ลำนำบุปผาพิษ 1309-1312
บทที่ 1309 ไปหานาง
แน่นอนว่ารอบตัวนางยังมีคนอื่นอยู่ด้วย เพราะเจ้าหอยยักษ์ยังเห็นแสงพลังหลากสีที่ไม่เหมือนกันรายรอบมังกรปีศาจนั้น…
เสียงบันดาลโทสะ เสียงอาวุธปะทะ เสียงคำราม…ดังมาไม่ขาดสาย เห็นได้ชัดว่ามีการต่อสู้อันดุเดือดเกิดขึ้นที่นั่น
เจ้าหอยยักษ์เป็นสัตว์ขั้นเจ็ด สัตว์ทุกตัวมีสัญชาตญาณความกลัวเกรงต่อสัตว์ร้ายที่ระดับสูงกว่าตัวเอง ดังนั้นหลังจากเจ้าหอยยักษ์เห็นมังกรปีศาจ ก็รู้สึกกล้ามเนื้อน่องเหน็บชาขึ้นมา
มันกวาดตามองรอบด้าน พบว่าในโพรงหญ้า ในภูเขา มีสัตว์ร้ายจำนวนมากกำลังหลบๆ ซ่อนๆ คงถูกมังกรปีศาจทำให้ตกใจเข้าเช่นกัน แต่ละตัวต่างซ่อนกายหลบหมอบอยู่ในพุ่มไม้
แต่ใบหน้าลู่อู๋น้อยกลับเต็มเปี่ยมด้วยความตื่นเต้น ร้องเรียกแง้วๆ แอ้วๆ ไม่หยุดหย่อน มันว่องไวยิ่งนัก ยามนี้ไม่สนใจเจ้าหอยยักษ์แล้ว รีบรุดไปทางการต่อสู้นั้นดุจสายฟ้าฟาด!
เปลือกของเจ้าหอยยักษ์อ่อนยวบ ในใจยังคงครุ่นคิดว่ามันควรจะรั้งรออยู่ตรงนี้หรือวิ่งไปดูสักหน่อยดี?
เมื่อใคร่ครวญอีกครั้ง ในเปลือกหอยของมันยังมีทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้มีความสามารถสูงสุดนี่!
ด้วยความสามารถของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย อย่าว่าแต่มังกรปีศาจที่เพิ่งบรรลุขั้นแปดตัวหนึ่งเลย ต่อให้เป็นสัตว์ขั้นเก้าในตำนานก็ไม่ต้องพูดถึง
ดังนั้นเจ้าหอยยักษ์จึงฝืนตัวเองรีบรุดไปด้านหน้า…
เจ้านาย อดทนหน่อย ข้าพาคนมาช่วยท่านแล้ว!
……
อาจเป็นเพราะความฝันนั้น เช้านี้เมื่อกู้ซีจิ่วตื่นขึ้นมาจึงรู้สึกว้าวุ่นใจ นั่งสมาธิได้สักพักก็ไม่มีทางทำให้จิตใจสงบได้ อาการแบบนี้ไม่มีทางทำงานพิถีพิถันอย่าง ‘หลอมโอสถ’ ได้ ดังนั้นกู้ซีจิ่วนั่งคิดอยู่พักหนึ่ง จึงไปเขาด้านหลังเพื่อเก็บสมุนไพร เธออยากออกไปรับลมสงบจิตใจสักหน่อย
หลังจากเข้าสู่เขาด้านหลังแล้ว เมื่อลมภูเขาพัดผ่าน ในที่สุดเธอก็สงบจิตใจลงได้ ทว่ายังอยากหาบางสิ่งทำเพื่อระบายอารมณ์
เธอรู้วิชาเคลื่อนย้ายในพริบตา และรู้ตำแหน่งคร่าวๆ ของสมุนไพรที่ต้องการ หากเธอต้องการแค่เพียงเก็บสมุนไพร ความจริงแค่หนึ่งถึงสองชั่วยามก็สามารถเก็บสมุนไพรที่ต้องการกลับมาได้แล้ว และสัตว์ร้ายเหล่านั้นคงจะไม่ได้เห็นแม้แต่เงาของเธอ
แต่ครั้งนี้เธออยากผ่อนคลาย ระบายอารมณ์ จึงเดินตามเส้นทางที่เก็บสมุนไพรเป็นประจำ เดินไปพลางปราบสัตว์ร้ายไปพลาง
สัตว์ร้ายตาไร้แววที่พยายามเข้ามาทำร้ายเธอล้วนถูกเธอฟาดฟันอย่างบ้าคลั่งระหว่างทางจนตาย
วิธีการระบายอารมณ์เช่นนี้เห็นผลยิ่งนัก ยามเธอส่งสัตว์ร้ายตัวที่เจ็ดกลับบ้านเกิด เธอก็รู้สึกสบายใจขึ้นมากแล้ว!
หวนนึกถึงตอนที่เธอเพิ่งเข้าป่าทมิฬมาครั้งแรก ก็เคยถูกสัตว์ร้ายเหล่านั้นไล่ล่าวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน สภาพดูไม่ได้ยิ่งนัก ในที่สุดตอนนี้เธอสังหารพวกมันจนสิ้นซากได้แล้ว!
กลิ่นอายความชั่วร้ายบนตัวเธอรุนแรงนัก สังหารจนเหล่าสัตว์ร้ายพวกนั้นเริ่มหนีกระเจิดกระเจิง…
ในที่สุดเธอก็เก็บสมุนไพรที่ต้องการได้ รู้สึกสบายใจขึ้นเป็นกอง กำลังเตรียมเดินทางกลับ นึกไม่ถึงว่ายังไม่ทันได้เคลื่อนย้ายในพริบตาก็ได้ยินเสียงร้องหวาดผวาดังมาจากที่ไกล
เป็นเสียงของผู้รับผิดชอบล่าสัตว์เหล่านั้น พวกเขาตกอยู่ในอันตราย!
ช่วงนี้ ความสัมพันธ์ของกู้ซีจิ่วกับคนเหล่านี้ไม่เลวทีเดียว เมื่อได้ยินเสียงก็รีบเคลื่อนย้ายในพริบตาไปในทันที แล้วก็ได้พบกับมังกรปีศาจตัวนั้น…
ไม่รู้ว่ามังกรปีศาจตัวนี้ลอบหนีออกมาจากที่ใด สังหารหนึ่งในพวกผู้ล่าสัตว์เหล่านั้นอย่างไม่ทันตั้งตัว คนอื่นก็ต่อสู้ล้อมรอบมังกรปีศาจอย่างไม่คิดชีวิต…
ครั้งนี้มีผู้ล่าสัตว์ทั้งหมดยี่สิบคน ล้วนเป็นยอดฝีมือในหมู่บ้านทั้งสิ้น ทว่าคนเหล่านี้ล้อมวงต่อสู้มังกรปีศาจตัวนั้นก็ยังคงเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
กู้ซีจิ่วฉงนยิ่งนัก ทำแผลให้คนหนึ่งในนั้นพลางไถ่ถาม “นี่มันสัตว์ขั้นแปดนี่ พวกเจ้าสู้ไม่ได้เหตุใดไม่หนีไป?”
คนผู้นั้นตอบด้วยใบหน้าอันซีดเผือด “มันคือมังกรปีศาจเงาสีรุ้งนี่ เจ้านี่มันอาฆาตพยาบาทยิ่งนัก”
————————————————————————————-
บทที่ 1310 ไปหานาง 2
คนผู้นั้นตอบด้วยใบหน้าอันซีดเผือด “มันคือมังกรปีศาจเงาสีรุ้งนี่ เจ้านี่มันอาฆาตพยาบาทยิ่งนัก เพียงแค่ทำร้ายนิดหน่อย มันก็อาจไล่ล่าเข่นฆ่าเจ้าให้ตายเอาได้…ยามนี้หากวิ่งหนี มันก็จะตามไปถึงในหมู่บ้าน!” เช่นนั้นจะไม่ทำให้มังกรตัวนี้ทำลายฐานลับหรืออย่างไร? ดังนั้นพวกเขาเลยทำได้เพียงต่อสู้หัวชนฝาอยู่ที่นี่…
กู้ซีจิ่วมุ่นหัวคิ้ว “ในเมื่อรู้ว่ามันโหดร้ายถึงเพียงนี้ เหตุใดพวกเจ้าต้องไปหาเรื่องมัน?”
คนผู้นั้นแทบจะร้องไห้แล้ว “มังกรปีศาจตัวนี้บ้าคลั่ง มันแปลงกายได้ จึงแปลงเป็นงูเหลือมตัวหนึ่งนอนหลับอยู่ในถ้ำ ครั้งนี้หัวหน้าออกมาก็เพื่อล่างูเหลือม บอกว่าเนื้องูเหลือมอร่อยนัก หนังก็งดงาม หนังงูเหลือมสามารถทำรองเท้าดีๆ ได้คู่หนึ่งและยังเย็บกระเป๋าหนังงูเก็บสมุนไพรให้แม่นางกู้ได้อีก เลยไปยั่วโมโหมันเข้าให้…”
กู้ซีจิ่วทำแผลอย่างรวดเร็ว แทบจะทำแผลให้คนทั้งสามที่บาดเจ็บเรียบร้อยในชั่วพริบตา ขณะที่พันแผล เธอสังเกตการเคลื่อนไหวของมังกรปีศาจตัวนั้นขณะออกกระบวนท่าอย่างระมัดระวัง และคิดแผนการรับมืออยู่ในใจ
เมื่อเธอทำแผลเรียบร้อย แผนการรับมือนั้นก็คิดออกมาได้พอสมควรแล้ว เธอกระโดดไปด้านหน้าทันที แล้วเข้าร่วมการต่อสู้ด้วย…
พริบตานี้ คนที่เป็นหัวหน้าล้อมโจมตีมังกรปีศาจคือไป๋หลี่เช่อ พลังวิญญาณของคนผู้นี้นับว่าสูงที่สุดในหมู่คนเหล่านั้น และเป็นแนวต้านหลักในยามนี้ เขาเห็นว่ากู้ซีจิ่วมาถึงนานแล้ว เพียงแต่ยังไม่สามารถแบ่งสมาธิออกมาเพื่อทักทายได้
เมื่อเห็นนางเข้าร่วมการต่อสู้ก็พลันตกใจ ในความคิดของเขา การล่าสัตว์และต่อสู้สัตว์ร้ายเป็นหน้าที่ของผู้ชาย ผู้หญิงอ่อนแอเกินไป คอยช่วยเหลือผู้บาดเจ็บก็ดีมากแล้ว
บัดนี้กู้ซีจิ่วกระโดดมาเข้าร่วมด้วย เขาจึงเอ่ยปากขึ้นโดยสัญชาตญาณ “แม่นางกู้ อันตรายเกินไป เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้ามา!”
การพูดคุยทำให้เสียสมาธิ เขาเกือบถูกกรงเล็บของมังกรข่วนเข้าที่ท้องแล้ว! เคราะห์ดีที่กู้ซีจิ่วดึงเขาเคลื่อนย้ายในพริบตายามคับขัน หลบหนีกระบวนท่าพิฆาตของมังกรปีศาจนั้นไปได้ “พูดจาไร้สาระให้มันน้อยหน่อย พวกท่านแบ่งไปสามทาง…”
กู้ซีจิ่วเอ่ยคำขอจัดเตรียมกลุ่มต่อสู้สัตว์ร้าย ไป๋หลี่เช่อยังเชื่อคำนาง เรียกให้คนทำตามวิธีที่กู้ซีจิ่วบอก จัดกระบวนพลต่อสู้กับมังกรปีศาจ
การตีวงล้อมทั่วไปกับการตั้งกระบวนพลตีโอบเช่นนี้มีผลลัพธ์ที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด หากแต่ละคนปรับเปลี่ยนตำแหน่ง ประสิทธิภาพการต่อสู้จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีทันใด! บวกกับวิชาเคลื่อนย้ายในพริบตาของกู้ซีจิ่วราวกับมือสังหารพิฆาตผู้หนึ่ง หากไม่ลงมือก็แล้วไป แต่หากลงมือเมื่อใดจะต้องทิ้งรอยแผลโชกเลือดไว้บนร่างของมังกรปีศาจเป็นแน่…
ถึงแม้จะไม่ใช่บาดแผลฉกรรจ์ แต่ก็ทำให้มังกรตัวนี้เต้นเร่าๆ ด้วยความโกรธได้!
เดิมที มังกรปีศาจตัวนี้เป็นเหมือนงูเตร็ดเตร่ไปมา ไม่เคยส่งเสียงร้องคำรามใดๆ ทว่าในเวลาต่อมา มังกรปีศาจถูกกระตุ้นให้โกรธ ลมพายุพัดโหม มันแหงนหน้าร้องคำรามแล้วทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าทันใด ราวกับสะพานสายรุ้งพาดผ่านกลางท้องนภา…
เสียงคำรามของมันน่าตกตะลึงยิ่งนัก ทำให้คนเหล่านั้นที่ตั้งกระบวนพลโอบล้อมอยู่อกสั่นขวัญแขวน ความรวดเร็วของแต่ละคนก็ช้าลงเช่นกัน
และเรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นในเวลานี้ ยามมังกรตัวนั้นโบยบินขึ้นไป กรงเล็บดึงแขนของไป๋หลี่เช่อไปด้วย จากนั้นก็ฉีกแขนของเขาออกอย่างรุนแรง!
หยาดเลือดไหลริน
ไป๋หลี่เช่อส่งเสียงร้องโหยหวน เดินโซเซถอยไปด้านหลังหลายก้าว!
กู้ซีจิ่วบินโอบดั่งสายลมไปอยู่ข้างกายเขา กดจุดที่แขนหลายจุดเพื่อห้ามเลือดให้ทันที แล้วพูดออกมาประโยคหนึ่งว่า “เก็บรักษาแขนข้างที่ขาดไว้ให้ดี ประเดี๋ยวข้าต่อให้ท่านได้!” พร้อมทิ้งยาไว้ในมือเขาหนึ่งขวด “กินหนึ่งเม็ดก่อน!”
เธอหยุดอยู่ข้างกายเขาไม่เกินสามวินาที จากนั้นก็ไปต่อสู้กับมังกรปีศาจตัวนั้นอย่างสุดชีวิต
ความเจ็บปวดจากการแขนขาดปวดร้าวเข้าไปถึงในกระดูก ทว่าไป๋หลี่เช่อก็เป็นชายชาตรีเช่นกัน
บทที่ 1311 ไปหานาง 3
ความเจ็บปวดจากการแขนขาดปวดร้าวเข้าไปถึงในกระดูก ทว่าไป๋หลี่เช่อก็เป็นชายชาตรีเช่นกัน มีจิตวิญญาณกาต่อสู้เยี่ยงหมาป่าเดียวดาย ไม่ได้เจ็บจนสลบไป เขากัดฟันกลืนโอสถ ค่อยเป็นค่อยไป ใช้ผ้ารัดแขนที่ขาดไว้ จับอาวุธด้วยมือซ้าย เข้าร่วมการต่อสู้อีกครั้ง…
พยัคฆ์ร้ายก็ยังเกรงฝูงหมาป่า นับประสาอะไรกับหมาป่าที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีฝูงนี้เล่า?
ผนวกกับกู้ซีจิ่วสามารถไปมาได้อย่างเทพไม่รู้ผีไม่เห็น ต่อให้มังกรปีศาจจะทรงอำนาจมากแค่ไหน สุดท้ายก็เริ่มตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบแล้ว…
มังกรชนิดนี้ดุร้ายยิ่งนัก เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเสียเปรียบแล้ว ทว่ามันกลับไม่มีทีท่าว่าจะถอยหนีเลย ส่งผลให้บนร่างมีบาดแผลโชกเลือดมากขึ้นเรื่อยๆ
เพื่อย่นระยะเวลาต่อสู้ให้เร็วขึ้น กู้ซีจิ่วจึงทายาพิษหลายอย่างไว้บนอาวุธด้วย ถ้าชนิดหนึ่งไม่ได้ผลก็เปลี่ยนไปใช้อีกชนิดหนึ่ง ทดลองกับร่างของมังกรปีศาจ…
และในขณะนี้เอง ลู่อู๋น้อยได้ตามมาถึงแล้ว
เจ้าตัวน้อยคึกคักยิ่ง พอมาถึงก็กระโจนเข้าร่วมการต่อสู้ทันที!
เจ้าตัวเล็กถึงแม้จะตัวไม่ใหญ่ เมื่อเทียบกับมังกรปีศาจตัวนี้แล้ว มันก็เหมือนนกกระจอกที่ยืนอยู่ข้างช้าง แต่มันกลับมีความสามารถในการต่อสู้ยิ่งนัก พวกหางทั้งเก้าโบกสะบัดดั่งแส้ยาว ทุกครั้งที่ฟาดก็จะมีลำแสงสายหนึ่งเฆี่ยนลงบนผิวของมังกรปีศาจ ทำให้คนมองอย่างตื่นตาตื่นใจ
อีกทั้งมันก็รู้วิธีต่อสู้ประสานกับกู้ซีจิ่วยิ่งนัก เพียงเจ้าสัตว์น้อยตัวนี้ตัวเดียวก็เทียบได้กับยอดฝีมือหกเจ็ดคนแล้ว!
เมื่อเป็นเช่นนี้ การต่อสู้ครั้งนี้จึงปิดฉากลงอย่างไร้ข้อกังขา ผ่านไปสิบนาที มังกรปีศาจก็ถูกสังหาร ล้มกระแทกพื้นอย่างแรง ชักกระตุกสองสามครั้งแล้วแน่นิ่งไป
ลู่อู๋น้อยปรีดายิ่ง กระโจนข้าใส่ศีรษะของมังกรปีศาจอย่างคุ้นเคย พร้อมตวัดกรงเล็บเปิดกะโหลกมังกรปีศาจ ล้วงเอาแก่นพลังด้านในออกมา ยัดใส่ปากแล้วกลืนลงไปทันที
ฝูงชนมองตาค้างอ้าปากหวอ เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นลู่อู๋น้อยล่าสัตว์ ไม่นึกเลยว่ามันจะร้ายกาจปานนี้
หลังจากลู่อู๋น้อยเขมือบแก่นพลังเข้าไปถึงนึกขึ้นได้ว่าตนจะมาทำอะไร จึงร้องแง้วๆ แอ้วๆ ใส่กู้ซีจิ่ง พวงหางทั้งเก้าโบกสะบัดบิดม้วน คล้ายจะบ่งชี้ถึงใครบางคน
เนื่องจากไม่มีเจ้าหอยยักษ์คอยเป็นล่ามอยู่ข้างตัว ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงไม่เข้าใจเลยว่ามันอยากพูดอะไร เวลานี้เธอไม่มีแก่ใจมาคาดเดา ดังนั้นเธอเลยตบหัวลู่อู๋น้อยเบาๆ “เด็กดี กินแก่นปราณแล้วต้องย่อยนะ ไม่เช่นนั้นเส้นระเลือดจะระเบิดเอา รีบไปโคจรพลังย่อยเถอะ ข้ายังมีธุระต้องจัดการ เล่นเป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้…”
ผละจากมันแล้วเดินไปหยุดข้างกายไป๋หลี่เช่อ ไป๋หลี่เช่อเจ็บจนหน้าซีดเผือดแล้ว ทว่ามือกลับกอดแขนที่ขาดข้างนั้นของตนไว้ เขาไม่อยากเป็นผู้กล้าแขนเดียว มองกู้ซีจิ่วอย่างเปี่ยมความหวัง “ซีจิ่ว แขนขาดๆ นี่สามารถต่อคืนได้จริงหรือ?“
กู้ซีจิ่วตรวจสอบตอแขนที่ขาดครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้า “ได้!”
ถ้าคิดจะต่อแขนที่ขาดจำเป็นต้องทำการผ่าตัดภายในหนึ่งชั่วโมง และการผ่าตัดย่อมไม่อาจทำในแดนรกร้างกันดารเช่นนี้ได้ ต้องกลับไปที่หมู่บ้าน…
เรื่องราวเร่งด่วน ยามนี้กู้ซีจิ่วจึงไม่แยแสข้อห้ามระหว่างชายหญิงอันใดแล้ว ขณะที่กำลังพยุงไป๋หลี่เช่อเตรียมใช้วิชาเคลื่อนย้ายจากไป เจ้าหอยยักษ์ก็กลิ้งฝุ่นตลบมาแต่ไกล “เจ้านาย! ข้าพาผู้ช่วยมาให้ท่านแล้ว…”
พริบตาเดียวก็มาถึง ทันใดนั้นเมื่อมองเห็นมังกรปีศาจที่สิ้นชีพไปแล้ว ก็ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง “เอ๋ เจ้านาย พวกท่านสังหารมันไปแล้ว! เจ้านาย ท่านร้ายกาจจริงๆ!”
ยามนี้กู้ซีจิ่วย่อมไม่มีแก่ใจมาพูดจาไร้สาระกับเจ้าหอยยักษ์ ดังนั้นเธอจึงสั่งการเพียงประโยคเดียว “เจ้าหอยยักษ์ ประเดี๋ยวเจ้าเลาะเอ็นของมังกรปีศาจตัวนี้ออกมาด้วย ข้าต้องใช้”
ไม่รอให้เจ้าหอยยักษ์ได้เปิดปากอีก เธอก็ดึงแขนของไป๋หลี่เช่อ “ไปกับข้า!” เคลื่อนย้ายหายไปทันที
เจ้าหอยยักษ์ทึ่มทื่อไปแล้ว…
มันอ้าฝาอย่างโง่งมอยู่ครู่หนึ่ง จากไปเช่นนี้เลยรึ?!
————————————————————————————-
บทที่ 1312 ท่านมาดูอาการให้เขาก่อน!
มันมองเข้าไปในฝาแวบหนึ่งตามสัญชาตญาณ พบว่าตี้ฝูอีที่นั่งสมาธิอยู่ด้านตลอดเพิ่งจะลุกขึ้นยืน มองทิศทางที่กู้ซีจิ่วหายลับไปด้วยสีหน้าที่ซีดเซียวอย่างยิ่ง…
เจ้าหอยยักษ์กระแอมคราหนึ่ง “นาง…นางรีบร้อนต้องการช่วยชีวิตคน คงจะมองไม่เห็นท่าน เอาเช่นนี้แล้วกัน…ข้าบรรทุกท่านกลับไปอีกรอบดีไหม?”
ตี้ฝูอีไม่พูดอะไร ทว่าร่างกายกลับซวนเซเล็กน้อย เหม่อมองออกไปไกลๆ อย่างเงียบงัน
ยามนี้ปฏิกิริยาตอบสนองของผู้คนรอบข้างก็กลับมาแล้วเช่นกัน มองตี้ฝูอีที่อยู่ในฝาเจ้าหอยยักษ์ พวกเขายังคงค่อนข้างฉงนยิ่งนัก “ผู้นี้คือ?”
เจ้าหอยยักษ์เคยเปิดโปงฐานะของตี้ฝูอีจนถูกผู้อื่นล้อมโจมตีมาแล้ว ดังนั้นหนนี้มันจึงมีบทเรียนแล้ว กล่าวอย่างคลุมเครือประโยคเดียวว่า “เขาคือผู้มาใหม่…”
ไม่รอให้ฝูงชนได้ซักถามต่อความยาวสาวความยืด มันก็เสริมขึ้นมาอีกประโยค “และเป็นคู่หมั้นคู่หมายของนายข้าด้วย”
ตกตะลึง คือสีหน้าของฝูงชน
สงบนิ่ง คือการแสดงออกของตี้ฝูอี เขาเอ่ยเพียงประโยคเดียว “กลับไป!”
“ขอรับ!” เจ้าหอยยักษ์ตอบรับ หันหลังกลับทันที ตี้ฝูอีที่อยู่ในฝามันพลันโซเซ กระอักโลหิตออกมาในทันใด พ่นไปทั่วร่างกายที่อยู่ในฝาของเจ้าหอยยักษ์
เจ้าหอยยักษ์สะดุ้งโหยง พอก้มหน้ามองก็เห็นสีหน้าของตี้ฝูอีซีดขาวดั่งหิมะ หลับตาแน่นิ่ง
ถึงแม้เจ้าหอยยักษ์จะไม่รู้วิชาแพทย์ แต่มันก็สามารถสัมผัสถึงความแข็งแกร่งอ่อนแอจากกลิ่นอายของมนุษย์ได้ กลิ่นอายของท่านตี้ฝูอีอ่อนแอยิ่งนัก ไม่น่าเชื่อว่ามีสัญญาณของการสิ้นชีพอยู่จริงๆ…
เจ้าหอยยักษ์โง่งมไปแล้ว ใช้รยางค์เท้าตรวจสอบร่างเขาอย่างระมัดระวัง แทบจะสัมผัสถึงการเต้นของหัวใจตี้ฝูอีไม่ได้เลย
นี่เป็นเรื่องจริงหรือว่าเสแสร้ง?
ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมีช่วงเวลาที่อ่อนแอเช่นนี้ด้วยหรือ?!
เป็นไปไม่ได้กระมัง? เขาแข็งแกร่งไร้พ่ายมาโดยตลอดนะ จะอ่อนแอจนกลายเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร? เมื่อกี้เขายังปานพยัคฆ์ผาดมังกรโผนอยู่เลย ยังจับยอดฝีมือคนหนึ่งมาเป็นตัวประกันได้สบายๆ ด้วย…
เจ้าหอยยักษ์ใช้รยางค์ผลักตี้ฝูอีต่อเนื่องกันถึงสามครั้ง ผลคือเขายังคงแน่นิ่งไม่ไหวติงเช่นเดิม สีหน้าก็ซีดเซียวขึ้นเรื่อยๆ โลหิตที่ไหลซึมออกมาจากมุมปากมีไม่น้อยที่เปรอะเปื้อนใบหน้าเขา เขาก็ไม่ยกมือขึ้นมาเช็ดเลยเหมือนกัน…
ชีวิตนี้เจ้าหอยยักษ์ยังไม่เคยเห็นตี้ฝูอีตกอยู่ในสภาพจนตรอกถึงเพียงนี้มาก่อนเลย ในที่สุดมันก็ตระหนกแล้ว ไม่สนใจคำสั่งที่ได้ยินจากเจ้านายว่าให้ไปเลาะเอ็นมังกรแล้ว หุบฝาแล้วแล่นกลับไปทันที
เจ้านาย ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอาการหนักแล้ว!
ท่านมาดูอาการให้เขาก่อน!
ครั้งนี้ตี้ฝูอีไม่ได้เสแสร้งจริงๆ ต้นถันภังคีเป็นต้นไม้จู้จี้ที่ไม่ยอมบกพร่องในมาตรฐาน ผู้ที่ไม่ตกอยู่ในอันตรายจนใกล้สิ้นชีพจะไม่ได้รับความช่วยเหลือ ดังนั้นตี้ฝูอีตกอยู่ในอันตรายจนใกล้สิ้นชีพจริงๆ ถึงเข้ามาได้
ถึงแม้เขาจะวางแผนไว้ล่วงหน้า ตระเตรียมโอสถรักษาชีวิตไว้ เมื่อฟื้นขึ้นมาก็กินลงไปแล้ว แต่บาดแผลทั้งหมดบนร่างกลับไม่ทุเลาลงเลยสักนิด อ่อนแอจนถึงขีดสุดอย่างแท้จริง
ดูเหมือนเขาจะควบคุมคนอื่นได้สบายๆ ทว่าเขาต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีอยู่ไป ถึงทำให้คนทั้งหลายตกตะลึง แต่เขาก็เป็นม้าตีนปลายแล้วจริงๆ เขาใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดฝืนค้ำยันไว้เท่านั้น ในยามนั้นอย่าว่าแต่ยอดฝีมือเลย ต่อให้เป็นคนธรรมดาที่แข็งแรงคนหนึ่งก็สามารถล้มเขาได้แล้ว!
เทพเป็นอมตะ แต่นั่นก็เป็นเพียงความแข็งแกร่งทางวิญญาณเท่านั้น ดวงวิญญาณไม่สูญสลาย เมื่อได้รับบาดเจ็บร้ายแรงจริงๆ กายเนื้อของเขายังคงสูญสลายได้
เพียงแต่เขามีความสามารถในการประกอบกายเนื้อแล้วฟื้นคืนชีพขึ้นใหม่ได้ เมื่อกายเนื้อสิ้นชีพ ดวงวิญญาณต้องใช้เวลายี่สิบปีถึงจะประกอบร่างขึ้นใหม่ได้ และต้องฝึกฝนนับร้อยปีถึงจะฟื้นฟูพลังอย่างสมบูรณ์
และชีวิตนี้เขาก็ยังไม่เคย ‘ตาย’ มาก่อน ร่างนี้ยังคงเป็นร่างที่ก่อตัวขึ้นตั้งแต่กว่าสองพันปีก่อน!
หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงไม่สนใจจริงๆ ว่ากายเนื้อของตนจะสิ้นชีพหรือไม่ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่…
————————————————————————————-
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น