พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1305-1318

 บทที่ 1305 กลับไป

โดย

Ink Stone_Fantasy

“…” ปี้เยว่ฮูหยินมองดูกำไลเก็บสมบัติของเขาด้วยความตะลึงงัน ในดวงตาเริ่มฉายแววงุนงงทีละนิด ลังเลนิดหน่อยว่าจะรับหรือไม่รับดี


ทั้งสองหยุดนิ่งอยู่ในท่าทางเดิม หลังจากผ่านไปพักใหญ่ถึงได้เห็นปี้เยว่ฮูหยินยื่นมือออกมาหยิบกำไลเก็บสมบัติในมือเขาอย่างช้าๆ ใช้นิ้วหัวแม่มึงสองข้างวาดแตะบนผิวกำไล สุดท้ายก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูของที่อยู่ข้างใน


ของที่คุ้นเคยปรากฏสู่ม่านตาชิ้นแล้วชิ้นเล่า ของบางอย่างท่านโหวเทียนหยวนเป็นคนมอบให้นาง นางเหม่อลอยนิดหน่อย ไม่รู้ด้วยว่าของที่อยู่ข้างในครบหรือไม่


ไห่ยวนเค่อหันตัวมาพิงระเบียง รอดูปฏิกิริยาของนาง


ผ่านไปพักใหญ่ ปี้เยว่ฮูหยินถึงได้สติกลับมา ขณะมองดูแผ่นหลังของเขา ก็ถามว่า “ทำไมถึงคืนให้ข้า?”


“การทดสอบสองร้อยปีกำลังจะจบแล้ว” ไห่ยวนเค่อตอบขณะที่หันหลังให้


ร่างงามของปี้เยว่ฮูหยินสั่นเทิ้มทันที “หมายความว่ายังไง?”


“หลายปีมานี้ เจ้าไม่เคยคิดจะออกจากที่นี่เชียวเหรอ?” ไห่ยวนเค่อถาม


“ไม่เคย! ที่นี่ก็คือบ้านของข้า” ปี้เยว่ฮูหยินยืนยัน แต่ดวงตาที่ฉายแววกินปูนร้อนท้องนั้นยากจะปิดบังไว้ได้


ทำไมจะไม่เคยคิดออกจากที่นี่ล่ะ! ตราบใดที่เป็นคนปกติ ก็เกรงว่าคงไม่มีใครอยากจะอยู่ที่นี่ไปตลอดหรอก


ในตอนแรก นางไม่กล้าคิดเรื่องออกจากที่นี่ ตอนหลังพอมีลูกแล้ว ความคิดที่จะออกจากที่นี่ก็เจือจางลง ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว นางจึงไม่คิดเรื่องอื่น มองเห็นที่นี่เป็นบ้านแล้วจริงๆ


แต่จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่สมัครใจจะอยู่อย่างหงอยเหงาจริงๆ ผู้หญิงคือดอกไม้ที่เบ่งบานอยู่ท่ามกลางเกียรติอันจอมปลอม โดยเฉพาะผู้หญิงที่สวยๆ ก็ยิ่งยากที่จะสมัครใจช่วยเหลือสามี สั่งสอนบุตรวันแล้ววันเล่าซ้ำแบบเดิม


โลกภายนอกเจริญเฟืองฟูไร้ที่สิ้นสุด ที่นี่จืดชืดหงอยเหงา รอบข้างเป็นทะเลกว้างที่ซ้อนกันเหมือนเดิม ความรุ่งเรืองที่นางมีตอนเป็นฮูหยินท่านโหวอยู่ข้างนอกทำให้นางพึงพอใจมาก นางสามารถเสพสุขจากเกียรติอันจอมปลอมต่างๆ ที่มากับฐานะอันสูงส่งของตำหนักสวรรค์ ถ้าพูดถึงอำนาจและชื่อเสียง ท่านโหวเทียนหยวนก็ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะถือรองเท้าให้ไห่ยวนเค่อด้วยซ้ำ แต่เมื่ออยู่ที่นี่ เป็นฮูหยินของไห่ยวนเค่อแล้วยังไงล่ะ? ก็ได้แค่โดนขังอยู่บนดาวเคราะห์ดวงนี้อยู่ดี ไห่ยวนเค่อไม่ให้นางเพ่นพ่านไปที่ไหนซี้ซั้ว


ต่อให้นางเพ่นพ่านไปทั่วได้ แต่นางก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน ว่าแดนอเวจีไม่ใช่สถานที่น่าชมน่ามองอะไรเลย สภาพแวดล้อมของดาวเคราะห์ดวงนี้ยังนับว่าดีหน่อย


แต่ทรัพยากรฝึกตนของที่นี่ขาดแคลนมาก เพื่อที่จะทำให้จิตใจของคนมั่นคง ได้ยินว่าทรัพยากรที่ปล้นได้จากตัวผู้เข้าร่วมทดสอบจะถูกแบ่งให้กำลังพลเบื้องล่างทั้งหมด ดังนั้นแม้แต่ไห่ยวนเค่อเองก็ไม่มีทางหาทรัพยากรฝึกตนมาเลี้ยงนางได้ ทำได้เพียงเติมเต็มให้ลูกสาวที่ไม่จำเป็นต้องใช้เยอะ นางไม่มีทางจินตนาการสภาพตัวเองหลังจากแก่แล้วได้เลย


ความจืดชืดไร้รสชาติซ้ำแล้วซ้ำเล่า สำหรับคนที่คุ้นชินกับความมีหน้ามีตาข้างนอกอย่างนาง ความรู้สึกในตอนนี้ยากที่จะบรรยายออกมาได้ โดยเฉพาะเมื่อเวลาการทดสอบที่ใกล้จะสิ้นสุดแล้ว ในใจนางรู้อย่างชัดเจน ว่านี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่นางจะได้ออกไปจากที่นี่ แต่นางไม่กล้าแสดงความรู้สึกอะไรออกมา เพราะไม่มีความเป็นไปได้อะไรที่จะออกจากที่นี่ได้เลย!


ยิ่งไปกว่านั้น นางก็มีพันธนาการอยู่ที่นี่แล้ว


ไห่ยวนเค่อกล่าวว่า “ไม่ว่าเจ้าจะเคยคิดหรือไม่…พวกเราโดนขังอยู่ที่นี่ด้วยความจนใจ ที่นี่ไม่เหมาะสมกับเจ้า และไม่เหมาะสมกับใครทั้งนั้น ตอนนี้เจ้าไม่โอกาสไปจากที่นี่แล้ว ข้าจะดึงรั้งเจ้าไว้ไม่ได้ ไปเถอะ กลับไปเถอะ”


ปี้เยว่ฮูหยินกังวลว่าเขาจะกำลังหยั่งเชิงตัวเอง จึงเดินไปข้างหลังเขา เอามือโอบเอวเขา แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ข้าไม่ไป ข้าไม่อยากไปจากเจ้า”


ไห่ยวนเค่อให้เหตุผลที่ดีมากเพื่อให้นางออกไปจากที่นี่ “เจ้าพาซินเอ๋อร์ออกไปด้วยกันได้มั้ย? ข้าไม่อาจปล่อยให้นางโดนขังอยู่ที่นี่ทั้งชีวิต”


ปี้เยว่ฮูหยินอึ้งทันที ในที่สุดก็เข้าใจเหตุผลแล้วว่าทำไมเขาถึงให้ตนออกไปจากที่นี่ ที่แท้นางก็ได้อาศัยบารมีจากลูกสาวนี่เอง นางเงียบไปครู่หนึ่ง คลายแขนสองข้างออก แล้วกล่าวอย่างค่อนข้างผิดหวังว่า “ต่อให้ข้าออกไปได้ แต่ก็ไม่มีทางพาซินเอ๋อร์ออกไปได้ เพราะตอนเข้าออกแดนอเวจีจะถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด ไม่มีทางพาคนออกไปได้”


นางไม่มีทางพูดโกหกว่าออกไปจากที่นี่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน ต่อให้นางจะหนีออกจากที่นี่ได้ แต่ถ้าฝั่งนี้เปิดเผยเรื่องที่นางแต่งงานคลอดลูกที่นี่ เกรงว่าต่อให้ท่านโหวเทียนหยวนจะฆ่านางทิ้งก็ไม่มีใครว่าอะไรได้ บางทีถ้าคนในนรกพูดอาจจะไม่มีใครเชื่อ แต่ที่นี่ยังมีคนของตำหนักสวรรค์อีกสามคน เป็นประจักษ์พยานกับทุกสิ่งที่นางทำแล้ว ถ้าปล่อยใครไปสักคน นางก็จะต้องรับผิดชอบถึงผลที่ตามมา


ไห่ยวนเค่อหันตัวมามองนาง แล้วบอกว่า “นี่เป็นโอกาสเดียวที่เจ้าจะได้ออกไปจากที่นี่ เจ้าต้องกลับไป ต่อให้ทำเพื่อซินเอ๋อร์เจ้าก็ต้องกลับไป”


ปี้เยว่ฮูหยินเงยหน้ามองเขา แล้วถามอย่างไม่เข้าใจว่า “เพราะอะไร?”


“ถ้าเจ้าอยู่ข้างนอกถึงจะดูแลนางได้ดียิ่งขึ้น” ไห่ยวนเค่อถาม


“แต่ข้าไม่มีทางพานางออกไปได้” ปี้เยว่ฮูหยินกล่าว


ไห่ยวนเค่อบอกว่า “เรื่องนี้ข้าจะคิดหาทางเอง ถ้ามีโอกาสเหมาะข้าจะคิดหาทางรวมกลุ่มรุกโจมตีใหญ่สักครั้ง หาวิธีโจมตีให้เกิดช่องโหว่ตรงทางออก ข้าจะออกไปได้หรือไม่นั้นไม่สำคัญ ตราบใดที่หาโอกาสส่งซินเอ๋อร์ออกไปได้ก็เพียงพอแล้ว ข้างนอกยังมีลูกน้องเก่าของข้าอยู่บ้าง จะมีคนส่งตัวซินเอ๋อร์ไปให้เจ้าเอง”


ปี้เยว่ฮูหยินใจสั่นหวาดหวั่น จ้องเขาพร้อมถามว่า “เจ้าอยากจะให้ข้าออกไปจริงเหรอ?”


ไห่ยวนเค่อตอบว่า “ไม่ใช่ว่าข้าอยากให้เจ้าจากไป เพียงแต่ไม่อยากให้ซินเอ๋อร์โดนขังอยู่ที่นี่ตลอดไป ที่นี่ขาดทรัพยากรฝึกตน หรือเจ้าหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้เห็นนางแก่กว่าพวกเรา”


“ข้าถามอะไรเจ้าสักอย่างได้มั้ย?”


“ว่ามา!”


ปี้เยว่ฮูหยินลังเลอยู่หลายครั้ง ก่อนจะถามว่า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้ากับตำหนักสวรรค์กำลังสู้กัน ทั้งสองฝ่ายสามารถควบคุมแนวโน้มสถานการณ์ในใต้หล้าได้ แพ้เป็นโจร ชนะเป็นกษัตริย์ ส่วนขั้นตอนระหว่างนั้นจะเป็นอย่างไร ก็เล็กน้อยต่ำต้อยจนไม่มีค่าให้เอ่ยถึงในสายตาพวกเจ้า เหมือนตัวละครเล็กๆ อย่างข้า ในสายตาของพวกเจ้าก็ไม่นับว่าสำคัญอะไรหรอก ข้าเพียงอยากจะรู้ ว่าที่เจ้าแต่งงานกับข้า แล้วตอนนี้ก็จะปล่อยข้าไปอีก เป็นเพราะอยากจะหลอกใช้ข้าใช่มั้ย?” ตอนที่พูดประโยคสุดท้าย นางก็เสียงสั่นเล็กน้อย


ไห่ยวนเค่อตอบว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว ถ้าจะใช้ประโยชน์เจ้า ข้าคงไม่ให้เจ้าคลอดซินเอ๋อร์มาเป็นอุปสรรคต่อตัวข้าเองหรอก เจ้าไม่ต้องห่วง ทางฝั่งนี้มีคนรู้ฐานะของเจ้าไม่เยอะ เมื่ออยู่ที่นี่คำพูดของข้ายังมีน้ำหนักอยู่บ้าง หลังจากเจ้าไปแล้ว ข้าจะจัดการทางนี้เอง ไม่ให้ใครเปิดโปงสถานการณ์ของเจ้าตอนอยู่ที่นี่หรอก และจะไม่มีใครหลอกใช้ประโยชน์เจ้าด้วย”


ปี้เยว่ฮูหยินคิดไปคิดมาก็เห็นด้วย ถ้าจะใช้ประโยชน์นางจริงๆ เขาก็ไม่จำเป็นต้องมีลูกสาวกับนางเพื่อให้เกิดความทรมาน ถึงอย่างไรนั่นก็คือเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา…


“ท่านแม่! วันนี้ไม่ต้องฝึกตนจริงๆ เหรอคะ?”


ไห่ผิงซินที่กำลังนั่งสมาธิอยู่บนเตียงในห้องพลันลืมตาแล้วกระโดดลงจากเตียง ไปยืนอยู่ตรงหน้าปี้เยว่ฮูหยินเพื่อถามให้แน่ใจอีกครั้ง


ปี้เยว่ฮูหยินยื่นมือไปลูบใบหน้าลูกสาวด้วยความรักทะนุถนอม ในใจนางรู้อย่างแจ่งแจ้ง ถึงแม้ไห่ยวนเค่อจะพูดแบบนั้น แต่ทางเข้าออกแดนอเวจีมีค่ายกลป้องกันที่ใหญ่และแข็งแกร่งมาก จะโจมตีฝ่าออกไปได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่ หรือพูดได้อีกอย่างว่า หลังจากวันนี้ไปนางอาจจะไม่ได้เจอลูกสาวคนนี้อีกแล้ว การไปครั้งนี้อาจจะเป็นการทอดทิ้งลูกสาวคนนี้ตลอดกาลเลยก็ได้


“วันนี้แม่อยากจะคุยกับเจ้าสักหน่อย! สิ่งนี้มอบให้เจ้า เก็บไว้ใช้เอง” ปี้เยว่ฮูหยินจูงลูกสาวมานั่งลงบนเตียง แล้วหยิบกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งมาใส่ไว้ที่ข้อมือของลูกสาว


“ว้าว! ยาแก่นเซียนเยอะจังเลยค่ะ!” ขณะที่ลูบกำไลเก็บสมบัติบนข้อมือ ไห่ผิงซินก็ร้องอุทานอย่างดีใจ


ในคืนนี้ ไห่ผิงซินสังเกตเห็นว่ามารดาพูดกับนางเยอะมาก สั่งนางไม่หยุดว่าควรจะดูแลตัวเองอย่างไร


ภายใต้แสงจันทร์ คลื่นคลั่งซัดกระทบฝั่ง ที่ริมหน้าผาด้านบน ไห่ยวนเค่อกับจินม่านยืนเคียงข้างกัน ข้างหลังคือตำหนักอู๋เลี่ยงที่เก่าแก่ กลุ่มดาวหลายกลุ่มส่องแสงระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้า


จินม่านเอียงหน้าถามว่า “นางตอบตกลงที่จะไปแล้วเหรอ?”


“ตอบตกลงแล้ว” ไห่ยวนเค่อตอบ


จินม่านลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “เรื่องนี้ประมุขปราชญ์ไม่ได้เห็นด้วยแต่ก็ไม่ได้คัดค้าน ดูออกว่าประมุขปราชญ์ก็ไม่กล้าคล้อยตามกับวิธีการนี้เหมือนกัน ถ้าเจ้าจะเปลี่ยนใจตอนนี้ ข้าก็จะไปปรึกษากับประมุขปราชญ์ บางทีอาจจะหันหลังกลับได้”


ไห่ยวนเค่อตอบอย่างสงบนิ่งว่า “ช่างแถอะ ที่จริงข้าดูออกตั้งนานแล้ว ว่าหัวใจนางไม่ได้อยู่ที่นี่เลย นางอยากจะออกไปใช้ชีวิตข้างนอกมากกว่า ที่นี่ไม่มีอะไรเลย ถ้านางยืนหยัดปฏิเสธที่จะจากไป…แต่ถึงยังไงนางก็ตัดสินใจจะทิ้งซินเอ๋อร์แล้ว ช่างเถอะ ให้นางไปเถอะ”


จินม่านถอนหายใจแล้วบอกว่า “ทำให้เจ้าได้รับความไม่ยุติธรรมแล้ว!”


ไห่ยวนเค่อ “ไม่มีอะไรไม่ยุติธรรมหรอก ที่ข้าตอบตกลงในปีนั้น ก็เป็นเพราะเชื่อมั่นในความสามารถของประมุขไป๋ หวังว่าประมุขไป๋จะไม่ทำให้การเสียสละของข้าสูญเปล่า หนี้เลือดของทุกคนในครอบครัวข้ายังรอให้ข้าไปทวงคืนกลับมา ข้าเคยสาบานไว้แล้ว ข้าจะต้องตัดหัวโค่วหลิงซวีด้วยมือตัวเอง ล้างเลือดทั้งตระกูลโค่ว หนี้เลือดต้องชดใช้ด้วยเลือก!”


“ต้องมีสักวันแน่นอน!” จินม่านตอบ


ไห่ยวนเค่อเงียบไปสักพัก แล้วถามอีกว่า “ธนูเทพสังหารของประมุขขุนพลสามารถส่งซินเอ๋อร์ออกไปอย่างปลอดภัยได้ใช่มั้ย?”


“ขนาดประมุขชิงกับประมุขพุทธะยังไม่กล้าต่อต้านธนูเทพสังหารของข้าเลย ขอเพียงมีโอกาสเหมาะ ก็น่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด” จินม่านตอบ


ไห่ยวนเค่อบอกอีกว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับซินเอ๋อร์ หวังว่าประมุขขุนพลจะช่วยบอกประมุขปราชญ์ ว่าอย่าทำให้นางลำบาก ถ้าเป็นไปได้โปรดช่วยดูแลแทนด้วย!”


จินม่านพยักหน้า แล้วก็ถอนหายใจเบาๆ…


ฟ้ายังไม่สว่าง ไห่ยวนเค่อยืนอยู่ในลานบ้านเพียงลำพัง เงาร่างโดดเดี่ยวเดียวดาย


ปี้เยว่ฮูหยินเดินออกมาจากห้องนอนของลูกสาวอย่างเงียบๆ ปิดประตูห้องเบาๆ เดินออกมาได้ก้าวหนึ่งก็หันกลับไปสามครั้ง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ แต่สุดท้ายก็ยังเดินไปพยักหน้าตรงหน้าไห่ยวนเค่อ


ไห่ยวนเค่อโบกมือ เก็บนางเข้าในกระเป๋าสัตว์ แล้วถลันตัวพุ่งขึ้นฟ้า หายลับไปในขอบฟ้ายามค่ำคืน


ตอนที่เหยียบลงพื้นอีกครั้ง ก็เป็นบนดาวดวงหนึ่งที่อยู่บนเส้นทางระหว่างทางเข้าออกแดนอเวจีแล้ว เขาเรียกปี้เยว่ฮูหยินออกมาอีก จากนั้นก็ยื่นแผ่นหยกส่งให้ตรงหน้านาง “นี่คือคะแนนทดสอบอย่างดีที่ข้าเตรียมไว้ให้เจ้า เพียงพอที่จะทำให้เจ้ารักษาตำแหน่งแม่ทัพภาคไว้ได้ เพียงแต่เจ้าเป็นคนเดียวที่ได้คะแนนส่วนนี้ไป คนที่คุ้นเคยกับเจ้าจะต้องสงสัยแน่ เจ้าเคยคิดรึเปล่าว่าจะอธิบายยังไง?”


“เจ้าวางใจเถอะ ข้ามีทางอธิบายอยู่แล้ว” ปี้เยว่ฮูหยินตอบ


ไห่ยวนเค่อบอกว่า “เจ้ารักษาตัวด้วย ข้าไปก่อน” พูดจบก็หันตัวกำลังจะจากไป


“ช้าก่อน!” จู่ๆ ปี้เยว่ฮูหยินก็กางแขนสองข้างกอดเขาไว้ กอดไว้อย่างแนบแน่น พร้อมบอกว่า “ถ้ามีการจัดการทดสอบที่ตำหนักสวรรค์ต่อไป ข้าก็ยังมีโอกาสกลับมาหาเจ้าอีก” จู่ๆ นางก็พบว่าสิ่งที่นางประสบในแดนอเวจีไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร ถ้าได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าภาคของตลาดสวรรค์ ถ้าได้มาเข้าร่วมทดสอบอีกครั้ง ไห่ยวนเค่อจะต้องช่วยเหลือนางแน่นอน


ไห่ยวนเค่อตบหลังนางเบาๆ แล้วผละนางออก พยักหน้าบอกว่า “ไปเถอะ!”


ขณะมองดูเงาร่างจากไปอย่างรวดเร็ว ปี้เยว่ฮูหยินก็โบกมือส่ง หลังจากมองไม่เห็นเขาแล้ว นางก็รีบมองสำรวจรอบข้าง รีบหาสภาพพื้นที่ที่เหมาะสมอย่างรวดเร็ว แล้วค่อยขุดถ้ำเพื่อเข้าไปซ่อนตัว ในบรรดาโจรกบฏหกลัทธิมีคนที่รู้จักนางไม่เยอะ ถ้าถูกพบตัวก็เป็นอันตรายอยู่ดี


หลังจากซ่อนตัวอย่างมั่นใจและเชื่อถือได้แล้ว นางก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อท่านโหวเทียนหยวน ตอนที่ถืออยู่ในมือก็ลังเลอยู่นานมาก แต่สุดท้ายก็ยังเขย่าระฆังติดต่อไป


พอท่านโหวเทียนหยวนได้ข่าวก็ย่อมตกตะลึงมาก รีบตอบกลับมาว่า : ฮูหยิน เจ้านี่ยังไงกันแน่? ทำไมติดต่อเจ้าแต่เจ้าไม่เคยสนใจเลย?


ปี้เยว่ฮูหยิน : เจ้ายังมีกะจิตกะใจมากพูดแดกดันอีกเหรอ มีโจรกบฏกลุ่มหนึ่งมาพักอยู่ข้างๆ ที่ซ่อนตัวของข้าพอดี ข้าตกใจจนไม่กล้าหายใจแรงด้วยซ้ำ จะกล้าขยับระฆังดาราติดต่อกับพวกเจ้าได้ยังไง บางทีอาจะเป็นเพราะการทดสอบใกล้จะจบแล้ว โจรกบฏกลุ่มนั้นเพิ่งจะย้ายรัง พอพวกนั้นไป ข้าก็ติดต่อกับเจ้าทันที แทนที่จะถามถึงความปลอดภัยของข้า กลับมาดุข้าเสียอย่างนั้น เจ้าลองมาลิ้มรสชาติความเก็บกดเวลาไม่กล้าขยับตัวร้อยสองร้อยปีบ้างมั้ยล่ะ?


บทที่ 1306 เขตปลอดภัยไม่ปลอดภัย

โดย

Ink Stone_Fantasy

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! ท่านโหวเทียนหยวนโล่งอกแล้ว รีบกล่าวขอโทษว่า : ฮูหยินเข้าใจผิดแล้ว ข้าก็กำลังเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้าอยู่นี่ไง


ปี้เยว่ฮูหยิน : อย่าพูดไร้สาระมาก เจ้าบอกว่าจะจัดคนให้พาข้ากลับไปจุดสิ้นสุดการทดสอบ เมื่อไรพวกเขาจะมา?


ท่านโหวเทียนหยวน : เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าติดต่อไว้แล้ว เดี๋ยวข้าจะช่วยยืนยันให้เดี๋ยวนี้ เจ้ารอข่าวจากข้าก็พอ


หลังจากทั้งสองพูดคุยสอบถามกันแล้วก็หยุดการติดต่อชั่วคราว ปี้เยว่ฮูหยินหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับหลันเซียงที่จวนแม่ทัพภาคตงหัวอีก จากนั้นค่อยติดต่อเหมียวอี้


เหมียวอี้ย่อมถามเหมือนแปลกใจว่า : ฮูหยิน ข้าติดต่อท่านไม่ได้เลย ท่านยังสบายดีใช่มั้ย?


ปี้เยว่ฮูหยิน : ตายไม่ได้หรอก การทดสอบใกล้จะจบแล้ว อย่าลืมผลงานทดสอบที่เจ้าซ่อนไว้นะ


ที่จริงนางไม่จำเป็นต้องใช้คะแนนจากเหมียวอี้แล้ว ถ้านำผลงานสองส่วนนี้มารวมกันแล้วได้อันดับหนึ่งขึ้นมา ก็กลับจะกลายเป็นปัญหาด้วยซ้ำ นางรู้จักข้อบกพร่องของตัวเองดี ตัวเองใช่คนที่จะได้อันดับหนึ่งเหรอ? แต่นางจำเป็นต้องใช้เหมียวอี้มาเป็นเกราะกำบัง ไม่อย่างนั้นนางจะอธิบายกลับทางท่านโหวเทียนหยวนไม่ได้


เหมียวอี้ : ฮูหยินวางใจได้ รอให้ท่านถึงตำแหน่งคร่าวๆ แล้ว ข้าจะชี้บอกสถานที่ซ่อนของโดยละเอียดให้เอง เออใช่ ฮูหยินทดสอบกลับมาแล้ว ข้าน้อยจะไปรอรับฮูหยินที่ทางออกตรงนรกเดี๋ยวนี้


ตอนนี้เขากำลังเร่งเหาะอยู่ในดาราตักแล้ว ย่อมไม่ใช่เพราะไปรับตัวปี้เยว่ฮูหยิน คาดว่าอีกฝ่ายก็ไม่ต้อนรับตนเหมือนกัน แต่เขาไปรับตัวอีกคนหนึ่ง


ปี้เยว่ฮูหยิน : ไม่ต้องแล้ว! ดูแลอาณาเขตของเจ้าให้ดีก็พอ


จากนั้นก็ตัดขาดการติดต่อ ไม่สนว่าจะเป็นหนิวโหย่วเต๋อหรือจูโหย่วเต๋ออะไรทั้งนั้น แล้วก็มีเซี่ยโห้วหลงเฉิงกับจ้านหรูอี้อีก ลูกน้องที่ทำให้วุ่นวายใจประเภทนี้นางไม่คิดจะอยู่รับใช้ด้วย กลับไปต้องคิดหาทางเปลี่ยนสถานที่รับตำแหน่ง


ที่ริมชายหาก ไห่ยวนเค่อที่เหาะจากฟ้าเหยียบลงบนยอดไม้ แล้วทอดสายตามองไปที่หาดทราย


ไห่ผิงซินที่สวมชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อนปลิวสะบัดอยู่ท่ามกลางสายลมกำลังนั่งสมาธิอยู่บนหาดทราย นั่งกอดเข่าอย่างโดดเดี่ยว มองดูกระแสคลื่นที่ซักขึ้นซัดลง


ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วหลายเดือน หลังจากคืนนั้น มารดาก็ไม่ปรากฏตัวอีกแล้ว ทุกครั้งที่นึกย้อนไปถึงคำพูดที่มารดาบอกให้ตนดูแลตัวเองในคืนนั้น นากง็ตระหนักอะไรบางอย่างไรรางๆ แล้ว ถึงแม้นางจะขาดประสบการณ์ด้านการเข้าสังคม แต่กลับเฉลียวฉลาด ทว่าบางครั้งความฉลาดก็อาจจะไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป ไม่สู้โง่เง่าเลอะเลือนดีกว่า ด้วยเหตุนี้นางจึงเปลี่ยนเป็นคนเงียบงันพูดน้อย


ข้างหลังมีเสียงฝีเท้า ไห่ผิงซินพลันเงยหน้าขึ้น พอหันไปข้างหลัง ก็เห็นไห่ยวนเค่อกำลังเดินเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ ในดวงตานางฉายแววผิดหวัง เพียงตะโกนเรียกว่า “ท่านพ่อ” แล้วก็นั่งเอาคางเกยเข่ามองดูทะเลกว้างอย่างเหม่อลอยต่อไป


ไห่ยวนเค่อเดินมาถึงข้างกายนั่ง นั่งลงแล้วเช่นกัน เขามองดูคลื่นทะเลที่ซัดสาด พร้อมถามเสียงเรียบว่า “ไม่มีความสุขเหรอ?”


“เปล่าค่ะ” ไห่ผิงซินส่ายหน้า


“ถ้าไม่มีความสุขก็พูดออกมา” ไห่ยวนเค่อกล่าวกับลูกสาว


ไห่ผิงซินเอียงหน้ามองเขา แล้วถามอีกครั้งว่ “ท่านพ่อ! ท่านแม่ไปไหนแล้ว?”


นางถามคำถามนี้หลายครั้งแล้ว วันนี้ไห่ยวนเค่อตัดสินใจจะตอบคำถามนาง “แม่เจ้าไปแล้ว”


ไห่ผิงซินรู้สึกเหนือความคาดหมายนิดหน่อย พ่อของนางเป็นคนพูดน้อย นางไม่เคยเห็นเขายิ้มมาก่อนเลย ทำให้คนรู้สึกเหินห่าง คำตอบก่อนหน้านี้มีเพียงคำว่า ‘ไม่รู้‘ มาตลอด ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้จะให้คำตอบแล้ว นางพลิกตัวมานั่งคุกเข่าข้างกายไห่ยวนเค่อทันที แล้วถามซักไซ้ว่า “ไปไหนแล้วคะ?”


ไห่ยวนเค่อนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “ซินเอ๋อร์ พ่อจะเล่นิทานเรื่องหนึ่งให้ฟัง”


“ข้าไม่ฟังนิทาน ข้าอยากรู้ว่าท่านแม่ไปไหน ซินเอ๋อร์คิดถึงท่านแม่แล้ว”


“เป็นนิทานเกี่ยวกบัแม่เจ้า ถ้าฟังจบแล้ว เจ้าก็จะรู้ว่าแม่เจ้าไปไหน”


“ข้าจะฟัง!” ไห่ผิงซินพยักหน้าซ้ำๆ ทันที ใช้สองมือเขย่าหัวเข่าของผู้เป็นพ่อ “ท่านพ่อ! ท่านรีบเล่ามาสิ”


“แต่ไหนแต่ไรมาแพ้เป็นโจร ชนะเป็นราชา พวกเราพ่ายแพ้จึงถูกขังอยู่ที่นี่ เรื่องนี้เจ้าก็รู้แล้ว ส่วนแม่เจ้าเพิ่งเข้ามาที่นี่เมื่อสองร้อยปีก่อน เมื่ออยู่ข้างนอกนางมีอีกฐานะหนึ่ง…” ไห่ยวนเค่อเล่าถึงฐานะที่แท้จริงของปี้เยว่ฮูหยิน และสาเหตุที่ทำให้ปี้เยว่ฮูหยินเข้ามาในแดนอเวจี ทั้งยังเล่าเรื่องที่บีบบังคับให้ปี้เยว่ฮูหยินมาเป็นภรรยาด้วย แล้วสุดท้ายก็บอกว่า  “ที่แม่เจ้าออกไปก็เพราะไม่อยากเห็นเจ้าแก่ตายอยู่ที่นี่ตลอดไป ดังนั้นแม่เจ้าจึงนำไปก่อน นางทำแบบนั้นเพื่อวางรากฐานให้เจ้าล่วงหน้า จะได้ต้อนรับเจ้าได้สะดวก เดี๋ยวอีกไม่นานพ่อจะส่งเจ้าให้ไปเจอกับแม่เจ้า”


“ฮือๆ…” ไห่ผิงซินน้ำตาไหลแล้ว ไหล่งามสั่นเทิ้ม ร้องไห้ไม่หยุด นางนึกไม่ถึงว่าภูมิหลังของตัวเองจะพิลึกพิลั่นขนาดนี้


ไห่ยวนเค่อยื่นมือออกมา ร่ายอิทธิฤทธิ์เช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้านางเบาๆ พร้อมบอกว่า “ซินเอ๋อร์ พ่อเจ้าทำผิดต่อเจ้าแล้ว ไม่ต้องกลัว อีกไม่นานพ่อจะส่งเจ้าไปหาแม่เจ้า”


ไห่ผิงซินส่ายหน้าสะอื้น “หลังจากท่านแม่ไปแล้ว นางจะไปหาผู้ชายคนก่อนขอนางหรือเปล่า? ถ้าเป็นแบบนั้น ต่อให้ข้าไปหานางแล้วจะได้อะไรขึ้นมา ข้าไปแล้วต้องเป็นตัวถ่วงแน่ๆ”


ไห่ยวนเค่อสีหน้าสงบนิ่งเยือกเย็นมาก เพียงมองดูอารมณ์สับสนที่ปิดบังได้ยากในแววตาของลูกสาว พลางกล่าวเบาๆ ว่า “ซินเอ๋อร์ เจ้ารู้มั้ยว่าทำไมพ่อตั้งชื่อให้เจ้าว่า ‘ผิงซิน‘? เป็นเพราะหวังว่าในภายหลังไม่ว่าเจ้าจะเจอเรื่องอะไร ก็ล้วนสามารถทำใจยอมรับได้เหมือนเรื่องปกติธรรมดา ใจกว้างเหมือนท้องฟ้า เจ้าไม่ต้องแบกรับบุญคุณความแค้นของคนรุ่นก่อน หลังจากออกไปแล้ว จำไว้ว่าใช้ชีวิตของตัวเองก็พอ”


“แล้วท่านพ่อล่ะ ท่านอยู่ที่นี่คนเดียวแล้วจะทำยังไง?”


“พ่อไม่ได้อยู่คนเดียว พ่อมีลูกน้องตั้งมากมาย”


“ไม่ ข้าไม่ไป ท่านแม่อยู่ข้างนอกมีคนอยู่ด้วยแล้ว ข้าจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนท่านพ่อ”


ไห่ยวนเค่อปะคองศีรษะของลูกสาวเข้ามาในอ้อมกอดตัวเอง แล้วเงยหน้าหลับตาสองข้าง บนใบหน้าฉายแววเจ็บปวดขื่นขม แต่กลับไม่ยอมให้ลูกสาวเห็น ส่วนมืออีกข้างกำหมัดฝังลึกเข้าไปในหาดทราย แขนข้างนั้นสั่นเทิ้ม


เดิมทีเขานึกว่าตัวเองจะสามารถเผชิญกับเรื่องที่ตัวเองทำได้อย่างสงบนิ่งใจเย็น ตอนนี้ถึงได้พบว่าตัวเองถูกความแค้นบดบังดวงตา พบว่าตัวเองทำผิดไปแล้วจริงๆ ทั้งยังผิดแบบไร้เหตุผลด้วย ที่แท้นี่ก็คือความหนักหน่วงที่ตัวเองยากจะแบกรับไหว


“ดูผลงานที่พวกเจ้าทำไว้สิ!”


บนท้องฟ้า จินม่านที่จ้องมองด้านล่างอยู่พักหนึ่งพลันหันซ้ายหันขวาแล้วด่าสั่งสอน


สืออวิ๋นเปียน อ๋าวเถี่ย กงซุนลี่เต้า แต่ละคนรู้สึกผิดไม่หาย โดยเฉพาะอ๋าวเถี่ยที่ออกความคิดโง่ๆ แบบนั้น เขายิ่งทำสีหน้าอับอาย


เดิมทีพวกเขานัดกันไว้แล้วว่าจะปรึกษาหารือเรื่องนี้กัน แต่รออยู่ครู่หนึ่งแล้วยังไม่เห็นไห่ยวนเค่อ และไม่บอกสักคำด้วยว่าทำไมไม่มา พวกเขาจึงมาดูด้วยกันว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อาศัยวรยุทธ์อย่าพวกเขาสามารถไปมาได้อย่างรวดเร็ว ผลก็คือได้มาเห็นท่าทางขื่นขมทุกข์ใจของไห่ยวนเค่อ สิ่งนี้ทำให้พวกเขารู้สึกผิดจริงๆ…


ในดาราจักร ทหารสวรรค์กลุ่มหนึ่งรวมตัวเป็นกองหน้าและสำรวจค้นหาตลอดทาง คอยเบิกทางให้กำลังพลกลุ่มใหญ่ที่อยู่ข้างหลัง ป้องกันไม่ให้โดนดักซุ่มโจมตีจนฉุกละหุกทำอะไรไม่ถูก


ปี้เยว่ฮูหยินเหาะออกมากลางทาง เข้าใกล้กำลังพลกลุ่มนี้อย่างรวดเร็ว


แม่ทัพใหญ่เกราะแดงที่เป็นหัวหน้ากำลังพลที่อยู่ข้างหน้าเหล่ตามองมาทันที หนึ่งคนที่อยู่ข้างๆ รีบถ่ายทอดเสียงเตือน “ท่านนี้คือปี้เยว่ ฮูหยินของท่านโหวเทียนหยวน”


ตอนนี้แม่ทัพใหญ่ที่เป็นหัวหน้าถึงได้ไปข้างหน้าต่อ ส่วนปี้เยว่ก็ตามติดอยู่ข้างหลังกำลังพลกลุ่มนี้


กองหน้าไม่ทำเรื่องผิดกฎระเบียบอย่างเช่นช่วยเหลือสมาชิกที่เข้าร่วมการทดสอบ พวกเขาแค่ผ่านมาที่นี่ เมื่อผู้เข้าร่วมทดสอบตามมาข้างหลัง ผู้เข้าร่วมทดสอบก็ไม่ถือว่าทำผิดกฎเช่นกัน ที่จริงถ้าไม่มีเส้นสายภูมิหลังในระดับหนึ่ง ใครจะสามารถรู้ได้ว่ากำลังพลกลุ่มนี้จะผ่านมาให้หลบเลี่ยงอันตรายเมื่อไร นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่า ‘เมื่อมีกฎระเบียบ ก็ย่อมมีแผนรับมือกฎระเบียบ‘ ย่อมมีช่องโหว่ให้ลอดผ่านกฎระเบียบการทดสอบอยู่แล้ว


สมาชิกผู้เข้าร่วมการทดสอบที่ติดตามอยู่หลังกำลังพลกลุ่มนี้ไม่ได้มีแค่ปี้เยว่ฮูหยินคนเดียว เมื่อกำลังพลกลุ่มนี้ไปข้างหน้าเรื่อยๆ คนที่ติดตามอยู่ข้างหลังก็ยิ่งมีมากขึ้นเช่นกัน ย่อมเป็นคนที่มีเส้นสายภูมิหลังอยู่แล้ว


เพียงแต่การทดสอบครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน คนที่เข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้มีเพียงหนึ่งแสนกว่าคน แต่ตำแหน่งแม่ทัพภาคที่เปิดรับมีเพียงแปดร้อยกว่าตำแหน่ง พอจำนวนคนที่เข้ารับตำแหน่งได้มีน้อยลง ถ้ามีคนที่อยู่ในอันดับเดียวกันอีก แบบนั้นก็จะดูน่าเกลียดไปหน่อย ครั้งก่อนฆ่าคนไปแล้วกลุ่มหนึ่ง ขนาดเทพประจำดาวมะโรงดินยังโดนประหารทั้งตระกูลไปแล้ว แถมตำแหน่งแม่ทัพภาคก็ยังเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์เยอะกว่าตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ด้วย เกรงว่าตำหนักสวรรค์คงจะไม่นั่งดูผลประโยชน์ไปกองรวมที่ตระกูลเดียวอยู่เฉยๆ แน่ ถ้าอันดับซ้ำกันเยอะเกินไปก็อาจจะทำให้เกาก้วนตรวจสอบอย่างเข็มงวด ดังนั้นทุกคนที่ติดตามกำลังพลกลุ่มนี้อยู่ล้วนรู้สำนึกและไม่ไปถามถึงผลงานของคนอื่น


คนมากมายล้วนล้มเลิกความคิดที่จะได้อันดับดีๆ ขอแค่รอดชีวิตกลับไปได้ก็พอแล้ว คนที่จะแสดงความสามารถที่แท้จริงในการทดสอบครั้งนี้ล้วนเป็นคนที่มีภูมิหลังพวกนั้น


แน่นอน ไม่มีความยุติธรรมที่แท้จริงเช่นกัน ปี้เยว่ฮูหยินได้รับข่าวจากท่านโหวเทียนหยวน ว่าถ้าได้ผลงานมาแล้ว ก็ให้คัดลอกฉบับหนึ่งเพื่อให้ใครบางคนที่กำหนดไว้ ส่วนคนอื่นๆ ก็ไม่จำเป็นต้องสนใจแล้ว


ขณะที่คนกลุ่มหนึ่งเพิ่งจะเข้าใกล้บริเวณจุดสิ้นสุดการทดสอบ เกาก้วนและเฉิงไท่เจ๋อจอมพลสายมะโรงที่ผลัดเวรมาเฝ้ารักษาการณ์ที่นรกก็เหาะผ่านยอดศีรษะของพวกเขาไปด้วยความเร็ว พอเห็นเกาก้วนโผล่หน้ามา ก็ไม่รู้ว่ามีผู้เข้าร่วมทดสอบมากเท่าไรที่อกสั่นขวัญแขวน ตอนนี้ยังไม่ประกาศสิ้นสุดการทดสอบ พวกเขาจึงไม่กล้าไปข้างหน้าต่ออีก แยกย้ายกันแล้ว


ปี้เยว่ฮูหยินจึงหาดาวเคราะห์ดวงหนึ่งเพื่อซ่อนตัว นางติดต่อเหมียวอี้อีกครั้ง แต่ก็ทำพอเป็นพิธีเท่านั้น ไม่ว่าเหมียวอี้จะพูดถึงตรงไหน นางก็ล้วนตอบว่าเห็นแล้ว  สุดท้ายก็หาเจอแล้ว ที่จริงนางไม่ได้เตรียมจะเสี่ยงอันตรายไปหาเลย


นางนับว่ามองออกแล้ว ว่ายังมีบางคนไม่ตัดใจ ยังรวมกลุ่มกันเพื่อเตรียมจะไปดักปล้นคนอื่น นางไม่อยากเดินมาถึงก้าวสุดท้ายแล้วยังพลาด


กระทั่งกำลังพลที่เก็บกวาดสนามปรากฏตัว คำสั่งรูปมังกรลอยขึ้นเพื่อประกาศสิ้นสุดการทดสอบอย่างเป็นทางการ ปี้เยว่ฮูหยินถึงได้ติดต่อท่านโหวเทียนหยวนอีกครั้ง นางบอกเขาว่าหาผลงานทดสอบที่เหมียวอี้ฝังซ่อนไว้เจอแล้ว ให้เขาถามว่าคนที่จะมาขอแบ่งคะแนนไปเฉยๆ อยู่ที่ไหน


ท่านโหวเทียนหยวนเองก็ไม่อยากให้นางเสี่ยงอันตรายอีก หลังจากถามตำแหน่งของนางชัดเจนแล้ว เขาก็บอกว่าเดี๋ยวจะให้ผู้รับผลประโยชน์ไปหานางเอง บอกนางว่าอย่าเพ่นพ่านไปไหนอีก


เป็นอย่างที่คาดไว้ รออยู่ไม่นาน คนที่สวมเกราะรบผลึกแดงบริสุทธิ์เจ็ดแปดคนก็ขี่สัตว์เทพมาเหยียบลงแถวนั้นแล้วมองสำรวจไปรอบๆ


“อิ๋งสิงเลี่ยอยู่นี่แล้ว ปี้เยว่ฮูหยินอยู่ที่ไหน?” ชายหนุ่มวัยกลางคนที่เป็นหัวหน้ามองไปรอบๆ พร้อมตะโกน


ปี้เยว่ฮูหยินที่หลบอยู่ไกลๆ ผลักหินก้อนใหญ่ที่อุดปากถ้ำออก นางโผล่ขึ้นมาจากใต้ดิน ลอยไปตรงหน้าคนพวกนั้น แล้วพลิกมือโยนแผ่นหยกเข้าไป


หลังจากชายวัยกลางคนรับมาอ่านในมือแล้ว ก็เผยรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ เขาพลิกฝ่ามือเก็บ แล้วกุมหมัดคารวะด้วยรอยยิ้ม “ฮูหยินท่านโหวลำบากแล้ว เบื้องบนมีคำสั่งมา ว่าให้พวกเราส่งฮูหยินกลับไปในอาณาเขตปลอดภัยก่อน”


เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการเตรียมการของท่านโหวเทียนหยวน ปี้เยว่ฮูหยินกล่าวขอบคุณ คนเจ็ดแปดคนนี้คุ้มกันส่งนางไปยังเขตปลอดภัยก่อน แล้วก็เลี้ยวกลับไปอีกรอบ เห็นได้ชัดว่ายังไม่พอใจคะแนนที่มีอยู่ในมือ ตอนนี้มีเป้าหมายอย่างอื่น


ปี้เยว่ฮูหยินที่มาถึงเขตปลอดภัยแล้วไม่อยากถามอะไรอีก รีบเหาะไปยังจุดสิ้นสุดการทดสอบ


“อู! อู…” ใครจะคิดว่าจู่ๆ ตรงจุดรวมตัวจะมีเสียงสัญญาณแจ้งเตือนดังก้องท้องฟ้า ทหารสวรรค์กลุ่มหนึ่งกรูกันพุ่งออกมา


บึ้ม! ตามคิดด้วยเสียงระเบิดทางด้านหลังที่ดังสะท้านดาราจักร


ปี้เยว่ฮูหยินรีบหันกลับไปมองอย่างตกใจ เห็นเงาคนจำนวนหนึ่งแวบเข้ามาจากดาราจักรอันไกลโพ้นในแทบจะชั่วพริบตาเดียว ดาบล่องหนที่โจมตีอย่างดุเดือดบ้าคลั่งกวาดกลุ่มผู้เข้าร่วมทดสอบกระเด็นออกไป นี่คือการโจมตีเป็นวงกว้าง พวกอิ๋งสิงเลี่ยก็ร่วมอยู่ในจำนวนนั้นเช่นกัน มีเกราะรบผลึกแดงบริสุทธิ์ปกป้องร่างกายไปก็ไร้ประโยชน์ เงาคนที่กระอักเลือดหายไปแล้ว คนที่ใช้ดาบโจมตีก็คือไห่ยวนเค่อ!


บทที่ 1307 ธนูเทพสังหาร

โดย

Ink Stone_Fantasy

ไม่ใช่แค่ไห่ยวนเค่อ จินม่าน สืออวิ๋นเปียน อ๋าวเถี่ย กงซุนลี่เต้าปรากฏตัวพร้อมกัน ห้าผู้ยิ่งใหญ่ของลัทธิอู๋เลี่ยงโจมตีสังหารข้ามดาราจักรเข้ามาด้วยกันแล้ว


เกาก้วนที่ยืนอยู่บนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งที่ลอยอยู่ในดาราจักรหันขวับ มองออกไปด้วยสายตาเย็นเยียบ


ข้างๆ กัน เฉิงไท่เจ๋อ จอมพลสายฉลูที่เกล้าผมสีขาวเงินไว้บนยอดศีรษะ ใบหน้าสีชมพูระเรื่อ ใบหน้าเปล่งปลั่งดุจทารกก็มองมาด้วยสายตาเย็นเยียบเช่นกัน ลักษณะท่าทางแทบจะเปลี่ยนเป็นดุร้ายกระหายเลือดในชั่วพริบตาเดียว พอพลิกฝ่ามือ ทวนยาวด้ามหนึ่งก็อยู่ในมือแล้ว จู่ๆ ก็พลันหายไปจากที่เดิม ไม่รอให้กำลังพลกลุ่มใหญ่ตามมาถึง เขาพุ่งสังหารออกไปเพียงลำพังแล้ว รับศึกกับห้าคนนั้นด้วยตัวคนเดียว


จินม่านพลันหยุดนิ่งอยู่กลางท้องฟ้า หมุนตัวเหาะขึ้นเหาะลง กระโปรงยาวสีทองหมุนวน นางควงแขนช้อนธนูใหญ่ที่มีลำแสงหลากสีออกมา คันธนูสูงประมาณหนึ่งจั้ง เงาร่างที่มีท่วงท่าสง่างามประคองคันธนูให้นิ่งอยู่กลางท้องฟ้า ใช้มือข้างเดียวดึงสายธนูพร้อมเหาะถอยไปข้างหลัง ธนูใหญ่ที่มีลำแสงหลากสีสันถูกดึงจนกลายเป็นรูปพระจันทร์เต็มดวง ลูกธนูใหญ่สีดำมืดดอกหนึ่งตั้งอยู่บนสายธนูแล้ว


อ๋าวเถี่ยคุ้มกันอยู่ด้านข้าง ไห่ยวนเค่อ สืออวิ๋นเปียน กงซุนลี่เต้า ทั้งสามคนสังหารฝ่าไปข้างหน้าต่อไป


สามคนที่แฉลบผ่านอย่างรวดเร็วเหลือบมองปี้เยว่ฮูหยินที่อยู่ไม่ไกลแวบหนึ่ง


ปี้เยว่ฮูหยินที่ตะลึงค้างพลันเบิกตากว้าง ได้แต่มองดูสามคนนั้นแฉลบผ่านไป ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นกำลังจะทำอะไร


“โจรกบฏใจกล้า!” เฉิงไท่เจ๋อตะโกนอย่างเดือดดาล โบกทวนชี้เข้าไปรับศึกกับทั้งสามคน


“รนหาที่ตาย!” กงซุนลี่เต้าแสยะยิ้ม โจมตีเข้ามาพร้อมสืออวิ๋นเปียนที่ถือทวนยาวอยู่ในมือเช่นเดียวกัน


ชั่วพริบตาที่ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน เฉิงไท่เจ๋อกางแขนสองข้าง เงาสีทองยาวหกสายพลันพุ่งจากข้างหลังของเขาขึ้นบนฟ้า เงานั้นปรากฏเป็นร่างกายขนาดยักษ์ มังกรยักษ์ทองหกตัวที่รูปร่างใหญ่มหึมาปรากฏตัวอย่างดุร้าย เกล็ดย้อนสีทองระยิบระยับ กรงเล็บสี่ข้างแหลมคม ฟันแหลมน่าเกลียดดุร้าย ดวงตาใหญ่สีแดงเข้มเปล่งแสง


“อ๋าว!” มังกรยักษ์ทองหกตัวคำรามก้องดาราจักรพร้อมกัน มังกรตัวหนึ่งเลี้ยวคดเคี้ยวลงมารองใต้เฉิงไท่เจ๋อและพุ่งมาข้างหน้า ส่วนอีกห้าตัวรุกโจมตีเป็นรูปวงแหวน ใช้วิธีการรวมกันเพื่อโจมตีสามคนนั้น


บึ้ม! เงาดาบที่สะเทือนฟ้าโผล่ออกมาอีก กะพริบแสงสีขาวดุจหิมะส่องสว่างดาราจักร ดาบของไห่ยวนเค่อฟันไปบนหัวมังกรอย่างดุดือด


“อ้าว!” มังกรยักษ์ที่ชนเข้ามาถูกฟันท่อนบนจนจมลง ขณะที่ใช้หัวกะโหลกอันแข็งแรงต้านทานการโจมตีครั้งนี้ มันก็ฟาดหางโจมตีไห่ยวนเค่อที่พุ่งออกมาจากวงล้อมโจมตี


ไห่ยวนเค่อยังไม่หยุดนิ่ง ฟันดาบในแนวขวางกวาดหางมังกรยักษ์ออกไป เขาเงาร่างขยับด้วยความรวดเร็ว หลบกรงเล็บแหลมของมังกรยักษ์ที่โบกเข้ามา แล้วถลันตัวพุ่งออกไปเพียงลำพัง ทำให้มังกรยักษ์ตัวนั้นพลิกตัวไล่ตามไปทันที ทั้งไล่ตามทั้งต่อสู้


ส่วนกงซุนลี่เต้ากับสืออวิ๋นเปียนก็ใช้ทวนโจมตีไปสี่ด้านแปดทิศอย่างรวดเร็วดุเดือด มังกรยักษ์ห้าตัวล้อมทั้งสองเอาไว้พร้อมเหาะวนอย่างรวดเร็ว กรงเล็บใหญ่ยี่สิบข้างโจมตีอย่างบ้าคลั่ง เฉิงไท่เจ๋อที่ปะปนอยู่ในนั้นฉวยโอกาสหาช่องว่างแทงทวนออกไปอย่างเกรี้ยวกราด


“เตรียมตัว!”


พอแม่ทัพใหญ่เกราะแดงคนหนึ่งโบกมือพร้อมตะโกนเสียงดัง แม่ทัพเกราะม่วงสามพันคนก็จัดกระบวนทัพอยู่ข้างหลังเขา ลูกธนูดาวตกขั้นสูงสามพันดอกง้างอยู่บนสายธนูของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์แล้ว คมธนูเล็งไปยังไห่ยวนเค่อที่พุ่งเข้ามาพร้อมกัน


ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชนิดนี้ไม่ใช่สิ่งที่ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ในมือเหมียวอี้จะเทียบติด เดิมทีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ก็เป็นอาวุธขั้นสูงตามระบบของตำหนักสวรรค์อยู่แล้ว ใช้รับมือกับนักพรตระดับสูงโดยเฉพาะ เคล็ดลับการหลอมสร้างไม่เผยแพร่ต่อภายนอก ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ของต่งอิ้งเกาเป็นเพียงสินค้าขั้นต่ำที่ทำเลียนแบบเท่านั้น ตัวคนก็ตายไปแล้ว เหมียวอี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปหามาจากไหน


ด้านหลังเป็นกำลังพลสองแสนคน ตอนนี้กำลังง้างสายธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ระดับต่ำพร้อมกัน เล็งไปยังไห่ยวนเค่อที่พุ่งเข้ามา


แม่ทัพใหญ่เกราะแดงที่อยู่แถวหน้าสุดมีสิบกว่าคน พวกเขาก็กำลังง้างสายธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์สิบกว่าคันเช่นกัน ดูแสงหลากสีจบนคันธนูและลูกธนู ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นของวิเศษขั้นเจ็ด


ปี้เยว่ฮูหยินที่รีบเหาะหลบไปด้านข้างหันกลับมามองแวบหนึ่ง เมื่อเห็นไห่ยวนเค่อพุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่เกรงกลัวอุปสรรคใดๆ นางก็ตกใจจนเอามือปิดปาก ลักษณะการจัดทัพโจมตีแบบนี้  เกรงว่าคงจะใช้รับมือกับยอดฝีมือในนรกโดยเฉพาะ ยามยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์เผชิญหน้ากับรูปทัพการโจมตีแบบนี้ ก็เกรงว่าจะไม่มีทางโชคดีรอดไปได้


วึง! เสียงที่สั่นสะท้านจิตวิญญาณคนดังก้องทั่วดาราจักร


จินม่านปรับทิศทางเรียบร้อยแล้ว ธนูใหญ่ที่กำลังง้างสายพลันปล่อยเงามายาที่ขยายใหญ่หนึ่งหนึ่งพันเท่า ลักษณะท่าทางน่าทึ่งมาก


บึ้ม! เสียงระเบิดดังขึ้น ธนูเทพสังหารโจมตีนำออกไปก่อน เงาสีดำสายหนึ่งพลันหลุดออกจากสายธนู พุ่งยิงออกไปด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ พลังอิทธิฤทธิ์อันแข็งแกร่งพัดสะบัดออกมาตลอดทาง แตกระแหงตลอดทางราวกับใยแมงมุม แวบผ่านไปอย่างรวดเร็ว


เสียงดัง ‘ตุ้งๆ’ ก้องดาราจักรราวกับเสียงกลอง


“อ๋าวอู…” เสียงกรีดร้องอันเศร้าโศกดังก้องท้องฟ้าจนคนแสบแก้วหู


ร่างของมังกรยักษ์ห้าตัวที่ล้อมโจมตีกงซุนลี่เต้ากับสืออวิ๋นเปียนมีขนาดใหญ่เกินไป โดนธนูเทพสังหารทะลุผ่านไปแล้ว ทะลุผ่านมังกรยักษ์สองตัวต่อเนื่องกัน เลือดสดกองใหญ่ระเบิดกระจายเต็มท้องฟ้า แต่ธนูเทพสังหารไม่มีท่าทีว่าจะหยุดพัก


ฉวยโอกาสตอนที่กระบวนทัพวุ่นวาย กงซุนลี่เต้ากับสืออวิ๋นเปียนรีบโจมตีไปที่เฉิงไท่เจ๋อทันที


เฉิงไท่เจ๋อตกใจมาก รีบถลันตัวถอยหลบ มังกรยักษ์สองตัวที่อยู่ข้างหลังเลื้อยพันเข้ามากำบังให้


ธนูเทพสังหารรวดเร็วเกินไปจริงๆ ขนาดไห่ยวนเค่อที่นำไปก่อนยังถูกมันแซงไปได้ เขาไล่ตามหลังธนูเทพสังหารทันที อาศัยโอกาสหลบหลีก ส่วนมังกรยักษ์ของไห่ยวนเค่อที่กำลังไล่ตามก็ถูกอนุภาพของธนูเทพสังหารทำให้ตกใจสั่นหัวส่ายห่างหลบอย่างลนลาน


ทัพใหญ่ที่จัดกระบวนทัพอยู่ทางนี้เพิ่งจะง้างสายธนู แต่ธนูเทพสังหารมีอานุภาพขนาดนี้ กำลังพลที่จัดกระบวนทัพอยู่ข้างหน้ามีหรือที่จะกล้าลังเล พวกเขาสับสนวุ่นวายในทันที โดยเฉพาะแม่ทัพแกราะแดงสิบกว่าคนที่โดนธนูเทพสังหารเล็งใส่ เหมือนทุกคนจะรู้ถึงอานุภาพของธนูเทพสังหาร รีบหลบไปด้านข้างทั้งสองฝั่ง ไห่ยวนเค่อก็องอาจห้าวหาญไร้ที่เปรียบ ฉวยโอกาสฟันจนเกิดแสงสะท้อนคมดาบหลายสายออกมาติดต่อกันเพื่อสร้างความวุ่นวาย ตามหลังธนูเทพสังหารที่ทะลุฝ่ากระบวนทัพพุ่งออกไป


เห็นได้ชัดว่านี่คือจังหวะการโจมตีที่ผ่านการปรึกษาและวางแผนกันมาอย่างดีตั้งแต่แรกแล้ว


“ยิง!” แม่ทัพใหญ่ที่บัญชาการการรบรีบหลบพร้อมตะโกนสั่ง


จุดที่ไห่ยวนเค่อพุ่งผ่านวุ่นวายไร้ระเบียบ ต่อให้คนอื่นอยากจะยิงธนูใส่เขา แต่ก็ไม่กล้ายิงซี้ซั้วอยู่ดี เพราะตรงจุดนั้นมีคนฝ่ายตัวเองเหาะหลบมั่วไปหมด ไม่มีทางเล็งให้แม่นยำได้


บึ้ม! ธนูเทพสังหารที่แตกระแหงไปทั่วท้องฟ้าราวกับใยแมงมุม ในตอนนี้ได้ชนเข้าตรงกลางระหว่างลำแสงหมุนวนของดาวเคราะห์หกดวงที่ถูกวางค่ายกลปิดผนึกไว้ ค่ายกลผนึกขนาดใหญ่มีลำแสงพุ่งขยายอย่างรวดเร็ว


ลูกธนูจมลงกลางค่ายกลแต่โจมตีไม่ทะลุ ค่ายกลใหญ่กำลังเร่งความเร็วในการหมุน เหมือนกำลังทำให้ธนูเทพสังหารสูญเสียพลังงาน


ซวบๆ! จากนั้นลูกธนูนับหมื่นก็ยิงออกมาพร้อมกัน กำลังพลที่จัดระเบียบได้แล้วรีบยิงธนูไปที่ไห่ยวนเค่อ ลำแสงนับไม่ถ้วนยิงพุ่งเข้ามาแล้ว


“เฮ่อ!” ไห่ยวนเค่อตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด แขนสองข้างโบกดาบฟันกลางอากาศอย่างดุเดือด


แสงสะท้อนคมดาบสายหนึ่งราวกับน้ำตกสีเงิน ฟันไปบนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งท่ามกลางดาวเคราะห์หกดวงที่วางค่ายกลไว้


บึ้ม! ดาราจักรสั่นสะเทือน ดาวเคราะห์ทั้งดวงถูกไห่ยวนเค่อฟันทีเดียวจนระเบิดแยกเป็นสองส่วน


ชั่วพริบตานั้น ลำแสงที่หมุนวนหายไปแล้ว ประตูดวงดาวสีดำมืดที่หมุนวนอยู่ข้างหลังปรากฏขึ้น ธนูเทพสังหารที่จมอยู่กลางลำแสงแวบผ่านไปอย่างรวดเร็ว หายเข้าไปในประตูดวงดาวแล้ว


ภายใต้แรงดึงมหาศาลของประตูดวงดาว บวกกับไห่ยวนเค่อที่หมุนตัวด้วยความเร็วพร้อมตีคมดาบเสริมอานุภาพ ภายใต้บทบาทของพลังสองกลุ่มนี้ ลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนที่ยิงเข้ามาจึงเบี่ยงข้างพร้อมกัน ราวกับดาวตกนับไม่ถ้วนเจาะเข้าไปในประตูดวงดาว


ส่วนดาวเคราะห์ห้าดวงที่เหลืออยู่ตอนนี้ก็ย้ายที่ด้วยความเร็วราวกับผีพุ่งใต้ ตั้งอยู่ในตำแหน่งใหม่ แล้วลำแสงที่หมุนวนก็ปิดผนึกประตูดวงดาวอีกครั้ง แต่เห็นได้ชัดว่าอานุภาพการผนึกเทียบค่ายกลใหญ่ของดาวหกดวงก่อนหน้านี้ไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าใครจะบุกฝ่าออกไปได้เช่นกัน


ก่อนหน้านี้ถ้าไม่ใช่เพราะอานุภาพของธนูเทพสังหารทำให้ค่ายกลใหญ่สูญเสียอานุภาพส่วนใหญ่ไป ไห่ยวนเค่อก็ไม่มีทางโจมตีฝ่าค่ายกลใหญ่ได้เช่นกัน


กำลังพลกลุ่มใหญ่ดึงคันธนูเล็งเป้าหมายอีกครั้ง แต่ไห่ยวนเค่อก็ไม่ได้พัวพันกับพวกเขา เงาร่างจมดิ่งลงอย่างรวดเร็ว อ้อมลงเป็นแนวเส้นโค้งรูปวงกลม ไปหลบอยู่ด้านหลังค่ายกลผนึกใหญ่


ไม่มีเหตุผลที่กลุ่มทหารสวรรค์จะโจมตีค่ายกลผนึกใหญ่ของฝ่ายตัวเอง แม่ทัพใหญ่เกราะแดงที่ถือคันธนูสิบกว่าด้ามรีบไล่ตามไป อ้อมไปดูหลังค่ายกลผนึกใหญ่ แต่ยังจะเห็นเงาร่างของไห่ยวนเค่อเสียที่ไหนกัน ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์กวาดมอบโดยรอบจนทั่ว เห็นเพียงเงาคนหนีอยู่ในจุดลึกของดาราจักรอันไกลโพ้น ต่อให้ยิงธนูอีกก็สายไปแล้ว


พวกจินม่านที่อยู่อีกฝั่งเห็นธนูเทพสังหารจมหายเข้าไปในประตูดวงดาว ก็ไม่ไปติดพันอยู่กับมันอีก ไม่อย่างนั้นก็จะอันตรายมาก จินม่านเก็บธนูเทพสังหาร แล้วถอนทัพออกไปพร้อมกับพวกสืออวิ๋นเปียนอย่างรวดเร็ว


มังกรยักษ์หลายตัวอาศัยความได้เปรียบด้านความเร็วไล่ตามไป


“อย่าไล่ตามศัตรูที่ไร้ทางหนี!” จู่ๆ เสียงของเกาก้วนก็ดังก้อง


“หยุด!” เฉิงไท่เจ๋อพลันโบกมือตะโกนสั่ง เขาเองก็ไม่อยากไล่ตามเช่นกัน ถ้าไปตกอยู่ในกับดักของทัพใหญ่โจรกบฏขึ้นมา นั่นก็จะไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้ว ไม่ใช่ว่าวรยุทธ์สูงแล้วจะสังหารฝ่าออกมาได้ง่ายๆ ทางฝั่งโจรกบฏก็ไม่ได้มีฝีมืออ่อนด้อยเหมือนกัน


มังกรยักษ์สี่ตัวที่ตำหนักสวรรค์ส่งมาช่วยเหลือบินกลับมา จากนั้นเฉิงไท่เจ๋อก็โบกมือเก็บเอาไว้


เกาก้วนถลันตัวมาอยู่ข้างกายเขา ศพมังกรยักษ์สองตัวที่โดนยิงตายกำลังลอยอยู่กลางอากาศและยังมีเลือดสดไหลออกมา ขณะมองดูพวกมัน เขาก็กล่าวว่า “ธนูเทพสังหารของจินม่าน!”


“อืม!” เฉิงไท่เจ๋อพยักหน้า แล้วก็หันกลับไปมองดาวเคราะห์ห้าดวงที่เหลือที่ถูกวางค่ายกลผนึกเอาไว้ พอนึกถึงภาพที่ไห่ยวนเค่อบุกฝ่าค่ายกลธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เพียงลำพัง สีหน้าเขาก็ค่อนข้างแย่ เขากัดฟันพร้อมบอกว่า “ช่างใจกล้าจริงๆ! โดนขังอยู่ในสภาพที่ขาดแคลนทรัพยากรฝึกตนมานานขนาดนี้ ไห่ยวนเค่อยังคงห้าวหาญเหมือนในปีนั้นไม่มีผิด!”


“จินม่าน ไห่ยวนเค่อ กงซุนลี่เต้า อ๋าวเถี่ย สืออวิ๋นเปียน ห้าคนนี้โผล่มาเสี่ยงอันตรายพร้อมกัน หมายความว่าอย่างไรกันแน่?” เกาก้วนพึมพำถามเสียงต่ำ


“ไม่ทราบสิ!” เฉิงไท่เจ๋อหยิบระฆังดาราออกมาตั้งใจฟังพักหนึ่ง จากนั้นก็สีหน้าเปลี่ยนทันที “ท่าไม่ดีแล้ว! คนที่อยู่ด้านนอกต้านทานธนูเทพสังหารไม่ได้ กลับโดนลูกธนูดาวตกของพวกเราเองที่ยิงออกไปดักคนของพวกเราไว้ไม่น้อยเลย ธนูเทพสังหารหนีไปยังจุดลึกในดาราจักรแล้ว คนของพวกเราไล่ตามความเร็วของธนูเทพสังหารไม่ทันเลย โจรกบฏกลุ่มนี้โจมตีแล้วถอย ไม่ได้มาต่อสู้พัวพันอะไรอีก พวกเขาจะอาศัยธนูเทพสังหารเพื่อส่งของอะไรออกมารึเปล่า?”


เกาก้วนกล่าวว่า “ส่งคนออกไปนิดหน่อยเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้หรอก ไม่มีทางที่พวกเขาจะส่งยอดฝีมือออกไป ด้วยสถานการณ์ของพวกเขาในตอนนี้ คงไม่มีทางทำให้กำลังฝ่ายตัวเองอ่อนแอลง ตอนนี้ยังต้องคอยระวังว่าพวกเขาจะเคลื่อนไหวอะไรต่อเนื่องหรือไม่ หกลัทธิมีเพียงลัทธิอู๋เลี่ยงที่ปรากฏตัวออกมา เรื่องนี้มีเงื่อนงำ จะไม่ระวังคนอื่นไม่ได้ จอมพลเฉิงรายงานสถานการณ์ทางนี้ให้ฝ่าบาทรู้ทันที ส่งกำลังมาเฝ้าเพิ่มถึงจะเป็นหลักการที่ถูกต้อง!”


เฉิงไท่เจ๋อพยักหน้า แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อภายนอก


การจู่โจมของพวกจินม่านไม่ได้ทำให้ฝ่ายนี้เสียหายเท่าไรนัก เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อฆ่าคน แต่การเข่นฆ่าที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทั้งยังเกิดในจุดสิ้นสุดการทดสอบก็ยังทำให้ผู้เข้าร่วมทดสอบไม่น้อยขวัญผวา


ปี้เยว่ฮูหยินที่หยุดอยู่ตรงจุดไกลๆ มองดูค่ายกลผนึกที่หมุนวนด้วยความตกตะลึง ในหัวยังคงมีภาพที่ไห่ยวนเค่อโจมตีฝ่าค่ายกลธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เข้ามาโดยไม่สนใจอะไร ทั้งยังมีธนูเทพสังหารที่หายเข้าไปในประตูดวงดาวด้วย ทำให้หัวใจนางสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้


คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่นางกลับเคยได้ยินไห่ยวนเค่อบอก ว่าต้องการบุกโจมตีสักครั้งเพื่อส่งลูกสาวออกมา…


ที่ด้านนอก ธนูเทพสังหารดอกหนึ่งยิงออกมากลางอากาศ กำลังพลตำหนักสวรรค์ที่ปิดล้อมอยู่ด้านนอกถูกตีฝ่า พวกเขาหลีกทางให้อย่างลุกลี้ลุกลน คนที่หลบไม่ทันถูกธนูเทพสังหารที่กระจายเป็นใยแมงมุมกลางอากาศจนบาดเจ็บสาหัส ได้แต่มองดูธนูเทพสังหารแวบผ่านไปโดยทำอะไรไม่ได้


หลังจากนั้น ลูกธนูดาวตกที่หนาแน่นราวกับเม็ดฝนถึงได้สังหารพวกเขาจนลนลานบาดเจ็บล้มตาย


บทที่ 1308 จะทนแบกความรับรู้สึกนี้ได้อย่างไร

โดย

Ink Stone_Fantasy

ที่จุดลึกของแดนอเวจี จู่ๆ จินม่านที่ร่วมเดินทางอยู่ในกลุ่มนั้นก็หยุดแล้วกล่าวว่า “เวลาเหลือไม่เยอะแล้ว”


สืออวิ๋นเปียน อ๋าวเถี่ย กงซุนลี่เต้าที่ติดตามมาด้วยมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง เห็นเพียงจินม่านรีบตั้งนิ้วมือทั้งสิบตรงหว่างคิ้วเพื่อใช้วิชาดรรชนี จู่ๆ ก็ชี้ไปกลางอากาศ พร้อมตะโกนว่า “เก็บ!”


บนดาวเคราะห์รกร้างดวงหนึ่งที่อยู่ห่างไกลทางเข้าออกแดนอเวจีมาก เหมียวอี้ที่เพิ่งได้รับข่าวเก็บระฆังดาราในมือ แล้วใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์เหลียวซ้ายแลขวา พร้อมทั้งหยิบแผนที่ดาวออกมาเทียบเป็นระยะ แล้วก็เงยหน้ามองทางเข้าออกแดนอเวจี ตรงหน้าของเขา ซองธนูที่มีลายโบราณเรียบง่ายอันหนึ่งปักอยู่บนพื้น


ทันใดนั้น บนผิวซองธนูก็เปล่งลำแสงหลากสีสัน เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ เหมือนจะตระหนักอะไรบางอย่างได้ จึงเงยหน้ามองไปยังทางเข้าออกแดนอเวจีอีกครั้ง


เป็นอย่างที่คาดไว้ เห็นรางๆ ว่าตรงจุดไกลๆ เหมือนจะมีอะไรบางอย่าง แต่ยังไม่ทันมองเห็นอะไรชัดเจน ตรงจุดไกลๆ บนท้องฟ้าก็มีเงาดำเงาหนึ่งวาดผ่านไปแล้ว จากนั้นก็เห็นเงาดำที่วาดผ่านไปไกลหมุนยอกย้อนด้วยความเร็ว หมุนวนอ้อมดาวเคราะห์ที่อยู่ใต้เท้าเหมียวอี้เป็นเส้นโค้งด้วยความเร็วสูงรอบหนึ่ง วนรอบแล้วรอบเล่า เริ่มวนจากบนฟ้าสูงลงมาที่ท้องฟ้าระดับต่ำ ความเร็วลดลงเล็กน้อย


ตอนนี้เหมียวอี้ถึงได้มองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของของสิ่งนั้น เป็นลูกธนูแหลมคมหน้าตาดุร้ายน่าเกลียดที่ยาวประมาณหนึ่งจั้ง หลังจากสิ่งที่คล้ายใยแมงมุมที่กระจายออกมารอบตัวธนูค่อยๆ หายไป ลูกธนูคมที่หมนุขึ้นข้างบนอีกครั้งก็พลันปักตรงลงด้านล่าง มันแยกออกจากกันราวกับเม็ดฝน แยกเป็นลูกธนูคมสีดำหลายดอกที่เล็กกว่าเดิม


ฉึกๆ! ลูกธนูคมหลายดอกตกลงในซองธนูที่อยู่ด้านล่างอย่างแม่นยำ เร็วราวกับเงาผี


ลมที่พัดลงมาจากฟ้าทำให้เกิดระลอกคลื่นฝุ่นควันผืนใหญ่ เหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ดันไว้ ยกแขนเสื้อป้องใบหน้า


หลังจากเสียงลูกธนูเสียบลงซองเงียบลง เหมียวอี้ก็โบกแขนเสื้อกวาดไล่ฝุ่น จากนั้นก็เงยหน้ามองบนท้องฟ้า เห็นแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งปลิวตกลงตามแรงเฉื่อย


เหมียวอี้ขยุ้มนิ้วทั้งห้ากลางอากาศ แหวนเก็บสมบัติลอยเข้ามา ดูดเข้าในฝ่ามือของเขาแล้ว เขารีบร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดู แต่ในแหวนเก็บสมบัติว่างเปล่า มีเพียงผู้หญิงสวยหยาดเยิ้มที่สวมชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อนนอนนิ่งสงบอยู่ในนั้น หน้าอกกระเพื่อมหายใจเบาๆ


เห็นได้ชัดเจนมาก ว่าในแหวนเก็บสมบัติวงนั้นใส่อากาศจำนวนมากไว้ล่วงหน้าเพื่อให้ผู้หญิงคนนี้หายใจได้เป็นปกติ


เหมียวอี้ไม่กล้าชักช้า กลัวว่าถ้าอากาศข้างในใกล้จะหมดแล้วจะเป็นอันตรายกับชีวิตของผู้หญิงคนนี้ จินม่านกำชับนางซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่ว่าเขากับปี้เยว่ฮูหยินจะมีบุญคุณความแค้นอะไรต่อกัน แต่ถึงอย่างไรผู้หญิงคนนี้ก็เป็นลูกสาวของไห่ยวนเค่อ ไห่ยวนเค่อเสียสละมากมายขนาดนี้ กรุณารับประกันความปลอดภัยของผู้หญิงคนนี้ด้วย


ต่อให้นางไม่บอก เหมียวอี้ก็ไม่กล้าดูแลไม่ดี เพื่อกิจธรุของเขา เพื่อส่งผู้หญิงคนนี้ออกไป ก็ถึงกับใช้ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ห้าคนในรวดเดียว สำหรับเขา นี่เป็นสิ่งที่ไม่กล้าจินตนาการถึง ทั้งชีวิตเขานี่เป็นครั้งแรกที่เล่นใหญ่ขนาดนี้


เขารีบหยิบกำไลเก็บสมบัติอีกวงออกมา เพื่อที่จะรับผู้หญิงคนนี้ต่อ เขาได้เตรียมอากาศที่มีความเข้มข้นสูงไว้ในกำไลเก็บสมบัติวงนี้เรียบร้อยแล้ว หลังจากควบคุมไว้แล้วก็เรียกผู้หญิงที่กำลังสลบออกมา แล้วรีบส่งเข้าไปอยู่ในกำไลเก็บสมบัติ


ตอนที่หันกลับไปมองฝุ่นควันที่ตลบอบอวลอีกครั้ง ก็เห็นซองธนูอันนั้นจลึกลงใต้ดินแล้ว เหมียวอี้ก้าวมาข้างหน้าแล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ถือขึ้น ยกลูกธนูที่บรรจุไว้เต็มซองธนูขึ้นมาพร้อมกัน จากนั้นรีบเก็บไว้ เพราะกลับไปก็ยังต้องคืนของสิ่งนี้ให้จินม่าน


เมื่อตัวเหาะขึ้นมาบนฟ้า ก็ร่ายอิทธิฤทธิ์โบกแขนเสื้อกวาดกลบตำแหน่งเมื่อครู่นี้ หลังจากร่องรอยหายไปแล้ว เขาก็รีบเรียกเฮยทั่นออกมา แล้วขี่เฮยทั่นแฉลบไปยังดาราจักร เขาไม่กล้าอยู่ที่นี่แม้เพียงชั่วครู่เดียว ต้องรีบหนีไปไกลๆ ให้เร็วที่สุด เขายังไม่กล้าไปทางประตูดวงดาวที่อยู่ใกล้ทางเข้าออกแดนอเวจี กลัวว่าจะโดนดัก ถ้าจะไปตรงประตูดวงดาวที่อยู่ใกล้ที่สุด ก็เท่ากับต้องอ้อมไกลมากกว่าจะกลับไปได้


ขณะที่อยู่บนหลังเฮยทั่นและมองสำรวจไปรอบๆ ไม่หยุด เขาก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อจินม่าน : ประมุขขุนพล รับคนมาอย่างปลอดภัยแล้ว


จินม่าน : ประมุขปราชญ์ ได้โปรดรับประกันความปลอดภัยให้เด็กคนนั้นด้วย ถ้าพบปัญหาอะไรก็ติดต่อมาทันที เดี๋ยวทางข้าจะรีบติดต่อคนให้ช่วยเหลือ


เหมียวอี้ : เจ้าไม่ต้องห่วง นอกเสียจากข้าจะรักษาชีวิตตัวเองไม่ได้เท่านั้น ข้าจะไม่ให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนางแน่นอน


ทางฝั่งแดนอเวจี จินม่านที่ลอยหยุดอยู่บนท้องฟ้าโล่งใจแล้ว นางหันซ้ายหันขวาบอกทั้งสามว่า “คนไปถึงมือประมุขปราชญ์อย่างปลอดภัยแล้ว”


ทั้งสามโล่งใจตามไปด้วย อ๋าวเถี่ยถอนหายใจแล้วบอกว่า “โชคดีที่ไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดอะไร ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าไห่ยวนเค่อจะคิดยังไง ประมุขขุนพล รีบบอกให้ไห่ยวนเค่อวางใจเถอะ”


จินม่านพยักหน้า แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับไห่ยวนเค่อ


ไห่ยวนเค่อกำลังเหาะด้วยความเร็วสูงอยู่เพียงลำพังในดาราจักร หลังจากได้ทราบข่าวว่าลูกสาวปลอดภัยแล้ว ในที่สุดริมฝีปากที่เม้มแน่นก็คลายออกแล้ว เขาหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อปี้เยว่ฮูหยินเช่นกัน : ปี้เยว่ ส่งซินเอ๋อร์ออกไปได้แล้ว ถ้ามีโอกาสเหมาะสมจะให้คนส่งนางไปอยู่กับเจ้า ช่วยดูแลนางให้ดี ข้าบอกนางไว้แล้ว นางไม่มีทางเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเจ้า


เป็นอย่างที่คาดไว้ ปี้เยว่ฮูหยินตกอยู่ในอารมณ์ที่ค่อนข้างสับสน ถึงแม้ตอนแรกไห่ยวนเค่อจะพูดแบบนั้น แต่นางก็ไม่คิดว่าไห่ยวนเค่อจะสามารถหาทางส่งลูกสาวออกมาได้จริงๆ ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าไห่ยวนเค่อจะใช้วิธีการสุดแสนอันตรายแบบนี้ส่งลูกสาวออกมา ฉากที่หวาดเสียวนั้นปรากฏอยู่ตรงหน้านาง เขาบุกฝ่าค่ายกลธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เพียงลำพัง ห้าวหาญเกินไปแล้ว สมกับเป็นบุคคลที่อยู่ในกลุ่มที่แข่งขันกับประมุขชิง


แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่นางรู้อย่างชัดเจน ว่ากลับไปครั้งนี้นางไม่มีทางเลี่ยงท่านโหวเทียนหยวนได้ ถ้าให้ลูกสาวรู้ว่าตัวเองอยู่กับผู้ชายคนอื่นนอกจากพ่อของตัวเอง นางก็ไม่รู้จะเผชิญหน้ากับลูกสาวอย่างไร จะทนความรู้สึกได้อย่างไรกัน!


เช่นเดียวกัน การที่ไห่ยวนเค่อเสี่ยงอันตรายขนาดนั้นเพื่อส่งลูกสาวออกมา ถ้าตัวเองดูแลไม่ดี นางก็ไม่มีทางจินตนาการได้เลยว่าจะยั่วให้ไห่ยวนเค่อโมโหขนาดไหน ถ้าปล่อยหนึ่งในหญิงรับใช้สามคนนั้นออกมาอยู่ในมือตำหนักสวรรค์ ทั้งชีวิตนี้ของนากง็จบเห่แล้ว!


อาณาเขตปลอดภัยจัดระเบียบใหม่อีกครั้ง บุคคลผู้มีฝีมือกลุ่มใหญ่วางค่ายกลที่ดาวดวงหนึ่งใหม่ กลับสู่รูปแบบทางเข้าออกประตูดวงดาวที่มีการปิดผนึกดาวหกดวงอีกครั้ง


การเข่นฆ่าที่มาเยือนอย่างกะทันหันภายในเวลาอันสั้นส่งผลกระทบต่องาตอนท้ายของการทดสอบ


ปี้เยว่ฮูหยินยืนนิ่งอยู่กลางอากาศเงียบๆ นานแล้ว นางกัดฟัน แล้วเหาะไปยังจุดรวมตัวเมื่อสิ้นสุดการทดสอบ


การทดสอบครั้งนี้มีจำนวนคนน้อยลงกว่าครั้งก่อนสิบเท่า ถ้าพูดถึงสิ่งที่สัมพันธ์กัน ปริมาณงานในการตรวจผลทดสอบก็สั้นลงมากเช่นกัน แต่คนที่รอดชีวิตกลับมาครั้งนี้มีค่อนข้างเยอะ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีผู้เข้าร่วมทดสอบรอดชีวิตกลับมาเกือบครึ่ง


หลังจากนั้นสามเดือน ปี้เยว่ฮูหยินก็เห็นคะแนนของตัวเองแล้ว คะแนนนี้ทำให้นางค่อนข้างพูดไม่ออก ไม่น่าเชื่อว่าจะเหมือนกับเหมียวอี้ในตอนนั้น อันดับเก้า!


เพียงแต่นางดวงดีกว่าเหมียวอี้นิดหน่อย อย่างน้อยก็ไม่ต้องถูกลงโทษ ทั้งยังได้รางวัลด้วย ยศเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งขั้นแล้ว


ตำแหน่งแม่ทัพภาคตลาดสวรรค์แปดร้อยกว่าตำแหน่ง ส่วนใหญ่ตกอยู่ในมือของคนที่ไม่มีอำนาจภูมิหลัง เจ็ดร้อยกว่าตำแหน่งไม่เกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์แล้ว มีเพียงหนึ่งร้อยกว่าตำแหน่งเท่านั้นที่ผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์ได้ไป นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เช่นกัน ถ้าอยากจะปราบผู้มีอำนาจที่ฝ่าฝืนกฎให้หมดสิ้น ไม่ว่าใครก็ทำไม่ได้ทั้งนั้น


ถึงแม้จะมีตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์มากมายที่อยู่ในมือผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์ แต่ด้านบนก็มีคนที่ไร้อำนาจภูมิหลังควบคุมอยู่ ผู้มีอำนาจมีความสามารถในการควบคุมตลาดสวรรค์น้อยลงไปเยอะ


ทางเข้าออกแดนอเวจีที่ปิดผนึกไว้ถูกเปิดอีกครั้ง พอปี้เยว่ฮูหยินออกมาก็เห็นท่านโหวเทียนหยวนทันที ท่านโหวเทียนหยวนที่ใบหน้าเจือด้วยรอยยิ้มมารับด้วยตัวเองแล้ว


และคำพูดด้านบนก็คือสิ่งที่ท่านโหวเทียนหยวนอธิบายในระหว่างทางกลับ


สองามีภรรยาจูงมือกันเหาะด้วยความเร็วสูงอยู่ในดาราจักร ปี้เยว่ฮูหยินกล่าวว่า “ถ้าเป็นแบบนี้ ก็ถือว่าตำหนักสวรรค์บรรลุเป้าหมายแล้ว”


ท่านโหวเทียนหยวนแสยะยิ้ม “เกรงว่าจะยังน่ะสิ ตำหนักสวรรค์ก่อตั้งมานาน นิสัยที่กลายเป็นสันดานก็เหมือนเป็นถังย้อมขนาดใหญ่ คนที่กระโดดลงไปในนั้น ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดที่จะอยู่ตัวคนเดียวเลย ต่อให้ราชันสวรรค์จะตั้งใจเปลี่ยนแปลงขนาดไหน แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสำเร็จได้ด้วยกำลังคนคนเดียว เจ้าคอยดูต่อไปเถอะ พอคนที่ไร้อำนาจภูมิหลังพวกนั้นขึ้นนั่งตำแหน่งแม่ทัพภาคตลาดสวรรค์ ก็ย่อมมีคนมาดึงเป็นพวกไม่หยุดหย่อน จะมีสักกี่คนที่ทนแรงกดดันได้และยืนออกนอกแถวล่ะ? เจ้าอาจจะยังไม่รู้ ว่าผู้บังคับบัญชาของเจ้ามาขอลาออกตั้งแต่ก่อนการทดสอบแล้ว ไม่ใช่แค่ผู้บังคับบัญชาของเจ้านะ หัวหน้าภาคตลาดสวรรค์ทุกคนแทบจะลาออกหมด ทุกคนมีลางสังหรณ์ว่าการทดสอบระดับหัวหน้าภาคกำลังจะมาถึงแล้ว ถ้ารอให้ถึงตอนนั้นก็หลบไม่พ้น ไม่สู้ถอยออกไปแต่เนิ่นๆ ดีกว่า ตำแหน่งหัวหน้าภาคทั้งตลาดสวรรค์ว่างหมดแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าตำแหน่งที่อุดมสมบูรณ์ขนาดนี้จะไม่มีใครนั่ง เหมือนเป็นเรื่องตลกจริงๆ เกรงว่าฝ่าบาทคงจะไม่ดีใจสักเท่าไรหรอก”


ปี้เยว่ฮูหยินถามอย่างตกใจว่า “แบบนี้ไม่เท่ากับตบหน้าฝ่าบาทหรอกเหรอ?”


ท่านโหวเทียนหยวนตอบว่า “เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ เดิมทีลูกพี่ใหญ่พวกนั้นก็แอบให้บทเรียนกับเขาอยู่แล้ว เมื่อปรับปรุงระบบมาถึงหัวพวกเขา มีหรือที่พวกเขาจะไม่โต้ตอบ อย่าบอกนะว่าจะให้มองดูตัวเองโดนตัดกำลังให้อ่อนแอเฉยๆ? บนโลกนี้ ตราบใดที่มีหนทางก็จะคิดทำทุกวิธีเพื่อให้เป็นขุนนางอยู่แล้ว ไม่มีหลักการเรื่องบังคับให้คนเป็นขุนนางหรอก ถ้าฝ่าบาทอยากจะรั้งพวกเขาเอาไว้ ก็จะต้องมีคนเจรจาเงื่อนไขแน่นอน เรื่องปรับปรุงระบบเท่ากับฝ่าบาทพ่ายแพ้แล้ว ฝ่าบาทเสียหน้ากับเรื่องนี้ไม่ไหว ทำได้พียงดันทุรังต่อต้านไปเรื่อยๆ”


“พวกเขาไม่กลัวฝ่าบาทจะสะสางบัญชีเชียวเหรอ?” ปี้เยว่ฮูหยิน


ท่านโหวเทียนหยวนแสยะยิ้มอีก “สะสางบัญชีเหรอ? สะสางบัญชียังไง? คนที่อยู่ในกลุ่มผลประโยชน์เกี่ยวเนื่องกันเป็นทอดๆ ตั้งแต่บนลงล่าง ถ้าคนที่คอยค้ำอยู่ข้างบนสิ้นอำนาจ คนที่อยู่ข้างล่างก็ย่อมกังวลว่าจะล้มไปด้วยกัน ผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับคนจำนวนเยอะเกินไป ถ้าฝ่าบาทกล้าทำเกินไป ถ้ากลุ่มลูกพี่ใหญ่ระดับบนพวกนั้นร่วมมือกันก่อกบฏ กำลังก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าฝ่าบาทเลย กำลังพลแปดส่วนในใต้หล้าจะเลี้ยวเปลี่ยนหัวหอก เจ้าเชื่อมั้ยว่าภายในคืนเดียวก็สามารถล้อมวังสวรรค์และโค่นล้มฝ่าบาทได้? ราชันสวรรค์ที่มมีคนส่วนใหญ่สนับสนุน ยังจะนับว่าเป็นราชันสวรรค์อะไรอีกล่ะ คนคนเดียวต่อให้วรยุทธ์จะสูงกว่านี้ แต่ถ้าไม่มีคนเบื้องล่างช่วยเหลือ แล้วจะคุมใต้หล้าได้อย่างไร? ถ้าไม่ใช่เพราะฝ่าบาทฝั่งประมุขพุทธะพึ่งพากัน เขาจะกล้าปรับปรุงระบบแบบนี้เหรอ?”


“ฝ่าบาทจะไม่ค่อยๆ สะสางทีละบัญชีหรอกใช่มั้ย ค่อยๆ เปลี่ยนให้ลูกน้องคนสนิทของตัวเองมาอยู่ในตำแหน่งสำคัญ?” ปี้เยว่ฮูหยินถาม


ท่านโหวเทียนหยวนตอบกลั้วหัวเราะว่า “คนที่ติดตามบุกยึดใต้หล้ากับฝ่าบาทในปีนั้น มีใครบ้างที่ไม่ใช่ลูกน้องคนสนิทของฝ่าบาท ถ้าเปลี่ยนลูกน้องคนสนิทอีกชุดแล้วยังไงล่ะ เหมือนเป็นการเปลี่ยนน้ำแกงแต่ไม่เปลี่ยนยาไง ไม่ว่าจะเป็นยาต้มอะไร เมื่อวางไว้นานๆ ก็เปลี่ยนรสชาติได้ทั้งนั้น การที่ฝ่าบาทปรับปรุงไปปรับปรุงมาแบบนี้ เหมือนเป็นการหลับหูหลับตาทำมั่วๆ เท่านั้น  ต่อให้ครั้งนี้จะกวาดล้างหมดสิ้นแล้ว แต่ต่อไปก็กลับมาเดินซ้ำทางเก่าอยู่ดี ใต้หล้ากว้างใหญ่ขนาดนี้ ถ้าจะปกครองขึ้นมาก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เขาอยากจะกุมฟ้าดินเพียงลำพังตลอดไป แล้วทำไมคนเบื้องล่างจะอยากกุมอำนาจตลอดไปบ้างไม่ได้ล่ะ”


“เฮ้อ! ใช่แล้ว อิ๋งสิงเลี่ยนั่นตายด้วยน้ำมือโจรกบฏแล้ว”


“ข้าได้ข่าวแล้ว ไม่ใช่เรื่องของพวกเราหรอก ถึงยังไงพวกเราก็ทำตามที่สั่งแล้ว เบื้องบนมีแต่จะติดหนี้น้ำใจเรา มาโทษพวกเราไม่ได้หรอก”


มีท่านโหวเทียนหยวนคอยช่วยดึง การเดินกลับจึงเร็วมาก สองสามีภรรยาคุยกันตลอดทางจนกลับถึงจวนท่านโหวเทียนหยวน


โดนขังอยู่ที่แดนอเวจีนานขนาดนั้น ไม่ง่ายเลยกว่าจะกลับมาได้ ปี้เยว่ฮูหยินย่อมไม่รีบกลับจวนแม่ทัพภาคตงหัวอยู่แล้ว


ทว่าตอนที่เพิ่งจะอาบน้ำอย่างชื่นใจและเดินออกจากห้องอาบน้ำ ปี้เยว่ฮูหยินก็โดนท่านโหวเทียนหยวนดักไว้แล้ว โดนท่านโหวเทียนหยวนอุ้มกลับไปกดลงบนเตียงในห้องนอน


ปี้เยว่ฮูหยินคิดถึงผู้ชายคนนั้นที่อยู่แดนอเวจีแล้ว ต่อต้านท่านโหวเทียนหยวนที่อยู่บนตัวโดยจิตใต้สำนึก


ท่านโหวเทียนหยวนมองนางพร้อมหรี่ตายิ้ม “ร่างกายฮูหยินถูกปล่อยว่างมานาน ท่านโหวคนนี้จะชดเชยให้อย่างสุดกำลัง”


ปี้เยว่ฮูหยินกัดฟัน สุดท้ายก็ยังค่อยๆ วางแขนสองข้างที่ต่อต้านลง เอียงหน้ามองไปด้านข้าง ในดวงตาฉายแววขมขื่นทนแบกความรับรู้สึกและความจนใจ


ท่านโหวเทียนหยวนคว้าผ้าคาดเอวของนางดึงออกไปโดยตรง…


บทที่ 1309 การโต้ตอบของพวกลูกพี่ใหญ่

โดย

Ink Stone_Fantasy

แต่ท่านโหวเทียนหยวนก็พูดคำไหนคำนั้น ชดเชยให้ฮูหยินอย่าง ‘สุดกำลัง’ หลายวัน แน่นอนว่าเป็นเพราะอยู่ห่างกันนานแล้วได้พบกันอีก จึงรู้สึกหวานชื่นกว่าคู่แต่งงานใหม่


แต่ปี้เยว่ฮูหยินที่มีปมในใจกลับต้องฝืนยิ้มรับอย่างมีความสุข ไม่ได้คิดแค้นท่านโหวเทียนหยวนที่ทำให้นางแห้งแล้งเหมือนก่อนหน้านี้ นึกถึงว่าใกล้จะได้พบหน้าลูกสาวในเร็วๆ นี้แล้ว แต่ในใจกลับสุดจะทนจนไม่มีทางบรรยายออกมาได้ ตอนนี้อยากจะหลบกลับไปที่จวนแม่ทัพภาคตงหัวไวๆ แต่กลับไม่กล้าแสดงพิรุธอะไรต่อหน้าท่านโหวเทียนหยวน


แต่ใครจะคิดว่าอีกไม่กี่วันไห่ยวนเค่อจะส่งข่าวมาอีก ข่าวที่ส่งมาไม่ใช่เรื่องที่นางกับลูกสาวจะได้พบหน้ากัน แต่เป็นข่าวที่ไม่ดี


ไห่ผิงซินผู้เป็นลูกสาวหายตัวไปแล้ว ไห่ยวนเค่อบอกว่า คนข้างนอกที่รับตัวลูกสาวไปขาดการติดต่อไปพร้อมกับลูกสาว ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น


ปี้เยว่ฮูหยินเริ่มหวาดกลัวแล้ว ถ้าพูดถึงด้านความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็นท่านโหวเทียนหยวนหรือไห่ยวนเค่อ ก็ไม่มีใครสำคัญไปกว่าลูกสาวนาง นั่นคือเลือดเนื้อที่หลุดออกมาจากร่างกายของตัวเอง เลี้ยงมาตั้งแต่เด็กจนเติบโต อยู่ข้างกายตัวเองร้อยกว่าปีโดยไม่เคยแยกจากกัน ท่านโหวเทียนหยวนและไห่ยวนเค่อที่มีเพียงความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงย่อมเทียบไม่ติดอยู่แล้ว


การออกจากแดนอเวจีเป็นเพียงทางเลือกหนึ่งที่นางมีให้ตัวเอง นางเพียงใฝ่หาชีวิตที่ดีกว่าเท่านั้น ไม่ได้แปลว่านางจะไม่สนใจความเป็นความตายของลูกสาว


นางระบายไฟโกรธใส่ไห่ยวนเค่ออย่างที่เกิดขึ้นไม่บ่อย ถามว่าอีกฝ่ายว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ ไห่ยวนเค่อไม่มีทางให้คำอธิบายได้ ทำได้เพียงบอกว่ากำลังหาทางติดต่อต่อไป


นางหลบร้องไห้อยู่ที่จวนท่านโหว ตอนแรกนางเกลียดตัวเองนิดหน่อย เกลียดตัวเองที่ทิ้งลูกสาวและจากมา ถ้าไม่ใช่เพราะตนจากมา ก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้กับลูกสาเช่นกัน


หลังจากแม่กับลูกสาวแยกจากกัน ไห่ผิงซินก็เคยติดต่อกับนางหลายครั้งไม่หยุดหย่อน แต่นางก็ยังใจแข็งไม่ตอบกลับ ครั้งนี้นางเป็นฝ่ายหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อลูกสาวเอง ผลปรากฏว่าไม่มีการตอบกลับใดๆ แต่แน่ใจได้ว่าลูกสาวยังมีชีวิตอยู่


สิ่งนี้ทำให้นางกังวลสุดขีดว่าลูกสาวจะตกอยู่ในมือคนชั่วที่ไหนหรือเปล่า ที่นางกลัวที่สุดก็คือตกอยู่ในมือคนของตำหนักสวรรค์


นางไม่กล้าอยู่ที่จวนท่านโหวต่อไปแล้ว กลัวว่าจะควบคุมอารมณ์ไม่ได้แล้วท่านโหวเทียนหยวนมองออกถึงเบาะแสอะไรบางอย่าง จึงอ้างว่าจะกลับไปเตรียมส่งต่องานที่จวนแม่ทัพภาคตงหัว นางตัดสินใจแล้วว่าจะไม่อยู่ที่จวนแม่ทัพภาคตงหัวต่อไปอีก ท่านโหวเทียนหยวนเองก็ตอบตกลงแล้วเช่นกันว่าจะพยายามช่วยเปลี่ยนสถานที่ให้นาง


นางยังต้องเป็นแม่ทัพภาคที่จวนแม่ทัพภาคตงหัวชั่วคราว อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาครุ่นคิดพิจารณาตำแหน่งแม่ทัพภาคแปดร้อยกว่าตำแหน่ง คนที่ผ่านการทดสอบจะต้องเลือกเองก่อนว่าจะไปรับตำแหน่งที่ไหน ถ้าเลือกซ้ำกันก็ต้องเตรียมปรับใหม่ คนที่มีผู้มีอำนาจหนุนหลังก็ไม่แคล้วต้องเลือกตำแหน่งที่ดีกว่า การแข่งขันเล็กๆ น้อยๆ คือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นปี้เยว่ฮูหยินยังต้องอยู่ในตำแหน่งเดิมก่อนในช่วงระยะเวลาหนึ่ง


ขณะเดียวกัน การทดสอบตำแหน่งหัวหน้าภาคตลาดสวรรค์ก็กำลังอยู่ในช่วงรับสมัคร วรยุทธ์ของผู้เข้าร่วมทดสอบจะต้องสูงถึงระดับบงกชกลาย สูงกว่าระดับหัวหน้าภาคที่แค่มีวรยุทธ์ระดับบงกชรุ้งก็สามารถรับตำแหน่งได้ อย่างไรเสีย ต่อให้จะเป็นระดับบนกว่านี้ของตลาดสวรรค์ แต่ก็สิ้นสุดแค่หัวหน้าภาคใหญ่ตำแหน่งเดียวแล้ว ไม่เหมือนอำนาจท้องถิ่นที่ข้างบนยังมีท่านโหวและเทพประจำดาว และหัวหน้าภาคตลาดสวรรค์ก็มีผลประโยชน์มากกว่าหัวหน้าภาคตามสถานที่ทั่วไปจริงๆ


ขณะที่ปี้เยว่ฮูหยินกำลังจะออกจากจวนท่านโหวเทียนหยวน นางก็ได้ข่าวที่น่าตกตะลึงจากปากท่านโหวเทียนหยวน


แดนสุขาวดี ที่อาสนวิหารของประมุขพุทธะ ได้เชิญสี่อ๋องสวรรค์และจอมพลสิบเอ็ดคนไปที่นั่น จากนั้นซือหม่าเวิ่นเทียน ทูตตรวจการฝ่ายซ้ายตำหนักสวรรค์ก็นำกำลังพลกลุ่มใหญ่เข้าจับกุมหัวหน้าภาคตลาดสวรรค์แปดสิบกว่าคนที่รวมตัวกันลาออกจากตำแหน่งทั้งหมด ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่และขุนนางในตระกูลก็ไม่ละเว้น จับไปหลายพันคน


สาเหตุที่จับกุมก็เป็นเพราะในบ้านของหัวหน้าภาคตลาดสวรรค์แปดสิบกว่าคนนั้นล้วนมีคนยืนขึ้นชูหลักฐาน นำหลักฐานที่มีน้ำหนักมาพิสูจน์ว่าหัวหน้าภาคตลาดสวรรค์พวกนี้แอบสมคบกันทำเรื่องผิดกฎหมาย ที่จริงคนที่อยู่ในตำแหน่งนั้นมีใครบ้างที่ไม่เคยทำเรื่องฝ่าฝืนกฎระเบียบเลย ราชันสวรรค์เดือดดาลมาก ควบคุมคนหลายพันคนไปรับโทษที่แดนอเวจีแล้ว


เกิดเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ขึ้น ปี้เยว่ฮูหยินจึงต้องล้มเลิกแผนที่จะกลับจวนตัวเองชั่วคราว เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ของบุคคลระดับสูง ท่านโหวเทียนหยวนก็อยู่ในกลุ่มผลประโยชน์นี้ด้วย ถ้าเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นมาก็จะโดนพัวพันไปด้วย ไม่มีทางลอยตัวเหนือปัญหาได้ หากเกิดเรื่องขึ้นกับท่านโหวเทียนหยวน ปี้เยว่ฮูหยินก็หนีไม่พ้นเช่นกัน นางอกสั่นขวัญแขวน ยังจะมีอารมณ์กลับจวนแม่ทัพภาคตงหัวได้อย่างไร


ท่านโหวเทียนหยวนที่สีหน้ามืดครึ้มเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาไม่หยุดอยู่ในห้องทำงาน พลางกล่าวด้วยอารมณ์ตื่นตกใจว่า “นี่คือแผนร้าย! นี่คือแผนร้ายของฝ่าบาท! ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดเรื่องบังเอิญขนาดนั้นขึ้น บังเอิญเกิดเรื่องกับหัวหน้าภาคตลาดสวรรค์ที่รวมกลุ่มกันลาออกพอดี เห็นได้ชัดว่าพยานบุคคลพวกนั้นเป็นคนของซือหม่าเวิ่นเทียนทูตซ้ายตำหนักสวรรค์พวกเขาคือสายลับที่ส่งไปไว้แต่ละบ้าน”


ปี้เยว่ฮูหยินถอนหายใจเบาๆ คนที่ตาไม่บอดล้วนดูออก ว่าการกระทำของคนกลุ่มนั้นทำให้ราชันสวรรค์เดือดดาลแล้ว เจตนาของราชันสวรรค์ชัดเจนมาก พวกเจ้าไม่ไปเข้าร่วมการทดสอบก็ว่าแย่แล้ว ทั้งยังบังอาจรวมตัวกันให้บทเรียนกับข้าอีก เช่นนั้นข้าก็จะส่งพวกเจ้าไปทั้งตระกูลเลย นี่ก็คือจุดจบของคนที่ต่อต้านข้า!


“ที่อาสนวิหารของประมุขพุทธะกำลังให้ความร่วมมือกับฝ่าบาทรึเปล่า?” ปี้เยว่ฮูหยินถามอย่างกังวล


ท่านโหวเทียนหยวนกล่าวเสียงต่ำว่า “ยังต้องพูดอีกเหรอ? ถ้าฝ่าบาทยังจัดการเรื่องทางฝั่งนี้ไม่เสร็จ สี่อ๋องสวรรค์กับสิบเอ็ดจอมพลก็อย่าได้คิดเลยว่าจะได้ออกจากแดนสุขาวดีง่ายๆ นี่คือการแสดงท่าทีของประมุขพุทธะ ต่อให้ต้องแตกคอกับอ๋องสวรรค์แต่ก็ต้องสนับสนุนฝ่าบาท!”


“ประมุขพุทธะจะลงมือกับพวกอ๋องสวรรค์และพวกจอมพลรึเปล่า?” ปี้เยว่ฮูหยินถาม


ท่านโหวเทียนหยวนตอบว่า “ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก ถ้าจะลงมือจริงๆ พวกอ๋องสวรรค์ก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน ทางประมุขพุทธะเองก็จะมีราคาที่ต้องจ่ายไม่ใช่น้อยๆ แต่พวกอ๋องสวรรค์กับจอมพลก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไรเหมือนกัน ถ้าใช้กำลังขึ้นมา มีหรือที่ประมุขพุทธะจะไม่ลงมือ!”


“แล้วตอนนี้จะทำยังไงดีล่ะ?” ปี้เยว่ฮูหยินถาม


ท่านโหวเทียนหยวนถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง “ยังจะทำยังไงได้ล่ะ ทำได้เพียงดูความเปลี่ยนแปลงเงียบๆ!”


ผ่านไปไม่กี่วัน ก็มีข่าวที่น่าตกใจกว่านั้นออกมาแล้ว จู่ๆ ก็มีโจรที่ปิดบังตัวตนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัว ลูกน้องพวกนั้นของซือหม่าเวิ่นเทียน หรืออีกตัวตนหนึ่งก็คือพยานบุคคลเหล่านั้น พวกเขาโดนฆ่าล้างเลือด คนในตระกูลก็แทบจะโดนฆ่าจนหมด คนที่รอดไปได้มีแค่ไม่กี่คน โจรแทบจะก่อเหตุอย่างโจ่งแจ้ง และในบรรดาโจรที่โดนฆ่าตาย ไม่น่าเชื่อว่าจะมีนักโทษหลบหนีที่ถูกออกหมายนำจับมานานแล้ว ตำหนักสวรรค์เดือดดาลมาก!


เมื่อข่าวนี้แพร่มา ปี้เยว่ฮูหยินที่นั่งเป็นเพื่อนสามีอยู่ในศาลาก็สูดหายใจอย่างตกตะลึง นางนับว่าได้รับรู้ถึงกำลังความสามารถของคนบางกลุ่มแล้ว ช่างเป็นการโต้ตอบที่รวดเร็ว!


ท่านโหวเทียนหยวนติดต่อกับเบื้องบนแล้ว พอเก็บระฆังดาราเสร็จก็แสยะยิ้มพักหนึ่ง ปี้เยว่ฮูหยินจึงรีบถาม “สถานการณ์อะไรกัน?”


ท่านโหวเทียนหยวนพ่นเสียงทางจมูก แล้วตอบว่า “ยังจะมีสถานการณ์อะไรได้ เบื้องบนสั่งให้ปิดประตูดวงดาวใหญ่ๆ แต่ลพแห่งทันที ข้าเองก็เพิ่งได้รับคำสั่งจากเบื้องบนเช่นกัน”


“แล้วเจ้าเตรียมจะทำยังไง?” ปี้เยว่ฮูหยินถามหยั่งเชิง


“ยังจะทำยังไงได้อีกล่ะ? ข้างบนมีคำสั่งลงมา ข้าก็ต้องตรวจสอบอย่างเข้มงวดสิ” ท่านโหวเทียนหยวนลุกขึ้นยืน เอามือไขว้หลังเดินออกนอกศาลา เงยหน้ามองพระจันทร์ พลางพูดแดกดันว่า  “ยังต้องตรวจสอบอีกเหรอ? ขอแค่ไม่ใช่คนโง่ ไม่ว่าใครก็รู้ทั้งนั้นว่าฝีมือใคร จะให้ข้าตรวจสอบยังไงล่ะ? ถ้าทำให้เบื้องบนที่คอยบังลมบังฝนให้ถล่มลงมา ถ้าข้างบนเปลี่ยนคน พวกเขาก็จะต้องเปลี่ยนให้เป็นเป็นคนของตัวเองถึงจะสงบใจ แบบนั้นข้ายังจะมีส่วนร่วมอยู่อีกมั้ยล่ะ? การตบหน้าคืนครั้งนี้เสียงดังจริงๆ! ตอนนี้รู้จักตรวจสอบเบื้องล่างแล้วสินะ แต่จะตรวจสอบยังไงล่ะ? ฝ่าบาทมีพลังอิทธิฤทธิ์สูงส่งล้ำลึกไม่ใช่เหรอ? ถ้าเก่งนักก็ไปจับโจรเองสิ โหวคนนี้มีความสามารถจำกัด คนอื่นก็มความสามารถจำกัดเหมือนกัน เกรงว่าจะตรวจสอบออกมาไม่ได้! ทุกคนแค่ทำพอเป็นพิธีเพื่อรายงานผลการปฏิบัติงานก็พอแล้ว”


“ฝ่าบาทคงไม่ให้เกาก้วนไปตรวจสอบหรอกใช่มั้ย?” ปี้เยว่ฮูหยินที่เดินตามออกมาถามอย่างประหลาดใจสงสัย


“ตลกน่า!” ท่านโหวเทียนหยวนพูดเหยียดหยามว่า “หน่วยตรวจการที่มีคนอยู่แค่นั้นน่ะเหรอ? ถ้ากำลังพลเบื้องล่างไม่ให้ความร่วมมือ ต่อให้เกาก้วนจะมีความสามารถมากกว่านี้แต่ก็ไร้ประโยชน์ ต่อให้เขาจะสืบเจอโจรแล้วยังไงล่ะ? ถ้าคนเบื้องล่างปล่อยโจรไปโจร ใต้หล้าใหญ่ขนาดนี้ เกาก้วนจะไปจับตัวที่ไหนล่ะ? ฮูหยิน เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก กลับไปรอฟังข่าวที่จวนแม่ทัพภาคตงหัวอย่างสงบใจได้เลย”


“ไม่มีเรื่องอะไรแล้วเหรอ?” ปี้เยว่ฮูหยินถามยืนยัน


ท่านโหวเทียนหยวนพยักหน้า “ฝ่าบาทให้บทเรียนกับลูกพี่ใหญ่พวกนั้น แสดงท่าทีแข็งกร้าวชัดเจน ลูกพี่ใหญ่พวกนั้นจึงโจมตีกลับทันที แสดงท่าทีแข็งกร้าวอย่างชัดเจนเช่นกัน พวกลูกพี่ใหญ่จะทำให้ฝ่าบาทได้เห็นว่า ถ้าไม่มีการสนับสนุนจากทุกคน เขาก็ไม่ได้สำคัญอะไรเลย จับกำลังพลของพวกเขาแยกไปก็ไม่มีประโยชน์! พวกเขากำลังแจ้งเตือนฝ่าบาทด้วยว่า ถ้าฝ่าบาทำเกินไป พวกเขาก็จะสู้แบบปลาตายแหขาด[1] ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดจะอยู่อย่างสงบเลย ฮูหยิน เจ้าเชื่อมั้ยว่าถ้าทำให้พวกเขาเข้าตาจน ก็จะมีคนปล่อยโจรกบฏจากนรกทั้งหมดอออกมาเพิ่มความวุ่นวาย!”


ปี้เยว่ฮูหยินหัวใจกระตุกวูบ ถามว่า “ฝ่าบาทจะไม่ส่งลูกน้องคนสนิทไปเฝ้านรกเองเชียวเหรอ?”


ท่านโหวเทียนหยวนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “คนทั่วไปจะปิดผนึกนรกได้เหรอ?  ถ้าฝ่าบาทให้ลูกน้องคนสนิทไปเฝ้าที่นรกหมด แบบนั้นก็ยิ่งไม่มีใครให้ใช้งานแล้ว แล้วอีกอย่าง ลูกพี่ใหญ่พวกนั้นไม่ใช่ลูกน้องคนสนิทที่ร่วมบุกยึดใต้หล้ากับฝ่าบาทในปีนั้นหรอกเหรอ? การบุกยึดใต้หล้านั้นง่าย แต่การปกครองใต้หล้านั้นยาก!”


“ทั้งสองฝ่ายขัดแย้งกันถึงขั้นนี้ จะไม่เป็นอะไรจริงๆ เหรอ?” ปี้เยว่ฮูหยินถาม


“ยังจะทำยังงได้อีกล่ะ? ขอเพียงทุกฝ่ายถอยกันคนละก้าว ขอเพียงฝ่าบาทไม่ทำให้เรื่องใหญ่โตกว่านี้ กลับไปทุกคนก็จะยังเป็นขุนนางและราชัน เดี๋ยวภายหลังถ้าเจอหน้ากันอีกก็จะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะถึงอย่างไรการทำให้ใต้หล้าวุ่นวายก็ล้วนไม่เป็นประโยชน์กับใครทั้งนั้น เรื่องครั้งนี้ฝ่าบาทเป็นคนผิด เขาไม่ควรผลักให้หัวหน้าภาคพวกนั้นถึงที่ตายเพียงเพราะกลัวตัวเองเสียหน้า กำลังพลเบื้องล่างกลายเป็นแบบนี้แล้ว ถ้าพวกลูกพี่ใหญ่ไม่ตอบโต้อย่างดุเดือด แล้วจะยังมีบารมีชื่อเสียงอยู่อีกเหรอ ในภายหลังลูกน้องจะยังเชื่อฟังพวกเขาอยู่อีกเหรอ เฮ้อ! แต่ถ้าว่ากันตามจริง ฝ่าบาทก็ยังเป็นฝ่ายชนะ หัวหน้าภาคแปดสิบกว่าคนรวมตัวกันลาออก แต่ก็ยังไม่สามารถต้านทานความแน่วแน่ของฝ่าบาทที่จะปรับปรุงตลาดสวรรค์ได้ เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้ว ถึงอย่างไรพวกลูกพี่ใหญ่ก็ยังต้องหาบันไดให้ฝ่าบาทลง ทำได้เพียงปล่อยให้การปรับปรุงตลาดสวรรค์ดำเนินต่อไป พวกพี่ใหญ่ก็แค่กู้หน้ากลับมานิดหน่อยเท่านั้น ข้างในนั้นไม่มีได้อะไรสักนิด ถึงที่สุดแล้ว ถ้าฝ่าบาทกับประมุขพุทธะร่วมมือกันขึ้นมาก็จะมีอิทธิพลมาก! เพียงแต่เสียดายหัวหน้าภาคแปดสิบกว่าคนกับพยานพวกนั้น ทั้งยังมีครอบครัวของพวกเขาอีก ล้วนกลายเป็นเครื่องสังเวยสำหรับการต่อสู้ของคนระดับบน!” ท่านโหวเทียนหยวนกล่าว


ปี้เยว่ฮูหยินก็ทอดถอนใจไม่หายเช่นกัน…


ดาวเทียนหยวน ตำหนักคุ้มเมือง เหมียวอี้กลับเข้ามาในตำหนัก กันคนที่อยู่รอบข้างออกไป สั่งว่าถ้าไม่มีคำสั่งจากเขา ก็ห้ามไม่ให้ใครเข้ามาที่ตำหนักหลัง


หลังจากพวกเหยียนซิวถอยออกไปแล้ว เหมียวอี้ก็เข้ามาในห้องสมาธิทันที แล้วเรียกไห่ผิงซินออกมาวางลงบนเตียง


ตอนนี้เขาถึงได้เพ่งมองหน้าตาของไห่ผิงซินอย่างละเอียด เขาพบว่าผู้หญิงคนนี้ได้รับข้อดีเรื่องหน้าตาของไห่ยวนเค่อกับปี้เยว่ฮูหยินรวมกัน นางหน้าตาสวยกว่าปี้เยว่ฮูหยินเสียอีก เพียงแต่ขาดเสน่ห์เย้ายวนเหมือนลูกท้อสุกที่ทำให้คนเห็นแล้วอยากกัดเหมือนปี้เยว่ฮูหยิน


เขาใช้มือกดหน้าผากไห่ผิงซิน ร่ายอิทธิฤทธิ์กำจัดผนึกบนร่างกายนางอย่างง่ายๆ


“อือ…อืม…” ลมหายใจไห่ผิงซินปั่นป่วนเล็กน้อย ส่งเสียงครางออกมาเบาๆ เปลือกตาสั่นไหวเล็กน้อย ตื่นขึ้นมาอย่างเงียบๆ


…………………………


[1] ปลาตายแหขาด 鱼死网破 อุปมาว่า ต่อสู้กันจนตกตายไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย


บทที่ 1310 ไม่เห็นผู้บังคับบัญชาอยู่ในสายตา

โดย

Ink Stone_Fantasy

 พอลืมตาสองข้าง ก็พบว่าสภาพแวดล้อมแปลกไป ด้านบนคือเพดานหิน พอเอียงหน้ามองทางซ้ายก็เพียงผนังหิน พอเอียงหน้ามองทางขวา ก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนยิ้มบางๆ อยู่ตรงนั้น…


ไห่ผิงซินที่รู้สึกตัวตกใจจนรีบลุกขึ้นนั่ง จากนั้นลงจากเตียงแล้วถอยหลังอย่างช้าๆ ถามด้วยสีหน้าระแวดระวังว่า “ท่านเป็นใคร?”


เหมียวอี้เอามือไขว้หลังมองนาง หรี่ตายิ้มพร้อมเอ่ยว่า “ไห่ผิงซิน!”


อีกฝ่ายรู้ชื่อตัวเองแล้ว ไห่ผิงซินอึ้งทันที ถามหยั่งเชิงว่า “ท่านคือคนที่ท่านพ่อส่งมารับตัวข้าเหรอ? ไม่ใช่สิ ท่านเป็นใคร ท่านรู้ชื่อของข้าได้ยังไง?” ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้โง่ สังเกตได้ทันทีว่าหน้าตาของอีกฝ่ายไม่มีจุดไหนที่สอดคล้องกับคนที่บิดาบรรยายไว้เลยสักนิด


เหมียวอี้ยิ้มบางๆ “ก่อนหน้านี้เจ้ายังเลอะเลือนละเมอเรียกแม่ ข้าถามไปส่งเดชแค่สองคำ นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะตอบข้าจริงๆ น่าสนใจเหมือนกันนะ ลูกสาวของไห่ยวนเค่อหัวโจกโจรกบฏกับปี้เยว่แห่งจวนแม่ทัพภาคตงหัว ปี้เยว่ฮูหยินไปทดสอบที่นรก ไม่น่าเชื่อว่าจะมีลูกสาวกับหัวโจกโจรกบฏเสียแล้ว น่าสนใจเกินไปแล้วมั้ง”


พอเห็นเขาเอ่ยปากบอกว่าบิดาตัวเองคือโจรกบฏ ไห่ผิงซินก็ถามอย่างตกใจกลัวว่า “ท่านเป็นใครกันแน่?”


เหมียวอี้หรี่ตายิ้ม “ข้าเป็นใครน่ะเหรอ? ถ้าพูดออกมาก็ยิ่งน่าสนุกน่ะสิ บังเอิญว่าผู้บังคับบัญชาของข้าชื่อว่าปี้เยว่ ตอนการทดสอบจบลง เดิมทีข้าเดินทางไปรับนาง แต่ใครจะคิดว่าจะได้เจอกับเรื่องบังเอิญขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เจอกับลูกสาวนางแล้ว แม่นางไห่ผิงซิน เจ้าว่าทำไมบนโลกนี้จึงมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้ได้ล่ะ?”


ในใจไห่ผิงซินราวกับมีคลื่นโหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง แต่ภายนอกยังพยายามสงบเยือกเย็นเอาไว้ “ข้าไม่เข้าใจว่าท่านกำลังพูดเรื่องอะไร”


“ฟังไม่เข้าใจเหรอ?” เหมียวอี้พลิกฝ่ามือหยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา แล้วส่ายหน้าถามว่า “แล้วทำไมตราอิทธิฤทธิ์ที่อยู่บนระฆังดาราอันนี้ถึงบังเอิญตรงกับปี้เยว่ล่ะ?”


ไห่ผิงซินรีบมองดูบนข้อมือตัวเองแวบหนึ่ง พบว่าของที่อยู่บนข้อมือตัวเองหายไป นางร้องในใจว่าแย่แล้ว แต่กลับเงยหน้าชี้ข้างหลังเหมียวอี้พร้อมถามว่า “แล้วเขาคนนั้นเป็นใคร?”


มีคนเข้ามาแต่ข้าไม่รู้งั้นเหรอ? เหมียวอี้ตกใจ รีบหันกลับไปมอง แต่ก็ไม่เห็นใครทั้งนั้น กลับรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างโจมตีเข้ามาอย่างรวดเร็ว


แทบจะไม่ได้มองอะไร เหมียวอี้โบกมือคว้าเอาไว้ กักข้อมือของไห่ผิงซินไว้แล้ว


ไห่ผิงซินมีเพียงวรยุทธ์บงกชม่วงขั้นหนึ่ง จะมาเป็นคู่ต่อสู้ของเหมียวอี้ได้อย่างไร นางถูกพลังอิทธิฤทธิ์อันแข็งแกร่งของเหมียวอี้ควบคุมจนขยับไม่ได้ เจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟันอยู่อย่างนั้น


นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเด็กสาวคนนี้จะใช้อุบายลอบโจมตี ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะตกหลุมพรางอุบายที่เด็กสามขวบใช้กัน ขณะมองดูเด็กสาวที่ดูเหมือนจะไร้เดียงสาคนนี้ เหมียวอี้ก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี พบว่านางสมกับเป็นลูกสาวของหัวโจกโจรกบฏจริงๆ! เขาถอนหายใจ แล้วพูดหยอกว่า “ข้าว่านะนางหนู มารดาเจ้าเป็นผู้บังคับบัญชาของข้า ข้ารู้ความลับของมารดาเจ้าแล้ว การที่ข้าจับลูกสาวนางมา มีหรือที่ข้าจะไม่เตรียมตัวเลยสักนิด ต่อให้เจ้าสังหารข้าไปก็ไม่มีประโยชน์ พอข้าตายไป เรื่องของมารดาเจ้าก็จะถูกเปิดโปงทันที”


พอโบกมือหนึ่งครั้ง ไห่ผิงซินก็โซเซถอยไปข้างหลัง นางทำสีหน้าตกใจกลัว…


จวนแม่ทัพภาคตงหัว ในคฤหาสน์ตรงตีนเขา นอกจากท่านนั้นที่อยู่ดาวเทียนหยวน ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์อีกเก้าคนก็มากันครบ ท่านแม่ทัพภาคกำลังจะกลับมาแล้ว ทุกคนมาต้อนรับล่วงหน้าแล้ว พอทุกคนได้มาเจอกัน ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับหัวหน้าภาคตลาดสวรรค์ในช่วงนี้


เซี่ยโห้วหลงเฉิงเดินบิดขี้เกียจออกมาจากประตู พอเห็นผู้บัญชาการใหญ่แปดคนในสวนรวมตัวกันอยู่ โดยให้ความสำคัญกับจ้านหรูอี้มากที่สุด เขารู้สึกไม่สบอารมณ์นิดหน่อย จึงเดินหัวเราะร่าเข้าไปทันที แล้วพูดหนอกว่า “จ้านคนสวย วันนี้สวยอีกแล้วนะ”


เมื่อเห็นเขามาแล้ว ทุกคนที่กำลังวิพากวิจารณ์เรื่องเบื้องบนของตลาดสวรรค์ก็หุบปากทันที เพราะอาหญิงของท่านที่อยู่ตรงหน้านี้คือคนคุมตลาดสวรรค์


จ้านหรูอี้เหล่ตามองมา “ถ้าปากไม่สะอาดอีก…ข้าจะคอยดูว่าหวงฝู่จวินโหรวจะว่ายังไง”


ใบหน้ายิ้มของเซี่ยโห้วหลงเฉิงค้างชะงัก เปลี่ยนประเด็นสนทนาทันที “เออใช่ ข้าเพิ่งได้ยินข่าวมานิดหน่อย ตำแหน่งแม่ทัพภาคตงหัวอาจจะเปลี่ยนคนเหรอ”


เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา คนที่อยู่ตรงนั้นก็มองมาพร้อมกันทันที ต่างก็รู้ว่าถ้าเป็นเรื่องของตลาดสวรรค์ แหล่งข่าวของเจ้าหมีควายนี่รวดเร็วที่สุด


จ้านหรูอี้จำเป็นต้องวางเรื่องเมื่อครู่นี้ลงก่อน แล้วถามว่า “คะแนนของท่านแม่ทัพภาคไม่ได้แย่ นางรักษาตำแหน่งแม่ทัพภาคได้แล้วไม่ใช่เหรอ?”


เซี่ยโห้วหลงเฉิงกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ใครจะไปรู้ล่ะ! ถึงยังไงก็ได้ยินข่าวมาแบบนี้ ท่านโหวเทียนหยวนกำลังช่วยนายท่านดำเนินการ เหมือนนายท่านจะไม่อยากทำงานที่จวนแม่ทัพภาคตงหัวแล้ว อยากจะย้ายไปเป็นแม่ทัพภาคที่อื่น”


เหยียนซู่และคนอื่นๆ มองหน้ากันเลิกลั่ก ทำท่าเหมือนทั้งประหลาดใจทั้งคิดว่าสมเหตุสมผล เมื่อมีสองท่านตรงหน้าอยู่ที่จวนแม่ทัพภาคตงหัว ใครมาแล้วจะทำงานได้อย่างอิสระบ้างล่ะ?


จ้านหรูอี้ขมวดคิ้วพูดไม่ออกครู่หนึ่ง นางมองไปรอบๆ แล้วถามอีกว่า “เจ้ากับหนิวโหย่วเต๋อสนิทกันมากไม่ใช่เหรอ? ท่านแม่ทัพภาคกำลังจะกลับมาแล้ว พวกเรามาต้อนรับล่วงหน้า ทำไมเขาถึงไม่มาล่ะ?”


เหยาสิ้งที่อยู่ข้างๆ ทำเสียงฮึดฮัดแล้วบอกว่า “เจ้าคนที่ไม่เห็นผู้บังคับบัญชาอยู่ในสายตาแบบนี้สมควรลงโทษให้หนัก!”


“หึ!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงเหล่ตามองพร้อมพูดแดกดันทันที “ตอนทดสอบครั้งแรก ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครที่โดนหนิวโหย่วเต๋อไล่ตามจนหนีแทบไม่ทัน ถ้าเก่งนักก็ไปพูดต่อหน้าหนิวโหย่วเต๋อสิ”


โดนเปิดโปงปมด้อยแล้ว เหยาสิ้งแค้นจนกัดฟันกรอด พบว่าเจ้าหมีควายนี่ช่างอกตัญญู ช่วยแก้ปัญหาให้คนไปมากมายขนาดนั้น แต่ปากกลับพูดจาไม่เกรงใจใครเลยสักนิด ต่อให้เป็นสุนัขก็เลี้ยงเสียข้าวสุก ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่ภูมิหลังของเซี่ยโห้วหลงเฉิง เขาก็คงจะฆ่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงตายไปแล้วจริงๆ


“พูดต่อหน้าเขาแล้วยังไงล่ะ? ต่อให้พูดต่อหน้าท่านแม่ทัพภาค ข้าก็พูดเหมือนเดิมอยู่ดี จะพูดไม่ได้เชียวเหรอว่าเขาไม่เห็นผู้บังคับบัญชาอยู่ในสายตา? ข้าพูดให้ชัดเลยก็ได้ ที่ข้ามาที่นี่ก็เพื่อคิดบัญชีกับเขานี่แหละ ทำไมเหรอ เจ้าอยากจะเข้ามาร่วมด้วยรึไง?” จ้านหรูอี้กล่าว พวกเหยาสิ้งล้วนเป็นลูกน้องของตระกูลอิ๋ง อีกทั้งคนพวกนี้ยังให้ความสำคัญกับนางด้วย ในเวลานี้นางย่อมต้องออกหน้าช่วย


เซี่ยโห้วหลงเฉิงกำลังจะเถียง แต่พอสัมผัสได้กับสายตาที่แฝงความหมายลึกซึ้งของจ้านหรูอี้ เขาก็เม้มปากไม่กล้าพูดอะไร เขารู้ว่าจ้านหรูอี้กับหวงฝู่จวินโหรวเป็นเพื่อนสนิทกัน ผู้หญิงสองคนนี้มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาก ถ้าอยากจะมีความสัมพันธ์อันดีกับหวงฝู่จวินโหรว ก็จะไปมีเรื่องกับจ้านหรูอี้ไม่ได้


เหยาสิ้งและคนอื่นๆ สบตากันทันที พวกเขานับว่ามองออกแล้ว ว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงกลัวจ้านหรูอี้!


“วันนี้อากาศไม่เลวเลย!” พอเงยหน้ามองฟ้า เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็หาบันไดลงให้ตัวเอง เอามือไขว้หลังเดินไปไกลแล้ว


พอเดินไปหลบตรงจุดที่ไร้คน เขาก็หยิบระฆังดาราออกมา รีบติดต่อกับเหมียวอี้แล้ว : น้องหนิว ท่านแม่ทัพภาคกลับลังจะกลับเดี๋ยวนี้แล้ว ทำไมเจ้ายังไม่กลับมาอีก? ให้ผู้บังคับบัญชารอแบบนี้ ไม่ว่าจะเอาไปพูดที่ไหนก็ฟังไม่ขึ้นทั้งนั้น! ขนาดข้ายังไม่เคยทำเรื่องแบบนี้เลยนะ!


เขาไม่ได้พูดมั่ว ภายใต้การอบรมสั่งสอนจากตระกูลของเขา เมื่อเห็นผู้บังคับบัญชาก็ไม่เคยเมินเฉย ในปีนั้นที่เป็นลูกน้องปี้เยว่ฮูหยิน ภายนอกเขาก็ทำตัวสุภาพเกรงใจมาก จนกระทั่งหลังจากเลิกเป็นลูกน้องของปี้เยว่ฮูหยินแล้วถึงได้ทำตัวกำเริบเสิบสาน


เหมียวอี้ : กำลังอยู่ระหว่างทาง ใกล้จะถึงแล้ว


หลังจากเขารับธนูเทพสังหารแล้ว ก็อ้อมไปไกลมากจริงๆ ใช้เวลาไปเกือบครึ่งปีกว่าจะอ้อมกลับมาถึง หลังจากจัดการเรื่องไห่ผิงซินเรียบร้อยแล้วถึงได้ออกเดินทาง


เซี่ยโห้วหลงเฉิง : น้องหนิว รีบๆ หน่อยเถอะ รีบกลับมาก่อนปี้เยว่ ไม่อย่างนั้นถ้าจ้านหรูอี้ฉวยโอกาสใช้เรื่องส่วนรวมแก้แค้นส่วนตัว นางก็จะกลั่นแกล้งเจ้านะ เจ้าเองก็รู้ถึงภูมิหลังของนาง ข้าไม่สะดวกจะพูดอะไรมากแล้ว


เหมียวอี้ : ขอบคุณเจตนาดีของพี่เซี่ยโห้ว ข้าทราบแล้ว กำลังจะถึงเดี๋ยวนี้


หลังจากติดต่อกันแล้ว เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่เก็บระฆังดาราก็พลันเงบหน้าขึ้น เห็นเพียงเงาคนวาดผ่านท้องฟ้ามาเหยียบลงในจวนแม่ทัพภาค ผู้ที่นำหน้ามาก็คือปี้เยว่ฮูหยินนั่นเอง


เซี่ยโห้วหลงเฉิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าพึมพำ “หมดกัน นางมาถึงก่อนแล้ว น้องหนิวเอ๊ย เจ้าอวยพรให้ตัวเองเถอะนะ!”


ผ่านไปไม่นาน เหยียนซู่ เหยาสิ้ง ติงเจ๋อเฉวียน ซ่างหรูเยว่ เกาโย่ว เหลียนฟางอวี้ รุ่ยฝาน จ้านหรูอี้รวมทั้งเซี่ยโห้วหลงเฉิงรีบไปคารวะในจวนแม่ทัพภาค


พอกลับมาแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินก็สั่งให้คนจัดหาที่พักให้คนที่คุ้มกันส่งนาง แล้วเรียกพบลูกน้องกำลังหลักที่ตำหนักใหญ่ทันที


“คารวะท่านแม่ทัพภาค!”


เก้าคนที่รออยู่ในตำหนักกล่าวคารวะ


“ทุกคนลำบากแล้ว!” ปี้เยว่ฮูหยินเดินออกมาจากตำหนักหลัง นางผายมือขึ้นด้วยรอยยิ้ม กวาดสายตามองคนที่อยู่ข้างล่าง โดยเน้นที่จ้านหรูอี้กับเซี่ยโห้วหลงเฉิง จากนั้นก็พบว่าขาดไปคนหนึ่ง จึงถามอย่างแปลกใจว่า “หนิวโหย่วเต๋ออยู่ที่ไหน?”


จ้านหรูอี้กุมหมัดตอบ “หนิวโหย่วเต๋อไม่มาค่ะ”


เซี่ยโห้วหลงเฉิงทำเหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น แต่ในใจกลับด่าว่า ช่างตรงไปตรงมาจริงๆ เจ้ารู้ได้ยังไงว่าเขาไม่มา อีกฝ่ายกำลังอยู่ระหว่างทางชัดๆ เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนี้จงใจจะวางกับดัก!


เหยียนซู่และคนอื่นๆ ทำสีหน้าเรียบเฉย แต่สายตาที่กำลังสังเกตสีหน้าท่าทางปี้เยว่ก็ชัดเจนแล้วว่าก็กำลังรอดูละครสนุกๆ


“ไม่มาเหรอ?” ปี้เยว่ฮูหยินอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นสีหน้าก็เย็นเยียบลงเล็กน้อย ก่อนมานางสั่งให้หลันเซียงประกาศลงไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะยังไม่มา แบบนี้มองข้ามหัวกันเกินไปรึเปล่า ผู้บังคับบัญชาเรียกพบ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มา นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นลูกน้องแบบนี้ หรือคิดว่าช่วยนางทำคะแนนทดสอบแล้วจะทำตามอำเภอใจได้?


นางเอียงหน้ามองหลันเซียงที่อยู่ข้างๆ พร้อมถามว่า “แจ้งไปหรือยัง?”


หลันเซียงพยักหน้าเบาๆ “แจ้งไปแล้วค่ะ”


ตรงนี้เพิ่งจะพูดจบ ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าอันรีบร้อนดังมา ทุกคนหันไปมอง พวกเหยียนซู่ทำสีหน้าเยาะเย้ยทันที


ผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเหมียวอี้ที่รีบมาแล้วแต่ก็ยังช้าไปก้าวหนึ่งนั่นเอง พอเข้ามาในตำหนักแล้ว ก็รีบก้าวขึ้นมาข้างหน้าแล้วกุมหมัดคารวะ “คารวะท่านแม่ทัพภาค ข้าน้อยมาสาย ได้โปรดอภัยด้วย!”


ปี้เยว่ฮูหยินทำสีหน้าเรียบเฉย มองต่ำลงมาพร้อมถามว่า “ทำไมมาสาย?”


“ช่วงนี้โจรขวักไขว่ บังเอิญว่าถูกข้าน้อยพบระหว่างทางที่มา เลยต่อสู้กันอย่างดุเดือดจนเสียเวลาแล้ว” เหมียวอี้ตอบ


เซี่ยโห้วหลงเฉิงอมลมในกระพุ้งแก้ม แทบจะหัวเราะออกมาแล้ว พบว่าน้องหนิวคนนี้ช่างพูดจาเหลวไหลได้แบบตาไม่กะพริบจริงๆ!


จ้านหรูอี้หันกลับไปส่งสายตาให้คนอื่นๆ


ปี้เยว่ฮูหยินสีหน้าเครียดขรึมลง ถามว่า “เป็นโจรจากไหน?”


“ปิดหน้าหมดเลยขอรับ ไม่รู้จัก” เหมียวอี้ตอบ


“จับได้บ้างรึเปล่า?” ปี้เยว่ฮูหยินถาม


เหมียวอี้ : “ข้าน้อยไร้ความสามารถ เอาตัวรอดมาได้ก็นับว่าโชคดีแล้วขอรับ ปล่อยให้พวกเขาหนีไปแล้ว”


ปี้เยว่ฮูหยินไม่พูดอะไรแล้ว จ้องเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ


เหมียวอี้ยืนนิ่งสงบเยือกเย็นอยู่ตรงนั้น เรียกได้ว่าไม่สะทกสะท้านเลยจริงๆ แต่กลับมีคนที่ไม่อยากปล่อยเขาไป เหยียนซู่ที่อยู่ข้างกันกล่าวว่า “ผู้บัญชาการใหญ่หนิว เจ้าไม่เห็นนายท่านอยู่ในสายตา มาช้าก็คือมาช้าไง จะปั้นเรื่องแก้ตัวอะไรมากขนาดนั้น?”


เหมียวอี้หันขวับ แล้วหันตัวตามาช้าๆ ค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ แล้วถามว่า “นางแพศยา เจ้าใช้ตาดวงไหนมองว่าหนิวคนนี้ไม่ให้นายท่านอยู่ในสายตา?”


ทหารกล้าที่บุกเดี่ยวโจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้าน เหยียนซู่ตกใจจนถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่านี่ไม่ใช่สถานที่ที่หนิวโหย่วเต๋อจะมาเกเรได้ จึงยืนนิ่งทันที แล้วชี้หน้าเหมียวอี้พร้อมตะคอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าทำปากให้สะอาดหน่อย เจ้าด่าใครว่านางแพศยา?”


“ด่าเจ้าไงล่ะ!” ไม่ใช่แค่ด่า พอเหมียวอี้พูดจบ จู่ๆ ยกเท้าถีบออกมาทีหนึ่ง ตุ้บ! โดนท้องน้อยเหยียนซู่พอดี


“อ๊า…” เหยียนซู่ส่งสียงร้อง นางไม่ได้ป้องกันเพราะนึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะจู่โจมกระทันหัน บวกกับเหมียวอี้ลงมือเร็วมาก นางเตรียมป้องกันไม่ทัน กระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่ง โดนถีบจนตัวกระเด็นออกไป


ขนาดเมียหัวหน้าภาคยังโดนถีบเลยเหรอ? เซี่ยโห้วหลงเฉิงเบิกตากว้าง อ้าปากเป็นวงกลม ทำสีหน้าตกตะลึงพูดไม่ออก วันนี้เขานับว่าได้รับรู้ถึงความห้าวหาญของน้องหนิวอย่างแท้จริงแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าทำร้ายคนอื่นในตำหนักประชุมต่อหน้าเบื้องบน!


บทที่ 1311 จุดอ่อนที่ใหญ่มาก

โดย

Ink Stone_Fantasy

ต่อให้เขาจะกำเริบเสิบสาน แต่ก็ไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน


จ้านหรูอี้ก็ทำสีหน้างุนงงเช่นกัน คนอื่นๆ มองอย่างตะลึงค้าง


ปี้เยว่ฮูหยินนิ่งอึ้งไปแล้ว นางเองก็ไม่เคยเห็นเรื่องแบบนี้มาก่อนเช่นกัน


เหยียนซู่เตรียมพร้อมป้องกันไม่ทันจริงๆ เรียกได้ว่าบาดเจ็บไม่เบา เอามือกุมท้องลุกขึ้นมา กระอักเลือดออกมาอีกคำหนึ่ง ใบหน้างามเปลี่ยนสี สีหน้าตกตะลึงขณะมองเหมียวอี้เข้ามาประชิด นางถอยหลังอย่างช้าๆ


“บังอาจ!” พอผู้การสองหลันเซียงตะคอก ปี้เยว่ฮูหยินถึงได้สติกลับมา พลันยืนขึ้นพร้อมถามอย่างเดือดดาลว่า “หนิวโหย่วเต๋อ! เจ้าคิดจะก่อกบฏใช่มั้ย?”


เหมียวอี้หยุดฝีเท้า หันกลับไปมองปี้เยว่ฮูหยินที่ยืนอยู่เบื้องสูง พลางถ่ายทอดเสียงว่า “ไห่ผิงซิน!”


เดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนที่มีความอดทนอะไรเยอะอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดเรื่องที่ตลาดสวรรค์ขึ้น ตอนนี้ในมือมีจุดอ่อนที่สามารถใช้บีบปี้เยว่ฮูหยินได้ จะให้เขาแสร้งทำตัวเหมือนหลานชายอีกก็ไม่น่าจะเป็นไปได้แล้ว ใช้ความพยายามที่แดนอเวจีไปมากมายกว่าเขาจะได้ยันต์ป้องกันตัวนี้มา สิ่งนี้ไม่ได้มีไว้ประดับเฉยๆ!


และเขาก็ไม่พอใจพวกเหยียนซู่มาตั้งนานแล้ว บัญชีแค้นที่คนพวกนี้สร้างความอัปยศแก่เขาในปีนั้น เขายังไม่ทันได้ชำระเลย ตอนนี้เหยียนซู่ยังกล้าเข้ามาปะทะอีก ถ้าไม่ใช่เพราะการฆ่าเพื่อนร่วมงานที่นี่จะทำให้ต้านทานปี้เยว่ฮูหยินไม่ไหว เกรงว่าคงจะไม่ได้ขยับแค่เท้าหรอก แต่จะใช้ทวนแทงให้ตายไปเลย แต่การใช้เท้าเมื่อครู่นี้ก็โหดพอสมควร ไม่ได้ปรานีเลยจริงๆ!


ไห่ผิงซิน! สำหรับปี้เยว่ฮูหยิน สามคำนี้ราวกับอัสนีบาตฟาดเปรี้ยงกลางหัวจริงๆ นางพลันเบิกตากว้าง เม้มริมฝีปากแน่น ไม่สนใจปฏิกิริยาของคนอื่น กล่าวเสียงต่ำว่า “เจ้าตามข้ามา!” พูดจบก็เดินลงบันไดไปทันที ผู้การสองหลันเซียงอยากจะตามไป แต่ก็ถูกนางโบกมือห้ามไว้


“นางตัวดี! พ่อคนนี้ล่วงเกินบุคคลระดับสูงมาหมดแล้ว ไม่สนใจความเป็นความตายตั้งนานแล้ว ผู้ชายของเจ้าก็เป็นแค่หัวหน้าภาคตกอับคนหนึ่ง ถ้าเทียบกับผู้มีอำนาจในราชสำนัก ถ้าคิดจะมาสู้กับข้า ก็เทียบไม่ติดแม้แต่หางแถวด้วยซ้ำ ถ้าเจ้าคิดจะอาศัยเรื่องส่วนรวมมาล้างแค้นส่วนตัว ก็หัดดูตัวเองซะบ้างว่าอยู่ระดับไหน ถ้าไม่อยากตายก็เข้ามาได้เลย!”


เหมียวอี้ตะคอกด่าพร้อมชี้เหยียนซู่ที่หน้าถอดสี มาอยู่ที่ตลาดสวรรค์นานขนาดนี้แล้ว เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอดทนอดกลั้น อยู่ใต้ชายคาคนอื่นจะไม่ก้มหัวก็ไม่ได้ ประเดี๋ยวเดียวก็มีความมั่นใจแบบนี้แล้ว คำพูดที่กล่าวออกไปเมื่อครู่นี้ มีลักษณะไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินเหมือนตอนที่เขาเป็นมือใหม่ไร้ประสบการณ์


เหยียนซู่ถูกเขาทำให้ตกใจแล้วจริงๆ ไม่กล้าแม้แต่จะลงมือกับเหมียวอี้ ที่ท้าทายก่อนหน้านี้ก็เป็นเพราะมั่นใจว่าเหมียวอี้จะไม่กล้าลงมือที่นี่ ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายยังไม่สิ้นเปลืองคำพูดด้วยซ้ำ ก็โจมตีให้นางบาดเจ็บสาหัสแล้ว พอทำตัวเผด็จการแบบนี้ มีหรือที่นางจะกล้าพูดอะไรอีก แววตาที่หวาดกลัวกำลังมองขอความช่วยเหลือจากจ้านหรูอี้


จ้านหรูอี้กำลังจะเอ่ยปาก แต่ผู้การสองหลันเซียงก็ตะคอกสั่งด้วยใบหน้าคร่ำเครียดแล้วว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าไม่ได้ยินสิ่งที่ฮูหยินพูดเหรอ?”


“เฮอะ!” เหมียวอี้ทำเสียงฮึดฮัดใส่พวกจ้านหรูอี้ แล้วสะบัดแขนเสื้อสองข้าง เดินตรงไปที่ตำหนักหลังทันที เรียกได้ว่ากำเริบเสิบสานมาก


ต้นแบบของข้าเลย! เซี่ยโห้วหลงเฉิงมองเงาหลังของเหมียวอี้ที่เดินออกไปอย่างกำเริบเสิบสาน เรียกได้ว่าทำสีหน้าอัศจรรย์ใจ แววตาเป็นประกายลุกวาว เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้าประชุมงานพร้อมเหมียวอี้ ผลปราฏว่าได้เห็นน้องหนิวระเบิดอารมณ์แล้ว เด็กดีเอ๋ย! เผด็จการแทบบ้า คนโหดนี่มันช่างโหดจริงๆ จะไม่ให้นับถือคงไม่ได้แล้ว


แต่พอลองคิดดูใหม่ น้องหนิวก็เหมือนจะเจ้าอารมณ์แบบนี้มาตลอด นึกถึงในปีนั้นที่ยังตัวเปล่า ก็ยังกล้าซ้อมผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกอย่างเขาที่ร้านขายของชำซื่อตรงเพื่อระบายอารมณ์ ตอนนี้ยิ่งมีนิสัยเจ้าอารมณ์ยิ่งกว่าเดิมแล้ว!


มีเรื่องราวมากมาย ที่จริงในใจเขาอยากทำมาตลอดแต่ก็ไม่กล้าทำ ยกตัวอย่างเช่นทำร้ายเพื่อนร่วมงานต่อหน้าผู้บังคับบัญชา


พวกเหยาสิ้งสีหน้าย่ำแย่มาก เรียกได้ว่าถูกเหมียวอี้ปลุกให้ได้สติในรวดเดียว ในใจเริ่มรู้สึกกลัวนิดหน่อยแล้ว


เป็นเพราะเหมียวอี้พูเอาไว้ไม่ผิด เจ้าเวรนั่นล่วงเกินขุนนางทั้งราชสำนักแล้ว เหมือนเป็นคนเท้าเปล่าที่ไม่กลัวการใส่รองเท้า มีหรือที่จะมองเห็นคนที่หนุนหลังพวกเขาอยู่ในสายตา ถ้าไปยั่วโมโหเจ้าเวรนี่ก็เท่ากับเอาชีวิตไปล้อเล่นจริงๆ ที่สำคัญเป็นเพราะทุกคนได้รับรู้ถึงความห้าวหาญของเขาแล้ว ต่อให้ทุกคนร่วมมือกันก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา


วันนี้หวังเหพียงให้ปี้เยว่ฮูหยินลงโทษเขาให้หนัก แต่การที่ฮูหยินเรียกเขาไปข้างหลังแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?


จ้านหรูอี้ทำสีหน้าบึ้งตึงเช่นกัน นางขมวดคิ้วมุ่น นางพิจารณาตัวเองเพราะคำพูดเหมียวอี้ นางพบว่าผู้บัญชาการใหญ่หนิวยอมแลกทุกอย่างแล้ว ภูมิหลังของตนกดดันอีกฝ่ายไม่ได้เลย ถ้าไม่มีความได้เปรียบนี้ เมื่อใช้กำลังปะทะกันตรงๆ ตนก็อาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายก็ได้ อานุภาพของทวนเดียวที่ทำให้นางบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้นางยังจดจำได้เหมือนเพิ่งเกิดขึ้น


ผู้การสองหลันเซียงขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อครู่นี้นางอยู่ข้างกายปี้เยว่ฮูหยิน เห็นได้ชัดว่านางสัมผัสได้ หลังจากเหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงมา ฮูหยินก็ตัวสั่นเล็กน้อย นี่มันเรื่องอะไรกัน?


ในศาลตรงจุดลึกของตำหนักหลัง ปี้เยว่ฮูหยินไม่สามารถปิดบังสีหน้าของตัวเองได้อีก สีหน้าย่ำแย่มาก จ้องมองเหมียวอี้ที่เดินเข้ามาอย่างไม่กังวลหวาดกลัว


เหมียวอี้เข้ามาเองโดยไม่ได้เชิญ พอเข้ามาในศาลาก็กุมหมัดคารวะ “ไม่ทราบว่าฮูหยินมีอะไรจะกำชับ!”


ปี้เยว่ฮูหยินถามเน้นย้ำทีละคำว่า “ในตำหนักเมื่อครู่นี้ ที่เจ้าพูดแบบนั้นหมายความว่ายังไง?”


ถ้ายังไม่ทำความเข้าใจเรื่องราวให้ชัดเจน นางก็ไม่มีทางเปิดโปงเรื่องของตัวเองง่ายๆ เพียงเพราะเหมียวอี้เอ่ยชื่อลูกสาวของ


เหมียวอี้ย่อมรู้ว่านางแกล้งโง่ รู้ถึงความคิดของนาง จึงพลิกมือหยิบระฆังดาราออกมาอันหนึ่ง แกว่งไปแกว่งมาอยู่ตรงหน้าปี้เยว่ฮูหยิน “ฮูหยินเห็นสิ่งนี้แล้วก็จะเข้าใจเอง”


ปี้เยว่ฮูหยินโบกกวาดแขนเสื้อ แย่งระฆังดารามาตรวจดูในมือโดยตรง เห็นตราอิทธิฤทธิ์สองอันที่ค่อนข้างคุ้นตาอยู่ในนั้น จึงรีบหยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมาเทียบ ไม่ผิดหรอก ตราอิทธิฤทธิ์อีกอันที่อยู่ในระฆังดาราเป็นของไห่ผิงซินลูกสาวตัวเองจริงๆ ด้วย นางตัวสั่นเทิ้มอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย เงยหน้ากัดฟันถามว่า “เจ้าเอาของสิ่งนี้มาจากไหน”


นางยังกอดความหวังอันน้อยนิด หวังว่าเหมียวอี้จะเป็นคนนั้นที่มารับลูกสาวตัวเอง หวังว่าเหมียวอี้จะเป็นคนที่ไห่ยวนเค่อเตรียมไว้ แต่ในใจนางก็รู้ดี ว่าถ้าเหมียวอี้เป็นคนที่ไห่ยวนเค่อส่งมาจริงๆ ก็ไม่มีเหตุผลที่ไห่ยวนเค่อจะไม่บอกนาง ทำให้นางอกสั่นขวัญแขวนกังวลความปลอดภัยของลูกสาวอยู่ตลอด


แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ นางก็ยังกอดความหวังเอาไว้ หวังว่าเหมียวอี้จะเป็น ‘พวกเดียวกัน’ กับฝั่งแดนอเวจี ไม่อย่างนั้นเหมียวอี้จะได้ของนี้มาได้อย่างไร จะรู้ชื่อลูกสาวของนางได้อย่างไร ดูจากท่าทางของเหมียวอี้แล้ว ก็เหมือนจะมองออกถึงความสัมพันธ์ระหว่างนางกับไห่ผิงซิน


เหมียวอี้หัวเราะอย่างเริงร่า “เรื่องบางอย่างก็บังเอิญมากเลยนะ ฮูหยินยังจำตอนที่ถามข้าน้อยเรื่องจุดซ่อนผลงานการทดสอบครั้งก่อนได้มั้ย ข้าน้อยเคยบอกแล้วว่าจะไปรับฮูหยิน ถึงแม้ฮูหยินจะปฏิเสธ แต่ข้าน้อยก็ล่วงเยอะคนไว้เยอะเกินไป ก็เลยอยากจะประจบฮูหยินสักหน่อย ตอนที่ไปรอตรงนอกทางเข้าออกแดนอเวจี ก็บังเอิญเจอนักโทษหลบหนีที่อยู่บนรายชื่อประกาศจับของการทดสอบครั้งแรก ก็เลยฆ่าอีกฝ่ายเสียเลย เสร็จแล้วพอค้นตัวเขา ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะได้พบกับคนอีกคนหนึ่ง เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ตอนแรกข้านึกว่าเป็นคนที่นักโทษหลบหนีคนนั้นจับมา แต่ผู้หญิงคนนั้นเหมือนจะคิดถึงมารดาของนางมาก ตอนสลบก็ละเมอเรียกมารดาตลอด ข้าเลยถามไปส่งเดชว่ามารดาเจ้าเป็นใคร ใครจะคิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะละเมอตอบแล้ว ตอนยังไม่ได้ยินก็ไม่รู้หรอก แต่พอได้ยินก็ตกใจทันที เหมือนข้าจะรู้จักมารดาของนางนะ! ข้าก็เลยถามอีกว่าพ่อนางเป็นใคร คำตอบก็ยิ่งทำให้ข้าตกใจ ถ้ามารดานางคือคนที่ข้ารู้จักจริงๆ แล้วทำไมถึงไปมีลูกสาวกับไห่ยวนเค่อ หัวโจกโจรกบฏผู้มีชื่อเสียงอันโด่งดังได้ล่ะไห่ยวนเค่อ? ข้าก็เลยค้นตัวนาง เจอระฆังดาราในมือฮูหยินแล้วเอามาเทียบกัน ไม่น่าเชื่อว่าตราอิทธิฤทธิ์จะสอดคล้องกันจริงๆ ตอนนี้จะไม่ใช่ข้าเชื่อก็คงไม่ได้แล้ว ฮูหยิน ท่านว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่า?”


ปี้เยว่ฮูหยินยิ่งฟังยิ่งสีหน้าย่ำแย่ ใบหน้าเปลี่ยนเป็นซีดขาว สั่นเทิ้มไปทั้งร่างกาย ต่อให้นอนฝันนางก็นึกไม่ถึงว่าลูกสาวจะตกอยู่ในมือเหมียวอี้ด้วยวิธีการแบบนี้ มิน่าล่ะไห่ยวนเค่อถึงติดต่อคนรับตัวไม่ได้ สงสัยจะตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้ไปแล้ว ช่างเป็นสัตว์ที่สมควรโดนฆ่า!


และการที่อีกฝ่ายเปิดโปงออกมาอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าจะใช้สิ่งนี้มาบีบนาง และเห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวมาแล้วด้วย มิน่าล่ะเมื่อครู่นี้ถึงกล้าทำร้ายคนต่อหน้านางในตำหนักใหญ่ ไม่หวาดกลัวเพราะมีที่พึ่งนี่เอง!


แต่นางจะรู้ได้อย่างไร นี่คือกับดักหลายชั้นที่พุ่งเป้าไปที่นาง กับดักที่ใช้อิทธิพลอำนาจมากขนาดนั้น ใช้ความพยายามมากขนาดนั้นเพื่อวางใส่นางคนเดียว วางกับดักได้อย่างรอบคอบครอบคลุม ไม่มีช่องโหว่เลยแม้แต่น้อย แล้วนางจะหนีไปไหนได้ล่ะ? ในสนามต่อสู้ของอิทธิพลอำนาจขนาดใหญ่ ชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจร ไม่มีความยุติธรรมหรือศีลธรรมใดๆ มาข้องเกี่ยว เรื่องนี้เกี่ยวโย่งกับความเป็นความตายของคนจำนวนมาก นางเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งเท่านั้น เมื่อกำหนดแล้วว่าจะให้นางเป็นหมาก นางก็ทำได้เพียงถูกวางอยู่บนกระดานตามคนลงหมาก ไม่มีอำนาจในการปฏิเสธเลย


ปี้เยว่ฮูหยินที่หน้าอกอวบอัดกระเพื่อมขึ้นลงถอยหลังช้าๆ ราวกับหายใจไม่ทันนิดหน่อย ร่างกายโอนเอนไร้เรี่ยวแรง ใช้มือจับประคองโต๊ะหิน นั่งลงบนม้านั่งหินอย่างอ่อนปวกเปียก จ้องเหมียวอี้พร้อมถามอย่างแค้นใจว่า “นางอยู่ที่ไหน?”


“นางก็อยู่ในมือข้าอยู่แล้ว” เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ “แต่นางหนูนั่นก็น่าจะสนใจมากทีเดียว ข้าอุตส่าห์หวังดีปลุกนางขึ้นมา แต่พอได้ยินว่าข้ารู้ความลับของนางแล้ว ก็เหมือนจะอยากรักษาความลับให้มารดา นางถึงขั้นหลอกใช้อุบายลอจู่โจมข้า เพิ่งวรยุทธ์บงกชม่วงขั้นหนึ่ง แต่คิดจะจู่โจมนักพรตบงกชทองเสียแล้ว ดูออกเลยว่าไม่มีประสบการณ์ด้านนี้ ยอมสละทุกอย่างเพื่อปกป้องมารดาตัวเองจริงๆ。”


ปี้เยว่ฮูหยินได้ยินแล้วมีแรงลุกขึ้นยืนทันที ถามอย่างตกใจกลัวเล็กน้อยว่า “เจ้าทำอะไรนาง?”


เหมียวอี้โบกมือ “ฮูหยินไม่ต้องกังวลหรอก นางคือยันต์ป้องกันตัวของข้า ข้าไม่ทำร้ายนางหรอก ตอนนี้นางสบายดี แม้แต่ขนสักเส้นก็ไม่หายไป ทีแรกข้าอยากจะพานางมาพบฮูหยิน แต่นางไม่ยอมมาเอง ข้าบอกว่าข้าจะส่งนางไปเจอมารดาตัวเอง ถามว่าทำไมนางไม่ไป แต่นางไม่ยอมบอก ถามยังไงก็ไม่ยอมบอก สรุปก็คือจะเป็นจะตายยังไงก็ไม่ยอมมาพบฮูหยิน”


เขาไม่รู้จริงๆ ว่าเพราะอะไร ข้ารู้ถึงญานะตัวตนของเจ้าแล้ว ไม่ว่าจะซ้ายจะขวาก็เป็นแบบนี้ แต่ทำไมเจ้าไม่ยอมมาพบมารดาล่ะ?


ในดวงตาปี้เยว่ฮูหยินฉายแววโศกเศร้าล้ำลึก เหมียวอี้ไม่เข้าใจ แต่นางกลับเข้าใจดีว่าทำไมลูกสาวจึงไม่อยากพบตน ลูกที่อุ้มท้องมานานขนาดนั้น อีกทั้งนางยังมองดูลูกตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเติบโต นางรู้จักลูกสาวตัวเองดีที่สุด แค่ลูกสาวขมวดคิ้วนิดเดียวนางก็รู้แล้วว่าลูกคิดกำลังคิดอะไร


ในใจนางเจ็บปวดรวดร้าวมากจริงๆ สิ่งที่กังวลที่สุดก็ยังเกิดขึ้น นางรู้ว่าถ้าไห่ยวนเค่อไม่บังคับส่งลูกสาวออกมา ก็เกรงว่าลูกสาวคงจะไม่ยอมออกมาหรอก เพราะลูกสาวรู้ความจริงแล้วจึงไม่อยากเจอนาง แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ หลังจากรู้ว่ามารดาตกอยู่ในวิกฤต เพื่อที่จะปกป้องมารดา ไม่น่าเชื่อว่าลูกสาวจะคิดจู่โจมเพื่อสู้ตายกับเหมียวอี้ ด้วยเหตุนี้เอง นางจึงยิ่งเจ็บปวดเหมือนเหมือนมีมีดบิดหมุนอยู่ในหัวใจ รู้สึกผิดต่อลูกสาวตัวเองมาก


บทที่ 1312 ขอขมาโทษ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เรื่องบางอย่างเศร้าโศกไปก็ไม่มีประโยชน์ ทุกคนต้องรับผิดชอบในเรื่องที่ตัวเองทำผิด ปี้เยว่ฮูหยินพยามควบคุมอารมณ์ตัวเอง ถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าไม่กลัวข้าจะฆ่าเจ้าเหรอ?”


“ในเมื่อข้ากล้านำสินค้ามาขายต่อหน้าฮูหยิน ก็แสดงว่าข้าเตรียมตัวไว้แล้ว ถ้าข้าไม่สามารถรอดชีวิตกลับไปได้ เรื่องของฮูหยินก็จะแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว!” เหมียวอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น แต่ในน้ำเสียงที่เยือกเย็นนั้นกลับแฝงความรู้สึกที่ทำให้คนตัวสั่น ชัดเจนแล้ว นี่เป็นการขู่เข็ญอย่างโจ่งแจ้ง


เป็นแบบนี้จริงๆ ด้วย! ในใจปี้เยว่ฮูหยินเต็มไปด้วยความรู้สึกไร้ความสามารถ นั่งลงอย่างช้าๆ แล้วถามว่า “บอกมา! เจ้าต้องการอะไร?”


เหมียวอี้ตอบอย่างมีพลังว่า “ข้าไม่ต้องการอะไรหรอก แค่อยากให้ต่อไปนี้ฮูหยินดูแลข้าสักหน่อย อย่าผลักข้าลงไปในหลุมกับดักไฟอีก อย่ามองเห็นข้าเป็นลูกน้องแค่ตอนจะใช้ประโยชน์ พอตอนไม่จำเป็นต้องใช้ก็ถีบหัวส่ง คำขอนี้คงไม่ถือว่ามากเกินไปหรอกใช่มั้ย?”


ถึงแม้จะรู้ว่าเหมียวอี้หมายถึงอะไร แต่คำพูดแบบนี้ก็ยังทำให้ปี้เยว่ฮูหยินอับอายจนเหงื่อแตก คนเราเมื่อเดินมาถึงจุดหนึ่ง ก็ใช่ว่าจะใช้ความถูกผิดของมาตรฐานศีลธรรมมาแก้ไขปัญหาได้ทุกเรื่อง ปี้เยว่ฮูหยินถามว่า “ไม่เกินไปจริงๆ แต่ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าเจ้าจะไม่เปิดโปงเรื่องนี้?”


“ถ้าข้าคิดจะเปิดโปง ก็คงไม่มายื่นเสนอเงื่อนไขกับฮูหยินที่นี่หรอก ข้าล่วงเกินคสไว้เยอะขนาดนั้น ถ้าเปิดโปงเรื่องของฮูหยินก็ไม่ส่งผลดีอะไรกับข้า ไม่สู้นำมาแลกกับการปกป้องจากฮูหยินดีกว่า ถ้าเปลี่ยนให้ฮูหยินมายืนอยู่ในจุดของข้า ก็คงจะเลือกแบบนี้เหมือนกัน” เหมียวอี้กล่าว


คำพูดนี้ทำให้อารมณ์ของปี้เยว่ฮูหยินค่อยๆ สงบลง เพราะเป็นแบบนี้จริงๆ ถ้าเอาเรื่องของนางไปขาย เขาก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไรกลับมาจริงๆ ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อยิ่งต้องการที่พึ่งอย่างนาง นางเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ข้าต้องแน่ใจก่อนว่าลูกสาวของข้าปลอดภัยหรือเปล่า!”


“ฮูหยินสามารถไปตรวจสอบที่ดาวเทียนหยวนได้ทุกเมื่อ” เหมียวอี้กล่าว


ถึงตอนนี้ ปี้เยว่ฮูหยินนับว่าสงบใจอย่างถึงที่สุดแล้ว ในใจนางรู้สึกโชคดีไม่หยุด ยังดีที่ลูกสาวตกอยู่ในมือคนที่ไม่มีทางหนีทีไล่อย่างเหมียวอี้ ถ้าตกไปอยู่ในมือคนอื่นก็คงจะยุ่งยากแล้ว ที่สำคัญที่สุดก็คือ สุดท้ายลูกสาวก็ยังปลอดภัย ไม่เกิดเรื่องอะไรกับนาง


แต่พอคิดดูอีกทีก็แอบแค้นจนกัดฟันกรอด เจ้าเวรนี่อยู่ดีไม่ว่าดี อุตส่าห์บอกแล้วว่าไม่ต้องไปรับ แต่ดึงดันจะไปประจบนางให้ได้ ตอนนี้โดนบีบจุดอ่อนแล้ว เจ้าเวรนี่ล่วงเกินคนไว้มากมายขนาดนั้น ตัวนางเองจะต้านทานไหวเหรอ?


เมื่อใจเย็นแล้วครุ่นคิดพิจารณาปัญหา ปี้เยว่ฮูหยินก็กลับสู่สภาพความเป็นจริง “เรื่องที่ตำหนักประชุมเมื่อครู่นี้ เจ้าทำเกินไปรึเปล่า ถ้าข้าไม่ตอบโต้อะไรเลยสักนิด จะไม่ทำให้พวกเขาสงสัยเหรอ แล้วในภายหลังข้าจะปกป้องเจ้าได้ยังไง?”


พูดแบบนี้แสดงว่าตอบตกลงกับเงื่อนไขแล้ว เหมียวอี้ยิ้มพร้อมกล่าวว่า “เรื่องนี้จัดการง่าย ข้าจะให้คำอธิบายกับฮูหยินทันที ฮูหยินหักค่าจ้างของน้าน้อยนิดหน่อยก็สิ้นเรื่องแล้ว แต่เดี๋ยวกลับไปรบกวนฮูหยินช่วยหลบเลี่ยงให้สักหน่อย บัญชีแค้นในปีนั้น ข้าน้อยต้องการสะสางกับพวกเขาทีละคน!”


“เจ้าอย่าทำซี้ซั้วนะ!” ปี้เยว่ฮูหยินกล่าวเสียงต่ำ


เหมียวอี้จึงบอกว่า “ฮูหยินวางใจได้ ข้าไม่ถึงขั้นลงมือฆ่าพวกเขาหรอก แต่ในปีนั้นพวกเขาสร้างความอัปยศให้ข้ายังไงบ้าง ข้าจะต้องเอาคืน!” พูดจบก็ไม่รอให้ปี้เยว่ฮูหยินตอบตกลง ถลันตัวออกมาข้างนอกโดยตรง เอาแผ่นหลังชนบนภูเขาจำลองลูกหนึ่งอย่างแรง


บึ้ม! เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ภูเขาจำลองโดนชนจนพังกระจัดกระจาย เสื้อผ้าด้านหลังเหมียวอี้ฉีกขาก เขาร่ายอิทธิฤทธิ์บีบให้ตัวเองกระอักเลือดออกมา ย้อมจนมุมปากและคอเสื้อเป็นสีแดง จากนั้นก็กระเด็นถอยหลังตกลงบนพื้น


ปี้เยว่ฮูหยินพูดไม่ออก แอบกัดฟันเงียบๆ แอบด่าว่าเจ้าพันธุ์ชั่วนี้ ต่ำช้าไร้ยางอายจริงๆ ด้วย


เสียงความเคลื่อนไหวดังขนาดนี้ ทำให้คนที่อยู่ในตำหนักด้านหน้าตกใจจนถลันตัวเข้ามาทันที รวมทั้งทหารยามที่เฝ้าจวนแม่ทัพภาคด้วย พวกเขาประกฎตัวพร้อมกัน


หลันเซียงมาถึงก่อน พอเห็นภาพในที่เกิดเหตุ นางก็เหาะไปเหยียบลงข้างกายปี้เยว่ฮูหยิน แล้วถามอย่างตกใจว่า “ฮูหยิน เกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ?”


จ้านหรูอี้และคนอื่นๆ มองไปทางเหมียวอี้ที่คลานขึ้นมาจากสวนดอกไม้ด้วยสภาพสะบักสะบอม แล้วก็มองดูปี้เยว่ฮูหยินที่นั่งสง่าอยู่ในศาลา เห็ดได้ชัดมากว่าปี้เยว่ฮูหยินลงมือแล้ว


เซี่ยโห้วหลงเฉิงแอบเดาะลิ้น แอบทอดถอนใจ น้องหนิวเอ๊ย เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบ บุรุษอาชาไนยสามารถยอมลดราวาศอก เจ้าจำเป็นต้องลำบากขนาดนี้มั้ย


พวกเหยียนซู่ย่อมแอบสะใจกับความทุกข์ของคนอื่นอยู่แล้ว


ปี้เยว่ฮูหยินโบกมือให้หลันเซียงถอยออกไป แล้วยืนขึ้นช้าๆ เดินออกมาจากศาลา จ้องเหมียวอี้ที่สีหน้าไม่ดีพร้อมเตือนอย่างเย็นเยียบว่า “วันนี้ให้เจ้าจดจำบทเรียนไปยาวๆ ถ้ายังมีครั้งหน้าอีก ข้าไม่ปล่อยไปไปง่ายๆ แน่ หักค่าจ้างเจ้าหนึ่งร้อยปี เจ้ามีความเห็นแย้งอะไรมั้ย?”


ในใจนางไม่สบอารมณ์กับละครฉากนี้สุดๆ เป็นเขาที่ให้นางแสดง ที่จริงนางอยากจะทำร้ายให้เหมียวอี้บาดเจ็บๆ ใจจะขาดอยู่แล้ว แต่น่าเสียดายที่การบาดเจ็บนี้ไม่ใช่ฝีมือของนาง


เหมียวอี้ปากไม่ตรงกับใจอย่างชัดเจน ตอบเสียงต่ำว่า “ข้าน้อยไม่กล้ามีความเห็นแย้งอะไรขอรับ”


ปี้เยว่ฮูหยินหันกลับมาบอกใบ้หลันเซียง “เตรียมการหน่อย ข้าจะไปดูที่ดาวเทียนหยวนว่าวุ่นวายเพราะเขาไปขนาดไหนแล้ว”


หลันเซียงอึ้งไปชั่วขณะ นางคิดในใจว่าท่านเตรียมจะย้ายที่แล้ว ยังจะถ่อไปทำอะไรที่ดาวเทียนหยวนอีก เวลานี้ยังจำเป็นต้องสร้างปัญหาอีกเหรอ คำพูดนี้นางได้แต่เก็บไว้ในใจ ภายนอกยังคงเอ่ยรับ “ค่ะ!”


ไม่จำเป็นต้องกลับเข้าตำหนักประชุมอีกแล้ว คนมาที่นี่แล้ว ปี้เยว่ฮูหยินสั่งให้ผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสิบรายงานสถานการณ์ในอาณาเขตตัวเองตรงนั้นเลย


หลังจากเสร็จเรื่อง ปี้เยว่ฮูหยินก็ไม่รั้งทุกคนไว้อีก ให้ทุกคนต่างคนต่างกลัอาณาเขตตัวเองไป นางเหลือบมองเหมียวอี้ที่บอกให้ตัวเองหลบเลี่ยงไป แล้วเรียกพวกหลันเซียง อุ้มจิ้งจอกสีชมพู แล้วนำไปตรวจสอบที่ดาวเทียนหยวนก่อน ไม่มีท่าทีว่าจะให้เหมียวอี้ร่วมทางไปด้วย ดูเหมือนไม่พอใจเหมียวอี้มาก


ขณะที่มองดูท่านแม่ทัพภาคจากไป เหยียนซู่ก็รู้สึกคับแค้นเล็กน้อย เพราะนางรู้สึกว่าปี้เยว่ฮูหยินลงโทษเหมียวอี้เบาเกินไปหน่อย ไม่รู้เหมือนกันว่าปี้เยว่ฮูหยินจะไปดูที่ดาวเทียนหยวนก่อนแล้วค่อยคิดบัญชีกับเหมียวอี้หรือเปล่า


ผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสิบคนเพิ่งเดินออกจากประตูใหญ่ของจวนแม่ทัพภาค “ถุย!” จู่ๆ เหมียวอี้ที่เดินตามหลังมาก็ถ่มน้ำลายที่ปนกลิ่นคาวเลือด ทำให้ทุกคนกันกลับมามองพร้อมกัน นอกจากเซี่ยโห้วหลงเฉิงที่ทำท่าเหมือนเป็นห่วง คนที่เหลือก็หันกลับมามองเหมือนเยาะเย้ย ความโกรธแค้นในดวงตาเหยียนซู่ก็ยิ่งชัดเจน


“ทุกคนหยุดยืนอยู่ตรงนั้นแหละ!” จู่ๆ เหมียวอี้ก็กล่าวสิ่งที่ทำให้คนตกใจ


ทุกคนหยุดแล้วหันตัวมา เห็นเพียงเหมียวอี้เดินประชิดเข้ามาหาเหยียนซู่ เหยียนซู่ขวัยผวาทันที ถอยหลังพร้อมบอกว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร?”


“ดูจากท่าทางของเจ้าแล้ว ดูเหมือนจะไม่ค่อยยอมแพ้นะ!” เหมียวอี้กล่าว


จ้านหรูอี้ก้าวขึ้นมาแทรกทันที มาขวางหน้าเหยียนซู่ แล้วจ้องเหมียวอี้พร้อมเตือนว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าอย่ารังแกกันเกินไปนัก!”


“ข้ารังแกเกินไปเหรอ?” เหมียวอี้แสยะยิ้ม แล้วบุ้ยปากใส่พวกเขา “ในปีนั้นตอนที่พวกเขาตามอำเภอใจโดยไม่ต้องเกรงกลัวใครอยู่ที่นี่ เจ้าลองถามพวกเขาสิว่ารังแกกันเกินไปรึเปล่า?”


จ้านหรูอี้หันซ้ายหันขวา เรื่องราวนีนั้น นางก็เคยได้ยินมาบ้างเหมือนกัน ตอนนั้นคนกลุ่มนี้สร้างความอับอายให้เหมียวอี้อย่างรุนแรงมากจริงๆ


เหมียวอี้พูดต่อไปว่า “เพราะในปีนั้นกำลังจะไปทดสอบ ข้าเลยคิดว่าถ้าทนสักหน่อยเดี๋ยวก็ผ่านไปแล้ว หวังว่าตอนทดสอบพวกเขาจะใจกว้างไม่ถือสา แต่ผลเป็นยังไงล่ะ? แต่ละคนต้องการเล่นงานข้าให้ถึงตาย ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้ว กับพวกชาติสุนัขที่อาศัยอำนาจรังแกคนอื่นแบบนี้ ต่อให้อดทนยังไงก็ไร้ประโยชน์ วิธีการที่ดีที่สุดก็คือต้องตายกันไปข้าง!”


พวกเหยาสิ้งได้ยินแล้วหวาดระแวงกลัว ไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไรกันแน่


“หนิวโหย่วเต๋อ ข้าจะเตือนเจ้าเอาไว้นะ ทางที่ดีอย่าทำซี้ซั้ว!” จ้านหรูอี้กล่าวเสียงต่ำ


เหมียวอี้จึงบอกว่า “ข้าไม่ทำซี้ซั้วหรอก ข้ามีสติสัมปชัญญะมาก ข้าก็แค่อยากจะให้พวกเขาขอขมาโทษ แต่ถ้าไม่ยอม งั้นก็มาสู้ตายกันสักตั้ง ก่อนข้าตาย ข้าจะต้องลากพวกเจ้าให้เป็นแพะรับบาปก่อน!”


เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ปาดเหงื่อนิดหน่อย สู้ตายสักตั้งที่นี่เหรอ?


เขาอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองจวนแม่ทัพภาคที่อยู่ข้างหลัง จากนั้นก็พูดไม่ออก ปี้เยว่ฮูหยินเหมือนจะพาคนออกไปแล้ว ช่างเป็นเวลาที่ดีสำหรับการลงมือจริงๆ ถ้าต่อสู้กันขึ้นมา ก็เกรงว่าคงมีไม่กี่คนที่สามารถต้านทานเจ้าคนบ้าที่ตะลุยอยู่ในทัพใหญ่หนึ่งล้านได้ ถ้ารอให้ปี้เยว่ฮูหยินกลับมา ดีไม่ดีอาจจะมีคนตายไปเป็นแพะรับบาปก่อนแล้วก็ได้


จ้านหรูอี้แสยะยิ้ม แล้วหันตัวโบกมือ “อย่าไปสนใจเขา พวกเราไปกันเถอะ!”


“ไปเหรอ?” เหมียวอี้หัวเราะหึหึ “ข้าเองก็อยากจะเห็นว่าพวกเจ้าจะไปได้เร็วกว่า หรือธนูดาวตกของข้าจะไปเร็วกว่า!”


ทุกคนหยุดชะงักทันที ตอนนี้เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าในมือเจ้าเวรนี่ยังมีของเล่นที่ยิงทีเดียวก็สังหารนักพรตบงกชรุ้งตายมาแล้ว ตอนนี้ก้าวเท้ายากจริงๆ อยากจะไปแต่ก็ต้องชั่งน้ำหนักสักหน่อย เจ้าเวรนี่กล้าลงมือในตำหนักประชุมด้วยซ้ำ ไม่ต้องสงสัยความเป็นไปได้ในการลงมือครั้งนี้เลย


จ้านหรูอี้หันขวับไปชี้หน้าเหมียวอี้พร้อมตะคอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าอย่าทำเกินไปนัก!”


เหมียวอี้จึบอกว่า “ที่นี่ไม่มีเรื่องของเจ้าแล้ว เห็นแก่หน้าของตระกูลอิ๋ง ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่ามายุ่งเรื่องนี้จะดีกว่า นี่คือความแค้นส่วนตัวระหว่างข้ากับพวกเขา! ถ้าเจ้าเข้ามายุ่ง ข้าก็บอกได้เพียงคำเดียวว่า ข้ามีเรื่องกับผู้มีอำนาจมาทั้งราชสำนักแล้ว ถึงอย่างไรก็เหลือแค่ทางตายมาตั้งนานแล้ว ไม่ถือสาที่จะลากคนมารับกรรมด้วยกันอีกสักคน”


ในตอนนี้ เอะอะเขาก็พูดว่า ‘มีเรื่องกับผู้มีอำนาจมาทั้งราชสำนักแล้ว’


ภาพเหตุการณ์นี้ ก็น่าสนุกอยู่นะ! เซี่ยโห้วหลงเฉิงเอามือลูบคาง เลิกคิ้วที่เข้มหนาแล้วเบะปาก แอบเดาะลิ้นในใจไม่หยุด ไม่ไว้หน้าแม้แต่อ๋องสวรรค์อิ๋ง!


เจ้าเวรนี่แทบจะเข้าไปก้มกราบเหมียวอี้แล้ว ลักษณะท่าทางที่ไร้เหตุผลของเหมียวอี้ถูกรสนิยมของเขามาก!


จ้านหรูอี้สีหน้าเย็นเยียบ วันนี้นางนับว่าเข้าใจแล้วถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘คนเท้าเปล่าไม่กลัวคนใส่รองเท้า’


ที่นางเป็นฝ่ายมาที่นี่ก่อน เดิมทีก็เพราะอยากหาโอกาสระบายความโกรธใส่เหมียวอี้เพื่อกู้หน้าตัวเองกลับมา ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะยอมแลกทุกอย่างแล้ว อีกฝ่ายไม่สนใจภูมิหลังของนาง จะใช้กำลังกับนางโดยตรง นางเองก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน เพราะนางไม่ได้มาเพื่อสู้ตายกับเหมียวอี้ ที่สำคัญคือถ้าลงมือขึ้นมา นางก็ไม่มีข้อได้เปรียบอะไร ดีไม่ดีอาจจะเป็นการสร้างความอับอายให้ตัวเอง


นี่คือสิ่งที่นางได้เห็นมากับตาตัวเอง ที่แท้คำว่า ‘ความสามารถ’ ที่ตัวเองเคยเรียกล้วนสร้างขึ้นมาได้เพราะมีตระกูลอิ๋งหนุนหลัง ตอนนี้นางอับอายแล้ว


จ้านหรูอี้กับเหมียวอี้สบตากัน จ้านหรูอี้เองก็วู่วามอยากจะยอมแลกทุกอย่างเช่นกัน เป็นปัญหาเรื่องหน้าตาศักดิ์ศรี บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นมาอย่างฉับพลัน


ผู้บัญชาการใหญ่ติงเจ๋อเฉวียนที่อยู่ข้างๆ พลิกมือ ในมือถือระฆังดาราอันหนึ่ง เตรียมจะติดต่อปี้เยว่ฮูหยิน


มีเสียงมังกรคำรามดังขึ้น ทวนเกล็ดย้อนพลันปรากฏในมือเหมียวอี้ เขาชี้ไปที่ติงเจ๋อเฉวียน พร้อมแสยะยิ้มบอกว่า “ถ้าไม่กลัวตาย เจ้าก็ลองดู!”


ทวนด้ามนี้ฆ่าคนที่แดนอเวจีมาเป็นพันๆ แล้ว คนที่เคยเห็นล้วนจำได้


“เจ้าจะให้พวกเขาขอโทษเจ้าเรื่องในปีนั้นยังไง พวกเจ้าคิดว่ายังไง?” จ้านหรูอี้หันกลับมาถาม นางตัดสินใจจะยอมถอยหนึ่งก้าว ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือจวนแม่ทัพภาค เหมียวอี้สามารถยอมแลกทุกอย่างโดยไม่สนกฎได้ แต่นางกลับทำซี้ซั้วไม่ได้ มิหนำซ้ำตัวเองก็ไม่ได้อยู่ในจุดที่ได้เปรียบ เรื่องที่รู้อยู่แจ่มแจ้งว่าเสียเปรียบ ถ้ายังทำก็แสดงว่าเป็นคนโง่ บัญชีแค้นนี้นางเตรียมจะให้ยอดฝีมือมาสะสางบัญชีกับเหมียวอี้ทีหลัง ไม่ได้มีแค่เหมียวอี้ที่ใช้กำลังได้


เมื่อได้ยินแบบนี้ ผู้บัญชาการใหญ่ที่เหลือก็รู้แล้วว่าจ้านหรูอี้ยอมอ่อนให้แล้ว และรู้ด้วยว่าถ้าสู้กันขึ้นมา จ้านหรูอี้ก็อาจจะต้านทานเหมียวอี้ไม่ไหว ใช่ว่าทุกคนจะไม่รู้ว่าตอนอยู่แดนอเวจีจ้านหรูอี้เกือบจะตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้


“ผู้บัญชาการใหญ่หนิว ขออภัย!”


ติงเจ๋อเฉวียนที่ถูกทวนชี้เก็บระฆังดารา แล้วกุมหมัดกล่าวขอโทษด้วยเสียงอู้อี้


“ขออภัย ในปีนั้นข้าผิดไปแล้ว”


“ขออภัย!”


แต่ละคนทยอยกันกล่าวขอขมาโทษ เหยียนซู่ที่โดนสั่งสอนไปหนึ่งทีกลับต้องเป็นฝ่ายขอโทษ รสชาติแบบนี้มีเพียงนางที่รู้ชัด


เหมียวอี้รอให้พวกเขากล่าวขอโทษทีละคนจนครบ แล้วถึงได้พูดเหยียดว่า “ในปีนั้นหนิวรับความอัปยศอย่างใหญ่หลวง แค่พูดปากเปล่าอย่างขอไปทีก็ถือว่าเรื่องผ่านไปแล้วเหรอ ทุกคนขาดความจริงใจเกินไปแล้ว  หรือกำลังล้อข้าเล่นล่ะ?”


บทที่ 1313 น้องหนิว กงสี่ฟาไฉ!

โดย

Ink Stone_Fantasy

นี่ก็คือความจริงเช่นกัน ต่อให้เป็นคนโง่ก็ดูออกว่าคนกลุ่มนี้ขอโทษอย่างไม่มีความจริงใจเลยสักนิด เป็นเพราะโดนกดดันจนหมดทางเลือก จึงพูดขายผ้าเอาหน้ารอดเท่านั้น ท่าทางไม่เหมือนสำนึกผิดเลยสักนิด


แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าดึงดันจะบังคับให้คนพวกนี้ขอโทษออกมาจากใจ ก็คือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เหมือนกัน


พวกเหยาสิ้งถูกคำพูดของเหมียวอี้ทำให้หมดแผนรับมือ จะขึ้นข้างบนก็ไม่ได้ จะลงข้างล่างก็ไม่ได้


“หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าพูดมาตรงๆ เถอะ เจ้าต้องการจะให้ทำอะไรกันแน่?” จ้านหรูอี้ถามเสียงต่ำ


“ง่ายมาก!” เหมียวอี้ตะโกนตอบ แล้วโบกทวนชี้รอบวง “ตอนแรกพวกเขาต้องการจะเอาชีวิตข้า แต่ข้ารักษาไว้ได้ ตอนนี้ข้าก็จะเอาชีวิตพวกเขาเหมือนกัน แค่ต้องคอยดูว่าพวกเขาจะรักษาไว้ได้รึเปล่า ยื่นมือยื่นแมว ยุติธรรมสมเหตุสมผล!”


เด็กดี! เซี่ยโห้วหลงเฉิงรีบหลบถอยหลังไปไกล นี่ต้องการจะสู้กันให้ถึงที่สุดให้ได้เลยให้ได้เลย!


จ้านหรูอี้กัดฟันถาม “หมายความว่า เจรจากันไม่ได้ใช่มั้ย?” ถ้าจะสู้ตายกันจริงๆ นางเองก็ทำได้เพียงร่วมด้วย


ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะอ่อนข้อให้แล้ว “ก็ได้ ในเมื่อจ้านคนสวยเอ่ยปากแล้ว ข้าก็จะไว้หน้าเจ้าสักครั้ง แต่อย่าเอาคำขอโทษปากเปล่าที่ไม่จริงใจมาหลอกตบตากันเลย ข้าเองก็จะไม่กลั่นแกล้งพวกเขาเหมือนกัน ต้องการเงินหรือต้องการชีวิต เลือกเอาเอง!”


จ้านคนสวย? เซี่ยโห้วหลงเฉิงยิ้มมุมปาก ทำไมน้องหนิวเรียนรู้จากข้าเสียแล้วล่ะ?


ที่จริงเขาใช้คำพูดนี้ลวนลามจ้านหรูอี้มาตลอด คำว่า ‘จ้านคนสวย[1]’ นี้ ขึ้นอยู่กับว่าจะทำความเข้าใจอย่างไร ถึงอย่างไรเขาก็ใช้วิธีการที่ค่อนข้างลามกสกปรกเพื่อทำ


แน่นอน สิ่งที่ทำให้เขาร่าเริงยิ่งกว่ากันก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าเหมียวอี้จะใช้วิธีการแบบนี้รีดไถเงิน


นี่เป็นอุบายขู่รีดเงินชัดๆ จ้านหรูอี้แค้นจนกัดฟันกรอด ถามด้วยสีหน้าแดกดันว่า “เจ้าต้องการเท่าไร?”


“จ่ายมาเท่าไร ก็แสดงว่าตัวเองมีความจริงใจเท่านั้น” เหมียวอี้ตอบ


จ้านหรูอี้หันกลับมาถ่ายทอดเสียงบอกผู้บัญชาการใหญ่ที่เหลือ “เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบ บุรุษอาชาไนยสามารถยอมลดราวาศอก เดี๋ยวในภายหลังข้าจะช่วยทวงคืนให้พวกเจ้าทั้งต้นทั้งดอก”


ซ่างหรูเยว่คว้าแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งออกมา “ที่ข้ามียาแก่นเซียนหนึ่งล้านเม็ด”


เหมียวอี้แสยะยิ้ม “ที่แท้ชีวิตเจ้าก็มีค่าเท่ายาแก่นเซียนหนึ่งล้านเม็ดนี่เอง แบบนั้นก็ดีเลย จ้านคนสวย ข้าให้ยาแก่นเซียนเจ้าสองล้านเม็ด ข้าจะซื้อชีวิตของนางก็แล้วกัน!” พูดจบก็หยิบแหวนเก็บสมบัติออกมา


“เจ้าพูดมาตรงๆ เถอะ เจ้าต้องการเท่าไร!” จ้านหรูอี้ตะคอก


เหมียวอี้ก็ไม่เกรงใจเช่นกัน ชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว “ขอยาแก่นเซียนคนละยี่สิบล้านเม็ด!”


เด็กดี! เซี่ยโห้วหลงเฉิงเดาะลิ้น รวมกันเจ็ดคนก็ปาไปหนึ่งร้อยสี่สิบล้านเม็ดแล้ว เพียงพอให้นักพรตบงกชทองขั้นหนึ่งเพิ่มวรยุทธ์จนถึงบงกชทองขั้นแปดเลย


ทั้งเจ็ดคนได้ยินแล้วสีหน้าเปลี่ยนพร้อมกัน ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์มาก แต่ไม่มีใครที่สามารถฮุบทุกอย่างเอาไว้คนเดียว


เมื่อพูดแบบนี้ ถ้านำทรัพยากรที่ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ได้ในแต่ละปีมาแลกเป็นยาแก่นเซียนแล้วเทียบกัน ยกตัวอย่างเช่น ร้านค้าหนึ่งแสนกว่าร้านที่ตลาดสวรรค์ แต่ร้านค้าก็มีทั้งใหญ่ทั้งเล็ก มีร้านที่ทำกำไรได้ แต่มีร้านที่กิจการไม่รุ่งเรือง ไม่ใช่ว่าร้านค้าทุกร้านจะมีสินบนมากมายขนาดนั้น มิหนำซ้ำส่วนใหญ่ก็เป็นร้านค้าขนาดกลางและขนาดเล็กด้วย และร้านค้าพวกนั้นก็ไม่ได้ติดสินบนผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์แค่คนเดียวด้วย ยังมีทหารเล็กๆ ใต้บังคับบัญชาอีก พวกเขาก็ต้องให้สินน้ำใจบ้างเหมือนกัน เพียงแต่ผู้บัญชาการใหญ่ได้เยอะกว่าก็เท่านั้นเอง


เมื่อเฉลี่ยแล้วนำมาคำนวณเป็นยาแก่นเซียน เมื่อเฉลี่ยร้านค้าแต่ละร้านแล้วก็มีแค่หนึ่งร้อยเม็ดเท่านั้น เมื่อแลกเป็นผลึกแดง ก็เฉลี่ยได้ร้านละร้อยล้านผลึกแดงเท่านั้น ต้องมอบให้ทุกปี สำหรับนักพรตส่วนใหญ่ นี่ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ


หรือพูดได้อีกอย่างว่า ในหนึ่งปีผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์คนหนึ่งจะได้ทรัพยากรเป็นยาแก่นเซียนเกือบสิบล้านเม็ด แต่มีผู้บัญชาการใหญ่คนไหนจะฮุบไว้คนเดียวได้ล่ะ? ท่านแม่ทัพภาคเบื้องบนที่ควบคุมโดยตรงไม่ได้มีไว้ประดับตำแหน่งเฉยๆ จะไม่ได้ผลประโยชน์อะไรจากตลาดสวรรค์แต่ละแห่งเชียวหรือ? ท่านแม่ทัพภาคเองก็ต้องมอบสินน้ำใจให้เบื้องบนเช่นกัน คนทั้งระดับบนทั้งระดับล่างของจวนแม่ทัพภาคล่ะ ต้องมอบให้สักหน่อยมั้ย? ยกตัวอย่างเช่นผู้การสองหลันเซียง จะไม่มอบสินน้ำใจให้สักหน่อยเหรอ?


แค่ค่าใช้จ่ายสำหรับมอบสินน้ำใจให้ท่านแม่ทัพภาคกับจ่ายให้คนในจวนแม่ทัพภาคก็เป็นสามถึงสี่ส่วนแล้ว


แล้วคนที่ทำให้เจ้าได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ล่ะ ต้องมอบให้สักหน่อยรึเปล่า? ยกตัวอย่างเช่นหัวหน้าภาคบางคนที่ช่วยให้เจ้าได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ เจ้าคงไม่มอบสินน้ำใจให้หัวหน้าภาคแค่คนเดียวหรอกใช่มั้ย? ลูกน้องคนสนิทข้างกายของหัวหน้าภาคล่ะ ต้องให้สักหน่อยรึเปล่า?


ค่าใช้จ่ายสำหรับเบื้องบนก็ปาเข้าไปสามถึงสี่ส่วนแล้ว


รคนสองกลุ่มนี้กล่าวมาข้างต้น ผู้บัญชาการใหญ่ล้วนต้องมอบสินน้ำใจให้ ไม่อย่างนั้นถ้าขาดการสนับสนุนจากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไป เจ้าก็จะนั่งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ได้อย่างไม่มั่นคง ทั้งยังอาจจะทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจด้วย ทุกคนต่างก็รู้ว่าตำแหน่งนี้ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ขนาดไหน ใครๆ ก็อยากจะขูดรีดจากตัวเจ้าทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้เอง ทรัพยากรที่ตกถึงมือตัวเองในตอนสุดท้ายจึงมีแค่สามส่วน เป็นยาแก่นเซียนประมาณสามหมื่นกว่าเม็ด


ไม่ใช่ว่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ทุกคนจะทำแบบเหมียวอี้ได้ ที่แค่ต้องมอบสินน้ำใจให้จวนแม่ทัพภาคนิดหน่อยก็พอแล้ว และก็ด้วยเหตุนี้เอง จึงอธิบายได้ว่าเหมียวอี้ไม่มีอิทธิพลอำนาจอะไรหนุนหลัง ดังนั้นจึงทำมาหากินที่ตลาดสวรรค์ลำบาก


และผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ส่วนใหญ่ล้วนเป็นนักพรตบงกชทอง การฝึกตนในหนึ่งปีที่ต้องใช้ยาแก่นเซียนแสนกว่าเม็ดก็นับว่าเยอะแล้ว มิหน้ำซ้ำในแต่ละปียังมีแค่สามหมื่นเม็ด


ยาแก่นเซียนสามหมื่นเม็ดหมายความว่าอย่างไรล่ะ?


ยาแก่นเซียนหนึ่งเม็ดมีค่าเท่ากับลูกแก้วพลังปรารถนาหนึ่งแสนลูก หรือเท่ากับหนึ่งแสนผลึกแดง และค่าจ้างของผู้ช่วยผู้บัญชาการของตำหนักสวรรค์ก็คือลูกแก้วพลังปรารถนาหนึ่งร้อนล้านลูก ผู้บัญชาการสามร้อยล้านลูก ผู้บัญชาการใหญ่ห้าร้อยล้านลูก ค่าจ้างของผู้บัญชาการใหญ่คนหนึ่งก็เท่ากับยาแก่นเซียนห้าพันเม็ดเอง ส่วนยศของระดับบงกชทองแต่ละขั้นก็เพิ่มยาแก่นเซียนเพียงหนึ่งพันเม็ดเท่านั้น ต่อให้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ยศทหารเลวหกแถบ ในหนึ่งปีก็ได้เพียงยาแก่นเซียนหนึ่งหมื่นกว่าเม็ดเท่านั้น ลองคิดดูว่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ ทรัพยากรที่ได้ในแต่ละปีมากถึงสามแสนกว่าเม็ด ผู้บัญชาการใหญ่ที่อยู่ตามอำนาจท้องถิ่นเทียบไม่ติดเลย ทรัพยากรเยอะเกินไปแล้ว จะไม่ทำให้คนอิจฉาตาร้อนได้ยังไง


และคนที่สามารถเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ได้ ส่วนใหญ่ล้วนมีอำนาจอิทธิพลหนุนหลัง ใช้จ่ายมือเติบจนติดเป็นนิสัย ค่าใช้จ่ายก็เยอะ ใช้สำหรับคบค้าสมาคมทั่วไป ใช้ตบรางวัลยามลูกน้องทำงานให้ ใช้เลี้ยงพวกอนุภรรยา เสพสุขกับชีวิต และค่าใช้จ่ายที่เยอะที่สุด ส่วนใหญ่ก็เตรียมไว้สำหรับทำพวกของวิเศษและเครื่องมือต่างๆ เมื่อเทียบกันแล้ว ก็ไม่ถือว่าใช้ไปกับการฝึกตนมากเท่าไรนัก


แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ถึงแม้จะมีทรัพยากรเยอะ แต่ที่เก็บออมได้ก็มีไม่มากเท่าไร พอเหมียวอี้เอ่ยปากว่าต้องการยาแก่นเซียนคนละยี่สิบล้านเม็ด ทุกคนจะไม่สีหน้าเปลี่ยนได้อย่างไร แบบนี้เท่ากับต้องทำงานให้เหมียวอี้โดยไม่รับเงินไปกี่ปี?


พวกเขาไม่เหมือนเหมียวอี้ ที่เอาแต่ไปแอบสร้างความร่ำรวยจากข้างนอก ในแต่ละปีอนุภรรยาในบ้านเหมียวอี้ใช้ยาแก่นเซียนได้มากสุดถึงแสนเม็ด ทรัพยากรฝึกตนสำหรับลูกน้องคนสนิทก็มีเพียงพอ ทำให้ผู้บัญชาการใหญ่ในพื้นที่ต่างๆ ของผู้มีอำนาจอับอายแทบตาย


แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว เงินจำนวนนี้ก็ยังไม่พอใช้ เพราะเฮยทั่นกับตั๊กแตนใช้เงินเยอะมาก


จ้านหรูอี้ได้ยินแล้วโมโห “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าอย่าทำเกินไปนัก!”


เหมียวอี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง พอพลิกฝ่ามือ เกราะรบผลึกแดงบริสุทธิ์ก็ครอบคลุมร่างกายแล้ว จากนั้นโบกทวนชี้ “หนิวโหย่วเต๋ออยู่นี่ ใครกล้าสู้ตายกับข้า!”


เซี่ยโห้วหลงเฉิงเบะปากอย่างร่าเริง


จ้านหรูอี้โมโหจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างถี่กระชั้น นางพลิกฝ่ามือถือทวนยาวด้ามหนึ่ง ก็ลังจะพุ่งเข้าไปสู้ตายแล้ว


เหยียนซู่และคนอื่นๆ กลับรีบดึงนางไว้ ถ้าสู้ชนะได้มีหรือที่จะยอมให้หนิวโหย่วเต๋อกำเริบเสิบสาน ที่สำคัญคือสู้ไม่ชนะ!


ครั้งนี้ถ้าปล่อยให้จ้านหรูอี้ตายด้วยน้ำมือหนิวโหย่วเต๋อเพราะพวกเขา ต่อให้พวกเขาจะพ้นเคราะห์ครั้งนี้ไปได้ แต่ก็ไม่มีทางอธิบายกับทางตระกูลอิ๋งได้อยู่ดี!


ผู้บัญชาการใหญ่รุ่ยฝานกล่าวเสียงต่ำว่า “หนิวโหย่วเต๋อ บนตัวพวกเราไม่ได้มียาแก่นเซียนมากมายขนาดนั้น ลดให้หน่อยได้มั้ย”


“ชีวิตของเจ้าลดน้อยลงได้มั้ยล่ะ?” เหมียวอี้ถามกลับ


“บนตัวไม่ได้มียาแก่นเซียนมากขนาดนั้นจริงๆ ให้พวกเรากลับไปแลกก่อนแล้วค่อยว่ากันได้มั้ย?” ผู้บัญชาการใหญ่เกาโย่วถาม


เหมียวอี้โมโหแล้ว โบกทวนชี้พร้อมบอกว่า “เจ้ากำลังล้อข้าเล่นใช่มั้ย? ถ้าเจ้าไปหลบแล้วข้าจะไปหาพวกเจ้าจากที่ไหนล่ะ? ข้าจะเอาตอนนี้ ถ้ายาแก่นเซียนไม่พอก็เอาของอย่างอื่นมารวมกันได้ ถ้ารวบรวมได้ไม่ครบก็เอาชีวิตมาเติม ถ้ากล้าไม่ให้ก็ลองดู!”


จ้านหรูอี้ที่โกรธจนหน้าเขียวพลันตะคอกว่า “ให้เขา!”


ดวงตาสองข้างที่เหมือนจะพ่นไฟได้กำลังจ้องเหมียวอี้ เหมือนกำลังบอกว่า เดี๋ยวกลับไปคอยดูเถอะว่าเจ้าจะตายอย่างไร


พวกเหยียนซู่เรียกได้ว่าได้รับความไม่เป็นธรรม ค้นหาของในกำไลเก็บสมบัติทันที


เหลียนฟางอวี้ที่รวบรวมได้ครบแล้วโยนกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งเข้ามา


เหมียวอี้กลับไม่กะพริบตาเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กำไลเก็บสมบัติที่โยนเข้ามากระทบร่างกายตกลงพื้น ไม่มีท่าทีว่าจะเก็บไว้เลย


เหลียนฟางอวี้อึ้งไปชั่วขณะ เหมียวอี้เลิกคิ้วเหล่ตามองนาง


เหลียนฟางอวี้กัดริมฝีปาก ยกมือขึ้นดูดกำไลเก็บสมบัติบนพื้นขึ้นมา แล้วส่งให้ตรงหน้าเหมียวอี้ด้วยตัวเอง


“เพี้ยะ!” เหมียวอี้ลงมืออย่างกระทันหัน มือไวจนเหลียนฟางอวี้หลบไม่ทัน ตบหน้านางอย่างแรงจนเสียงดังชัดอยู่ในหู


เหลียนฟางอวี้โดนตบจนโซเซ มุมปากมีเลือดไหล เอามือปิดหน้าหันกลับมา ยังไม่ทันได้ระบายความโกรธ หัวทวนเกล็ดย้อนที่แหลมคมก็มาจ่ออยู่ที่คอแล้ว นางตกใจจนหน้าซีด


เซี่ยโห้วหลงเฉิงเบิกตากว้างอย่างพูดไม่ออก ขนาดเมียของหัวหน้าภาคก็ยังโดนตบแล้ว…


“การตบฉาดนี้คือดอกเบี้ย!” เหมียวอี้บอกเหตุผลที่ตบนางอย่างเยือกเย็น แล้วขยุ้มนิ้วทั้งห้ากลางอากาศ กำไลเก็บสมบัติของเหลียนฟางอวี้เข้ามาอยู่ในมือ เขาร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูของที่อยู่ข้างใน พอคาดคะเนได้ว่าจำนวนใกล้เคียง ถึงได้เก็บทวนเกล็ดย้อน แล้วตะคอกว่า “ไสหัวไป!”


การตบฉาดนี้ทำให้คนอื่นๆ ตกใจแล้ว ยิ่งเหมียวอี้ทำแบบนี้ กลับยิ่งทำให้พวกเขาคิดว่าเหมียวอี้อยากจะหาเรื่องพวกเขา


จะรับความตายหรือจะรับความอัปยศ ไม่ใช่สิ่งที่ตัดสินใจเลือกยาก ล้วนเป็นคนอ่านสถานการณ์ออกที่ยืดได้หดได้ทั้งนั้น ยังดีกว่าเหมียวอี้ในปีนั้นที่ต้องทนรับความอัปยศจากพวกเขา


“เพี้ยะ!” ติงเจ๋อเฉวียนที่ส่งของมาให้โดนตบหน้า แล้วเม้มริมฝีปากแน่นเดินกลับไป


เพี้ยะ! เพี้ยะ! เพี้ยะ…


ผ่านไปคนแล้วคนเล่า หลังจากโดนตบแล้ว ผู้บัญชาการใหญ่ทั้งเจ็ดก็ได้รับรู้ถึงสิ่งที่เรียกว่าอัปยศอดสูแล้ว นับว่าเข้าใจความรู้สึกของเหมียวอี้ในปีนั้นอย่างถ่องแท้ แต่ละคนไม่อยากอยู่นาน เชิญจ้านหรูอี้ที่กำลังจะพ่นไฟออกจากดวงตาเหาะพุ่งขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว


หลังจากมองส่งคนกลุ่มนั้นกลับไปแล้ว เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็เดินหัวเราะแห้งเข้ามาอยู่ข้างกายเหมียวอี้ที่กำลังถอดเกราะรบ แล้วกุมหมัดคารวะ “น้องหนิว กงสี่ฟาไฉ! แต่เกรงว่าจ้านหรูอี้กับป้าๆ พวกนั้นจะไม่ยอมเลิกราน่ะสิ!”


“ข้าล่วงเกินผู้มีอำนาจมาหมดราชสำนักแล้ว ต้องกลัวนางด้วยเหรอ?”เหมียวอี้พูดเหยียด แล้วก็บอกว่า “พี่เซี่ยโห้วหนิวคนนี้ร่ำรวยแล้วแจกจ่ายทุกคนเสมอมา ตอนนี้ขอมอบโอกาสร่ำรวยนี้ให้เจ้า จะเอาหรือไม่เอา?”


เซี่ยโห้วหลงเฉิงตาลุกวาวทันที พยักหน้าถามว่า “โอกาสอยู่ไหนล่ะ?”


เหมียวอี้เอามือไขว้หลังพลางกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่า “ยังมีอีกสองคน จางฮั่นฟางกับหลิ่วกุ้ยผิงออกจากจวนแม่ทัพภาคตงหัวไปแล้ว ไปอยู่จวนใกล้ๆ กันแล้ว ถ้าพี่เซี่ยโห้วยินดีจะไปให้สักรอบ ยาแก่นเซียนสี่สิบล้านเม็ดนั่นก็จะเป็นของพี่เซี่ยโห้วแล้ว”


มียาแก่นเซียนเข้าบัญชีรวดเดียวสี่สิบล้านเม็ด สิ่งนี้ทำให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงใจเต้นจริงๆ เขาแววตาวูบไหว เอามือเกาคางพลางกล่าวอย่างลังเลว่า “แบบนี้ไม่เหมาะสมกระมัง! สองคนนั้นไปอยู่ที่จวนแม่ทัพภาคหนีฉางแล้ว ถ้าข้าถ่อไปช่วยคิดบัญชีให้น้องหนิวที่นั่นจะฟังดูเหลวไหลนะ! แล้วอีกอย่าง ถ้าไปก่อเรื่องถึงบ้านคนอื่น อีกประเดี๋ยวจะแก้ตัวกับปี้เยว่ฮูหยินลำบากน่ะสิ!”


…………………………


[1] จ้านคนสวย 战美人 จ้าน 战 แปลว่าพิชิต สู้รบ รวมกันเป็นพิชิตสาวงาม


บทที่ 1314 ใครกันแน่ที่โง่

โดย

Ink Stone_Fantasy

เขาพูดจาเสียน่าฟัง ตัวเองอยากได้แท้ๆ แต่กลับบอกว่าช่วยน้องหนิวคิดบัญชี หาข้ออ้างได้ดีมาก


เหมียวอี้บอกว่า “กลัวจะอะไรล่ะ? แม่ทัพภาคหนีฉางคนก่อน เดิมทีก็เป็นคนใต้สังกัดของท่านโหวเทียนหยวนอยู่แล้ว ถ้ามีความเห็นแย้งอะไรก็ต้องผ่านด่านปี้เยว่ฮูหยินไปให้ได้ก่อน มิหนำซ้ำแม่ทัพภาคท่านนั้นก็ตายที่แดนอเวจีไปแล้ว ตอนนี้คนที่จะมารับตำแหน่งแม่ทัพภาคต่อยังมาไม่ถึง เป็นโอกาสดีในการคิดบัญชี พอจบเรื่องแล้วแม่ทัพภาคคนใหม่มาถึง ก็จะต้องเป็นคนสมองมีปัญหาเท่านั้นแหละ ไม่อย่างนั้นใครจะมาหาเรื่องหลานชายราชินีสวรรค์ได้ล่ะ”


“ทำแบบนี้เกินไปหน่อยรึเปล่า?” เซี่ยโห้วหลงเฉิงลูบคางอย่างสับสน แต่สายตาเหลียวซ้ายแลขวาแสดงออกถึงเจตนา


เหมียวอี้กล่าวว่า “ข้าก็อุตส่าห์หวังดี พี่เซี่ยโห้วได้รับประโยชน์ ข้าโดนด่าลับลัง! แต่ในเมื่อพี่เซี่ยโห้วรังเกียจเงินร้อนนี้ ข้าเก็บไว้เองคนเดียวก็สิ้นเรื่องแล้ว พวกเขาจะได้ไม่กล้าไม่ให้ แต่ข้าจะพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้ก่อนนะ ข้าจะเก็บไว้เองทั้งหมด ยาแก่นเซียนสี่สิบล้านเม็ดนั่นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพี่เซี่ยโห้ว เอาล่ะ ข้าขอกลับก่อน ข้ายังต้องไปดูอีกว่าท่านแม่ทัพภาคจะไปเล่นตุกติกอะไรที่ดาวเทียนหยวนกันแน่”


“น้องหนิว!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงรีบกดแขนเขาไว้ แล้วยิ้มสู้พร้อมบอกว่า “หรือไม่ข้าก็ไปเก็บเงินให้ก่อนดีกว่า ถ้าข้าเก็บไม่ได้จริงๆ น้องหนิวค่อยออกหน้าเองก็ยังไม่สาย แบบนี้ดีมั้ย?”


เหมียวอี้กล่าวดูถูกในใจ เจ้าหมีควายนี่ไม่ได้โลภสมบัติแบบธรรมดาจริงๆ ด้วย จึงพยักหน้าบอกว่า “ก็ได้! ถ้าเจ้าเก็บได้ก็เป็นของเจ้า ถ้าเจ้าเก็บไม่ได้ข้าจะออกหน้าไปเก็บเอง” พูดจบก็เหาะขึ้นฟ้าจากไป


“น้องหนิวกลับดีๆ นะ!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงโบกมือ หลังจากมองส่งเหมียวอี้หายลับไปในท้องฟ้าแล้ว ก็เอามือลูบคางพลางถอนหายใจ ถูไม้ถูมือไม่หยุด สุดท้ายก็กำหมัดชกฝ่ามือแรงๆ เหมือนตัดสินใจแน่วแน่แล้ว รีบเหาะขึ้นฟ้าจากไป


ในดาราจักร คนจำนวนหนึ่งเหาะด้วยความรวดเร็วอยู่ข้างหลังปี้เยว่ฮูหยิน หลันเซียงที่ติดตามอยู่ข้างกายปี้เยว่ฮูหยินเก็บระฆังดาราในมือ แล้วถ่ายทอดเสียงบอกเรื่องที่เกิดขึ้นนอกจวนแม่ทัพภาคให้ปี้เยว่ฮูหยินรู้


เรื่องที่เกิดขึ้นนอกจวนแม่ทัพภาคอยู่ใต้หนังตาทหารยามที่เฝ้าประตู ทหารยามไปยุ่งกับผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสิบไม่ได้ ทำได้เพียงรายงานขึ้นมา


เดิมทีหลันเซียงนึกว่าปี้เยว่ฮูหยินจะกลับทันที แต่ใครจะคิดว่าปี้เยว่ฮูหยินจะตอบว่า “ให้พวกเขาก่อเรื่องไปเถอะ”


หลันเซียงตกใจ ถามว่า “คนที่หนุนหลังพวกเหยียนซู่ล้วนเป็นลูกน้องคนสนิทของท่านโหว ถ้าไม่ถามไถ่ไม่สนใจเลย ก็อาจจะไม่ค่อยเหมาะสมรึเปล่าคะ?”


“นี่คือข้อแลกเปลี่ยนระหว่างข้ากับหนิวโหย่วเต๋อ ข้าหลบอยู่ที่แดนอเวจีสองร้อยปี ไม่กล้าเพ่นพ่านไปไหนซี้ซั้วเลย คะแนนทดสอบของข้าล้วนเป็นสิ่งที่หนิวโหย่วเต๋อเสียสละมอบให้” ปี้เยว่ฮูหยินตอบ


หลันเซียงย่อมถามอย่างประหลาดใจ “หนิวโหย่วเต๋อมอบให้เหรอ? ข้าน้อยไม่เข้าใจ”


ปี้เยว่ฮูหยินแสยะยิ้ม “เจ้าเด็กนั่นใจกล้ามาก รู้ว่าตัวเองทำลายกลองสะท้านฟ้า ได้อันดับหนึ่งไปก็ไม่มีประโยชน์ ผลงานที่เขาทำได้จึงไม่ได้มีแค่ที่เขาส่งมอบขึ้นไปเท่านั้น เขาแอบซ่อนไว้ส่วนหนึ่งที่นรก เตรียมจะเหลือไว้รอตอนที่ตัวเองวรยุทธ์เพิ่มขึ้น แล้วมาเข้าร่วมทดสอบชิงตำแหน่งแม่ทัพภาค ตอนหลังโดนกดดันให้มอบผลงานที่ซ่อนไว้ให้ข้า ข้าถึงได้รักษาตำแหน่งแม่ทัพภาคไว้ได้ แต่เงื่อนไขก็คือต้องดูแลเขา พร้อมทั้งให้เขาได้ระบายความโกรธที่ได้รับความอัปยศในปีนั้น ไม่อย่างนั้นจะเปิดโปงเรื่องที่ข้าปลอมแปลงผลงาน”


นางรู้ว่าความผิดปกติของตัวเองจะต้องทำให้หลันเซียงสงสัย จำเป็นต้องหาข้ออ้างให้ตัวเองเพื่อปิดบัง


หลันเซียงเข้าใจในทันที นางรู้สึกว่าการที่ปี้เยว่ทดสอบได้อันดับเก้าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างแปลก นางติดตามปี้เยว่มาหลายปีขนาดนี้ จึงรู้อย่างลึกซึ้งว่าปี้เยว่ไม่ใช่คนที่จะกล้าไปเสี่ยงอันตรายในนรก นางยังนึกว่าท่านโหวเทียนหยวนช่วยคิดหาทางหาคะแนนมาให้ แต่ก็ยังมีท่านโหวคนอื่นๆ อีกไม่น้อยที่ตกอันดับ ท่านโหวเทียนหยวนก็ไม่ได้เก่งกว่าท่านโหวคนอื่นสักเท่าไร ในที่สุดตอนนี้ก็ได้คำตอบแล้ว ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง!


ผ่านไปไม่นาน จ้านหรูอี้ก็ส่งข่าวมาแล้ว ส่งข่าวมาฟ้องปี้เยว่ฮูหยิน เล่าอุบายขู่รีดเงินของเหมียวอี้ให้ฟัง ขอให้ปี้เยว่ฮูหยินทวงความยุติธรรมให้


ปี้เยว่ฮูหยินปวดหัวทันที ทหารยามที่อยู่นอกจวนแม่ทัพภาคแค่เห็นเหมียวอี้รังแกคนอื่น แต่ไม่รู้ว่าเหมียวอี้ใช้อุบายรีดไถเงินเยอะขนาดนั้น


ผ่านไปครู่เดียว ท่านโหวเทียนหยวนก็ติดต่อนางมาอีก ถามว่า  :  หนิวโหย่วเต๋อนั่นคิดจะทำอะไร? ลงมือทำร้ายคนในตำหนักประชุม ทำร้ายคนนอกจวนแม่ทัพภาคอีก ทั้งยังออกอุบายรีดไถเงิน อยากจะก่อกบฏเหรอ? เจ้าเตรียมจะจัดการยังไง?


ภรรยาของหัวหน้าภาคในสังกัดได้รับความไม่เป็นธรรม หัวหน้าภาคก็เลยมาหาเขา ให้เขาช่วยทวงความยุติธรรมให้


ปี้เยว่ฮูหยินถามกลับ  :  จะให้ลงโทษเขาให้ตายเชียวหรือ?


ท่านโหวเทียนหยวน  :  ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอก เรื่องลอบสังหารในปีนั้นทำให้ฝ่าบาทพะวงอยู่ในใจตลอด หนิวโหย่วเต๋อขึ้นทะเบียนที่ตำหนักสวรรค์แล้ว บวกกับเรื่องการต่อสู้ของคนระดับบนก็ไม่รู้จะสงบลงเมื่อไร ถ้าลงโทษตอนนี้จนตายอาจจะเป็นการสร้างปัญหาให้ตัวเอง อย่าทำให้เรื่องใหญ่โตเลย


ปี้เยว่ถามอีกว่า  :  ถ้าไม่ปิดปากเขา เมื่อถึงเวลานั้นแล้วเขาเอาเรื่องคะแนนทดสอบของข้าไปไปพูดจนทั่วขึ้นมา ข้าจะทำยังไง? เจ้ารู้มั้ยว่าเจ้าเด็กนั่นยอมแลกทุกอย่างแล้ว เขาบอกว่าล่วงเกินผู้มีอำนาจหมดทั้งราชสำนักแล้ว สักวันก็ต้องตายอยู่ดี เจ้าเองก็รู้เรื่องการต่อสู้ของเบื้องบน เป็นไปได้สูงว่าฝ่าบาทจะหาโอกาสลงดาบ ถ้าตอนนี้มีข่าวเปิดโปงว่าข้าโกงการทดสอบ แล้วเรื่องราวใหญ่โตขึ้นมาจะทำยังไง?


ท่านโหวเทียนหยวนเหมือนจะกลุ้มใจนิดหน่อย หลังจากเงียบไปพักใหญ่ถึงได้ถามอีกว่า  :  เขาบอกจริงเหรอว่าเขาล่วงเกินผู้มีอำนาจหมดทั้งราชสำนักแล้ว สักวันก็ต้องตายอยู่ดี?


ปี้เยว่ฮูหยิน  :  ข้าต้องลหอกเจ้าด้วยเหรอ?


ท่านโหวเทียนหยวนด่าว่า  :  หมาบ้าที่ไม่กลัวตาย…แบบนี้ เจ้าบอกให้เขาเขาคายเงินที่ฮุบไว้ออกมา แล้วชดเชยเงินให้แต่ละบ้านนิดหน่อย แล้วค่อยให้เขาไปขอโทษทีละบ้าน ตอนนี้ทำแบบนี้ไปก่อน รอให้ช่วงเวลาที่อ่อนไหวนี้ผ่านไปก่อนแล้วค่อยจัดการเขาอีกที


ปี้เยว่ฮูหยิน  :  รู้แล้ว…เออใช่ เจ้าไม่ต้องวิ่งวุ่นแล้ว ข้าไม่อยากออกจากจวนแม่ทัพภาคแล้ว


ท่านโหวเทียนหยวน  :  หมายความว่ายังไง?


ปี้เยว่ฮูหยิน  :  เจ้าบอกเองไม่ใช่เหรอว่าเจ้าผึ่งทิ้งข้าไว้ที่ดาวเทียนหยวนหลายปีแล้ว ต่อให้เป็นก้อนหินก็มีความรู้สึกได้ พอลองกลับไปคิดดูแล้ว ข้าก็ไม่ได้จากไปเพราะเลื่อนตำแหน่งอย่างมีหน้ามีตา จำเป็นต้องตกใจเพราะตอหนามสองตอจนต้องทิ้งแม้กระทั่งบ้านเก่าของตัวเองเหรอ? ถ้าข้าจากไปจริงๆ ถึงตอนนั้นใครจะไม่รู้บ้างว่าข้าตกใจหนีไปเพราะลูกน้องตัวเอง เจ้าจะให้ข้าเอาหน้าที่ไหนไปเจอคนอื่น?


ท่านโหวเทียนหยวน  :  ความคิดอ่านของผู้หญิง ข้าจะขอเตือนเจ้านะ ถ้าตอนนี้เจ้าไม่ไป ถ้าจะโยกย้ายตอนหลังก็ไม่ได้ง่ายๆ แล้วนะ ถึงตอนนั้นถ้าโดนจ้านหรูอี้กับเซี่ยโห้วหลงเฉิงทรมานจนปวดหัว เจ้าก็อย่ามาบ่นกับข้าแล้วกัน


ปี้เยว่ฮูหยิน  :  เมื่อก่อนข้าก็กังวลจริงๆ แต่ตอนนี้ข้าไม่กังวลแล้ว


ท่านโหวเทียนหยวนถามอีก  :  หมายความว่ายังไง?


ปี้เยว่ฮูหยิน  :  หนิวโหย่วเต๋อกับจ้านหรูอี้ไม่ถูกกัน เจ้าไม่รู้สึกเหรอว่าข้าอยู่ตรงกลางเพื่อคานอำนาจเป็นเรื่องดี? ลองคิดดูอีกมุมหนึ่ง ถ้ามีลูกน้องแบบจ้านหรูอี้กับเซี่ยโห้วหลงเฉิง ไม่ว่าจะเป็นในอำนาจท้องถิ่น หรือจะเป็นในระบบตลาดสวรรค์ เวลาจะจัดการเรื่องอะไรก็สะดวกมาก


ท่านโหวเทียนหยวน  : อาศัยสมองอย่างเจ้าเนี่ยนะจะคานอำนาจ เจ้าไหวรึเปล่า? อย่าไปแสดงความโง่อยู่ที่นั่นเลย รีบจบเรื่องนี้แล้วเปลี่ยนสถานที่ดีมั้ย?


ปี้เยว่ฮูหยินโมโหแล้ว  : ไม่ได้ใช้เงินของเจ้า ได้จ่ายเงินของเจ้า เจ้าด่าใครว่าโง่? เจ้าเปลี่ยนใจกลับไปกลับมาจนเรื่องของหนิวโหย่วเต๋อวุ่นวายกลายเป็นแบบนี้ เจ้าว่าใครกันแน่ที่โง่กว่า?


คำพูดนี้สะกิดปมของท่านโหว ที่สำคัญเป็นเพราะโดนผู้หญิงของตัวเองดูถูก ทำลายศักดิ์ศรีของผู้ชาย ท่านโหวเทียนหยวนอับอายจนกลายเป็นความโมโหทันที  : นางตัวแสบ! เจ้ากินยาผิดมารึไง หรือว่าบ้าไปแล้ว เจ้ารู้รึเปล่าว่าเจ้ากำลังพูดกับใครอยู่ เจ้าเชื่อมั้ยว่าข้าเลิกกับเจ้าได้?


ครั้งนี้ปี้เยว่ฮูหยินไม่สะทกสะท้านกับคำขู่ของเขาแล้ว กลับโต้ตอบอย่างฮึกเหิมว่า  :  เทียนหยวน ในที่สุดเจ้าก็พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาแล้ว เจ้าแอบเลี้ยงผู้หญิงไว้เป็นโขยง อย่านึกว่าข้าไม่รู้นะ เกรงว่าคงจะอยากเลิกกับผู้หญิงแก่อย่างข้าตั้งนานแล้วน่ะสิ? ได้! เรื่องของลูกน้องข้า ข้าจะจัดการยังไงมันก็เรื่องของข้า ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าพูดมากหรอก ไม่ถึงคราวที่คนนอกระบบอย่างเจ้าจะมายุ่งเรื่องในตลาดสวรรค์ ข้าจะรอหนังสือหย่าจากเจ้าแล้วกัน!


ท่านโหวเทียนหยวน  : นางตัวแสบ! เจ้าอย่ามาเสียใจทีหลังแล้วกัน ถ้าเกิดเรื่องขึ้นอย่ามาขอร้องข้านะ!


ปี้เยว่ฮูหยิน  : ไสหัวไปให้ไกลแม่เท่าไรก็ยิ่งดี!


พอด่าจบก็เก็บระฆังดาราทันที ขี้คร้านจะสนใจท่านโหวเทียนหยวนอีก นางหันกลับมากำชับหลันเซียงว่า “หลันเซียง ต่อไปนี้ไม่ต้องไปสนใจไอ้เวรเทียนหยวนนั่นอีก!”


“เอ่อ…” หลันเซียงพูดไม่ออก ไม่ต้องบอกก็รู้แล้ว ฮูหยินทะเลาะกับท่านโหวอีกแล้ว


นางเดาไม่ผิด เพียงแต่การทะเลาะกันครั้งนี้ต่างจากครั้งที่ผ่านมานิดหน่อย


จู่ๆ ปี้เยว่ฮูหยินก็เร่งความเร็วในการเหาะ เพียงแต่แววตาสับสนนิดหน่อย นางอยากจะเจอลูกสาวตัวเองให้เร็วที่สุด และก็อยากเลิกกับท่านโหวเทียนหยวนให้เด็ดขาดจริงๆ จะได้ให้คำอธิบายกับลูกสาวตัวเองได้…


ดาวเทียนหยวน ตำหนักคุ้มเมือง เมื่อกลุ่มของปี้เยว่มาถึงแล้ว ทหารยามเฝ้าประตูก็ไม่กล้าขวาง ปล่อยให้เข้าไปโดยตรง


หลังจากเข้ามาแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินก็ไม่ให้ใครติดตามเข้าไปอีก แม้แต่ปีศาจจิ้งจอกพันหน้าที่อุ้มอยู่ก็ส่งต่อให้หลันเซียงแล้ว บอกว่าอยากจะไปดูสถานที่ที่ตัวเองอาศัยอยู่มาหลายปีเพียงลำพัง นางเดินวนอยู่ในตำหนักคุ้มเมืองคนเดียว


การมาเยือนของปี้เยว่ฮูหยินทำให้หยางชิ่งคาดไม่ถึงนิดหน่อย รีบติดต่อเหมียวอี้ทันที  : นายท่าน แม่ทัพภาคมาแล้ว


เหมียวอี้  : ข้ารู้แล้ว


หยางชิ่ง  : นายท่านกรุณาเล่าสถานการณ์ที่จวนแม่ทัพภาค ข้าน้อยจะได้รับมือทางนี้ได้สะดวก


เหมียวอี้เล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้ฟังทันที หลังจากได้ฟังแล้ว หยางชิ่งก็ค่อนข้างพูดไม่ออก ก่อนไปเหมียวอี้ก็บอกแล้วว่าต้องการจะทำเรื่องนี้ แต่เขาก็กำชับแล้วว่าถ้าจะทำ ก็ต้องทำให้ไกลๆ จวนแม่ทัพภาคหน่อย แต่นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะลงมือในตำหนักประชุม ทั้งยังยั่วโมโหให้ปี้เยว่ฮูหยินมาที่นี่ด้วย สมองมีปัญหารึไง?


ขนาดหยางชิ่งได้ฟังยังนึกกลัวย้อนหลัง แต่ทำไมปี้เยว่ฮูหยินจึงไม่ซัดเจ้าเวรนี่ให้ตายคาที่ไปเสียเลยล่ะ?


แต่พอคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าไม่ชอบมาพากล รู้สึกว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ พอนึกขึ้นได้ว่าเหมียวอี้เคยบอกว่าสามารถควบคุมคะแนนทดสอบของปี้เยว่ได้ เขาก็สงสัยเรื่องนี้ทันที สงสัยว่าในคะแนนทดสอบนี้จะต้องมีเรื่องบางอย่างที่ให้คนอื่นรู้ไม่ได้หรือเปล่า


หยางชิ่ง  : นายท่านได้ให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงไปคิดบัญชีกับจางฮั่นฟางและหลิ่วกุ้ยผิงหรือเปล่า?


เหมียวอี้  : บอกแล้ว แต่สงสัยจ้านหรูอี้จะต้องออกหน้าให้พวกเขาแน่เลย ข้ากังวลนิดหน่อยว่าทางตระกูลอิ๋งจะกดดันจนเกิดเรื่องอะไรขึ้น


หยางชิ่ง  : นี่เป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมาย แต่นายท่านไม่จำเป็นต้องกังวล ในเรื่องนี้ ตระกูลอิ๋งเองก็ไม่มีทางปล่อยให้จ้านหรูอี้ทำซี้ซั้วเหมือนกัน ถ้านายท่านจะกำเริบเสิบสานอีกสักนิด ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เพียงแต่ถ้ากลับไปแล้วปี้เยว่ฮูหยินถามถึงเรื่องขู่รีดไถเงิน นายท่านก็จะต้องปากแข็งยืนยันว่าไม่ได้มีเรื่องแบบนี้ขึ้นเลย พวกเขาเป็นพวกเดียวกัน คำพูดที่กล่าวออกมาไม่เพียงพอให้เป็นหลักฐาน ทางด้านนั้นเซี่ยโห้วหลงเฉิงแค่ต้องไปจัดการอีกสองคน เขาจะต้องสร้างพยานหลักฐานเท็จให้นายท่านแน่นอน เงินที่เข้ากระเป๋าเขาไปแล้ว อย่าได้คิดเลยว่าเขาจะคายออกมาอีก


เหมียวอี้  : เขาออกไปคิดบัญชีสำเร็จรึเปล่า?


หยางชิ่ง  : จางฮั่นฟางกับหลิ่วกุ้ยผิงข้าพอจะรู้จักอยู่บ้าง ทนคนที่ชอบก่อเรื่องอย่างเซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่ไหวหรอก พอเซี่ยโห้วหลงเฉิงไปที่นั่น แล้วพบว่าเงินจ่ออยู่ตรงปาก ถ้าไม่ให้เขาละก็ เขาก็อาจจะฝืนแย่งมาก็ได้ สองคนนั้นทนรับไม่ไหวจะต้องให้แน่นอน หลังจากเสร็จเรื่อง เรื่องที่เกิดขึ้นทางนั้นก็จะเปิดเผยมาทางปี้เยว่ฮูหยินแน่นอน พอเซี่ยโห้วหลงเฉิงเห็นนายท่านเบี้ยวเงิน เขาที่ไม่อยากคายเงินก็จะต้องเบี้ยวเงินตามเช่นกัน ถึงตอนนั้นถ้าปี้เยว่ฮูหยินไม่ลงโทษเซี่ยโห้วหลงเฉิง ก็ไม่สะดวกจะลงโทษนายท่านด้วยเช่นกัน ให้มหาเทพอย่างเซี่ยโห้วหลงเฉิงคอยกันอยู่ข้างหน้าก็สิ้นเรื่องแล้ว


หลังจากได้ฟังแล้ว เหมียวอี้กลับแอบพึมพำว่า จำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนี้มั้ย? แต่เขาก็ไม่บอกเรื่องระหว่างตัวเองกับปี้เยว่ฮูหยินให้หยางชิ่งรู้เช่นกัน


บทที่ 1315 แม่ลูกพบกันอีกครั้ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

แน่นอน สาเหตุที่ปฏิบัติตามสิ่งที่หยางชิ่งบอกก่อนหน้านี้และให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงไปเก็บบัญชี ก็เพราะคำนึงถึงปี้เยว่ฮูหยิน ทุกเรื่องล้วนมีขีดจำกัด ถ้าก่อเรื่องจนปี้เยว่ฮูหยินแบกรับไม่ไหว ถ้าทำให้ปี้เยว่ฮูหยินล้มลงจริงๆ ความพยายามก็จะสูญเปล่าแล้ว


ทว่าเรื่องราวมากมายในโลกนี้ล้วนคลาดเคลื่อนได้ ไม่ใช่สิ่งที่ความสามารถของคนจะคาดการณ์ได้หมด ปี้เยว่ฮูหยินไม่รู้ว่าเขายังเตรียมแผนสำรองเอาไว้ เพื่อที่จะช่วยเขาแบกรับเรื่องนี้ นางทะเลาะจนแตกคอกับท่านโหวเทียนหยวนแล้ว


ทางนี้เพิ่งติดต่อกับหยางชิ่งเสร็จ ปี้เยว่ฮูหยินที่เดินวนเพียงลำพังในตำหนักคุ้มเมืองรอบหนึ่งไม่พบลูกสาว จึงติดต่อมาถามเขาแล้ว  :  ลูกสาวข้าอยู่ไหน?


เหมียวอี้  : จัดให้อยู่ที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก ข้าจะให้คนพาไปส่งเดี๋ยวนี้


ปี้เยว่ฮูหยินรีบปฏิเสธ  : ไม่ต้องแล้ว รอเจ้ากลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน ข้าไม่อยากให้เรื่องนี้ผ่านมือคนนอก


นี่คือข้ออ้าง ที่จริงนางอยากเจอแต่ก็กลัวที่จะเจอ นางเดินวนอยู่ในตำหนักคุ้มเมืองเพียงลำพัง อยากจะแอบดูลูกสาวก่อนสักหน่อย ตอนนี้นางไม่รู้ว่าควรจะเผชิญหน้ากับลูกสาวอย่างไรดี ความกังวลในใจไม่มีทางอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้


เหมียวอี้  : ดี ข้าจะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้


วังสวรรค์ ตำหนักดาราจักร ทูตตรวจการฝ่ายซ้ายซือหม่าเวิ่นเทียนกำลังยืนอยู่แล้วหน้าเพื่อตอบคำถาม


ช่วงนี้ประมุขชิงอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร เขานั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะยาว เอนกายพิงเก้าอี้พลางหลับตาพักผ่อน รอจนกระทั่งซือหม่าเวิ่นเทียนกล่าวคารวะแล้ว ถึงได้ถามว่า “ข้างล่างมีความเคลื่อนไหวอะไรบ้าง?”


ซือหม่าเวิ่นเทียน “แต่ละฝ่ายได้รับคำสั่งให้ปิดผนึกและตรวจสอบประตูดวงดาวแต่ละแห่ง เพียงแต่ออกแรงทำงานแบบไม่เต็มใจ ทุกคนทำอย่างขอไปที ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรขอรับ”


ประมุขชิงลืมตาเล็กน้อย “ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรแม้แต่น้อยเลยเหรอ?”


ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบว่า “พวกเขาทำงานอย่างระมักระวังและสำรวมอาการ แทบจะไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร กลับเป็นทางด้านท่านโหวเทียนหยวนที่เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายนิดหน่อยขอรับ” เขาพลิกฝ่ามือนำแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกมา แล้วช้สองมือยื่นให้


ประมุขชิงขยุ้มนิ้วทั้งห้า ดูดแผ่นหยกมาไว้ในมือแล้วตรวจอ่าน


ข้างในเป็นเรื่องที่ลูกน้องของซือหม่าเวิ่นเทียนรายงานขึ้นมา สิ่งที่บันทึกไว้ในนั้นก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นที่จวนของปี้เยว่ฮูหยิน เริ่มตั้งแต่เรื่องที่เหมียวอี้ทำร้ายเพื่อนร่วมงานในตำหนักประชุม จากนั้นก็ออกอุบายรีดไถเงินเพื่อนร่วมงานพร้อมตบหน้าทุกคนแทนดอกเบี้ยที่นอกจวนแม่ทัพภาค รวมทั้งเรื่องที่คนนอกไม่รู้อย่างเช่น เหมียวอี้ซ่อนผลงานทดสอบไว้เพื่อช่วยให้ปี้เยว่ฮูหยินทดสอบได้อันดับเก้า หรือแม้กระทั้งเรื่องที่ท่านโหวเทียนหยวนกับปี้เยว่ฮูหยินทะเลาะกันผ่านระฆังดาราเพราะเรื่องนี้ก็ถูกบันทึกอยู่ในนี้ด้วย


ความสามารถในการสังเกตการณ์อันร้ายกาจของหน่วยตรวจตรวจการฝ่ายซ้ายล้วนแสดงออกในบันทึกนี้หมดแล้ว หลังจากประมุขชิงได้อ่านแล้วอารมณ์ดีมาก โดยเฉพาะเนื้อหาในบันทึกที่ทำให้เขากลั้นขำไม่ไหว “หนิวโหย่วเต๋อคนนี้นี่ยังไงกัน ทำไมเหมือนหมาบ้าล่ะ กล้าทำร้ายเพื่อนร่วมงานในตำหนักประชุมได้ยังไง?”


ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบว่า “เรื่องนี้มีสาเหตุขอรับ คาดว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ตอนหลังหนิวโหย่วเต๋อล้างเลือดร้านค้าที่ตลาดสวรรค์เช่นกัน ในปีนั้นหนิวโหย่วเต๋อเคยโดนคนพวกนี้สร้างความอัปยศอับอายให้อย่างถึงที่สุด…” เขาเล่าเรื่องที่หมียวอี้โดนคนพวกนั้นสร้างความอัปยศให้อย่างกำเริบเสิบสาน สุดท้ายก็กล่าวเสริมว่า “ตอนที่ทดสอบ เหมียวอี้ก็เคยไล่สังหารเพื่อนร่วมงานพวกนี้ แต่โชคดีพ้นเคราะห์ไปได้ จากนั้นกลับมาจวนแม่ทัพภาคตงหัวก็ไม่เจอโอกาสลงมือเสียที ครั้งนี้ปี้เยว่ทดสอบกลับมา ในที่สุดทุกคนก็ได้เจอหน้ากัน หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าเวรนั่นอาศัยว่าตัวเองแอบทำคะแนนทดสอบให้ปี้เยว่ จึงมีความมั่นใจ ก็เลยลงมือเสียเลย”


“ผลงานทดสอบที่ซ่อนไว้เพื่อพุ่งเป้าไปที่ตำแหน่งแม่ทัพภาคในภายหลังเหรอ?” ประมุขชิงคุร่นคิดเล็กน้อย แล้วถามกลับว่า “ถ้าข้าจำไม่ผิด เดิมทีหนิวโหย่วเต๋อทดสอบได้อันดับเก้า แต่เป็นเพราะพังกลองสะท้านฟ้าทำลายอำนาจบารมีของตำหนักสวรรค์ ก็เลยถูกถอดอันดับทดสอบใช่มั้ย?”


ถึงอย่างไรคนอย่างเหมียวอี้ก็อยู่ระดับต่ำเกินไปจริงๆ ต้องเกิดเรื่องขึ้น ประมุขชิงถึงจะสนใจ แต่ก็ใช่ว่าจะจดจำเหมียวอี้ไว้ตลอด ในใต้หล้ามีเรื่องสำคัญมากมายขนาดนั้น ถ้าไม่เกิดเรื่องขึ้นก็ไม่มีทางที่จะสนใจทุกการกระทำของเหมียวอี้ผู้ต่ำต้อย สามารถจดจำชื่อ ‘หนิวโหย่วเต๋อ’ ได้ก็นับว่าไม่แย่แล้ว


ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบว่า “ขอรับ! ตอนแรกยังมีขุนนางใหญ่จำนวนไม่น้อยที่บอกว่าอยากได้ตัวหนิวโหย่วเต๋อ ใครจะคิดว่าพอหนิวโหย่วเต๋อกลับมาแล้วจะล้างเลือดตลาดสวรรค์อีกครั้ง ทำให้ไม่มีใครอยากได้แล้ว ความมุทะลุบุ่มบ่ามของหนิวโหย่วเต๋อเรียกได้ว่าทำลายอนาคตดีๆ ของตัวเอง”


ประมุขชิงตอบว่า “เดิมทีเขาได้อันดับเก้า คะแนนที่ซ่อนไว้ก็ทำให้ฮูหยินของเทียนหยวนได้อันดับเก้าเหมือนกัน แบบนี้แสดงว่าเดิมทีเขามีโอกาสได้อันดับหนึ่ง…ดูท่าแล้ว เหมือนเขาจะไปสู้ตายที่แดนอเวจีจริงๆ ยังมีความสามารถอยู่”


 “ศักยภาพนั้นพอมีอยู่บ้าง ความสามารถก็มีเช่นกัน ติดแค่ก่อเรื่องเก่งเกินไปขอรับ” ซือหม่าเวิ่นเทียนกล่าว


“ก่อเรื่อง?” ประมุขชิงกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เจ้าหนุ่มนี่ช่างไม่เกรงใจสักนิดเลยจริงๆ ไม่ไว้หน้าแม้แต่หลานสาวของอ๋องสวรรค์อิ๋ง ออกอุบายรีดเงินสร้างความอับอายต่อหน้าฝูงชนแบบนี้ เขาไม่กลัวว่าถ้าเพื่อนร่วมงานจะจนตรอกจนร่วมมือกันสู้ตายกับเขาบ้างเหรอ?”


ซือหม่าเวิ่นเทียนกล่าวว่า “ฝ่าบาท ตอนทดสอบหนิวโหย่วเต๋อบุกเดี่ยวโจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้าน ไม่มีใครต้านทานได้ คนพวกนี้ล้วนอยู่ในที่เกิดเหตุ ตอนนั้นจ้านหรูอี้แทบจะโดนหนิวโหย่วเต๋อแทงตายด้วยทวนเดียว คนอื่นๆ ก็ยิ่งตกใจจนลุกลี้ลุกลนหนี ต่อให้ร่วมมือกันก็เกรงว่าอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหนิวโหย่วเต๋อ พวกเขาย่อมไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามอยู่แล้ว หนิวโหย่วเต๋อยิ่งประกาศว่า ‘ข้ามีเรื่องกับผู้มีอำนาจมาทั้งราชสำนักแล้ว ไม่ช้าก็เร็วก็จะต้องตายอยู่ดี’ เขายอมแลกทุกอย่างเพื่อสู้ตายแล้ว ขนาดสถานะของหลานสาวอ๋องสวรรค์อิ๋งก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้”


“มีเรื่องกับผู้มีอำนาจมาทั้งราชสำนักแล้ว…” ประมุขชิงหรี่ตาพลางพึมพำว่า “ล้างเลือดสองครั้ง โดนเขาล่วงเกินมาหมดแล้วจริงๆ…ก่อนหน้านี้เหมือนจะเคยได้ยินคนเอ่ยถึง ดูท่าแล้ว การจับเจ้าเด็กนั่นไปไว้ที่ตลาดสวรรค์ในตอนนี้ก็น่าเสียดายเกินไปจริงๆ”


ซือหม่าเวิ่นเทียนถามหยั่งเชิงว่า “ฝ่าบาทหมายความว่า จะย้ายเขาออกมาจากตลาดสวรรค์หรือขอรับ?”


ประมุขชิงใช้สองมือประคองที่วางมือบนเก้าอี้เพื่อลุกขึ้นยืน เอามือไขว้หลังเดินอ้อมโต๊ะยาวออกมา ขณะที่ก้าวช้าๆ ก็กล่าวว่า “วรยุทธ์ต่ำเกินไป ย้ายออกมาก็ใช้งานสำคัญอะไรไม่ได้ แล้วอีกอย่าง ถ้าตอนนี้ไม่ให้เขากอบโกยทรัพยากรจากตรงนั้น ถ้าไม่มีทรัพยากรฝึกตน แล้วเขาจะเพิ่มวรยุทธ์ให้สูงขึ้นได้อย่างไร? รอให้วรยุทธ์เขาสูงขึ้นมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน! แต่คนที่เขาล่วงเกินก็มีเยอะเกินไปจริงๆ ถ้าโอกาสเหมาะสมทางเจ้าก็แอบสนับสนุนเขาสักหน่อย คิดเสียว่าให้โอกาสเขาเติบโต อย่าปล่อยให้คนอื่นทำเขาตายได้ง่ายๆ และแน่นอน คมดาบเกิดขึ้นเพราะถูกลับ อย่าทำเรื่องที่ประเภทดึงต้นกล้าให้โต[1] ถ้าไม่ผ่านการตีหลอมนับพันครั้ง ก็จะเป็นกระดูกที่ไม่ทนทาน คุมสนามไม่ได้ หากต้องการเพียงนักพรตวรยุทธ์สูง คนที่นำเขาอยู่ก็มีตั้งเยอะ ข้าจะเอาเขาไว้ทำไม? ข้าให้โอกาสเขา แต่หนทางเขาต้องเป็นคนเดินเอง ส่วนจะเดินได้ไกลเท่าไร ก็ต้องดูที่ตัวเขาเองแล้ว ข้าไม่ต้องสวะที่ไร้ประโยชน์”


“ขอรับ!” ซือหม่าเวิ่นเทียนเอ่ยรับ


ตำหนักคุ้มเมือง หยางชิ่งยืนคอยและมองอยู่ตรงประตู เห็นเหมียวอี้มาแล้วแต่กลับเหาะไปทางจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก เขาก็งงนิดหน่อย


ผ่านไปไม่นาน เหมียวอี้ก็เหาะกลับมาจากเขตเมืองตะวันออก มาเหยียบตรงประตูตำหนักคุ้มเมือง


หยางชิ่งก้าวขึ้นมาพึมพำถาม “แม่ทัพภาครออยู่ที่ตำหนักหลัง ไม่ทราบว่านายท่านติดต่อเซี่ยโห้วหลงเฉิงรึยัง?”


“ติดต่อแล้ว เจ้านั่นไม่ได้กลับไปเลย พอออกจากจวนแม่ทัพภาคตงหัวก็มุ่งตรงไปจวนแม่ทัพภาคหนีฉางแล้ว ไม่ยอมรอนานเลยแม้แต่ครู่เดียว ไปคิดบัญชีแบบไม่พาคนไปด้วย ไม่กลัวว่าจะโดนฆ่าเลย” เหมียวอี้ส่ายหน้า เขายอมแพ้เจ้าเซี่ยโห้วหลงเฉิงนั่นแล้วจริงๆ


หยางชิ่งเดินตามหลังเขาพลางกล่าวกลั้วหัวเราะ  “ภูมิหลังของเขายังไม่ประสบพบเจอความเสื่อมถอย ย่อมไม่ต้องกังวลเรื่องพวกนั้นอยู่แล้ว จางฮั่นฟางกับหลิ่วกุ้ยผิงก็ไม่กล้าแตะต้องเขาเหมือนกัน”


ตอนที่จะเข้าตำหนักหลัง เหมียวอี้โบกมือห้ามไม่ให้หยางชิ่งเข้าไปด้วยกัน


ตำหนักหลังถูกปี้เยว่ฮูหยินยึดครองแล้ว และประตูตำหนักหลังก็ถูกคนของปี้เยว่เฝ้าไว้แล้วเช่นกัน ทหารยามคนหนึ่งหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อ ผ่านไปครู่หนึ่งหลันเซียงก็อุ้มปีศาจจิ้งจอกพันหน้านำคนเดินออกมา แล้วให้เหมียวอี้เข้าไป ส่วนตัวเองกลับไม่ได้เข้าไปอีก


แค่มองปราดเดียวเหมียวอี้ก็รู้แล้วว่าปี้เยว่ฮูหยินตั้งใจกันคนอื่นๆ ออกไป


พอเข้ามาในสวนดอกไม้ ก็เห็นปี้เยว่ฮูหยินยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว ชั่วพริบตานั้น เหมียวอี้ก็ค่อนข้างเหม่อลอย เหมือนย้อนกลับไปในภาพเหตุการณ์ที่ตัวเองมาเยี่ยมคารวะปี้เยว่ฮูหยินที่นี่ในปีนั้น


เมื่อไม่มีคนนอกแล้ว เหมียวอี้ได้พบกับนางอีกครั้ง เขาขี้เกียจจะทำตัวสุภาพแล้ว กุมหมัดคารวะเบาๆ พร้อมทักทายว่า “ให้ฮูหยินรอนานแล้ว”


ปี้เยว่กำลังยืนดอมดมอยู่หน้าดอกไม้ นางไม่ได้หันกลับมา เพียงพ่นเสียงทางจมูกแล้วบอกว่า “ยาแก่นเซียนคนละยี่สิบล้านเม็ด เจ้าทำเกินไปหน่อยรึเปล่า แค่ระบายความโกรธก็พอแล้ว อย่างมากก็นับว่าเป็นความแค้นส่วนตัวระหว่างพวกเจ้า เจ้าออกอุบายรีดไถเงินเพื่อนร่วมงาน อีกฝ่ายมาฟ้องข้าแล้ว เจ้าจะให้ข้าลงโทษหรือไม่ลงโทษดีล่ะ? เทียนหยวนกดดันข้าแล้ว!”


“ไม่เป็นไร ข้าเตรียมทางหนีทีไล่ให้ฮูหยินแล้ว” เหมียวอี้กล่าว


ปี้เยว่ปล่อยกิ่งของดอกไม้ที่ถืออยู่ในมือ แล้วหันกลับมาถามว่า “หมายความว่ายังไง?”


เหมียวอี้ตอบว่า “เซี่ยโห้วหลงเฉิงไปคิดบัญชีที่จางฮั่นฟางกับหลิ่วกุ้ยผิงแล้ว เก็บยาแก่นเซียนคนล่ะยี่สิบล้านเม็ดเหมือนกัน ที่เขาเก็บได้ก็เป็นของเขาหมด นอกจากนี้ ใครจะพิสูจน์ได้ล่ะว่าข้าออกอุบายรีดไถเงินพวกเขา? ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ยอมรับ”


ปี้เยว่ฮูหยินขมวดคิ้ว ตอนแรกยังไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอะไร แต่หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง นางก็พูดไม่ออกนิดหน่อย สงสัยจะผลักเรื่องนี้ไปให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงออกหน้าต้านทานให้


ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงไม่ถามเรื่องนี้อีก สิ่งที่นางสนใจที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องนี้ นางเอียงหน้ากล่าวว่า “ไปพาคนมาเถอะ”


เหมียวอี้ยิ้มบางๆ ชี้ไปที่กระเป๋าสัตว์ตรงเอว บอกใบ้ว่าพาคนมาแล้ว


เขากำลังจะโบกมือเรียกไห่ผิงซินออกมา แต่ปี้เยว่ฮูหยินกลับนึกไม่ถึงว่าเขาจะพาคนมาโดยตรง นางยังเตรียมสภาพจิตใจไม่พร้อม คว้าข้อมือเขาเอาไว้ แล้วกล่าวอย่างร้อนใจว่า “ช้าก่อน”


จากนั้นก็เหมือนจะสังเกตเห็นว่าตัวเองเสียอาการ ฝ่าฝืนบรรทัดฐานที่ชายหญิงไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวกัน จึงรีบปล่อยมือ แล้วหันตัวเอามือนาบอกตัวเอง แล้วเดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวายไม่หยุด สำหรับคนคนหนึ่งที่ทิ้งลูกสาวตัวเองเพื่อชีวิตที่ดีกว่า การเผชิญหน้าในตอนนี้คือสิ่งที่ยากลำบากมาก


เหมียวอี้พบว่าผู้หญิงคนนี้กังวลมาก หลังจากเดาอะไรบางอย่างได้แล้ว เขาก็ถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็รักษาความเงียบเอาไว้ รอคอยต่อไป


หลังจากนั้นพักหนึ่ง ปี้เยว่ก็เหมือนจะตัดสินใจได้แล้ว นางหันตัวมาพยักหน้าให้เขา


พอเหมียวอี้โบกมือ ไห่ผิงซินที่สวมชุดกระโปรงยาวสีเหลืองอ่อนสวยบริสุทธิ์ก็ปรากฏตัว นางเหลียวซ้ายแลขวาอย่างงุนงง หลังจากเห็นหน้าปี้เยว่ฮูหยินที่กำลังยิ้มอย่างเจ็บปวดรวดร้าว นางก็สีหน้าเปลี่ยนไปมากทันที ดวงตาแดงก่ำในชั่วพริบตาเดียว น้ำตาเม็ดใหญ่เริ่มไหลออกมา นางเริ่มถอยหลังขณะที่สายตากวาดมองหาอะไรบางอย่างไปทั่ว


“ซินเอ๋อร์!” ปี้เยว่ฮูหยินถอนหายใจเบาๆ


ไห่ผิงซินเอามือปาดน้ำตา แล้วยกกระโปรงวิ่งไปทันที ผลักประตูใหญ่ของห้องห้องหนึ่งที่อยู่ในสวนดอกไม้เข้าไปโดยตรง วิ่งเข้าไปแล้วรีบปิดประตูอย่างรวดเร็ว


ปฏิกิริยาของลูกสาวราวกับดาบที่แทงทะลุหัวใจ ปี้เยว่ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความขื่นขมรีบก้าวไปยืนอยู่นอกประตู แล้วเคาะเบาๆ พลางเรียกไม่หยุด “ซินเอ๋อร์ แม่เองลูก เปิดประตูสิ แม่มีเรื่องจะคุยกับเจ้า”


แต่ไม่ว่านางจะพูดอย่างไร ไห่ผิงซินที่อยู่ข้างในก็ไม่ยอมพูดอะไรเลย ปี้เยว่เองก็ไม่ฝืน สุดท้ายก็ยืนอยู่นอกประตู ยืนพูดพร่ำมากมายโดยมีประตูกั้น


เหมียวอี้ยืนเอามือไขว้หลังอยู่ในสวนดอกไม้ ฟังปี้เยว่ฮูหยินตำหนิตัดพ้อตัวเอง


…………………………


[1] ดึงต้นกล้าให้โต 拔苗助长 อุมาว่ารีบร้อนเร่งให้งานสำเร็จโดยใช้วิธีที่ผิด


บทที่ 1316 สามีคือผู้นำ ภรรยาคือผู้ตาม

โดย

Ink Stone_Fantasy

 ไม่รู้เหมือนกันว่าผ่านไปนานเท่าไร ดวงอาทิตย์เคลื่อนไปทางทิศตะวันตก เงาต้นไม้ลาดเอียง แต่ประตูบานนั้นกลับไม่เปิดออกเลย


ในที่สุดปี้เยว่ฮูหยินก็ยอมแพ้อย่างจนใจ ใบหน้ามีแต่ความผิดหวังสุดทน เดินกลับมาช้าๆ อย่างเลื่อนลอย


เหมียวอี้เดินเข้าไปใกล้ แล้วกล่าวว่า “เอาแบบนี้มั้ยล่ะ ต่อไปนี้ให้นางอยู่กับข้าที่นี่ก็ได้ ข้าจะหาทางมอบสถานะขุนนางของตำหนักสวรรค์ให้นาง ให้งานอะไรสักอย่างให้นางทำที่ตำหนักคุ้มเมือง ไม่ทำให้นางได้รับความไม่ยุติธรรมหรอก รอให้นางคิดได้ก่อน แล้วฮูหยินค่อยพานางไปก็ยังไม่สาย ถ้าทำแบบนี้ต่อไปอาจจะทำให้คนนอกสงสัย”


ก่อนหน้านี้เขาไม่อยากจะทำแบบนี้ คิดเพียงว่าถ้าส่งไห่ผิงซินให้ถึงมือปี้เยว่ เขาก็จะควบคุมอะไรไม่ได้แล้ว แต่ดูจากท่าทางในตอนนี้ ไห่ผิงซินไม่อยากแม้แต่จะพบหน้าปี้เยว่ด้วยซ้ำ มีหรือที่จะยอมไปกับปี้เยว่ ต่อให้ฝืนพาไปด้วยก็ลำบาก เขานึกถึงคำฝากฝังของจินม่าน และการที่เด็กผู้หญิงคนนั้นสับสนแบบนี้ ก็เป็นเพราะตัวเขาด้วย คงไม่ดีหากจะไม่สนใจ


ปี้เยว่เงยหน้า ถามว่า “เจ้าไม่กลัวว่าถ้าเกิดเรื่องขึ้นแล้วเจ้าจะลำบากไปด้วยเหรอ?”


ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ แล้วติดร่างแหซวยไปกับลูกสาวโจรกบฏแล้วจะเป็นไรไป เพราะข้านี่แหละหัวหน้าโจรกบฏ! เหมียวอี้ยิ้มแห้งในใจ แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ การที่ข้าปิดบังเรื่องนี้ไว้ก็ทำให้ข้าหนีข้อหาไม่พ้นแล้ว จะสนใจเรื่องนี้ทำไม? ถึงอย่างไรข้าก็มีเรื่องกับขุนนางมาทั้งราชสำนักแล้ว หวังเพียงฮูหยินจะจดจำความดีของข้าน้อยบ้าง ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ให้อภัยมากๆ หน่อยก็พอแล้ว”


ปี้เยว่ครุ่นคิด ที่จริงนางไม่วางใจที่จะปล่อยไห่ผิงซินไว้ข้างกายเหมียวอี้ ที่สำคัญเป็นเพราะเหมียวอี้ขยันก่อเรื่องเกินไปแล้ว แต่ก็ไม่สะดวกจะให้บุคคลที่สามรู้เรื่องนี้อีก ไม่ว่านางจะฝากฝังไห่ผิงซินไว้ที่ใคร ก็ทำให้คนแปลกใจทั้งนั้น เลี่ยงไม่ได้ที่จะอยากรู้อยากเห็นชาติกำเนิดของไห่ผิงซิน


นางพิจารณาครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าบอกว่า “ต่อไปนี้ไม่ต้องมอบสินน้ำใจในแต่ละปีให้ข้าแล้ว”


คำพูดนี้เท่ากับตอบตกลงรับคำชี้แนะของเหมียวอี้แล้ว เท่ากับทิ้งผลประโยชน์ส่วนนั้นไว้ให้เหมียวอี้ ให้เขาช่วยดูแลลูกสาวให้


เหมียวอี้โบกมือ “ฮูหยินเองก็ต้องมอบให้เบื้องบนเหมือนกัน ตราบใดที่ฮูหยินอยู่ในตำแหน่งอย่างมั่นคง แบบนั้นถึงจะยิ่งบังลมบังฝนให้ข้าได้สะดวก ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าตัดสินน้ำใจส่วนนี้ออกไป ก็เกรงว่าจะทำให้คนข้างกายฮูหยินสงสัยได้ ฮูหยินไม่ต้องห่วง ทรัพยากรฝึกตนเล็กน้อยของไห่ผิงซินข้ารับผิดชอบไหว ข้าดูแลได้อย่างเพียงพอ ไม่ทำให้นางเสียเปรียบแน่นอน หรือพูดให้แย่หน่อยก็คือ ถ้าในมือข้าขัดสนขาดเงินจริงๆ ก็ค่อยไปเอ่ยปากขอจากฮูหยินก็ยังไม่สาย”


ปี้เยว่ฮูหยินแปลกใจกับปฏิกิริยาของเหมียวอี้อยู่บ้าง นางครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วพยักหน้า “งั้นก็ตกลงตามนี้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็บอกข้าให้ทันเวลา อันนี้มอบให้เจ้า” นางพลิกมือนำระฆังดาราอันหนึ่งออกมา เป็นอันเดียวกับที่เหมียวอี้ใช้ขู่นางก่อนหน้านี้ เป็นระฆังดาราที่นางกับไห่ผิงซินใช้เพื่อติดต่อกัน


เหมียวอี้เพิ่งจะรับมาเก็บไว้ จู่ๆ เสียงฝีเท้าที่รีบร้อนของผู้การสองหลันเซียงก็ดังมา นางแจ้งอย่างร้อนใจว่า “ฮูหยิน ท่านโหวมาแล้วค่ะ”


ปี้เยว่ฮูหยินกับเหมียวอี้อึ้งพร้อมกัน ยังไม่ทันได้คิดอะไรมากมาย เงาร่างของท่านโหวเทียนหยวนก็มาปรากฏอยู่ในประตูพระจันทร์ของสวนดอกไม้แล้ว เร่งฝีเท้าเดินเข้ามาอย่างองอาจห้าวหาญ ข้างหลังทางด้านซ้ายและขวายังมีลูกน้องติดตามมาด้วยสองคน ยิ้มทักทายมาตั้งแต่ไกลๆ “ฮูหยินทำให้ข้าหาตั้งนานจริงๆ นะ”


ท่านโหวเทียนหยวนปรากฏตัวอย่างกะทันหัน ทำให้ปี้เยว่เริ่มวิตกกังวลทันที ถึงอย่างไรลูกสาวก็อยู่ข้างกาย ถ้าให้ลูกสาวเห็นอีก จะให้นางทนรับความรู้สึกได้อย่างไร นางหันขวับไปมองหลันเซียง แล้วถามเสียงต่ำว่า “เจ้าใช่มั้ยที่บอกว่าข้าอยู่ที่นี่?”


หลันเซียงก้มหน้าเล็กน้อย “ฮูหยิน สามีภรรยาทะเลาะกันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทะเลาะกันที่หัวเตียง ไปคืนดีกันที่ปลายเตียง…”


“หุบปาก!” ปี้เยว่โมโหแล้ว


“ฮูหยินอย่าโทษหลันเซียงเลย ข้ากดดันนางเอง” ท่านโหวเทียนหยวนเดินเข้ามาใกล้พลางหัวเราะแห้งๆ เพียงแต่แววตาที่มองเหมียวอี้แฝงความหมายลึกซึ้ง เขาหันกลับมาถามหลันเซียงว่า “ฮูหยินพักที่ไหน?”


“ที่ห้องหลักที่เคยอยู่ก่อนหน้านี้ค่ะ” หลันเซียงตอบ


ท่านโหวเทียนหยวนยื่นมือมาจูงมือปี้เยว่ฮูหยินทันที “ฮูหยิน อย่าโมโหเลย ไปกันเถอะ ข้าจะไปขอโทษฮูหยิน”


“อย่ามาแตะต้องข้า!” ปี้เยว่สะบัดมือเขาออก ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แล้วถามเสียงต่ำว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”


ซวบ! ท่านโหวเทียนหยวนถลันตัวเข้าไป ชั่วพริบตาเดียวก็อุ้มปี้เยว่ฮูหยินขึ้นมาแล้ว กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ก่อนหน้านี้กล่าวเกินไปแล้ว ข้าก็ต้องมากล่าวขอโทษฮูหยินสิ” พูดจบก็เดินไปเลย แล้วหันกลับมาบอกลูกน้องว่า “วันนี้ข้าไม่ไปไหนแล้ว จะค้างที่นี่”


“รับทราบ!” ลูกน้องสองคนกุมหมัดรับคำสั่ง


หลันเซียงก้มหน้าโค้งคำนับ


สายตาเหมียวอี้เหลือบไปมองห้องเล็กในสวนดอกไม้โดยจิตใต้สำนึก ผลก็คือพบว่าไห่ผิงซินโผล่ศีรษะมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ กำลังมองดูตรงนี้จากด้านหลังหน้าต่างอย่างเงียบๆ เหมียวอี้เหลือบมองปี้เยว่ฮูหยินที่โดนอุ้มไปอีกครั้ง แล้วก็แอบถอนหายใจเบาๆ เขาเองก็ห้ามไม่ไหวเหมือนกัน


แต่ปี้เยว่ฮูหยินกลับดิ้นรนอย่างรุนแรง ตะคอกอย่างโมโหว่า “ปล่อยข้า! ถ้ายังไม่ปล่อยก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”


อาศัยวรยุทธ์อย่างนาง มีหรือที่จะสลัดท่านโหวเทียนหยวนหลุด ตอนแรกท่านโหวเทียนหยวนก็ไม่ได้สนใจนัก สามีภรรยาอยู่ด้วยกันมานานจนรู้จักกันดี ถ้าฮูหยินโมโหอีก แค่นอนด้วยสักครั้งแล้วปรนนิบัติอย่างสุดกำลัง เดี๋ยวเรื่องก็ผ่านไปแล้ว ทั้งสองอยู่ด้วยกันมาหลายปี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทะเลาะกัน


ใครจะคิดว่าปี้เยว่กลับดิ้นรนสุดชีวิต สุดท้ายก็ถึงขั้นร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดังว่า “ที่ตำหนักคุ้มเมืองนี้ไม่ว่าใครก็บุกเข้ามาได้ตามอำเภอใจอย่างนั้นเหรอ? ทหาร เอาตัวพวกคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป ใครขัดคำสั่ง ประหาร!”


ซวบๆ! รอบด้านมีกลุ่มทหารยามของตำหนักคุ้มเมืองเหาะมาทันที แม้แต่หยางชิ่งก็รวมอยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน เมื่อเห็นสถานการณ์แบบนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะขัดขวางหรือไม่ขัดขวางดี ต่างก็มองไปที่เหมียวอี้พร้อมกัน


เหมียวอี้ก็ปวดหัวเช่นกัน เขาเองก็อยากจะขัดขวาง แต่ขัดขวางไหวเหรอ? ถ้าเบื้องล่างรังแกเบื้องบนจนท่านโหวเทียนหยวนเดือดดาลขึ้นมาจริงๆ โดนท่านโหวเทียนหยวนตบฉาดเดียวก็ตายไปเปล่าๆ ถึงอย่างไรท่านโหวเทียนหยวนก็เป็นสามีของปี้เยว่ ยามปกติท่านโหวเทียนหยวนอาจจะไม่สะดวกจะแตะต้องเหมียวอี้ แต่การเข้าไปสอดแทรกเวลาสามีภรรยาทะเลาะกัน ถ้าอีกฝ่ายพลั้งมือขึ้นมา เจ้าก็จะไม่มีแม้แต่ที่ให้ทวงความยุติธรมด้วยซ้ำ ภายใต้สถานการณ์แบบน้ คนหนึ่งคือผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ คนหนึ่งคือท่านโหวที่มีตำแหน่งเป็นท่านเซียน ตำหนักสวรรค์จะจัดการอย่างไรก็ไม่ต้องคิดเยอะเลย


ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าไม่ต้องให้เขาขัดขวาง ได้ปล่อยไก่ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ ท่านโหวเทียนหยวนที่กำลังอุ้มปี้เยว่ฮูหยินหน้าดำคร่ำเครียดขึ้นมาทันที ถูกทำให้หาทางลงไม่ได้นิดหน่อย ท่านโหวผู้สง่าผ่าเผยควบคุมไม่ได้แม้กระทั่งเมียตัวเอง อับอายขายหน้าต่อหน้าคนมากมายแล้ว


เขาไม่ฝืนบังคับอีก ปล่อยให้ปี้เยว่ที่ดิ้นรนหลุดไป ทว่าเขาถือโอกาสฟาดไปหนึ่งฝ่ามือ


เพี้ยะ! เสียงดังชัดเจน ปี้เยว่ฮูหยินที่เพิ่งหลุดจากอ้อมกอดเขากำลังยืนอย่างมั่นคง แต่ก็โดนฝ่ามือนี้ของเขาเขาตบจนล้มลงอีก มุมปากมีเลือดไหลพลางหอบหายใจ ผ่านไปพักใหญ่ก็ยังไม่ลุกขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าโดนตบจนเบลอนิดหน่อย พิสูจน์แล้วว่าเทียนหยวนลงมือไม่เบา


หลันเซียง และลูกน้องอีกสองคนของเทียนหยวน รวมทั้งทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ต่างก็พากันตกตะลึงกับกับการตบฉาดนี้


เหมียวอี้กลับเริ่มอกสั่นขวัญแขวน รีบมองไปยังห้องเล็กในสวน กลัวว่าไห่ผิงซินจะวิ่งออกมาภายใต้ความร้อนใจ ต้องทราบไว้ว่าก่อนหน้านี้ไห่ผิงซินเคยยอมแลกทุกอย่างเพื่อจู่โจมเขาเมื่อรู้ว่ามารดาตกอยู่ในอันตราย ถ้าตอนนี้นางวิ่งออกมาตะโกนเรียก ‘ท่านแม่’ โลกนี้ก็จะวุ่นวายใหญ่โตแน่นอน คนที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนี้ไม่มีใครช่วยชีวิตสองแม่ลูกนี้ได้เลย


เขาเองก็นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าท่านโหวเทียนหยวนจะโผล่มาในเวลานี้


ยังโชคดี ไห่ผิงซินเพียงใช้สองมือจับหน้าต่างลายฉลุ กำลังกัดฟันน้ำตาไหลอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ไม่ได้วู่วามวิ่งออกมา


เหตุการณ์ตรงนั้นเงียบกริบลงแล้ว


ท่านโหวเทียนหยวนสีหน้าเย็นเยียบ การที่เขามาแล้วบอกว่าขอโทษ เขาคิดว่าเขาก็ลดศักดิ์ศรีจนต่ำมากพอแล้ว ใครจะคิดว่าผู้หญิงคนนี้จะเหลวไหลถึงขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้เขาปล่อยไก่ต่อหน้าพวกลูกน้อง


บางทีในสายตาคนนอกอาจจะมองว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้คิดแบบนั้น


เขาเดินอ้อมปี้เยว่ฮูหยินที่ล้มอยู๋บนพื้นอย่างช้าๆ ก้มหน้าเล็กน้อยจ้องนาง ลักษณะท่าทางของท่านโหวที่อยู่เหนือคนอื่นมานานแสดงออกมาจนหมด บนตัวถึงขั้นเผยกลิ่นอายสังหารเล็กน้อย ปี้เยว่ฮูหยินมีลูกน้องมากมายขนาดนี้อยู่ในที่เกิดเหตุ แต่กลับไม่มีใครกล้าก้าวขึ้นมา


มารดาเจ้าเถอะ! เหมียวอี้อยากจะให้ไห่ยวนเค่ออยู่ในเหตุการณ์ด้วยจริงๆ ดูว่าเทียนหยวนจะกล้าทำกำเริบเสิบสานต่อหน้าไห่ยวนเค่อรึเปล่า ทว่านั่นคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ต่อให้เป็นไปได้แต่น้ำที่อยู่ไกลก็ช่วยดับไฟที่อยู่ใกล้ไม่ได้ จึงรีบเอียงหน้าถ่ายทอดเสียงถามหยางชิ่งทันที “ทำยังไงดี? เจ้าหลานนี่อยากจะฆ่าคนแล้ว รีบคิดหาทางเถอะ”


เมื่อเผชิญหน้ากับคนที่วรยุทธ์ระดับท่านโหวเทียนหยวน ในเหตุการณ์ที่ฉุกละหุกแบบนี้ไม่มีไม้คานอะไรที่งัดได้เลย หยางชิ่งจะมีวิธีการอะไรได้ ทำได้เพียงรีบตอบกลับว่า “รีบติดต่อเซี่ยโห้วหลงเฉิง ให้เขาติดต่อราชินีสวรรค์อาหญิงของเขา”


เหมียวอี้พูดไม่ออก คาดว่าหยางชิ่งคงจะยังไม่รู้ เขาเคยถามเซี่ยโห้วหลงเฉิงแล้ว เซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่มีทางติดต่ออาหญิงของตัวเองได้โดยตรง เพราะไม่มีสิทธิ์นั้น


แต่คำพูดของหยางชิ่งกลับเตือนเขาแล้ว ตอนนี้ทำได้เพียงรักษาม้าตายประดุจม้าเป็น ต้องปกป้องปี้เยว่ให้ได้ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีทางอธิบายต่อจินม่านและไห่ยวนเค่อได้


เรื่องบางเรื่องก็เป็นแบบนี้ ถึงแม้ทางแดนอเวจีจะวางแผนควบคุมปี้เยว่ แต่กลับเป็นการยกตำแหน่งของปี้เยว่ให้สูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว ใครใช้ให้ปี้เยว่คลอดลูกสาวให้ไห่ยวนเค่อล่ะ


เขารีบถลันตัวจากไป เข้าไปในห้องเล็กของสวนดอกไม้ ลงมือจี้สกัดจุดไห่ผิงซินที่น้ำตานองหน้าและอยู่ในอารมณ์เลื่อนลอย จากนั้นวางนางลงบนพื้น กลัวว่าเด็กสาวคนนี้จะวู่วาม ปกป้องนางให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน


จากนั้นก็รีบหยิบระฆังดาราติดต่อเกาก้วน ทูตตรวจการฝ่ายขวาตำหนักสวรรค์


โชคดีที่ครั้งนี้เกาก้วนรับการติดต่อต่อจากเขา ถามว่า : มีเรื่องอะไร?


เหมียวอี้รีบเล่าสถานการณ์ในที่เกิดเหตุ ขอความช่วยเหลือ!


ผ่านไปพักใหญ่ ปี้เยว่ฮูหยินที่ล้มอยู่บนพื้นถึงได้อาการบรรเทาจากการตบฉาดนั้น นางพยามออกแรงส่ายหน้า มุมปากมีรอยเลือด ลุกขึ้นมาอย่างโซเซ พอเงยหน้าขึ้นมาก็สบตากับสายตาเย็นเยียบน่ากลัวของท่านโหวเทียนหยวน


ท่านโหวเทียนหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำทว่าเป็นธรรมชาติ “นางตัวดี! ข้าไม่หน้าแต่เจ้ากลับไม่รับไว้ ไม่คิดเสียบ้างว่ามีทุกวันนี้ได้เพราะใคร พอได้ออกไปรอบหนึ่งก็ปีกกล้าขาแข็งแล้วใช่มั้ย? หรือคิดว่าแยกระบบตลาดสวรรค์ออกมาจากอำนาจท้องถิ่นแล้วข้าจะควบคุมเจ้าไม่ได้?”


ปี้เยว่ฮูหยินก้มหน้าเบี่ยงมองไปทางห้องเล็ก พอเห็นเหมียวอี้เดินออกมาจากห้องเล็ก ก็รู้ว่าเหมียวอี้จัดการได้แล้ว ตอนนี้ถึงได้สงบใจลงเสียที นางกลัวว่าลูกสาวจะวิ่งออกมาด้วยอารมณ์วู่วาม


“ตบได้ดี!” ปี้เยว่ฮูหยินเงยหน้ายิ้มอย่างเศร้าโศก แล้วยื่นมือออกมา “เอาหนังสือหย่ามา!”


ท่านโหวเทียนหยวนลงมืออีกครั้ง บีบคอที่ขาวหมดจดของนาง “ข้าจะบอกเจ้าให้นะ สามีคือผู้นำ ภรรยาคือผู้ตาม เมื่อไรที่ข้าควบคุมเจ้าล้วนเป็นหลักการของฟ้าดินที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เรื่องนี้แม้แต่ฝ่าบาทกับราชินีสวรรค์ก็ไม่ปฏิเสธ ต่อให้ราชินีสวรรค์จะควบคุมตลาดสวรรค์ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธจุดนี้ได้ เจ้าเชื่อมั้ยว่าต่อให้ข้าฆ่าเจ้า ราชินีสวรรค์ก็ไม่ว่าอะไรอยู่ดี!”


ปี้เยว่ฮูหยินส่งเสียงอู้อี้อยู่ในลำคอ โดนบีบคอจนหน้าแดงก่ำ รู้สึกได้ว่าคอกำลังจะขาดแล้ว พยายามใช้สองมือแกะมือเทียนหยวนออก แต่ก็แกะออกไม่ได้เลย


“ท่านโหว ฮูหยินจะทนไม่ไหวแล้วค่ะ!” จู่ๆ หลันเซียงก็วิ่งเข้ามาขอร้อง


เพี้ย! ท่านโหวเทียนหยวนไม่แม้แต่จะมอง ฟาดฝ่ามือไปข้างหลังหนึ่งฉาด หลันเซียงล้มลงบนพื้นเช่นกัน


ทันใดนั้น เทียนหยวนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย พลิกฝ่ามือหยิบระฆังดาราออกมา แล้วถามว่า : ทูตขวาเกา มีอะไรจะกำชับหรือ?


เป็นเกาก้วนที่ส่งข้อความมา เกาก้วนถามว่า : เทียนหยวน เจ้าเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วใช่มั้ย?


เทียนหยวนอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะถามว่า : หมายความว่ายังไง?


จนใจที่ไม่ได้พูดอะไรต่อ ไม่ว่าเขาจะถามอย่างไร ฝั่งเกาก้วนก็ไม่ตอบอะไรอีก ยิ่งเป็นแบบนี้ เทียนหยวนก็ยิ่งรู้สึกหนาวไปถึงกระดูก ในหัวปรากฏภาพเงาร่างอันเย็นชาเหี้ยมโหดของเกาก้วน บวกกับประโยคของเกาก้วนเมื่อครู่นี้ยังดังก้องอยู่ในหู…


ขณะมองดูปี้เยว่ที่กำลังโดนบีบคอ เขาก็คลายมือออกโดยจิตใต้สำนึก


บทที่ 1317 ไปยุ่งไม่ได้แล้ว

โดย

Ink Stone_Fantasy

เกิดความคิดอยากจะฆ่าก็ส่วนเกิดความคิดอยากจะฆ่า ถ้าจะบอกว่าจะฆ่าปี้เยว่เพราะสาเหตุนี้ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะเดิมทีก็อยากจะมาเพื่อคลี่คลายสถานการณ์อยู่แล้ว


ที่บอกว่าจะหย่ากับปี้เยว่ฮูหยินล้วนพูดไปเพราะอารมณ์เท่านั้น ฮูหยินภรรยาเอกไม่ใช่ผักกาดขาวที่คิดจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้ บรรทัดฐานศีลธรรมที่ยอมรับร่วมกันในใต้หล้าเป็นพลังควบคุมที่มองไม่เห็น นี่คือสิ่งที่ผู้หญิงมากมารักษาไว้ ภายใต้สถานการณ์ที่ปี้เยว่ฮูหยินไม่ได้ทำความผิดอะไร คนที่อยู่ในฐานะตำแหน่งอย่างเขาไม่กล้าหย่าง่ายๆ ไม่อย่างนั้นมีภรรยาเอกอีกเป็นโขยงมาทักทายเขาเพื่อประโยชน์ของตัวเอง ความกดดันนั้นไม่ใช่น้อยๆ


นอกจากนี้ก็เป็นไปไม่ได้ด้วยที่เขาจะหย่ากับปี้เยว่ฮูหยิน


แม่ทัพภาคตลาดสวรรค์.ในอาณาเขตของเขาที่ไปเข้าร่วมการทดสอบก็ตายแทบหมดแล้ว เหลือเพียงฮูหยินของเขาคนเดียว เมื่อเห็นว่าตำแหน่งแม่ทัพภาคอื่นๆ กำลังจะสูญเสียการควบคุม ถ้าสูญเสียตำแหน่งแม่ทัพภาคของปี้เยว่ไปอีก อำนาจในการควบคุมตลาดสวรรค์ของเขาก็แทบจะไม่เหลือแล้ว


คนที่อยู่ในระดับอย่างเขา สิ่งที่แสวงหาไม่ใช่ทรัพยากรเล็กน้อยในมือของปี้เยว่ฮูหยิน แต่เป็นอำนาจในการพูดที่ตลาดสวรรค์


ตลาดสวรรค์สามารถส่งผลกระทบต่อช่องทางความร่ำรวยของผู้มีอำนาจทั้งราชสำนัก ถ้ามีอำนาจในการพูดที่ตลาดสวรรค์ในระดับหนึ่ง ก็จะมีประโยชน์ต่อเขามากยามอยู่ที่โถงประชุมของราชสำนัก ผู้มีอำนาจในราชสำนักจะต้องไว้หน้าเขาบ้างไม่มากก็น้อย ผลปราฏว่าแย่แล้ว แม่ทัพภาคตลาดสวรรค์ที่เป็นคนของเขาตายแทบหมดแล้ว พลังในการควบคุมตลาดสวรรค์ของเขาลดลงเยอะมากในรวดเดียว


ตลาดสวรรค์ผู้บัญชาการใหญ่เบื้องล่าง ถึงแม้จะมีคนของเขาอยู่บ้าง แต่ผู้บัญชาการใหญ่ก็ถูกควบคุมโดยแม่ทัพภาค ถ้าแม่ทัพภาคไม่ใช่คนของตัวเอง ไม่มีการตอบสนองจากคนทั้งข้างล่างและข้างบน ถ้าเบื้องบนอยากจะเปลี่ยนตัวผู้บัญชาการใหญ่ในสังกัดก็เป็นเรื่องที่ง่ายมาก แม้แต่คนออกหน้าต่อสู้ด้วยเหตุผลก็ไม่ต้องมีเลยด้วยซ้ำ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าตำหนักสวรรค์ต้องการจะแตะต้องท่านโหวเทียนหยวน เบื้องบนก็ยังมีพวกอ๋องสวรรค์คอย ‘อธิบายเหตุผล’ ใช่ว่าใครอยากจะแตะต้องก็แตะต้องได้ ทุกเรื่องล้วนต้องทำตามธรรมเนียม ตำหนักสวรรค์ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ไม่ใช่ว่าใครวรยุทธ์สูงแล้วจะควบคุมเบื้องล่างได้ ก็เหมือนกับที่กลุ่มลูกพี่ใหญ่เบื้องบนต่อต้านราชันสวรรค์ ตำหนักสวรรค์ต้องการจะจับโจรที่ฆ่าพยานในครั้งนี้ ผลปรากฏว่ากำลังพลเบื้องล่างไม่ให้ความร่วมมือ ลูกพี่ใหญ่พวกนั้นออกแรงทำงานแบบไม่ตั้งใจ นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่า ‘การตอบสนองจากคนทั้งข้างล่างและข้างบน’


ที่ร้ายแรงกว่านั้นก็คือตำหนักสวรรค์แยกตลาดสวรรค์ออกมาจากอำนาจท้องถิ่นแล้ว กำลังแยกการก้าวก่ายที่อำนาจท้องถิ่นมีต่อตลาดสวรรค์ออก เขาไม่สะดวกจะแทรกแซงเรื่องของตลาดสวรรค์อย่างโจ่งแจ้งอีกแล้ว และในตอนนี้ปี้เยว่ฮูหยินก็เป็นไม่คานงัดแท่งเดียวของเขาที่จะแทรกแซงเรื่องในตลาดสวรรค์ได้ เมื่อเมียของเขาได้รับความไม่เป็นธรรมอะไร การที่เขาออกหน้าให้ก็เรียกได้ว่าสมเหตุสมผล ถึงอย่างไรตลาดสวรรค์ในอาณาเขตนี้ก็ล้วนเป็นอาณาเขตของเขา ถ้าข้างนอกข้างในตีขนาบพร้อมกัน ก็สามารถถ่วงความเจริญก้าวหน้าได้ไม่น้อยเลย


ในตอนนี้แม้แต่ฮูหยินของเขาก็ต้องการจะแตกคอกับเขาอย่างถึงที่สุดแล้ว ถ้าแม้แต่ปี้เยว่ฮูหยินก็ยังไม่เชื่อฟังเขา เขาก็จะสูญเสียข้ออ้างในการเข้าไปยุ่งเรื่องในตลาดสวรรค์โดยสิ้นเชิง


ปี้เยว่ฮูหยินทะเลาะกับเขาจนกลายเป็นแบบนี้ต่อหน้าฝูงชน ไม่ใช่แค่ปัญหาเรื่องหน้าตาศักดิ์ศรีอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าข่าวแพร่ออกไปก็จะทำให้คนรู้ทันทีว่าเทียนหยวนสูญเสียความสามารถในการแทรกแซงตลาดสวรรค์ในอาณาเขตโดยสิ้นเชิง แล้วจะไม่ให้เขาอับอายจนโมโหได้อย่างไร?


เพียงแต่จู่ๆ เกาก้วนก็มาพูดแบบนี้ ทำให้เขาตกอกตกใจมาก


เกาก้วนเองก็ไม่มีทางโผล่มากะทันหันแบบนี้โดยไร้สาเหตุ หรือพูดได้อีกอย่างว่าเกาก้วนรู้ว่าตอนนี้เขากำลังทำอะไร กำลังเตือนเขาว่าอย่าทำซี้ซั้ว


“แค่กๆ!” ปี้เยว่เอามือกุมคอพลางไอไม่หยุด


เทียนหยวนกวาดสายตาเย็นเยียบมองไปรอบๆ เขาไม่เคยเห็นว่าคนที่อยู่ในเหตุการณ์คนไหนขยับตัว สายตาจึงไปหยุดอยู่บนตัวเหมียวอี้ คนที่เคยเคลื่อนไหวคงมีแค่คนนี้แล้ว อย่าบอกนะว่าเขาคือสายลับของเกาก้วน?


ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ใช่ ถ้าหากใช่ขึ้นมา เขาก็ยิ่งไม่กล้าทำอะไรเหมียวอี้


ในเมื่อเกาก้วนเอ่ยปากแล้ว เขาก็ทำอะไรซี้ซั้วไม่ได้แล้ว เขาไม่มีความกล้าที่จะเป็นศัตรูกับเกาก้วน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เบื้องบนกำลังหาโอกาสลงดาบกับกำลังพลเบื้องล่าง อยู่ในตำแหน่งสูงที่ตำหนักสวรรค์ดูเหมือนจะมีหน้ามีตา แต่บางครั้งกลับต้องระมัดระวังทุกการกระทำ อาจจะไม่ได้สบายใจเหมือนคนธรรมดาทั่วไปก็ได้


เหมียวอี้เห็นสถานการณ์แบบนี้แล้วก็โล่งใจนิดหน่อย เขาเพิ่งจะติดต่อเกาก้วนไป พอเกาก้วนได้ยินเรื่องไร้สาระแบบนี้ ก็ไม่ได้สนใจเขาเลย ตัดขาดการติดต่อไปเสียดื้อๆ เขานึกว่าเกาก้วนจะไม่เข้ามาสอดแทรกเสียอีก แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ สงสัยเกาก้วนจะเข้ามาแทรกแล้ว


คนที่ทำงานอยู่ในตำหนักสวรรค์ คาดว่าคงไม่มีใครที่ไม่รู้ถึงพลังความน่าหวาดกลัวของผู้พิพากษาหน้าตายคนนี้ เขาเป็นคำพ้องความหมายของคำว่า ‘ประหารทั้งตระกูล’ โดยแท้


“หนังสือหย่า!” ปี้เยว่ที่ไอแค่กๆ ยื่นมือออกมา แววตาเหมือนกำลังบอกว่า ถ้าเจ้าเก่งนักก็ฆ่าข้าสิ!


“หึหึ!” เทียนหยวนแสยะยิ้ม ไม่ใช่เพราะเรื่อง ‘หนังสือหย่า’ แต่เขาจะหย่ากับนางได้อย่างไร เขาชี้พร้อมบอกว่า “ตบหัวตัวเองแล้วคิดดูให้ดี ที่เจ้ามีวันนี้ได้เพราะใคร? ถ้าเจ้าเลิกกับข้า เจ้าก็ไม่มีอะไรทัง้นั้น! ถ้าไม่มีข้า เจ้าจะนั่งตำแหน่งแม่ทัพภาคนี้อย่างมั่นคงได้ยังไง?”


วันนี้ปี้เยว่เรียกได้ว่าเสียหน้าเต็มที่แล้ว ท่าทีก็แข็งกร้าวมากเช่นกัน “คนอื่นสามารถนั่งตำแหน่งนี้อย่างมั่นคงได้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าข้าจะทำไม่ได้ เอาหนังสือหย่ามาให้ข้า!”


ยังกล้าตีฝีปากอีก! เทียนหยวนเดือดดาลทันที บีบคอนางอีกครั้ง เกิดอารมณ์วู่วามอยากจะตบนางให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว


“ปล่อยข้า!”


ปี้เยว่พลันร้องอย่างโศกเศร้า


เทียนหยวนไม่ตบตีนางอีก แต่อุ้มนางขึ้นมาอีกครั้ง แล้วเดินก้าวยาวเข้าไปในห้องนอน


ปี้เยว่ดิ้นรนอย่างสุดชีวิต ไม่นานก็โดนเทียนหยวนร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมไว้ ความโกรธแค้นบนใบหน้าไม่มีทางบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ นางย่อมรู้ว่าเทียนหยวนต้องการทำอะไร เป็นเพราะนางรู้ นางถึงได้ทนรับความอัปยศนี้ไม่ได้ เพราะลูกสาวของนางอยู่ที่นี่!


สำหรับเทียนหยวน ในเมื่อเกาก้วนเอ่ยมาแล้ว เขาก็ไม่กล้าทำซี้ซั้วจริงๆ แต่เกาก้วนจะมายุ่งเรื่องในห้องนอนของสามีภรรยาได้เหรอ?


หนังสือหย่า? เป็นไปไม่ได้ที่เทียนหยวนจะมอบให้นาง เขาจึงใช้ไม้แข็งเสียเลย ทำตัวเหมือนสุนัขป่าเถื่อนตัวหนึ่ง ปัสสาวะเรี่ยราดไปทั่วอาณาเขต ทิ้งกลิ่นและตราประทับของตัวเองไว้ พิสูจน์ให้ทุกคนรู้ว่านี่คืออาณาเขตของตัวเอง กำลังบอกทุกคนว่าไม่ว่าเขากับปี้เยว่จะเป็นอย่างไร ปี้เยว่ก็คือผู้หญิงของเขา!


หลังจากนั้นเป็นต้นมา ทุก ๆ ช่วงระยะเวลาหนึ่ง เทียนหยวนก็จะต้องมาบังคับขอ ‘ดูแล’ ปี้เยว่ สำหรับปี้เยว่ที่เมื่อก่อนต้องการแบบนี้มากแต่ไม่เคยได้ ในตอนนี้กลับกลายเป็นความเศร้าสลดใจไร้ที่สิ้นสุด


ในที่เกิดเหตุ ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาของปี้เยว่ พวกเหมียวอี้ได้แต่ดูปี้เยว่ถูกรังแกอย่างอับจนปัญญา อีกฝ่ายเป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ใครจะมายุ่งเรื่องนี้ได้ล่ะ


สำหรับเหมียวอี้ ถ้ายืนอยู่ในมุมของผลประโยชน์ เขาหวังว่าปี้เยว่กับเทียนหยวนจะรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้ สิ่งนี้ไม่ได้ส่งผลเสียอะไรกับเขา แต่ถ้ายืนอยู่ในอีกมุมหนึ่ง เขาก็อยากจะฆ่าเทียนหยวนให้ตายจริงๆ เขาไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไรนัก ว่าทำไมสามีภรรยาคู่นี้จึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย


ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น แม้แต่พวกจินม่านอยู่ในแดนอเวจีก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน  เดิมทีนึกว่าหลังจากปี้เยว่ออกจากนรกไปแล้วจะสวามิภักดิ์เทียนหยวนอย่างถูกจังหวะและเป็นขั้นตอน ทว่าการวางแผนที่ไร้น้ำใจและความรู้สึก ยามเผชิญหน้ากับทางเลือกที่เกิดจากธรรมชาติของมนุษย์ สุดท้ายก็ยังเกิดการเบี่ยงเบนได้ กลุ่มผู้วางแผนที่ใช้ชีวิตอย่างเย็นชาห่างไกลอารมณ์ของมนุษย์มาเนิ่นนานเกินไป พวกเขาประเมินหัวใจคนต่ำเกินไปแล้ว


“มายืนอยู่ตรงกันทำไม? ถอยไปให้หมด! วันนี้ถ้าใครกล้าแพร่ข่าวเรื่องนี้ออกไป ก็ถือหัวมาพบข้าได้เลย!” เหมียวอี้หันกลับมาตะโกนสั่ง


กลุ่มคนที่ไม่เกี่ยวข้องรีบถอยออกไป โชคดีที่คนเฝ้าตำหนักคุ้มเมืองส่วนใหญ่เป็นคนที่มาจากทะเลดาวนักษัตร เมื่อเหมียวอี้ลั่นวาจาแล้ว เรื่องวันนี้ก็ไม่แพร่ออกไปข้างนอกเช่นกัน


หยางชิ่งกับเหมียวอี้สบตากันแวบหนึ่ง ทำได้เพียงแอบทอดถอนใจ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ทั้งสองถอยออกจากตำหนักหลัง ปล่อยให้เทียนหยวนทรมานภรรยาของตัวเอง พวกเขาไม่ยุ่งแล้วเช่นกัน


เช้าตรู่วันต่อมา ท่านโหวเทียนหยวนนำลูกน้องออกจากตำหนักคุ้มเมืองไป เหมียวอี้รอจนถึงตอนบ่ายถึงได้เห็นปี้เยว่ฮูหยินโผล่หน้าออกมา ภายนอกมองไม่ออกว่าปี้เยว่มีอะไรต่างจากยามปกติ ตอนนี้แต่งตัวเรียบร้อย


ปี้เยว่เองก็ไม่มีหน้าจะอยู่ที่นี่ต่อเพื่อพบลูกสาวแล้ว ก่อนจะไปนางบอกเหมียวอี้ไว้ว่า “ช่วยข้าดูแลซินเอ๋อร์ให้ดี”


หลังจากปี้เยว่ไปแล้ว เหมียวอี้ถึงได้ปล่อยไห่ผิงซินออกมา เด็กสาวคนนี้นั่งกอดเข่าอก้มหน้ายู่ที่มุมห้อง ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร เจ็บปวดรวดร้าวใจแทบแย่แล้ว


เหมียวอี้คิดว่า ยังดีนะที่ไห่ยวนเค่อไม่ได้ออกมาจากนรก ถ้าออกมาเมื่อไร ท่านโหวเทียนหยวนมีโอกาสตายเก้าในสิบแน่นอน


เทียนหยวนและภรรยาทะเลาะกันจนวุ่นวายแบบนี้ เรื่องผลประโยชน์ก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น ปี้เยว่ฮูหยินจึงไม่สนใจการฟ้องร้องจากพวกจ้านหรูอี้แล้ว ทั้งยังด่าพวกจ้านหรูอี้ไปยกหนึ่งด้วย บอกพวกเขาว่าถ้าไม่อยากทำงานก็ไสหัวไป นางไม่ไว้หน้าอ๋องสวรรค์อิ๋งอะไรทั้งนั้น


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นางจงใจด่าจ้านหรูอี้เสียจนเละเทะ ถามจ้านหรูอี้ว่าสมคบคิดกับคนพวกนั้นเพราะอยากจะก่อเรื่องที่จวนแม่ทัพภาคตงหัวใช่มั้ย?


ที่จริงนปี้เยว่จงใจจะแก้แค้นท่านโหวเทียนหยวน ให้เทียนหยวนตามเช็ดล้างปัญหาให้นาง ไปหาทางอธิบายกับอ๋องสวรรค์อิ๋งเอาเอง


พวกจ้านหรูอี้ประหลาดใจนิดหน่อย แต่คนของเทียนหยวน แม่ทัพภาคที่เป็นสามีของเหยียนซู่สั่งเหยียนซู่ว่าอย่าสืบสาวเอาความกับเรื่องนี้อีก ไม่อย่างนั้นถ้าปี้เยว่ประสาทเสียขึ้นมาแล้วคิดจะทำให้ท่านโหวเทียนหยวนหายนะไปด้วย การโดนปี้เยว่เตะออกจากตลาดสวรรค์ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ คนพวกนี้ถึงได้รู้เรื่องที่เทียนหยวนกับภรรยาแตกคอกัน ด้วยเหตุนี้จึงไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก ขาดทุนแต่พูดอะไรไม่ได้


คนอื่นๆ ยังไม่เท่าไร มีแต่จ้านหรูอี้ที่เก็บกดจะแย่อยู่แล้ว ฐานะหลานสาวของอ๋องสวรรค์อิ๋งพบเจอกับอุปสรรคเข้าแล้ว ปี้เยว่ดันมาเป็นแม่เสือแก่ที่แสดงอำนาจบารมี นางกดดันทางท่านโหวเทียนหยวนไปก็ไม่มีประโยชน์ นางเองก็อยากจะกดดันผู้บังคับบัญชาของปี้เยว่เหมือนกัน แต่ใครจะไปคิด ว่าหลังจากตระกูลอิ๋งได้ฟังแล้วก็สั่งนางว่าช่วงนี้อย่าก่อเรื่อง ทำให้นางเสียเปรียบให้เหมียวอี้แต่ก็ทำได้แค่อดทนไว้ ทั้งยังทำอะไรเหมียวอี้ไม่ได้ด้วย คำพูดโอ้อวดก่อนหน้านี้เท่ากับเป็นการตบหน้าตัวเอง นางเคยเสียเปรียบแบบนี้เสียที่ไหนกัน นางเก็บกลั้นความโกรธนี้จนแทบจะตายอยู่แล้ว


บอกได้เพียงว่า หยางชิ่งช่วยเหมียวอี้วางแผนเลือกเวลาลงมือได้ดีมาก ถึงแม้หยางชิ่งจะไม่เห็นด้วยที่เหมียวอี้ทำแบบนี้ เพราะกลัวว่าจะมีปัญหาตามมาในภายหลัง แต่ในเมื่อเหมียวอี้ดึงดันจะทำแบบนี้ แล้วเขาจะทำอย่างไรได้ล่ะ?


เรื่องนี้กลับทำให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงได้ชุบมือเปิบ เขาไปคิดบัญชีกับจางฮั่นฟางและหลิ่วกุ้ยผิงแล้ว


ตอนแรกทั้งสองไม่เต็มใจสุดๆ อ้างเหตุผลต่างๆ เพื่อปฏิเสธ


เงินที่วางอยู่ตรงหน้าแต่ไขว่คว้ามาไม่ได้ ทั้งยังไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ด้วย เซี่ยโห้วหลงเฉิงร้อนใจแล้ว ประสาทเสียแล้ว อธิบายเหตุผลไม่ได้ก็ไม่ต้องอธิบายมันแล้ว ชักดาบขึ้นมาฟันโต๊ะสุราเสียเลย ถามคำเดียวว่าจะให้หรือไม่ให้ ค้างบัญชีไม่ยอมคืนแล้วยังจะมีข้ออ้างอีกเหรอ?


พวกเราติดค้างบัญชีอะไร? จางกับหลิ่วพูดไม่ออก แต่ก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน ทำได้เพียงเสียเงินเพื่อฟาดเคราะห์


ตอนแรกเซี่ยโห้วหลงเฉิงยังกังวลว่าจะยุ่งยากหรือเปล่า ผลปรากฏว่าผ่านไปช่วงหนึ่งก็ยังไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นเลย จึงหัวเราะเหมือนคนโง่ไปหลายวัน คิดว่าพลังความน่ากลัวของน้องหนิวช่างมีมากจริงๆ


ร่ำรวยเงินทองโดยไม่ต้องลงทุนอะไร เงินก้อนนี้หาง่ายเกินไปแล้ว เขาดีใจแทบบ้า จึงมาดื่มสุราฉลองกับเหมียวอี้ ตอนนั่งอยู่ที่โต๊ะสุราเขาตบหน้าอกรับประกันว่า ถ้าต่อไปนี้น้องหนิวมีงานอะไรให้วิ่งเต้นก็เรียกหาเขาได้เลย พี่น้องกันอย่ามองเป็นคนนอก จะสื่อว่าถ้าเหมียวอี้มีโอกาสทำเงินก็อย่าลืมเขา เจ้าหมีควายเสพติดการชุบมือเปิบหาความร่ำรวยแล้ว


เหมียวอี้เองก็ไม่ได้ให้เขาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ไปเฉยๆ ถือโอกาสให้ช่วยจัดการเรื่องสถานะขุนนางให้ไห่ผิงซินด้วย เซี่ยโห้วหลงเฉิงโบกมือทันที บอกใบ้ว่าเรื่องนี้พี่จัดการเอง!


แน่นอน เซี่ยโห้วหลงเฉิงมาที่นี่เพื่อดื่มสุรากับเหมียวอี้คือสาเหตุรอง สาเหตุหลักก็คือจะมาหาหวงฝู่จวินโหรว เหมียวอี้เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะวางยาพิษลงในสุรา…


บทที่ 1318 ทัศนคติของสวีถังหราน

โดย

Ink Stone_Fantasy

“นางหนู ในนี้คือประวัติส่วนตัวของเจ้า เจ้าอ่านให้เข้าใจชัดเจน ต่อไปถ้ามีใครถาม เจ้าก็พูดแบบนี้ เตรียมไว้ให้เจ้าหมดแล้ว”


หลังจากนั้นหนึ่งเดือน ในสวนดอกไม้ของตำหนักหลัง เหมียวอี้ยื่นแผ่นหยกแผ่นหนึ่งให้ไห่ผิงซิน ให้นางอ่านทำความคุ้นเคยกับเนื้อหาข้างใน


หลังจากไห่ผิงซินหยิบมาอ่าน ก็ถามด้วยสีหน้าระแวงว่า “ทำไมต้องจำอันนี้?”


“เพราะกำลังจะช่วยเตรียมสถานะขุนนางตำหนักสวรรค์ให้เจ้าน่ะสิ” เหมียวอี้ตอบ


“ข้าเกลียดคนของตำหนักสวรรค์ ข้าไม่ต้องการ” ไห่ผิงซินกล่าว


เหมียวอี้จึงบอกว่า “นางหนู ข้าไม่ได้ให้เจ้าเป็นจริงๆ สักหน่อย แกล้งเป็นไม่ได้รึไง? นี่คือเจตนาของแม่เจ้า ถ้าเจ้าไม่อยากให้นางเกิดปัญหา ก็อยู่ที่นี่อย่างว่านอนสอนง่ายและอย่าเพ่นพ่านไปทั่ว แล้วก็…” เขาชี้ที่สวนดอกไม้ “ต้นไม้ใบหญ้าของที่นี่ล้วนเป็นสิ่งที่แม่เจ้าปลูกไว้ในปีนั้น ต่อไปเจ้าก็รับผิดชอบดูแลดอกไม้ในสวนนี่แล้วกัน”


“ไม่เอา!” ไห่ผิงซินปฏิเสธโดยจิตใต้สำนึก


“งั้นเจ้าจะทำอะไร? เจ้าต้องหาสถานะมาอำพรางตัวตนไม่ใช่เหรอ? ที่นี่ไม่ใช่แดนอเวจีนะ ถ้าไม่มีสถานะของตำหนักสวรรค์ปกป้อง ชีวิตก็จะไม่ปลอดภัย เจ้าบอกมาซิ เจ้าทำอะไรได้บ้าง?” เหมียวอี้ถาม


ไห่ผิงซินงุนงง ไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองทำอะไรเป็นบ้าง


เหมียวอี้จึงบอกว่า “งั้นเอางี้แล้วกัน! ในเมื่อเจ้าไม่อยากทำสวน ข้างกายข้าขาดคนรินน้ำชาพอดี ไปชงชาให้ข้าก่อนแล้วกัน”


ผ่านไปไม่นาน น้ำชาก็มาแล้ว พอเหมียวอี้เปิดฝาของถ้วยน้ำชาออก ก็พูดอะไรไม่ออกทันที ใบชาเยอะเกินไปแล้ว หลังจากชงชาเสร็จก็ไม่เห็นแม้แต่น้ำ


ติงๆๆ! เหมียวอี้ใช้ฝาถ้วยน้ำชาเคาะถ้วยน้ำชา ให้ไห่ผิงซินมาดูเอาเอง


ในที่สุดไห่ผิงซินก็พบว่าตัวเองไร้ความสามารถขนาดไหน อับอายจนหน้าแดงแล้ว


เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าว่านะนางหนู น้ำชาเขาไม่ได้ชงกันแบบนี้หรอก”


เขาหันไปมองเด็กสาวที่ทำสีหน้าอับอายเก้อเขิน อดไม่ได้ที่จะแอบส่ายหน้า ไม่ต้องบอกเลย ตอนอยู่ที่แดนอเวจีนางต้องไม่เคยทำเรื่องแบบนี้มาก่อนแน่นอน จึงหันกลับมาร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเรียก “เจาชิง เจ้ามานี่สักประเดี๋ยว”


“นายท่าน!” หยางเจาชิงมาถึงอย่างเร็วไว


เหมียวอี้ชี้สิ่งที่อยู่ในถ้วยน้ำชา “งานบางอย่างนางไม่เคยทำมาก่อน พานางไปสอนหน่อยว่าต้องทำยังไง จะให้แขกที่มากินหญ้าแทนไม่ได้หรอกใช่มั้ย?”


“ขอรับ!” หยางเจาชิงหันตัวมาบอกไห่ผิงซิน “ตามข้ามาเถอะ”


ไห่ผิงซินเพิ่งจะหันตัวไป แล้วหันกลับมาอีก ก่อนจะถามเสียงต่ำว่า “ต่อไปอย่าเรียกข้าว่านางหนูได้มั้ย ข้าอายุไม่น้อยแล้ว ฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ”


เหมียวอี้ได้ยินแล้วรู้สึกขำ คิดในใจว่าข้าเคยเห็นเจ้าตั้งแต่ตอนเจ้าอยู่ในท้องแม่เจ้าแล้ว เรียกว่านางหนูจะเป็นไรไป?


เหมียวอี้โบกมือ บอกใบ้ว่ารู้แล้ว แต่ในภายหลังก็ยังจะเรียกเหมือนเดิม


หยางเจาชิงนำไห่ผิงซินเดินออกมาจากสวนดอกไม้ด้านหลัง บังเอิญเจอหยางชิ่งพอดี ทั้งสองฝ่ายทักทายกัน ก่อนที่หยางชิ่งจะบุ้ยปากไปทางไห่ผิงซิน พร้อมถามหยางเจาชิงว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”


ว่ากันตามจริง จู่ๆ ก็มีไห่ผิงซินที่ทุกคนไม่เคยเห็นมาก่อนโผล่มาที่ตำหนักคุ้มเมือง ทุกคนต่างก็รู้สึกประหลาดใจ


“ขนาดชายังชงไม่เป็น นายท่านให้ข้าสอนสักหน่อยขอรับ” หยางเจาชิงยิ้มเจื่อน


หยางชิ่งตอบ “อ้อ” อย่างแฝงความหมายลึกซึ้ง หลังจากมองคล้อยหลังทั้งสองจากไป แววตาก็วูบไหวเล็กน้อย ขมวดคิ้วพึมพำกับตัวเองว่า “ขนาดน้ำชายังชงไม่เป็น…”


ผ่านไปเร็วมาก หลังจากเป่าเหลียนไปจากที่นี่แล้ว ข่าวที่ผู้บัญชาการใหญ่หนิวเปลี่ยนลูกน้องข้างกายใหม่ก็แพร่ออกไป


เรื่องนี้ยังไม่เท่าไร เรื่องที่ทำให้เกิดการพูดถึงที่ตลาดสวรรค์อย่างแท้จริง ก็คือเรื่องที่ผู้บัญชาการใหญ่หนิวตบหน้าเหยียนซู่และผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์อีกหกคน ทั้งยังออกอุบายรีดไถยาแก่นเซียนคนละยี่สิบล้านเม็ดด้วย ข่าวนี้เหมียวอี้จงใจให้คนปล่อยออกไป


ตอนแรกทุกคนยังไม่รู้ว่าเป็นข่าวจริงหรือข่าวปลอม ทว่าความเงียบของผู้เสียหายก็เท่ากับพิสูจน์แล้วว่าข่าวนี้เป็นเรื่องจริง วิธีการอันองอาจห้าวหาญที่ผู้บัญชาการใหญ่หนิวใช้ล้างความอัปยศได้ทำให้คนที่ตลาดสวรรค์พูดคุยกันอย่างสนุกสนานไม่หยุด เรื่องที่ผู้บัญชาการใหญ่หนิวได้รับความอัปยศในปีนั้นย่อมกลายเป็นการพูดถึงอีกแบบหนึ่ง ยังจะมีใครหัวเราะเยาะอีกล่ะ?


“จุจุ! ฮูหยิน ผู้บัญชาการใหญ่ยังยอดเยี่ยมเหมือนเดิม ข้ารู้อยู่แล้วว่าผู้บัญชาการใหญ่ไม่ได้โดนรังแกได้ง่ายๆ ขนาดนั้น ไม่ใช่ว่าไม่ล้างแค้น แต่โอกาสยังมาไม่ถึงเท่านั้นเอง ดูเอาสิ ข้าพูดถูกมั้ยล่ะ เขาเอาคืนทั้งต้นทั้งดอกแล้ว อาศัยภูมิหลังของคนพวกนั้น โดนตบหน้าทีละคนติดต่อกัน แต่กลับไม่กล้าแม้แต่จะผายลม น่าสนุก น่าสนุกเกินไปแล้ว”


ที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก ในตึกศาลา สวีถังหรานรับถ้วยน้ำชาจากเสวี่ยหลิงหลงแล้วส่ายหน้าเดาะลิ้น จิบน้ำชาหอมชั้นดีราวกับดื่มสุราเลิศรส


สำหรับคนที่ติดตามรับใช้เหมียวอี้มา การล้างความอัปยศของเหมียวอี้ในครั้งนี้ไม่ใช่แค่การล้างความอัปยศเท่านั้น มีเรื่องของคนเบื้องบนมากมายที่คนเบื้องล่างไม่ได้สัมผัส ไม่รู้ว่าเบื้องบนมีสถานการณ์เป็นอย่างไรกันแน่ มักจะเห็นแค่ผลลัพธ์เสมอ ถ้ามองจากอีกมุมหนึ่ง ความเข้มแข็งเกรียงไกรของเหมียวอี้ได้นำความมั่นใจมาสู่ทุกคน และเพิ่มบารมีชื่อเสียงของเหมียวอี้ในสายตาของทุกคนด้วย


เสวี่ยหลิงหลงสวมชุดสีขาวดุจหิมะและกลายเป็นผู้หญิงที่มีสามีแล้ว นางไม่ได้ถูกควบคุมมากเหมือนตอนที่เป็นนางระบำ ใบหน้าที่งดงามดุจภาพวาดดูสุขุมเยือกเย็นขึ้นหลายส่วน นางยิ้มบางๆ และนั่งลงข้างกาย ก่อนจะถามว่า “ผู้บัญชาการใหญ่เจ็ดคนนั้นล้วนมีผู้มีอำนาจหนุนหลัง ท่านไม่กลัวจะเกิดเรื่องขึ้นกับผู้บัญชาการใหญ่เหรอ? นายท่านเหมือนจะเทิดทูนผู้บัญชาการใหญ่มากเลยนะ?”


“ไม่ใช่ว่าเทิดทูนหรือไม่เทิดทูน” สวีถังหรานวางถ้วยน้ำชาลงแล้วโบกมือ กล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “หอกลิ่นสวรรค์ก็อยู่ใกล้ร้านขายของชำซื้อตรง ร้านขายของชำผงาดขึ้นมาได้ยังไง ก็คงไม่ต้องให้ข้าบอกอะไรเยอะ ฮูหยินน่าจะรู้ดีอยู่แล้ว ร้านค้าร้านอื่นโดนร้านของผู้มีอำนาจกดขี่จนเงยหน้าไม่ขึ้น แต่ร้านขายของชำซื่อตรงกลับ่าขึ้นมาจากช่องแคบๆ แล้วผงาดอย่างรวดเร็ว ร้านค้าต่างๆ ต้านไม่ไหว จากจุดนี้ก็มองออกแล้วว่าผู้บัญชาการใหญ่เป็นคนยังไง พวกเจ้าอาจจะไม่รู้ชัด ตอนที่ผู้บัญชาการใหญ่ยังเป็นทหารเลว ข้ากับเขาก็อยู่ด้วยกันแล้ว ตอนที่อยู่ยอดเขาโอนเอน เพื่อที่จะช่วงชิงตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก ทุกคนร่วมมือกันข่มเขา เจ้าไม่ได้เห็นภาพเหตุการณ์ในตอนนั้น สวี่เต๋อลอบใช้ทวนแทงข้างหลังผู้บัญชาการใหญ่ ผลปรากฎว่ายังโดนผู้บัญชาการใหญ่หัวอาวุธตอบโต้ทีเดียวจนพลิกสถานการณ์ได้ สุดท้ายคนอื่นๆ ก็ตายหมด โชคดีที่ข้าไหวตัวเร็วจึงพ้นเคราะห์ แต่ข้าก็เกือบตกหลุมพรางเขาแล้ว ทำเอาหมีควายเซี่ยโห้วกัดข้าไม่ปล่อย…”


เสวี่ยหลิงหลงตั้งใจฟัง ขณะที่ฟังเรื่องราวที่ยอดเขาโอนเอนในปีนั้น นางก็รู้สึกหวาดเสียวกับสถานการณ์ของเหมียวอี้ นึกไม่ถึงว่าตำแหน่งผู้บัญชาการตำแหน่งเดียวจะทำให้เพื่อนร่วมงานลอบกัดกันได้ขนาดนี้ จากนั้นก็รู้สึกพูดไม่ออกกับการไหวตัวอันรวดเร็วของเหมียวอี้ที่ยืมมือสามีตัวเองให้ซวยแทน


“การทดสอบที่สถานที่ไร้ชีวิต ข้าก็ไปกับเขาเหมือนกัน เจิ้งหรูหลงจะลอบสังหารผู้บัญชาการใหญ่ แต่กลับโดนผู้บัญชาการใหญ่ฆ่าแทน ป่าลืมทุกข์ที่ทุกคนไม่กล้าเข้าไป แต่ผู้บัญชาการใหญ่ก็ลุยเดี่ยวบุกเข้าไป ให้ตายเถอะ แล้วตอนหลังก็มีหนิวโหย่วไฉกับหนิวโหย่วโส้วโผล่มาช่วยอีก เห็นข้าเป็นคนโง่ไปได้ ส่วนตอนหลัง แต่ละฝ่ายหาพรรคพวกไปทั่ว หยางไท่กับมู่หรงซิงหัวพากันไปเป็นพันธมิตรกับกลุ่มอื่น โชคดีที่ตอนนั้นข้าปราดเปรื่อง ข้าพยายามเกลี้ยกล่อมสุดชีวิตเพื่อให้ผู้บัญชาการใหญ่ไปเป็นพันธมิตรกับกลุ่มอื่น โดยอ้างว่าพวกเราไม่มีภูมิหลังและไม่มีทางได้คะแนนดีๆ ให้กลับไปรักษาตำแหน่งของตัวเองไว้ สุดท้ายน่ะเหรอ สิ่งที่ข้าเลือกก็ไม่ได้ผิดไง หยางไท่ตายแล้ว ส่วนมู่หรงซิงหัวก็กลับมา แต่นางกลับเปลี่ยนนิสัยไปเยอะมาก ใครจะไปรู้ว่านางใช้วิธีการอะไรที่น่าอับอายเพื่อเอาตัวรอดไปวันๆ รึเปล่า อาศัยที่นางฆ่าคนพวกนั้นได้น่ะเหรอ? ข้าแค่ขี้เกียจจะไปเปิดโปงให้ผิดใจกับนางก็เท่านั้นเอง ตอนสู้ในด่านสุดท้ายของการทดสอบ ผู้บัญชาการใหญ่เรียกได้ว่าห้าวหาญ เรียกได้ว่าสู้ศึกเดียวแล้วโด่งดัง ข้ากับมู่หรงซิงหัวก็แค่ชุบมือเปิบเก็บเกี่ยวผลประโยชน์มาก็เท่านั้นเอง…”


ขณะที่ฟังเรื่องในอดีตมากมาย เสวี่ยหลิงหลงก็อกสั่นขวัญแขวนอีกครั้ง พบว่าการที่ใครบางคนปีนป่ายขึ้นตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ได้นั้นไม่ใช่ง่ายๆ เลย เรียกได้ว่าหลอกต้มกันไปต้มกันมาอุตลุต ไม่เป็นเจ้าที่ตายก็เป็นข้าที่รอด ไม่ได้รอดตายมาได้เพราะโชคช่วยแน่นอน


“การทดสอบที่แดนอเวจีตอนหลังเจ้าก็ได้ยินมาแล้ว ขนาดกลองสะท้านฟ้าของตำหนักสวรรค์ก็ยังถูกเขาทำลาย ถือทวนบุกเดี่ยวฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้าน แต่สุดท้ายยังได้อันดับเก้า ถึงแม้จะโดนถอดออกแล้ว แต่ก็ยังใช้คำว่าองอาจห้าวหาญบรรยายได้อยู่ดี ล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์สองครั้งเจ้าก็เห็นแล้ว เป็นสองครั้งที่ศีรษะกลิ้งเต็มพื้น เลือดไหลนองเป็นแม่น้ำ เรื่องบางอย่างที่เปิดเผยอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้ ข้าก็ยิ่งเข้าร่วมอยู่ในนั้นด้วยตัวเอง ตั้งตัวเป็นศัตรูกับผู้มีอำนาจในราชสำนักแต่ตอนนี้กลับไม่เป็นอะไรเลยสักนิด เก่งไปเสียหมด ตอนมีนักพรตบงกชรุ้งมาลอบสังหารที่ตำหนักคุ้มเมือง  ข้าตกใจจนวิญญาณแทบปลิวออกจากร่าง แต่ผลปรากฏว่าผู้บัญชาการใหญ่เป็นยังไงล่ะ เรียกได้ว่าสุขุมเยือกเย็น ถือชีวิตมายิงธนูเล่นอยู่อย่างนั้น ยิงทีเดียวก็กำจัดนักพรตบงกชรุ้งทิ้งได้ ส่วนผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เจ็ดคนที่จวนแม่ทัพภาคตงหัว แต่ละคนล้วนมีประวัติภูมิหลัง แต่ผู้บัญชาการใหญ่กลับออกอุบายรีดไถเงินพวกเขา ไถยาแก่นเซียนมาคนละยี่สิบล้านเม็ดเชียวนะ ทั้งยังตบหน้าเรียงตัว เจ้าคิดว่าถ้าผู้บัญชาการใหญ่ไม่มีความมั่นใจ แล้วจะกล้าทำเรื่องแบบนี้ได้เหรอ? สมกับเป็นคนเก่งที่แซ่หนิว หลังจากเขามาที่ตลาดสวรรค์ แต่ละเรื่องที่เขาทำก็ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปกล้าทำ ถ้าคนทั่วไปทำได้อย่างเขาสักเรื่องเดียวก็เก่งมากแล้ว เจ้าดูสิว่าตลอดทางที่ผ่านมาเขาทำไปมากแค่ไหน? ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเบื้องบนตาบอดกันหมด จะไม่มีใครเห็นเชียวเหรอ? ถ้าเจ้าไม่เชื่อ พวกเราก็คอยดูไปเถอะ ตอนนี้ผู้บัญชาการใหญ่มีขีดจำกัดด้านวรยุทธ์  ถ้าวรยุทธ์เพิ่มขึ้นมาเมื่อไร เขาก็ไม่ใช่คนที่จะทำอะไรแบบห่วงหน้าพะวงหลังนะ คนเด็ดเดี่ยวทรงพลังแบบนั้นไม่ออมมือให้ใครเด็ดขาด ตำแหน่งแม่ทัพภาคหนีเขาไม่พ้นหรอก เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะขาดแคลนผลประโยชน์เชียวเหรอ? ข้ารู้ว่ามีคนมากมายหัวเราะเยาะที่ข้าเป็นคนขี้ประจบ แต่รอวันที่ข้าได้นั่งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ก่อนเถอะ ดูว่าใครจะหัวเราะเยาะใครกันแน่ ดูว่าใครจะได้หัวเราะจนถึงตอนสุดท้าย”


“ได้ยินว่าตอนนี้คนที่อยากจะนั่งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ล้วนต้องผ่านการทดสอบจากแดนอเวจี” เสวี่ยหลิงหลงสงสัย


สวีถังหรานเกาศีรษะ “ข้าคิดวนเวียนเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าผู้บัญชาการใหญ่มีวิธีการอะไรช่วยข้ารึเปล่า ทางด้านหวงฝู่จวินโหรวเจ้าก็ช่วยสืบถามหน่อยแล้วกันว่ามีวิธีการอะไรมั้ย…เออใช่ เจ้าเองก็เลิกเอาแต่อยู่ในบ้านได้แล้ว วันหลังตามข้าเข้าตำหนัก ข้างกายผู้บัญชาการใหญ่มีเด็กสาวมาใหม่คนหนึ่ง พวกเจ้าเป็นผู้หญิงเหมือนกัน ไปมาหาสู่กันสะดวก ข้าไม่สะดวกเพราะเป็นผู้ชาย อย่าทำให้วุ่นวายเหมือนเป่าเหลียนนั่นนะ เอาแต่ฟ้องเรื่องข้าให้ผู้บัญชาการใหญ่รู้ แล้วก็เถ้าแก่เนี้ยร้านโฉมเมฆานั่นด้วย ถ้าไม่มีงานอะไรก็ไปซื้อเครื่องประดับสักหน่อย คบค้ากันมากๆ หน่อย”


“ผู้บัญชาการใหญ่ไม่ไปมาหาสู่กับเถ้าแก่เนี้ยนั่นแล้วเหรอ?” เสวี่ยหลิงหลงถาม


สวีถังหรานตอบว่า “เนื้อที่ไม่ได้เข้าปาก แม้แต่รสชาติก็ไม่เคยลิ้มลอง บทจะยอมแพ้ก็ยอมแพ้ได้เลยงั้นเหรอ? อย่างน้อยก็ต้องลิ้มลองก่อนสิ? ไม่ว่าข้าจะคิดยังไงก็รู้สึกว่าไม่ถูก เงินแบบนี้จะขาดไม่ได้ เครื่องประดับที่ควรซื้อก็ยังต้องซื้อ กันไว้ดีกว่าแก้อยู่แล้ว เผื่อเขาคบกันแล้วล่ะ?” เขาทำมาหากินมาได้จนถึงทุกวันนี้ ย่อมมีวิธีการมองคนและมองเรื่องราวอยู่แล้ว


“ข้าเข้าใจแล้ว” เสวี่ยหลิงหลงพยักหน้า


ว่ากันว่า ‘คนใกล้ชาดติดสีแดง คนใกล้หมึกติดสีดำ’ อยู่กับสวีถังหรานมาหลายปีขนาดนี้ เสวี่ยหลิงหลงเริ่มติดนิสัยแย่ๆ แล้วนิดหน่อย ผู้หญิงคนนี้แต่งกับไก่ก็ตามไก่ แต่งกับสุนัขก็ตามสุนัขแล้วอย่างแท้จริง


ข่าวต่างๆ แพร่ไปที่ตลาดสวรรค์ เหมียวอี้ก็ถูกอวิ๋นจือชิวเรียกตัวไปที่ร้านโฉมเมฆาแล้วเช่นกัน


พวกเขาเจอกันในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ เมื่ออวิ๋นจือชิวนำน้ำชามาวาง ก็เอ่ยปากถามเลยว่า “หนิวเอ๋อร์ เรื่องตบหน้ารีดไถเงินเป็นเรื่องจริงรึเปล่า? เจ้าล่วงเกินเขาเต็มที่แบบนี้ ไม่กลัวเขาจะมาหาเรื่องเจ้าเหรอ?”


เหมียวอี้นั่งพูดเหยียดหยามว่า “ถ้าข้าไม่ล่วงเกินพวกเขา แล้วพวกเขาจะไม่มาหาเรื่องข้างั้นเหรอ?”


“ในใจเจ้ามีแผนอยู่แล้วก็ไม่เป็นไร” อวิ๋นจือชิวเดินมาข้างหลังเขา ใช้สองมือที่เรียวสวยบีบนวดไหล่ให้ พลางถามด้วยรอยยิ้มที่ซ่อนคมมีด “หนิวเอ๋อร์ ได้ยินว่าข้างกายเจ้าเปลี่ยนสาวสวยมาใหม่แล้วคนหนึ่ง ปรนนิบัติให้เจ้าสบายเลยใช่มั้ยล่ะ?”


“อย่าคิดเหลวไหล นั่นคือลูกสาวของปี้เยว่…” เหมียวอี้เล่าประวัติภูมิหลังของไห่ผิงซินให้ฟังคร่าวๆ


อวิ๋นจือชิวฟังแล้สสีหน้าเปลี่ยนนิดหน่อย “พวกเจ้าทำแบบนี้ไร้คุณธรรมเกินไปหน่อยรึเปล่า?”


เหมียวอี้พูดปัดอย่างกินปูนร้อนท้อง “ไม่ใช่ความคิดของข้าเสียหน่อย มีตาแก่กลุ่มนั้นแล้ว ไม่ถึงคราวให้ข้าออกความคิดหรอก เรื่องนี้ห้ามให้พวกท่านปู่ของเจ้ารู้นะ” จากนั้นก็เอ่ยเรื่องที่ท่านโหวเทียนหยวนทรมานปี้เยว่ อวิ๋นจือชิวฟังแล้วทอดถอนใจไม่หยุด


ในขณะนี้เอง จู่ๆ หยางเจาชิงก็ส่งข่าวมา หลังจากเหมียวอี้ฟังแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไปมาก พลันลุกพรวดขึ้นมา


“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” อวิ๋นจือชิวถาม


เหมียวอี้หันตัวมา ตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ทางเหยียนซิวไม่มีความเคลื่อนไหวแล้ว”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)