ลำนำบุปผาพิษ 1303-1308

 บทที่ 1303 พาข้าไปหานาง 2


ฝูงชนเบิกตาค้างอ้าปากหวอ ไม่เคยนึกเลยว่าจะใช้งานเช่นนี้ได้ด้วย


เพียงแต่การทำเช่นนี้สิ้นเปลืองพลังยิ่งนัก บนหน้าผากของคนผู้นั้นปกคลุมด้วยหยาดเหงื่อ สีหน้าก็ซีดเซียวลงอีกระดับหนึ่ง


“ท่านผู้สูงศักดิ์…วิชาแพทย์ล้ำเลิศนัก เจ้าเป็นคนของสำนักถามสวรรค์หรือ?” หลัวจั่นอวี่สอบถาม ถึงอย่างไรเขาก็ถูกขังไว้ที่นี่ตั้งแต่อายุสิบเอ็ดปี เพียงได้ยินมาว่าศิษย์ของสำนักถามสวรรค์ที่โลกภายนอกวิชาแพทย์ร้ายกาจเป็นที่สุด ล้ำเลิศที่สุด บุรุษชุดขาวที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้พลังวิญญาณไม่สูง ทว่าวิชาแพทย์กลับสูงส่งปานนี้ ดังนั้นหลัวจั่นอวี่จึงคาดเดาเช่นนี้


คนผู้นั้นเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ไม่ได้ตอบคำถามของเขา ย้อนถามประโยคหนึ่ง “ที่นี่…มีแม่นางแซ่กู้คนหนึ่งมาที่นี่หรือไม่?” น้ำเสียงของเขาค่อนข้างแหบพร่า แต่ไม่อาจปิดบังเนื้อเสียงเดิมกระจ่างชัดได้ ยังคงไพเราะยิ่งนัก


หลัวจั่นอวี่ตะลึงไปครู่หนึ่ง มองพินิจคนผู้นั้นตั้งแต่หัวจรดเท้าแวบหนึ่ง “เจ้าเป็นใครกันแน่?”


คนผู้นั้นสูดหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง “ตอบข้ามาก่อน!”


เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าพลังวิญญาณไม่สูง แต่ความทรงอำนาจกลับมากล้น บนร่างถึงขั้นมีแรงกดดันไร้รูปลักษณ์อย่างหนึ่งแผ่ออกมารางๆ ด้วย ทำให้คนอยากศิโรราบอย่างน่าประหลาด ไม่กล้าล่วงเกิน


หลัวจั่นอวี่ขมวดคิ้ว เขารู้สึกอยู่ตลอดว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา แตกต่างจากคนที่เข้ามาเหล่านั้น ราวกับผู้ที่เข้ามาไม่ใช่เด็กหนุ่มอาการร่อแร่ปางตายคนหนึ่ง แต่เป็นราชันองค์หนึ่ง เป็นเทพสังหารองค์หนึ่ง…


เมื่อนึกถึงว่าคนผู้นี้พลังวิญญาณต่ำต้อยทว่าสามารถสร้างวีรกรรมต่อสู้กับสัตว์ร้ายขั้นเจ็ดสี่ตัวได้ หลัวจั่นอวี่จึงไม่กล้าประมาท คนผู้นี้ที่มาไม่ชัดเจน หากว่าประสงค์ร้ายต่อซีจิ่วล่ะ?


อย่างไรเสียหลัวจั่นอวี่ก็เป็นผู้มีพลังวิญญาณขั้นเก้า แรงกดดันบนร่างจึงไม่นอยเช่นกัน ยามนี้ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเคร่งขรึม “ถ้าท่านผู้สูงศักดิ์ไม่แจ้งฐานะมาก่อน ก็ขออภัยด้วยที่ข้าไม่อาจตอบคำถามใดๆ ของเจ้าได้!”


คนผู้นั้นหลับตาลงเล็กน้อย คล้ายจะทราบเช่นกันว่าตนใจร้อนไปหน่อย เขากวาดตามองรอบข้างแวบหนึ่ง มีคนอยู่รอบๆ ไม่น้อย สตรีก็มีอยู่แปดคน ทว่าไม่มีเงาร่างของคนที่เขาตามหา


ถึงอย่างไรเขาก็บาดเจ็บสาหัส ถึงแม้จะกินยาไปแล้ว และเชื่อมกระดูกซี่โครงตรงทรวงอกที่หักไปแล้ว แต่เมื่อขยับเบาๆ ก็ยังคงมีหยาดเหงื่อเย็นเฉียบผุดพรายออกมาอยู่ดี ไม่อาจฟื้นฟูกำลังวังชาได้ภายในสามวันห้าวัน


คนที่รายล้อมอยู่ไม่น้อยเลย พลังวิญญาณก็ต่ำต้อยเช่นกัน ดูเหมือนอยู่ที่นี่พวกเขาจะฝึกฝนได้ไม่เลวเลย บรรลุขั้นสูงที่ผู้บำเพ็ญข้างนอกไม่อาจบรรลุถึงได้ เมื่อออกไปจะต้องกลายเป็นกำลังรบหน้าใหม่ที่แข็งแกร่งยิ่งนักเป็นแน่


เพียงแต่ คนเหล่านี้น่าจะเห็นเขาเป็นศัตรูคู่แค้นกันทั้งสิ้น…


ขณะที่เขากำลังจะเปิดปากเอ่ย จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งแว่วมาแต่ไกล “มีคนมาใหม่อีกแล้วหรือ? หวา เช่นนั้นให้ผู้เฒ่าดูหน่อยสิ!”


พายุฝุ่นหมุนตลบ เงาร่างสีเขียวจางๆ สายหนึ่งกระพือฝาสร้างลมโหมกรรโชก มาถึงด้านนอกกลุ่มคนในทันใด “หลบไปให้หมด! ให้ข้าดูบ้าง!”


ฝูงชนแหวกทาง หอยยักษ์ตัวหนึ่งกลิ้งกลุกๆ เข้ามา อ้าฝาหอยออก หนูน้อยคนหนึ่งโผล่ออกมาจากด้านใน


ทันทีที่ได้เห็นผู้บาดเจ็บที่เพิ่งลุกขึ้นนั่ง ดวงตาก็เบิกกว้างทันที “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย!”


เสียงของมันไม่เบาเลยจริงๆ หกคำนี้เสมือนระเบิดลูกหนึ่ง ระเบิดใส่ฝูงชนรอบข้างโดยตรง!


ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย?!


ตี้ฝูอี?!


เป็นไปไม่ได้กระมัง?!


ฝูงชนเงียบกริบก่อน จากนั้นก็เกิดเสียงจอแจขึ้นมาเสมือนหม้อน้ำเดือด! ผู้คนพากันถอยหลังไปหลายก้าวประหนึ่งถูกพายุกวาดพัด แต่ต่อมาก้เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วก้าวเข้ามาหลายก้าวอีกครั้ง! เสียงชักอาวุธดังขึ้นไม่ขาดหู ระกายแสงเยียบเย้นนับไม่ถ้วนจ่อใส่ผู้มาใหม่ที่อยู่ภายในวงล้อม


หลัวจั่นอวี่ก็ตกตะลึงเช่นกัน ถึงแม้เขาจะไม่มีความแค้นกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย แต่ว่า…สิ่งที่เขาได้เห็นและได้ยินกรอกหูอยู่ทุกวันคือความเคียดแค้นชิงชังที่เกี่ยวข้องกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายทั้งสิ้น ดังนั้นในจิตใต้สำนึกจึงหวาดหวั่นประกอบกับรังเกียจต่อทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเช่นกัน…


เขาก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่งเหมือนกัน ชูฝ่ามือทั้งสองขึ้นเล็กน้อย หันไปถามเจ้าหอยยักษ์ “เขาคือทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายหรือ? เจ้าไม่ได้จำผิดใช่ไหม?”


———————————————————————–


บทที่ 1304 พาข้าไปหานาง 3


ยามที่ตี้ฝูอีเดินทางอยู่ภายนอกจะสวมหน้ากากไว้ตลอด ถึงแม้คนเหล่านี้ล้วนถูกเขาจับโยนเข้าป่าทมิฬแทบทั้งสิ้น ทว่าไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขามาก่อนเลย


อีกอย่างทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ถึงแม้ผู้ลงโทษ แต่ผู้ที่ลงมือจริงๆคือผู้คุ้มกันทั้งสี่ของเขา


พวกเขาบ้างก็เคยพบเขาแค่บนแท่นเบิกสวรรค์ บางคนแม้แต่แท่นเบิกสวรรค์ก็ไม่ได้ขึ้นด้วยซ้ำ ถูกเขามองอยู่ไกลๆแวบหนึ่งก็ถูกตัดสินแล้วว่าเป็นสานุศิษย์สวรรค์ตัวปลอม…


ดังนั้นถึงแม้ในใจของคนเหล่านี้จะแค้นเคืองทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ ทว่าไม่รู้จักรูปลักษณ์ของเขาเลย


ยามนี้จู่ๆ เจ้าหอยยักษ์ก็ตะโกนออกมาเช่นนี้ เป็นธรรมดาที่แต่ละคนจะแตกตื่นไม่เชื่อถือ


ในใจของพวกเขา ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเป็นบุคคลกึ่งเทพกึ่งเซียนที่เหยียบย่างบนเมฆา ยามนี้ผู้มาใหม่ที่สภาพน่าเวทนาเป็นล้นพ้นคนนี้มีพลังวิญญาณเพียงขั้นหกเท่านั้นจะใช่เขาจริงๆ หรือ?


สายตานับไม่ถ้วนร่อนลงบนร่างเจ้าหอยยักษ์ เจ้าหอยยักษ์ตกเป็นจุดรวมสายตาของฝูงชนอีกครั้ง มันภาคภูมิใจยิ่งนัก “แน่สิ! ของแท้แน่นอน! ยามที่ข้าติดตามอยู่ข้างกายเจ้านายได้พบเขาอยู่บ่อยๆ…”


จากนั้นมันก็กลิ้งตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ตรงไปอยู่เบื้องหน้าตี้ฝูอี “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ท่านมาได้ยังไง? อ๋า ซ้ำยังบาดเจ็บไปทั้งตัวด้วย…”


คนผู้นั้นย่อมเป็นตี้ฝูอี เมื่อเขาเห็นเจ้าหอยยักษ์ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก


นางอยู่ที่นี่!


เขาไม่ได้มาเสียเปล่า…


“นายของเจ้าล่ะ?” ตี้ฝูอีเอ่ยถาม


“เจ้านายไปเก็บสมุนไพรที่ภูเขาด้านหลัง ยังไม่กลับมาเลย”


มิน่าเล่าเขาถึงไม่เห็นนาง นึกว่านางเห็นเขาเข้ามาจึงไปซ่อนตัวอีกครั้ง…


ตี้ฝูอีก็ตรงไปตรงมายิ่งนัก “พาข้าไปหานาง!” เขาคิดจะลุกขึ้น แต่ร่างกายกลับส่ายโงนเงน ลุกไม่ขึ้น เหงื่อออกท่วมร่างอีกครั้ง


ในที่สุดปฏิกิริยาตอบสนองของฝูงชนรอบข้างก็กลับมาแล้ว!


ในบรรดาคนพวกนี้เหล่าสตรียังพอว่า ความรู้สึกที่มีต่อตี้ฝูอีค่อนข้างซับซ้อน แต่บุรุษนั้นต่างกันลิบลับ! เหล่าบุรุษเลือดร้อน อีกทั้งบ่มเพาะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายเช่นนี้มาเนิ่นนนปี แต่ละคนล้วนเหมือนหมาป่าเดียวดาย พวกเขาใฝ่ฝันว่าอยากทุบตีเจ้าคนร้ายผู้นี้ให้น่วมสักยกหนึ่ง!


ยามนี้คนผู้นี้อยู่ตรงหน้าแล้ว ซ้ำยังบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ กำลังอยู่ในช่วงอ่อนแอ ถ้าไม่ล้างแค้นในยามนี้จะให้ไปล้างแค้นยามไหนเล่า?


ด้วยเหตุนี้ ฝูงชนจึงล้อมวงเข้าไปจนเสียงดังตุบๆ ตับๆ แต่ละคนเต็มไปด้วยความโกรธแค้น “ตี้ฝูอี เจ้าก็มีวันนี้เหมือนกันสินะ!”


“ตี้ฝูอี ”


“วันนี้เจ้าเองก็พลาดท่ามาอยู่ที่นี่เช่นกันนับว่าเป็นสวรรค์ลงทัณฑ์ใช่หรือไม่?”


“ตี้ฝูอี เจ้ายังจำข้าได้หรือไม่?! แต่เดิมผู้เฒ่าก็ไม่ได้พูดเลยว่าตัวเองเป็นสานุศิษย์สวรรค์ เพียงล้อเล่นเล็กน้อยกับสหายเท่านั้น ผลลัพธ์ก็คือถูกเจ้าโยนเข้าป่าทมิฬ หวิดจะสิ้นชีพ! สิบห้าปีแล้ว! ข้าถูกขังอยู่ที่นี่สิบห้าปีแล้ว!”


แรกสุดมีคนด่าประณามอยู่คนเดียว ในไม่ช้าก็ดึงดูดจิตใจของฝูงชนรอบข้างที่มีศัตรูคู่แค้นคนเดียวกัน จนเกิดเสียงประณามเต็มไปหมด


มีบางคนที่ค่อนข้างเลือดร้อนมุทะลุ สะกดความโกรธไว้ไม่อยู่ ตรงเข้าลงมือต่อตี้ฝูอีทันที “เจ้าก็มีวันนี้เหมือนกันสินะ? เจ้าไปตายซะเถอะ!”


เมื่อคนหนึ่งลงมือ คนที่เหลือก็ลงมือตามด้วย ทันใดนั้น แสงทักษะยุทธ์นับไม่ถ้วนก็พุ่งวาบไปทางตี้ฝูอี!


คนเหล่านี้ตกอยู่ภายใต้ความเคียดแค้นชิงชังจนเลือดขึ้นหน้า ย่อมออกกระบวนท่าอย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใด ล้างแค้นก่อนแล้วค่อยว่ากัน!


พยัคฆ์ร้ายก็ยังหวั่นเกรงฝูงหมาป่า นับประสาอะไรกับตี้ฝูอีในยามนี้ที่เป็น ‘เสือ’ เจ็บหนัก กระบวนท่าชุดใหญ่ซัดเข้าใส่เขาจากทุกทิศทุกทาง หากถูกซัดเข้าเขาอาจจะไม่ทันได้รอเจอกู้ซีจิ่ว ร่างนี้ก็คงหมดสภาพไปก่อน…


ในช่วงเวลาคับขันนี้ ตี้ฝูอีเคลื่อนไหวแล้ว!


เมื่อครู่เขานั่งอยู่ตรงนั้นราวกับขยับเขยื้อนไม่ได้ ทว่าการเคลื่อนไหวนี้ประหนึ่งสายฟ้าแลบก็มิปาน เกิดเสียงดังฟิ้วแวบไปอยู่ข้างกายหลัวจั่นอวี่ เอ่ยออกไปตรงๆ ประโยคหนึ่ง “ข้าเป็นคู่หมั้นของน้องสาวเจ้า!”


หลัวจั่นอวี่พลันสั่นสะท้าน เขาตะโกนเสียงดัง “ช้าก่อน!”


บทที่ 1305 พาข้าไปหานาง 4


ช่วงคับขันไม่ทันได้ใคร่ครวญให้มากความ ลงมือไปทันที คลื่นแสงทรงโค้งสายหนึ่งวาบผ่าน ปกป้องตี้ฝูอีไว้ใจกลาง แสงทักษะยุทธ์สารพัดที่ถาโถมเข้าใส่ตี้ฝูอีซัดลงบนคลื่นแสงนั้นทั้งหมด!


ถึงอย่างไรคนเหล่านี้ก็ลงมือด้วยความโกรธแค้น ย่อมทุ่มเทพละกำลังทั้งหมด กระบวนท่านของพลังวิญญาณขั้นเจ็ดขั้นแปดหกเจ็ดสายปะทะกับคลื่นแสงนั้นทั้งหมด ต่อให้เป็นหลัวจั่นอวี่ที่มีพลังยุทธ์สูงส่ง ก็ยังสะเทือนจนโซเซ เลือดลมในทรวงปั่นป่วน แทบจะกระอักโลหิตออกมา


ดูเหมือนฝูงชนคาดไม่ถึงว่าหลัวจั่นอวี่จะลงมือสกัดไว้ ตะลึงงันกันเล็กน้อย “หัวหน้า นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร?!”


“หัวหน้า คนผู้นี้กับพวกเรามีความแค้นที่ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้ากันได้ วันนี้ไม่อาจปล่อยให้เขารอดชีวิตไปจากที่นี่ได้เด็ดขาด!”


“ใช่แล้ว ครั้งนี้ไม่ว่าผู้เฒ่าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนเช่นไรก็ยอม ถึงตายก็จะลากเขาลงหลุมไปด้วย!”


แต่คนเต็มไปด้วยความโกรธแค้น บางคนสายตาแดงฉานแล้ว


อยู่ด้านนอกพวกเขาเกรงกลัวเขา ตอนนี้ที่นี่คืออาณาเขตของพวกเขา อีกทั้งคนที่เคยแข็งแกร่งถึงเพียงนั้นก็บาดเจ็บสาหัสอยู่…


เป็นโอกาสที่ไม่ควรพลาด ถ้าพลาดไปแล้วจะไม่มีมาอีก!


ขอสังหารคัตรูคู่อาฆาตผู้นี้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน!


คนเหล่านี้เลือดขึ้นหน้าแล้ว ไม่คำนึงถึงสิ่งใดทั้งสิ้น ถึงย่างไรก็ลงมือไปแล้ว คนก็ล่วงเกินไปแล้ว เช่นนั้นพวกเขาก็จะทุ่มเททุกอย่างออกไปเสีย


คนเหล่านี้คิดจะลงมืออีกครา ปฏิกิริยาตอบสนองของเจ้าหอยยักษ์กลับมาแล้ว พลันกลิ้งร่าง กันตี้ฝูอีไปอยู่ด้านหลัง ร้องตะโกนใส่คนเหล่านั้นอย่างโกรธเกรี้ยว “เขาคือท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย เป็นคู่หมั้นคู่หมายของนายข้า ใกล้จะวิวาห์กันแล้ว พวกเจ้ากล้าทำร้ายเขาหรือ?!”


ฝูงชนเงียบกริบลงทันที


อสุนิบาตร้องคำราม ฝูงชนถูกฟ้าผ่าเข้าแล้ว!


“แอ๊ว!” ประกายแสงสายหนึ่งส่องวาบมาแต่ไกล ลู่อู๋น้อยพุ่งทะยานเข้ามา พวงหางทั้งเก้าโบกสะบัดปานแพรแดง ราวกับแส้เก้าเส้น ปล่อยลำแสงเก้าสายออกมาในอากาศ โจมตีใส่คนที่ล้อมตี้ฝูอีกับเจ้าหอยยักษ์ไว้…


ฝูงชนไม่กลัวยั่วยุโทสะของเจ้าตัวน้อยนี้ ด้วยเหตุนี้จึงถอยกรูดไปอีกครา…


ลู่อู๋ประหนึ่งกระสุนปืนลูกน้อย พุ่งฉิวไปอยู่ข้างกายตี้ฝูอี พวงหางทั้งเก้าแกว่งไกวท้าสายลม สร้างเกราะกำบังสายหนึ่งขึ้นเบื้องหน้าเขา ส่งเสียงแง้วๆ แอ้วๆ อย่างเดือดดาล…


หากจะบอกว่าถ้อยคำที่ตี้ฝูอีกล่าวออกมาเองว่าเป็น ‘คู่หมั้นของตี้ฝูอี’ ยังไม่ได้รับยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง ปฏิกิริยาของเจ้าหอยยักษ์กับลู่อู๋น้อยก็น่าจะเป็นการพิสูจน์เรื่องนี้โดยตรงแล้ว


เจ้าสองตัวนี้เป็นสัตว์เลี้ยงวิญญาณของกู้ซีจิ่ว บัดนี้เจ้าสองตัวนี้ปกป้องตี้ฝูอีถึงเพียงนี้…


ฝูงชนต่างเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดีไปชั่วขณะ ในมือยังคงกุมอาวุธไว้ สีหน้าเขียวครึ้ม


ในใจของแต่ละคนมีความคิดเช่นนี้ผุดขึ้นมา…พวกเขาเพิ่งจะล่วงเกินท่านเทพใหญ่ผู้นี้ไป ยามนี้หากปล่อยเขาไป พอเขาฟื้นฟูสู่สภาพเดิม เช่นนี้พวกตนยังได้รับผลดีอันใดอีกหรือ?!


ในอดีตถูกโยนเข้าป่าทมิฬมีโอกาสตายหนึ่งรอดเก้า ครานี้หากท่านเทพใหญ่ผู้นี้กลับสู่สภาพเดิม เกรงว่าพวกเขาต้องจบเห่กันหมดแน่!


วิธีที่ดีที่สุดก็คือไหนๆ ยามนี้ก็ตกกะไดพลอยโจรไปแล้ว ในเมื่อล่วงเกินไปแล้วเช่นนั้นก็ล่วงเกินให้ถึงที่สุดเถอะ ตัดรากถอนโคนเสีย!


แต่ว่า…แต่ว่าเขาก็เป็นคู่หมั้นของกู้ซีจิ่ว และกู้ซีจิ่วก็เป็นความหวังในการออไปของพวกเขา หากว่าพวกเขาสังหารคู่หมั้นของนาง เกรงว่าจะนางคงไม่ยอมยุติโดยดี…


ขณะที่ฝูงชนลังเลสองจิตสองใจอยู่ ตี้ฝูอีก็เปิดปากเอ่ยแล้ว “พวกเจ้าอยากออกไปหรือไม่? ข้ามีวิธี!”


ฝูงชนตะลึงงัน


พวกเขามองหน้ากันเหลอหลา บางคนเอ่ยหยันขึ้นมา “เจ้ายินดีพาพวกเราออกไปหรือ? เมื่อก่อนก็เป็นเจ้านั่นแหละที่โยนพวกเราเข้ามา!”


น้ำเสียงของตี้ฝูอีเยียบเย็นลง กล่าวอย่างเฉยชา “ผู้ที่แอบอ้างเป็นสานุศิษย์สวรรค์จะถูกทำลายพลังวิญญาณแล้วโยนเข้าป่าทมิฬเช่นเดียวกันหมด นี่เป็นกฏเกณฑ์ของทวีปนี้ ข้าเป็นผู้คุมกฎ ไม่ได้มีบุญคุณความแค้นกับพวกเจ้าเป็นการส่วนตัว หากว่าเงื่อนไขยินยอม ย่อมพาพวกเจ้าออกไปได้”


——————————————————————


บทที่ 1306 พาข้าไปหานาง 5


ฝูงชนย่อมทราบถึงจุดนี้เช่นกัน แต่ถ้าปล่อยเขาไปเช่นนี้ หากว่าวันหน้าเขาคิดจะเอาคืน…


ตี้ฝูอีคล้ายจะเดาความคิดทั้งหมดของพวกเขาได้ “ความเคียดแค้นที่พวกเจ้ามีต่อข้าอยู่ในความคาดหมายของข้าอยู่แล้ว ในเมื่อข้ากล้าเข้ามา ย่อมไม่เกรงกลัวการล้างแค้นของพวกเจ้า พวกเจ้าคิดว่าจะสังหารข้าได้จริงๆ น่ะหรือ?”


ฝูงชนมองดูใบหน้าขาวซีดของเขา จากนั้นก็มองร่างกายที่ดูเหมือนจะสั่นเทาของเขา มีบางคนเยาะหยันออกมา “สภาพของเจ้าในยามนี้ต่อให้เป็นเด็กน้อยไม่กี่ขวบก็สามารถสังหารเจ้าได้…”


ประโยคของเขายังไม่ได้กล่าวให้จบ จู่ๆ เงาร่างคนผู้หนึ่งก็แวบมาอยู่เบื้องหน้า ร่างกายพลันชาหนึบขึ้นมา รอจนปฏิกิริยาตอบสนองของเขากลับคืนมา ก็พบว่าตกอยู่ในกำมือของตี้ฝูอีแล้ว


ฝ่ามือขาวเนียนของตี้ฝูอีจ่ออยู่บนลำคอเขา น้ำเสียงเย็นชาดั่งธารน้ำแข็ง “ผู้ใดจะสังหารผู้ใดเล่า? วรยุทธ์ของเจ้ายังเทียบเด็กน้อยวัยไม่กี่ขวบไม่ได้สินะ?”


คนผู้นั้นหน้าเปลี่ยนสีแล้ว อ้าปากเล็กน้อยทว่าพูดไม่ออก


พลงวิญญาณของคนผู้นี้ไม่ถึงขั้นเจ็ด เป็นคนที่มีพลังยุทธ์ต่ำที่สุดในคนกลุ่มนี้ แต่ก็ไม่เลวยิ่งนักแล้ว อย่าว่าแต่เด็กน้อยเลย ต่อให้เป็นชายชาตรีกว่าสิบคนก็เข้าใกล้ร่างเขาไม่ได้ ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่ดูราวับถูกลมพัดก็ปลิวแล้วจับกุมได้…


กระบวนท่านี้ของตี้ฝูอีมีผลลัพธ์ชวนตะลึงยิ่งนัก ผู้คนที่เดิมทีค่อนข้างฮึกเหิมคึกคักชะงักฝีเท้าลงอีกครั้ง


ตี้ฝูอีกวาดตามองแวบหนึ่ง หยักมุมปากบางๆ “หากว่าพวกเจ้าหยุดมือในยามนี้ ข้าจะไม่ถือสาหาความ หากว่ายังไม่รู้จักความเป็นความตายอีกก็เข้ามาเลย! ข้ารับประกันเลย ชาตินี้ทั้งชาติพวกเจ้าอย่าได้ฝันว่าจะออกไปจากที่นี่ได้!”


วาจานี้ให้ผลลัพธ์ที่น่าตระหนกยิ่งนักจริงๆ ประกอบกับตี้ฝูอีในยามปกติแข็งแกร่งเหลือเกิน ในใจของคนเหล่านี้ค่อนข้างยำเกรงเขา เมื่อได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ หัวใจก็สั่นไหวเล็กน้อย บางคนที่ค่อนข้างมีเหตุผลอยู่บ้างถึงแม้ในมือจะยังถืออาวุธไว้ แต่คมอาวุธก็ไม่ได้ชี้ไปทางตี้ฝูอีแล้ว สุ้มเสียงยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “เจ้าพูดจริงหรือ?”


“แน่นอน!” น้ำเสียงตี้ฝูอีราบเรียบ


พลางผลักคนที่จับไว้ออกไป ปล่อยเขาให้เป็นอิสระ


ฝูงชนนิ่งงัน


คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนถูกโยนเข้ามาที่นี่ตั้งแต่อายุยังน้อย ได้ยินชื่อเสียงของตี้ฝูอีมามากมาย แต่คนที่รู้จักเขาอย่างแท้จริงแทบไม่มีอยู่เลย ดังนั้นจึงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งในคำพูดของเขา


เพียงแต่ เรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว พวกเขาก็ไม่คิดจะลงมือต่อแล้ว


เมื่อครู่พวกเขาตกอยู่ภายใต้ความโกณธแค้นจนหัวร้อน ถึงได้หุนหันพลันแล่นเช่นนี้ ตอนนี้ในที่สุดพวกเขาก็ค่อยๆ ใจเย็นลงบ้างแล้ว


ถ้าสังหารท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ไปจะมีปัญหาตามมาภายหลังจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นคือพวกเขายังไม่สามารถสังหารเขาได้…


อันที่จริงสิ่งที่เรียกว่าคู่หมั้นคู่หมายหลัวจั่นอวี่ค่อนข้างเชื่อถืออยู่บ้าง เพียงแต่เขาไม่กระจ่างแจ้งในทัศนคติแท้จริงของกู้ซีจิ่วที่มีต่อตี้ฝูอีไปชั่วขณะหนึ่ง


ถึงอย่างไรในฝันร้ายทั้งสองครากู้ซีจิ่วก็ตะโกนนามของคนผู้นี้ออกมาเสมอ…


เพียงแต่ไม่ทราบว่าเป็นความรักหรือความชังถึงทำให้นางหมกมุ่นอยู่กับคนผู้นี้เช่นนี้ ดังนั้นเขาใคร่ครวญครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้น “ทุกท่านไม่ต้องรีบร้อนไป ทุกอย่างยังต้องรอซีจิ่วกลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน” พลางหันไปมองตี้ฝูอีอีกครั้ง “ความเป็นมาของเจ้าไม่ชัดเจน…”


เขากำลังจะเอ่ยว่าขอจำกัดบริเวณของตี้ฝูอีไว้ที่นี่ก่อน รอให้กู้ซีจิ่วกลับมาแล้วค่อยตัดสินใจอีกที


กลับนึกไม่ถึงว่าตี้ฝูอีจะไม่มองเขาอีกเลย เคาะเปลือกของเจ้าหอยยักษ์โดยตรง “พาข้าไปหานาง!”


“ได้!” เจ้าหอยยักษ์ตอบรับ ย่อตัวลง รอให้ตี้ฝูอีขึ้นมา


“อ้าฝา” ตี้ฝูอีกล่าวเพียงสองคำ


เจ้าหอยยักษ์อ้าฝาออกอย่างมึนงง จากนั้นตี้ฝูอีก็ค่อยๆ เข้าไปในฝาหอยของมัน “เอาล่ะ ไปหานางกัน ข้ากริ่งเกรงการกระทบกระเทือน เจ้าวิ่งให้มั่นคงหน่อยแล้วกัน”


เจ้าหอยยักษ์พูดไม่ออกแล้ว


ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ไม่ว่ายามใดก็ล้วนใช้งานหอยเช่นนี้อยู่ร่ำไป…


….


เจ้าหอยยักษ์จากไปดั่งควันสายหนึ่ง แม้กระทั่งลู่อู๋น้อยก็ตามหลังไปด้วย ฝุ่นควันม้วนตลบไปตลอดทาง พริบตาเดียวก็หายลับไป ชัดเจนยิ่งนักว่าไปหากู้ซีจิ่วแล้ว


บทที่ 1307 ปฏิเสธโทษสถานหนัก สารภาพโทษสถานเบา


หลัวจั่นอวี่นิ่งงัน เขาไม่รู้จริงๆ ว่าควรพูดอะไรดี


เจ้าหอยยักษ์ที่เลือกปฏิบัติตัวนั้น!


เมื่อสักครู่เขาพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้มันนำทางไปหากู้ซีจิ่ว มันไม่เพียงไม่ยอม แถมยังทำหน้าเหลืออด เขาพูดไม่กี่ประโยคก็จะเอาเปลือกหอยมาหนีบให้ได้ ทำวางท่าว่าตนยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้า


ยามนี้ตี้ฝูอีสั่งเพียงไม่กี่คำ มันวิ่งพรวดพราดยิ่งกว่าสายลม! อีกทั้งยังวิ่งอย่างมั่นคงยิ่งตามคำสั่งของตี้ฝูอี เขาไม่เคยเห็นเจ้าหอยยักษ์วิ่งอย่างมั่นคงขนาดนี้มาก่อน!


ฝูงชนมองหน้ากันเหลอหลา ไม่รู้จะพูดอะไรไปชั่วขณะ


หลัวจั่นอวี่สูดลมหายใจเข้าเบาๆ “ข้าได้ยินมาว่าทูตสวรรค์ฝ่าซ้ายยึดมั่นในคำสัญญา เมื่อเขาสัญญาว่าจะไม่ถือสาหาความเรื่องวันนี้ ก็จะไม่เอาความทุกคนอีก ในเมื่อเขาเข้ามาแล้ว บางทีอาจมีวิธีพาทุกคนออกไปจากที่นี่จริงๆ”


ฝูงชนต่างเห็นพ้อง หลัวจั่นอวี่ยังไม่วางใจ “ข้าจะไปดูสักหน่อย” แล้วก็ไล่ตามไปด้วย


……


เจ้าหอยยักษ์รู้สึกขมขื่นอยู่บ้าง ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมีคราบเลือดทั่วทั้งกาย บาดเจ็บสาหัส ต้องรับการรักษาอย่างเร่งด่วน


เลือดบนร่างของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายหอมหวนยิ่งนัก! หอมยิ่งกว่าเนื้อพระถังซัมจั๋งที่เจ้านายเคยพูดถึงอีก! หากเขาไม่ได้นั่งอยู่ในเปลือกของมัน ห่างไกลจากมันไปสักเล็กน้อย มันคงยังทนไหว ยังทำเป็นเหมือนไม่ได้กลิ่นได้ แต่ตอนนี้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอยู่บนริมฝีปากมัน…


ความรู้สึกนั้นราวกับเด็กน้อยจอมตะกละรักการกินของหวานคนหนึ่งที่คอยปกป้องช็อกโกแลตชิ้นใหญ่อันหอมหวาน  ชวนให้น้ำลายสอ


น่าแปลก เหตุใดเลือดของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายถึงได้หอมหวานน่ากินเพียงนี้?


มันไม่เคยลิ้มรสโลหิตที่ทำให้ต่อมรับรสของมันพลุ่งพล่านได้ขนาดนี้จากผู้อื่นมาก่อน…


แน่นอน มันไม่มีความกล้ามากพอจะกลืนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายลงไป! ทำได้เพียงแค่เลียริมฝีปากอยู่เงียบๆ และยังเลียคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนบนเสื้อผ้าของเขาคำแล้วคำเล่า เพื่อสนองความต้องการ…


โดยปกติ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะได้ใกล้ชิดกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายท่านนี้ และยากนักที่เจ้าหอยยักษ์จะได้ใกล้ชิดตัวเขา ยามนี้เป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ที่ได้เข้าใกล้ขนาดนี้


หัวใจดวงน้อยของเจ้าหอยยักษ์เต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะ ไม่ใช่กระสับกระส่ายด้วยความรักใคร่ หากแต่กลัวทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจะรู้ว่ามันมีความคิดอยากกินเลือดเนื้อของเขา…


เห็นได้ชัดว่าเจ้าหอยยักษ์คิดมากไปแล้ว หลังจากที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเข้ามาในเปลือกหอยก็เริ่มนั่งสมาธิ ถึงขั้นไม่สนใจเจรจาพาทีกับมัน


ตอนที่กู้ซีจิ่วพามันทั้งสามตัวออกมา ไม่ได้พูดกับพวกมันว่าตัวเองกำลังหนีการแต่งงาน เพียงบอกว่าจะไปเก็บสมุนไพร ต่อมาพวกเขาถูกขังไว้ที่นี่ เจ้าหอยยักษ์รู้สึกมาตลอดว่าปัญหานี้ตัวเองเป็นคนก่อขึ้นมา จึงทำตัวเป็นลูกไล่คอยเอาอกเอาใจและเชื่อฟังเมื่ออยู่ต่อหน้ากู้ซีจิ่ว ไม่กล้าถามเรื่องตี้ฝูอีแม้แต่น้อย…


ตอนนี้มันแบกตี้ฝูอีไว้ในเปลือกหอย ในใจยังคงกระวนกระวายไม่น้อย


มันรู้สึกว่าตัวเองทำให้เจ้านายต้องถูกขังอยู่ในนี้ ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายต้องรอคอยอยู่ด้านนอกเนิ่นนานนัก จึงหาวิธีเข้ามาตามหาภรรยา


เจ้านายไม่ได้ทำให้มันต้องอับอาย ไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียงที่มันก่อเรื่องในครั้งนี้ ทว่าหากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายรู้เข้า ไม่แน่เขาอาจจะกะเทาะเปลือกหอยของมันด้วยความโกรธก็เป็นได้!


แต่มันก็ไม่อาจโป้ปด เพราะหากเจ้านายกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเจอหน้ากัน อาจบอกเล่าเรื่องราวกันอย่างชัดเจน ถึงเวลานั้นไม่แน่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอาจจะเอาความมันได้!


เจ้านายเคยพูดไว้ว่าอะไรนะ?


ปฏิเสธโทษสถานหนัก สารภาพโทษสถานเบา หากยอมรับความผิดโทษหนักอาจกลายเป็นเบา…


ดังนั้นเจ้าหอยยักษ์จึงเริ่มสารภาพผิดอย่างระมัดระวัง “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ครั้งนี้ข้าไม่ได้ตั้งใจ เนื่องจากฝนตกหนักเกินไป ฟ้าผ่าเปรี้ยงปร้าง ข้ากลัวฟ้าผ่าเป็นที่สุด จึงใช้วิชาดำดินที่ท่านเคยสอนมุดดำดินลงมา หวังหลบพายุฝนฟ้าคะนองให้ผ่านไปก่อนแล้วค่อยออกมา โดยที่ข้าไม่ทันได้คิดว่าจะหลงทาง ส่วนเจ้านายกับลู่อู๋น้อยก็เมามาย ข้าจึงทำได้เพียงดำดินสุดชีวิต ไม่ทันได้ระวังก็มุดมาถึงที่นี่แล้ว…”


————————————————————————————-


บทที่ 1308 นี่เป็นเหตุบังเอิญจริงๆ หรือ?


นิ้วมือของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่นั่งสมาธิอยู่ขยับเล็กน้อย เจ้าหอยยักษ์กลัวว่าเขาจะลงโทษตัวเอง “หลายวันมานี้ ข้าอยากชดใช้ความผิดมาตลอด จึงขุดหาทางออกไปอีก ผลก็คือสถานที่แห่งนี้เข้าได้ออกไม่ได้ ข้าดำดินไปหลายทิศทางก็ไม่พบทางออก…”


ในที่สุดตี้ฝูอีลืมตาขึ้น มองเจ้าหอยยักษ์ที่ประจบประแจง เขาหรี่ตาเล็กน้อย “นางเมางั้นรึ? เล่ามาตั้งแต่ต้น!”


เจ้าหอยยักษ์ไม่กล้าปิดบัง เล่าเรื่องที่กู้ซีจิ่วพาพวกมันมาป่าทมิฬอย่างตรงไปตรงมาทั้งหมด วาทศิลป์ของเจ้าหอยยักษ์ไม่เลวทีเดียว เล่าเรื่องเหล่านี้ออกมาได้อย่างมีเหตุมีผล ชัดเจนแจ่มแจ้ง


ตี้ฝูอีมองดูเจ้าหอยตัวนี้ ในที่สุดก็เข้าใจว่ากู้ซีจิ่วพาเจ้าสามตัวนี้เข้ามาที่นี่ได้อย่างไร!


ที่แท้เป็นเจ้าหอยยักษ์ที่จับพลัดจับผลูเข้ามา!


ทว่า นี่เป็นเหตุบังเอิญจริงๆ หรือ?


ป่าทมิฬแม้ไม่รู้วันรู้คืน แม้ฝนตก ทว่าแทบจะไม่มีฟ้าผ่า พบเจอได้ไม่เกินครั้งสองครั้งต่อปีเท่านั้น


แต่เจ้าหอยยักษ์ตัวนี้กลับได้พบเจอ!


เสียงฟ้าผ่าที่ทำให้เจ้าหอยยักษ์ตัวนี้ตกใจจนมุดดินมั่วซั่วได้จะต้องอันตรายเป็นอย่างมาก บางทีอาจไม่ใช่ฟ้าผ่าธรรมดา แต่เป็นอัสนีสวรรค์! อัสนีสวรรค์ชนิดนี้สามารถประทับลงบนเปลือกหอย และถูกเจ้าหอยยักษ์พามุดลงดินไปด้วย ประจวบกับวันนั้นเป็นเวลาที่ใจกลางค่ายกลค่อนข้างเปราะบางที่สุด จึงทำให้เจ้าหอยยักษ์ที่นำพาอัสนีสวรรค์ขุดทำลายเขตแดนใต้ต้นถันภังคี จนกระทั่งเข้ามาใจกลางค่ายหล


อัสนีสวรรค์ เจ้าหอยยักษ์ที่รู้วิชาดำดินแถมยังเป็นจอมหลงทาง ช่วงเวลาที่ใจกลางค่ายกลเปราะบางที่สุด


ปัจจัยสำคัญเหล่านี้ล้วนเป็นเหตุบังเอิญที่ไม่คาดคิดว่าจะมาประจวบเหมาะกัน เกรงว่านี่คงไม่ใช่ความบังเอิญธรรมดา หากแต่เป็นลิขิตสวรรค์…


เจ้าหอยยักษ์เห็นเขาไม่พูดไม่จา ไม่รู้ว่าในใจกำลังคิดวางแผนอันใดอยู่ จึงถูๆ เขาอย่างเอาอกเอาใจ “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ท่านตั้งใจเข้ามาที่นี่กระมัง? ทั่วทั้งร่างกายบาดเจ็บก็เป็นกลยุทธ์ทุกข์กาย[1]? เพื่อทำให้เจ้านายของข้าสงสาร? หากนางเห็นเข้าต้องสงสารเป็นแน่ ท่านบาดเจ็บขนาดนี้ยังใช้กระบวนท่าทำให้คนเหล่านั้นตะลึงงันได้อีก ยอดเยี่ยมจริงๆ”


มันพูดจาไร้สาระไม่รู้จบ ตี้ฝูอีหลุบตาลงเล็กน้อย พูดเพียงแค่หกคำว่า “หยุดไร้สาระ รีบไป!”


ดังนั้น เจ้าหอยยักษ์จึงปิดปากเงียบ ตั้งใจเร่งรีบ มันต้องชดใช้ความผิดหาทางพาท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไปส่งให้ถึงข้างกายภรรยาโดยเร็ว…


ประสาทสัมผัสรับกลิ่นของเจ้าหอยยักษ์ว่องไวยิ่งนัก บวกกับการนำทางของลู่อู๋น้อย มันจึงพบเส้นทางที่กู้ซีจิ่วเคยผ่านได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นติดตามกลิ่นอายของนางไปด้านหน้า เมื่อกลิ่นอายของเจ้านายชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าหอยยักษ์ก็โล่งใจ “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย พวกเราใกล้จะเจอนางแล้วขอรับ น่าจะห่างจากที่นี่ไปไม่เกินยี่สิบลี้…”


“โฮก…” เสียงคำรามประหลาดของสัตว์ร้ายส่งผ่านมาจากไกลๆ ในฉับพลัน


เจ้าหอยยักษ์เงยหน้ามองดู ตกใจยกใหญ่!


เงาสายรุ้งทอดยาวปรากฏขึ้นกลางอากาศดังเกลียวไหม เกล็ดส่องแสงวิบวับ เป็นประกายบนท้องฟ้าดังสายรุ้งวันฝนพรำ…


เจ้าหอยยักษ์หยุดฝีเท้าอันรวดเร็วลงโดยสัญชาตญาณ เปลือกหอยสั่นสะท้าน!


มังกรปีศาจเงาสีรุ้ง!


นั่นมันมังกรปีศาจเงาสีรุ้ง สัตว์ขั้นแปดนี่! เหตุใดจึงมีสัตว์ขั้นสูงเช่นนี้ที่หลังเขานี้ได้? ขั้นสูงสุดมิใช่ขั้นเจ็ดเท่านั้นหรือ?!


มังกรปีศาจเงาสีรุ้งนั้นเปล่งเสียงดังลากยาวแทบจะสะท้านโลก หลังจากเสียงลากยาวนั้น เจ้าหอยยักษ์เห็นเงาดำรอบกายมังกรปีศาจกระโดดไปมาดั่งลอยละล่อง ลำแสงอันทรงพลังแทบจะตัดอากาศขาดจากกัน


ทั้งที่อยู่ห่างจากพวกมันตั้งไกล ทว่าพายุลมแรงพัดกรรโชกผ่านภายในภูเขา ขนาดเจ้าหอยยักษ์ยังต้องกลั้นหายใจเอาไว้!


เจ้านาย! เงาดำนั่นคือเจ้านายกู้ซีจิ่วของมัน!


นางต่อสู้กับมังกรปีศาจนี้ อีกทั้งยังไม่มีทีท่าว่าจะพ่ายแพ้…


แน่นอนว่ารอบตัวของนางยังมีคนอื่นอยู่ด้วย


————————————————————————————-


[1] กลยุทธ์ทุกข์กาย เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ประโยชน์จากสามัญสำนึกของมนุษย์ทั่วไป เพราะย่อมไม่มีผู้ใดอยากทำร้ายตนเอง หากบาดเจ็บก็เชื่อว่าคงเกิดจากการถูกทำร้าย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)