กระบี่จงมา 130.2-132
ตอนที่ 130.2
เด็กหนุ่มกับภูเขาและแม่น้ำ
โดย
ProjectZyphon
สุดท้ายเทพหยินคลี่ยิ้มพลางกล่าวว่า “ข้ายังไม่ตอบคำถามก่อนหน้านี้แล้วกัน สรุปคือเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่มีทางคิดร้ายต่อเจ้า”
เฉินผิงอันวิ่งเหยาะๆ ไปด้านหน้า หันกลับมาส่งยิ้ม “หากข้าไม่เชื่อใจผู้อาวุโส ข้าก็คงไม่ถามคำถามนี้แล้ว”
เทพหยินค่อยๆ สลายร่าง ถอนหายใจคิดว่า ติดตามเด็กกลุ่มนี้ออกเดินทางไกล ช่างเหนื่อยใจจริงๆ
อันที่จริงจูลู่สาวใช้ที่จิตใจหยาบช้าผู้นั้น หากเอาไปวางไว้ในตระกูลสูงศักดิ์ของราชวงศ์ล่างภูเขาก็ถือว่าเป็นผู้มีความสามารถที่ไม่อาจดูแคลน น่าเสียดายที่เมื่อมาอยู่ในกลุ่มนี้กลับถูกทิ้งห่างไปไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้ ตั้งแต่ต้นจนจบกลับเทียบใครไม่ติดแม้แต่ด้านเดียว
หากมุ่งหน้าลงใต้ ดูเหมือนว่าจะต้องผ่านลำคลองหลงซวี แม่น้ำเถี่ยฝูก่อน จากนั้นจึงจะเป็นแม่น้ำซิ่วฮวา แม่น้ำชงตั้น น้ำมากกว่าภูเขา ทว่าระยะทางครึ่งวันหลังจากนี้ดูเหมือนว่า “ทางน้ำ” จะถูกใช้ไปหมดแล้ว ถึงขนาดลำธารในภูเขาสักเส้นก็ยังหาได้ยาก อันที่จริงก็มีน้ำอยู่ แต่ล้วนเป็นแอ่งน้ำนิ่งที่ไม่อาจดื่มได้ นอกจากนั้นโดยส่วนมากแล้วก็เป็นต้นอ่อนต้นหยางและต้นหลิวที่เหี่ยวแห้ง ไม่สูงแล้วก็ไม่ดกหนา อีกทั้งยังโน้มเอียง ตลอดทางที่เดินมามีแมลงบินว่อนทั่วทิศ ทำให้คนรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว
หลี่ไหวรู้สึกกลัวเล็กน้อย เพราะผู้เฒ่าตาบอดปากอีกาคนนั้นบอกว่าอีกไม่นานพวกเขาต้องผ่านสถานที่ที่ชื่อว่าภูเขาซานจือซึ่งมีผีดุ อีกทั้งผีร้ายยังมีลูกสมุนเป็นศพหยินอะไรนั่นด้วย
พอคิดถึงเรื่องนี้ หลี่ไหวก็ให้กลุ้มใจ หุ่นไม้หลากสีและหุ่นปั้นดินของตนต่างก็ตัวเล็กมาก ต่อให้มีชีวิตกลับคืนมาจริงๆ เกรงว่าความสามารถในการต่อสู้ก็คงไม่แข็งแกร่งมากพอ แล้วนับประสาอะไรกับที่ไม่ว่าเขาจะกุมให้ร้อนยังไง หุ่นคนจิ๋วทั้งห้าที่เซียนกระบี่ชุดขาวมอบให้ก็ยังไม่มีชีวิตกลับคืนมา อีกฝ่ายคงไม่ใช่นักต้มตุ๋นหรอกนะ ลึกๆ ในใจไม่เต็มใจจะมอบของดีให้ตน แต่ก็วางมาดเซียนกระบี่ไม่ลง ดังนั้นเลยจงใจเอาของไม่ดีมาหลอกให้ตนดีใจ?
ท่ามกลางแสงสนธยา เฉินผิงอันหยุดพักแล้วเริ่มก่อไฟทำอาหาร หลี่ไหววิ่งไปเก็บกิ่งไม้แห้งหอบใหญ่มาด้วยความคล่องแคล่วคุ้นเคย จากนั้นก็นั่งยองอยู่ข้างๆ ฟ้องเฉินผิงอันว่า “เฉินผิงอัน ข้ารู้สึกว่าเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะผู้นั้นไม่ดีเหมือนอาเหลียง”
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจเขา
หลี่ไหวไปหยิบหุ่นไม้หลากสีและหุ่นปั้นดินตัวหนึ่งออกมาจากหีบหนังสือของตัวเอง แล้วใช้หุ่นไม้รังแกหุ่นปั้นดินตัวจิ๋วที่พกกระบี่อย่างโหดเหี้ยม จากนั้นก็จัดท่าให้ฝ่ายหลังคุกเข่าขอร้อง ปากเขาก็พูดไปด้วยว่า “ใต้เท้าผีสาว โปรดไว้ชีวิต โปรดไว้ชีวิตด้วย ข้าเว่ยจิ้นผิดไปแล้ว…”
เฉินผิงอันหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ได้แต่อธิบายว่า “เว่ยจิ้นเป็นคนดีมาก”
หลี่ไหวกลอกตามองบน ขยับมือสองข้างส่งเดช ให้หุ่นไม้หลากสีเหยียบย่ำหุ่นดินต่อไป
หลินโส่วอีนั่งอยู่บนก้อนหินห่างออกไปไม่ไกล กำลังอ่าน ‘ภาพค้นภูเขา’ เงยหน้าขึ้นแล้วกล่าวว่า “หากข้ามองไม่ผิด ดูเหมือนว่าเว่ยจิ้นจะดูถูกเจ้า หรือไม่ก็ ไม่เห็นดีกับเจ้ามากที่สุด”
หลี่เป่าผิงที่กำลังเก็บหีบหนังสือใบเล็กเงียบๆ พลันเดือดดาล “มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ?”
หลังจากก่อไฟติดแล้ว เฉินผิงอันที่นั่งหมอบก้นโด่งอยู่บนพื้นก็เปลี่ยนมาเป็นนั่งยองเตรียมหุงข้าว “ดูถูกข้า แล้วเกี่ยวอะไรกับเขาเป็นคนดีหรือไม่ด้วย?”
หลี่ไหวทำหน้าตะลึง “เฉินผิงอัน คิดอะไรของเจ้า คนที่ดูถูกคนอื่น ยังจะเป็นคนดีที่ดีมากได้อีกหรือ? เขาต้องเป็นคนดีที่ไม่ดีขนาดนั้นแน่!”
เฉินผิงอันรีบลุกขึ้นอย่างไม่รีบไม่รีบ พูดพึมพำกับตัวเองว่า “เว่ยจิ้นเป็นคนร้ายกาจขนาดนั้น แถมยังถูกเรียกว่าเป็นเซียนกระบี่พสุธา แต่เวลาที่พูดกับพวกเรากลับยังมีท่าทีเป็นมิตรอ่อนโยน ยินดีที่จะใช้เหตุผลมาพูดกับเด็กอย่างพวกเรา เจ้าคิดว่าเทพเซียนทุกคนบนภูเขาล้วนเป็นแบบนี้หรือ? ไม่ใช่เลย ก่อนหน้าที่ข้าจะออกมาจากเมืองเล็กเคยได้เจอกับเทพเซียนที่ฆ่าคนโดยดูแค่อารมณ์ของตัวเอง ฟังแค่เหตุผลของตัวเองเท่านั้น อีกทั้งยังไม่ใช่แค่คนเดียวด้วย”
เด็กหนุ่มพูดถึงเรื่องในอดีตที่เต็มไปด้วยแผนสังหารอย่างผ่อนคลาย แล้วก็ไม่คิดจะเล่ารายละเอียดให้มากความ เพียงพูดต่อไปว่า “หากต้องการให้คนเห็นความสำคัญ ต้องอาศัยความสามารถของตัวเอง ทำไร่ทำนาได้ดี เผาเครื่องปั้นขึ้นรูปเครื่องปั้นได้ดี ขึ้นเขาไปตัดฟืนเผาถ่าน หากเจ้ามีเรี่ยวแรงมากที่สุด เวลาที่คนในซอยทะเลาะกันแย่งน้ำ เจ้าไม่กลัวโดนตี กล้าบุกขึ้นหน้าไปสู้ แน่นอนว่าคนอื่นก็ต้องให้ความสำคัญเจ้า”
เฉินผิงอันมองพวกเขาครู่หนึ่ง “นี่คือบ้านเกิดของพวกเรา วันหน้ารอให้เป่าผิงไปถึงสำนักศึกษาของต้าสุย หากเรียนหนังสือได้เก่ง และยังมีหลินโส่วอีที่เป็นผู้ฝึกลมปราณตั้งแต่อายุยังน้อย แน่นอนว่าคนอื่นต้องให้ความสำคัญเจ้า ส่วนเจ้า…หลี่ไหว รอให้อายุมากกว่านี้หน่อยค่อยว่ากัน ตอนนี้ไม่ต้องรีบร้อน”
หลี่ไหวกลับร้อนใจขึ้นมาเสียเอง “เฉินผิงอันเจ้าไม่ร้อนใจ แต่ข้าร้อนใจนะ!”
เฉินผิงอันถาม “ตื่นมาฝึกหมัดฝึกเดินนิ่งกับข้าทุกเช้า เจ้าตื่นไหวไหม?”
หลี่ไหวตอบอย่างไม่ลังเล “แน่นอนว่าตื่นไม่ไหว!”
เฉินผิงอันถามอีก “แล้วที่เจ้าฝึกยืนนิ่งท่าเจี้ยนหลูล่ะ?”
หลี่ไหวทำสีหน้ารังเกียจ “จะเรียนไปทำไม ข้าอายุน้อยแค่นี้เอง”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “ตอนนี้รู้แล้วรึว่าตัวเองอายุน้อย? ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะมาร้อนใจอะไร?”
หลี่ไหวปากอ้าตาค้าง คิดอยู่นานก็ยังไม่ได้คำตอบ สุดท้ายตอนที่ทุกคนล้อมวงกินข้าวกัน หลี่ไหวคีบผักดองหนึ่งชิ้นตามด้วยข้าวคำใหญ่ เอ่ยถามว่า “พวกเจ้าว่าบนโลกนี้จะมีวิชาทางลัดที่สามารถทำสำเร็จได้ในก้าวเดียวหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่นวันนี้ฝึกหมัด พรุ่งนี้ก็มีความสามารถเท่าเทพเซียนแล้ว? อาเหลียงบอกว่าไม่มี หากรู้อย่างนี้แต่แรก ก่อนที่เว่ยจิ้นจะจากไป ข้าก็น่าจะถามเขาว่ามีหรือไม่ หากอาเหลียงบอกว่าไม่มีแต่เขาบอกว่ามีล่ะ? ถ้าอย่างนั้นข้าก็เจริญแล้ว ไปขอเรียนที่ต้าสุยครั้งนี้ข้าก็จะได้เหยียบบนกระบี่เล่มหนึ่ง สวบๆๆ ไปๆ มาๆ เร็วยิ่งกว่าเดินนิ่งของเฉินผิงอัน เหมือนกับลม! พวกเจ้าก็รอกินฝุ่นหลังก้นข้าเถอะ!”
หลี่เป่าผิงถามหน้าเคร่ง “ใครกินฝุ่น?”
หลี่ไหวกลืนน้ำลาย มองไปทางหลินโส่วอี จากนั้นก็หันกลับมามองเฉินผิงอันเงียบๆ สุดท้ายหลี่ไหวรู้สึกเสียใจเล็กน้อย แล้วจู่ๆ ก็พลันเกิดความคิดขึ้นมา เขารีบหยิบหุ่นไม้หลากสีที่อยู่บนพื้นขึ้นมา “มันกิน! ตอนนี้มันคือแม่ทัพใหญ่อันดับหนึ่งของข้า! ช่วยไม่ได้ มันตัวใหญ่ที่สุด แล้วก็สวยที่สุด แถมยังมีประสบการณ์มีคุณความชอบมากที่สุด ติดตามข้าหลี่ไหวกรีฑาทัพไปสี่ทิศนานที่สุด ส่วนหุ่นปั้นดินตัวจิ๋วสกปรกห้าตัวหลังนี่ก็เรียงลำดับเป็นสองสามสี่ห้าหก”
หลินโส่วอีถามยิ้มๆ “แล้วเจ้าตัวเล็กที่อยู่ในหนังสือ ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ เล่มนั้นล่ะ?”
หลี่ไหวส่ายหน้า “พวกมัน? ข้าไม่ค่อยชอบเท่าไหร่”
หลี่เป่าผิงเอ่ยแฉทันใด “เป็นเพราะเจ้าไม่ชอบอ่านหนังสือมากกว่ากระมัง ที่บอกว่าไม่อยากเห็นพวกมันก็เพราะว่าเจ้าต้องเปิดหน้าหนังสือก่อน”
หลี่ไหวทำสีหน้าเจ้าพูดอะไรข้าฟังไม่เข้าใจ
เฉินผิงอันเงยหน้ามองไปยังภูเขาซานจือที่อยู่ห่างไปไกลลูกนั้นแล้วถามว่า “ผ่านภูเขาซานจือไปแล้ว เมื่อถึงตลาดของเมือง พวกเจ้าอยากซื้ออะไรหรือไม่?”
หลี่เป่าผิงลิงโลด “อาจารย์อาน้อย ข้าอยากซื้อหนังสือเบ็ดเตล็ดสักสองสามเล่ม อาจารย์ฉีบอกว่าเมธีร้อยสำนักนอกเหนือจากลัทธิขงจื๊อต่างก็มีตำราเป็นของตัวเอง มีโอกาสก็อ่านให้มากๆ ท่านอาจารย์เคยบอกว่าก้อนหินของภูเขาอื่นเอามาขัดเกลาเป็นหยกได้”
“เฉินผิงอัน หากเป็นไปได้ ข้าอยากซื้อหมากล้อมสักชุดหนึ่ง เอาที่ถูกที่สุดก็พอ”
“หลี่ไหวเจ้าล่ะ?”
“ให้เงินข้า ข้าไม่ซื้อของ ได้ไหม? ข้าอยากเก็บเงิน แม่ข้าเคยสอนว่า ในกระเป๋ามีเงิน มีเรื่องไม่ลนลาน!”
เฉินผิงอันถามกลับ “เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ?”
หลี่ไหวหัวเราะหึหึ “ข้าก็แค่หวังว่าจะโชคดี เผื่อเจ้าเฉินผิงอันเกิดมีใจเมตตาขึ้นมาล่ะ?”
เฉินผิงอันหัวเราะ
สีหน้าเปื้อนยิ้มของหลี่ไหวแข็งค้างทันที รีบเปลี่ยนหัวข้อ “นักพรตเฒ่าคนนั้นบอกพวกเราว่าอย่าขึ้นเขาซานจือตอนกลางคืนไม่ใช่หรือ?”
หลินโส่วอีส่ายหน้า “ข้ากับเฉินผิงอันปรึกษากับผู้อาวุโสเทพหยินแล้ว หากพวกเรารีบเดินทางตอนกลางคืนแล้วผีร้ายออกมาทำร้ายผู้คนก็จะสยบมันซะ ตอนแรกผู้อาวุโสเทพหยินจะมองดูอยู่เฉยๆ ให้ข้าลงมือก่อน ทดลองใช้ยันต์และเวทสายฟ้ามาบีบให้ศัตรูล่าถอย หลักๆ คือให้ข้าได้ฝึกปรือฝีมือ หากผีร้ายหลบซ่อนตัวไม่ยอมออกมาก็ปล่อยไป พวกเราก็เดินทางกันต่อ”
ม่านราตรีทอดตัวลงมา คนทั้งกลุ่มเดินขึ้นเขาช้าๆ ภูเขาซานจือไม่สูง แต่สภาพภูเขาไม่ราบเรียบ ลาดชันมาก เฉินผิงอันต้องเดินอ้อมไปทางอื่น พื้นที่ส่วนใหญ่บนภูเขาคือสุสานรวมที่ไม่มีคนรุ่นหลังคอยมาเติมดินใหม่ แน่นอนว่าที่มากกว่านั้นยังมีสุสานที่มีลูกหลานมาเซ่นไหว้ เก็บกวาดสะอาดเอี่ยม บนหลุมตั้งป้ายหิน บนป้ายสลักตัวอักษร ด้านหน้าป้ายยังมีกระดาษเงินบางส่วนที่ไหม้ไม่หมด
ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็ข้ามภูเขาซานจือมาได้ นอกจากลมตอนกลางคืนที่ค่อนข้างเย็นแล้วก็ไม่มีความผิดปกติอย่างอื่นอีก
หลินโส่วอีเสียดายเล็กน้อย แต่ก็ไม่ฝืนเรียกร้องอะไร
หลังจากนั้นมาเส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังด่านเหย่ฟูของต้าหลีก็ยิ่งราบรื่นไร้อุปสรรค
หลังจากผ่านตลาดของเมืองเล็กแห่งหนึ่ง หลี่เป่าผิงซื้อหนังสือเบ็ดเตล็ดห้าหกเล่ม มีบันทึกท่องเที่ยวภูเขาและแม่น้ำ มีคัมภีร์ธรรมะ มีบันทึกของกวี
หลินโส่วอีซื้อหมากล้อมหนึ่งชุด หลังจากสอนกฎการเล่นให้เฉินผิงอันแล้ว ขอแค่มีเวลาว่างก็มักจะเอาออกมาประลองฝีมือกันเป็นประจำ เพราะหลี่เป่าผิงนั่งนิ่งอยู่ได้ไม่นาน อยากจะวางหมากทีเดียวสักเจ็ดแปดตัว แถมยังรำคาญที่หลินโส่วอีเดินหมากช้าเกินไป ส่วนหลี่ไหวนั้นต้องเรียกว่าขี้เกียจใช้สมองอย่างแท้จริง ทว่าคนที่เล่นหมากกับหลินโส่วอีมากที่สุดกลับเป็นเทพหยิน
คงเป็นเพราะตอนอยู่เมืองหงจู๋ หลี่ไหวใช้เงินซื้อหนังสือผุๆ เล่มหนึ่งไปเกือบสิบตำลึง ครั้งนี้จึงไม่ได้ซื้ออะไร
แม้เฉินผิงอันจะอยากฝึกกระบี่ แต่นอกจากจะหยิบกระบี่ไม้ไหวในตะกร้าด้านหลังออกมาเป็นบางครั้งแล้วก็ไม่ได้เริ่มฝึกกระบี่อย่างจริงจัง
ในความคิดของเฉินผิงอัน ภารกิจที่สำคัญในเวลานี้ก็คือต้องฝึกวิชาหมัดให้ดีก่อน! รอตอนไหนที่รู้สึกว่าสามารถแบ่งสมาธิไปทำเรื่องอื่นได้แล้วค่อยฝึกกระบี่ วิธีโคจรลมปราณที่อาเหลียงเคยสอน ตอนนี้เฉินผิงอันเพิ่งจะฝึกได้แค่เกือบครึ่ง มาถึงหกหยุดก็ฝึกต่อไปไม่ได้อีก
แม้ว่าตอนนี้จะยังฝึกกระบี่ไม่ได้ แต่อาเหลียงเคยบอกว่าเดิมทีสิบแปดหยุดก็เป็นสิ่งที่ผู้ฝึกกระบี่หลายคนใคร่ครวญออกมาด้วยความยากลำบาก มุมานะตั้งใจฝึกสิบแปดหยุดก็เท่ากับปูรากฐานในการฝึกกระบี่ที่ดีให้กับตัวเอง พอเฉินผิงอันคิดอย่างนี้ก็รู้สึกว่ากล้ามเนื้อทั้งร่างเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง
พอมีเวลาว่าง บ้างก็บนกิ่งของต้นไม้ใหญ่เหนือยอดเขา บ้างก็ริมหน้าผาใกล้แม่น้ำ
มีเด็กหนุ่มใช้สองมือทำมุทรา ฝึกยืนนิ่งอยู่เพียงลำพัง ตั้งใจฝึกตนอยู่กับภูเขาและแม่น้ำเงียบๆ มีภูเขาก็มองภูเขา มีน้ำก็ฟังเสียงน้ำ
ตอนที่ 131.1
ศิษย์ของปัญญาชน
โดย
ProjectZyphon
อู๋ยวนนายอำเภอหลงเฉวียนพาราชเลขาฝ่ายบุ๋นคนสนิทคนหนึ่งเดินออกจากจวนใหญ่สกุลหลี่บนถนนฝูลวี่ อู๋ยวนที่สวมชุดข้าราชการเดินไปเดินมาก็พลันหยุดยืนขาเดียว ก้มตัวลงถอดรองเท้าหุ้มข้อ เทกรวดซ้ายที่อยู่ด้านในออกมา ราชเลขาฝ่ายบุ๋นที่เกิดในตระกูลสูงศักดิ์เห็นภาพแบบนี้มาจนชินตาจึงไม่แปลกใจ เพียงแต่ว่าถนนฝูลวี่ในเวลานี้ครึกครื้นกว่าในอดีตมาก คนหนุ่มที่ยังมีฐานะเป็นขุนนางผู้น้อยชั่วคราวจึงรีบช่วยเจ้านายบังสายตาคนอื่น ขณะเดียวกันก็เอ่ยเบาๆ ว่า “เห็นๆ กันอยู่ว่าก่อนหน้านี้หลี่หงผู้นั้นยอมรับปากว่าจะช่วยเป็นผู้นำยอมถอยให้เรื่องสุสานเทพเซียนแล้ว ทำไมจู่ๆ ถึงเปลี่ยนใจกะทันหัน เขาไม่กลัวว่าจะทำให้ใต้เท้ารู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ทั้งละโมบและขี้ขลาดหรอกหรือ?”
อู๋ยวนที่สีหน้าเหนื่อยล้ากล่าวอย่างจนใจ “เป็นไปได้ว่าหลี่เป่าเจินบุตรชายคนรองของหลี่หงไปสร้างชื่อเสียงอยู่ในเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจหาที่พึ่งได้แล้วจึงส่งจดหมายกลับมาบ้านบอกห้ามไม่ให้หลี่หงกระทำการบุ่มบ่าม หรือไม่ก็เป็นเพราะบุตรชายคนโตที่เก็บตัวเงียบเตือนให้หลี่หงใช้ความนิ่งสยบความเคลื่อนไหว ล้วนบอกได้ยาก สรุปก็คือตอนนี้คนที่เดือดร้อนก็คือพวกเรา ช่วยไม่ได้ แผนการเดิมล้วนขึ้นอยู่กับอาจารย์ของข้า…เฮ้อ ไม่พูดแล้วๆ เรือล่องมาถึงท่าย่อมต้องจอดนิ่ง ไปดื่มเหล้ากัน ดื่มเหล้าต้มดอกท้อวสันต์สักสองไหก่อนแล้วค่อยว่ากัน ข้าเชื้อเชิญ เจ้าจ่ายเงิน จดบันทึกไว้ในบัญชีของคุณชายฟู่อย่างเจ้าก็แล้วกัน”
สำหรับเรื่องบัญชีเชื่อของผู้บังคับบัญชานี้ ราชเลขาฝ่ายบุ๋นแซ่ฟู่ชินชาซะแล้ว จึงแค่ถามด้วยความใคร่รู้ว่า “ในเมืองเล็กล้วนเล่าลือกันว่าตระกูลหลี่บนถนนฝูลวี่มีสองบุตรชายหนึ่งบุตรสาว ซึ่งหมอดูคนหนึ่งที่ทำนายดวงชะตาได้อย่างแม่นยำเคยขนานนามพวกเขาว่ามังกร กิเลนและหงส์งั้นหรือ?”
อู๋ยวนนวดคลึงซีกแก้มซูบตอบที่ค่อนข้างซีดเซียว ตอบกลั้วหัวเราะอย่างไม่เห็นเป็นสำคัญ “เรื่องพวกนี้เจ้าก็เชื่อด้วยหรือ? เมืองหลวงต้าหลีของพวกเรา คนที่อยากจะมีหน้ามีตา โดยเฉพาะพวกที่เกิดในตระกูลยากจนข้นแค้น ใครบ้างที่ไม่หวังสั่งสมชื่อเสียงอันดีงาม? ต่อให้เป็นตระกูลร่ำรวยก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ คำพูดของตระกูลฟู่พวกเจ้าที่บอกว่า ‘ทองมรกตสว่างเรืองรอง ของล้ำค่าดารดาษละลานตา’ เป็นจริงสักกี่ส่วน คนนอกอาจไม่รู้ แต่เจ้าฟู่อวี้น่าจะรู้ดีไม่ใช่หรือ?”
ฟู่อวี้ที่ถูกแฉเสียหมดเปลือกโมโหปรี๊ดทันที “ใต้เท้าอู๋ ท่านยังกล้ามีหน้ามาพูดถึงตระกูลฟู่พวกเราอีกหรือ?”
อู๋ยวนอารมณ์ดีทันตาเห็น หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ตบไหล่สหายรู้ใจ “พวกเราสองคนไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ หมาป่าและเป้ยสมคบคิดกัน”
ฟู่อวี้หัวเราะตามไปด้วย “ใช้คำว่ามีปณิธานตรงกัน รสนิยมเดียวกันจะน่าฟังกว่าหรือเปล่า?”
อู๋ยวนด่ากลั้วหัวเราะ “เกิดดัดจริตอะไรขึ้นมา? เป็นวิญญูชนจอมปลอมเหนื่อยจะตายไป เป็นคนถ่อยที่แท้จริงนี่แหละถึงจะสะใจ”
ฟู่อวี้ส่ายหน้ากล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดาย “คำพูดประโยคนี้ของใต้เท้าอู๋ไม่ค่อยจะมีจุดยืนของตัวเองสักเท่าไหร่”
อู๋ยวนถอนหายใจหนึ่งที แล้วเปลี่ยนหัวข้อพูด “เริ่มคิดถึงภรรยาแล้วสิ”
ฟู่อวี้ยิ้มบางๆ “ใต้เท้านายอำเภอ หอโคมเขียวของอำเภอหลงเฉวียนพวกเราก็ควรจะยกเลิกข้อห้ามแล้วหรือไม่? สุรานารี มีแต่สุราก็ดูจะไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่”
อู๋ยวนพยักหน้ารับ กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ในบรรดานักโทษของราชวงศ์สกุลหลูที่ถูกเนรเทศ สถานะของสตรีบางคนเหมาะสมพอดี แทนที่จะให้ไปทำงานยากลำบากเหนื่อยตายอยู่ในป่าเขา ไม่สู้มอบทางเลือกอีกอย่างหนึ่งให้กับพวกนาง แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่อาจบังคับฝืนใจกัน ต้องดูที่ความสมัครใจของตัวพวกนางเองเป็นหลัก ฟู่อวี้ หลังจากนี้เจ้าไม่ต้องคอยติดตามข้าไปให้คนค้อนตาดูแคลนใส่ทุกวันแล้ว เจ้ารับเรื่องนี้ไปทำ”
คราวนี้เป็นฟู่อวี้บ้างที่มีสีหน้าตะลึง ประโยคก่อนหน้านี้เขาก็แค่เสนอไปอย่างนั้นเอง จึงถามด้วยความสงสัย “เอาจริงหรือ?”
อู๋ยวนขยับคอเสื้อชุดข้าราชการ ตอบยิ้มๆ “มีอะไรจริงไม่จริงเล่า ภูเขาถูกบุกเบิกหลายลูกขนาดนั้น อนาคตคนที่จะมาอยู่อาศัยส่วนมากก็ต้องเป็นเทพเซียนบนภูเขา คิดจะรั้งตัวนายท่านใหญ่ที่สายตามองแต่ที่สูง ถุงเงินหนาใหญ่ ให้พวกเขาใช้จ่ายเงินมือเติบอยู่ในเมืองเล็กของพวกเรา จะอาศัยแค่ตำแหน่งนายอำเภอเล็กๆ ของข้าที่อีกไม่นานก็ต้องถูกปลดสถานะผู้ตรวจการ หรือว่าจะให้อาศัยเจ้าฟู่อวี้? เมื่อก่อนเคยได้ยินอาจารย์ของข้าเล่าให้ฟังว่า คนบนภูเขาที่หยิ่งยโสพวกนั้นมักจะไม่ค่อยสนใจความงามเพริศพริ้งของสตรีในโลกมนุษย์ เพราะเมื่อเทียบกับเทพธิดาที่ฝึกตนแล้ว ความต่างด้านในหนังหุ้มนั้นมีมาก ถ้าอย่างนั้นขอแค่สตรีล่างภูเขายังมีสถานะหลงเหลืออยู่ อย่างเช่นเป็นดั่งกิ่งทองใบหยกของแคว้นที่ล่มสลาย เป็นสตรีสูงศักดิ์ที่ตระกูลล้มละลาย ก็พอจะมีความดึงดูดใจไม่มากก็น้อย สำหรับข้อนี้ พวกนักโทษกลุ่มนั้นของราชวงศ์สกุลหลู ไม่ขาด”
ฟู่อวี้แค้นเคืองด้วยรู้สึกไม่เป็นธรรม “ราชสำนักคิดจะแต่งตั้งขุนนางผู้ตรวจการงานเตาเผาคนใหม่ในเวลาเช่นนี้ หากไม่ได้คิดจะเก็บเกี่ยวดอกผลจะเป็นอะไรไปได้อีก? สองเดือนมานี้ใต้เท้าต้องเดินเท้าไปทั่วภูเขาหกสิบกว่าลูก คอยติดตามพวกจิ้งจอกเฒ่าปากร้ายพวกนั้นปรึกษาหารือเรื่องขุดดินปลูกสร้างศาลเทพอภิบาลเมืองของอำเภอไปจนถึงเลือกสถานที่สำหรับสร้างศาลเจ้าบุ๋นบู๊สองแห่ง ช่วงก่อนหน้านี้ยังต้องไปวัดที่และเตรียมไม้ให้พร้อม จากนั้นก็มาจัดการเรื่องชาวบ้านสกุลหลูที่ลี้ภัย จะเรื่องน้อยเรื่องใหญ่ต้องทำเองหมด มีวันไหนบ้างที่ได้นอนเกินสามชั่วยาม? ทีนี้กลับดีนัก พวกตาแก่ในราชสำนักแค่ขยับปากไม่กี่ที ก็เท่ากับว่าใต้เท้าอู๋ทำงานไม่ดีแล้ว? ไม่แน่ว่าเรื่องที่สี่แซ่สิบตระกูลสร้างความลำบากใจให้ท่านอาจเป็นเพราะได้รับคำสั่งจากคนบางคนในราชสำนัก! พวกเขาต้องการให้อนาคตที่ยิ่งใหญ่ของใต้เท้าเริ่มต้นขึ้นที่อำเภอหลงเฉวียน แล้วก็ต้องจบลงที่อำเภอหลงเฉวียน!”
น่าจะเป็นเพราะฟู่อวี้รู้สึกว่าคำพูดประโยคสุดท้ายฟังดูอัปมงคลเกินไป แล้วก็เกินจริงไปมาก จึงพูดใหม่อย่างไม่สบอารมณ์ดังเดิม “อย่างน้อยก็ต้องไม่ให้ใต้เท้าได้ควบคุมหนึ่งกรมสำเร็จก่อนอายุห้าสิบ ได้แต่ต้องท่องคาถาอดทน ค่อยๆ อดทนจนกว่าจะไปถึงตำแหน่งสูงของหนึ่งกรม”
อู๋ยวนเผยอริมฝีปากที่แห้งผาก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ฟู่อวี้พลันหัวเราะ อู๋ยวนจึงหันหน้ากลับไปมอง “นึกถึงเรื่องอะไรที่ทำให้อารมณ์ดีได้รึ?”
ฟู่อวี้พยักหน้ารับ “อำเภอหลงเฉวียนนี้ของพวกเรา แม้สถานที่จะเล็ก แต่เมื่อเทียบกับเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองแล้ว ข้ากลับชอบที่นี่มากกว่า เหล้าต้ม ขนมหวาน และซาลาเปาเนื้อช่วงเช้าตรู่ของทุกวัน ขอแค่นึกอยากกินก็สามารถเดินไปซื้อได้ด้วยตัวเอง ไปกลับอย่างมากสุดก็แค่หนึ่งชั่วยาม บางครั้งที่จิตใจวุ่นวายไม่สงบก็ไปนั่งที่เพิงร้านเหล้า สั่งสุรามาหนึ่งชั่ง ข้าฟู่อวี้ก็สามารถนั่งอย่างสงบได้หนึ่งชั่วยามโดยที่ไม่มีคนคอยมาตีสนิทเรียกคุณชายฟู่ให้รำคาญหู จากนั้นก็สั่งเนื้อเต้าเจี้ยวถ้วยเล็กหนึ่งถ้วย ผักดองมาอีกหนึ่งจาน อยากให้ชีวิตเป็นอย่างนี้ตลอดไปจริงๆ ดังนั้นตอนนี้ข้าจึงอยากจะทำผลงานที่ดีๆ อยู่ที่นี่ ต่อให้ลำบากแค่ไหนข้าก็ไม่กลัว”
อู๋ยวนอืมรับหนึ่งที “หากเอาแต่นอนเสวยสุขรอให้คนดันขึ้นฟ้า ถ้าอย่างนั้นเป็นขุนนางจะมีความหมายอะไร? ยังไงก็ต้องทำอะไรเป็นจริงเป็นจังเพื่อชาวบ้านบ้าง เจ้าเก่งกว่าข้า เพราะข้ามีชาติกำเนิดยากจน รู้ดีว่าพวกชาวบ้านร้านตลาดและชาวป่าชาวเขามีชีวิตอยู่ไม่ง่าย แต่เจ้าคือคุณชายสูงศักดิ์ตระกูลฟู่ที่เป็นขุนนางกันมาหลายรุ่นหลายสมัย สามารถคิดแบบนี้ได้ ทำให้ข้าแปลกใจอย่างมาก”
คนทั้งสองเดินเคียงบ่ากันไป
ฟู่อวี้กล่าวอย่างจนใจ “แต่ปัญหาก็มาแล้ว เจ้าทำดี แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าชาวบ้านจะเห็นความดีของเจ้า ในหนังสือประวัติศาสตร์ ขุนนางที่ทำงานเก่ง บุกเบิกแสวงหาหนทางสู่ความก้าวหน้าให้แก่สถานที่หนึ่ง สุดท้ายกลับถูกด่าไม่เหลือดี ต้องจากไปด้วยความเศร้าหมอง มีน้อยนักหรือ? หนึ่งร้อยปีหรือหลายร้อยปีให้หลัง เมื่อราชสำนักมารู้ตัวภายหลัง ถึงเวลานั้นก็เหลือเพียงแค่บทกวีบทเพลงสรรเสริญเยินยอ จะมีประโยชน์กับผายลมอะไร”
อู๋ยวนส่ายหน้า “คิดอย่างนี้ไม่ถูก ทำงานก็คือทำงาน ความตั้งใจเดิมของเจ้าก็คือทำเรื่องที่ตัวเองภาคภูมิใจ ส่วนข้อที่ว่าทำไปแล้วชาวบ้านจะรับน้ำใจหรือไม่ ราชสำนักจะยอมรับหรือไม่ ตอนนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดถึงเรื่องพวกนี้ คิดมากไปก็มีแต่จะทำให้ตัวเองหงุดหงิดใจ คิดส่งเดชก็ยิ่งอาจทำให้หมดสิ้นปณิธานความฮึกเหิม ลัทธิขงจี๊อของพวกเราไม่เหมือนกับลัทธิเต๋าที่แสวงหาในตบะสูงต่ำ ไม่เหมือนกับลัทธิพุทธที่สืบเสาะหาว่าแดนสุขาวดีอยู่ไกลเพียงใด…”
ฟู่อวี้ถอนหายใจ
อู๋ยวนยังพูดต่อเหมือนคุยกับตัวเอง “ในสามลัทธิ ลัทธิเต๋าเน้นย้ำในความสะอาดบริสุทธิ์ เป็นเรื่องของคนคนเดียว ฟ้าถล่มดินทลาย ขอแค่ข้ามีชีวิตอมตะก็เพียงพอแล้ว ไม่สนใจในชาติหน้า กลับสนใจเพียงหนังหุ้มกายในชาตินี้ เพราะจำเป็นต้องอาศัยเรือนกายนี้ไปพิสูจน์มหามรรคา เดินไปให้ถึงปลายทางของสะพานแห่งความอมตะ เล่าลือกันว่าลัทธิพุทธมีแบ่งหีนยานและมหายาน หีนยานนั้นคล้ายคลึงกับลัทธิเต๋า แต่มหายานกลับบอกกล่าวแก่คนธรรมดาทั่วไปว่า ชีวิตนี้ยากลำบากชาติหน้าเสวยสุข มอบอุดมคติที่ยิ่งใหญ่ให้แก่ผู้คน มีเพียงลัทธิขงจื๊อของพวกเราที่ใกล้ชิดกับทางโลกมากที่สุด พัวพันลึกล้ำที่สุด อีกทั้งยังมีสภาวะยากลำบากอย่าง ‘ใกล้เกินไปก็กลายเป็นลามปามไม่นับถือ ไกลเกินไปก็กลายเป็นห่างเหินไม่พอใจ’ ยิ่งมีความรู้มาก มีตบะมากกลับยิ่งเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า มักจะรู้สึกว่าแค่ยืดขาเงยหน้าก็สัมผัสโดนกำแพงแห่งกฎเกณฑ์แล้ว ยกตัวอย่างเช่นวัตุประสงค์ในการเรียนรู้ที่อาจารย์ของข้าเป็นผู้เสนอ เน้นย้ำความรู้ แต่ให้ความสำคัญกับผลงานยิ่งกว่า หวังว่าจะสามารถกำจัดพวกปัญญาชนคร่ำครึถากถางสังคมเหล่านั้นออกไปได้ คล้ายคลึงกับการจัดระเบียบตระกูล ต้องเผชิญกับศัตรูทั่วทุกหนแห่ง ย่อมยากจะหลีกเลี่ยงไม่ให้คนชิงชังผลักไส”
อู๋ยวนส่ายหน้าพูด “ความคิดของท่านอาจารย์นั้นดี แต่ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่ควรให้สุดโต่งเกินไปนัก อีกทั้งทุกคนล้วนมีความเคยชิน มีความเป็นไปได้ว่าหลังจากผ่านยุคเจริญรุ่งเรืองไปหนึ่งร้อยปี ในช่วงเวลาห้าร้อยปี หนึ่งพันปีต่อมา เนื่องจากบัณฑิตยังคงตรากตรำเล่าเรียนตำราแห่งปราชญ์ แต่ละคนจึงยังคงความภูมิฐานผ่าเผย แต่เมื่อมาถึงท้ายที่สุด จุดประสงค์ของพวกเขากลับไม่ใช่เพื่อ ‘ปลูกฝังกลิ่นอายแห่งความซื่อสัตย์เที่ยงธรรม’ ตามคำกล่าวของอริยะอีกต่อไป ตอนนี้ยังดี สร้างคุณธรรม สร้างคุณความชอบ ถ่ายทอดคำสั่งสอน สามสิ่งนี้ล้วนไม่เสื่อมในลัทธิขงจื๊อ วิญญูชน นักปราชญ์ อริยะต่างก็ยังแสวงหาคำว่า ‘คุณธรรม’ แต่หากวัตุประสงค์ในการเรียนรู้ของท่านอาจารย์กลายมาเป็นบรรทัดฐานแห่งคุณธรรมใต้หล้า นั่นก็ไม่เท่ากับว่าดึง ‘สร้างคุณความชอบ’ ให้ต่ำลงหรอกหรือ? นานวันเข้ากลายเป็นว่าบัณฑิตคือคนที่ดูแคลนการบ่มเพาะคุณธรรมมากที่สุด แค่อ่านอักษรไม่กี่คำ เปิดหนังสือไม่กี่หน้าก็เหมือนว่าจะได้เหรียญทองแดงมาหลายเหรียญแล้ว หากเป็นแบบนี้ นี่จะเป็นสภาพการณ์ที่น่ากลัวแค่ไหนกัน”
ฟู่อวี้ตะลึงงันไปก่อน จากนั้นสีหน้าก็แปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง เอื้อมมือไปบีบแขนของอู๋ยวน กดเสียงลงต่ำ “อู๋ยวน! คำพูดพวกนี้เจ้าห้ามพูดกับอาจารย์ของเจ้าเด็ดขาด ห้ามเด็ดขาด! เจ้าไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณ ไม่ใช่ผู้ฝึกตน ไม่รู้ถึงความโหดร้ายของการช่วงชิงกันบนมหามรรคา เพียงคำพูดที่เกิดจากความไม่ตั้งใจคำเดียว เพียงการกระทำที่ไม่มีเจตนาครั้งเดียวก็สามารถชักนำหายนะถึงแก่ชีวิตมาสู่ตัวได้!”
อู๋ยวนตบหลังมือของฟู่อวี้ หัวเราะเสียงแหบพร่า “แน่นอนว่าข้าย่อมไม่มีความกล้านี้ อีกอย่างด้วยความรู้และสติปัญญาของอาจารย์ข้า อาจเป็นข้าเองที่คิดผิดไป คิดตื้นเขินเกินไป ท่านอาจารย์ย่อมไม่เห็นดีเห็นงามกับความคิดนี้ของข้า”
ฟู่อวี้ปล่อยมือออก “เจ้าห้ามหลุดปากพูดเด็ดขาดเชียว ไม่อยากเห็นว่าวันใดเจ้ากลายเป็นเหมือนซ่งอวี้จางที่อยู่ดีๆ ก็…”
ฟู่อวี้ไม่พูดต่อ พูดมากไปอาจนำภัยมาสู่ตัว
อู๋ยวนจึงเปลี่ยนหัวข้อพูด “หากวันหน้าข้าเดินทางผิด ไม่ว่าเวลานั้นข้าอู๋ยวนเป็นขุนนางใหญ่โตแค่ไหน ฟู่อวี้ เจ้าจำไว้ว่าต้องด่าข้าซึ่งๆ หน้า ทางที่ดีที่สุดคือด่าจนข้าคืนสติ”
“วางใจเถอะ ถึงเวลานั้นข้าก็รับรองว่าไม่ต้องพูดอะไรให้มากความก็จะประเคนฝ่ามือแก่เสนาบดีอู๋ทันที”
“เสนาบดีของหกกรมหรือ แค่ขุนนางหลักขั้นสองเท่านั้น เล็กเกินไปๆ”
“ไม่เล็ก เจ้าคิดดูนะ รอวันใดที่ต้าหลีของพวกเรายึดครองแผ่นดินครึ่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปไว้ได้ เสนาบดีของหกกรมยังเป็นตำแหน่งเล็กอีกหรือ? ข้าว่าผู้ช่วยเสนาบดีก็ใหญ่มากพอแล้ว เอาเป็นว่าใต้เท้าอู๋ ข้าบอกไว้ก่อนเลยนะว่า ข้าคนนี้นอกจากจะถนัดเสนอความคิดเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ถนัดตัดสินใจเรื่องอะไรทั้งนั้น ดังนั้นข้าจะติดตามเจ้าไปตลอดชีวิตนี้นี่แหละ วันหน้าหากเจ้าเป็นเสนาบดี ก็ยกตำแหน่งผู้ช่วยเสนาบดีให้ข้า เป็นไง?”
บัณฑิตสองคนที่อยู่ในวงการขุนนางเดินหัวเราะกลับไปยังจวนที่ว่าการอำเภอ
ในจวนตระกูลหลี่มีบัณฑิตชุดเชียวผู้หนึ่งหยิบหนังสือขึ้นมาใหม่อีกครั้ง กล่าวพร้อมยิ้มๆ บางว่า “เกี่ยวกับเรื่องการทำผลงานนั้น เจ้าอู๋ยวนไม่ได้คิดผิด แต่คิดตื้นไปจริงๆ”
ตอนที่ 131.2
ศิษย์ของปัญญาชน
โดย
ProjectZyphon
เมืองเล็กเจริญรุ่งเรืองและจอแจมากขึ้นทุกวัน
นอกจากเด็กหนุ่มชุยฉานจะต้องไปอ่านหนังสือในโรงเรียนที่ถูกทิ้งร้างทุกวันแล้ว เวลาปกติจะอาศัยอยู่ในบ้านเก่าสกุลหยวน ทุกวันเขาจะต้องย้ายเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งอยู่ด้านข้างเพดานเปิดโล่งอันเป็นจุดรวมตัวของน้ำและลม มักจะนั่งเหม่อครั้งหนึ่งเป็นเวลาหนึ่งถึงสองชั่วยาม บางครั้งจะไปเดินเล่นยังโรงเรียนที่เปิดใหม่ด้วยเงินทุนของสกุลเฉินเมืองหลงเหว่ย แต่เพียงครู่เดียวก็จากมา
อู๋ยวนนายอำเภอหลงเฉวียนถูกปลดตำแหน่งผู้ตรวจการงานเตาเผาอย่างเป็นทางการแล้ว ว่ากันว่าผู้ที่จะมารับตำแหน่งคนต่อไปคือเด็กหนุ่มผู้มีความสามารถของสกุลเฉาอันเป็นเสาเอกของบ้านเมือง และสกุลเฉากับสกุลหยวนอันเป็นตระกูลของพ่อตาอู๋ยวนในอนาคตก็ขึ้นชื่อว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาตในราชสำนักต้าหลี เพียงแค่พูดไม่ถูกหูกันคำเดียวก็สามารถลงมือต่อยตีไม่ว่าจะอยู่ในสถานที่ใดก็ตาม และการที่พลเอกสองท่านผู้กุมอำนาจสำคัญแห่งแว่นแคว้นจะชี้หน้าด่ากันในท้องพระโรงเล็กๆ อันเป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าขุนนางก็ยิ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ฮ่องเต้เคยพูดโน้มน้าวดีๆอยู่หลายครั้ง บางครั้งทรงกริ้วก็ให้ขุนนางใหญ่ผู้มีคุณูปการทั้งสองท่านไสหัวกลับไปทะเลาะกันที่บ้าน จะอย่างไรซะบรรพบุรุษของสองตระกูลก็เป็นเพื่อนบ้านกันอยู่แล้ว ว่ากันว่าเด็กๆ ของสองบ้านเรียนรู้ที่จะปีนกำแพงขว้างปาข้าวของสารพัดชนิดไปยังบ้านติดกัน เจ้าขว้างก้อนอิฐ ข้าโยนก้อนดิน ผลัดกันรับผลัดกันส่งเป็นมาตั้งแต่ยังเล็ก
อู๋ยวนมาเยือนครั้งนี้เพื่อขอคำปรึกษาจากอาจารย์ด้วยความร้อนตัวเล็กน้อย “อาจารย์ ทางฝ่ายกรมขุนนางของราชสำนักมีตระกูลเฉาเป็นผู้ครอบครองที่ดินมาโดยตลอด เพราะข้ายังไม่สามารถคลี่คลายปัญหาได้ จึงคิดฉวยโอกาสเตรียมโยนข้ากลับไปเมืองหลวงให้ไปเป็นขุนนางว่างงานของกรมใดกรมหนึ่งหลายๆ ปีก่อนใช่หรือไม่?”
“ไม่ใช่”
ชุยฉานยังคงนั่งอย่างสงบอยู่บนเก้าอี้ใหญ่ตัวนั้น เอ่ยเสียงเรียบเรื่อย “ชาติกำเนิดของเฉาจี้เป็นอย่างไร? ความสามารถเป็นอย่างไร?”
อู๋ยวนยิ้มขื่น “ชาติกำเนิดเหนือข้า ความสามารถก็ไม่ธรรมดา”
“แข่งขันกับคนประเภทนี้ เป็นการบอกให้รู้ว่าเจ้าอู๋ยวนยังพอมีความสามารถพอดีไม่ใช่หรือ? แล้วนับประสาอะไรกับที่เจ้าต่างหากที่เป็นนายอำเภอหลงเฉวียน เฉาจี๋ก็เป็นแค่ขุนนางตราตรางานเตาเผาเท่านั้น ตอนนี้เตาเผามังกรเพิ่งจะถูกสั่งเปิดใหม่อีกครั้ง เขาก็แค่มาเก็บกวาดงานที่เกี่ยวข้องกับเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตบางส่วน ไม่ได้มีอะไรร้ายแรงอย่างที่เจ้าคิด”
ราชครูหนุ่มที่กลางหว่างคิ้วมีใฝสีแดงหนึ่งเม็ดมองเพดานสี่เหลี่ยมที่โล่งกว้าง “แน่นอนว่าสกุลเฉาคิดจะเหยียบย่ำเจ้าเพื่อเดินขึ้นสูง ตอนนี้ก็ต้องดูที่ว่าเจ้ามีความสามารถที่จะกลายมาเป็นพยัคฆ์ดักทาง (เปรียบเปรยถึงอุปสรรคขัดขวาง) ในวงการขุนนางของเฉาจี๋ได้หรือไม่ ขวางไม่ได้ สกุลหยวนจะยอมยกบุตรสาวให้แต่งงานกับเจ้าหรือไม่ก็พูดยากแล้ว หากขวางเฉาจี๋ที่ถูกสกุลเฉาฝากความหวังไว้สูงได้ ไม่แน่ว่าสกุลหยวนอาจจะขอร้องให้เจ้าไปสู่ขอสตรีผู้นั้นด้วยตัวเองเลยก็ได้”
ชุยฉานปรายตามองอู๋ยวน “ฮ่องเต้เลือกใช้คน ให้ความสนิทสนมแตกต่างกันก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ แต่สำหรับการให้รางวัลหลังสร้างคุณความชอบนั้นกลับไม่เคยลำเอียง แต่สืบสาวกันถึงแก่นแล้ว สุดท้ายก็ยังต้องดูที่ความสามารถแท้จริงของพวกเจ้าแต่ละคน”
อู๋ยวนเอ่ยยิ้มๆ “ได้ฟังอาจารย์ช่วยไขข้อข้องใจ ศิษย์ก็อารมณ์ดีขึ้นมากแล้ว”
ชุยฉานแค่นเสียงเย็น “เจ้าอารมณ์ดีมากแล้ว แล้วอาจารย์อย่างข้าล่ะจะทำยังไง?”
อู๋ยวนแสร้งทำเป็นหูทวนลม ยืนหยัดเด็ดเดี่ยวว่าจะไม่ตอบโต้เด็ดขาด
จู่ๆ ชุยฉานก็พูดประโยคนี้ขึ้นมา “เจ้าคิดยังไงกับเรื่องที่หร่วนซิ่วบุตรสาวคนเดียวของอาจารย์หร่วนไปมีเรื่องกับคนนอก?”
อู๋ยวนครุ่นคิดเล็กน้อย ไม่นานก็ตอบว่า “แม้ว่าหร่วนซิ่วจะลงมือหนักไปหน่อย แต่จะอย่างไรซะเจ้าคนปัญญาอ่อนที่คิดว่าตัวเองหล่อเหลาผู้นั้นก็ตอแยนางก่อน นางเคยเตือนไปแล้วหลายครั้ง ไม่สมเหตุ แต่ก็สมผล หาความผิดใหญ่ไม่เจอ แล้วนับประสาอะไรกับที่ก่อนหน้านั้นหร่วนฉงบิดาของนางลงมือครั้งใหญ่ สังหารขึ้นไปถึงชั้นฟ้าเหนือถ้ำสวรรค์หลีจู ภายหลังจึงไม่มีนักพรตคนไหนกล้าละเมิดกฎเกณฑ์อีก มีบิดาอย่างไรย่อมต้องมีบุตรสาวอย่างนั้น…”
ชุยฉานเริ่มหงุดหงิด คงเพราะรังเกียจที่ศิษย์ของตนผู้นี้โง่เขลาเกินไปจึงพูดโพล่งรัวยาวเหมือนเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่ “ใต้เท้าอู๋ของข้า รบกวนเจ้าช่วยไปตรวจสอบอย่างละเอียดหน่อยว่าทำไมเจ้าคนปัญญาอ่อนผู้นั้นถึงได้มีเวลาว่างเดินเที่ยวเตร็ดเตร่ไปทั่ว แล้วทำไมถึงได้ผ่านร้านในตรอกฉีหลงที่หร่วนซิ่วพอดี แล้วแล้วทำไมถึงได้ไม่รู้สถานะของนางแม้แต่น้อย แล้วแล้วแล้วทำไมช่วงเวลาที่ตระกูลซื้อภูเขาผูกมิตรกับต้าหลี เขาถึงได้ไม่รู้จักหนักเบาเช่นนี้ หากจะบอกว่าเรื่องสองเรื่องเป็นความบังเอิญ แต่นี่มีเรื่องบังเอิญมากมายขนาดนั้น เจ้าไม่แปลกใจหรือ? บนโลกมีบุรุษที่ทั้งโง่ทั้งบ้ากามอยู่มาก แค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีคุณสมบัติเป็นตัวแทนของตระกูลมาเผยตัวที่นี่ อีกทั้งยังมีพรสวรรค์ในการฝึกตนไม่ธรรมดา เหตุใดถึงซวยซ้ำซวยซ้อนนัก?”
เด็กหนุ่มพูดชวนให้ขบขัน แต่อู๋ยวนที่ฟังกลับมีสีหน้าจริงจัง อารมณ์ไม่ผ่อนคลายแม้แต่น้อย
กล่าวมาถึงสุดท้าย เด็กหนุ่มก็เริ่มสบถอยู่กับตัวเอง ยกมือทั้งคู่ขยี้ซีกหน้าตัวเองอย่างแรง “หากจะพูดกันจริงๆ แล้ว สภาพข้าน่าอนาถกว่าเจ้าคนบ้ากามผู้นั้นเสียอีก แต่ข้าดวงซวยจริงๆ นะ! อู๋ยวน ไม่สู้เจ้ายื่นหน้ามาให้อาจารย์ตบบ้องหูระบายโทสะหน่อย ดีไหม?”
เห็นๆ กันอยู่ว่าจะโดนตบฟรี และอู๋ยวนก็ไม่ใช่คนโง่ “อาจารย์ ข้าว่าช่างมันเถอะ”
เด็กหนุ่มพูดเสียงขุ่นเคือง “เป็นอาจารย์หนึ่งวันเป็นบิดาชั่วชีวิตนะ นิสัยของเจ้าเหมือนข้า มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นพวกหลอกลวงลบล้างบรรพจารย์เหมือนกัน รอให้สถานการณ์ที่อำเภอหลงเฉวียนมั่นคงแล้ว เจ้าก็หาเวลาว่างไปเมืองหลวงสักรอบ ไปปรึกษาเรื่องสร้างสำนักศึกษาบนเขาพีอวิ๋นกับ…กับข้าคนนั้นต่อ”
อู๋ยวนพยักหน้ารับ มองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้า
เด็กหนุ่มโบกมือไล่คน “ไปทำธุระของเจ้าเถอะ”
อู๋ยวนจึงลุกขึ้นยืนแล้วบอกลา
ในบ้านเดิมของสกุลหยวนหลังนี้ นอกจากเด็กหนุ่มเงียบขรึมหน้าตางามประณีตผู้นั้นแล้ว หลังจากที่อู๋ยวนออกเดินทางอย่างลับๆ ครั้งหนึ่งก็ได้พาเด็กหนุ่มนักโทษคนหนึ่งที่ชื่อว่าเซี่ยอวี๋ลู่มาให้ชุยฉานอาจารย์ผู้มีพระคุณ อายุสิบสี่ปี เรือนกายสูงเพรียว แข็งแรงไม่แพ้ชายร่างกำยำ ใบหน้าหล่อเหลาดุจหยก องอาจผ่าเผย คือหนังหุ้มชั้นเยี่ยม แต่ไม่รู้ว่าทำไมชุยฉานถึงให้เขาเปลี่ยนชื่อเป็นอวี๋ลู่ (อ่านเหมือนกันแต่เขียนคนละแบบ ชื่อแรกเขียนว่า 余禄 แปลว่าเงินทองเหลือเฟือ แต่แบบหลังเขียนว่า 于禄 ซึ่งไม่มีความหมายที่แน่ชัด) ต่อให้เด็กหนุ่มจะไม่พอใจแค่ไหนก็ได้แต่ยอมรับเงียบๆ
น่าจะเป็นเพราะเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เปลี่ยนชื่อเป็นอวี๋ลู่หลุดพ้นมาจากสภาพยากลำบากดุจจมน้ำลึกดั่งถูกไฟแผดเผา หรืออาจจะเป็นเพราะมีนิสัยร่าเริงมาตั้งแต่เกิด เวลาที่อยู่ว่างๆ จึงมักจะทำความสะอาดบ้านบรรพบุรุษของสกุลหยวนหลังนี้ ตั้งแต่ชั้นหนึ่งไปจนถึงชั้นสอง สุดท้ายถึงขนาดปีนขึ้นไปรื้อกระเบื้องเก่าบนหลังมาซ่อมใหม่ หากไม่เป็นเพราะชุยฉานรำคาญที่เด็กหนุ่มทำเสียงดังจึงเรียกมาด่าไปรอบหนึ่ง คาดว่าเด็กหนุ่มคนนี้อาจถึงขั้นทาสีให้กับผนังของบ้านหลังนี้หนึ่งรอบ
ถ้วยโถโอชามในบ้านล้วนถูกอวี๋ลู่ทำความสะอาดจนไม่มีฝุ่นเกาะแม้แต่เม็ดเดียว ทุกครั้งที่อู๋ยวนมาเยี่ยมหาอาจารย์ผู้มีพระคุณจะต้องเห็นอวี๋ลู่ง่วนอยู่กับการทำงานบ้าน พอเห็นตน นอกจากจะส่งยิ้มบางๆ ให้แล้วก็มักจะยืนกอดไม้กวาดอยู่ที่ไกลๆ รอส่งให้ตนจากไปด้วยความอดทน หลังจากส่งแขกอย่างมีมารยาทเสร็จแล้ว เด็กหนุ่มก็จะเริ่มทำงานของข้ารับใช้อย่างการปัดกวาดเช็ดถู อีกทั้งเด็กหนุ่มยังมีความสุขกับสิ่งที่ทำ นี่ทำให้อู๋ยวนคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ คงไม่ใช่เพราะว่าบ้านเมืองและตระกูลของเด็กหนุ่มคนนี้ถูกทำลาย ตัวเขากลายมาเป็นนักโทษชั้นต่ำ สร้างความสะเทือนใจให้แก่เขามากเกินไปจึงเป็นเหตุให้สมองของเขาเกิดปัญหาหรอกกระมัง?
หลังจากที่อวี๋ลู่คุ้นเคยกับชีวิตที่ต้องยุ่งวุ่นวายอยู่กับการทำความสะอาดบ้านบรรพบุรุษแล้ว ชุยฉานที่ในชายแขนเสื้อมีจดหมายลับเพิ่มขึ้นมาหนึ่งฉบับก็พาคนแปลกหน้าอีกคนหนึ่งกลับมาที่บ้าน นี่คือเด็กสาวเรือนกายอรชร แต่ใบหน้ากลับดำคล้ำคนหนึ่ง หน้าตานางนับว่าอยู่ในระดับปานกลางค่อนมาช่วงล่างๆ วันๆ เอาแต่ทำสีหน้าแข็งทื่อ มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่ยังถือว่ามีความงามอยู่บ้าง
ต่อให้เผชิญหน้ากับราชครูต้าหลี สีหน้านางก็ยังคงไร้อารมณ์ดุจเดิม ไม่มีความหวาดกลัวและไม่คิดจะประจบเอาใจ นี่ทำให้อวี๋ลู่เกิดความเลื่อมใส หลังจากรู้ว่านางเองก็เป็นนักโทษที่ลี้ภัยมาเหมือนกันจึงคิดจะสร้างความสนิทสนมกับนางให้มากขึ้น น่าเสียดายก็แต่เด็กสาวไม่สนใจเขา เวลาทำงานบ้านก็ยิ่งมือเท้างุ่มง่าม เต็มไปด้วยข้อบกพร่อง ทำจานแตกไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง สุดท้ายอวี๋ลู่ทนไม่ไหวจริงๆ จึงให้นางนั่งพัก เรื่องเล็กเรื่องใหญ่เขาเหมาทำเองคนเดียว ซื้อข้าวปลาอาหารแห้ง เข้าครัวทำกับข้าว ไปจนถึงซักเสื้อผ้า นางเองก็ไม่เกรงใจแม้แต่น้อย วันๆ เอาแต่นั่งกระดิกเท้าอยู่บนเก้าอี้ ดูเหมือนเจ้านายยิ่งกว่าชุยฉานที่เป็นเจ้านายตัวจริงเสียอีก และดูเหมือนเด็กสาวจะไม่คิดรับความหวังดีของอวี๋ลู่ ไม่แม้แต่จะมองหน้าเขาตรงๆ กลับคอยปรายตามามองเป็นระยะ ซึ่งดวงตาบนใบหน้าธรรมดานั้นมักจะเผยแววดูแคลนออกมารางๆ
ชุยฉานตบมือแรงๆ “ทั้งสามคนมานี่”
อวี๋ลู่เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่องอาจ เด็กสาวเรือนกายอรชรน่ามอง เด็กหนุ่มดวงหน้างามประณีตไร้ตำหนิล้วนพากันมายืนอยู่เบื้องหน้าชุยฉาน
ชุยฉานเอียงศีรษะมองคนทั้งสาม สุดท้ายสายตาไปหยุดอยู่บนร่างของเด็กหนุ่มตัวสูงใหญ่ “อวี๋ลู่ เจ้าเป็นตัวหมากที่ข้าช่วงชิงมาตั้งแต่แรก”
“ส่วนเจ้าคือคนที่เหนียงเนียงผู้นั้นต้องได้มาครอบครอง แต่ตอนนี้อำนาจของนางถดถอย มีชีวิตที่ค่อนข้างน่าเศร้า ถูกไล่ให้ไปฝึกตนที่ตำหนักฉางชุนแล้ว หลังจากข้าคนนั้นที่อยู่ในเมืองหลวงต้าหลีได้ควบคุมศาลาใบไผ่แล้วก็ชิงความได้เปรียบส่งตัวเจ้ามาอยู่ที่นี่ ถือว่าข้าพาเจ้าออกมาจากหลุมไฟ เจ้าควรจะขอบคุณข้าถึงจะถูก ดูจากพฤติกรรมที่ต้องใช้เบี้ยในมือให้หมดอย่างไม่ให้สิ้นเปลืองของเหนียงเนียงผู้นั้น หากเจ้าตกอยู่ในกำมือของนาง จุดจบในวันข้างหน้าก็อาจไม่ได้ดีไปกว่าหยางฮวา”
ชุยฉานย้ายสายตามามองเด็กสาว “หลังจากนี้เจ้าคิดจะใช้ชื่อแซ่อะไร? หรือจะเอาอย่างอวี๋ลู่ เปลี่ยนให้หมดเลย?”
เด็กสาวเอ่ยเสียงหวาน “ใต้เท้าราชครู ข้าใช้แค่แซ่เซี่ยเหมือนเดิมก็พอแล้ว”
ชุยฉานครุ่นคิดแล้วก็หัวเราะเสียงดัง “อ้อ? ถ้าอย่างนั้นไม่สู้ให้เจ้าแซ่เซี่ยชื่อเซี่ยไปเลย ชื่อนี้ดูได้เปรียบไม่น้อย เซี่ยเซี่ย (แปลว่าขอบคุณ) เจ้ายังไม่ขอบคุณข้าอีกรึ”
สีหน้าของเด็กสาวยังคงไร้อารมณ์ ทว่าไฟโทสะกลับถูกจุดขึ้นมากลางดวงตากลับ ไม่ว่าเด็กสาวจะพยายามปิดบังอย่างไรก็ไม่อาจซุกซ่อนไว้ได้มิด
ชุยฉานกล่าวอย่างเศร้าใจ “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าข้าก็ไม่ชื่อชุยฉานแล้ว ถ้าพวกเจ้าชอบก็เรียกข้าว่าชุยต้งซานเถอะ หรือจะเรียกข้าว่าคุณชายก็ได้”
ใบหน้าของชุยฉานเต็มไปด้วยความหมดอาลัยตายอยาก “อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย พวกเจ้าไปเก็บสัมภาระ พรุ่งนี้พวกเราจะออกเดินทางลงใต้ไปตามทางเดินมา มุ่งหน้าสู่ชายแดนเหย่ฟู”
คนทั้งสองไม่มีข้อขัดแย้งอะไร
ชุยฉานมองเด็กหนุ่มหน้าตางามประณีตที่สีหน้าเต็มไปด้วยความรอคอย “ส่วนเจ้าน่ะอยู่ที่นี่ จะไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนของสกุลเฉินก็ได้ ตามใจเจ้า”
เด็กหนุ่มทำหน้าน้อยใจ กำลังจะปลุกความกล้าขอร้องให้ตัวเองได้เดินทางไปด้วย ชุยฉานกลับถลึงตาเดือดดาลใส่เสียก่อน “ไสหัวไป!”
เด็กหนุ่มผงะตกใจ รีบก้าวเร็วๆ จากไปทันที
ชุยฉานลุกขึ้นยืน เดินไปยังห้องหนังสือเล็กๆ ห้องหนึ่งบนชั้นสองแล้วเริ่มยกพู่กันเขียนจดหมาย
เขียนอย่างละเอียดลออตัวอักษรเกือบหมื่นคำ
“ทุกเรื่องมีขอบเขต ทำเลยเถิดเกินไปย่อมไม่ส่งผลดี ราชสำนักต้าหลีเลื่อมใสศรัทธาปัญญาชนมากเกินไป เป็นเหตุให้คนมากมายที่มีชื่อเสียงจอมปลอมใช้กวีและบทเพลงเป็นทางลัดในการแสวงหาความก้าวหน้า เป็นกุญแจที่ไขสู่วงการขุนนาง จำเป็นต้องเปลี่ยนขนบธรรมเนียมนิยมของเมืองหลวงต้าหลีในทุกวันนี้ ห้ามไม่ให้ขุนนางทั้งราชสำนักลามไปถึงชนชั้นล่างในสังคมเอาแต่เชิดชูความรู้ตื้นเขินที่งดงามแต่เปลือกเด็ดขาด จำเป็นให้ความสำคัญกับหลักแห่งสัจธรรม รู้เท่าทันการณ์ เน้นย้ำในการปฏิบัติจริง จำเป็นต้องยึดสองคำว่าหน้าที่และผลงานเอาไว้ให้ดี ต่อให้สกุลซ่งของต้าหลีเปลี่ยนรัชสมัย ไม่ว่าใครที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรล้วนห้ามโยนรากฐานแห่งมหามรรคาที่นำพาเจ้าและข้าสู่ความสำเร็จทิ้งไป”
“คิดจะทำการใหญ่ ต้องค่อยๆ วางแผนให้รัดกุม นี่จึงจะเป็นหลักการที่ถูกต้องแท้จริง”
“ต้องควบคุมงานของกั๋วจื่อเจียนไว้ในมือ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมสามารถดึงการจัดการของสำนักโหราศาสตร์กลับมาเพื่อแลกเปลี่ยนกับการควบคุมกั๋วจื่อเจียนอย่างสมบูรณ์แบบ”
……
เขียนถึงช่วงท้าย ชุยฉานพลันปาพู่กันทิ้งลงพื้นอย่างแรง “ตอนนี้เขียนพวกนี้ไปจะมีประโยชน์อะไร ข้าไม่ใช่ข้าอีกแล้ว เจ้ามันคนยืนพูดย่อมไม่ปวดเอว ยังมีหน้ามาบอกข้าว่า ‘เลิกติดต่อกันชั่วคราว รักษาตัวด้วย’ ไม่อย่างนั้นเจ้าก็แบ่งสมบัติมาให้ข้าครึ่งหนึ่งสิ ไม่เสียแรงที่เป็นตาเฒ่าชุยฉาน ขี้เหนียวจนแม้แต่ขี้ก็ไม่ให้หมากิน! เจ้าเสวยสุขอยู่ในเมืองหลวง ข้าผู้อาวุโสกลับต้องไปเป็นลูกศิษย์ของคนอื่น สวรรค์ ทำไมเจ้าถึงไม่ส่งสายฟ้ามาผ่าข้าให้ตายไปเลย…”
เด็กหนุ่มที่มีไฝสีชาดกลางหว่างคิ้วร้องไห้โฮด้วยความเจ็บปวดราวใจจะขาด
ตอนที่ 132
ศิษย์ชุยฉาน
โดย
ProjectZyphon
ยามฟ้าสาง รถม้าคันหนึ่งจอดอยู่นอกบ้านเก่าแก่ของสกุลหยวน อวี๋ลู่เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่และเซี่ยเซี่ยเด็กสาวผิวดำต่างก็สะพายสัมภาระยืนรออยู่ข้างรถม้า เด็กหนุ่มชุยฉานเดินหาวออกมาจากบ้าน เขาสวมชุดคลุมสีขาวงาช้างที่เนื้อผ้าถูกคัดสรรอย่างพิถีพิถัน ฝีมือตัดเย็บประณีตเป็นหนึ่ง ด้านหลังเขามีเด็กหนุ่มหน้าตางดงามดุจกระเบื้องเคลือบชั้นดีเดินตามออกมาด้วยความอาลัยอาวรณ์
อวี๋ลู่อดถามไม่ได้ว่า “คุณชาย พวกเราจะไปที่ไหนกันหรือ?”
ชุยฉานตอบอย่างเกียจคร้าน “พาพวกเจ้าออกเดินทางไกลหาความรู้ ไปเดินเล่นที่ต้าสุยกัน เดิมทีพวกเจ้าสองคนก็เป็นนักเรียนของสำนักศึกษาซานหยาอยู่แล้ว”
นักโทษลี้ภัยของราชวงศ์สกุลหลูสองคนอย่างอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยหันมามองหน้ากัน
สารถีคือสายลับใหญ่ของต้าหลีที่ลงหลักปักฐานอยู่ในอำเภอหลงเฉวียน กำลังยืนก้มหน้าก้มตาใช้ตามองจมูก จมูกมองใจ นั่งนิ่งอยู่บนตำแหน่งคนขับไม่ขยับเขยื้อน ชุยฉานขึ้นรถค้อมตัวลงเลิกผ้าม่านแล้ว แต่จู่ๆ กลับหันหน้ามาพูดว่า “ไปเรียกหวังอี้ฝู่ให้มาทำหน้าที่เป็นสารถี เจ้าอยู่ต่อในเมือง รับผิดชอบจับตามองความเคลื่อนไหวของตรอกฉีหลงและตรอกซิ่งฮวาให้ดี”
สายลับผู้นั้นพยักหน้ารับ ลงรถแล้วเดินจากไปไม่พูดไม่จา
ผ่านไปประมาณหนึ่งถ้วยชา ชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งก็ก้าวพรวดๆ มาถึง สายตาของเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่มองตรงไปข้างหน้า สีหน้าเรียบเฉย ทว่าสายตาของเด็กสาวกลับเย็นชาคล้ายไม่ค่อยชอบชายที่ชื่อหวังอี้ฝู่ผู้นี้เท่าใดนัก
หวังอี้ฝู่ก็คือชายที่ได้รับคำสั่งให้ปลิดหัวซ่งอวี้จางด้วยตัวเองผู้นั้น ในอดีตคือแม่ทัพผู้กล้าแห่งสมรภูมิรบของราชวงศ์สกุลหลู เขาทั้งไม่ได้กลายมาเป็นนักโทษชั้นต่ำของต้าหลี แล้วก็ไม่ได้นั่งในตำแหน่งแขกผู้ทรงเกียรติของราชวงศ์ใหม่ อีกทั้งยังไม่ได้กุมอำนาจสำคัญทางการทหาร แต่ลายมาเป็นสุนัขรับใช้เหนียงเนียงผู้นั้น เมื่อนางถูก “เนรเทศ” ให้ไปฝึกตนอย่างสงบอยู่ที่ตำหนัฉางชุน เจ้านายของหวังอี้ฝู่จึงเปลี่ยนจากเหนียงเนียงต้าหลีมาเป็นราชครูหนุ่มตรงหน้าผู้นี้
เพราะใช้เส้นทางเดินม้าทางหลวง รถม้าขนาดไม่เล็ก มากพอจะรองรับคนทั้งสามได้ ทว่าชุยฉานกลับยังคงให้เด็กหนุ่มและเด็กสาวนั่งอยู่ด้านนอก เขายึดครองห้องโดยสารที่กว้างขวางเพียงลำพัง ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ ในห้องโดยสารก็มีเสียงท่องหนังสือดังกังวานแว่วออกมา ราชครูต้าหลีผู้ยิ่งใหญ่ ยอดฝีมือแห่งวิชาหมากล้อมที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทวีป กลับต้องมาท่องเนื้อหาความรู้ของเด็กประถมอยู่ทุกวัน ช่างน่าขบขันสำหรับผู้คนยิ่งนัก
รถม้าขับออกจากเมืองหลวงผ่านประตูตะวันออก ชุยฉานเลิกผ้าม่านขึ้นมองที่ว่าการอำเภอซึ่งสร้างใหม่อยู่ใกล้กับประตูตะวันออก ยังไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์แบบ เห็นเพียงแค่เค้าโครงเท่านั้น ภายใต้การเร่งรัดจากขุนนางผู้น้อยของที่ว่าการ เหล่าคนหนุ่มแข็งแรงของเมืองเล็กจึงเริ่มง่วนอยู่กับการทำงาน เป็นเหตุให้ตอนนี้ตลอดทั้งประตูฝั่งตะวันออกเต็มไปด้วยฝุ่นคละคลุ้ง ชุยฉานจึงปล่อยผ้าม่านลงด้วยสีหน้ามืดทะมึน
หลังออกจากเมืองเล็กมาแล้ว รถม้าขับมาตามทางเดินม้าได้ประมาณหนึ่งชั่วยาม ชุยฉานก็ให้หวังอี้ฝู่หยุดรถ ตัวเขาเดินไปบนเนินเขาเล็กๆ เพียงลำพัง ชุยหมิงหวง “วิญญูชน” ของสำนักศึกษากวานหูมารออยู่นานแล้ว พอเห็นบรรพบุรุษที่ถูกขับไล่ออกจากตระกูลผู้นี้ก็รีบประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม
ชุยฉานยืนอยู่บนยอดเขา มองไปทางเมืองเล็ก เสียดายก็แต่ตอนนี้ขอบเขตถดถอยลงมาฮวบฮาบ ตบะต่ำต้อยเรี่ยดิน ต่อให้มองไกลสุดสายตาก็ยังไม่อาจมองเห็นทัศนียภาพของที่แห่งนั้นอีกแล้ว “เรื่องที่จะแต่งตั้งเขาพีอวิ๋นขึ้นเป็นขุนเขาเหนือของต้าหลียังต้องใช้เวลา ยากจะสำเร็จได้ในทันที แต่เรื่องการสร้างสำนักศึกษาแห่งใหม่ขึ้นบนภูเขาพีอวิ๋นกลับต้องดำเนินการทันใด อย่างมากสุดครึ่งปีต้องได้เห็นผลลัพธ์ วางใจเถอะ ครั้งนี้เจ้าเสี่ยงอันตรายมากถึงเพียงนี้ เกือบจะต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ ข้าไม่มีทางข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพาน ตำแหน่งรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาหนีไม่พ้นแน่ หลังจากนี้ต้าหลียังต้องทุ่มเทพละกำลังแห่งแคว้นสร้างสำนักศึกษาใหม่เอี่ยมแห่งนี้ให้คล้ายคลึงกับหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อยิ่งกว่าสำนักศึกษาซานหยาเสียอีก”
ชุยหมิงหวงระบายลมหายใจโล่งอกหนึ่งที ครั้นจึงรับปากด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว “ข้าจะไม่มีทางทำให้เหล่าจู่ (คำเรียกขานบรรพจารย์ลัทธิเต๋าอย่างให้ความเคารพ หรือใช้เรียกอริยะปราชญ์ในสมัยโบราณ) ผิดหวังเด็ดขาด!”
ชุยฉานไม่สนใจคำพูดประโยคนี้ของอีกฝ่าย ยังคงพูดกับตัวเองต่อไปว่า “ข้าทิ้งเด็กหนุ่มหุ่นกระเบื้องผู้นั้นไว้ให้เจ้า ถึงเวลาเจ้าก็ยัดเขาเข้าไปในสำนักศึกษาแห่งใหม่ หากไม่ผิดไปจากที่ขาด การฝึกตนของเขาจะราบรื่นอย่างมาก อาจจะใช้ความเร็วที่น่าตกใจกระโดดขึ้นไปยังห้าขอบเขตกลางในทีเดียว เจ้าเตรียมใจรับให้พร้อม แต่ทางที่ดีที่สุดก็ควรจะเก็บซ่อนเขาเอาไว้หน่อย อย่าให้เปิดเผยตัวตนเร็วเกินไป กว่าข้าจะเลือกเศษกระเบื้องจากเศษชิ้นส่วนนับพันนับหมื่นในภูเขากระเบื้องเคลือบมาประกอบเป็นหุ่นกระเบื้องที่มีจิตวิญญาณนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เด็กหนุ่มคนนี้สามารถเปลี่ยนจากกระเบื้องแตกหักกองหนึ่งมามีชีวิตชีวาไม่ต่างจากคนจริงๆ อย่างในตอนนี้ ทั้งมาจากการทุ่มเทแรงกายแรงใจชั่วชีวิตของข้าชุยฉาน แล้วก็ทั้งมาจากโชคที่ยิ่งใหญ่เป็นส่วนประกอบ ดังนั้นเจ้าต้องระวังให้มากหน่อย หากพูดคำที่ไม่ค่อยเป็นมงคลนัก นี่ก็ถือเป็นบุตรชายกำพร้าที่ข้าฝากฝังไว้กับเจ้าแล้ว”
จิตใจชุยหมิงหวงสะท้านไหว รีบค้อมตัวกุมมือคารวะ “เหล่าจู่โปรดวางใจ ข้าชุยหมิงหวงจะต้องปฏิบัติต่อเขาดุจบุตรชายของตัวเอง!”
สีหน้าชุยฉานดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย “ทางฝั่งของเมืองเล็กแห่งนี้ นอกจากอ๋องเจ้าแคว้นซ่งจ่างจิ้งแล้ว สายลับนักรบเดนตายที่เหลืออีกสองกลุ่ม เจ้าล้วนสามารถเรียกใช้งานได้ตามใจชอบ ข้าไปบอกกล่าวพวกเขาไว้ให้เจ้าก่อนแล้ว อีกอย่างก็คือหากมีเวลาว่างก็ไปพูดคุยกับหยางเหล่าโถวของร้านยาตระกูลหยางให้มากหน่อย ตาแก่หนังเหนียวผู้นี้ทำอะไรด้วยความยุติธรรมมากที่สุด ไม่เคยสนดีหรือเลว ผิดหรือถูก ศัตรูหรือคนกันเอง เจ้าพยายามทำให้ตาเฒ่าผู้นี้รับปากทำการค้ากับเจ้าให้ได้”
“ส่วนหร่วนฉงผู้นั้น ข้าแนะนำเจ้าว่าอย่าไปหาเรื่องน่าเบื่อใส่ตัว สี่แซ่สิบตระกูลใหญ่บนนถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่ ตอนนี้กระจัดกระจายกันไม่เป็นกลุ่มก้อน ใจคนแตกแยกไม่เป็นหนึ่ง เจ้าจับตามองตระกูลหลี่ให้ดี อืม ก็คือตระกูลหลี่ที่มีหลี่ซีเซิ่งนั่นน่ะ ส่วนหลี่เป่าเจินคุณชายรองที่จิตใจทะเยอทะยานสูงยิ่งกว่าแผ่นฟ้าผู้นั้น ตอนนี้ที่พึ่งของเขาล้มลงแล้ว แม้จะไม่ถึงขั้นกลับคืนสภาพเดิมภายในค่ำคืนเดียว แต่ก็ถือว่าได้เรียนรู้ถึงสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงหลากหลายยากจะคาดเดาของต้าหลีเราแล้ว ระหว่างพี่น้องคู่นี้เจ้าจะเลือกใครก็ได้ แต่เลือกได้แค่คนเดียวเท่านั้น”
“ส่วนอู๋ยวน เจ้าก็จัดการเอาเองแล้วกัน ว่ากันไปตามสถานการณ์ ไม่ต้องมอบใจให้ความสนิทสนมก็พอ”
ชุยหมิงหวงถามหยั่งเชิง “หรือว่าอู๋ยวนศิษย์ของท่านคนนั้นคือ?”
ชุยฉานยักไหล่สองข้าง พยักหน้ารับ เดินลงเนินเขาพลางเอ่ยอย่างมีโทสะแต่ไร้พลังให้เอาคืน “เขาเป็นคนของเหนียงเนียง นางชอบเลือกคนประเภทนี้ที่สุด ชาติกำเนิดไม่ค่อยดีนัก แต่ฉลาด มีความทะเยอทะยาน อดทนได้ เพียงแต่ด้วยข้อบกพร่องถึงแก่ชีวิตที่แตกต่างกันออกไปจึงง่ายที่นางจะควบคุม”
ชุยหมิงหวงพลันกระจ่างแจ้ง “มิน่าเล่าครั้งนั้นที่ท่านเหล่าจู่เปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์ที่บ้านบรรพบุรุษตระกูลหยวน ข้าก็รู้สึกแล้วว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ตอนหลังถึงได้เข้าใจว่าที่แท้สาเหตุเป็นเพราะอู๋ยวนก็อยู่ที่นั่นด้วย”
ชุยฉานถอนหายใจ แล้วเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาไม่คิดจะปิดบังความจริง “ตอนนั้นที่อยู่ในบ้านเก่าของสกุลหยวน ข้าให้โอกาสเขาหนึ่งครั้ง ก่อนหน้านี้เขาส่งข่าวเรื่องหยุมหยิมยิบย่อบไปหมด ข้าคร้านจะสนใจ แต่หากเดินออกไปจากจวนแล้วยังเลือกที่จะบอกเรื่องนั้นแก่เหนียงเนียงผู้นั้น เขาก็ต้องตายแน่ ศิษย์หลอกลวงลบล้างบรรพจารย์ ถ้าเช่นนั้นหากอาจารย์จะตีศิษย์จนตายก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลนี่นา”
ชุยหมิงหวงพูดไม่ออก
ชุยฉานตบไหล่ของเด็กรุ่นหลังในตระกูล “ข้าฝากความหวังไว้กับเจ้ามากนะ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า”
ชุยหมิงหวงยิ้มเจื่อน “มิกล้าๆ”
“เอาล่ะ เจ้าไม่ต้องส่งข้าแล้ว”
ชุยฉานเพิ่มความเร็วฝีเท้าเดินลงจากเขา เดินไปได้หลายสิบก้าวก็พลันหันกลับมายิ้ม “เจ้าและข้าต่างก็เป็นคนฉลาด เจ้าคงคิดว่าข้าสามารถขุดหลุมฝังอู๋ยวนได้แบบนี้ก็ต้องไม่มีปล่อยเจ้าไปแน่ ในความเป็นจริง…เจ้าก็เดาถูกแล้ว เพราะเป็นอย่างนี้จริง แต่หลุมกับดักนั้นอยู่ที่ไหน และวันไหนที่จะเป็นตัดสินเป็นตาย ต้องให้เจ้าไปใคร่ครวญเอาเอง”
ชุยหมิงหวงไม่ได้ตระหนกลน ยิ่งไม่ได้รู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรม กลับกันยังเกิดความห้าวเหิม “ตำราที่ต้องเล่าเรียนก็เรียนจบไปได้พอประมาณแล้ว ความบันเทิงในชีวิตหลังจากนี้ก็อยู่ตรงนี้แล้ว”
ชุยฉานหมุนตัวกลับ มองไปยังรถม้าที่จอดอยู่ตรงตีนเขา สอดมือสองข้างไว้ในชายแขนเสื้อ จุ๊ปากพูด “มีลูกศิษย์ครบทั้งสามประเภทจริงๆ ด้วย เจ้าชุยหมิงหวง อู๋ยวน หุ่นกระเบื้อง ครบถ้วนแล้ว วันหน้าก็ต้องดูที่โชควาสนาของพวกเราอาจารย์และศิษย์ทั้งสี่คนแล้ว”
เดินไปเดินมา ชุยฉานก็พลันสะดุ้งโหยง พึมพำกับตัวเองว่า “หากวันใดได้รู้ความจริง ด้วยนิสัยเจ้าเด็กในตรอกหนีผิงคนนั้นต้องซ้อมข้าจนตายแน่ ไม่แน่ว่าอาจถึงขั้นฆ่าคนตาไม่กะพริบเลยก็ได้”
ใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้มีใฝแดงกลางหว่างคิ้วเต็มไปด้วยความร้อนใจและเศร้าหมอง “ประเด็นคืออาจารย์ตีลูกศิษย์ตายยังถูกต้องตามหลักฟ้าดินของมารดามันด้วย ไม่ได้ๆ ข้าชุยฉานจะมีชีวิตอเนจอนาถแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ต้องคิดหาวิธี…”
เด็กหนุ่มพลันหรี่ตาคลี่ยิ้ม ท่าเดินก็เปลี่ยนมาเป็นเดินอาดๆ วางโต กล่าวกลั้วหัวเราะเสียงดัง “งั้นก็สาดน้ำเน่าทั้งหมดนี้ไปให้กับราชครูต้าหลีเสียเลย ข้าคือชุยตงซานนี่นา ไม่ใช่ชุยฉานเสียหน่อย!”
เรือนกายที่จิตของเขามาพึ่งพิงนี้สามารถมองเป็นสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยากอย่างถึงที่สุดชิ้นหนึ่ง เกิดมาก็ไร้ตำหนิสกปรก แต่สติปัญญากลับทึ่มทื่อมาตั้งแต่เกิด ไม่ถึงหกขวบดวงจิตก็หลุดจากร่างแหลกสลาย ชุยฉานใช้วิชาลับหล่อหลอมอยู่นานหลายปี จนกระทั่งมันกลายเป็นดั่งโรงเตี๊ยมที่ดวงวิญญาณเข้ามาพักอาศัยได้ง่าย ตอนแรกนั้นเป็นเพราะถ้ำสวรรค์หลีจูของต้าหลีสำคัญเกินไป เกี่ยวพันไปถึงโชควาสนาแห่งมหามรรคาของเขา เขาจำเป็นต้องเดินทางมาที่นี่ด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงย้ายเอาร่างนี้มา แบ่งดวงจิตใส่เข้าไป เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่าบนโลกมีชุยฉานสองคน หนึ่งแก่หนึ่งหนุ่ม ชุยฉานเฒ่าเป็นใต้เท้าราชครูของเขาอยู่ในเมืองหลวงต้าหลี เนื่องด้วยแผนการที่วางไว้เผด็จศึกภายหลังห่างไปไกลพันลี้ ชุยฉานคนหนุ่มจึงปรากฎกายอยู่ที่เมืองเล็ก ซ่อนตัวอยู่ในบ้านบรรพบุรุษตระกูลหยวนเพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น แน่นอนว่าลึกๆ ในใจก็ไม่แน่เสมอไปที่ชุยฉานจะไม่คิดอยากส่งฉีจิ้งชุนเดินไปยังปลายทางสุดท้ายแห่งชีวิตกับตาตัวเอง
เขาอยากจะเอาชนะฉีจิ้งชุนอย่างยิ่งใหญ่ตรงไปตรงมาสักครั้ง
น่าเสียดายก็แต่ไม่ว่าอย่างไรชุยฉานก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้กับฉีจิ้งชุนก่อน ไม่เพียงแต่แพ้อย่างราบคาบ หลังจากนั้นยังอนาถยิ่งกว่า เพราะตาเฒ่าที่เห็นชัดๆ ว่าตายอยู่ในสวนป่ากงเต๋อของสำนักศึกษากลับมาหาเขาด้วยตัวเอง อยู่ดีไม่ว่าดีก็ตัดขาดความเชื่อมโยงระหว่างเขากับร่างจริงของชุยฉาน ยังลงโทษให้เขาต้องท่องตำราเฮงซวยพวกนั้นทุกวัน ที่น่าขันก็คือ ไม่มีตำราเล่มไหนที่เป็นตำราแห่งปราชญ์ที่ตาเฒ่าเป็นคนเขียน สุดท้ายยังกระทำในสิ่งที่เหลวไหลไร้สาระอย่างถึงที่สุด นั่นคือให้เขาชุยฉานกลายไปเป็นลูกศิษย์ของเจ้าเด็กหนุ่มที่แซ่เฉินผู้นั้น!
ข้าชุยฉานจะเรียนรู้อะไรจากเขาเฉินผิงอันได้? เรียนเผาเครื่องปั้น เรียนเผาถ่านงั้นหรือ?
ส่วนตาเฒ่านั่นคิดอะไรอยู่กันแน่?
สวรรค์เท่านั้นที่รู้!
แม้ว่ายศถาบรรดาศักดิ์จากการศึกษาเล่าเรียนที่สูงที่สุดของตาเฒ่าในชีวิตนี้จะเป็นแค่ซิ่วไฉเท่านั้น
แต่ครานั้นเทวรูปของเขาก็เคยตั้งอยู่ในอันดับที่สี่ของศาลเจ้าบุ๋นลัทธิขงจื๊อ ในช่วงเวลานั้นเรียกได้ว่าซิ่วไฉเฒ่าเป็นดั่งดวงตะวันกลางฟากฟ้า หาไม่แล้วในเมื่อตัวตาเฒ่ายังไม่ตาย เทวรูปของเขาจะถูกคนย้ายเข้าไปตั้งข้างในได้หรือ? ต่อให้ซิ่วไฉเฒ่าคิดจะขวางก็ขวางไม่อยู่
แต่ชุยฉานมักจะรู้สึกว่าตาเฒ่าชอบใจที่เป็นเช่นนั้น ไม่คิดจะขัดขวางจริงๆ จังๆ เลยด้วยซ้ำ
สรุปก็คือคดีครั้งนี้ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องหายไปท่ามกลางหนังสือประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องแท้จริงและเรื่องเล่าในเกร็ดพงศาวดาร อีกทั้งเมื่อเวลาผ่านพ้นไปก็ยิ่งค่อยๆ หายไปจนไม่เหลือแม้แต่เบาะแสให้สืบสาว
……
เดินทางผ่านเส้นทางที่จำต้องผ่านเพื่อมุ่งหน้าสู่ด่านเหย่ฟูชายแดนใต้ต้าหลี
รถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ข้างทางนอกทางเดินม้า เด็กหนุ่มชุดขาวหว่างคิ้วมีไฝสีชาดยืนอยู่บนหลังคารถ หันหน้าไปทาง ทิศเหนือ ชะเง้อคอรอคอยอะไรบางอย่าง
หวังอี้ฝู่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งสารถี ยังคงเก็บปากเก็บคำดังเดิม
อวี๋ลู่เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่กำลังนับของในห่อสัมภาระ เด็กสาวร่างกายอรชรงดงามแต่ใบหน้ากลับหยาบกระด้างว่างงานมากที่สุด นางนั่งอยู่ข้างกายหวังอี้ฝู่ หันหลังชนกับเด็กหนุ่ม กำลังแกว่งขาสองข้าง ปากก็แทะเม็ดแตงไม่หยุด
เด็กหนุ่มชุยฉานกระทืบเท้า “มาได้สักที!”
หวังอี้ฝู่ไม่ได้หันหลังกลับไป เพียงเอ่ยเบาๆ ว่า “องค์ชาย วันหน้าโปรดรักษาตัวด้วย”
เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เปลี่ยนนามเป็นอวี๋ลู่พยักหน้ารับ ยิ้มตอบ “แม่ทัพหวังเองก็เช่นกัน”
หวังอี้ฝู่อืมหนึ่งที กำลังจะอ้าปากพูดต่อ
เด็กสาวที่แทะเม็ดแตงกองใหญ่หมดปัดมือ เอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสบายอารมณ์ยิ่ง “แม่ทัพใหญ่หวังไม่จำเป็นต้องพูดจามีมารยาทกับนักโทษชั้นต่ำอย่างพวกเราหรอก”
หวังอี้ฝู่ยิ้มขื่น “เป็นพวกเราที่ผิดต่ออาจารย์ของเจ้า”
เด็กสาววางสองมือทับซ้อนกันบนหัวเข่า เงยหน้ามองท้องฟ้าสีครามสดใส เอ่ยยิ้มๆ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไปพูดกับพวกคนตายที่จิตวิญญาณแหลกสลายพวกนั้นสิ ข้าทั้งไม่ได้เข้าร่วมกับศึกใหญ่ครั้งนั้น หลังจบเรื่องก็ไม่ได้ฆ่าตัวตาย กลับยังมีชีวิตอยู่เป็นอย่างดี อีกไม่นานก็จะเป็นนักเรียนของสำนักศึกษาแห่งใหม่แล้ว ดังนั้นแม่ทัพใหญ่หวังมาพูดเรื่องพวกนี้กับข้า ไม่มีความหมายอะไรเลย”
อวี๋ลู่พลันกล่าวว่า “หวังอี้ฝู่ ไม่ต้องสนใจนาง นางก็แค่เด็กที่ยังไม่โตเท่านั้น ในใจมีโทสะ อีกทั้งยังไม่รู้ว่าควรไประบายเอากับใคร ในเวลาเช่นนี้ใครพูดกับนาง นางก็พร้อมจะทิ่มแทงคนนั้น”
เด็กสาวหัวเราะ “โอ้ ยังนึกว่าตัวเองคือองค์รัชทายาทสกุลหลูที่สูงศักดิ์จนเอื้อมไม่ถึงอีกหรือ ยังมีคุณสมบัติมาสอนข้าว่าควรทำตัวยังไงด้วย?”
อวี๋ลู่ยิ้มบางๆ ไม่ตอบโต้ แล้วจึงก้มหน้าก้มตัวจัดเก็บสัมภาระต่อไป
หวังอี้ฝู่รู้สึกหัวโตขึ้นมาทันตา
หากไม่เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของเด็กสองคนนี้ หวังอี้ฝู่จะยอมตอบรับเหนียงเนียงต้าหลี ยอมอุทิศตัวถวายชีวิตให้นางได้อย่างไร
……
กลุ่มของเฉินผิงอันเดินตามขอบทางของเส้นทางเดินม้ามุ่งหน้าลงใต้
จากนั้นก็เห็นเด็กหนุ่มชุดขาวคุ้นหน้าผู้หนึ่งวิ่งตะบึงมาหา ความกระตือรือร้นเช่นนั้น ยิ่งกว่าดุรณีน้อยผู้มีรักได้พบหน้าบุรุษที่อยู่ในหัวใจเสียอีก
เด็กหนุ่มชุดขาวผู้มีไฝสีชาดกลางหว่างคิ้วคลี่ยิ้มกว้างสดใส “เฉินผิงอัน แม้ฟังดูแล้วจะน่าหัวเราะอย่างมาก แต่ข้าอยากบอกกับเจ้าอย่างจริงจังว่า นับแต่วันนี้ไป ข้าก็คือลูกศิษย์ของเจ้าแล้ว! หากเจ้าไม่รับข้าเป็นลูกศิษย์ ข้าก็จะตายให้เจ้าดู! หากข้าตายไปแล้ว เจ้าอย่าลืมทำป้ายหน้าหลุมศพให้ข้า เขียนว่าหลุมศพของลูกศิษย์เฉินผิงอัน!”
เฉินผิงอันอึ้งค้างไปนานกว่าจะคืนสติ ถามว่า “ชื่อจริงๆ ของเจ้าคืออะไร?”
เด็กหนุ่มยิ้มกว้างอารมณ์ดี “ชุยตงซาน!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นข้าจะช่วยเพิ่มสามคำนี้ลงไปบนป้ายหน้าหลุมศพของเจ้า”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น