออาณาจักรแห่งความฝัน’ ฟางหยวนต้องคิดถึงเรื่องนี้อย่างช่วยไม่ได้
ด้วยอาณาจักรแห่งความฝัน ตัวละครที่โดดเด่นปรากฏตัวขึ้นในสงครามห้าภูมิภาคในชีวิตก่อนหน้าของฟางหยวนราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า
ยุคที่ยิ่งใหญ่เต็มไปด้วยความโกลาหลและวุ่นวาย
‘น่าเสียดายที่ข้าพึ่งเข้าร่วมกับตระกูลวูได้ไม่นาน การร้องขออย่างจริงจังเพื่อเข้าไปในค่ายกลวิญญาณน่าสงสัยเกินไป’
‘แม้ภารกิจยอดเขาเยือกแข็งจะจบลงแล้ว แต่ผู้ใดจะรู้ว่าข้าจะได้ไปยังอาณาจักรแห่งความฝันเมื่อใด จะดีกว่าที่ข้าจะจัดการเรื่องที่อยู่ในมือตอนนี้และไม่ปล่อยให้มันไหลไปตามกระแส’
ฟางหยวนไตร่ตรองขณะบินลงบนยอดเขาเยือกแข็ง
ยอดเขาแห่งนี้เต็มไปด้วยทรัพยากรบนเส้นทางแห่งน้ำแข็งแต่ฟางหยวนยังไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด
หิมะปกคลุมยอดเขาเอาไว้ทั้งหมด
ในส่วนลึกของชั้นหิมะมีสัตว์อสูรประเภทแมลง พืช และวิญญาณป่าอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
‘หยกเยือกแข็ง’ ฟางหยวนค้นเริ่มต้นเก็บเกี่ยวในไม่ช้า
เขาพบหยกเยือกแข็งจำนวนมากใต้ชั้นหิมะ
‘หยกเยือกแข็งเป็นเพียงทรัพยากรระดับห้า แต่ยังมีหยกเยือกแข็งระดับหกอยู่บ้าง’
ฟางหยวนเริ่มรวบรวมสมบัติโดยปราศจากความลังเล
“บึม”
ผิวหิมะถูกระเบิดออกและเผยให้เห็นชั้นหินที่อยู่ด้านล่าง
มันคือหยกเยือกแข็งที่ซ่อนอยู่
หยกเยือกแข็งเป็นหินสีขาวบริสุทธิ์และเย็นจัด แน่นอนว่าพวกมันไม่มีอันตราย
ฟางหยวนนำหยกเยือกแข็งขึ้นมา
หลังจากนั้นเขายังค้นหาทรัพยากรที่อยู่บนยอดเขาทั้งหมด
หยกเยือกแข็งขนาดใหญ่ถูกขุดขึ้นมาทีละชิ้น หยกเยือกแข็งขนาดเล็กที่สุดมีขนาดเท่ากับช้างขณะที่ชิ้นที่ใหญ่ที่สุดมีขนาดเท่ากับเรือโดยสาร
หยกเยือกแข็งพันปีมักจะมีแก่นแท้หยกเยือกแข็งซึ่งเป็นทรัพยากรอมตะระดับเจ็ดอยู่ภายใน
ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีผู้ใดค้นพบพวกมันแต่พวกมันถูกเก็บรักษาไว้โดยตระกูลวู
ฟางหยวนนำหยกเยือกแข็งส่วนใหญ่ออกไป
ไม่เพียงเท่านั้นเขายังปล้นสะดมวิญญาณอีกมากมาย
ไม่จำเป็นต้องคิดถึงวิญญาณอมตะ
โดยปกติยอดเขาเยือกแข็งสามารถผลิตวิญญาณอมตะระดับหกได้เพียงครั้งเดียวในรอบหลายร้อยหรือหนึ่งพันปี
หากมีวิญญาณอมตะป่าอยู่จริง ผู้อมตะตระกูลเซี่ยจะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้และล่าถอยไปอย่างง่ายดาย
วิญญาณส่วนใหญ่เป็นวิญญาณบนเส้นทางแห่งหิมะและน้ำแข็ง แต่ยังมีวิญญาณบนเส้นทางแห่งวารีอยู่เล็กน้อย
นี่เป็นเหตุผลที่มันได้รับชื่อว่ายอดเขาเยือกแข็ง
หลังจากปล้นสะดม ฟางหยวนก็บินขึ้นสู่ท้องฟ้า
เขาชำเลืองมองยอดเขาเยือกแข็งเป็นครั้งสุดท้าย
มันเป็นยอดเขาที่งดงามด้วยหิมะสีขาว
แต่ตอนนี้มันเต็มไปด้วยหลุมบ่อ ทัศนียภาพของมันถูกทำลาย ทรัพยากรมากกว่าครึ่งสูญหายไป กล่าวได้ว่ารากฐานของยอดเขาเยือกแข็งได้รับความเสียหายอย่างหนัก
‘หากข้าใช้วิญญาณอมตะยกภูเขา ข้าจะสามารถเก็บยอดเขาเยือกแข็งไว้ในมิติช่องว่าง’
‘น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถทำเช่นนั้นในเวลานี้ ตัวตนของข้าคือวูอี้ไห่ สมาชิกของตระกูลวู การทำกำไรในครั้งนี้คือการยัดยอกทรัพย์ มันคือขีดจำกัด หากข้านำภูเขาทั้งลูกไป ยังไม่ต้องกล่าวถึงการเปิดเผยตัวตนของข้า แต่ข้าจะไม่สามารถอธิบายกับตระกูลวู’
ฟางหยวนถอนหายใจก่อนจะบินจากไปอย่างรวดเร็ว
หลายวันต่อมาฟางหยวนกลับไปถึงตระกูลวูและพบกับวูหยง
“ต้องขอบคุณน้องชายที่ช่วยปกป้องยอดเขาเยือกแข็งให้กับตระกูลและขับไล่หัวขโมย” วูหยงชื่นชมฟางหยวน
“ท่านยกย่องข้าเกินไปแล้ว มันเป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น” ฟางหยวนตอบกลับอย่างสุภาพ
“ผู้อาวุโสวูฝา ท่านประเมินมันหรือยัง? ความสำเร็จของน้องชายข้าไม่ใช่เล็กน้อย เราควรมองในภาพรวม” วูหยงหันหน้าไปทางผู้อมตะของตระกูลวูผู้หนึ่ง
เขามีรูปร่างหน้าตาธรรมดาแต่สถานะของเขากลับไม่ธรรมดา
เขาเป็นผู้ช่วยคนสนิทของวูหยงและรับผิดชอบคำนวณรางวัลหรือบทลงโทษแก่ผู้อมตะทั้งหมดของตระกูลวู
วูฝากล่าวด้วยคิ้วที่ขมวดเล็กน้อย “เราได้เห็นความกล้าหาญของท่านวูอี้ไห่แล้ว ด้วยการต่อสู้ครั้งนี้ ชื่อเสียงของท่านจะแพร่กระจายออกไป แต่หากกล่าวถึงรางวัล เนื่องจากท่านวูอี้ไห่ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบและมีข้อกำหนดเพียงห้าปี ขณะเดียวกันยอดเขาเยือกแข็งยังถูกปล้นสะดมอย่างโหดร้าย รากฐานของมันได้รับความเสียหายรุนแรง นั่นทำให้มูลค่าของมันลดลงอย่างมาก”
“โอ้ เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นงั้นหรือ?” วูหยงหันไปทางฟางหยวนด้วยความประหลาดใจ
ฟางหยวนถอนหายใจ “ข้าไม่ได้คาดหวังว่าผู้อมตะตระกูลเซี่ยจะเป็นคนน่าชังเช่นนี้!”
วูหยงขมวดคิ้วบาง “น้องชาย เจ้าเห็นผู้อมตะตระกูลเซี่ยปล้นสะดมยอดเขาเยือกแข็งด้วยตาของตนเองหรือไม่?”
“ไม่ มันเป็นเพียงการคาดเดา หรือบางทีมันอาจเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษ?” ฟางหยวนตอบโดยปราศจากข้อบกพร่อง
วูหยงพยักหน้าและกล่าว “ในกรณีนี้ผู้อาวุโสวูฝาจะเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย”
ผู้อาวุโสวูฝาคำนวณอยู่ชั่วครู่ก่อนจะส่งรายละเอียดให้ฟางหยวน
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1313 ทะเลเกล็ดมังกร
แปลโดย iPAT
ฟางหยวนอ่านรายการสมบัติที่เต็มไปด้วยทรัพยากรที่หลากหลาย ส่วนใหญ่เป็นทรัพยากรระดับมนุษย์ มีทรัพยากรอมตะอยู่สองหรือสามชิ้น
ฟางหยวนตระหนักดีว่าหากเขาส่งมอบหยกเยือกแข็ง รางวัลจะไม่ใช่เพียงสิ่งเหล่านี้
วูหยงและวูฝาให้ฟางหยวนเลือกทรัพยากรด้วยตนเอง
ฟางหยวนปล้นสะดมทรัพยากรจากยอดเขาเยือกแข็ง แม้เขาจะทิ้งบางส่วนเอาไว้ แต่ตระกูลวูก็ต้องการยอดเขาเยือกแข็งที่ไม่บุบสลาย
อย่างไรก็ตามฟางหยวนยังแสดงออกอย่างไร้เดียงสา เขากล่าว “ข้าสงสัยว่าข้าสามารถแลกเปลี่ยนรางวัลเหล่านี้กับดินเกล็ดมังกรหรือไม่?”
วูหยงตะลึงเล็กน้อยก่อนจะหันหน้าไปทางวูฝา
หลังจากคิด วูฝาพยักหน้า
หลังจากกลับบ้าน ฟางหยวนยังบ่มเพาะต่อไป
ครั้งนี้เขาได้รับหยกเยือกแข็งจำนวนมาก เขาอาจสามารถสร้างยอดเขาเยือกแข็งขนาดเล็กในมิติช่องว่างจักรพรรดิ
แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
จุดสำคัญคือดินเกล็ดมังกร
ดินชนิดนี้เป็นทรัพยากรระดับมนุษย์ หากมองจากระยะไกล มันจะดูเหมือนเกล็ดมังกร
ดินเกล็ดมังกรเป็นดินที่สัตว์อสูรประเภทมังกรเคยอาศัยอยู่ ด้วยเหตุนี้มันจึงเต็มไปด้วยกลิ่นอายของมังกร
ฟางหยวนเคยซื้อดินชนิดนี้มาก่อนเพราะดินชนิดนี้จะกระตุ้นให้ปลามังกรผสมพันธุ์
“เวลาในมิติช่องว่างของข้าเดินช้าลง มันส่งผลกระทบต่อผลผลิตของข้าเป็นอย่างมาก”
“ตอนนี้ข้ามีพลังงานอมตะสำรองไม่เพียงพอเช่นเดียวกับหินวิญญาณอมตะ แต่แรงกดดันนี้จะบรรเทาลงหากข้าสามารถขยายผลผลิต”
หลังจากคิดเรื่องนี้ ฟางหยวนตัดสินใจขยายผลผลิตปลามังกร
ปลามังกรเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมในสวรรค์สีเหลือง
ปลามังกรเป็นสัตว์อสูรบนเส้นทางอาหาร มันสามารถใช้เป็นอาหารเสริมให้กับวิญญาณ
ไม่ใช่ผู้อมตะทุกคนที่มีวิญญาณอมตะ
แต่กองกำลังใหญ่จะซื้อปลามังกรจำนวนมากเก็บเอาไว้
ฟางหยวนเริ่มพัฒนาพื้นที่ทะเล ปัจจุบันทะเลตะวันออกน้อยยังดูเหมือนทะเลสาบน้ำตื้น
อย่างไรก็ตามด้วยการกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์บนเส้นทางแห่งวารี ตอนนี้ทะเลตะวันออกน้อยจึงเต็มไปด้วยคลื่นน้ำ แม้ระดับน้ำจะไม่ลึก แต่มันก็ถือเป็นทะเลที่กว้างใหญ่ แทบไม่มีเกาะอยู่ที่นี่
แผนของฟางหยวนคือสร้างทะเลเกล็ดมังกร
ทะเลที่มนุษย์สร้างขึ้น!
นี่ไม่ใช่นวัตกรรมใหม่หรือความคิดสร้างสรรค์ของฟางหยวน ในความเป็นจริงผู้อมตะมากมายของทะเลตะวันออกต่างสร้างพื้นที่ทะเลในแบบฉบับของตนเอง
ในการจัดอันดับทะเลที่มีชื่อเสียงของโลกผู้อมตะทะเลตะวันออก ทะเลที่ถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือมนุษย์ค่อยๆเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ
แน่นอนว่าทะเลที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติยังคงครองตำแหน่งส่วนใหญ่ของการจัดอันดับ
การสร้างพื้นที่ทะเลเทียมไม่ใช่เรื่องง่าย
ฟางหยวนต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมากในการจัดวางดินเกล็ดมังกร จากนั้นเขายังสร้างค่ายกลวิญญาณระดับมนุษย์ในพื้นที่เพื่อแยกทะเลแห่งนี้ออกจากทะเลทั้งหมด
สุดท้ายเขาก็นำฝูงปลามังกรมาเลี้ยงไว้ในสถานที่แห่งนี้
ฝูงปลามังกรพึงพอใจมากและมีการผสมพันธุ์มากขึ้น
อย่างไรก็ตามนี่ยังไม่เพียงพอ
ฟางหยวนเตรียมท่าไม้ตายอมตะเอาไว้แล้ว มันคือปีที่อุดมสมบูรณ์!
นี่เป็นท่าไม้ตายอมตะของไห่ฟาน แต่เขาไม่ได้คิดค้นขึ้นด้วยตนเอง เขาได้รับมันมาจากผู้อมตะที่ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่ง
มันเป็นท่าไม้ตายอมตะที่ค่อนข้างหายาก เนื่องจากมันเป็นท่าไม้ตายอมตะที่ใช้จัดการมิติช่องว่างโดยเฉพาะและไม่สามารถใช้ในการต่อสู้
แต่ผลลัพธ์ของมันยอดเยี่ยมมาก กระทั่งไห่ฟานก็ยังต้องยกย่องท่าไม้ตายนี้
กลิ่นอายของวิญญาณค่อยๆปะทุขึ้น
ฟางหยวนดัดแปลงท่าไม้ตายอมตะปีที่อุดมสมบูรณ์เล็กน้อย
เดิมทีมันใช้วิญญาณปีอมตะเป็นแกนกลางและใช้วิญญาณระดับมนุษย์นับหมื่นดวงเป็นส่วนสนับสนุน แต่ตอนนี้ฟางหยวนมีวิญญาณอมตะความพยายามระดับเจ็ด เขาจึงเพิ่มมันเข้าไปในท่าไม้ตายนี้
สิบกว่าวันผ่านไป ในที่สุดปีที่อุดมสมบูรณ์ก็แสดงพลังอำนาจของมันออกมา
พลังงานลึกลับแผ่ขยายไปทั่วทะเลเกล็ดมังกร แต่ผลลัพธ์ของมันต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง
“กระทั่งไห่ฟานยังต้องใช้เวลาสองถึงสามวันในการกระตุ้นใช้งานท่าไม้ตายอมตะปีที่อุดมสมบูรณ์ มันค่อนข้างยาก หลังจากที่ข้าเพิ่มวิญญาณความพยายามเข้าไป มันยิ่งต้องใช้เวลามากขึ้น โชคดีที่ข้าประสบความสำเร็จ”
ฟางหยวนทบทวนประสบการณ์ที่ผ่านมา
“ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งกาลเวลาของข้าอยู่ในระดับทั่วไป ข้าแทบไม่สามารถเพิ่มวิญญาณความพยายามเข้าไปในท่าไม้ตายนี้ นี่คือเหตุผลหลักที่ทำให้ข้าเสียเวลาไปมาก”
ยิ่งใช้เวลากระตุ้นการทำงานน้อยเท่าใด มันก็ยิ่งปลอดภัยมากเท่านั้น
อย่างไรก็ตามมันมีข้อดีมากกว่าข้อเสีย
ด้วยการสนับสนุนของวิญญาณความพยายาม ประสิทธิภาพของปีที่อุดมสมบูรณ์เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
เดิมทีปีที่อุดมสมบูรณ์จะอยู่ได้เพียงหนึ่งปี แต่ตอนี้มันสามารถทำงานได้ถึงสองปี สิ่งนี้ยังช่วยประหยัดพลังงานอมตะให้กับฟางหยวนอีกด้วย
“ยังมีช่องว่างให้ปรับปรุงอีกมาก แต่ด้วยระดับความสำเร็จบนเส้นทางแห่งกาลเวลาของข้า ตอนนี้ข้าถึงขีดจำกัดแล้ว ข้าทำได้เพียงลืมมันไปก่อน”
ด้วยวิธีนี้ทะเลเกล็ดมังกรจึงถือกำเนิดขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบในทะเลตะวันออกน้อยของฟางหยวน
มีปลามังกรจำนวนมากอาศัยอยู่ที่นี่
ท่าไม้ตายปีที่อุดมสมบูรณ์ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อทะเลเกล็ดมังกรแต่มันยังแผ่กระจายไปยังพื้นที่รอบๆ
อย่างไรก็ตามมันยังครอบคลุมเพียงบางส่วนของทะเลตะวันออกน้อยเท่านั้น
ด้านหนึ่งเพราะฟางหยวนเพิ่มวิญญาณความพยายามเข้าไปทำให้พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบลดน้อยลง อีกด้านเป็นเพราะมิติช่องว่างจักรพรรดิใหญ่โตเกินไป
การถือกำเนิดของทะเลเกล็ดมังกรถือเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่ของฟางหยวน
แต่หลังจากโครงการนี้ หินวิญญาณอมตะและพลังงานอมตะของฟางหยวนก็แทบหมดสิ้น
เพื่อความปลอดภัย ฟางหยวนเริ่มขายทรัพยากรที่ไม่จำเป็นทั้งหมด
ตัวอย่างเช่นหยกเยือกแข็งที่เขาปล้นสะดมมาจากยอดเขาเยือกแข็ง
หลังจากขายทรัพยากรบางส่วน ฟางหยวนยังต้องใช้กำไรส่วนหนึ่งเพื่อซื้อปลามังกรฝูงใหญ่จากสวรรค์สีเหลือง
เขาวางฝูงปลามังกรเหล่านี้ไว้ในทะเลเกล็ดมังกร
อาจกล่าวได้ว่าเขากำลังเดิมพันกับโครงการนี้
แน่นอนว่ามันมีความเสี่ยง แต่หากเขาไม่รับความเสี่ยง ผลตอบแทนจะลดน้อยลง ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เขาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและมั่นคง ดังนั้นฟางหยวนจึงสามารถรับความเสี่ยงมากขึ้น
แต่ด้วยพลังงานอมตะที่มีอยู่อย่างจำกัด ฟางหยวนจึงไม่ต่างจากคนที่ถูกมัดมือมัดเท้าและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างสะดวกสบาย
แต่ละวันผ่านไปอย่างยากลำบาก
หลังจากครึ่งเดือน ปลามังกรชุดแรกถูกขายออกไป สถานการณ์ของเขาเริ่มดีขึ้น
“ผู้ใดจะคิดว่าเจ้าจะมีความเชี่ยวชาญในการเพาะพันธุ์ปลามังกรถึงระดับนี้!” กระทั่งวูหยงยังประหลาดใจเล็กน้อย
ตระกูลวูเริ่มทำธุรกิจเกี่ยวกับปลามังกร พวกเขาเริ่มขายให้คนในตระกูลก่อนจะขยายไปยังตระกูลอื่นเช่นตระกูลเฉียวที่มีความใกล้ชิดกับพวกเขา
ด้วยตัวตนของวูอี้ไห่ ปลามังกรของฟางหยวนจึงเข้าสู่ตลาดโลกผู้อมตะภาคใต้ได้อย่างราบรื่น
หลังจากขายปลามังกรไปสามชุด สถานการณ์ของฟางหยวนก็ดีขึ้นมาก ลูกพลัมแดงอมตะในคลังของเขาเพิ่มขึ้นทีละน้อย
เมื่อสถานะทางการเงินได้รับการแก้ไข ฟางหยวนจึงสามารถกลับไปบ่มเพาะอีกครั้ง
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1314 ผลไม้เขากวาง
แปลโดย iPAT
ภาคใต้ ตระกูลวู
ในห้องลับ ฟางหยวนลอยอยู่กลางอากาศด้วยการแสดงออกที่เคร่งขรึม
เส้นผมของเขาพลิ้วไหวอยู่ในอากาศ กลิ่นอายของวิญญาณจำนวนมากเล็ดรอดออกมาจากร่างกายของเขา
“ขั้นตอนสำคัญ…” ฟางหยวนพึมพำ สายตาของเขาเปลี่ยนเป็นเด็ดเดี่ยว
เขากระตุ้นใช้งานวิญญาณระดับมนุษย์อย่างระมัดระวัง
มันเป็นเพียงวิญญาณระดับหนึ่งบนเส้นทางแห่งโลหะ
ในเวลาปกติ มันไม่มีความเสี่ยง แต่สถานการณ์นี้แตกต่างออกไป
“บึม!”
เสียงระเบิดดังขึ้น
ร่างของฟางหยวนสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ใบหน้าของเขากลายเป็นซีดขาวขณะที่เลือดไหลออกมาจากมุมปาก
“ข้าล้มเหลวอีกครั้ง” ฟางหยวนถอนหายใจยาว
เขาค่อยๆลอยลงบนพื้นและตรวจสอบอาการบาดเจ็บของตน
“โชคดีที่ข้าใช้เพียงวิญญาณระดับหนึ่ง อาการบาดเจ็บเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาและไม่จำเป็นต้องใช้วิญญาณบุรุษคนก่อนหน้า มันจะฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว”
ฟางหยวนพยายามพัฒนาท่าไม้ตายอมตะกระดองเต่าวัชระ
ท่าไม้ตายอมตะกระดองเต่าวัชระใช้วิญญาณอมตะความคิดวัชระระดับหกเป็นแกนกลาง ฟางหยวนใช้ท่าไม้ตายนี้เอาชนะเซี่ยเฟยกุ้ย
หลังจากการต่อสู้ครั้งนั้น ฟางหยวนรู้สึกว่าท่าไม้ตายดังกล่าวยังไม่น่าพอใจ มันยังสามารถพัฒนาไปได้อีก
ฟางหยวนให้ความสำคัญกับความรู้สึกนี้
ด้วยความสำเร็จระดับปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งปัญญาและเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง ความรู้สึกที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องไร้สาระ
“น่าเสียดายแม้ข้าจะมีความก้าวหน้าแต่ผลลัพธ์ยังไม่ดีนัก ดูเหมือนระดับความสำเร็จของข้ายังไม่เพียงพอ ตอนนี้ข้าทำได้เพียงเท่านี้”
ฟางหยวนถอนหายใจ
ในความเป็นจริงพัฒนาการของเขาถือว่าอัศจรรย์มากแล้วเมื่อเปรียบเทียบกับผู้อมตะคนอื่นๆ
ในอดีตอสูรสายฟ้ายังต้องใช้เวลาหลายปีเพื่อคิดค้นท่าไม้ตายเทพสายฟ้า ความเร็วในการพัฒนาท่าไม้ตายอมตะของเขายังไม่แม้แต่จะถึงสิบในร้อยส่วนของฟางหยวน
อย่างไรก็ตามมันเป็นทางเลือกที่ฉลาดสำหรับฟางหยวนที่จะยอมแพ้ในตอนนี้
เพราะเขามีวิธีเพิ่มระดับความสำเร็จที่รวดเร็ว ตราบเท่าที่ความสำเร็จของเขาพุ่งสูงขึ้น เขาจะสามารถพัฒนาท่าไม้ตายอมตะกระดองเต่าวัชระได้ในพริบตา
หลังจากขายปลามังกร สถานะทางการเงินของฟางหยวนเริ่มดีขึ้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงมีพลังงานอมตะมากพอที่จะทดลองท่าไม้ตายอมตะ
กล่าวไปแล้วการคิดค้นท่าไม้ตายอมตะถือว่าสิ้นเปลืองมาก ตัวอย่างเช่นหากความพยายามล้มเหลว ผู้อมตะอาจได้รับบาดเจ็บ วิญญาณอาจถูกทำลาย พลังงานอมตะถูกใช้จ่าย และวิญญาณอมตะอาจได้รับความเสียหาย
ในทางตรงข้ามหากผู้อมตะมีระดับความสำเร็จสูงพอ การพัฒนาท่าไม้ตายอมตะจะเป็นไปอย่างง่ายดาย มันจะช่วยประหยัดเวลา ความพยายาม และทรัพยากรไปได้มาก
ระดับความสำเร็จในปัจจุบันของฟางหยวนยังไม่เพียงพอให้เขาพัฒนาท่าไม้ตายอมตะกระดองเต่าวัชระ แม้เขาจะสามารถทำได้ แต่เขาก็ต้องจ่ายด้วยราคาที่ค่อนข้างสูง
เขาไตร่ตรองและเลือกยอมแพ้โครงการนี้
หลังจากพักผ่อน ฟางหยวนส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไปยังสวรรค์สีเหลือง
“ข้าจะจ่ายหนึ่งพันสามร้อยหินวิญญาณอมตะสำหรับผลไม้เขากวางทั้งหมดของท่าน” ฟางหยวนกล่าว
ผู้ขายส่ายศีรษะ “ราคาที่ข้าเสนอต่ำมากแล้ว ท่านมาที่นี่สามครั้งแล้ว หากท่านต้องการซื้อจริงๆ เพิ่มอีกสองร้อยหินวิญญาณอมตะและรับมันไป”
ผลไม้เขากวางเป็นทรัพยากรอมตะระดับหก
มันไม่ใช่สมบัติหายากแต่มีไม่กี่คนที่ขายมันเนื่องจากมันไม่ได้รับความนิยม
อย่างไรก็ตามฟางหยวนต้องการมันเพื่อให้อาหารวิญญาณความคิดวัชระ
ฟางหยวนไม่ตอบรับแต่เลือกลดจำนวนสินค้า
ผลไม้เขากวางของร้านนี้มีคุณภาพสูงสุด ราคาก็ค่อนข้างสมเหตุสมผล ดังนั้นเขาจึงมาที่ร้านนี้หลายครั้ง
ผลไม้เขากวางมีขนาดเท่ากำปั้นทารก มันไม่ได้เติบโตขึ้นบนต้นไม้แต่เติบโตขึ้นบนเขากวางอสูรเดียวดาย
‘ตอนนี้ข้าควรซื้อผลไม้เขากวางเก็บไว้ส่วนหนึ่งเพื่อให้อาหารครั้งแรกกับวิญญาณความคิดวัชระ’
‘เมื่อข้ามีเงินทุนมากพอในอนาคต ข้าอาจซื้อวิธีเพาะเลี้ยงผลไม้เขากวางและสร้างมันขึ้นมาด้วยตนเอง’
‘เรื่องที่ข้าจะผลิตมันได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับโอกาสในอนาคต’
ฟางหยวนไตร่ตรองก่อนกล่าว “เช่นนั้นให้ข้าตรวจสอบอีกครั้ง”
แต่ในเวลานี้เจตจำนงของผู้อมตะที่อยู่ตรงหน้าฟางหยวนกลับสั่นสะท้านขึ้น เขาเร่งกล่าว “ร่างหลักของข้ามาแล้ว เขาบอกว่าเขาจะพูดคุยเกี่ยวกับราคาสินค้ากับท่านด้วยตนเอง’
ฟางหยวนมีความสุขมาก
เขากำลังรอสถานการณ์นี้อยู่
ผู้อมตะมักทิ้งเจตจำนงของตนไว้ในสวรรค์สีเหลืองเพื่อขายสินค้าของพวกเขา
อย่างไรก็ตามแม้เจตจำนงจะสามารถสื่อสารและดำเนินทางทั้งหมด แต่มันต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของร่างหลักอย่างเคร่งครัด สิ่งนี้ไม่สามารถต่อรองได้
แต่เมื่อสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของผู้ขายสินค้าเข้ามาในสวรรค์สีเหลือง ฟางหยวนจะสามารถเจรจาต่อรอง
มีหลายสิ่งที่ต้องพูดคุย
“ข้าต้องการผลไม้เขากวางเพื่อเป็นอาหรให้กับวิญญาณอมตะ”
“หากเราสามารถบรรลุข้อตกลง นี่จะไม่ใช่ธุรกรรมสุดท้าย”
“ข้าเสนอหินวิญญาณอมตะหนึ่งพันสามร้อยก้อน”
ฟางหยวนเริ่มเจรจา
ผู้ขายลังเล “นี่เป็นการพบกันครั้งแรกของเรา ข้าจะเชื่อคำสัญญาปากเปล่าของท่านได้อย่างไร? ฮ่าฮ่า ลืมไปได้เลย ข้าต้องการหนึ่งพันสี่ร้อยหินวิญญาณอมตะ”
“เมื่อเราทำธุรกรรมถึงสามครั้ง ราคาจะลดลงเหลือหนึ่งพันสามร้อย ท่านคิดอย่างไร?”
เห็นได้ชัดว่าผู้ขายก็ไม่โง่ เขาค่อนข้างฉลาด
ฟางหยวนปฏิเสธ “หากข้ามีเงินมากพอข้าจะไม่ทำให้ยุ่งยากเช่นนี้ หนึ่งพันสามร้อยห้าสิบได้หรือไม่?”
ผู้ขายฝืนยิ้ม “เอาล่ะ หากไม่ใช่เพราะความจำเป็นเร่งด่วนของข้าและความจริงที่ว่าผลไม้เขากวางเหล่านี้ขายออกได้ช้า ข้าจะไม่ตกลงกับราคาของท่าน”
ฟางหยวนถอนหายใจด้วยความโล่งอกหลังจากเสร็จสิ้นธุรกรรมนี้ ปัญหาการให้อาหารวิญญาณความคิดวัชระได้รับการแก้ไขในที่สุด
ต่อไปเป็นอาหารของวิญญาณอมตะเต่าพยากรณ์
วิญญาณอมตะดวงนี้กินสาหร่ายทะเลเป็นอาหาร
โดยธรรมชาติแล้วมันไม่ใช่สาหร่ายทั่วไปแต่เป็นสาหร่ายหมึกดึกดำบรรพ สิ่งนี้เป็นทรัพยากรอมตะระดับหก
ปัจจุบันฟางหยวนกำลังขาดแคลนทุนทรัพย์ ดังนั้นเขาจึงตั้งใจซื้อและเก็บสาหร่ายหมึกดึกดำบรรพเอาไว้
เขาจะพิจารณาเกี่ยวกับการสร้างแหล่งอาหารขึ้นมาด้วยตนเองในอนาคต
สำหรับวิญญาณวันอมตะ มันกินสายธารแห่งกาลเวลาเป็นอาหารและไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้
หากเปรียบเทียบกับผลไม้เขากวาง ผู้ขายสาหร่ายหมึกดึกดำบรรพมีมากมายในสวรรค์สีเหลือง
แต่ฟางหยวนไม่สามารถทำข้อตกลงกับพวกเขา
ประเด็นคือราคา
แต่เขาไม่รีบ ยังมีเวลาเหลืออยู่ก่อนจะถึงเวลาให้อาหารวิญญาณอมตะเต่าพยากรณ์
‘โชคดีที่ข้าสร้างทะเลเกล็ดมังกรสำเร็จ ตราบเท่าที่มันยังสร้างผลผลิต ข้าจะทำเงินได้มากมายในอนาคต’
‘ต่อไปคือการสร้างถ้ำขดด้ายเพื่อเพาะเลี้ยงแมงมุมหน้าคน’
ฟางหยวนคิดมาแล้ว ตลาดการค้าแมงมุมหน้าคนใหญ่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทะเลทรายตะวันตก แม้ความต้องการมันจะไม่สูงเท่าปลามังกรแต่มันยังค่อนข้างดี
แต่ตอนนี้ฟางหยวนยังขาดแคลนทุนทรัพย์และต้องการเวลาเพื่อสะสมความมั่งคั่ง
‘จากสถานการณ์นี้ข้าประเมินว่าต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งเดือนก่อนที่ข้าจะสามารถรวบรวมเงินทุนก้อนแรกและเริ่มสร้างถ้ำหดด้าย’
‘หวังว่าตระกูลวูจะมีเสถียรภาพในช่วงเวลานี้และให้ข้ากลับไปยังค่ายกลวิญญาณ’
ตัวตนของวูอี้ไห่จำกัดเสรีภาพของฟางหยวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบันของตระกูลวูที่ไม่เป็นผลดีต่อเขา
ในช่วงเดือนที่ผ่านมาวูหยงส่งกลุ่มผู้อมตะของตระกูลวูออกไปจัดการปัญหาที่เกิดจากกองกำลังต่างๆตลอดเวลา มีการสูญเสียและมีกำไร ศักดิ์ศรีของตระกูลวูตกต่ำลง แต่ในความเป็นจริงมีความเสียหายไม่มากต่อผลประโยชน์ของพวกเขา
ดังนั้นสถานการณ์ของตระกูลวูจึงยังไม่เลวร้ายนัก
วูหยงต้องการกู้คืนชื่อเสียงของพวกเขาขณะที่กองกำลังอื่นๆไม่พอใจและต้องการคว้าผลประโยชน์บางอย่าง
การเผชิญหน้าระหว่างกองกำลังฝ่ายธรรมะแตกต่างจากฝ่ายปีศาจ
การเผชิญหน้าของฝ่ายปีศาจมีเพียงความรุนแรงและป่าเถื่อนขณะที่การเผชิญหน้าของฝ่ายธรรมะเป็นเรื่องของการพ่นน้ำลายและมักใช้เวลาที่ยาวนาน มันเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะต่อสู้กันโดยปราศจากข้อแม้ พวกเขาจะไม่ต่อสู้กันจนตัวตาย
ด้วยเหตุนี้วันเวลาที่สงบสุขของฟางหยวนจึงอยู่ได้ไม่นาน
ไม่กี่วันต่อมาเขาได้รับภารกิจใหม่จากวูหยง
“หอยทากภูเขา? สัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขา?”
คิ้วของฟางหยวนขมวดบาง
ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีความมั่นใจที่จะทำงานนี้ให้สำเร็จ แต่สถานการณ์ปัจจุบันดูไม่ดีนัก
ก่อนหน้านี้แม้ฟางหยวนจะสามารถแก้ปัญหาของยอดเขาเยือกแข็ง แต่ในความเป็นจริงผลลัพธ์ที่ปรากฏยังไม่เป็นที่น่าพอใจสำหรับตระกูลวู เขาสร้างข้อตกลงห้าปีและยังปล้นสะดมทรัพยากรของยอดเขาเยือแข็ง
นี่เป็นความตั้งใจของฟางหยวนที่จะทิ้งความประทับใจที่ไม่ดีนักให้กับวูหยง ตัวตนระดับสูงไม่ชอบใช้งานคนเช่นนี้ หากพวกเขาส่งฟางหยวนไปยังค่ายกลวิญญาณ มันจะตรงกับความปรารถนาของฟางหยวน
แต่ปัจจุบันตระกูลวูกำลังขาดแคลนกำลังคนขณะที่อาณาเขตของพวกเขากว้างใหญ่เกินไป ปัญหาเรื่องหอยทากเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน วูหยงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องใช้งานฟางหยวนอีกครั้ง
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1315 สัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขา
แปลโดย iPAT
ภาคใต้
สายฝนโปรยปรายลงบนยอดเขา
ฟางหยวนในชุดคลุมสีน้ำเงินมองแม่น้ำและภูเขาที่อยู่ห่างออกไป
ภูเขาลูกนี้ค่อนข้างพิเศษ
มันสูงสั้นชันและเอียง
แต่ภูเขาทั้งลูกมีรูปร่างเป็นทรงกลม
มันเหมือนหอยทาก
ผู้คนเรียกมันว่าหอกภูเขา
มันเป็นสัตว์อสูรแรกกำเนิด!
ร่างของมันซ่อนอยู่ในเปลือกหอย ตอนนี้มันตื่นแล้วและกำลังเคลื่อนที่อย่างช้าๆ
“ครืน…”
การเคลื่อนที่ของมันทำให้พื้นที่รอบๆเกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อย ฝูงนกบินหลบหนีกระจัดกระจายกันไปอย่างไร้ระเบียบ
ฟางหยวนมองการเคลื่อนไหวของมันจากยอดเขาอีกแห่งหนึ่ง
แม้หอยภูเขาตัวนี้จะเป็นสัตว์อสูรแรกกำเนิดแต่มันอ่อนโยนมาก เป็นเรื่องยากที่จะทำให้มันโกรธ อาจกล่าวได้ว่ามันไม่มีอันตรายใดๆ
ไม่เพียงไม่มีอันตรายแต่มันยังมีประโยชน์
เนื่องจากร่างกายของมันเต็มไปด้วยร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งทาสและเส้นทางแห่งปฐพี ดังนั้นมันจึงให้กำเนิดทรัพยากรบนเส้นทางแห่งทาสและเส้นทางแห่งปฐพีจำนวนมาก
หอยภูเขาไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของกองกำลังใดกองกำลังหนึ่ง
มันเป็นเรื่องยากแม้แต่ผู้อมตะระดับแปดที่จะควบคุมมัน
เพราะหอยภูเขาเป็นสัตว์อสูรบนเส้นทางแห่งทาส
นานมาแล้วกองกำลังใหญ่ของภาคใต้ได้ทำข้อตกลงว่าตราบเท่าที่หอยภูเขาไม่ถูกควบคุมโดยบางคน พวกมันจะเป็นหอยภูเขาป่าและถูกพิจารณาว่าเป็นทรัพยากรของตระกูลในพื้นที่ที่มันอาศัยอยู่
เดิมทีหอยภูเขาตัวนี้อาศัยอยู่ในอาณาเขตของตระกูลวู
แต่ตอนนี้มันกำลังเคลื่อนที่ออกจากเขตปกครองของตระกูลวู
ก่อนหน้านี้วูตู๋ซิ่วตั้งใจขยายอาณาเขตของตระกูลวูออกไปเพื่อเก็บรักษาหอยภูเขาตัวนี้เอาไว้
สถานที่ที่หอยภูเขากำลังมุ่งหน้าไปไม่ใช่อาณาเขตของกองกำลังฝ่ายธรรมะ
นี่หมายความว่าหอยภูเขาจะได้รับอิสระอีกครั้ง
โดยธรรมชาติแล้ววูหยงย่องไม่ต้องการให้สิ่งนี้เกิดขึ้น แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ขาดแคลนกำลังคน เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องส่งน้องชายของเขาวูอี้ไห่ออกไปเท่านั้น
“วูอี้ไห่? ข้าชื่อฉินจินเฉิง ข้าถูกเรียกว่าสัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขา” ผู้อมตะผู้หนึ่งบินมาจากยอดเขาอื่น
ผู้อมตะเฒ่าผู้นี้อยู่ในชุดเกราะสีเทาที่ดูเลอะเทอะกับเส้นผมเป็นสีขาวสลับดำที่ดูยุ่งเหยิง
แต่เขาปลดปล่อยกลิ่นอายของผู้อมตะระดับเจ็ดที่ทรงพลังและสง่างามออกมาโดยเฉพาะดวงตาของเขาที่ส่องประกายแหลมคม ตอนนี้เขากำลังมองฟางหยวนราวกับผู้อาวุโสที่พบผู้เยาว์
“ข้า วูอี้ไห่ คารวะผู้อาวุโสแห่งขุนเขา” ฟางหยวนโค้งคำนับเล็กน้อย การทักทายของเขาเหมือนผู้คนฝ่ายธรรมะ
ชื่อของสัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขามีคำว่าเฒ่าอยู่ในชื่อเพราะเขาเป็นทหารผ่านศึกเฒ่าที่มีอายุมากกว่าสองพันปี
เขามีวิญญาณอายุยืนและมีวิธียืดอายุที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
พลังการต่อสู้ของเขาสูงมากเช่นกัน เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญท่ามกลางผู้บ่มเพาะสันโดษและอยู่ในระดับใกล้เคียงกับวูอวี้ป๋อของตระกูลวู
ผู้อมตะระดับเจ็ดเช่นเซี่ยเฟยกุ้ยไม่สามารถเปรียบเทียบกับสัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขาผู้นี้
ดังนั้นเมื่อสัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขาปรากฏตัว เขาจึงปฏิบัติตัวในฐานะผู้อาวุโสแม้ฟางหยวนจะมาจากตระกูลวูก็ตาม
“ฮ่าฮ่า มันถึงเวลาที่ตระกูลวูจะส่งบางคนมาแล้วจริงๆ ไปนั่งคุยกันเถอะ” สัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขาหัวเราะและนั่งลงบนก้อนหิน
ฟางหยวนยิ้มและนั่งลงเช่นกัน
ฟางหยวนนั่งบนก้อนหินโดยปราศจากความเย่อหยิ่ง นี่ทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขาเกิดความประทับใจที่ดี “ข้าเกือบลืมไปเลยว่าเจ้าเคยเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษก่อนจะเข้าร่วมกับตระกูลวู เจ้าไม่มีท่าทางเจ้าเล่ห์ของสมาชิกฝ่ายธรรมะเหล่านั้น”
ฟางหยวนส่ายศีรษะเล็กน้อย “ฝ่ายธรรมะมีวิธีการของพวกเขา สำหรับข้า ข้าใช้เวลาส่วนใหญ่ในฐานะผู้บ่มเพาะสันโดษอยู่ในทะเลตะวันออก นิสัยเหล่านี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยง่าย”
“ฮ่าฮ่าฮ่า” สัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขาหัวเราะเสียงดัง “ข้าได้ยินว่าเจ้าขับไล่ผู้อมตะสองคนของตระกูลเซี่ยแต่กลับปล้นสะดมทรัพยากรของยอดเขาเยือกแข็ง”
ฟางหยวนแสดงออกด้วยความประหลาดใจ “ผู้อาวุโส นั่นเป็นเพียงข่าวลือ ข้าไม่เคยทำเช่นนั้น”
สัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขาหัวเราะก่อนจะถอนหายใจยาว “ผู้อมตะฝ่ายธรรมะไม่เข้าใจเจ้าแต่ข้าเข้าใจ มันยากสำหรับพวกเราผู้บ่มเพาะสันโดษที่จะกลายเป็นผู้อมตะ เราต้องหาทรัพยากรในการบ่มเพาะด้วยตนเองและไม่รู้ว่าจะมีโอกาสในอนาคตหรือไม่ ดังนั้นเราจึงต้องคว้าผลประโยชน์ในปัจจุบันอย่างสุดกำลัง ผู้ใดจะรู้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นในอนาคต”
“สำหรับฝ่ายธรรมะ พวกเขาบ่มเพาะอยู่ในบ้านและมีทรัพยากรอย่างเพียงพอ พวกเขาจะเข้าใจความเจ็บปวดและความยากลำบากของพวกเราได้อย่างไร?”
การแสดงออกของฟางหยวนสงบลง เขาไม่ได้สรรเสริญและไม่ได้โต้แย้ง
เขารู้ว่าคำกล่าวของสัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขาไม่ได้มีไว้เพื่อสร้างความใกล้ชิดกับเขาเท่านั้นแต่มันเป็นการแสดงความตั้งใจของเขา ผลประโยชน์ที่อยู่ตรงหน้าของสัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขาก็คือหอยภูเขา เขากำลังบอกว่าการตัดสินใจของเขาจะไม่เปลี่ยนแปลง วูอี้ไห่ เจ้าต้องตระหนักถึงเรื่องนี้
“ข้าเข้าใจเจตนาของท่านแล้ว ผู้อาวุโส แต่ข้ายังต้องขอให้ท่านเข้าใจข้าเช่นกัน ข้ามาที่นี่เพราะมีปัญหา” ฟางหยวนกล่าว
สัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขาหัวเราะเยาะ “ทุกคนล้วนมีปัญหาของตนเอง”
ด้วยอายุและประสบการณ์ คำกล่าวของคนผู้หนึ่งจะมีความหมายลึกซึ้งมากขึ้น
ทุกคนมีปัญหาของตนเอง มันหมายความว่าเขาก็มีปัญหาเช่นกันและยิ่งกว่านั้นมันยังบอกว่าตระกูลวูอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
ฟางหยวนไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก
บางครั้งความเงียบก็เป็นกลยุทธ์ที่ดี
แน่นอนว่าสัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขาไม่สามารถนิ่งเฉย เขาส่งวิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งข้อมูลให้กับฟางหยวน “ลองดู”
เนื้อหาภายในระบุทรัพยากรที่มีมูลค่าสูงมาก หากฟางหยวนได้รับพวกมัน เขาจะสามารถสร้างถ้ำขดด้ายได้ทันที
“เรามาร่วมมือกัน ข้าจะเอาหอยภูเขา ส่วนเจ้าจะได้รับรับสิ่งเหล่านี้ เจ้าคิดอย่างไร?” สัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขายิ้ม
เขากำลังติดสินบนฟางหยวน!
แต่นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก
มันอยู่ในความคาดหวังของฟางหยวน
สัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขาเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษ จากมุมมองของเขา เขาไม่ต้องการรุกรานกองกำลังอันดับหนึ่งของฝ่ายธรรมะ แม้ตระกูลวูจะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่กองกำลังนี้ไม่ใช่สิ่งที่สัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขาจะสามารถคุกคามด้วยตัวเขาเพียงลำพัง
สิ่งสำคัญกว่านั้นก็คือหากสัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขาได้รับหอยภูเขาตัวนี้ เขาจะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระอีกต่อไป
เขาไม่สามารถเก็บหอยภูเขาไว้ในมิติช่องว่างของตน นอกจากนั้นเขายังต้องปกป้องมันจากการโจมตีของศัตรูในอนาคต
หากเขารุกรานตระกูลวู ตระกูลวูจะส่งกองทัพผู้อมตะออกมาโจมตีเขา แล้วเขาจะรับมือกับสิ่งนี้ได้อย่างไร?
แม้เขาจะสามารถรับมือได้ครั้งหนึ่ง แล้วครั้งที่สอง ครั้งที่สาม?
กระทั่งเขาจะรับมือได้ทุกครั้ง แต่เขาก็ยังต้องพบกับการสูญเสียครั้งใหญ่ สัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขาจะยังมีช่วงเวลาบ่มเพาะที่สงบสุขอีกหรือไม่หากเขาถูกโจมตีซ้ำแล้วซ้ำอีก?
ด้วยเหตุนี้สัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขาจึงเหลือทางเลือกเดียว
นั่นคือเจรจากับตระกูลวู
ตระกูลวูไม่ต้องการปล่อยหอยภูเขาตัวนี้ไป แต่ตระกูลวูเป็นองค์กรขนาดใหญ่ มันย่อมมีช่องโหว่บางอย่าง
“ผู้อาวุโส ท่านต้องการใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อแลกเปลี่ยนกับสัตว์อสูรแรกกำเนิดงั้นหรือ?” ฟางหยวนกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง
“ทรัพยากรเหล่านั้นล้ำค่ามาก หอยภูเขาตัวนี้อาจเป็นสัตว์อสูรแรกกำเนิดแต่ผู้ใดสามารถควบคุมมัน หากข้าเป็นเจ้าของมัน ข้าจะเก็บเกี่ยวเพียงทรัพยากรที่มันสร้างขึ้น เราสามารถพูดคุยกันได้หากเจ้ามีเงื่อนไขอื่น” ดวงตาของสัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขาส่องประกายเจิดจ้า
เนื่องจากฟางหยวนไม่ได้ปฏิเสธโดยตรง สัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขาจึงมีความหวัง
“อย่างน้อยต้องเพิ่มขึ้นสองเท่า” นี่เป็นเงื่อนไขแรกของฟางหยวน
สัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขาขมวดคิ้วทันที
“หอยภูเขาไม่สามารถกล่าวว่าเป็นของท่าน มันยังเป็นของตระกูลวู” นี่คือเงื่อนไขข้อที่สองของฟางหยวน
ดวงตาของสัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขาเบิกกว้าง การแสดงออกที่อบอุ่นของเขาเปลี่ยนเป็นโกรธ
“แต่ในความเป็นจริงผู้อาวุโสจะเป็นเจ้าของหอยภูเขาตัวนี้ ผลประโยชน์ส่วนใหญ่จะตกเป็นของท่าน แต่ท่านต้องส่งมอบทรัพยากรบางส่วนให้กับตระกูลวูทุกปี” นี่คือเงื่อนไขข้อที่สามของฟางหยวน
สัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขาเริ่มเย้ยหยัน การแสดงออกของเขาเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม “วูอี้ไห่ เจ้ากำลังล้อข้าเล่นงั้นหรือ?”
“แน่นอนว่าไม่” ฟางหยวนแสดงออกอย่างสงบนิ่ง เขายืนขึ้นและมองเข้าไปในดวงตาของสัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขาอย่างไม่เกรงกลัว “ผู้อาวุโส ข้าขอถามสามคำถามได้หรือไม่?”
สัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขาแทบไม่สามารถยับยั้งความโกรธของตน “พูด!”
“ผู้อาวุโส ประการแรก ท่านเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษที่ไม่มีส่วนเกี่ยข้องกับกองกำลังใดๆ ตระกูลวูของข้าจะปล่อยให้หอยภูเขาอยู่ในมือของท่านได้อย่างไร? มันไม่เป็นไรหากท่านเป็นสมาชิกกองกำลังใหญ่ แต่การปล่อยให้ผู้บ่มเพาะสันโดษรับประโยชน์จะส่งผลกระทบในแง่ลบต่อตระกูลวู”
“ประการที่สอง แม้ท่านจะสามารถครอบครองหอยภูเขาได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่ท่านจะปกป้องมันได้นานเพียงใด? แม้ตระกูลวูของข้าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว แล้วกองกำลังอื่นจะไม่งั้นหรือ?”
“ประการที่สาม ผู้อาวุโส ท่านคิดว่าติดสินบนข้าเพียงผู้เดียว แล้วตระกูลวูจะมองอยู่ข้างสนามอย่างเฉยเมยงั้นหรือ?”
สัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขาเงียบ
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ถอนหายใจและกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “หากข้าทำตามความคิดของเข้า ข้าจะไม่กลายเป็นผู้พิทักษ์ของตระกูลวูงั้นหรือ?”
ฟางหยวนเผยรอยยิ้มบาง “สำหรับผู้บ่มเพาะสันโดษ ชื่อเสียงเป็นสิ่งที่ไร้นัยสำคัญ เงื่อนไขที่ข้ากล่าวแท้จริงแล้วไม่มากเกินไป นี่เป็นเพราะข้าเคยเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษเช่นกัน คำถามคือท่านต้องการเผชิญหน้าหรือเก็บเกี่ยวผลประโยชน์? โปรดไตร่ตรองอย่างรอบคอบด้วย”
สัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขาตกสู่ความเงียบงันอีกครั้ง
คราวนี้เขาเงียบเป็นเวลานานก่อนจะเปิดปากกล่าวอีกครั้ง “เอาล่ะ เราจะทำตามความคิดของเจ้า”
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1316 เทศกาลไหว้พระจันทร์
แปลโดย iPAT
ไม่กี่วันต่อมา
สัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขายืนอยู่บนหอยภูเขาราวกับเจ้าของขณะที่ฟางหยวนบินจากไป
ปัญหาเรื่องหอยภูเขาได้รับการแก้ไขแล้ว
ฟางหยวนในฐานะตัวแทนของตระกูลวูบรรลุข้อตกลงกับสัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขา แม้สัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขาจะได้รับผลประโยชน์ส่วนใหญ่ แต่สัตว์อสูรแรกกำเนิดตัวนี้ก็ยังคงเป็นของตระกูลวู
วูหยงมอบหมายให้ฟางหยวนออกไปรักษาหอยภูเขา ฟางหยวนรักษามันไว้ได้ส่วนหนึ่งแต่ภารกิจยังถือว่าประสบความสำเร็จ
‘สัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขารับเงื่อนไขของข้าเพราะตระกูลวูที่อยู่เบื้องหลัง’
‘สำหรับวูหยง ตอนนี้เขายุ่งอยู่กับปัญหามากมายที่เกิดจากกองกำลังอื่น เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมรับผลลัพธ์นี้’
‘ตระกูลวูอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย ในฐานะน้องชายของวูหยง ข้าไม่ควรเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกและต้องรีบกลับไปอย่างรวดเร็วที่สุด’
ฟางหยวนพอใจกับผลลัพธ์นี้
เขามีคำอธิบายกับตระกูล สิ่งสำคัญที่สุดคือเขาสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์
เขาสามารถสร้างถ้ำขดด้านได้ทันที
ก่อนหน้านี้เขาคาดการณ์ว่าต้องใช้เวลาอีกครึ่งปีและนั่นเป็นสถานการณ์ที่ไม่มีอุบัติเหตุเช่นการต่อสู้ที่ต้องใช้ลูกพลัมแดงอมตะจำนวนมาก ในปัจจุบันมิติช่องว่างของเขาผลิตลูกพลัมแดงอมตะได้ช้ามาก ฟางหยวนทำได้เพียงเปลี่ยนหินวิญญาณอมตะให้เป็นลูกพลัมแดงอมตะเท่านั้น
ตอนนี้พลังงานอมตะของเขาไม่ใช่องุ่นเขียวอมตะอีกต่อไป เขาต้องใช้หินวิญญาณอมตะถึงหนึ่งร้อยก้อนเพื่อเปลี่ยนเป็นลูกพลัมแดงอมตะหนึ่งผล
‘ข้าต้องจัดตั้งค่ายกลวิญญาณเพื่อสร้างถ้ำขดด้าย ข้ายังต้องใช้ทรัพยากรอมตะระดับหกไหมสีเข้มและทรัพยากรอมตะระดับเจ็ดหินโศกเศร้า’
‘แต่ด้วยผลกำไรในครั้งนี้ ข้าสามารถรวบรวมสิ่งที่ต้องการทั้งหมด มันเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น’
‘สิ่งสำคัญคือข้าจะสามารถกลับไปยังอาณาจักรแห่งความฝันได้เมื่อใด? ทัศนคติของวูหยงเป็นปัจจัยสำคัญ!’
ฟางหยวนคิดขณะเดินทางกลับ
ที่สำนักงานใหญ่ของตระกูลวู ผู้อมตะสองคนกำลังพูดถึงวูอี้ไห่
หนึ่งคือผู้อมตะระดับแปดของตระกูลวู วูหยง
อีกหนึ่งคือผู้ช่วยที่เชื่อถือได้ของเขา วูฝา
“ผู้ใดจะคิดว่าน้องชายของข้าจะแก้ปัญหาเรื่องหอยภูเขาได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ ผู้อาวุโสวูฝา ตามกฎของตระกูล เราจะให้รางวัลใดแก่เขา?” วูหยงถาม
วูฝาเงียบไปชั่วขณะ เขารู้ว่าคำถามของวูหยงมีความนัยซ่อนอยู่ เขากำลังสอบถามทัศนคติของเขาที่มีต่อวูอี้ไห่
เนื่องจากตัวตนของวูอี้ไห่พิเศษมาก เขากับวูหยงเป็นพี่น้องกัน!
วูฝาคิดก่อนตอบ “ท่านวูอี้ไห่มีภูมิหลังเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษ”
เขากล่าวเพียงประโยคเดียวแต่มันกลับทำให้วูหยงระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ถูกต้อง คำกล่าวของเจ้าถูกต้อง อี้ไห่มีนิสัยของผู้บ่มเพาะสันโดษ แม้เขาจะเข้าร่วมกับตระกูล แต่เขาก็ไม่เคยเปลี่ยน เขามักจะคิดถึงการเก็บเกี่ยวเฉพาะหน้าและมองหาผลประโยชน์ราคาถูกเสมอ”
อย่างไรก็ตามวูฝากลับไม่เห็นด้วย “ยอดเขาเยือกแข็งและหอยภูเขาไม่ใช่ผลประโยชน์ราคาถูก”
เสียงหัวเราะของวูหยงหยุดลง เขาพยักหน้า “นั่นไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน หากทุกคนเป็นเช่นนี้ ตระกูลวูจะดำรงอยู่ได้อย่างไร แต่เขาไม่ได้ข้ามเส้นและไม่ทิ้งจุดอ่อนเอาไว้”
วูหยงถอนหายใจก่อนกล่าวต่อ “เขามีความสามารถบางอย่างจริงๆ”
วูฝาไม่เข้าใจความหมายของของวูหยง
วูหยงไม่พอใจที่ฟางหยวนทำกำไรจากสถานการณ์
แต่สถานการณ์ของตระกูลวูทำให้วูหยงไม่มีทางเลือก เขาขาดกำลังคนและต้องส่งวูอี้ไห่ออกไปจัดการบางเรื่อง
และฟางหยวนก็เปิดเผยความสามารถของเขาออกมาด้วยการจัดการทั้งสองภารกิจ
ความสามารถนี้ได้รับการยอมรับโดยวูหยง ดังนั้นวูหยงจึงยังใช้งานฟางหยวนต่อไป แต่เมื่อเวลาและสถานการณ์ของตระกูลวูคลี่คลายลง ฟางหยวนจะถูกวูหยงทอดทิ้ง ตราบเท่าที่ฟางหยวนทิ้งหลักฐานบางอย่างเอาไว้ วูหยงจะใช้โอกาสนั้นจัดการฟางหยวน
ท้ายที่สุดก็ไม่มีตัวตนระดับสูงคนใดที่รู้สึกสบายใจกับผู้ใต้บังคับบัญชาที่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวเช่นฟางหยวน
ฟางหยวนประสบความสำเร็จในการกลับสู่ตระกูลวู
เขาอธิบายเรื่องราวโดยสังเขปและได้รับรางวัลจากตระกูลวูอีกครั้ง
ฟางหยวนเลือกที่จะแลกเปลี่ยนพวกมันกับหินวิญญาณอมตะ
โดยธรรมชาติจำนวนหินวิญญาณอมตะเหล่านี้ไม่สามารถเปรียบเทียบกับผลประโยชน์ที่เขาได้รับจากสัตว์ประหลาดเฒ่าเคลื่อนภูเขา
วันต่อมาฟางหยวนมีช่วงเวลาที่สงบสุขอีกครั้ง
โครงการสร้างถ้ำขดด้ายคืบหน้าไปอย่างช้าๆ นี่คือสิ่งที่เขาให้ความสำคัญในปัจจุบัน
ทุกช่วงเวลาหนึ่งฟางหยวนต้องวางมิติช่องว่างจักรพรรดิลงและดูดซับปราณสวรรค์พิภพเพื่อสร้างเสถียรภาพ
ท้ายที่สุดแม้น้ำหวนคืนก็เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรค์พิภพ มันเป็นภาระที่ยิ่งใหญ่สำหรับมิติช่องว่าง
แต่เรื่องนี้มีปัญหาเล็กน้อย
ฟางหยวนไม่สามารถดูดซับปราณสวรรค์พิภพได้โดยตรงเพราะปริมาณที่มันดูดซับแต่ละครั้งมหาศาลมาก
มันจะดึงดูดความสนใจของผู้คนทั้งหมด
ด้วยเหตุนี้ฟางหยวนจึงต้องมองหาทรัพยากรอมตะในสวรรค์สีเหลืองที่สามารถเปลี่ยนเป็นปราณสวรรค์พิภพเพื่อหลอมรวมมันเข้ากับมิติช่องว่างจักรพรรดิ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งนี้กลืนกินพลังงานและเงินสำรองของฟางหยวนเป็นจำนวนมาก แต่นี่เป็นวิธีเดียวที่เขาสามารถทำได้ในเวลานี้
วันเวลาผ่านไปฟางหยวนเริ่มรู้สึกไม่สามารถอดทน
‘ปัญหาที่อาณาจักรแห่งความฝันคลี่คลายลงแล้ว แต่วูหยงยังไม่ส่งข้ากลับไป ดูเหมือนสิ่งที่ข้ากังวลจะเกิดขึ้นจริงๆ เห้อ…’
ฟางหยวนถอนหายใจ
ในโลกนี้ผู้คนมักไม่มีทางเลือก
วูหยงกำลังยุ่งอยู่กับปัญหาที่รุมเร้าจากทุกทิศทาง เขาต้องทำทุกอย่างเพื่อสร้างเสถียรภาพ หากเขาปล่อยให้ฟางหยวนกลับไปยังค่ายกลวิญญาณ มันจะไม่ใช่การสร้างปัญหาให้กับตัวเขาเองงั้นหรือ?
ยิ่งไปกว่านั้นวูหยงยังเห็นความสามารถบางอย่างของฟางหยวนและต้องการใช้งานเขาต่อไป
สำหรับการยักยอกทรัพยากรของฟางหยวนระหว่างการทำงาน วูหยงสามารถเพิกเฉยต่อมันในเวลานี้
เขาไม่ได้ติดตามเอาความกับฟางหยวน
‘ดูเหมือนข้าต้องทำบางสิ่ง’
วันนี้ฟางหยวนออกจากที่พักของเขาเพื่อแก้ไขสถานการณ์
ฟางหยวนเป็นจิ้งจอกเฒ่า เหตุใดเขาจะไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์นี้?
สิบสองวันต่อมา บนภูเขาเย่ฮวามีผู้อมตะหลายคนนั่งอยู่รอบโต๊ะหิน
แสงจันทร์ส่องลงบนผิวน้ำ
วิหคราตรีส่งเสียงอยู่ในหุบเขาสีเขียว
สายลมพัดผ่านและสร้างเป็นฉากที่งดงามราวกับภาพฝัน
“วันนี้เป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์ของภาคใต้ ข้าขอถือโอกาสนี้ต้อนรับแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน” เฉียวซื่อหลิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เสียงที่ไพเราะของนางราวกับเสียงของน้ำพุธรรมชาติ
แต่รูปลักษณ์ของนางยิ่งงดงามและล้ำค่ามากกว่า ตอนนี้นางอยู่ในชุดผ้าไหมสีขาวและให้ความรู้สึกราวกับนางฟ้าในนิทาน
“ได้รับคำเชิญจากเทพธิดาซื่อหลิวให้มาร่วมเทศกาลไหว้พระจันทร์ในครั้งนี้ถือเป็นเกียรติของข้า ลั่วมู่จื่อ” ผู้อมตะหนุ่มผู้หนึ่งเปิดปากกล่าว
เขามองเฉียวซื่อหลิวด้วยสายตาที่เร้าร้อน
เฉียวซื่อหลิวเป็นหนึ่งในสามผู้อมตะหญิงที่งดงามของภาคใต้ แต่สิ่งที่โดดเด่นกว่านั้นก็คือภูมิหลังของนาง
ตระกูลเฉียวเป็นพันธมิตรของตระกูลวูและเป็นกองกำลังใหญ่ฝ่ายธรรมะ
ท่างกลางผู้อมตะหกคน มีผู้หญิงสองคนและผู้ชายอีกสี่คน มีชายสองคนในกลุ่มกำลังตามเกี้ยวพาราสีเฉียวซื่อหลิว
ทั้งสองคือลั่วมู่ซือและหลุนเฟย
ในความเป็นจริงมีชายที่หมายปองเฉียวซื่อหลิวมากมาย แต่การได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานเทศกาลไหว้พระจันทร์ในครั้งนี้หมายความว่าทั้งสองไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับคนอื่นๆ
แน่นอนว่าลั่วมู่ซือและหลุนเฟยมีความสุขกับเรื่องนี้และรีบเดินทางมาทันที
แต่ในเวลานี้เฉียวซื่อหลิวกลับกำลังพูดคุยอยู่กับผู้อมตะชายอีกคน “อี้ไห่ ท่านบอกว่าท่านต้องการผสานตนเองเข้ากับภาคใต้ เทศกาลไหว้พระจันทร์ในคืนนี้ถือเป็นประเพณีสำคัญของคนใต้”
“ภาคใต้จะไหว้พระจันทร์ปีละครั้ง มันเป็นเวลาที่พวกเราจะชื่นชมความงดงามของดวงจันทร์”
ดวงตาของนางส่องประกายระยิบระยับ เสียงที่นุ่มนวลอ่อนหวานดังออกมาจากริมฝีปากสีชมพูทำให้ภาพลักษณ์ของนางดูราวกับเทพธิดาจากสวรรค์
ลั่วมู่ซือและหลุนเฟยขมวดคิ้วทันที พวกเขามองฟางหยวนด้วยดวงตาที่ลุกเป็นไฟ
ทัศนคติที่แตกต่างของเฉียวซื่อหลิวสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้การจัดที่นั่งยังทำให้ลั่วมู่ซือและหลุนเฟยรู้สึกอารมณ์เสีย
เหตุผลเป็นเพราะที่นั่งหลักคือเฉียวซื่อหลิวขณะที่ที่นั่งด้านขวามือของนางคือฟางหยวนและที่นั่งด้านซ้ายมือคือเทพธิดาเถียนลู่สหายที่ดีที่สุดของนาง
สำหรับผู้อมตะชายคนอื่นๆ พวกเขาถูกจัดวางอยู่ในตำแหน่งที่ค่อนข้างห่างไกล
“เทศกาลไหว้พระจันทร์?” ฟางหยวนกล่าวราวกับไม่รู้จักแต่แท้จริงแล้วเขารู้ดี “น่าสนใจ แล้วเราจะทำสิ่งใดอีกนอกจากการชื่มชมดวงจันทร์”
“เราจะดื่มชา ท่องบทกวี และผ่าหิน” เฉียวซื่อหลิวอธิบายด้วยรอยยิ้ม
“ผ่าหิน?” ฟางหยวนแสดงออกด้วยความงุนงง
เฉียวซื่อหลิวไม่ตอบแต่นางยื่นถ้วยชาให้ฟางหยวน “ก่อนอื่นเชิญชิมชาที่ข้าชงเอง”
ลั่วมู่ซือแทบผุดลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้
เปลือกตาของหลุนเฟยกระตุกอย่างรุนแรง
ฟางหยวนจิบชาเบาๆและแสดงความคิดเห็น “ชาไม่เลว”
“ไม่เลวงั้นหรือ? นี่คือชาเกลียวหลิวที่มีชื่อเสียงของเทพธิดาซื่อหลิว!”
“มีสิ่งใดที่ข้าไม่รู้งั้นหรือ?” ฟางหยวนมองเฉียวซื่อหลิว
เฉียวซื่อหลิวที่ถูกฟางหยวนจ้องมองเร่งหลบสายตาและหัวเราะเบาๆ
หัวใจของหลุนเฟยเต้นเร็วขึ้นเมื่อได้ยินเสีนงหัวเราะที่มีเสน่ห์ของเทพธิดาผู้นี้
เป็นเทพธิดาเถียนลู่ที่เปิดปากตอบ “หากท่านเขย่าถ้วยชาเบาๆ ชาเกลียวหลิวจะสร้างน้ำวนขึ้นบนพื้นผิว ท่านจะได้รับรสชาติที่ไม่ธรรมดาเมื่อดื่มในเวลานั้น”
“โอ้ เป็นเช่นนี้” ฟางหยวนเขย่าถ้วยชาและสร้างน้ำวนขึ้นทันที
จากนั้นเขาก็ดื่มมันเข้าไปและรู้สึกถึงกลิ่นชาที่อบอวลอยู่ในปากและลำคอ
“ชาเลิศรส!” ฟางหยวนยกย่อง
“แน่นอนว่าต้องเป็นชาที่ยอดเยี่ยม ชาที่เทพธิดาซื่อหลิวชงด้วยตนเองไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะสามารถดื่ม!” ลั่วมู่ซือกล่าวอย่างไม่พอใจ
“ได้รับการยกย่องจากท่าน ความพยายามของซื่อหลิวไม่สูญเปล่าจริงๆ ท่านควรรู้ว่าชาชนิดนี้ต้องใช้เวลาหกชั่วโมงในการชง” เทพธิดาเถียนลู่กล่าว
หลุนเฟยรู้สึกตื่นเต้นมาก “เป็นเกียรติสำหรับชีวิตของข้าที่ได้ลิ้มรสชาติชาเกลียวหลิวที่เทพธิดาซื่อหลิวชงเองในครั้งนี้”
คิ้วของเทพธิดาเถียนลู่ยกขึ้นทันที “ผู้ใดบอกว่าเจ้าสามารถลิ้มรสชาติชาเกลียวหลิว? ซื่อหลิวใช้เวลาว่างจากตารางงานที่ยุ่งมากของนางเพื่อชงชาถ้วยนี้เท่านั้น”
“อา…”
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1317 แข่งขันชงชา
แปลโดย iPAT
เฉียวซื่อหลิวชงชาเกลียวหลิวเพียงถ้วยเดียวเพื่อฟางหยวน
เรื่องนี้เปลี่ยนความสำคัญของชาเกลียวหลิวถ้วยนี้ทันที
การแสดงออกของฟางหยวนเปลี่ยนไปเล็กน้อย ปรากฏความยินดีบนใบหน้าของเขาแต่ในใจยังสงบนิ่งและไร้ระลอกคลื่นใดๆ
‘น่าเสียดาย ต่อให้งดงามเพียงใด หากปราศจากชีวิตนิรันดร์ เจ้าก็จะกลายเป็นกองกระดูกในที่สุด’
‘ความงามเพียงผิวเผินแต่ผู้คนไม่สามารถหยุดดื่มด่ำกับมันได้’
‘แต่เทพธิดาเถียนลู่เป็นสหายที่ดีของเฉียวซื่อหลิวจริงๆ พวกนางทำงานร่วมกันได้อย่างยอดเยี่ยม’
ชาที่ชงเพียงถ้วยเดียวให้กับฟางหยวนทำให้การแสดงออกของลั่วมู่ซื่อและหลุนเฟยกลายเป็นแข็งทื่อ
เฉียวซื่อหลิวยิ้ม “ชาเกลียวหลิวเป็นเพียงสัญลักษณ์ของความปรารถนาดี ข้าชงชามนตร์เสน่ห์มาให้กับทุกท่าน เชิญชิม”
นางโบกแขนเสื้อและส่งชาห้าถ้วยออกมาบนโต๊ะ
ชานี้แตกต่างจากชาเกลียวหลิว มันไม่ได้อยู่ในถ้วยแต่อยู่ในจานลายครามสีขาว
ตรงกลางของจานมีน้ำชาอยู่เล็กน้อย
“ชามนตร์เสน่ห์เป็นชาที่มีชื่อเสียงของตระกูลเฉียว ผู้ใดจะคิดว่าคืนนี้ข้าจะมีโอกาสได้ลิ้มลอง” ลั่วมู่ซื่อกล่าวแก้เขินแต่ในความเป็นจริงสายตาของเขายังจับจ้องอยู่ที่ถ้วยชาของฟางหยวน
หลุนเฟยกำหมัดแน่นอยู่ใต้โต๊ะ เขากัดฟันและยกจานลายครามขึ้นมาจิบ
“ชาเลิศรส!” เขาอุทานออกมาแต่ท่าทางของเขากลับดูไม่เป็นธรรมชาติ
ในความเป็นจริงชามนตร์เสน่ห์เป็นชาระดับสูงกว่าชาเกลียวหลิว แต่ชาเกลียวหลิวเป็นชาเฉพาะตัวของเฉียวซื่อหลิว ขณะที่ชามนตร์เสน่ห์เป็นชาของตระกูลเฉียว ชาของกองกำลังใหญ่ย่อมโดดเด่นกว่าชาที่ผลิตขึ้นโดยผู้อมตะบางคน
อย่างไรก็ตามลั่วมู่ซื่อและหลุนเฟยกลับยินดีทิ้งชามนตร์เสน่ห์เพื่อชาเกลียวหลิว
“ชามนตร์เสน่ห์ทำให้รู้สึกสดชื่นและมีรสค้างอยู่ที่ลำคอ ซื่อหลิว ข้าจะนำชาธารแสงออกมาได้อย่างไรเมื่อเจ้านำชาชนิดนี้ออกมา?” เทพธิดาเถียนลู่ยิ้ม
แต่เฉียวซื่อหลิวไม่ได้สุภาพกับสหายสนิทของนางแม้แต่น้อย “อย่านำออกมา ข้าเบื่อชาธารแสงของเจ้าแล้ว ตอนนี้ข้ากำลังรอชาดอกไม้เมามายของเฉิงลิ่ว ลือกันว่าชาชนิดนี้เกิดจากแรงบันดาลใจของเขาเมื่อเขาตกหลุมรักเจ้าตั้งแต่แรกพบ ข้าสงสัยว่าวันนี้ข้าจะได้ลิ้มรสชาตชาชนิดนี้หรือไม่?”
“ข้ารู้สึกละอายใจนัก” เฉิงลิ่วลูบจมูกของตนและเผยรอยยิ้มขมขื่น “ชาดอกไม้เมามายของข้าไม่มีสิ่งใดพิเศษ มันยังไม่เพียงพอที่จะนำออกมาในวันนี้”
เทพธิดาเถียนลู่ยิ้ม “ซื่อหลิว เจ้ากำลังสร้างปัญหาให้กับคนรักของข้า มีเพียงข้าเท่านั้นที่สามารถดื่มชาดอกไม้เมามาย คนนอกหยุดฝันถึงมัน!”
ใบหน้าของนางแสดงออกด้วยความรักและความภาคภูมิใจ
ผู้อมตะเฉิงลิ่วมองเทพธิดาเถียนลู่ด้วยคามรัก ทั้งสองลอบจับมือกันใต้โต๊ะ
เฉียวซื่อหลิวถอนหายใจ “โอ้ ข้าสงสัยนักว่าเมื่อใดจะมีคนชงชาให้ข้าบ้าง?”
มีความรู้สึกหดหู่ใจอยู่ในถ้อยคำของนาง
ในเวลานี้แสงจันทร์ส่องเข้ามาในศาลาและทำให้เทพธิดาผู้นี้ยิ่งงดงามมากขึ้น
ลั่วมู่ซือและหลุนเฟยรู้สึกถึงร่างกายที่รุ่มร้อนขึ้นทันที ลั่วมู่ซือยืนขึ้น “เทพธิดาซื่อหลิว ข้ามีชาที่เรียกว่าเก้ากลิ่นหอม ข้าผลิตมันขึ้นมาด้วยตนเอง ข้าอยากมอบให้ท่านในวาระอันเป็นมงคลนี้”
หลุนเฟยไม่เต็มใจที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เขาเร่งกล่าวต่อ “ข้าเตรียมชาของข้าไว้เช่นกัน นี่คือชาหยินหยาง มีความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างหยินและหยาง เทพธิดาเชิญชิม”
ผู้อมตะทั้งสองเสนอชาของตนเองให้เฉียวซื่อหลิวเช่นเดียวกับเฉียวซื่อหลิวที่มอบชาเกลียวหลิวให้ฟางหยวน
เฉียวซื่อหลิวจิบชาของทั้งสองและเผยรอยยิ้ม “เก้ากลิ่นหอมสมชื่อ ช่วงเวลาที่ชาอยู่ในปาก กลิ่นหอมจะม้วนตัวอยู่รอบๆลิ้น หากพิจารณาอย่างระมัดระวัง มีเก้าช่วงเวลาที่กลิ่นหอมเปลี่ยนไป มันพิเศษจริงๆ”
“ฮ่าฮ่า เทพธิดาเยินยอมากไปแล้ว” ลั่วมู่ซือหัวเราะอย่างเต็มที่ อารมณ์ไม่ดีก่อนหน้านี้ของเขาหายไปอย่างสมบูรณ์
เฉียวซื่อหลิวกล่าวต่อ “ชาหยินหยางแม้จะไม่ใช่ชาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแต่ข้าเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน การชงชามีสามระดับ ระดับแรกคือหยินและหยางไม่ชัดเจน ระดับที่สองคือหยินและหยางแยกจากกัน ระดับที่สามคือหยินหยางหลอมรวม ชาหยินหยางของท่าน หยินและหยางหมุนวนรอบกัน หลุนเฟย ทักษะของท่านบรรลุถึงระดับที่สองของการชงชาชนิดนี้แล้ว อาจมีน้อยกว่าสิบคนในภาคใต้ที่บรรลุถึงระดับนี้ มันคู่ควรกับการเป็นชาของผู้อมตะบนเส้นทางอาหารเช่นท่านอย่างแท้จริง”
ชา สุรา และอาหาร ในโลกใบนี้สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ธรรมดา
มีหลายวิธีในการชงชา มันไม่ง่ายและตื้นเขินหมือนการใส่ใบชาลงไปในน้ำร้อน
ไม่ว่าจะเป็นชาเกลียวหลิว ชามนตร์เสน่ห์ ชาดอกไม้เมามาย ชาเก้ากลิ่นหอม และชาหยินหยาง พวกมันล้วนเป็นเคล็ดลับการหลอมรวมวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ทั้งสิ้น
เส้นทางอาหารเป็นหนึ่งในเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ มันหายากและเป็นที่สนใจของผู้คน
‘หลุนเฟยบ่มเพาะบนเส้นทางอาหารงั้นหรือ?’ ฟางหยวนชำเลืองมองหลุนเฟยและรู้สึกประหลาดใจ
‘ชายผู้นี้มาจากที่ใด? หากข้าได้รับมรดกบนเส้นทางอาหารของเขา มันอาจช่วยข้าได้มาก’ ฟางหยวนเกิดเจตนาร้ายขึ้นทันที
‘ข้าต้องตรวจสอบภูมิหลังของหลุนเฟยและดูว่าข้าจะสามารถทำสิ่งใดหรือไม่?’
‘หากข้าลงมือ ตัวตนของวูอี้ไห่ต้องไม่เกี่ยวข้อง!’
ด้วยตัวตนของวูอี้ไห่ ฟางหยวนไม่สามารถสังหารหลุนเฟยได้อย่างโจ่งแจ้ง เพราะเขาเป็นผู้อมตะฝ่ายธรรมะและไม่สามารถใช้วิธีการของฝ่ายปีศาจ
กองกำลังฝ่ายธรรมะแข็งแกร่งกว่าผู้บ่มเพาะสันโดษ แต่กองกำลังเหล่านี้จะไม่สังหารกันเองโดยไร้เหตุผล
ตัวอย่างเช่นตระกูลวู พวกเขามีทรัพย์สินและธุรกิจมากมาย ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถสังหารผู้อมตะของตระกูลวู แต่พวกเขาสามารถทำลายแหล่งทรัพยากรและทำให้ฝ่ายตรงข้ามปวดหัว
‘จะดีกว่าหากข้าสำรวจและตรวจสอบมูลค่ามรดกของหลุนเฟยเป็นอันดับแรก หากไม่สูงนัก ข้าก็จะลืมมันไป’
‘หากมันมีค่ามาก ข้าจะเคลื่อนไหว ข้าต้องระวังและไม่ปล่อยให้เขาสามารถระเบิดทำลายดวงวิญญาณของเขา’
ไม่จำเป็นต้องคิดเกี่ยวกับวิญญาณอมตะ มันเป็นเรื่องยากที่จะฉกชิง
แต่การสังหารหลุนเฟยและจับดวงวิญญาณของเขาจะทำให้ฟางหยวนได้รับมรดกบนเส้นทางอาหารด้วยการค้นวิญญาณ
ฟางหยวนต้องการมรดกบนเส้นทางอาหารมาตลอด
น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถทำสิ่งใดกับเรื่องนี้
เมื่อไม่มีการเผชิญหน้าโดยบังเอิญ เขาก็ต้องปล้นสะดมจากผู้อื่น
ฟางหยวนไม่รู้สึกผิดใดๆทั้งสิ้น
“ข้าใช้เวลาเจ็ดวันเจ็ดคืนเพื่อชงชาถ้วยนี้ แต่เมื่อได้รับคำชมจากเทพธิดา มันก็คุ้มค่าแล้ว” น้ำเสียงของหลุนเฟยสั่นเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น
จากนั้นเขาก็มองไปที่ฟางหยวนและกล่าว “ข้าสงสัยว่าท่านวูอี้ไห่จะนำชาของท่านออกมาให้พวกเราได้เปิดหูเปิดตาหรือไม่?”
เขาไม่คิดแม้แต่น้อยว่าฟางหยวนกำลังวางแผนที่จะฆ่าเขาอยู่ในขณะนี้
“ทะเลตะวันออกเป็นภูมิภาคที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในแง่ของทรัพยากร ท่านวู้อี้ไห่อาศัยอยู่ที่นั่นมาหลายปี ชาที่เขานำออกมาย่อมเหนือกว่าคนอื่นๆอย่างแน่นอน” ลั่วมู่ซือนั่งลงและกล่าวอย่างกระตือรือร้น
ฟางหยวนยิ้ม
ผู้อมตะชายทั้งสองกำลังคิดว่าฟางหยวนเป็นคู่แข่งคนสำคัญ ดังนั้นพวกเขาจึงร่วมมือกันเพื่อหวังที่จะกำจัดคนผู้นี้ออกไป
พวกเขายกย่องฟางหยวนอย่างมากและทำให้เขาไม่สามารถปฏิเสธ
เฉียวซื่อหลิวขมวดคิ้วเล็กน้อย
หากวูอี้ไห่ไม่สามารถนำชาที่ดีออกมา สถานการณ์จะกลายเป็นน่าอึดอัดใจ กระทั่งชื่อเสียงของเขาก็จะลดลง
เหตุผล?
เพราะงานนี้จัดขึ้นโดยเฉียวซื่อหลิว ชามนตร์เสน่ห์เป็นชาหลักของงานนี้ ในขณะที่ชาอื่นๆเป็นชารอง
แขกไม่สามารถบดบังเจ้าภาพ นี่เป็นกฎของงานเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ ตระกูลเฉียวอาจไม่สนใจเรื่องนี้แต่ชื่อเสียงของวูอี้ไห่ก็ยังจะได้รับผลกระทบ
ฝ่ายธรรมะให้ความสำคัญกับชื่อเสียงมากที่สุด!
อย่างไรก็ตามฟางหยวนไม่ลังเลที่จะนำชาออกมา “เชิญชิม”
ดวงตาของเทพธิดาเถียนลู่ส่องประกายขึ้น นางเป็นคนแรกที่ยกถ้วยชาขึ้น “ข้าสงสัยนักว่าชาของท่านวูอี้ไห่จะเป็นเช่นไร?”
อย่างไรก็ตามคนแรกที่ดื่มชากลับไม่ใช่นางแต่เป็นหลุนเฟย
เขาดูค่อนข้างรีบร้อน
หลังจากทั้งหมดนี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะล้มคู่ต่อสู้ ในฐานะผู้อมตะบนเส้นทางอาหาร เขามีความชำนาญในด้านนี้ แล้วเขาจะไม่ใช้โอกาสนี้ได้อย่างไร?
เพียงจิบเดียว เขาขมวดคิ้วและถ่มน้ำลายออกมา “ชาอันใด!?”
“น่ากลัวเกินไปแล้ว” ลั่วมู่ซื่อดื่มและวางถ้วยชาลง “นี่เป็นชาที่น่ารังเกียจที่สุดเท่าที่ข้าเคยชิมมาตลอดชีวิต มันอาจแย่ยิ่งกว่ากระทั่งชาทั่่วไป!”
น้ำเสียงของเขาปราศจากความสุภาพและเคารพอย่างสิ้นเชิง
ทั้งสองฉวยโอกาสโจมตีฟางหยวนอย่างหนักหน่วง
เทพธิดาเถียนลู่ต้องการไกล่เกลี่ยสถานการณ์แต่หลังจากดื่มชา นางกลับเผยรอยยิ้มขมขื่น “ชานี้ทั้งเค็มและขมเหมือนน้ำทะเล”
ฟางหยวนยิ้มและยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “มันคือน้ำทะเล”
“อันใด?”
“เจ้านำน้ำทะเลออกมาจริงๆ เจ้าพยายามทำให้เทพธิดาซื่อหลิวอับอาย!”
ลั่วมู่ซื่อและหลุนเฟยเร่งโจมตีด้วยวาจา
รอยยิ้มบนใบหน้าของฟางหยวนหายไปและแทนที่ด้วยความเคร่งขรึม “ข้าไม่ชอบดื่มชา หากข้าต้องเลือก น้ำทะเลก็คือชาของข้า”
“พวกเจ้าไม่เข้าใจ”
“ข้าใช้ชีวิตในฐานะผู้บ่มเพาะสันโดษอยู่ในทะเลตะวันออกมาตลอด ข้าเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีผู้ใดให้พึ่งพา ข้าถูกกดดันโดยภัยพิบัติและความยากลำบากมากตลอด”
“ทุกวันข้าจะตื่นแต่เช้าและตักน้ำทะเลขึ้นมาดื่ม นี่เป็นการเตือนตัวของข้าเองไม่ให้หย่อนยานและพยายามต่อไป”
เฉียวซื่อหลิวค่อยๆยกถ้วยชาของนางขึ้นและจิบอย่างเงียบๆก่อนจะวางลงอย่างช้าๆ
นางยิ้มด้วยริมฝีปากสีดอกกุหลาบ “นี่เป็นชาที่พิเศษที่สุดที่ข้าเคยดื่มมาทั้งชีวิต ขอบคุณอี้ไห่ นี่เป็นชาที่ดี ข้าประทับใจมาก”
ลั่วมู่ซือและหลุนเฟยพูดไม่ออก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น