ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 130-141

 ตอนที่ 130 กำจัดวานร (5)

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลิ่วหมิงยังคงซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง และมองไปยังยอดเขาที่อยู่ไม่ไกลอย่างเงียบๆ


สถานที่ห่างออกไปไม่เกินสิบจั้ง คือสถานที่ที่หยางเฉียนวางค่ายกลมายาพลังหยินทั้งหกไว้


เขตจำกัดของค่ายกลนี้ไม่มีผลในการทำร้ายศัตรูให้ได้รับบาดเจ็บ มันใช้แค่สร้างมายากักขังศัตรูไว้ในเขตจำกัดเท่านั้น และยังมีรูปแบบการใช้งานที่ค่อนข้างง่าย ขอแค่รู้เรื่องค่ายกลเล็กน้อยก็สามารถทำลายมันได้อย่างง่ายดาย แต่ถ้าใช้มันขังปีศาจวานรในช่วงเวลาหนึ่งล่ะก็คงจะเหลือเฟือ


หลิ่วหมิงครุ่นคิดเล็กน้อย หลังจากที่ละสายตากลับมาก็มองไปยังต้นไม้เล็กต้นหนึ่งที่อยู่บริเวณนั้น


ต้นไม้เล็กต้นนั้นดูธรรมดาๆ แต่ความจริงแล้วมันคือต้นไม้ที่จินอวี่ใช้หุ่นอสูรสร้างมันขึ้นมา ร่างที่แท้จริงของมันซ่อนอยู่ในนั้น


ดูเหมือนว่าเขาจะเรียนรู้วิธีการของศิษย์พี่อวิ๋นผู้นั้น ถึงได้ใช้วิธีการหลบซ่อนตัวเช่นนี้


ดูท่าหุ่นอสูรเหล่านี้ค่อนข้างใช้ประโยชน์ได้จริงๆ ถ้ามีโอกาสล่ะก็ควรจะซื้อหุ่นที่มีความสามารถในการให้ความช่วยเหลือมาสักสองตัว คาดว่าจะต้องได้ใช้มันอย่างแน่นอน


หลิ่วหมิงคิดถึงจุดนี้ ก็เริ่มนึกถึงการไปตลาดเว่ยโจวในครั้งนั้น ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะมีหุ่นอสูรขายอยู่ในตลาดจริงๆ แต่ราคาก็ไม่ใช่ถูกๆ


เขาไม่ได้ค้นพบว่า ในจุดตันเถียนของเขามีสิ่งของขนาดเล็กเท่าเมล็ดถั่วเหลืองกำลังเคลื่อนไหวอยู่ มันคือฟองอากาศลึกลับที่ควรจะหายไปแล้ว


ไม่รู้ว่ามันออกมาตอนไหน และยังมาปรากฏอยู่ในจุดตันเถียนโดยที่หลิ่วหมิงไม่รู้ตัว


ผ่านไปสักครู่ ก็มีเสียงดังมาจากบนยอดเขา


ถึงแม้จะห่างกันมาก แต่หลิ่วหมิวยังคงได้ยินอย่างชัดเจน หลังจากที่ใจเขารู้สึกเย็นยะเยือก เขาก็รีบเรียกสติกลับคืนมาในทันทีแล้วจ้องมองไปยังยอดเขาอีกครั้ง


เสียงคำรามดังติดต่อกันออกมาจากบนเขา และยิ่งดังกังวานขึ้นเรื่อยๆ ประจักษ์ชัดว่ามันไม่ใช่เสียงของปีศาจวานรแค่ตนเดียว และดูราวกับว่ามันลงจากเขามาอย่างรวดเร็ว


หลังผ่านไปไม่กี่อึดใจ ไอสีดำกับแสงสีเงินก็พุ่งลงมาจากบนเขา


ท่ามกลางไอสีดำคือวิหคกระดูกยักษ์ตนหนึ่ง กรงเล็บอันแหลมคมของมันทั้งจับไหล่ทั้งสองข้างของหยางเฉียนไว้แน่น ท่ามกลางแสงสีเงินกลับเป็นปีกที่กระพืออยู่บนหลังของชายหน้าดำ


ทั้งสองเพียงแค่เคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็มาปรากฏตัวตรงตีนเขาก่อนที่จะเปลี่ยนทิศทางพุ่งมายังป่าดงดิบทันที


เกือบจะในเวลาเดียวกัน ก้อนหินขนาดใหญ่หลายก้อนก็พุ่งลงมาจากบนเขาทันที มันทุบลงมาที่ที่ทั้งสองเคยยืนอย่างรุนแรง จนเกิดเป็นหลุมลึกจั้งกว่าๆ


จากนั้นก็มีเสียงคำรามโหยหวนดังขึ้นมา เงาร่างสีทองหนึ่ง สีดำหนึ่ง และสีเทาสองก็พุ่งลงมาจากที่สูง


หลังจากมีเสียงดัง “ตู้ม!” “ตู้ม!” ปีศาจวานรทั้งสี่ก็ลงมาอยู่บนพื้นแถวนั้น และหลังจากที่ปีศาจวานรขนทองที่เป็นหัวหน้าฝูงคำรามเสียงต่ำออกมา มันก็กระโดดตามหยางเฉียนกับกับชายหน้าดำไปราวกับบินได้


หยางเฉียนและชายหน้าดำที่อยู่ข้างหน้ากลับไม่ค่อยตื่นตระหนกมากนัก เพราะว่าอีกไม่ไกลก็จะเป็นสถานที่วางค่ายกลแล้ว และด้วยระยะห่างของพวกเขากับปีศาจวานรที่อยู่ด้านหลัง เวลาแค่นี้ก็เหลือเฟือแล้ว


หลังจากที่ทั้งสองเคลื่อนไหวไม่กี่ก็อยู่ห่างจากป่าดงดิบไม่ถึงสิบกว่าจั้งแล้ว แต่ขณะนั้นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็ได้ปรากฏขึ้น


หลังจากที่ปีศาจวานรขนทองตนนั้นคำรามเสียงต่ำออกมามันก็รีบวิ่งไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว และกระโดดขึ้นไปบนไหล่ของวานรยักษ์สีดำ และหดตัวลงภายในพริบตา


ปีศาจวานรสีดำขยับมือทั้งสองโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง มันรวบรวมพลังจับขาวานรขนทองที่สูงเพียงจั้งกว่าๆ ไว้ข้างหนึ่ง มันหมุนตัวติ้วๆ อยู่ที่เดิมอย่างรวดเร็วจากนั้นก็ปล่อยมือออกไปในทันที


วานรยักษ์สีทองพุ่งไปยังชายหน้าดำที่อยู่ด้านหน้าราวกับก้อนหินที่ถูกกว้างออกไป!


ด้วยลักษณะที่ฮึกห้าวนี้ ถ้าหากกระทบโดนจริงๆ ล่ะก็ ชายหนุ่มหน้าดำคงเสียชีวิตในที่นั้นไปแล้ว หรือไม่ก็อาจเลือดตกยางออกก็เป็นได้


ชายหน้าดำให้ความสนใจสถานการณ์ด้านหลังอยู่ตลอดเวลา เขาจึงเห็นฉากนี้อย่างชัดเจน ภายใต้ความตกใจเขาทำได้แต่กระพือปีกตรงหลังแล้วบินหลบไปด้านข้าง


เสียง “ตู้ม!”


วานรยักษ์สีทองแฉลบผ่านด้านข้างของชายหน้าดำ จากนั้นมันก็กางแขนขาออกแล้วค่อยๆ หล่นลงตรงชายป่าอย่างมั่นคง จากนั้นก็แหงนหน้ามองคนทั้งสองด้วยสีหน้าที่ดุร้าย


ฉากที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดฝันนี้ ทำให้หยางเฉียนกับชายหน้าดำรู้สึกเย็นยะเยือกในใจ พวกเขาหยุดพุ่งไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว


ด้วยความร้ายกาจของปีศาจวานรขนทอง คนๆ เดียวไม่สามารถรับมือกับมันได้อย่างแน่นอน


แต่ในช่วงเวลานี้ ปีศาจวานรทั้งสามที่อยู่ด้านหลังก็กระโดดไม่กี่ทีก็ตามมาเกือบจะถึง


“แย่แล้ว แผนมีการเปลี่ยนแปลง รีบออกไปรับมือหน่อย!” หลิ่วหมิงเป็นผู้ที่ไม่รู้ว่าผ่านความเป็นความตายมามากต่อมากเท่าไหร่ พอเห็นทั้งสองตกที่นั่งลำบากก็ตะโกนเสียงต่ำบอกกับจินอวี่โดยไม่ต้องคิด จากนั้นก็กลายร่างเป็นเงาพุ่งออกไปจากป่าดงดิบ


จินอวี่ที่เดิมทีหลบอยู่ในหุ่นเห็นเช่นนี้ก็รีบเก็บหุ่นแล้วสะบัดแขนเสื้อโยนลูกกลมๆ ออกมาสามลูก หลังจากที่มันดูพร่ามัวก็กลายเป็นหุ่นหมาป่ายักษ์สีเขียวจำนวนสามตัว จากนั้นก็พุ่งตามหลิ่วหมิงออกไปติดๆ


วานรยักษ์ขนทองก็ได้ยินเสียงที่ดังมาจากด้านหลัง มันรีบหันไปมองหลิ่วหมิง และหุ่นอสูรทั้งสามด้วยแววตาที่ดุร้ายเป็นอย่างมาก มันแยกเขี้ยวส่งเสียงคำรามข่มขู่ออกมา


“พี่อวิ๋น จินอวี่ หลิ่วหมิง พวกเจ้ารับมือกับปีศาจวานรสามตนด้านหลังก่อน ข้าจะล่อวานรขนทองไปที่ค่ายกลเอง” หยางเฉียนสมกับเป็นศิษย์พี่ใหญ่แห่งนิกายปีศาจ หลังจากที่เขาคิดไปมาอย่างรวดเร็วก็หาแผนรับมือออกมาได้


เขาทำท่ามือด้วยมือเดียวในทันที วิหคกระดูกยักษ์บนหัวพร่ามัวกลายเป็นปีศาจกระดูกยักษ์หัววัวร่างมนุษย์ จากนั้นมันก็ก้าวยาวพุ่งไปยังด้านหน้าปีศาจวานรขนทอง ขณะเดียวกันเขาก็สะบัดแขนเสื้อนำธนูกระดูกขาวเล็กๆ ออกมา และหลังจากไอดำบนตัวพวยพุ่งรวมตัวกันแล้วก็กลายเป็นฝ่ามือยักษ์สีดำตบไปยังด้านหน้า


หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ได้ยินก็ย่อมลงมือโดยไม่ลังเลใดๆ พวกเขาต่างก็พุ่งไปหาวานรคนละตนและทำการต่อสู้กับมัน


ปีศาจวานรขนทองด้านหน้าแหงนหน้าแผดเสียงยาวออกมา มือทั้งสองกำหมัดชกหน้าอกในทันที ขณะที่ขนมันตั้งชันมันก็กลายเป็นสัตว์ขนาดมหึมาในทันที และตีหมัดไปยังฝ่ามือสีดำอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นแล้วกระโจนเข้าไปหาปีศาจกระดูกหัววัวร่างมนุษย์ด้วยความรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ


เสียงดัง “ฟู่!” “ตู๊ม!”


ฝ่ามือสีดำถูกโจมตีจนแตกกระจาย ถึงแม้ปีศาจกระดูกหัววัวร่างมนุษย์จะใช้สองมือต่อต้าน แต่ก็ยังคงถูกแรงสั่นสะเทือนจากการกระทืบเท้าของปีศาจวานรขนทองจนต้องกระเด็นกลับไป ราวกับว่าสุดที่จะรับมือได้


หยางเฉียนตกตะลึงงันในทันที เขาโบกธนูกระดูกในมือ จากนั้นมันก็ขยายขนาดขึ้นมาจั้งกว่าๆ พอดึงสายธนูไอดำจำนวนมากก็ทะลักเข้าไปรวมตัวในนั้นจนกลายเป็นลูกศรสีดำ


พอเขาปล่อยมือ ลูกศรสีดำก็พร่ามัวหายไปในอากาศ


เกือบจะในเวลาเดียว ปีศาจวานรขนทองก็อ้าปากพ่นคลื่นเสียงสีขาวโพลนออกมา


เสียงฉีกขาดดังขึ้น!


ลูกธนูสีดำปรากฏตัวอยู่ห่างจากวานรยักษ์หลายฉื่อ แต่คลื่นเสียงออกไปแค่ฉื่อกว่าๆ ก็หยุดเงียบลงไป


เสียงดัง “ป้าบ!”


วานรยักษ์โบกมืออย่างรวดเร็วจนคว้าลูกธนูสีดำเอาไว้ได้ และยังออกแรงบีบจนมันระเบิดออกมา


ดวงตาภายใต้หน้ากากของหยางเฉียนฉายแววความหวาดกลัวออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ใจของเขาร่วงหล่นลงไปในทันที เพราะรู้ว่าดูถูกปีศาจวานรขนทองตนนี้เกินไปหน่อย ที่จริงพลังอันแข็งแกร่งของมันไม่ใช่ว่าคนระดับเขาหนึ่งถึงสองคนจะรับมือได้


แต่ยังดีที่เขาไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับปีศาจวานรตนนี้ซึ่งๆ ได้หน้า เพียงแค่พุ่งเข้าไปในป่าดงดิบข้างหน้าก็ล่อให้มันเข้าไปในค่ายกลได้แล้ว


หยางเฉียนคิดเช่นนี้ในใจ จากนั้นก็เริ่มร่ายคาถาก่อนที่จะมีไอสีดำหมุนวนรอบตัวอย่างบ้าคลั่ง ดูแล้วอานุภาพมันน่าตื่นตะลึงมาก


ปีศาจวานรขนทองกลับก้าวยาวพุ่งเข้าไปหาหยางเฉียนราวกับดาวตก


เสียงดัง “วิ้ว!” “วิ้ว!”


เงาร่างห้าเงาที่มีลักษณะเหมือนกันพุ่งออกมาจากไอสีดำไปยังคนละทิศละทางอย่างรวดเร็ว


ปีศาจวานรขนทองเห็นฉากนี้ ตอนแรกก็ตกตะลึง แต่ต่อมาก็โกรธจนเต้นแร้งเต้นกาขึ้นมา มันคว้ามือทั้งสองไปบนพื้นสองครั้ง จากนั้นก้อนดินก็รวมตัวกันจนกลายเป็นหินสีดำสี่ก้อนในทันที


เสียงดัง “วู้!” “วู้!”


วานรยักษ์ขว้างหินสีดำทั้งสี่ก้อนออกไปด้วยความรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ


ผลคือพอเงาร่างทั้งสี่ถูกก้อนหินยักษ์กระทบเข้าใส่ก็แตกกระจายออกมาราวกับฟองสบู่


เหลือเพียงเงาร่างเดียวเท่านั้น หลังจากที่เงาร่างนี้เคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็หายเข้าไปในป่าดงดิบอย่างไร้ร่องรอย


วานรยักษ์ขนทองเห็นเช่นนี้ก็แหงนคอแผดเสียงดุร้ายออกมา จากนั้นก็กระโดดไล่ตามเข้าไปในป่าดงดิบโดยไม่ลังเล


ผ่านไปไม่นาน เมื่อวานรยักษ์ขนทองตามหยางเฉียนเข้าไปกลางต้นไม้ใหญ่หลายต้นนั้น พื้นที่รอบด้านพลันสั่นไหวขึ้นมา ไอดำจำนวนมากพุ่งออกมาจากรอบด้านจนปิดบังทุกสิ่งไว้


วานรยักษ์ขนทองตกตะลึงในทันที แต่ยังคงพุ่งไปยังด้านหน้า แต่พอมันกระโดดติดต่อกันไม่กี่ทีก็มาปรากฏตัวอยู่ในพื้นที่ว่างเปล่าท่ามกลางไอสีดำอีกครั้ง


เห็นได้ชัดว่า ปีศาจวานรตนนี้มีสติปัญญาไม่มากพอว่าที่จะเข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น หลังจากที่มันคำรามเสียงออกมาอีกไม่กี่ครั้งก็กระโดดพุ่งไปซ้ายขวาหน้าหลัง แต่ก็ยังคงกลับมาอยู่ที่เดิม


ทำให้มันรู้สึกโกรธจนเป็นเจ้าเข้าอย่างช่วยไม่ได้!


ด้านนอกค่ายกล หยางเฉียนยืนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ เขามองจากที่สูงเห็นสถานการณ์ในค่ายกลอย่างชัดเจนจนอดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้ จากนั้นก็หมุนตัวจะออกไปจากป่าดงดิบเพื่อไปรวมตัวชายหน้าดำ


แต่ขณะนั้นเองพลันมีเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วดังมาจากด้านหลัง จนทำให้ต้นไม้บริเวณนั้นสั่นไหวอย่างรุนแรง


ภายใต้สถานการณ์ที่หยางเฉียนไม่ทันได้ตั้งตัว เขาเกือบจะตกลงไปจากต้นไม้ใหญ่


เขารีบหันไปมองค่ายกลด้วยความโมโห แต่แล้วสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก


ไม่รู้ว่าปีศาจวานรขนทองตนนั้นไปเอากระบองยักษ์สีเงินที่มีความยาวหกเจ็ดจั้งมาจากไหน มันกำลังทุบตีไอสีดำอย่างบ้าคลั่ง จนพื้นดินบริเวณนั้นสั่นไหว และดูเหมือนพังทลายได้ตลอดเวลา


ปีศาจวานรตนนี้เดิมทีหลับหูหลับตาระบายความโกรธอย่างเดียว แต่ไม่คาดคิดว่าจะการใช้กระบองทุบทีไปโดยไม่คิด จะกลายเป็นพลังที่สามารถทำลายเขตจำกัดได้


เดิมทีค่ายกลมายาที่แข็งแกร่งจริงๆ ไม่อาจสั่นสะเทือนด้วยพลังระดับนี้ได้


แต่หยางเฉียนวางธงค่ายกลมายาพลังหยินทั้งหกแค่ชุดเดียวจึงสามารถทำลายได้ง่ายมาก มันไม่สามารถกักขังปีศาจวานรที่ทุบตีอย่างบ้าคลั่งตนนี้ได้


ภายใต้ความตกตะลึง หยางเฉียนไม่ทันจะได้คิดอะไรมาก เขารีบหยิบธงเล็กสีดำออกมาจากอกเสาหนึ่ง แล้วโยนหายเข้าไปในเขตจำกัด


ครู่ต่อมาก็มีลำแสงสีดำพุ่งออกมาท่ามกลางไอสีดำ ค่ายกลที่เกือบจะพังทลายก็กลับมามั่นคงอีกครั้ง


มันเป็นเพราะหยางเฉียนใช้ธงค่ายกลเข้าไปช่วย และยังควบคุมค่ายกลด้วยตนเองโดยไม่เสียดายพลังเวทย์!


……………………………………….


ตอนที่ 131 กำจัดวานร (6)

โดย

Ink Stone_Fantasy

แต่ดูเหมือนว่าปีศาจวานรขนทองที่อยู่ในค่ายกลจะรับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของเขตจำกัด มันจึงกวัดแกว่งกระบองในมืออย่างบ้าคลั่ง เงากระบองที่ดูราวกับเป็นเขาลูกเล็กม้วนตัวออกไปรอบด้าน แรงสั่นสะเทือนดังออกมาจากไอสีดำอีกครั้ง


หยางเฉียนที่คิดจะทำให้ค่ายกลมั่นคงอีกเล็กน้อยแล้วค่อยจากไป จำต้องอยู่ต่อเพื่อส่งพลังเวทย์ไปที่ค่ายกลอีกครั้ง


ท่ามกลางค่ายกล ไอสีดำกับเงากระบองพุ่งชนเข้าหากันอย่างรุนแรง จนก่อเกิดเป็นพายุหมุนสีดำพุ่งขึ้นฟ้าอยู่ตลอดเวลา ทำให้พื้นที่ในเขตจำกัดสั่นสะเทือนอยู่ไม่หยุด


ด้านนอกชายป่า ร่างของหลิวหมิงเคลื่อนไหวแค่ทีเดียวก็พุ่งผ่านไปยังด้านข้างของปีศาจวานรสีเทาที่ถูกแมงป่องกระดูกขาวหนีบไว้แน่น ขณะเดียวกันปราณกระบี่สีเขียวหลายสายก็กะพริบผ่านไปฟันวานรยักษ์จนกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย โลหิตสีแดงของมันเลอะไปเต็มพื้น


จากนั้นหลิ่วหมิงก็ไม่คิดจะหยุดเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่ยกมือข้างหนึ่งขึ้นก็มีคมวายุสี่ห้าเส้นพุ่งออกไปยังการต่อสู้ที่อยู่อีกด้านหนึ่ง


และทางด้านนั้น ชายหน้าดำกำลังแสดงเคล็ดวิชาร่างฝึกอีกครั้ง พร้อมกับเหวี่ยงกระบองสีทองไปปะทะกับปีศาจวานรสีดำ


แต่เมื่อเทียบกับปีศาจวานรสีเทาแล้ว เห็นได้ชัดว่าพลังของปีศาจวานรสีดำแข็งแกร่งกว่ามาก ภายใต้สถานการณ์ที่ชายหน้าดำต้องเผชิญหน้ากับมันแค่คนเดียว ถึงแม้จะใช้เคล็ดวิชาหลายอย่างเข้าช่วยติดต่อกันก็ยังต้องล่าถอยไปอย่างต่อเนื่อง


ถ้าไม่ใช่ว่ามีกระบอกกลสีเงินที่ควบคุมได้อย่างอิสระซึ่งไม่รู้ว่าปรากฏออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ และมันยังยิงเพลิงสายฟ้าสีเงินออกไปอยู่ตลอดเวลาจนบีบให้ปีศาจวานรตนนั้นจำต้องหลบหลีกชั่วคราวล่ะก็ เกรงว่าเขาคงไม่อาจยืนหยัดอยู่ได้


ปีศาจวานรสีดำใช้กระบองเหล็กสีดำมืดทุบไปข้างหน้าอย่างรุนแรงสามครั้ง จนทำให้ชายหน้าดำสะเทือนจนถอยไปหลายก้าว และขณะที่มันกำลังเดินหน้าเพื่อลงมือต่อนั้น เพียงแค่มันได้ยินเสียงดัง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” คมวายุจำนวนมากก็พุ่งเข้ามาถึงตัวแล้ว


ปีศาจวานรคำรามออกมาพร้อมกับยื่นกระบองเหล็กสีดำไปตั้งขวางไว้ด้านหน้า หลังจากที่กวัดแกว่งไปหนึ่งทีก็ปัดคมวายุทั้งหมดกระเด็นออกไป


และในช่วงเวลานั้นเอง ชายหน้าก็กระพือปีกทั้งสองพุ่งขึ้นไปบนฟ้า หลังจากที่หมุนวนไปรอบหนึ่งก็สะบัดปีกก่อนที่จะมีแท่งสีเงินพุ่งยิงลงมาอย่างรวดเร็ว มันคือเข็มแหลมเล็กจำนวนมากที่มีขนาดราวกับขนวัว


วานรสีดำที่อยู่ด้านล่างได้เห็นฉากนี้ก็ไม่เกิดความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย มันเพียงแค่กวัดแกว่งกระบองเหล็กในมือจนดูพร่ามัว มันกลายเป็นเงากระบองคุ้มกันร่างเขาไว้ท่ามพายุที่บ้าระห่ำ


แท่งสีเงินเหล่านั้นมีมากจนดูหนาแน่นราวกับฝนตก แต่มันยังไม่ทันได้สัมผัสโดนเงากระบองก็ถูกพายุตรงนั้นม้วนกลืนเข้าไปอย่างไร้ร่องรอย


จากนั้นกระบอกกลบนไหล่ของชายหน้าดำก็ส่งเสียงดัง “ฟู่!” “ฟู่!” และพ่นเพลิงสายฟ้าสีเงินออกมาสิบกว่าสาย และพุ่งยิงออกไปราวกับลูกธนู


ขณะเดียวกันเขาก็อาศัยพลังจากการดิ่งตัวลงในการทุบกระบองสีทองลงไปยังด้านล่าง


ในเวลาเดียวกัน หลิ่วหมิงเคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็มาถึงด้านหน้า จากนั้นก็กวัดแกว่งกระบี่สีเขียวออกไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หลังจากมีเสียงดัง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” ปราณกระบี่สีเขียวสี่ห้าสายรวมตัวเป็นหนึ่งก่อนที่ม้วนตัวออกไป


ถึงแม้ทั้งสองจะไม่ได้หารือกันมาก่อน แต่ก็ร่วมมือกันได้อย่างไร้ที่ติ


แน่นอนว่าวานรยักษ์สีดำค้นพบเรื่องที่ตนเองถูกล้อมโจมตีแล้ว และลักษณะการโจมตีของทั้งสองดุดันเป็นอย่างมาก เขาไม่อาจละเลยการโจมตีจากด้านใดด้านหนึ่งได้เลย


มันคำรามด้วยความโมโหทันที ขนทั่วร่างของมันตั้งชันขึ้นมา หลังจากที่กระบองในมือสั่นไหวในฉับพลันมันก็พร่ามัวจนกลายเป็นเงากระบองยักษ์ยาวจั้งๆ กว่าๆ สองอัน และแยกกันพุ่งไปหาหลิ่วหมิงกับชายหน้าดำในทันที


“ตู้ม!” “ตู้ม!” เสียงดังสะเทือนเลือนลั่นดังออกมาเกือบจะพร้อมกัน


ทางด้านหลิ่วหมิง ปราณกระบี่ประสานเข้ากับคลื่นอากาศจนระเบิดออกมา


บนอากาศเหนือตัววานรยักษ์สีดำ เพลิงสายฟ้าสีเงินกับกระบองสีทองก็ปะทะกับเงากระบองสีดำอย่างรุนแรง จากนั้นคลื่นอากาศอันน่าตกใจก็ม้วนตัวออกไป


ปีศาจวานรคำรามออกมา ร่างของมันหนักอึ้ง เท้าทั้งสองจมลงไปในดินจนถึงหัวเข่า


ชายหนุ่มหน้าดำกลับยิ่งเร็วร้าย หลังจากที่มีพลังมหาศาลสะท้อนกลับมา ร่างของเขาก็ตีลังกากระเด็นออกไปสิบกว่าตลบ และกระอึกเลือดออกมาก่อนที่จะตั้งตัวบนอากาศได้


การต่อสู้อย่างรุนแรงในครั้งนี้ ถึงแม้จะมีหลิ่วหมิงคอยกวนวานรสีดำอยู่ข้างๆ แต่ก็ยังทำให้ชายหน้าดำได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย


แน่นอนว่าปีศาจวานรตอนนี้ก็ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ดีกว่ากันเท่าไหร่ เท้าทั้งสองที่จมอยู่ในดินก็เกิดอาการชาจนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้


แต่ในขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงกลับกระทืบเท้าข้างหนึ่งลงพื้น และกลายเป็นเงาร่างพุ่งเข้าใส่ปีศาจวานรอย่างรวดเร็ว


ปีศาจวานรสีดำเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็คำรามเสียงข่มขู่ออกมา พร้อมกับตวัดกระบองเหล็กออกไปในแนวนอน กระบองเหล็กไม่ได้โดนตัวหลิ่วหมิงจริงๆ แต่เป็นพลังไร้รูปบางอย่างพุ่งไปต้านหลิ่วหมิงไว้


ตาของหลิ่วหมิงเปล่งประกายออกมา พอเขาบิดตัวก็ลอยไปตามแรงผลักของพลังไร้รูป จนดูราวกับใบไม้ที่พลิ้วไหวตามสายลม และลอยผ่านด้านบนของกระบองเหล็กสีดำไป


ขณะเดียวกัน เขาก็ทำท่ามือด้วยมือเดียวพร้อมกับร่ายคาถา หลังจากที่เขายกมือขึ้น ลูกเปลวไฟสีแดงสามลูกก็ดีดตัวออกไป


แต่ก็ไม่มีใครสังเกตว่าชั่วพริบตาที่ลูกเปลวไฟพุ่งออกไปนั้น มีแสงสีเขียวหยกพุ่งตามออกไปจากนิ้วมือของหลิ่วหมิงด้วย


วานรยักษ์สีดำเองก็ไม่อาจสังเกตได้ว่ามีอาวุธลับอีกอย่างหนึ่งซ้อนอยู่ในนั้น มือขนาดใหญ่ทั้งสองที่มีขนดกเต็มปัดลูกไฟจนดับทั้งสามลูก


แต่ชั่วพริบตานั้นเองเข็มเงาหยกก็กระเจาะทะลุดวงตาข้างหนึ่งของมันด้วยความเร็วเหลือเชื่อ


หลังจากที่ปีศาจวานรกรีดร้องอย่างเวทนา ภายใต้ความเจ็บปวดมันได้โยนกระบองเหล็กทิ้งไป หลังจากที่มือทั้งสองทุบลงพื้นอย่างรุนแรง ในที่สุดก็สามารถดึงเท้าทั้งสองขึ้นมาจากพื้นได้ จากนั้นก็กระโจนโซซัดโซเซเข้าหาหลิ่วหมิงอย่างบ้าคลั่ง


มันมีตาข้างเดียวที่เปิดอยู่ ส่วนอีกข้างนั้นมีโลหิตไหลอยู่ไม่หยุด เห็นได้ชัดว่ามันแค้นหลิ่วหมิงเข้ากระดูกจนไม่สนใจชายหน้าดำบนอากาศเลย


ชายหน้าดำเห็นนี้ย่อมรู้สึกตกใจระคนดีใจ เขารีบตะโกนเสียงต่ำออกมาแล้วทำพลังเวทย์ที่กระเพื่อมอยู่ให้สงบลงก่อน แล้วค่อยกวัดแกว่งกระบองโจมตีลงไป


แต่ขณะนั้นเอง พื้นดินด้านล่างก็นูนขึ้นมาในฉับพลัน


ปีศาจวานรสีดำเพิ่งพุ่งออกมาได้สองก้าว พื้นดินด้านล่างก็แยกออกจากกันทันที ก้ามยักษ์สีดำแวววาวสองอันโผล่พรวดขึ้นมาจากในนั้น และหนีบน่องข้างหนึ่งที่มีขนดกเต็มของมันไว้อย่างรวดเร็ว


ปีศาจวานรสีดำส่งเสียงร้องดังออกมา ก่อนที่ก้มตัวคว้ามือข้างหนึ่งไปยังด้านล่าง


เสียงดัง “ซู่!” “ซู่!” เส้นสีดำสิบกว่าเส้นพุ่งออกมาจากพื้นดิน และเจาะทะลุผ่านมือของมันไป


วานรยักษ์ร้องโหยหวนออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่ด้วยความโมโหอย่างสุดขีดมันได้กำหมัดอีกข้างที่ดูราวกับเป็นค้อนยักษ์สีดำ และทุบลงบนพื้นอย่างรุนแรง


เสียงดัง “ตู้ม!”


หลุมยักษ์เส้นผ่านศูนย์กลางขนาดจั้งกว่าๆ ปรากฏขึ้นตรงด้านล่างของวานรยักษ์สีดำ


ร่างทั้งร่างของแมงป่องกระดูกขาวโผล่ขึ้นมาจากหลุมด้วยท่าทีที่มึนงง


วานรยักษ์เผยสีหน้าดุร้ายออกมา หลังจากที่สะบัดเท้าไปหนึ่งที พลังมหาศาลก็พุ่งออกมาสะบัดก้ามยักษ์ทั้งสองจนหลุดไป จากนั้นมือข้างหนึ่งก็คว้าลงไปอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ และดึงแมงป่องกระดูกขาวออกมา หลังจากที่มันออกแรงบีบที่นิ้วทั้งห้าแมงป่องกระดูกขาวก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เลยแม้แต่น้อย


ถ้าไม่ใช่ว่าตัวแมงป่องกระดูกขาวเองก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เกรงว่ามันคงถูกบีบจนระเบิดออกมาแล้ว


แต่แน่นอนว่าปีศาจวานรสีดำไม่พอใจเช่นนี้แน่ มันอ้าปากเผยให้เห็นเขียวอันคมกริบ และคิดที่เอาเอาแมงป่องกระดูกขาวใส่เข้าไปในปากแล้วกัดให้แหลกละเอียดเพื่อจะได้ลดความคั่งแค้นในใจ


แต่ขณะนั้นเอง หลังจากที่แมงป่องกระดูกขางส่งเสียงร้อง “แกว๊ก!” “ แกว๊ก!” ออกมา หมอกสีม่วงเข้มข้นก็ถูกพ่นออกมาจากปากของมัน ด้วยระยะห่างอันใกล้เช่นนี้ทำให้พ่นใส่หน้าของวานรยักษ์เข้าอย่างจัง


วานรยักษ์ส่งเสียงร้องอย่างเวทนา แล้วสะบัดแมงป่องกระดูกขาวลงพื้นอย่างรุนแรง แล้วสองแขนของมันก็กุมหน้าร้องโหยหวนอยู่ไม่หยุด


ทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะเกิดขึ้นอย่างซับซ้อนในช่วงเวลาที่เชื่องช้า แต่ความจริงแล้วเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงเวลาสองลมหายใจเข้าออกเท่านั้น


หลิ่วหมิงยังลอยตัวเบาๆ โดยยังไม่ได้ร่อนลงพื้น พอเขาเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ขมวดคิ้วแล้วชี้นิ้วมือไปยังปีศาจวานรตนนั้น


เสียงดัง “ฟิ้ว!”


เข็มเงาหยกที่หายไปได้พุ่งออกมาจากอากาศบริเวณนั้นอีกครั้ง หลังจากที่มันเปล่งประกายออกมาก็พุ่งเข้าใส่หูของปีศาจวานรสีดำข้างหนึ่งแล้วทะลุออกไปยังอีกข้างหนึ่ง จากนั้นมันก็พร่ามัวแล้วหายเข้าไปในแขนเสื้อของหลิ่วหมิงอย่างไร้ร่องรอย


ปีศาจวานรสีดำร่างกายอ่อนแรงจนล้มโครมลงพื้น และเสียชีวิตไปในทันที


แต่ขณะนั้นเอง แขนของปีศาจวานรก็กลายเป็นสีแดงดำ รูสีดำบนฝ่ามือก็ค่อยๆ ละลายกลายเป็นโลหิตสีดำ


“ศิษย์น้องไป๋ เจ้าช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ไม่คาดคิดว่าจะสามารถจัดการปีศาจวานรตนนี้ได้เพียงคนเดียว!” ตอนนี้ชายหน้าดำถึงได้ค่อยๆ ร่อนลงจากบนอากาศ สายตาที่เขาจ้องมองหลิ่วหมิงมีความตกตะลึงเล็กน้อย


“พี่อวิ๋นชมเกินไปแล้ว เมื่อครู่ถ้าไม่ใช่ว่าท่านก่อกวนสมาธิของมัน ข้าเองก็ไม่สามารถจัดการมันได้โดยง่าย พี่อวิ๋นไปช่วยศิษย์พี่หยางก่อนเถอะ ตอนนี้เขายังไม่กลับมาดูท่าทางนั้นคงเจอเรื่องยุ่งยากเข้าแล้ว ข้ากับศิษย์น้องจินจัดการปีศาจวานรสีเทาตัวที่เหลือก่อน แล้วจะรีบไปสมทบกับพวกท่าน” หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปยังค่ายกลในป่าดงดิบแล้วกล่าวออกมา


“ได้ ถ้าอย่างนั้นถุงน้ำดีของปีศาจวานรตนนี้เป็นของเจ้าแล้ว ข้าจะไปช่วยเจ้าหยางเฉียนก่อน” ชายหน้าดำครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วก็รับปากออกไป หลังจากที่กระพือปีกก็กลายเป็นแสงสีเงินพุ่งไปยังป่าดงดิบ


หลิ่วหมิงส่งพลังจิตสื่อสารกับแมงป่องกระดูกขาว ให้มันเอาถุงน้ำดีของวานรสีดำออกมา จากนั้นตนเองก็หมุนตัวเดินไปยังการต่อสู้ที่อยู่อีกด้านหนึ่ง


ทางด้านนั้น หุ่นหมาป่าสามตัวยังยุ่งอีรุงตุงนังกับปีศาจวานรสีเทาอยู่ไม่หยุด


จินอวี่เองก็มาถึงบริเวณนั้นตั้งนานแล้ว และก็ซ่อนอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล เขากำลังใช้สมาธิกับการแสดงวิชาควบคุมหุ่นอยู่


ประจักษ์ชัดว่าครั้งนี้เขาได้เรียนรู้จากครั้งก่อน ดังนั้นเขาจึงบังคับหุ่นให้ต่อสู้อยู่รอบๆ โดยไม่ไม่ให้ปะทะกับปีศาจวานรแม้แต่น้อย


เมื่อจินอวี่เห็นหลิ่วหมิงเดินมา สีหน้าที่เคร่งเครียดก็ได้ผ่อนคลายลง


ครึ่งชั่วยามผ่านไปก็มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหว กลุ่มแสงขนาดใหญ่ราวกับพระอาทิตย์ได้ปรากฏขึ้น พร้อมกับระเบิดคลื่นอากาศอันน่าตื่นตะลึงออกมา และต้นไม้บริเวณนั้นก็ถูกม้วนราบเป็นหน้ากอง


และเมื่อกลุ่มแสงสีขาวหายไปแล้ว ก็ปรากฏหลุมยักษ์ขนาดหมู่กว่าๆ ที่ตรงกลาง ค่ายกลกำจัดที่วางไว้บริเวณนั้นก็หายวับไปแล้ว


……………………………………….


ตอนที่ 132 ศิลาจิตวิญญาณ

โดย

Ink Stone_Fantasy

บริเวณขอบรอบๆ หลุมยักษ์ เงาร่างคนสี่คนโซเซเล็กน้อยก่อนที่กลับมายืนได้อย่างมั่นคง


“วานรตนนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก เห็นๆ อยู่ว่าก่อนหน้านั้นถูกพวกเราสี่คนโจมตีจนหายใจแขม่วๆ ไม่คาดคิดว่าจะยังสามารถระเบิดตนเองได้ ถ้าไม่ใช่ว่ามีพลังของเขตจำกัดช่วยต้านทานไว้ ไม่แน่อาจจะมีคนเสียชีวิตไปแล้วก็ได้” ชุดของชายหน้าดำได้รับการกระทบกระเทือนจากแรงระเบิดเมื่อครู่จนขาดรุ่งริ่ง หลังจากที่เขามองซากเนื้อไหม้เกรียมในหลุมใหญ่แล้วก็กล่าวพึมพำออกมาด้วยความรู้สึกหวาดกลัวอย่างอดไม่ได้


“นั่นน่ะสิ! ข้าเองก็ไม่คาดคิดว่าปีศาจวานรตนนี้จะมีนิสัยรุนแรงเช่นนี้ เมื่อเห็นว่าไม่สามารถต้านทานได้ก็ไม่คิดหาวิธีหนี แต่กลับคิดที่จะตายไปพร้อมกันกับพวกเรา!” หน้ากากสีเงินบนหน้าหยางเฉียนมีสีดำอยู่ติดอยู่เล็กน้อย เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวออกมาเช่นกัน


“แต่ธงค่ายกลของศิษย์พี่ชุดนี้ก็ถูกทำลายไปโดยสมบูรณ์ น่าเสียดายจริงๆ!” หลิ่วหมิงสวมชุดคลุมใหม่อีกชุด จากนั้นก็มองดูสถานการณ์รอบด้าน แล้วพลันหัวเราะกล่าวออกมา


“ไม่เป็นไร มันก็แค่ธงค่ายกลชุดหนึ่งเท่านั้น ขอแค่ได้รับผลประโยชน์จากบนเขามามากพอ ก็สามารถทดแทนการสูญเสียเล็กน้อยนี้ได้” หยางเฉียนกลับกล่าวอย่างไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย


“เสียดายถุงน้ำดีของปีศาจวานรตนนี้ ด้วยพลังอันแข็งแกร่งของมัน คิดว่าผลลัพธ์ของถุงน้ำดีมันจะต้องสูงส่งกว่าปีศาจวานรตนอื่นมาก” ชายหน้าดำดึงชุดคลุมที่ขาดรุ่งริ่งออกมา และกล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดาย


“อันนี้ก็ช่วยไม่ได้ ใครจะไปคิดว่ามันจะเบิดตัวออกมา” หยางเฉียนกล่าวราบเรียบ


“ศิษย์พี่ทั้งสองเรื่องอื่นๆ ค่อยว่ากันทีหลังเถอะ! พวกเราควรจะรีบขึ้นเขากันดีหรือไม่? ตอนนี้บนเขาไม่มีปีศาจวานรแล้ว อย่าให้โดนคนอื่นแย่งไปก่อนได้” จินอวี่กล่าวอย่างอดไม่ได้


“ฮึ! พวกเราออกแรงมากขนาดนี้ถึงสามารถจัดการปีศาจวานรเหล่านั้นได้ ใครกล้าแย่ง? ถ้าหากมีคนแย่งจริงๆ ล่ะก็ อย่าคิดว่าจะมีชีวิตรอดลงไปได้เลย” ชายหน้าดำได้ยินก็กล่าวด้วยประกายตาที่ดุร้าย


“ศิษย์น้องจินอวี่พูดมาก็มีเหตุผล! พี่อวิ๋น ศิษย์น้องไป๋ พวกเรารีบไปกันให้เร็วหน่อยเถอะ และก็ไม่ต้องไปด้วยกันแล้ว พอถึงบนเขาใครหาพืชจิตวิญญาณอะไรได้ก็เป็นของคนนั้น แต่ถ้าพบเจอคนแปลกหน้าล่ะก็ ให้รีบปล่อยลูกเปลวไฟขึ้นไปบนอากาศหนึ่งลูกเพื่อแจ้งให้คนอื่นๆ ทราบ พวกเราจะได้รวมตัวกันขับไล่คนอื่นๆ ออกไป” หยางเฉียนกล่าว


หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ก็ไม่ มีข้อคัดค้านใดๆ แม้แต่น้อย


ดังนั้นพวกเขาจึงทะยานขึ้นฟ้าแล้วเหาะไปยังยอดเขาที่อยู่ไม่ไกล


……


เสียงดัง “ฟิ้ว!”


ดาบยักษ์สีฟ้ายาวสิบกว่าจั้งฟันลงมาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ มันฟันเข้าไปยังหัวของอสรพิษหงอนเงินที่ถูกน้ำค้างแข็งสีฟ้าปกคลุมไว้


มือทั้งสองที่จับกันแน่นเพื่อทำท่ามือของสองพี่น้องตระกูลหลานค่อยๆ แยกออกจากกันหลังจากที่รู้สึกผ่อนคลายลง


เสียงดัง “ฟู่!”


ดาบยักษ์สีฟ้าที่ลอยอยู่กลางอากาศกลายเป็นนี้ทะเลสีฟ้ากระจายออกมา และดาบสั้นสีฟ้าที่มีขนาดเท่าหัวแม่มือ ก็กระพริบหายเข้าไปในแขนเสื้อของชายหนุ่มอย่างไร้ร่องรอย


“ฮ่าๆ ในที่สุดก็สามารถจัดหารอสรพิษหงอนเงินตนนี้ได้! การลงทุนลงแรงของพวกเราก่อนหน้านี้ไม่เสียเปล่าแล้ว อย่างนี้เราก็สามารถขึ้นเขาไปหามังกรแดงได้แล้ว” ชายหนุ่มปล่อยมือหญิงสาว และหลังจากมองดูศพที่ไร้หัวของอสรพิษแล้วก็หัวเราะขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง


“พี่ใหญ่ท่านรีบเก็บร่างให้ดี รีบใช้เวลาฟื้นฟูพลังเวทย์กันเถอะ! มิเช่นนั้นถ้ามีคนเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเราในตอนนี้ เกรงว่าใครก็เดาออกว่าพวกเราทั้งสองเป็นเผ่าเจ้าสมุทร” หญิงสาวร่างอรชรที่อยู่ด้านหลังกล่าวกับพี่ชายด้วยความรอบคอบ


“น้องเล็กพูดมาก็มีเหตุผล เมื่อครู่ข้าหลงระเริงไปหน่อย แต่เวลามีไม่มากอย่าเพิ่งรีบฟื้นฟูพลังเวทย์ เราไปตามหามังกรแดงตนนั้นก่อนเถอะ! มิเช่นนั้นถ้าหากระว่างนี้เกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้น มันอาจทำให้เสียการใหญ่ได้”


“พี่ใหญ่ ท่านเลอะเลือนจริงๆ เลย ถึงแม้มนุษย์ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นจะบอกว่ามังกรแดงตนนั้นบาดเจ็บสาหัส คงจะไม่มีแรงต่อต้าน แต่อย่างไรมันก็เป็นอสูรระดับผลึก ถึงแม้จะฟื้นฟูพลังเวทย์ได้เพียงเล็กน้อย ชีวิตน้อยๆ ของข้ากับท่านก็จะอาจต้องทิ้งไว้ที่นี่ ดังนั้นเพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิด พวกเราควรขึ้นเขาด้วยสภาพที่ดีที่สุดถึงนับว่าเป็นผู้ฉลาดปราดเปรื่อง ยังไงพวกเราก็เสียเวลามานานขนาดนี้แล้ว จะเสียอีกครึ่งวันจะเป็นไรไป” หญิงร่างอรชรกลับส่ายศีรษะกล่าวออกมา


“ดี พี่จะเชื่อเจ้า” ถึงแม้ว่าในใจของชายหนุ่มจะไม่ยินยอม แต่กลับรู้ว่าน้องสาวของเขาคนนี้พอฟื้นคืนร่างแท้จริงแล้ว จะมีสติปัญญาสูงกว่าคนทั่วไปมาก ก่อนหน้านั้นนางก็ไม่เคยคาดเดาพลาด ด้วยเหตุนี้หลังจากที่เขาลังเลเล็กน้อยแล้วก็รับปากกลับไป


ดังนั้นทั้งสองต่างก็หยิบถุงหนังสีขาวตรงเอวออกมาแล้วโยนขึ้นไปบนอากาศ จากนั้นก็ทำท่ามือร่ายคาถา น้ำทะเลสีฟ้าม้วนกลิ้งอยู่กลางอากาศในทันที หลังจากที่มันโหมซัดสาดก็กลายเป็นสายน้ำกรอกเข้าไปในถุงหนัง


ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป น้ำทะเลทั้งหมดก็โดนดูดเข้าไปในถุงหนังจนไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว


ตอนนี้ทั้งสองถึงได้เปลี่ยนท่ามือก่อนที่ร่างของพวกเขาจะพร่ามัวในทันที จากนั้นก็กลับมามีรูปร่างเป็นมนุษย์ดังเดิม


ต่อมาทั้งสองก็เก็บถุงหนัง และทานโอสถเข้าไปคนละเม็ด จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิกำหนดลมหายใจเข้าออก


……


เสียงดัง “ตู้ม!”


แท่งหินสีขาวเทายาวจั้งกว่าๆ พุ่งขึ้นจากพื้นโดยไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ ทำให้ร่างของศิษย์หนุ่มนิกายเอกะที่หลบไม่ทันถูกแทงจนทะลุ ม่านแสงปกคลุมร่างกายที่ดูแข็งแรงแต่กลับแตกละเอียดในพริบตา ซึ่งประสิทธิภาพมันไม่ดีเท่าไหร่เลย


และในสถานการณ์เช่นนี้ ศิษย์นิกายเอกะก็ยังไม่ได้เสียชีวิตในทันที แต่กลับร้องเรียกขอความช่วยเหลืออย่างน่าเวทนา


แต่ในขณะนั้นเอง นอกจากจะมีอสูรสิงห์พยัคฆ์ตนนั้นอยู่ในกองหินแล้ว ยังมีมนุษย์ศิลาสูงสามจั้งกว่าที่มีตะไคร่น้ำเต็มตัวปรากฏออกมา


รูปร่างภายนอกของมนุษย์ศิลาตนนี้ดูคล้ายมนุษย์มาก แต่ว่าร่างทั้งหมดถูกห่อด้วยหินแข็งแกร่งที่ไม่ทราบชื่อ และบริเวณตัวมันยังมีหินสีดำขนาดเท่าศีรษะจำนวนเจ็ดแปดก้อนหมุนวนอยู่ไม่หยุด ทำให้ศิษย์แต่ละนิกายที่อยู่บริเวณนั้นต้องถอยอย่างต่อเนื่อง


การเคลื่อนไหวของมนุษย์ศิลานี้ดูเชื่องช้า แต่พอมีแสงสีเหลืองเปล่งประกายออกมาในดวงตาจะต้องมีแท่งหินแทงขึ้นมาจากพื้นที่บริเวณนั้น บริเวณรอบๆ ตัวมันตอนนี้ปกคลุมไปด้วยแท่งหินสามสิบถึงสี่สิบแท่ง ทำให้ศิษย์แต่ละนิกายหลบหลีกยากยิ่งขึ้น


และอีกด้านหนึ่ง อสูรสิงห์พยัคฆ์ที่มีบาดแผลเต็มตัวก็พ่นเปลวสายฟ้าไปยังด้านนอกอยู่ไม่หยุด ไม่ไกลจากด้านหลังของมันก็มีศพศิษย์นิกายวาตอัคคีที่ดำเกรียมหดตัวอยู่บนพื้น


ที่น่าแปลกประหลาดไปกว่าก็คือ พอมีคนคิดที่หันหน้าวิ่งหนีออกไปด้านนอก จะต้องชนกับกำแพงอากาศไร้รูปจนต้องกระเด็นกลับมา


และสถานการณ์บริเวณกองหินเหล่านี้แตกต่างจากก่อนหน้านั้นโดยสิ้นเชิง


ก้อนหินขนาดต่างๆ ที่เดิมทีวางระเกะระกะได้ล้อมรอบพวกเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่อาจรู้ได้ พวกมันแต่ละก้อนค่อยๆ ซ้อนตัวขึ้นเป็นค่ายกลศิลาธรรมชาติที่เรียบง่ายขึ้นมา


เฟิงฉาน เกาชง และคนอื่นๆ ถูกปีศาจอสูรสองตนตามล่าจนต้องร้องโอดครวญในใจอยู่ไม่หยุด


ก่อนหน้านั้นพวกเขาใช้วิธีการต่างๆ โจมตีอสูรสิงห์พยัคฆ์จนบาดเจ็บ และคิดว่าเพิ่มพลังอีกนิดก็จัดการมันได้แล้ว แต่กลับมีศิลาจิตวิญญาณที่เคยได้ยินคำเล่าลือโผล่ขึ้นมาจากพื้นดินโดยฉับพลัน


ศิลาจิตวิญญาณนี้พูดได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาดครึ่งปีศาจครึ่งวิญญาณ ถือเป็นปีศาจอสูรชนิดหนึ่ง แต่มันสามารถใช้วิชาต่างๆ ที่สังกัดธาตุดินได้ตั้งแต่กำเนิด ทั้งยังมีผิวบางเนื้อหนาเป็นอย่างมาก และยังสามารถใช้ดินและหินสร้างเปลือกนอกมาซ่อมแซมตัวเองได้อย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้วิธีการโจมตีธรรมดาไม่อาจทำร้ายมันได้เลยแม้แต่น้อย


ถึงแม้เฟิงฉาน และคนอื่นๆจะเคยได้ยินคำร่ำลือเกี่ยวกับศิลาจิตวิญญาณมาแล้ว แต่มันก็เป็นแค่สิ่งที่บันทึกไว้ในคัมภีร์โบราณเท่านั้น และในเวลานั้นก็ได้โจมตีอสูรสิงห์พยัคฆ์จนได้รับบาดเจ็บแล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้พวกเขาย่อมไม่ยอมละทิ้งโอกาสนี้ไปแน่ จึงได้ดันทุรังอยู่ที่เดิมเพื่อที่จะสังหารอสูรสิงห์พยัคฆ์ให้เสร็จก่อน แล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง


แต่สิ่งที่พวกเขาคิดไม่ถึงก็คือ พอศิลาจิตวิญญาณตนนี้ปรากฏออกมา มันก็กระตุ้นก้อนหินทั้งหมดที่อยู่บริเวณนั้น และใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถสร้างค่ายกลศิลาธรรมชาติขึ้นมาได้ ทำให้พวกเขาโดนถูกกักขังอยู่ภายในนั้น


ถ้าหากภายใต้สถานการณ์ปกติ ถึงแม้ค่ายกลศิลานี้จะลี้ลับมหัศจรรย์มาก แต่เรื่องที่กักขังพวกได้นั้นย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้


แต่ถ้าหากว่ายังมีปีศาจอสูรที่มีพลังแข็งแกร่งไล่ล่าอยู่ในค่ายกล สถานการณ์ย่อมแตกต่างกันสิ้นเชิง


ที่ร้ายแรงไปกว่านั้นคือ อสูรสิงห์พยัคฆ์ที่ดูเหมือนว่าหายใจแขม่วๆ พลันมีพลังขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่ว่าจะเป็นลูกเปลวไฟที่พ่นออกมา หรือว่าอานุภาพสายฟ้าที่ปกป้องตัวมันอยู่ก็ดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นอีกครึ่งหนึ่ง


อสูรสิงห์พยัคฆ์ตนนี้ไม่ได้แสดงพลังทั้งหมดตั้งแต่แรก มันรอจนศิลาจิตวิญญาณปรากฏถึงแสดงพลังอันน่ากลัวออกมา


ถ้าไม่ใช่เพราะว่าคนที่มาด้วยในครั้งนี้ มีชายหนุ่มแซ่เถียนที่แสดงวิชาอัคคีวารีผสานซึ่งเป็นวิชาที่ร้ายกาจวิชาหนึ่งต้านทานพลังการโจมตีกว่าครึ่งหนึ่งของอสูรสิงห์พยัคฆ์ไว้ล่ะก็ เกรงว่าคนเหล่านี้คงถูกปีศาจอสูรทั้งสองสังหารไปจนหมดเกลี้ยงแล้ว


แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตามก็ยังมีคนสองคนถูกฆ่าตายภายในชั่วพริบตาเดียว


“พี่เถียน ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ไหวแน่ พวกเราจะต้องทำลายค่ายกลศิลานี้ให้ได้!” เฟิงฉานหลบหลีกแท่งหินแท่งหนึ่งที่โผล่ขึ้นจากพื้น และตะโกนบอกชายหนุ่มที่อยู่อีกด้านด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดเป็นอย่างมาก


ไม่ไกลออกไป ชายหนุ่มแซ่เถียนกำลังกวัดแกว่งพัดใบลานที่ขยายขนาดใหญ่ขึ้นมา มันพัดอักขระสีแดง และสีฟ้าไปหาอสูรสิงห์พยัคฆ์ด้วยความรวดเร็ว


“เรื่องนี้ข้ารู้ดี ขอแค่มีคนร่วมมือกับข้า ข้าจะใช้พลังทั้งหมดโจมตี มันก็จะก่อให้เกิดพลังมหาศาลทำลายค่ายกลศิลานี้ได้ภายในระยะเวลาอันสั้น แต่ก็ต้องมีคนหน่วงเหนี่ยวอสูรสิงห์พยัคฆ์สองตนนี้ไว้ ข้าถึงจะมีเวลาแสดงพลังออกมาได้” ชายหนุ่มแซ่เถียนกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน


จนถึงเวลานี้แล้ว ศิษย์นิกายวาตอัคคีผู้นี้ยังคงไม่รีบร้อนแต่อย่างใด


“ข้ามีเคล็ดวิชาที่สามารถกักขังศิลาจิตวิญญาณนี้ได้ช่วงเวลาหนึ่ง แต่ในช่วงระหว่างเวลานี้ก็ไม่สามารถโจมตีอสูรตนนี้ได้” หลังจากที่เฟิงฉานตาเป็นประกาย เขาก็ตอบกลับอย่างรวดเร็ว


“ส่วนอสูรสิงห์พยัคฆ์ล่ะก็ ให้ข้าจัดการเถอะ ถ้าข้าไม่เสียดายพลังเวทย์ล่ะก็ ก็พอมีวิธีกักขังมันได้ในช่วงเวลาหนึ่ง เช่นนี้แล้วพี่เถียนคงไม่มีปัญหาอะไรแล้วใช่ไหม?” เกาชงได้ยินเช่นนี้ก็กัดฟันกล่าวออกมา


มาถึงเวลานี้แล้ว เขาย่อมไม่สนเรื่องอื่นแล้ว ต้องรวมพลังกันทำลายเขตจำกัดให้ได้ก่อน แล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง


“ดี ถ้าอย่างนั้นก็มอบมันทั้งสองให้กับพวกเจ้า อีกสักครู่สหายท่านอื่นๆ ก็ใช้วิธีการที่เก่งกาจที่สุดร่วมมือกับข้าทำลายค่ายกลพร้อมกัน” ชายหนุ่มแซ่เถียนถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างรวดเร็ว และกล่าวอย่างไม่ลังเล


……………………………………….


ตอนที่ 133 ผลไม้จิตวิญญาณ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เกาชงเข้าไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว หลังจากที่คำรามเสียงต่ำออกมา ไอโลหิตบนตัวก็พรั่งพรูออกมาทันที จากนั้นก็ชี้นิ้วไปยังอสูรสิงห์พยัคฆ์ที่กระโจนเข้ามาอย่างรวดเร็ว


โลหิตแวววาวพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว และยังส่งเสียงดัง “เพล้ง!” จากนั้นก็ระเบิดออกมาเป็นหมอกโลหิต


และหลังจากที่เกาชงแสดงวิชากระตุ้นหมอกโลหิตเหล่านี้ มันก็รวมตัวกันจนกลายเป็นหนวดสีแดงขนาดเท่าแขน หลังจากที่มันม้วนตัวไปหนึ่งทีก็ไปพันอสูรสิงห์พยัคฆ์ที่ไม่ทันตั้งตัวไว้ในนั้น


ภายใต้ความตื่นตระหนกตกใจ สายฟ้าบนตัวอสูรสิงห์พยัคฆ์เปล่งประกายโจมตีหนวดสีแดงอยู่ไม่หยุด


แต่เห็นได้ชัดว่าหมอกโลหิตเหล่านี้แตกต่างกับวิชาที่เกาชงแสดงในก่อนหน้านั้นโดยสิ้นเชิง มันไม่เพียงแต่จะไม่ถูกโจมตีจนแตกกระจายในทันที แต่กลับรัดพันอสูรตนนี้ไว้แน่นท่ามกลางแสงสายฟ้าที่เปล่งประกาย ทำให้อสูรสิงห์พยัคฆ์เจ็บปวดจนสายฟ้าบนตัวยิ่งเปล่งประกายมากกว่าเดิม


“ปราณโลหิต”


หลังจากที่มีบางคนสัมผัสถึงกลิ่นไออันน่ากลัวของหนวดสีเลือดแล้ว ก็หลุดปากพูดออกมาอย่างอดไม่ได้


คนอื่นๆ ก็มีสีหน้าหวาดกลัวขึ้นมา


เฟิงฉานจ้องมองเกาชงทีหนึ่ง จากนั้นก็หายวับเข้าไปในศิลาจิตวิญญาณ


แสงสีเหลืองในดวงตามนุษย์ศิลาเปล่งประกาย แท่งหินแท่งหนึ่งพุ่งขึ้นมาตรงเท้าของเฟิงฉานอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ


แต่ร่างของเฟิงฉานแห้งเหี่ยวไปชั่วระยะหนึ่ง และภายในพริบตาเดียวก็กลายเป็นสีดำ แต่เขายังคงโจมตีไปยังด้านหน้าโดยไม่สนใจแท่นหินด้านล่าง


แท่งหินเสียบเอียงๆ เข้าที่เอวของเขาแต่ถูกแรงสั่นสะเทือนทำให้มันระเบิดออกมา


เกือบจะในเวลาเดียวกัน เฟิงฉานขยับตัวไม่กี่ทีก็โจมตีมาถึงด้านหน้าของมนุษย์ศิลา หลังจากที่ไอดำบนมือทั้งสองม้วนตัวออกมา หมัดสีเงินจางๆ ก็ปรากฏออกมาด้วย จากนั้นมันก็พุ่งไปโจมตีศิลาจิตวิญญาณ


แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นติดต่อกันในทันที


ก้อนหินสีดำเจ็ดแปดก้อนที่ลอยวนอยู่กลางอากาศได้โจมตีร่างของเฟิงฉานอย่างต่อเนื่อง แต่มันก็พากันระเบิดตัวออกมาราวกับว่าปะทะโดนเหล็กบริสุทธิ์


ถึงแม้เฟิงฉานจะถูกกระทบกระเทือนจนต้องล่าถอยอยู่ไม่หยุด แต่ไม่มีบาดแผลปรากฏบนตัวเขาแม้แต่น้อย เขากระทืบเท้าข้างหนึ่งลงพื้นอย่างรุนแรง จากนั้นสองมือก็พุ่งโจมตีศิลาจิตวิญญาณด้วยตรงหน้าจนเกิดเป็นภาพพร่ามัว


ไม่นานก็มีเสียงดังสะเทือนไปทั่วฟ้า เงาหมัดสีเงินจำนวนมากเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว มันโจมตีมนุษย์ศิลาจนหินบนตัวแตกละเอียดออกมาเป็นจำนวนมาก


ถึงแม้ศิลาจิตวิญญาณจะเคลื่อนไหวเชื่องช้า แต่มันก็ไม่ถึงกับไม่โต้ตอบกลับเมื่อมีการโจมตีในระยะประชิดเช่นนี้


มันคำรามเสียงแปลกประหลาดดังออกมาพร้อมกับกระทืบเท้าลงพื้นอย่างรุนแรง ก้อนหินขนาดต่างๆ ลอยขึ้นมาจากพื้นบริเวณนั้นทันที หลังจากที่มันสั่นไหวหนึ่งทีก็พุ่งยิงเข้าใส่เฟิงฉานราวกับฝนตก


เฟิงฉานคำรามออกมาด้วยความโมโห หมัดสีเงินเปลี่ยนทิศทางในทันที มันพุ่งออกไปทั่วทิศราวกับดอกไม้บาน ทำให้ก้อนหินส่วนมากถูกโจมตีนจนแตกละเอียด


แต่เฟิงฉานยังคงไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย


“ข้าทั้งสองยืนหยัดได้ไม่นาน น้องเถียนรีบลงมือเถอะ!” ถึงแม้จะดูเหมือนว่าร่างของเฟิงชาฉานนั้นฟันแทงไม่เข้า ทำให้ศิลาจิตวิญญาณไม่สามารถทำอะไรเขาได้ชั่วขณะ แต่เขาก็ยังเอ่ยปากเร่งออกมา


ประจักษ์ชัดว่าวิธีการป้องกันอันน่าหวาดกลัวนี้ไม่สามารถยืนหยัดได้นานมากนัก


ชายหนุ่มแซ่เถียนเก็บอาการตื่นตะลึงแล้วก็ตอบรับกลับไป จากนั้นก็หันหน้าไปยังค่ายกลศิลาที่อยู่ด้านหลัง และโยนพัดใบลานในมือขึ้นไปในอากาศทันที นิ้วทั้งสิบปลดปล่อยพลังเวทย์ออกมาเป็นสายๆ


พลังเวทย์ทั้งหมดนี้จมหายเข้าไปในพัดใบลานอย่างรวดเร็ว และยังส่งเสียงดังวิ้งๆ ก่อนที่จะมีอักขระสีฟ้า และสีแดงลอยออกมาจากพัด


เฉียนฮุ่ยเหนียง และผู้ที่เหลือก็ค่อยๆ แสดงวิชาประสานพลังกับชายหนุ่มแซ่เถียน เพื่อใช้ในการโจมตีอันน่าอัศจรรย์


เสียงดัง “ฟู่!” “ฟู่!”


ตอนที่อักขระสีฟ้า และสีแดงตรงบริเวณพัดใบลานปรากฏออกมามากขึ้นจนดูราวกับเบียดเสียดไปทั่วทุกพื้นที่นั้น กลิ่นไอบนร่างของชายหนุ่มแซ่เถียนก็เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม รัศมีแสงสีฟ้าและสีแดงขนาดใหญ่โผล่ออกมาหมุนวนรอบตัวเขาอยู่ไม่หยุด


“ชีพจรจิตวิญญาณอัคคีวารี!”


พอเห็นฉากนี้ ผู้คนทั้งหมดต่างก็หลุดปากออกมาด้วยความตื่นตะลึง


และขณะนั้นเอง เสียงร่ายคาถาของชายหนุ่มก็หยุดลง ท่ามือที่ทำอยู่ก็เปลี่ยนไปด้วย


หลังจากที่พัดใบลานโบกสะบัดเล็กน้อย มันก็พัดโจมตีค่ายกลศิลาด้วยความรุนแรง


บังเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น


ลำแสงสีฟ้าแดงตัดสลับกันพุ่งออกไปปะทะกับกำแพงอากาศไร้รูปที่อยู่ไม่ไกล และกลายเป็นแสงลูกกลมๆ ขนาดใหญ่กลอกกลิ้งไปมาไม่หยุด ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นจนพื้นที่บริเวณนั้นสั่นสะเทือนขึ้นมา


คนอื่นๆ อีกสี่คนเห็นเช่นนี้ก็พากันลงมือโดยไม่ลังเล


เฉียนฮุ่ยเหนียงเปล่งเสียงออกมาก่อนที่จะมีหอกน้ำแข็งแวววาวที่ยาวจั้งกว่าๆ โผล่ออกมาด้านหน้า จากนั้นมันก็เปลี่ยนเป็นแสงแวววาวเมื่อโจมตีออกไป


ทางด้านคนอีกสามคน ก็มีอสรพิษไฟสีแดง เงาร่างหินยักษ์สีเหลือง และหนามสีเขียวที่พุ่งยิงออกไปจนดูแน่นขนัด ทั้งหมดนี้โจมตีไปยังบริเวณแสงลูกกลมๆ ที่มีสีแดงกับสีฟ้า


ตอนนี้ชายหนุ่มแซ่เถียนถึงได้ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมา มือข้างหนึ่งชี้ไปยังจุดที่แสงลูกกลมๆ รวมตัวกัน


หลังจากมีเสียงดังก้องจนหูจะหนวกดังขึ้นมา แสงลูกกลมๆ กับการโจมตีอื่นๆ ก็ดูเหมือนจะระเบิดออกมาพร้อมกัน ทำให้กำแพงอากาศไร้รูปที่บังอยู่ด้านหน้าแตกละเอียดออกมา


กองหินหลายแห่งก็ถูกกระทบกระเทือนจนแตกละเอียดเป็นผุยผง


“สำเร็จแล้ว รีบไป!”


คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ก็พุ่งออกไปจากค่ายกลศิลาด้วยความดีใจ


เกาชงที่กำลังและเฟิงฉานที่กำลังยื้ดยุดศิลาจิตวิญญาณกับอสูรสิงห์พยัคฆ์อยู่ก็พุ่งตีลังกาออกไปอย่างรวดเร็ว


การเคลื่อนไหวของศิลาจิตวิญญาณค่อนข้างเชื่องช้า มันไม่สามารถไล่ตามเฟิงฉานได้ทัน


อสูรสิงห์พยัคฆ์ก็ไม่สามารถสลัดไอหมอกโลหิตได้ชั่วขณะหนึ่ง มันทำได้เพียงมองดูเกาชงหนีลอยนวลไป


ผ่านไปไม่นาน อสูรสิงห์พยัคฆ์ก็คำรามเสียงสลัดตนให้หลุดพ้นจากไอหมอกโลหิตด้วยความโมโห แต่ตอนนั้นผู้คนทั้งหลายก็หนีหายไปกันหมดแล้ว


ศิลาจิตวิญญาณตนนั้นไล่ตามไปจนถึงขอบกองหินโดยไม่แสดงอาการใดๆ บนสีหน้า จากนั้นก็จมหายไปในพื้นดินโดยไร้สุ้มเสียงใดๆ


เมื่อเป็นเช่นนี้ อสูรสิงห์พยัคฆ์ก็ได้แต่คำรามเสียงต่ำอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็หมุนตัวกลับไปยังยอดเขาของตนเอง


……


หลิ่วหมิงเหยียบเท้าอยู่บนก้อนเมฆสีเทาก้อนหนึ่ง เขาเอื้อมมือเก็บเห็ดหลินจือที่ค่อนข้างใหญ่ตรงหน้าผาสูงชัน จากนั้นเก็บมันเข้าไปอย่างระมัดระวัง ซึ่งสีหน้าเขาดูมีความสุขมาก หลังจากเมฆเทาใต้เท้าเคลื่อนไหวอีกครั้ง เขาก็เหาะไปยังหน้าผาที่สูงชันกว่าเดิม


ที่นั้นมีหญ้าจิตวิญญาณสีเหลืองอ่อนที่โชยกลิ่นหอมหอมกรุ่นออกมา


เขาลูกนี้สมกับเป็นสถานที่ที่มีปราณจิตวิญญาณเข้มข้นมากที่สุดในแดนลึกลับแห่งนี้ พืชจิตวิญญาณต่างๆ ที่หาตามที่อื่นๆ ได้ยากยิ่ง ก็สามารถหาได้อย่างรวดเร็วในเขาลูกนี้ และยังมีพืชจิตวิญญาณหลายต้นที่ทานแล้วสามารถกลั่นเป็นพลังเวทย์ได้ทันที


สิ่งนี้ย่อมทำให้หลิ่วหมิงตื่นเต้นเป็นอย่างมาก จากนั้นเขาก็ค่อยๆ เดินไปตามเส้นทางขึ้นเขาบางแห่งเพื่อค้นหาต่อไป


เวลาสองชั่วยามค่อยๆ ผ่านไป หลิ่วหมิงอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง เมื่อเขาจ้องมองสถานที่ที่อยู่สูงขึ้นไป ก็อดที่จะใจเต้นไม่ได้


บนลานราบเรียบที่สูงสิบจั้ง มีป่าท้อเล็กๆ ผืนหนึ่ง มันออกผลสีเขียวแดง และต่างก็เป็นท้อลูกเล็กๆ ทำให้มองดูแล้วไม่อยากจะกินสักเท่าไหร่


แต่ตรงชายป่าของป่าท้อกลับมีศพลูกวานรสองสามตนที่ถูกฟันเป็นชิ้นๆ วางอยู่บนพื้น


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ใจเต้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้


เขาลืมไปได้อย่างไรว่าวานรไม่กี่ตนนั้นค่อนข้างมีสติปัญญาและยังครอบครองเขาลูกนี้มานานขนาดนี้ มีความเป็นไปได้แปดถึงเก้าในสิบส่วนว่าในรังของมันคงจะมีพืชจิตวิญญาณที่มีมูลค่าไม่เบา


ดูจากสภาพตรงหน้าก็เห็นอย่างชัดแจ้งว่ามีคนแย่งไปก่อนแล้ว


แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็ยังขี่เมฆทะยานขึ้นไปบนฟ้า


ผ่านไปไม่นาน หลิ่วหมิงก็ค่อยๆ ร่อนลงบนลานหิน หลังจากที่เขากวาดสายตามองศพลูกวานรเหล่านั้นแล้ว ก็มองทะลุไปเห็นถ้ำขนาดใหญ่กว่าปกติที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากต้นท้อสิบกว่าต้นตรงหน้า


เขาเดินทะลุต้นท้อเหล่านี้เพื่อตรงเข้าไปในถ้ำไปโดยไม่ลังเล


พอเท้าทั้งสองของเขาแตะปากทางเข้า ก็สามารถมองเห็นทุกสิ่งในนั้นได้อย่างชัดเจน


ถ้ำแห่งนี้เป็นถ้ำธรรมชาติที่เต็มไปด้วยหินย้อยมากมาย และพื้นที่ในนั้นก็กว้างกว่าที่เขาคาดเดาไว้มาก


นอกจากจะมีบ่อขนาดเล็กตรงใจกลางถ้ำแล้ว ยังมีพุ่มไม้เตี้ยอยู่บริเวณรอบๆ


ภายในพุ่มไม้มีร่องรอยของดินที่ขุดขึ้นมาใหม่อย่างเห็นได้ชัด ประจักษ์ชัดว่ามีคนขุดเอาอะไรบางอย่างไปแล้ว


ไม่เพียงแต่เท่านี้ บนผนังรอบด้านของถ้ำก็มีบางแห่งที่ถูกคนเคาะตีจนเป็นหลุมเป็นบ่อ แสดงให้เห็นว่ามีคนงัดเอาของสำคัญไป


ดูเหมือนว่าตนเองมาช้าไปก้าวหนึ่งจริงๆ สิ่งของที่ค่อนข้างมีมูลค่าถูกคนกวาดไปจนหมดเกลี้ยงแล้ว


หลังจากที่หลิ่วหมิงหัวเราะอย่างขมขื่น ก็ยังคงค้นในถ้ำอย่างละเอียดอีกรอบด้วยความรู้สึกไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ เลย


เขาทำแม้กระทั่งกระโดดลงไปหาในบ่อน้ำจืดที่อยู่กลางถ้ำหนึ่งรอบ แต่นอกจากแร่ที่ราคาถูกๆ ไม่กี่ก้อนแล้ว เขาก็ไม่ค้นพบสิ่งใดอีก


เขาเลยจำใจเดินออกไปจากถ้ำด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม จากนั้นก็ไปหาพืชจิตวิญญาณตรงสถานที่อื่นๆ


สถานที่แห่งนี้ถูกเก็บกวาดไปจนหมดสิ้นเช่นนี้ ดูท่าแปดถึงเก้าในสิบส่วนคงเป็นฝีมือของหยางเฉียนหรือไม่ก็ศิษย์พี่อวิ๋นผู้นั้น ไม่แน่พวกเขาทั้งสองคงรีบมาที่นี่ตั้งแต่แรกแล้ว ไม่รู้ว่าพวกเขาได้ของล้ำค่าจากรังของปีศาจวานรไปมากมายเท่าไหร่


หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เขาเดินผ่านต้นท้อต้นหนึ่งนั้น ก็มีลูกท้อที่สุกครึ่งหนึ่งอยู่บนศีรษะเขาพอดี มันมีขนาดเท่าไข่ไก่ใบหนึ่ง


เขายกแขนเด็ดลูกท้อมากัดกินไปหนึ่งคำอย่างไม่ใส่ใจ และคิดที่จะโยนทิ้งในทันที


แต่ครู่ต่อมาเท้าทั้งสองของหลิ่วหมิงก็ต้องหยุดชะงักในทันที สีหน้าก็เปลี่ยนไปภายในพริบตา ตอนแรกเขารู้สึกอึ้งมาก แต่ต่อมาก็แสดงท่าทีที่ดูเหลือเชื่อ


“ลูกท้อนี้คือ…”


สีหน้าเขาดูเหมือนกับไม่อยากจะเชื่อ หลังจากที่กล่าวพึมพำออกมาแล้ว เขาก็รีบกัดคำที่สองและกลืนลงไปอย่างรวดเร็ว


ภายในพริบตาที่เนื้อผลไม้กลายเป็นของเหลวไหลลงท้อง พลังภายในที่เต็มเปี่ยมก็ไหลเวียนไปทั่วร่างของเขา


ลูกท้อเหล่านี้มีผลลัพธ์ในการช่วยเพิ่มพลังเวทย์เหมือนกับหญ้าจิตวิญญาณที่มีอายุเหล่านั้นได้อย่างน่าอัศจรรย์


หลิ่วหมิงกัดแทะผลไม้ในมือด้วยความรวดเร็วจนหมดเกลี้ยง หลังจากแน่ใจในผลลัพธ์ที่ได้อีกครั้ง เขาก็รีบลงมือด้วยความดีใจ และเริ่มเก็บผลบนต้นท้อด้วยความรวดเร็ว


ตอนนี้เขาถึงค้นพบว่า ต้นท้อสิบกว่าต้นนี้ดูเหมือนจะมีเยอะ แต่ลูกท้อบนต้นมีแค่เจ็ดแปดลูกต่อต้นเท่านั้น


เมื่อรวมกันทั้งหมดสิบกว่าต้น ก็เหมือนกับว่าจะเก็บลูกท้อมาได้ราวๆ ร้อยกว่าลูก


เมื่อเก็บลูกท้อลงมาทั้งหมดแล้วก็วางกองกันบนพื้น หลิ่วหมิงถอนหายใจยาวๆ ออกมา หลังจากนั้นก็หยิบลูกท้อลูกหนึ่งขึ้นมาสังเกตดูอย่างละเอียด


……………………………………….


ตอนที่ 134 ดินปราณ

โดย

Ink Stone_Fantasy

แต่หลังจากที่หลิ่วหมิงดูอยู่ครึ่งค่อนวัน นอกจากรู้สึกว่าลูกท้อในมือเล็กกว่าลูกท้อทั่วไปนิดหน่อยแล้ว ก็ไม่ค้นพบอะไรที่ผิดปกติ!


อาจเป็นเพราะเหตุนี้ คนที่มาก่อนหน้าจึงไม่ได้สังเกตว่าลูกท้อเหล่านี้คือผลไม้จิตวิญญาณ มิเช่นนั้นล่ะก็คงไม่มีเหลือไว้แม้แต่ลูกเดียว


หลิ่วหมิงเก็บลูกท้อบนพื้นยัดใส่หน้าอกสองสามลูก จากนั้นก็เก็บที่เหลือไว้ในผ้าย่อส่วน เขามองต้นท้อที่อยู่บริเวณนั้นแวบหนึ่งแล้วพลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ จึงเดินเข้าไปโอบกอดลำต้นด้วยแขนทั้งสองไว้แน่น จากนั้นก็ใช้พลังทั้งหมดที่เขามีเขย่าลำต้นของมัน


เกิดเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ต้นท้อเพียงแค่แกว่งไปมาสองสามทีโดยไม่แตกหักออกมาเลย


หลิ่วหมิงตกใจเป็นอย่างมาก เขารีบเปลี่ยนทิศทางการออกแรงโดยเปลี่ยนจากเขย่าเป็นดึงขึ้นที


ต้นไม้จิตวิญญาณถูกสั่นไหวจนใบไม้พร่วงพรูลงมา แต่ส่วนล่างของต้นไม้ยังคงปักแน่นอยู่ในดินโดยไม่มีท่าทีว่าจะขยับเลยแม้แต่น้อย


หลิ่วหมิงเห็นนี้ก็ไม่ได้โมโหแต่กลับรู้สึกดีใจขึ้นมา เขาสะบัดแขนเสื้อก่อนที่กระบี่สั้นเขียวจะปรากฏออกมา หลังจากที่หมุนตัวไปยังใจกลางของต้นท้อสิบกว่าต้น ข้อมือของเขาก็สั่นไหว ขณะเดียวกันปราณกระบี่สีเขียวก็ประสานกันออกมา…


ผ่านไปชั่วครู่ เมื่อหลิ่วหมิงใช้ปราณกระบี่ขุดหลุมได้ลึกสามสี่จั้ง เขาก็พบกับรากขนาดใหญ่จำนวนมากที่เจาะลงไปในดิน ซึ่งไม่รู้ว่าเจาะลึกลงไปเท่าไหร่ ตอนนี้สีหน้าเขาดูมีความสุขมากกว่าเดิม


ปราณกระบี่พวยพุ่งอยู่ในมือเขาไม่หยุด หลังจากที่ขุดลงลึกตามรากไปเจ็ดแปดจั้ง ถึงพบกับสิ่งของที่ดูราวกับเป็นดินเหนียวสีทองอ่อน


พอหลิ่วหมิงเห็นดินเหนียวสีทองก้อนนี้ก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ


หลังจากที่สูดลมหายใจเข้าไปหนึ่งเฮือก! เขาก็สะบัดแขนเสื้อเอากล่องหยกออกมา ก่อนที่จะใช้พลังยกดินเหนียวสีทองอ่อนขึ้นมาอย่างอ่อนโยนและค่อยๆ วางลงในกล่อง


หลิ่วหมิงก้มตัวลงหยิบรากไม้ยาวครึ่งฉื่อที่ถูกเขาตัดออกมาในก่อนหน้านั้น จากนั้นก็ปักมันลงในดินเหนียวสีทองอ่อน


ฉากอันเหลือเชื่อได้ปรากฏขึ้นแล้ว


พอรากไม้สีเหลืองอ่อนสัมผัสถูกดินเหนียวสีทองมันก็ตั้งตรงขึ้นมา จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีเขียว และเริ่มแตกกิ่งใบออกมาอย่างรวดเร็ว


“ที่แท้ก็เป็นดินปราณทองคำบริสุทธิ์! มิเช่นนั้นต้นท้อธรรมดาเหล่านั้นก็คงไม่กลายไปเป็นต้นไม้จิตวิญญาณ และลูกของมันก็คงไม่มีผลลัพธ์ในการเพิ่มพลังเวทย์เช่นนี้ ถ้านำดินปราณนี้ออกไปยังโลกภายนอกไม่รู้ว่าจะทำให้ผู้เชี่ยวชาญพืชจิตวิญญาณกับผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถคลุ้มคลั่งสักแค่ไหน” หลิ่วหมิงกล่าวพึมพำด้วยความดีใจ ก่อนที่จะก็ดึงรากไม้ออกจากดินเหนียวสีทอง จากนั้นก็ปิดฝากล่องแล้วเก็บเข้าไปอย่างระมัดระวัง


ดินปราณทองคำบริสุทธิ์นี้ถึงแม้จะมีชื่ออยู่ในอันดับหนึ่งของบรรดาดินปราณ แต่เมื่อเทียบกับดินปราณเพาะปลูกพืชจิตวิญญาณที่ช่วยเพิ่มพลังเวทย์ได้เล็กน้อยแล้วมันคนละเรื่องกันเลย!


อย่างแรกเป็นวัตถุจิตวิญญาณฟ้าดินแท้จริงที่หาได้ยากในโลกใบนี้ อย่างหลังกลับเป็นแค่ดินปราณธรรมดาในโลกผู้ฝึกฝนเท่านั้น


แน่นอนว่าตอนแรกดินปราณทองคำบริสุทธิ์ก็เป็นแค่ดินปราณธรรมดา แต่ไม่รู้ว่าถูกปราณจิตวิญญาณชะล้างมากี่หมื่นปีถึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นดินปราณทองคำบริสุทธิ์


ถ้าไม่ใช่ว่าก่อนหน้านั้นเขาเคยอ่านเจอในคัมภีร์โบราณเล่มหนึ่ง ที่บอกว่าใต้ดินลึกของสถานที่มีต้นไม้จิตวิญญาณรวมตัวกันสิบกว่าต้นขึ้นไป ถึงจะมีโอกาสเพียงเล็กน้อยในการหาดินปราณทองคำบริสุทธิ์เจอได้ เกรงว่าเขาคงไม่คิดที่จะขุดดินลึกลงไปเพื่อหาของสิ่งนี้


ดินปราณทองคำนี้ดูเหมือนไม่ค่อยจะสะดุดตา แต่น้ำหนักแค่หนึ่งถึงสองเฉียน[1] ของมันมีมูลค่าเท่ากับหินจิตวิญญาณหมื่นก้อน และยังมีราคาสูงมากจนไม่มีคนยอมนำออกมาขาย


เพราะว่าดินปราณทองคำบริสุทธิ์ไม่เพียงแต่จะทำให้ประสิทธิภาพของสมุนไพรจิตวิญญาณที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยลดระยะเวลาการเติบโตได้อย่างไม่น่าเชื่อ มันเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับสร้างอาวุธจิตวิญญาณและเตาหลอมโอสถ แม้แต่อาวุธอาญาสิทธิ์ระดับต่ำอย่างเตาหลอมโอสถ ถ้าหากผสมดินปราณทองคำบริสุทธิ์ลงไปหนึ่งสองเฉียนก็สามารถยกระดับของอาวุธอาญาสิทธิ์ให้อยู่ในระดับสุดยอดได้


สำหรับผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถแล้วอาวุธจิตวิญญาณกับเตาหลอมโอสถเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงอะไรนั้น ผู้ฝึกฝนทั้งหมดต่างก็รู้กันดี


กล่าวเช่นนี้คือ ถ้าหากให้เลือกระหว่างอาวุธจิตวิญญาณระดับที่มีคุณภาพไม่เลวสิบชิ้น กับเตาหลอมโอสถที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำ ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถคนไหนก็ย่อมเลือกอย่างที่สองอย่างไม่ลังเล


เพราะว่าแค่มีอาวุธจิตวิญญาณอย่างเตาหลอมโอสถที่สามารถปรุงโอสถและเชื่อมกับจิตของตนเองได้ ประสิทธิภาพของโอสถก็จะสูงขึ้นหนึ่งถึงสามในสี่ส่วนเลยทีเดียว


ผลลัพธ์ที่เพิ่มทวีอย่างนี้ ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถคนใดต่างก็ฝันอยากจะมีไว้ครอบครอง


และดินปราณทองคำบริสุทธิ์ยังหนักผิดปกติเป็นอย่างมาก ก้อนที่หลิ่วหมิงเก็บไปเมื่อครู่ดูเหมือนจะมีขนาดใหญ่ไม่เกินไปกว่าลูกกำปั้นเท่านั้น แต่ความจริงแล้วกลับหนักถึงสามชั่งกว่าๆ


เพียงแค่มูลค่าของวัตถุชิ้นนี้ มันก็มีมากกว่าของที่เขาหามาได้ทั้งหมดในก่อนหน้านั้นแล้ว


แต่ถ้าวัตถุชิ้นนี้ถูกคนอื่นพบเข้า เกรงว่าแม้แต่ศิษย์ร่วมนิกายอย่างหยางเฉียนก็คงเข้ามาแย่งชิงอย่างอดไม่ได้ ศิษย์นิกายอื่นๆ นี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย


หลิ่วหมิงระงับอาการตื่นเต้น จากนั้นก็ค่อยๆ ลอยขึ้นจากหลุมที่ขุดไว้ขึ้นมาอยู่บนพื้นด้านบนอีกครั้ง แต่พอมองกวาดสายตามองไปรอบด้านก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย


ต้นท้อสิบกว่าต้นแห้งเหี่ยวเป็นอย่างมาก ใบไม้ร่วงมาจนหมดต้น และมองไม่เห็นสีเขียวบนต้นของมันเลยแม้แต่น้อย


หลิ่วหมิงฉุกคิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มือทั้งสองทำท่ามือขึ้นมาในทันที ลูกเปลวไฟสิบกว่าลูกกลายเป็นคลื่นสองสายพุ่งออกไปรอบด้าน


ชั่วพริบตาเดียวต้นท้อทั้งหมดก็ถูกเปลวไฟแผดเผาจนกลายเป็นขี้เถ้าสีดำ


หลิ่วหมิงยังไม่รามือแค่นี้ หลังจากที่กระบี่สั้นสีเขียวในมือเปล่งประกาย ปราณกระบี่เจ็ดแปดสายก็ฟันออกไปยังหลุมยักษ์ที่อยู่ตรงกลาง จากนั้นก็บังเกิดร่องน้ำขึ้นบนลานเรียบ มันทำลายทุกอย่างบริเวณนั้นจนไม่เหลือสภาพเดิมในก่อนหน้านี้


เช่นนี้แล้วหลิ่วหมิงถึงได้เก็บกระบี่สั้นสีเขียวด้วยความพอใจ จากนั้นก็หมุนตัวไปยังถ้ำหินและนั่งกลั่นเอาพลังจากผลลูกท้อที่ทานไปก่อนหน้านั้น


หนึ่งชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงลืมตาทั้งสองขึ้นมาอีกครั้ง สีหน้าของเขาในตอนนี้กลับกลายเป็นดูเคร่งขรึมขึ้น


พลังที่แฝงอยู่ในผลลูกท้อบริสุทธิ์กว่าที่เขาคิดไว้มาก ระยะเวลาสั้นๆ เพียงเช่นนี้ก็สามารถกลั่นพลังได้จนหมดสิ้น แต่พลังเวทย์ที่ได้จากการกลั่นนี้ไม่ค่อยเพียงพอ มันเทียบเท่ากับพลังเวทย์ที่ได้การฝึกฝนเดือนกว่าๆ เท่านั้น


โชคดีที่เขาเก็บลูกท้อได้เกือบร้อยกว่าลูก แค่เขาทานมันไปครึ่งหนึ่งก็สามารถผลักดันให้พลังเวทย์ของเขาไปอยู่ในระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่สมบูรณ์แบบได้


แต่ถ้านำลูกท้อจิตวิญญาณเหล่านี้ออกไปล่ะก็ จำต้องมอบมันกว่าครึ่งหนึ่งให้กับนิกาย ถ้าเป็นเช่นนี้แผนการเพิ่มพลังเวทย์ของเขาก็จะล้มเหลว


ดูท่าเขาต้องหาโอกาสทานลูกท้อจิตวิญญาณเหล่านี้ก่อนที่จะออกไปจากแดนลึกลับแห่งนี้แล้ว


หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ จากนั้นก็ลุกขึ้นออกไปจากถ้ำหิน แล้วไปหาสมุนไพรจิตวิญญาณอื่นๆ


……


สองพี่น้องตระกูลหลานลืมตาทั้งสองขึ้นพร้อมกัน หลังจากที่สบตากันทีหนึ่งแล้วก็ทะยานขึ้นฟ้าพุ่งไปยังจุดสูงสุดบนยอดเขาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง


ครึ่งชั่วยามผ่านไป ทั้งสองก็มายืนอยู่บนที่กว้างโล่งบนจุดสูงสุดของยอดเขา และสังเกตมองดูรอบด้าน


“พี่ใหญ่จากนี้ไปคงต้องพึ่งการรับรู้จากท่านแล้ว” หญิงร่างอรชรกล่าวกับชายหนุ่มด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“วางใจเถอะ! ต่อให้มันซ่อนตัวอยู่ใต้ดินลึกหมื่นจั้ง ข้าก็สามารถหามันเจอ” ชายหนุ่มกล่าวด้วยท่าทีฮึกเหิม จากนั้นก็หลับตาทั้งสอง และทำท่ามือด้วยมือทั้งสองข้าง ขณะเดียวกันอักขระสีน้ำเงินก็ปรากฏออกมาตรงแก้มทั้งสองข้าง


ในขณะที่พูด ชายหนุ่มก็ค่อยๆ เคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ถึงแม้จะหลับตาแต่ก็ดูราวกับมองเห็นหมดทุกสิ่ง เขาค่อยๆ ก้าวไปทิศทางบางแห่งทีละก้าวโดยสามารถหลบหลีกต้นไม้ที่ขวางทางได้


หญิงร่างอรชรขมวดคิ้วแล้วก็เดินตามไปเงียบๆ


ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป เท้าทั้งสองชองชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรก็หยุดลงแล้วกล่าวด้วยความตื่นเต้น


“คงจะเป็นที่นี่!”


เพิ่งจะกล่าวจบ เขาก็ลืมตาทั้งคู่ขึ้นมาในทันที แต่พอมองเห็นสิ่งที่มีขนาดมหึมาด้านหน้าแล้วก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย


ด้านหน้าของเขามีหินยักษ์สีขาวเทาสูงสิบกว่าจั้งยืนตั้งตระหง่านอยู่


“พี่ใหญ่ ที่ท่านรับรู้ได้คือที่แห่งนี้?” หญิงร่างอรชรมองดูหินด้านหน้าสองสามทีแล้วก็ขมวดคิ้วกล่าวออกมา


“คงไม่ผิดพลาด” ชายเผ่าเจ้าสมุทรเดินวนหินยักษ์สองสามรอบแล้วก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“งั้นก็หมูเลย จัดการหินก้อนนี้ให้แตกละเอียด แล้วก็จะรู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างในแล้วมิใช่หรือ?” หญิงร่างอรชรหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวออกมา


“ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล เจ้าถอยไปหน่อย” ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วขยี้ยันต์ผืนหนึ่งจนแตกละเอียด หลังจากที่ม่านแสงสีฟ้าหนาๆ ปรากฏออกมา เขาถึงได้กางนิ้วทั้งห้าและกดลงไปบนหินด้วยมือทั้งสอง


ครู่ต่อมานิ้วทั้งสิบแค่เพียงแค่สั่นไหวเล็กน้อย ก็มีคลื่นสั่นไหวออกมาจากนิ้วทั้งสิบและจมหายเข้าไปในหิน


เสียงดัง “โครม!” หินยักษ์สีขาวเทาพังทลายลงมาเป็นชิ้นๆ


พริบตาเดียวร่างของชายหนุ่มก็ตีลังกาดีดตัวกลับไปไกลสิบกว่าจั้ง แล้วยืนมองไปยังท่ามกลางเศษหินพร้อมกับหญิงร่างอรชรด้วยท่าทีตื่นเต้น


แต่ข้างในนั้นกลับว่างเปล่า ไหนเลยจะมีเงาของมังกรแดงอยู่


ครั้งนี้ชายหนุ่มเผ่าสมุทรตกตะลึงขึ้นมาจริงๆ แล้ว


หญิงร่างอรชรกลับเดินไปยังกองหินด้วยตาที่เป็นประกาย หลังจากที่ตรวจดูเล็กน้อยก็หยิบสิ่งของชิ้นหนึ่งขึ้นมาจากในนั้น


มันคือเกล็ดแวววับขนาดเท่าฝ่ามือ และเปล่งประกายแสงสีแดงออกมา


“เกล็ดมังกร! เป็นไปไม่ได้ หรือว่าสิ่งที่ข้ารับรู้ได้คือเจ้าสิ่งนี้?” ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกโมโหขึ้นมาเป็นอย่างมาก


“มันก็ไม่แน่ เกล็ดมังกรทั่วไปมีกลิ่นไอมังกรแฝงอยู่น้อยมาก มันไม่สามารถดึงดูดท่านพี่มาถึงที่นี่ได้ นอกเสียจากว่ามันจะเป็นเกล็ดใต้คอมังกร!” หญิงร่างอรชรค่อยๆ กล่าวออกมา


“เกล็ดใต้คอมังกร? เป็นไปไม่ได้ สำหรับมังการแล้ว เกล็ดใต้คอมีความสำคัญรองลงมาจากมุกมังกร มันจะทิ้งไว้ที่นี่ได้อย่างไร!” ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรกล่าวด้วยความตกใจ


“ในสถานการณ์ปกติย่อมเป็นเช่นนั้น แต่ถ้ามังกรตนนี้เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดล่ะ นับประสาอะไรกับเกล็ดใต้คอเพียงแค่เกล็ดเดียว พี่ใหญ่ท่านสะสางเศษหินพวกนี้ให้เรียบร้อย ลองดูว่ายังมีสิ่งใดอยู่ข้างใต้หรือไม่?” หญิงร่างอรชรยิ้มแล้วกล่าวออกมา


“ได้!”


ชายเผ่าเจ้าสมุทรกางเขนทั้งสองออกในทันที พลังมหาศาลพุ่งออกจากตัวของเขาและผลักดันกองหินออกไปทั้งหมด


เผยให้เห็นหลุมสีดำที่ลึกลงไป


“ที่แท้ก็มีสิ่งเร้นลับซ่อนอยู่ด้านล่าง มังกรแดงตัวนั้นจะต้องซ่อนอยู่ในนั้นเป็นแน่” ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรเห็นเช่นนี้ก็พูดออกมาด้วยความดีใจ


“ถ้ามังกรแดงอยู่ด้านล่างจริงๆ ล่ะก็ พี่ใหญ่ต้องระวังให้มาก” หญิงร่างอรชรกล่าวเตือนด้วยตาที่เป็นประกาย


“เรื่องนี้ข้าย่อมรู้ดี” ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรสะบัดแขนเสื้อก่อนที่จะมีดาบสั้นวาววับเล่มหนึ่งปรากฏในมือ แล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว ปล่อยลูกเปลวไฟลูกหนึ่งพุ่งนำลงไปในถ้ำก่อน


……………………………………….


[1] เฉียน หน่วยวัดน้ำหนักของจีน 1 เฉียน เท่ากับ 5 กรัม โดยประมาณ


ตอนที่ 135 เงาร่างปีศาจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เสียงดัง “ตู้ม!”


ลูกเปลวไฟระเบิดตัวในถ้ำลึกใต้ดินในชั่วพริบตา หลังจากที่เปลวไฟคุโชนขึ้นมา พื้นที่บริเวณนั้นก็สว่างขึ้นมา


ถ้ำแห่งนี้เป็นแค่เส้นทางคดเคี้ยววกวน ผนังรอบด้านล้วนเป็นดิน มันนำดิ่งลงไปสู่ถ้ำที่ลึกลงไป


ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรกระโดดลงไปในนั้น


หญิงร่างอรชรลังเลเล็กน้อยแล้วก็กระโดดตามลงไป


พอเท้าของชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรเหยียบลงบนพื้นดิน เขาก็หยิบมุกสีขาวขนาดเท่าไข่ไก่ออกมาจากอก หลังจากที่โยนมันไปในอากาศมันก็กลายเป็นแสงสีขาวลอยอยู่เหนือศีรษะ มันส่องแสงจนทำให้มองเห็นพื้นที่บริเวณนั้นได้อย่างชัดเจน


ทางเดินมีลักษณะเป็นวงกลม เต็มไปด้วยกลิ่นความชื้นของดิน


หลังจากที่ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ก็ถือดาบเดินไปตามทางเดินอย่างระมัดระวัง ม่านแสงสีฟ้าบนตัวที่มีในตอนแรกยังคงไม่หายไปไหน ประจักษ์ชัดว่าเขากลัวว่าจะมีอะไรมาจู่โจมแบบไม่ทันได้ตั้งตัว


ทั้งสองเดินไปตามเส้นทางวกวนอยู่ไม่หยุด หลังจากที่เดินลึกลงไปสิบกว่าจั้ง ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรที่อยู่ด้านหน้าก็หยุดฝีเท้าในทันที เขาจ้องมองรอยเลือดที่เริ่มกลายเป็นสีดำเล็กน้อยบนผนังดินด้านหนึ่งด้วยตาที่เป็นประกาย


“นี่คือ…” หญิงร่างอรชรอดที่จะถามออกมาไม่ได้


ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรไม่ได้ตอบกลับในทันที แต่กลับคว้าเอาดินที่เปื้อนเลือดสีดำมาดมเบาๆ


“ไม่ผิด นี่คือสิ่งที่เจ้ามังกรแดงตนนั้นทิ้งไว้” ครู่ต่อมาชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรก็กล่าวออกมาด้วยความดีใจ


หญิงร่างอรชรพยักหน้าแล้วก็ไม่พูดอะไรมาก


พี่ชายของนางโยนดินในมือทิ้งลงไปด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็เร่งฝีเท้าเดินต่อไป


ผ่านไปไม่นาน ถ้ำขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงปลายทางด้านหน้า


สองพี่น้องตระกูลหลานเดินเข้าไปด้วยสีหน้าที่ดูเยือกเย็น


แต่พอชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรเดินเข้าไปในถ้ำและกวาดสายตามองขึ้นไปด้านบนแล้วก็ต้องตกใจจนขวัญกระเจิง


บนอากาศ มังกรแดงยาวสิบกว่าจั้งหมุนตัวโผล่หัวอันอัปลักษณ์ออกมา สายตาทั้งคู่ของมันจ้องมองทั้งสองด้วยความโหดเหี้ยม


“แย่แล้ว ถอยไปน้องพี่!”


ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรสะบัดแขนเสื้อโดยไม่ต้องคิด พอเขาแกว่งดาบในมือมันก็กลายเป็นดาบวาววับยาวหลายฉื่อ หลังจากที่เขาตะโกนเสียงต่ำออกมาก็คิดที่ทำการจะโจมตีมังกรแดงในทันที


“ช้าก่อน ดูเหมือนว่ามันจะเป็นแค่สิ่งที่ตายไปแล้ว!” ชั่วพริบตาที่หญิงร่างอรชรมองเห็นมังกรแดงก็มีสีหน้าซีดขาวเช่นกัน แต่หลังจากที่จ้องมองดูดีๆ ก็มองออกถึงความผิดปกติบางอย่าง


“ตายแล้ว! ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรได้ยินก็ตะลึงงัน ตอนนี้เขาถึงค้นพบว่ามังกรแดงในอากาศไม่ได้ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ดวงตากลมๆ ของมันก็ไม่มีการกะพริบเลย


“หรือว่ามังกรตนนี้จะบาดแผลกำเริบจนเสียชีวิต! ข้าจะทดสอบดูสักหน่อย!” ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรรู้สึกตกใจระคนดีใจในทีเดียว หลังจากที่ลังเลเล็กน้อยก็กวัดแกว่งดาบในมือ และแสงเย็นสะท้านก็ม้วนตัวโจมตีเข้าใส่มังกร


เสียงดัง “เพล้ง!”


แสงเย็นสะท้านดีดตัวกลับมาจากร่างของมังกร มังกรตนนั้นกลับได้รับการกระทบกระเทือนจนลอยออกไปไกลหลายจั้ง


“ไม่ถูกต้อง ตัวเบาเช่นนี้ราวกับว่าไม่ใช่ศพของมังกรแดง!” หญิงร่างอรชรเห็นฉากนี้ก็กล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป


ชายหนุ่มก็ค้นพบความผิดปกติเช่นกัน เขาจึงเหาะขึ้นไปยังด้านหน้าของมังกรแดงแล้วตรวจสอบดูอย่างละเอียด จากนั้นจึงได้หลุดปากกล่าวออกมา


อันนี้เป็นแค่คราบที่ลอกออกมาเท่านั้น ตัวมังกรแดงที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่นี่!”


หญิงร่างอรชรได้ยินเช่นนี้ก็ใจกระตุกขึ้นมา นางรีบเหาะขึ้นไปในทันที พอได้สังเกตด้านบนของมังกรแดงอย่างละเอียดแล้ว ก็ค้นพบว่าบนหลังของมันมีรอยแตกยาวๆ ปรากฏอยู่


หญิงร่างอรชรใช้เท้าเรียวเล็กแตะมังกรแดงเบาๆ ทำให้มันแกว่งไหวไปมาก็พบว่ามันมีน้ำหนักเบามาก และมันเป็นแค่คราบของมังกรแดงเท่านั้น ซึ่งไม่มีเลือดเนื้ออยู่ข้างในเลย


“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? มังกรแดงที่แท้จริงหายไปไหนแล้ว ทำไมข้าถึงไม่สามารถสัมผัสถึงมันได้ในดินแดนลึกลับแห่งนี้” ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรจ้องมองคราบว่างเปล่าของมังกรแดงด้วยสีหน้าที่ดูไม่ได้เป็นอย่างมาก


“มังกรลอกคราบได้นั้นมีได้แค่สองกรณีเท่านั้น กรณีแรกคือฝึกฝนจนร่างขยายขนาดขึ้นจนต้องลอกคราบออกไปหนึ่งชั้น จะได้รองรับร่างที่มีขนาดใหญ่ขึ้นได้ อีกกรณีหนึ่งก็คือพลังของมันเข้าถึง ‘กลับคืนแก่นแท้’ ตามในตำนาน ซึ่งสายเลือดมังกรบริสุทธิ์ก็มีน้อยมากที่เข้าถึงระดับนี้ได้ ได้ยินว่ามังกรทั้งหมดที่มีพรสวรรค์พลังอภินิหารเช่นนี้ จะทำเช่นนี้ในตอนที่พวกมันใกล้จะตายซึ่งต้องแลกกับระดับการฝึกฝนที่ลดลง มังกรที่ลอกคราบเดิมออกไปจะจัดกลุ่มเลือดเนื้อขึ้นมาใหม่ และจะได้รับโอกาสฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง” หญิงร่างอรชรค่อยๆ กล่าวออกมา


“ด้วยสภาพที่มังกรบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องไม่ใช่กรณีแรกแล้ว เช่นนี้ก็กล่าวได้ว่าอสูรมังกรตนนี้เป็นสายเลือดมังกรบริสุทธิ์ที่พบเจอได้น้อยมาก ถึงได้มีพลังอภินิหารลอกคราบกลับคืนแก่นแท้เช่นนี้ หรือว่าตอนนี้จะฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บแล้ว ถ้าอย่างนั้นตอนนี้มันอยู่ในระดับการฝึกฝนใดแล้ว ทำไมข้าถึงไม่สามารถรับรู้ถึงสถานที่ที่มันอยู่ได้!” หลังจากที่สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไปมา ก็สูดลมหายเข้าด้วยความเสียวสะท้าน และกล่าวออกมา


“พลังอภินิหารหลับคืนแก่นแท้นั้น เดิมทีก็เป็นสิ่งที่พบเจอได้น้อยมากในบรรดามังกรทั้งหมด ส่วนคนนอกที่เข้าใจเรื่องนี้ก็ยิ่งมีน้อยเข้าไปอีก ข้ารู้เพียงอย่างเดียวก็คือถ้ามังกรตนนี้แสดงพลังอภิหารเช่นนี้ออกมา ตอนนี้มันคงไม่ได้อยู่ในการฝึกฝนระดับผลึกแล้ว ไม่แน่แม้แต่ระดับของเหลวก็อาจจะไม่มีด้วยซ้ำ และคงอยู่ในสภาพที่อ่อนแอเป็นอย่างมาก มิเช่นนั้นคงปรากฏออกมาฆ่าพวกเราไปทั้งหมดแล้ว ส่วนข้อที่ว่าทำไมท่านถึงไม่สามารถรับรู้ได้นั้น ข้าเองก็ไม่ค่อยกระจ่างนัก บางทีอาจเป็นเพราะผลข้างเคียงจากการกลับคืนแก่นแท้ หรืออาจเป็นเพราะวิชาซ่อนตัวของมังกรตนนี้สามารถสกัดการรับรู้ของท่านได้” หญิงร่างอรชรลังเลเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมา


“เช่นนี้ก็กล่าวได้ว่ามังกรแดงตนนี้สามารถฟื้นฟูพลังได้ตลอดเวลา แล้วออกมาฆ่าพวกเราทั้งหมดได้” ชายหนุ่มถามด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก


“แน่นอนว่าไม่ถึงกับขนาดนั้น แต่เพื่อความปลอดภัยทางที่ดีพวกเรารีบไปจากที่นี่เถอะ ในเมื่อสถานที่นี้มีคราบของมังกรที่ทิ้งไว้ ไม่แน่มันอาจกลับมาตรวจสอบดูก็ได้” หญิงร่างอรชรแนะนำด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“ดี! รอข้าเก็บคราบมังกรชิ้นนี้ก่อน แล้วพวกเราก็จะไปจากที่นี่ในทันที ถึงแม้จะหาตัวมังกรตนนั้นไม่เจอ แต่คราบมังกรขนาดใหญ่เช่นนี้ก็พอจะทดแทนโลหิตมังกรสมุทรที่ข้าสูญเสียไปได้ แต่ว่าคราบของมังกรตนนี้มีขนาดใหญ่ไปหน่อยต้องย่อส่วนมันก่อนถึงจะได้ ในเมื่อเป็นมังกรธาตุไฟคงจะต้องเจอกับไฟถึงจะเล็กลงได้” ชายหนุ่มลังเลเล็กน้อยแล้วก็ตัดสินใจออกมา


จากนั้นเขาก็ทำท่ามือร่ายคาถาด้วยมือเดียว ลูกเปลวไฟหลายลูกพุ่งไปปะทะกับคราบมังกรด้วยเสียงอันดัง


ฉากอันน่าตื่นตะลึงได้ปรากฏขึ้นแล้ว


พอคราบมังกรถูกทะเลเพลิงปกคลุมไว้มันก็หดตัวเล็ดลงท่ามกลางแสงสีแดงที่เปล่งประกายบนผิวของมัน


ผ่านไปไม่นาน มันก็ลดขนาดลงเหลือสามฉื่อ


“ขนาดเท่านี้น่าจะเพียงพอแล้ว” ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรกล่าวพึมพำ ดาบยาววาววับในมือเปล่งประกายแสงเย็นสะท้านออกมา มันปาดข้อมือของเขาจนกลายเป็นแผลเล็กๆ จากนั้นก็บีบเอาหอยสังข์ขนาดเท่าเมล็ดถั่วออกมาจากในนั้น


หอยสังข์นี้ดูเล็กงดงามและละเอียดอ่อนมาก ตัวของมันเปล่งแสงสีขาวออกมา


ชายหนุ่มเผ่าคว้าเอาหอยสังข์ไว้ ก่อนที่จะส่งพลังเวทย์ไปกระตุ้นในนั้นเล็กน้อย ผ่านไปชั่วพริบตามันก็ขยายขนาดจนใหญ่เท่าไข่ไก่ ขณะเดียวกันมันยังเปล่งอักขระสีเงินออกมาเป็นจำนวนมาก


“โชคดีตอนที่ออกจากเผ่ามา เจ้ากับข้าต่างได้รับหอยสังข์ย่อส่วนมา มิเช่นนั้นคงไม่สามารถรอดสายตามนุษย์เฒ่าทั้งหลายที่อยู่ด้านนอกได้” ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสนุทรยกหอยสังข์ขึ้นแล้วกล่าวออกมา


“หอยสังข์ย่อส่วนเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในทะเลลึก และไม่ใช่ของใช้ที่สร้างขึ้นมาในภายหลัง แม้แต่เผ่าเจ้าสมุทรอย่างพวกเราก็หาได้ยากยิ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะว่าครั้งนี้พวกเรามาทำภารกิจสำคัญ ผู้อาวุโสในเผ่าก็คงไม่ยอมผิดกฎเพื่อที่จะมอบมันให้กับพวกเรา มนุษย์ระดับผลึกเหล่านั้นก็นับว่ามีพลังอภินิหารไม่น้อย แต่ก็ไม่สามารถหาหอยสังข์เช่นนี้ได้ น่าเสียดายที่พื้นที่ของมันมีขนาดเล็กไปหน่อย ถ้าใส่คราบมังกรลงไปแล้วก็จะไม่มีพื้นที่ว่างแล้ว” หญิงร่างอรชรเองก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม


ขณะนั้นเองก็มีแสงสีขาวพุ่งออกมาจากหอยสังข์ เมื่อแสงนี้ปกคลุมคราบมังกรที่ถูกลดขนาดแล้ว ก็ทำให้คราบมังกรลางเลือนจนหายไปอย่างไร้ร่องรอย


“เอาล่ะ! ไปกันเถอะ!” ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรชั่งน้ำหนักของหอยสังข์ในมือแล้วก็กล่าวด้วยสีหน้าพอใจ


หญิงร่างอรชรยิ้มเล็กน้อย และขณะที่กำลังจะพูดตอบรับพี่ชายนั้น สีหน้าของนางก็พลันเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก นางรีบบิดตัวตะโกนออกไปในทันที


“ใครหลบซ่อนอยู่ตรงนั้น รีบออกมาเดี๋ยวนี้!” พูดจบนางก็ยกมือข้างหนึ่งพุ่งยิงเส้นสีขาวสิบกว่าเส้นออกไปพร้อมกัน มันคือวิชาศรวารีขั้นสมบูรณ์แบบนั้นเอง


เสียงดัง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” เส้นสีขาวทั้งหมดจมหายเข้าไปในทางเข้า แต่หลังจากนั้นก็เงียบกริบและไม่มีอะไรผิดปกติปรากฏออกมา


“น้องเล็ก! เกิดอะไรขึ้น!”


ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา เขายัดหอยสังข์ใส่เข้าไปในแขนเสื้ออย่างรวดเร็วแล้วก็รีบไปยืนอยู่ข้างน้องสาว และจ้องมองไปยังตรงทางเข้าพร้อมกับดาบที่ถือในมือ


“เมื่อครู่ข้าเหมือนจะรับรู้ได้ว่าทางนั้นมีคนอยู่ แต่พอหันกลับมาก็ไม่เจอแล้ว” หญิงร่างอรชรกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง


“มีเรื่องแบบนี้ด้วย…ไม่ดีแล้ว เขาอยู่ที่นี่!” ตอนแรกชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่พอสายตามองสังเกตไปยังรอบๆ ถ้ำแล้วก็เบิกตาโพลงขึ้นมา


หญิงร่างอรชรมองตามทิศทางที่ชายหนุ่มมองไปด้วยสีหน้าตกใจ นางเห็นเงาร่างสีดำยืนเงียบๆ อยู่มุมหนึ่งของถ้ำ


แต่เพราะว่าบรรยากาศค่อนข้างมืด ทั้งสองจึงมองไม่เห็นหน้าของคนผู้นั้นอย่างชัดเจน


“ท่านคือใคร เข้ามาตอนไหน ได้ยินเรื่องที่พวกสองคนพูดไปเมื่อครู่หรือไม่?” ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรเรียกสติคืนมาได้ก็จ้องมองเงาร่างพร่ามัว และถามพร้อมกับแผ่จิตสังหารออกไปด้วย


แต่เงาร่างสีดำยังคงยืนเงียบๆ อยู่ที่เดิมโดยไม่ยอมปริปากออกมาแม้แต่น้อย


หญิงสาวร่างอรชรเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน ทันนั้นใดนั้นนางก็สะบัดแขนเสื้อขึ้นมาในทันที มุกแวววาวหลายเม็ดลอยออกไป หลังจากที่มันหมุนติ้วๆ อยู่บริเวณนั้นแล้วก็เปล่งแสงสีขาวแสบตาออกมาพร้อมกัน


ชั่วเวลานั้น ถ้ำที่สลัวๆ ก็สว่างขึ้นมาราวกับเวลากลางวัน และใบหน้าของเงาร่างสีดำก็เผยต่อหน้าสองพี่น้องตระกูลหลาน


“คือเจ้า!”


พอมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเงาดำ ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรก็หลุดปากพูดออกมาด้วยสีหน้างงงัน


และเงาดำก็ค่อยๆ เงยหน้า เผยให้เห็นใบหน้าที่ซีดขาวผิดปกติของชายหนุ่ม และยังส่งยิ้มมาให้สองพี่น้องตระกูลหลานในทันที


……………………………………….


ตอนที่ 136 ปีศาจอสูรครึ่งมังกร

โดย

Ink Stone_Fantasy

“พี่ใหญ่ ท่านรู้จักเขา?” หญิงสาวร่างอรชรพลันถามออกไปหนึ่งประโยค


“คนผู้นี้เป็นหนึ่งในสิบของศิษย์นิกายปีศาจที่เข้ามาในแดนลึกลับนี้ เพราะบนตัวมีกลิ่นไอของปีศาจ ดังนั้นข้าจึงจำเขาได้”


เงาดำนี้ก็คือผู้ที่ไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าผู้อื่นตั้งแต่เข้ามาในแดนลึกลับ เขาผู้นั้นก็คือ ‘สือชวน’


แต่ไม่รู้ว่าสีหน้าเขาในตอนนี้ซีดกว่าแต่ก่อนตั้งแต่เมื่อไหร่ ขณะเดียวกันสายตาที่มองมาทางสองพี่น้องตระกูลหลานก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ดูแปลกประหลาด


“ที่แท้ก็เป็นศิษย์นิกายปีศาจ เขาเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร หรือว่าแอบตามพวกเรามา! ช่างเถอะ! ไม่ว่าเขาจะตามเรามา หรือเข้ามาโดยไม่ได้ตั้งใจก็ตาม พวกเราก็ไม่อาจให้เขาออกไปจากที่นี่ได้” หญิงสาวร่างอรชรจ้องมองสือชวนที่ยังคงไม่กล่าวอะไรออกมาสักคำ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าดุร้าย


“ถึงแม้น้องเล็กจะไม่พูด ข้าก็ไม่ยอมให้เขามีชีวิตต่อไปเช่นกัน” ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรหัวเราะกล่าวออกมา เขาตวัดดาบในมือก่อนที่จะมีแสงดาบยาวสามสี่จั้งม้วนตัวออกไปยังด้านหน้าของสือชวนอย่างรวดเร็ว และเกือบจะฟันเขาออกเป็นสองส่วน


เสียงดัง “เพล้ง!”


รอยยิ้มบนใบหน้าของสือชวนยังคงไม่เปลี่ยน แต่ขยับแขนใช้มือข้างหนึ่งคว้าแสงดาบไว้และขยี้จนแตกกระจาย


ฉากนี้ทำให้สีหน้าของสองพี่น้องตระกูลหลานเปลี่ยนไปทันที


ขณะนั้นเอง สือชวนก็ได้แบฝ่ามือไปยังทั้งสองด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย และยังกล่าวออกมาอย่างคลุมเครือ


“เอา…มา…”


“เอาอะไรมา?” ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรกล่าวด้วยสีหน้าที่หนักอึ้ง


“ที่เจ้า…เอาไป…เมื่อครู่…” สือชวนยังคงกล่าวอย่างคลุมเครือ


“เจ้าพูดถึงคราบมังกรชิ้นนั้น!” ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรจ้องมองด้วยแววตาดุร้าย


“ไม่ให้…ข้าจะกิน…พวกเจ้า!” น้ำเสียงของสือชวนไม่มีความปราณีเลยแม้แต่น้อย แต่รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ จางหายไป


“กินพวกข้า! เจ้าเห็นข้าสองพี่น้องเป็นอะไร คิดจริงๆ หรือว่าความสามารถที่แสดงออกมาเมื่อครู่นี้จะสามารถหลอกพวกข้าได้” ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรโมโหขึ้นมาเป็นอย่างมาก เมื่อเขาตบไปยังถุงหนังบนเอวก็มีเสียงน้ำดังขึ้นมา น้ำทะเลสีฟ้าจำนวนหนึ่งพุ่งออกมาจากในนั้น ครู่เดียวมันก็ม้วนตัวเป็นเกลียวคลื่นโอบล้อมเขาไว้


ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรปรากฏตัวขึ้นจากน้ำทะเลในทันที เขาทำท่ามือด้วยมือเดียวแล้วอักขระสีน้ำเงินแต่ละตัวก็ปรากฏออกมาเต็มร่างเขา ขณะเดียวกันเท้าทั้งสองก็พร่ามัวกลายเป็นหางปลาสีเขียวอ่อนที่มีขนาดใหญ่


“พี่ใหญ่ระวังหน่อย คนผู้นี้ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างผิดปกติ!” หญิงสาวร่างอรชรก็ตบถุงหนังเรียกน้ำทะเลออกมาจำนวนมากเช่นกัน ก่อนที่จะคืนร่างที่แท้จริงของเผ่าเจ้าสมุทร และขมวดคิ้วกล่าว


“วางใจเถอะ! ก็แค่มนุษย์ที่เป็นศิษย์จิตวิญญาณคนหนึ่งเท่านั้น ต่อให้จะมีฝีมืออยู่บ้าง แต่เมื่อข้าคืนร่างเดิมแล้วก็สามารถฆ่าเขาได้ง่ายราวกับยกฝ่าเท้า!” ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรกล่าวด้วยสีหน้าที่โหดเหี้ยม จากนั้นก็ปักดาบยาววาววับไว้บนน้ำทะเลด้านหน้า และค่อยๆ กางแขนทั้งสองโอบไปที่สือชวน


หลังจากมีเสียงดัง “หวึ่ง!” บริเวณที่สือชวนอยู่ พลังอันน่ากลัวก็พุ่งออกมามหาศาล ขณะเดียวกันก็มีแรงบีบพุ่งเข้าไปที่เอว และมันกะจะบีบให้เขาเละเป็นน้ำ


แต่เมื่อเผชิญกับพลังบีบแน่นเช่นนี้ สีหน้าของสือชวนก็ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เพียงแค่มีเสียงดัง “ฟู่!” ออกมา เปลวไฟอันคุโชนก็ปรากฏขึ้น ขณะเดียวกันเส้นผมสีดำก็กลายเป็นสีแดงทั้งหัวภายในพริบตาเดียว และมันตั้งชันขึ้นมาราวกับเปลวเพลิง กลิ่นไอบนตัวเขาก็แลดูแปลกประหลาดมากขึ้น


ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เขารวบรวมพลังเวทย์ภายในร่างกายแล้วเริ่มร่ายคาถาออกมา


ตรงอากาศบริเวณรอบๆ สือชวนก็ดังขึ้นมาหวึ่งๆ ขึ้นมา บางแห่งก็เริ่มบิดเบี้ยวและพร่ามัว


แต่สือชวนที่อยู่ท่ามกลางเปลวไฟทำราวกับมองไม่เห็นสิ่งนี้ แต่ดวงตาของเขาเริ่มเรียวรี และมีประกายแสงสีแดงออกมาจางๆ


“ไม่เอา…ออกมา งั้นข้าก็จะ…กินให้หมด!” สือชวนพูดพึมพำสองประโยค ฉับพลันไฟบนตัวก็คุโชนขึ้นมา ร่างของเขาลางเลือนหายไปจากพลังบีบแน่นมหาศาล


ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรรู้สึกแค่ว่าเปลวไฟม้วนตัวในฉับพลัน จากนั้นก็รู้สึกร้อนตรงหน้าอก แขนแหลมคมที่เต็มไปด้วยเกล็ดเจาะทะลุเข้าไปตรงหน้าอก ม่านแสงสีน้ำเงินที่ปกคลุมร่างเขาอยู่ไม่สามารถต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย


“อ๊ากกก!”


ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรร้องออกมาอย่างเวทนา เขารู้สึกได้ทันทีว่าพลังเวทย์หายไปหมดทั้งตัว และสือชวนที่โผล่ออกมาตรงหน้าภายในพริบตาก็กลายเป็นอสูรครึ่งคนครึ่งมังกรแลดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก


ใบหน้าของเขายังดูเป็นมนุษย์ปกติ แต่กลับมีเขามังกรยาวหลายชุ่นคู่หนึ่งปรากฏอยู่ท่ามกลางเส้นผมสีแดง ขณะเดียวกันร่างกายกว่าครึ่งหนึ่งล้วนเต็มไปด้วยเกล็ดสีแดง มือทั้งสองก็กลายเป็นกรงเล็บมังกรอันแหลมคม


“ไม่ เจ้า…เจ้าคือมังกรแดงตนนั้น ทำไมเจ้าถึงเปลี่ยนเป็นแบบนี้ได้…” หญิงร่างอรชรที่เดิมทีคิดที่จะไปช่วยพี่ชายด้วยความตกใจ แต่หลังจากดูลักษณะของสือชวนอย่างละเอียดแล้ว ก็ต้องหลุดปากออกมาด้วยความตกใจ และถอยหลังออกไปสองก้าว จากนั้นก็กัดฟันหมุนตัวกลายร่างเป็นกลุ่มแสงสีขาวพุ่งหนีออกไปตรงทางเข้า


ประจักษ์ชัดว่าพี่ชายของนางได้รับบาดเจ็บจนไม่มีโอกาสรอดแล้ว และนางแค่คนเดียวไม่อาจรับมือกับปีศาจอสูรครึ่งมนุษย์ครึ่งมังกรได้


สือชวนที่กลายเป็นปีศาจอสูรมังกรนั้น ใบหน้าของเขาไร้ความรู้สึกใดๆ กรงเล็บที่ปักเข้าไปในเนื้อเพียงแค่กระตุกทีเดียว ก็มีเสียงดัง “พรึ่บ!” คลื่นเปลวเพลิงพุ่งออกมาจากบนนั้น พริบตาเดียวร่างไร้พลังของชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรก็จมหายเข้าไปในนั้นก่อนที่จะกลายเป็นศพที่ไหม้เกรียม จากนั้นร่างของสือชวนก็เคลื่อนไหวแล้วหายไปท่ามกลางกลางแสงสีแดงจางๆ


หญิงสาวร่างอรชรเคลื่อนไหวไม่กี่ที่ก็มองเห็นปากทางเข้าและกำลังจะพุ่งไปยังทางเดินนั้น แต่พลันมีเสียงระเบิดดังขึ้น ก่อนที่เงาร่างจางๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้า ‘สือชวน’ ปรากฏตัวออกมาราวกับปีศาจ และยืนขวางปากทางไว้


สีหน้าของหญิงสาวซีดขาวจนยากจะหาที่เปรียบได้ แต่หลังจากที่หยุดนิ่งไปพักหนึ่ง นางก็ตีลังกาลอยถอยไปสิบกว่าจั้งภายในพริบตาเดียว จากนั้นก็มีเสียงขยี้ยันต์จนแตกดังออกมาติดต่อกัน ม่านแสงหลากสีหลายชั้นปรากฏออกมา และน้ำทะเลที่ตามอยู่ด้านหลังก็หมุนวนล้อมตัวนางไว้


“ของที่เจ้าอยากได้อยู่บนตัวพี่ชายข้า ผู้อาวุโสเองก็เห็นแล้วว่าพวกเราสองคนพี่น้องไม่ใช่มนุษย์ ท่านจะปล่อยข้าไปได้หรือไม่!” หญิงสาวร่างอรชรจ้องมองสือชวน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ


“ผู้ที่เข้ามา…ที่นี่…ตาย” แสงเย็นสะท้านเปล่งประกายขึ้นในดวงตารียาวของสือชวน เขากล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก


หญิงสาวได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกว่าความโชคดีไม่มีอีกต่อไปแล้ว นางกัดฟันโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หลังจากที่แผดเสียงออกมา ก็มียันต์สีฟ้าอ่อนดีดตัวออกมาจากแขนเสื้อ จากนั้นมือทั้งสองก็ทำท่ามืออยู่ไม่หยุด


เสียงดัง “เพล้ง!” “เพล้ง!”


พอยันต์ทั้งสองผืนลอยออกไปก็กลายเป็นกลุ่มแสงสีฟ้าระเบิดออกมา อสรพิษวารีสีฟ้าอ่อนสองตัวกระโจนออกมาจากในนั้น มันโจมตีเข้าใส่สือชวนอย่างโหดเหี้ยม


ขณะเดียวกันก็มีเสียงดังสนั่นดังขึ้นจากน้ำทะเลตรงหน้าหญิงสาว เส้นสีขาวจำนวนมากพุ่งออกไปข้างหน้า


เผชิญหน้ากับการโจมตีอันโหดเหี้ยมเช่นนี้ หน้าของสือชวนก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย เขาแค่ค่อยๆ อ้าปากกว้างก็มีเสียงคำรามที่ดูไม่เหมือนเสียงคนดังออกมา เปลวไฟบนตัวเขาก็พวยพุ่งขึ้นมาด้วย จากนั้นก็กลายเป็นหัวมังกรแดงที่มีขนาดเท่าบ้านหลังหนึ่ง และมันก็อ้าปากอัปลักษณ์งับอสรพิษวารีทั้งสองตัวและกลืนกินลงไป


ส่วนเส้นสีขาวที่โจมตีตามมาทีหลัง ก็ถูกหัวมังกรเป่าพายุสีแดงอันบ้าระห่ำออกมาทำลายจนแตกละเอียด


หญิงร่างอรชรเห็นเช่นนี้ ใจของนางก็หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที


และสือชวนกลับแสยะยิ้มออกมา และก้าวยาวๆ ไปหาหญิงสาวในทันที


……


ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป ศพไหม้เกรียมสองศพที่ถูกกัดแทะไปบางส่วนก็นอนนิ่งอยู่ในถ้ำอย่างเงียบๆ ไม่เพียงแต่สิ่งของบนตัวทั้งหมดจะถูกค้นเอาไปจนหมดสิ้นเท่านั้น สือฉวนที่กลายเป็นปีศาจอสูรครึ่งมังกรก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย


ศิษย์สองคนที่ถูกเผ่าเจ้าสมุทรพยายามหาวิธีการส่งมายังดักซุ่มอยู่ในนิกายของมนุษย์ กลับเสียชีวิตอยู่ในถ้ำที่ไร้นามแห่งนี้


จุดจบเช่นนี้ คาดว่าคงเป็นเรื่องที่สองพี่น้องคู่นี้คาดไม่ถึงมาก่อน


……


ตรงถ้ำใต้ดินที่เหลยเจิ้นเสียชีวิตในตอนนั้น สิ่งที่ดูคล้ายหัวใจที่มีอักขระสีเงินจำนวนมากปกคลุมไปทั่ว ตอนนี้มันมีขนาดประมาณอ่างล้างหน้าแล้ว ในขณะที่มันยืดหดตัวก็พ่นไหมสีเงินออกมามากกว่าเดิมหลายเท่า ตอนนี้มันแน่ขนัดเต็มทุกพื้นที่ของถ้ำแล้ว


ถ้าหากมีคนติดตามไหมสีเงินเหล่านี้ที่ซอนไชลึกลงไปใต้พื้นดิน จะพบว่าทุกระยะห่างของไหมแต่ละเส้นจะแตกออกมาเป็นสองสามเส้น และยังยืดขยายออกไปทั่วทุกทิศทาง


……


ในถ้ำแคบยาวอีกแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงกลางเขายักษ์ ศิษย์หอสายธารโลหิตหน้าตาอัปลักษณ์ผู้หนึ่งกำลังเก็บบุปผาจิตวิญญาณแปลกประหลาดสีสันสวยงามที่ขึ้นเต็มอยู่ทั้งสองข้างผนังถ้ำด้วยความตื่นเต้น


แต่เมื่อเขาจับบุปผาจิตวิญญาณต้นหนึ่งไว้ และคิดจะที่ดึงมันขึ้นมาพร้อมกับรากนั้น กลับไม่สามารถดึงขึ้นมาได้


ศิษย์หอสายธารโลหิตผู้นี้อุทานออกมาด้วยความแปลกใจ จากนั้นก็ต้องออกแรงดึงให้มากขึ้นถึงสามารถดึงมันออกมาพร้อมกับรากได้ แต่หลังจากที่จ้องดูอย่างละเอียดเขาก็รู้สึกอึ้งในทันที


รากของบุปผาจิตวิญญาณต้นนี้มีไหมละเอียดสีเงินจางๆ พันอยู่อย่างแน่นหนา และปลายของมันอีกฝั่งยังคงเชื่อมอยู่กับผนังถ้ำ


“หรือว่าข้าจะค้นพบวัตถุจิตวิญญาณอีกอย่างหนึ่ง!” ตอนแรกศิษย์หอสายธารโลหิตก็รู้สึกอึ้ง แต่ต่อมาก็คิดด้วยความดีใจ


ขณะที่เขากำลังคิดที่จะตรวจสอบไหมสีขาวนั้น พลันมีเสียงดัง “ซิ้ว!” “ซิ้ว!” ดังมาจากผนังถ้ำ ไหมเงินสิบกว่าเส้นพุ่งยิงออกมาโดยไม่บอกล่วงหน้า


ภายใต้ระยะกระชั้นชิดนี้ ศิษย์หอสายธารโลหิตไม่สามารถทำการป้องกันใดๆ ได้ ไหมเงินเจาะเข้าไปในร่างของเขา จนเขาต้องร้องออกมาอย่างน่าเวทนา อึดใจเดียวเลือดเนื้อทั้งตัวก็ถูกไหมเงินนี้ดูดไปจนหมดสิ้น ทำให้เขากลายเป็นซากศพๆ แห้งที่ปราศจากชีวิต


หลังจากที่ไหมเงินเคลื่อนไหวเล็กน้อยมันก็หายเข้าไปในผนังถ้ำโดยไร้สุ้มเสียง


ถ้ำใต้ดินอีกแห่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล อสรพิษยักษ์สีเหลืองหลายตัวที่มีขนาดยาวสี่ห้าจั้งก็กลายเป็นซากศพแห้งเหี่ยวนอนตายอยู่ในรังของตนเอง โดยไม่มีการขยับเขยื้อนใดๆ


สถานการณ์เช่นเดียวกันนี้เกิดขึ้นทั่วทุกพื้นบริเวณกลางเขา


……………………………………….


ตอนที่ 137 การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

โดย

Ink Stone_Fantasy

บนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงชันและอันตราย หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์เสียบกระบี่ยาวหิมะขาวลงไปในฝัก และหยิบโอสถจิตวิญญาณมาทานลงไป จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิกำหนดลมหายใจเพื่อเข้าฌาน


บนพื้นที่ห่างจากหินก้อนใหญ่ไปไม่ไกล กลับมีศพวิหคยักษ์สีดำยาวสามจั้งถูกฟันเป็นสองส่วนวางอยู่ที่นั่น ขนเหล็กสีดำของมันหายไปบางส่วน ร่างของมันเต็มไปด้วยบาดแผล และยังมีเลือดไหลทะลักออกมาอยู่ไม่หยุด


หลังจากไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด สีหน้าหญิงสาวถึงได้ฟื้นฟูขึ้นมาเล็กน้อย ทันใดนั้นก็มีเสียงดังลั่นมาจากด้านล่างของยอดเขา หมอกโลหิตพวยพุ่งลอยขึ้นมา


เสียงดัง “เพล้ง!”


เซวี่ยชื่อโผล่ออกมาจากหมอกโลหิตด้วยท่าทีกระเซอะกระเซิง เขาเดินโซเซจนเกือบจะล้มลงไปบนพื้นตรงบริเวณหินก้อนใหญ่


หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์ลืมตาสวยงามทั้งคู่ขึ้น แต่พอกวาดสายตามองดูชายชุดคลุมสีเลือดแล้วก็ถามออกไปอย่างราบเรียบ


“ดูจากสภาพของเจ้า คงจะจัดการเหยี่ยวขนเหล็กอีกตนได้แล้วใช่ไหม”


“ใช่ ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว มิเช่นนั้นข้าคงไม่อาจรอดกลับมาได้” เซวี่ยชื่อตั้งหลักยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว ก็จ้องมองหญิงสาวก่อนที่จะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ดุเดือด


ฟังจากน้ำเสียงของเขาแล้วดูเหมือนว่าหญิงสาวผู้นี้จะสร้างความลำบากให้เขาเป็นอย่างมาก


“ฮึ! ถ้าไม่ใช่ว่าข้าโจมตีเหยี่ยวขนเหล็กตนนั้นจนบาดเจ็บสาหัส แล้วค่อยให้เจ้าล่อมันออกไป เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าจะรับมือวิหคจิตวิญญาณที่มีพลังเทียบเท่ากับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่สมบูรณ์แบบได้!” หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์ทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวออกมา


“ถึงแม้เจ้าจะใช้ข้าเป็นเหยื่อล่อก็ควรจะบอกข้าก่อนไหม” เซวี่ยยังคงถามด้วยความโมโห


“ถามหน่อย? ถ้าข้าบอกแผนเจ้าก่อนจริงๆ เจ้าจะยอมไปล่อวิหคปีศาจตนนั้นแต่โดยดีหรือ? พอถึงตอนนั้นสิ่งที่เป็นได้มากที่สุดก็คือเจ้านั่งมองข้าต่อสู้กับเหยี่ยวขนเหล็กสองตัวด้วยความตื่นเต้นดีใจ” หญิงสาวตอบกลับอย่างไม่เกรงใจ


“ทั้งหมดนี่เป็นแค่สิ่งที่เจ้าคาดเดาขึ้นมาเท่านั้น เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าจะทำเรื่องแบบนี้!” เซวี่ยชื่อได้ยินก็โมโหขึ้นกว่าเดิม


“ต่อให้จะเป็นแค่การคาดเดาของข้าแล้วจะทำไม หรือว่าตอนนี้เจ้าจะแตกคอกับข้า!” หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์หรี่ตาทั้งสอง แล้วกล่าวด้วยสายตาที่เปล่งประกายแสงเย็นสะท้าน


ชายชุดคลุมสีเลือดได้ยินเช่นนี้ก็หน้าเขียวปัดขึ้นมาทันที เขาจ้องมองหญิงสาวอยู่ครู่หนึ่งแล้วถึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนกล่าวออกไป


“ได้…รื่องนี้ให้จบลงแค่นี้ พวกเราแบ่งไข่เหยี่ยวขนเหล็กกันค่อยเถอะ!”


“ควรจะเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้ว ไปกันเถอะ!” หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์หัวเราะอย่างเยือกเย็น จากนั้นนางก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว แล้วเหาะไปยังต้นไม้ใหญ่สูงสี่สิบกว่าจั้งที่อยู่ไม่ไกลออกไป


บนต้นไม้ใหญ่นั้นมีรังนกขนาดใหญ่สองรังที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวหลายจั้งตั้งอยู่ติดๆ กัน มันถูกสร้างขึ้นมาจากกิ่งไม้แห้ง


เซวี่ยชื่อเห็นเช่นนี้ก็รีบกระตุ้นหมอกโลหิตออกมาปกคลุมร่างแล้วตามออกไป


รังนกรังหนึ่งมีไข่สีเทาขนาดเท่าลูกแตงโมวางอยู่สองใบ อีกรังหนึ่งมีแค่ใบเดียวเท่านั้น


“ไม่คาดคิดว่าจะมีสามใบจริงๆ! อย่างนี้ก็ดีจะได้ไม่เป็นปากเป็นเสียงกัน” หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์เห็นเช่นนี้ก็กล่าวพึมพำอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบผ้าย่อส่วนออกมาโดยไม่พูดอะไรมาก นางเก็บไข่ไว้ในห่อผ้านั้นแล้วก็ลอยจากไปโดยไม่สนใจใยดีเซวี่ยชื่อเลย


เซวี่ยชื่อจ้องมองแผ่นหลังของหญิงสาวที่จากไปโดยไม่คิดที่จะเอ่ยปากห้ามปรามเลยแม้แต่น้อย จนเมื่อหญิงสาวลอยลับไปจากยอดเขาแล้ว เขาถึงคำรามเสียงออกมาด้วยความอาฆาตแค้น จากนั้นก็หยิบเอาไข่ที่เหลือใบนั้นไป


ผ่านไปสักครู่ หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์ที่กำลังขี่เมฆเทาลอยลงไปด้านล่างพลันกล่าวขึ้นมาอย่างราบเรียบ


“เจ้าแน่ใจนะ คนผู้นี้อันตรายเป็นอย่างมาก ถ้าข้าไว้ชีวิตเขา ข้าคงจะต้องจ่ายค่าตอบแทนป็นจำนวนมาก?”


“ความแข็งแกร่งของหอสายธารโลหิตเป็นรองแค่นิกายจันทราสวรรค์เท่านั้น เซวี่ยชื่อเป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่ของหอสายธารโลหิตในรุ่นนี้ ทำไมถึงแสดงความสามารถออกมาแค่นี้ล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งของเจ้ามีอานุภาพที่น่าตกใจล่ะก็ เกรงว่าเขาคงจะคิดหาทางจัดการกับเจ้าแล้ว”


เสียงเพิ่งจะสิ้นสุด ถุงหนังใบหนึ่งที่อยู่บนเอวของหญิงสาวก็เคลื่อนไหว แสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากในนั้น หลังจากมันหมุนติ้วๆ รวมตัวกันแล้ว ก็กลายเป็นนกแก้วหลากสีสันตัวหนึ่ง หลังจากที่มันเกาะลงบนไหล่ของนางแล้ว ก็วางมาดอาวุโสพูดภาษามนุษย์ออกมา


“แต่ครั้งนี้เจ้าได้ไข่เหยี่ยวขนเหล็กสองใบก็นับว่าได้รับผลประโยชน์มามากแล้ว ภายใต้ความช่วยเหลือของข้า สามารถฟักมันออกมาและเลี้ยงเป็นวิหคจิตวิญญาณได้ไม่ช้าก็เร็ว พอถึงเวลานั้นเจ้ามีพวกมันคอยช่วยเหลือ ประกอบกับวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งของเจ้า เชื่อว่าในแผ่นดินอวิ๋นชวนนี้ ต่อไปคงจะหาคู่ต่อสู้รุ่นเดียวกันได้ยาก เลี้ยงเหยี่ยวขนเหล็กพร้อมกันสองตนก็นับว่าเป็นเรื่องที่ถึงขีดจำกัดแล้ว ต่อให้เอามาเพิ่มอีกใบก็ไม่ได้มีประโยชน์อันใด ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ใยต้องเสี่ยงอันตรายด้วยเล่า”


“ดี ถ้าอย่างนั้นเรื่องไข่จิตวิญญาณข้ามอบให้เจ้าจัดการ คิดว่าเจ้าคงไม่ทำให้ข้าผิดหวัง” ศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ได้ยินก็พยักหน้า แล้วก็กระตุ้นเมฆเทาให้เหาะลงไปยังหน้าผาสูงชะโงกเงื้อมแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล


ที่นั่นมีต้นไม้สีเขียวแก่แลดูแปลกประหลาดอยู่ต้นหนึ่ง บนนั้นมีผลไม้อมน้ำสีแดงม่วงที่ดูคล้ายกับกับองุ่น


เมื่อหญิงสาวเหาะมาถึงด้านหน้าของมัน นางก็ใช้มือที่สวยราวกับหยกเด็ดผลไม้อมน้ำออกมาพวงหนึ่ง


แต่ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงดัง “ซิ้วๆ!” ไหมสีเงินจำนวนมากพุ่งออกมาจากผนังโดยไม่ได้บอกล้วงหน้า


สร้างความตื่นตระหนกตกใจให้กับหญิงสาวเป็นอย่างมาก แต่กระบี่ยาวหิมะขาวบนหลังก็พุ่งออกมา คมกระบี่ถูกดึงออกมาหลายชุ่น ขณะเดียวกันแสงสีขาวเย็นสะท้านก็ม้วนตัวออกมาด้วย


เสียงดัง “เพล้ง!”


แสงเย็นสะท้านปะทะเข้ากับไหมเงิน จนทำให้หญิงสาวต้องถอยออกไปหลายจั้ง นางตะโกนเรียกกระบี่หิมะขาวออกมาถือไว้ในมือด้วยความโมโห


และในขณะเดียวกัน ก็มีเสียงดังสนั่นดังมาจากผนังหิน ไหมเงินพุ่งยิงออกมามากกว่าเดิม


หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์ตวัดกระบี่ยาวในมือ ภายใต้แสงเย็นสะท้านอันน่าครั้นคร้าม มันกลายเป็นม่านกระบี่สี่ห้าชั้นปกป้องอยู่ด้านหน้าของนาง


เสียงดังออกมาติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง ม่านกระบี่แต่ละชั้นถูกไหมเงินเจาะทะลุเข้ามาได้ ทำให้นางสั่นกระเทือนจนต้องล่าถอยออกไป


พริบตาเดียวนางก็ถอยออกไปได้หลายก้าว และม่านกระบี่สี่ห้าชั้นก็ถูกทำลายจนหมดสิ้น


หญิงสาวเห็นสถานการณ์เช่นนี้ นางก็เลิกคิ้วทั้งสองขึ้นแล้วนำกระบี่มาตั้งขวางไว้ตรงหน้า หลังจากที่สูดลมหายใจลึกๆ เข้าไปก็คิดที่จะแสดงวิชากระบี่ที่แท้จริงเพื่อรับมือกับไหมเงินเหล่านี้


แต่ในขณะนั้นเองก็มีเสียงดัง “เพล้ง!” ออกมามาจากผนังหิน และหินทั้งหมดก็แตกกระจายออกมา จากนั้นไหมเงินจำนวนนับพันเส้นพุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง มันกลายเป็นหนามสีเงินจำนวนมากพุ่งยิงไปหาหญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์


ท้องฟ้าเต็มไปด้วยหนามสีเงินไปชั่วขณะหนึ่ง มันดูราวกับว่าเป็นพายุฝนสีเงิน


“แย่แล้ว รีบหนี! ของสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสามารถรับมือกับมันได้!” พอนกแก้วสีสันสวยงามเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็กระพือปีกตะโกนขึ้นมา


“ข้ารู้แล้ว!” หญิงสาวตอบรับด้วยใบหน้าซีดขาว และกลิ่นไอบนตัวนางก็พุ่งขึ้นในทันที จากนั้นก็กลายเป็นแสงกระบี่พุ่งถอยออกไป เพียงแค่เคลื่อนไหวไม่กี่ที่ก็หนีออกไปได้ไกลร้อยกว่าจั้ง


และไหมเงินเหล่านั้นตามติดออกมาได้สี่ห้าสิบจั้งก็ม้วนตัวกลับไปอย่างไร้เรี่ยวแรง


ขณะนี้หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์ถึงได้แหงนหน้ามองขึ้นไปบนยอดเขาด้วยสีหน้าหวาดกลัว


แต่ครู่ต่อมา พลันก็มีเสียงร้องของอสูรต่างๆ ดังขึ้นเป็นระลอกๆ!


สถานที่ที่หญิงสาวมองออกไป มีปีศาจอสูรน้อยใหญ่ก็วิ่งออกมาจากถ้ำเร้นลับต่างๆ อย่างบ้าคลั่ง ในนั้นมีอสรพิษยักษ์ที่มีขนาดยาวหลายจั้ง และก็มีปีศาจหนูที่มีขนาดใหญ่ไม่เกินกำปั้น


และชั่วพริบตาที่ปีศาจอสูรเหล่านี้กรูกันออกมานั้น พวกมันกว่าครึ่งหนึ่งก็ถูกไหมเงินจำนวนมากเจาะทะลุร่างแล้ว บ้างก็ถูกดึงกลับไปในถ้ำ บางก็กระตุกไม่กี่ครั้งแล้วก็กลายเป็นซากศพแห้งๆ


ปีศาจอสูรที่เหลือวิ่งกรูกันลงไปตีนเขาอย่างบ้าคลั่ง แต่วิ่งออกไปได้ไม่ไกลไหมเงินก็พุ่งเจาะทะลุร่างจนเสียชีวิต


มีเพียงแค่ปีศาจอสูรที่บินได้ไม่กี่ตัวเท่านั้น ที่อาศัยจังหวะช่วงชุลมุนบินออกไปจากยอดเขา และส่งเสียงแปลกประหลาดออกมาในขณะที่บินออกไปไกลๆ


ถึงแม้หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์จะเป็นผู้ที่สงบเยือกเย็นมาโดยตลอด แต่เมื่อได้เจอกับสถานการณ์อันน่าหวาดกลัวนี้ ก็อดที่จะอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้


ขณะที่เขาหันหน้าไปตรงไหล่เพื่อที่จะถามนกแก้ว ทันใดนั้นก็เหมือนกับว่าเขาทั้งลูกก็ค่อยๆ สั่นสะเทือน ตามด้วยเสียงที่ดังสะเทือนเลือนลั่น ยอดเขาทั้งลูกก็เริ่มพังทลายลงมา ก้อนหินกลิ้งลงไปด้านล่างเป็นจำนวนมาก และความวุ่นวายที่เต็มไปด้วยเสียงอันดังสะเทือนเลือนลั่นนี้ ไหมเงินพุ่งออกมาจากทั่วทุกพื้นที่ของยอดเขาเป็นจำนวนมากขึ้นกว่าเดิม และมันก็โบกสะบัดอยู่ไม่หยุด


ครั้งนี้ หญิงสาวก็ไม่คิดที่จะถามอะไรนกแก้วบนไหล่อีกต่อไป นางหมุนตัวกลับอย่างไม่ลังเลแล้วรีบเหาะออกไปจากยอดเขา


บนยอดเขาอื่นๆ ก็มีเหตุการณ์เช่นนี้ค่อยๆ เกิดขึ้น ปีศาจอสูรบินได้และบินไม่ได้ต่างก็กรูกันออกมาจากยอดเขาแต่ละลูก พวกมันวิ่งหนีเอาชีวิตอย่างบ้าคลั่ง


เขาตั้งตระหง่านนี้เป็นเขาขนาดใหญ่ที่เป็นใจกลางของแดนลึกลับ ตอนนี้มันดูมันราวกับว่ามีชีวิตขึ้นมา


……


หลิ่วหมิงถูกม่านแสงสีเขียวปกคลุมไว้ เขาใช้วิชาทะยานเวหาที่รวดเร็วกว่าปกติหลายเท่า เพื่อคิดที่จะหลบหนีไปทางอากาศอย่างรวดเร็ว


และรอบตัวเขาที่อยู่ไม่ไกล มีวิหคปีศาจหน้าดุร้ายที่ไม่ทราบชื่อสิบกว่าตน พวกมันต่างก็หนีเอาชีวิตรอดกันด้วยกลิ่นคาวอันคละคลุ้ง


ในสถานการณ์ปกติ ถ้าหากวิหคปีศาจเหล่านี้อยู่ใกล้อาหารเช่นนี้ก็ย่อมกระโจนเข้าใส่อย่างไม่ลังเล แต่ตอนนี้แม้แต่หัวก็ไม่หันมามองเลย เอาแต่กระพือปีกอย่างบ้าคลั่ง


อึดใจเดียวหลิ่วหมิงก็เหาะออกมาได้ไกลสิบกว่าลี้ ตอนนี้เขาถึงได้หยุดแสงหลบหลีกด้วยความรู้สึกที่ผ่อนคลายขึ้นมา จากนั้นก็หันหน้ามองไปยังเขาขนาดใหญ่ตรงด้านหลัง


ก่อนหน้านั้นไม่นาน เขาเพิ่งจะค้นพบแร่ล้ำค่าก้อนหนึ่งและขณะที่กำลังคุมเชิงกันอยู่กับปีศาจอสูรตัวนิ่มนั้น ก็มีไหมสีเงินโจมตีออกมาทั่วทุกทิศทาง


พริบตาเดียวปีศาจอสูรตัวนิ่มตนนั้นก็ถูกไหมเงินเจาะทะลุตัวจนหน้าซีดขาว และถูกดูดเลือดเนื้อจนกลายเป็นศพแห้งๆ


และโชคดีที่เขากระตุ้นวิชาเถาวัลย์โลหิตไว้ตั้งแต่แรกแล้ว และยังได้กระตุ้นเกราะอาญาสิทธิ์ออกมา เขาสามารถต้านทานไหมเงินเหล่านี้ได้ทัน ในช่วงเวลาที่ยอดเขาพังทลายลงนั้น เขาใช้ยันต์เทพเคลื่อนไหวหนีออกมาจากยอดเขาได้


……………………………………….


ตอนที่ 138 มือปีศาจค้ำฟ้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตอนนี้เขาหันหน้ามองไปยังที่ไกลๆ ด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมเป็นอย่างมาก


เพราะว่าเขาใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปยังคงพังทลายส่งเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นอยู่ไม่หยุด ก้อนดิน ก้อนหินแต่ละชั้นกลิ้งลงมาจากยอดเขา


พริบตาเดียว ยอดเขาทั้งลูกก็มีขนาดเตี้ยกว่าก่อนหน้านั้นมาก ไม่รู้ว่าต้นไม้จิตวิญญาณ พืชจิตวิญญาณ จมดินไปมากน้อยแค่ไหน ความเสียหายจำนวนมากนี้ทำให้หลิ่วหมิงที่รู้สึกเสียดายอย่างอดไม่ได้


เสียงดัง “ฟู่!”


ในระยะไม่ไกลมากนัก มีแสงสว่างแพรวพราวพุ่งเข้ามา หลังจากที่มันพร่ามัวก็กลายเป็นหญิงสาวที่สวมชุดนิกายจันทราสวรรค์


นางสะพายกระบี่ยาวหิมะขาวเล่มหนึ่งมาหยุดอยู่ในอากาศที่ห่างจากหลิ่วหมิงไปไม่ไกล นางกวาดตาดูหลิ่วหมิงทีหนึ่งด้วยสีหน้าเมยเฉย จากนั้นก็หันไปจ้องมองเขาใหญ่ที่อยู่ไกลออกไป


พอหลิ่วหมิงเห็นหญิงนางนี้ก็อดที่จะหรี่ตาลงไม่ได้


หญิงนางนี้ทำให้เขารู้สึกถึงอันตรายโดยไม่ทราบสาเหตุและรู้สึกว่าควรจะอยู่ห่างๆ นางจะดีกว่า


หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว และอดที่จะคาดเดาสถานะของนางไม่ได้


นิกายจันทราสวรรค์ได้ชื่อว่าเป็นนิกายอันดับหนึ่งในแคว้นต้าเสวียน ศิษย์ในนิกายรุ่นนี้มีคนไหนที่โดดเด่นบ้าง ในระหว่างทางที่มาเกาะสยบมังกรประมุขนิกายปีศาจย่อมเล่าให้พวกเขาฟังคร่าวๆ แล้ว


แต่กลับไม่มีบุคคลใดที่มีลักษณะตรงกับหญิงนางนี้ นอกเสียจากว่านางก็เป็นศิษย์ธรรมดาเหมือนกับเขา ซึ่งเป็นศิษย์ที่นิกายจันทราสวรรค์เพิ่งรับมาเมื่อไม่กี่ปีมานี้


แต่ดูจากอายุของนางแล้ว ดูเหมือนจะไม่ใช่!


หลิ่วหมิงกะดูอายุของนางด้วยความสงสัย


เขาย่อมไม่รู้ว่าตอนที่นางยังเด็ก พรสวรรค์ร่างสื่อสารจิตวิญญาณกระบี่ของนางถูกผู้อาวุโสในนิกายจันทราสวรรค์พบเข้า และรับนางเข้านิกายอย่างไม่ลังเล โดยฝึกฝนให้อย่างไม่เสียดายทรัพยากร แต่เรื่องนี้ถูกนิกายจันทราสวรรค์ปิดบังมาโดยตลอด จนหลายปีมานี้ไม่สามารถปิดบังได้อีกต่อไปแล้ว ถึงยอมแพร่งพรายข่าวคราวออกมาบ้าง


มิเช่นนั้นต่อให้พรสวรรค์นางจะสูงส่ง ก็ไม่อาจมีพลังในการฝึกฝนกระบี่ร่างเป็นหนึ่งได้สำเร็จตั้งแต่ยังเป็นศิษย์จิตวิญญาณ


แต่ขณะนั้นเอง เสียงดังสะเทือนเลือนลั่นของยอดเขาที่พังทลายก็หยุดลงในที่สุด เผยให้เห็นถึงโฉมหน้าแท้จริงของสิ่งที่ซ่อนอยู่ในนั้น มันคือมือสีดำเขียวที่ชูขึ้นฟ้า และไหมเงินที่โบกสะบัดอยู่ไม่หยุดก็ดูเหมือนกับว่าจะเป็นแค่ขนบนมือมันเท่านั้น


มองเห็นสถานการณ์อันน่าตื่นตะลึงนี้ ไม่เพียงแต่หลิ่วหมิงที่รู้สึกเย็นยะเยือกเท่านั้น แม้แต่หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์ก็ต้องมองจนตาค้าง


เสียง “ตึกๆ!” ดังมาจากฝ่ามือยักษ์


เมื่อหลิ่วหมิงได้ยิน หัวใจของเขาก็เต้นตามไปด้วย ขณะเดียวกันโลหิตทั่วร่างก็เกาะตัวกันราวกับว่าหยุดการไหลเวียนแล้ว


สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปมาก เขารีบหมุนตัวโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงก่อนที่จะกระตุ้นแสงสีเขียวพุ่งไปยังโลกหิมะที่อยู่ไม่ไกล


เกือบจะในเวลาเดียวกัน หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์ก็หนีไปในทิศทางเดียวกันด้วยใบหน้าที่ขาวซีด


และเสียงที่ดังมาจากเขาใหญ่ก็ดังติดต่อกันออกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังรวดเร็วและทรงพลังมากกว่าเดิม ทุกเสียงที่ดังออกมามันมีอานุภาพที่ไม่อาจคาดเดาได้ ทำให้ผู้ที่ได้ยินใจเต้นขึ้นมาไม่รู้ตัว และลมหายใจก็ถี่กระชั้นชิดไปด้วย


สำหรับปีศาจอสูร และวิหคจิตวิญญาณที่ฝึกฝนระดับต่ำเหล่านั้น เสียงที่ดังติดต่อกันนี้ยิ่งทำให้พวกมันตื่นตระหนกยิ่งกว่าเดิม ปีศาจอสูรจำนวนมากได้ยินไม่กี่ที ก็ตัวอ่อนไร้ซึ่งเรี่ยวแรงล้มลงไปบนพื้นไม่สามารถขยับเขยื้อนได้อีก


ปีศาจอสูรที่ฝึกฝนในระดับสูงขึ้นหน่อย พอได้ยินเสียงดังสนั่นนี้ถึงแม้จะไม่สูญเสียพลังในการเคลื่อนไหว แต่พวกมันกลับวิ่งหนีเอาชีวิตรอดไปทั่วทุกทิศทางด้วยความตื่นตระหนกตกใจเป็นอย่างมาก และไม่กล้าหันหน้ากลับมามองข้างหลังเลยแม้แต่น้อย


ปีศาจอสูรเหล่านี้มีอายุมากสุดก็แค่หลายร้อยปีเท่านั้น แต่ไม่รู้ว่าความหวาดกลัวต่อมือยักษ์ที่อยู่ตรงด้านหลังมันประทับอยู่ในสายเลือดของพวกเขามากี่หมื่นปีแล้ว และเหล่าปีศาจอสูรที่ค่อนข้างมีสติปัญญาจะทราบได้คร่าวๆ จากสายเลือดในแต่ละรุ่นที่สืบทอดต่อกันมา ทุกช่วงเวลาที่ยาวนานมือยักษ์นี้จะปรากฏออกมาฆ่าพวกมันทั้งหมด


และยิ่งเป็นปีศาจอสูรที่มีพลังมากก็ยิ่งไม่สามารถหนีพ้นการไล่ล่าของมือยักษ์ค้ำฟ้าได้ และพวกที่มีพลังน้อยถ้าหากหลบซ่อนตัวได้ดีก็อาจจะเอาชีวิตรอดได้


ด้วยเหตุนี้ ปีศาจอสูรกลุ่มที่มีพลังมากที่สุดย่อมต้องหวาดกลัวมากขึ้น


และศิษย์แต่ละนิกายที่เข้าไปในเขตเขาใหญ่ ต่างก็ถูกการโจมตีแบบกะทันหันของไหมเงินจนเสียชีวิตอย่างน่าอนาถ ศิษย์นับสิบกว่าคนที่ป้องกันตัวไม่ทันจนต้องกลายเป็นซากศพแห้ง


ผู้ที่ฝึกฝนอยู่ในระดับแข็งแกร่งหรือมีการรับรู้ที่ว่องไวก็พากันหนีเอาชีวิตรอดไปพร้อมกันปีศาจอสูรด้วยความตกใจ


ศิษย์บางคนหนีได้รวดเร็วมาก เพียงครู่เดียวก็มาถึงโลกหิมะแล้ว บางคนก็เข้าไปเขตแดนหินละลายแล้ว


ขณะที่หลิ่วหมิงเคลื่อนตัวเข้าสู่โลกที่มีหิมะตกเต็มท้องฟ้า โดยมีหญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์ตามหลังมาติดๆ นั้น มือยักษ์ค้ำฟ้าที่อยู่ตรงด้านหลังก็ค่อยๆ สั่นไหว จากนั้นมันก็ค่อยๆ ดึงตัวขึ้นมาจากพื้นด้วยเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ในที่สุดทันก็เผยส่วนล่างออกมา


มือยักษ์ค้ำฟ้านี้คือข้อมือที่ถูกตัดขาดออกมา แต่กลางฝ่ามือมีหัวใจสีเงินดวงหนึ่งฝังอยู่ และมันค่อยๆ เต้นตามจังหวะ ส่งเสียงดัง “ตึก!” “ตึก!” ออกมา


และในระหว่างที่มันเต้นอยู่ นิ้วมือของมันก็เริ่มเคลื่อนไหว บ้างก็สั่นไหวไปมา บ้างก็งอลงล่าง บ้างก็บิดไปมา…


นิ้วทั้งห้าต่างก็เคลื่อนไหวแตกต่างกันไป ราวกับว่าพวกมันต่างก็มีร่างกายเป็นของตนเอง


เสียงดัง “ฟู่!”


หัวใจสีเงินเต้นอย่างรวดเร็วสองสามครั้ง ไอหมอกสีดำที่ดูคล้ายหมึกก็ทะลักออกมาในทันที ขณะเดียวกันเกล็ดสีดำมืดขนาดใหญ่ก็ปรากฏออกมาเป็นจำนวนมาก และมันปกคลุมมือยักษ์อย่างรวดเร็ว เมื่อมองจากที่ไกลๆ มันดูดุร้ายเป็นอย่างมาก


หลิ่วหมิงหนีเอาชีวิตรอดไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับเขาใหญ่ท่ามกลางหิมะที่ตกเต็มท้องฟ้า ชั่วพริบตาที่ไอดำทะลักออกมาจากหัวใจสีเงินนั้น หลิ่วหมิงพลันรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอย่างรุนที่จุดตันเถียนของเขา เขารีบส่งจิตไปตรวจสอบด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก


ครู่ต่อหน้า สีหน้าของเขาก็ดูไม่ได้เลย


ในจุดตันเถียน ฟองอากาศลึกลับกำลังเคลื่อนไหวอยู่ไม่หยุด และยังส่งความรู้สึกแปลกๆ บางอย่างออกมาลางๆ ราวกับว่ากระหายอะไรบางอย่างอยู่


หลิ่วหมิงไม่ทันได้ตรวจสอบอย่างละเอียดว่าความรู้สึกที่ฟองอากาศส่งออกมานั้นคืออะไร เขาได้เพียงแต่แอบด่าในใจ และหยิบยันต์เทพเคลื่อนไหวออกมาผืนหนึ่งแปะลงบนร่างของตัวเอง


อักขระสิบกว่าตัวกะพริบผ่านไป แสงสีเขียวบนตัวหลิ่วหมิวหนาขึ้นกว่าเดิมสองส่วน ขณะเดียวกันภายใต้การกระตุ้นพลังเวทย์ ร่างของเขาก็ถูกไอสีดำห่อหุ้มไว้ จากนั้นก็พุ่งขึ้นไปสูงจากพื้นดินจั้งกว่าๆ


หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์ที่อยู่ด้านหลังเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ตกตะลึงเล็กน้อย แต่ก็เรียกสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กัดฟันหยิบยันต์ออกจากตัวมาผืนหนึ่ง และขยี้มันจนแหลก แสงสีขาวพุ่งออกมาจากในนั้นและไปรวมตัวกันอยู่ที่หลังของนาง


ครู่ต่อมาที่หลังของนางก็ปีสีขาวยาวจั้งกว่าๆ งอกออกมา นางกระพือปีกเพียงเบาๆ ก็พุ่งไปยังด้านหน้าท่ามกลางแสงสีขาวที่ปกคลุมตัวอยู่ คาดไม่ถึงว่าความเร็วของมันจะเร็วกว่าหลิ่วหมิงที่อยู่ตรงหน้าหนึ่งส่วน


……


“แย่แล้ว นี่…คือไอปีศาจ ไอปีศาจนี้แข็งแกร่งมาก…นี่คือฝ่ามือปีศาจยักษ์ในสมัยโบราณ สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่แดนลึกลับตามธรรมชาติ แต่เป็นที่ผนึกมือของปีศาจยักษ์ในสมัยโบราณ!” ผู้พูดคือชายหนุ่มหน้าดำที่มีน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย เขากำลังยืนเคียงบ่าอยู่กับหยางเฉียน


ด้วยพลังของทั้งสอง ตอนที่เกิดการเปลี่ยนแปลงบนยอดเขานั้น ย่อมสามารถหลบหนีการโจมตีของไหมเงินได้ และหนีมาที่นี่อย่างรวดเร็ว


เมื่อชายหน้าดำจ้องมองมือยักษ์ที่อยู่ไกลออกไปแล้ว สีหน้าเขาก็ขาวซีดราวกับเห็นผี และในมือถือแผ่นกลมๆ แปลกประหลาดอยู่ บนนั้นมีเข็มที่คล้ายๆ เข็มทิศหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง


“อะไรคือปีศาจยักษ์ มันคือเจ้าของมือยักษ์ข้างนี้หรือ?” หยางเฉียนได้ยินก็รู้สึกสับสน และถามออกไปอย่างรวดเร็ว


“อย่าพูดปาก รีบหนี! ถ้ามือยักษ์นี้คือสิ่งที่ปีศาจยักษ์โบราณทิ้งไว้ล่ะก็ ต่อให้ปรมาจารย์ของเราก็ไม่อาจต้านทานมันได้ ถ้าไม่รีบออกไปจากแดนลึกลับ คงจะต้องตายอย่างเดียวเท่านั้น” ชายหน้าดำกล่าวอย่างรีบร้อน หลังจากที่เก็บแผ่นกลมๆ แล้ว ก็รีบปล่อยหุ่นพยัคฆ์ขนาดใหญ่ออกมา จากนั้นก็ดึงหยางเฉียนขึ้นไปนั่งบนหลังมันก่อนที่หมุนตัวพุ่งไปยังโลกหิมะ


“อะไรคือปีศาจยักษ์โบราณ? เจ้าบอกว่าปรมาจารย์ของพวกเราก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน มันคือเรื่องจริงหรือ!” ถึงแม้หยางเฉียนจะรู้สึกฉงน แต่เพราะความเชื่อใจที่มีต่อชายหน้าดำจึงไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด แต่พอทำท่ามือร่ายคาถาปล่อยไอสีดำพวยพุ่งคุ้มกันตัวไว้แล้วก็ถามออกไปอย่างอดไม่ได้


“เรื่องของปีศาจยักษ์โบราณ ข้าก็อ่านมาจากคัมภีร์โบราณมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่อาจยืนยันได้ทั้งหมดว่าฝ่ามือนี้เป็นของปีศาจยักษ์โบราณ แต่เจ้าแค่รู้ว่ามนุษย์แปดถึงเก้าส่วนในแผ่นดินอวิ๋นชวนของพวกเราถูกกลืนกินโดยปีศาจยักษ์โบราณก็พอแล้ว” สีหน้าของชายหน้าดำเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด เขาเพียงแค่ตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รีบกระตุ้นหุ่นพยัคฆ์ขนาดใหญ่วิ่งฝ่าหิมะไป


“อะไรนะ คนในแผ่นดินแปดถึงเก้าในสิบส่วนถูกปีศาจยักษ์โบราณกลืนกิน! เจ้าคงไม่ได้ล้อเล่นหรอกนะ” พอหยางเฉียนได้ยินเช่นนี้ร่างกายก็สั่นสะท้าน สีหน้าเขาดูเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะมีจริง


“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องโกหกแต่อย่างใด อีกอย่างเผ่าเจ้าสมุทร และเผ่าอื่นๆ ในสมัยโบราณก็เป็นแค่ข้าทาสรับใช้ของปีศาจยักษ์โบราณเท่านั้น เอาล่ะ! เรื่องอื่นๆ รอรักษาชีวิตไว้ได้ก่อน แล้วข้าค่อยให้เจ้าฟังอย่างละเอียดก็ยังไม่สาย” ชายหน้าดำหัวเราะอย่างขมขื่น แล้วก็ไม่ตอบอะไรอีก


หยางเฉียนได้ยินเช่นนี้ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปมาอยู่ไม่หยุด


……


เฟิงฉานกับเกาชงกำลังหนีเอาชีวิตรอดตรงหินละลายอันร้อนระอุ คนหนึ่งมีไอสีเทาพวยพุ่ง อีกคนหนึ่งมีหมอกโลหิตห่อหุ้มไปทั่วร่าง


ทันใดนั้นก็มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวตรงด้านหลัง ทั้งสองต่างก็หันกลับไปมองด้วยความตกตะลึง


ไม่ไกลจากด้านหลังของพวกเขา กลุ่มแสงสีแดงกำลังพุ่งเข้ามาราวกับลูกธนู อานุภาพของมันน่ากลัวเป็นอย่างมาก


“สือชวน ไม่คาดคิดว่าจะเป็นเขา!”


พอเฟิงฉานเห็นใบหน้าของผู้ที่อยู่ในแสงสีแดงชัดเจนแล้วก็กล่าวออกมาด้วยความแปลกใจ


เกาชงที่อยู่ข้างๆ ได้ยิน สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป


เมื่อทั้งสองมองเห็นกลุ่มแสงสีแดงใกล้จะตามมาทันต่างก็สบตากันครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเฟิงฉานก็เข้าไปขวางทางสือชวนไว้ เขาเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา และตะโกนด้วยเสียงอันดัง


“ช้าก่อนศิษย์น้องสือ ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”


……………………………………….


ตอนที่ 139 ฝันร้าย

โดย

Ink Stone_Fantasy

สือชวนที่อยู่ในแสงสีแดงทำราวกับไม่ได้ยิน และพุ่งชนเข้าใส่เฟิงฉานโดยไม่ลดความเร็วลงแม้แต่น้อย


“สือชวน เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือไง!”


เฟิงฉานหลบด้วยความตกใจ แต่ด้วยความโมโหทำให้ไอสีเทาพวยพุ่งออกมามากขึ้น ขณะเดียวกันแขนผอมแห้งข้างหนึ่งก็คว้าไปจับไหล่ของสือชวนไว้อย่างรวดเร็ว


เสียงดัง “เพล้ง!”


เฟิงฉานจับไหล่ของสือชวนไว้แน่น และหลังจากดวงตาเปล่งประกายแสงเย็นสะท้านออกมา เขาก็ออกแรงที่นิ้วมือทั้งห้าเพื่อคิดที่จะทำให้สือชวนได้รับความเจ็บปวด


แต่ฉากอันน่าตกใจได้บังเกิดขึ้นแล้ว


เห็นชัดๆ ว่านิ้วทั้งห้าที่ดูราวกับตะขอเหล็กของเฟิงฉานจมลึกลงไปบนไหล่ของสือชวนหลายชุ่น แต่สือชวนกลับหันไปมองเขาด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก จากนั้นลูกตาดำที่ดูปกติก็เปลี่ยนเป็นยาวรี ก่อนที่จะสบถออกมา


“ไป…ตาย”


เสียงเพิ่งจะสิ้นสุดลง แขนข้างหนึ่งของสือชวนก็เคลื่อนไหวจนดูพร่ามัว ฝ่ามือที่เต็มไปด้วยเกล็ดสีแดงเจาะเข้าไปตรงอกของเฟิงฉาน และคว้าเอาหัวใจสีแดงสดออกมาโดยที่มันยังเต้นอยู่


ดวงตาของเฟิงฉานเบิกกว้าง เขาก้มหน้ามองดูฝ่ามือที่เจาะเข้าไปบนหน้าอกของตนเอง และขยับปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่สามารถเปล่งเสียงใดๆ ออกมาได้


ร่างศพเหล็กที่เขาฝึกฝน ไม่อาจต้านทานการโจมตีของสือชวนได้


ความชั่วร้ายได้เผยออกมาบนใบหน้าของสือชวน ก่อนที่แขนอีกข้างจะเคลื่อนไหว แล้วนิ้วมือเยือกเย็นทั้งห้าก็กดลงบนหัวของเฟิงฉาน และบีบมันเข้าหากัน


เสียงดัง “โพละ!” ศีรษะของเฟิงฉานระเบิดออกมาราวกับแตงโม ด้วยระยะห่างอันใกล้นี้ทำให้สมองกว่าครึ่งหนึ่งแตกเป็นฟองและกระเด็นใส่ตัวของสือชวน


สือชวนดึงมือทั้งสองกลับมา หลังจากปล่อยซากศพที่อ่อนยวบยาบทิ้งไปแล้ว ก็เอาหัวใจใส่เข้าปากและกลืนลงไป จากนั้นก็แลบลิ้นยาวสีแดงอมม่วงออกมาเลียของเหลวสีขาวบนนิ้วมือ และจ้องมองอีกคนด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก


เกาชงถูกฉากเมื่อครู่ทำให้ตกใจจนปากอ้าตาค้าง


ก่อนหน้านั้นที่เขากับเฟิงฉานสบตาสื่อความหมายกัน ก็เพื่อฉวยโอกาสรีดไถเอาผลประโยชน์จากสือชวนที่มาคนเดียว


เพราะเมื่อออกจากแดนลึกลับไป ทรัพยากรหนึ่งในสิบของที่หามาได้ทั้งหมดจะตกเป็นของตัวเอง ก่อนหน้านั้นพวกเขาเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ และเก็บพืชจิตวิญญาณมาได้ไม่มากนัก จึงคิดที่จะหาส่วนชดเชยจากสือชวน


แต่คาดไม่ถึงว่าศิษย์พี่ใหญ่แห่งสาขาเก้าทารกที่ควรจะรังแกได้ง่ายๆ กลับฆ่าเฟิงฉานอย่างโหดเหี้ยม พลังของเฟิงฉานแข็งแกร่งเพียงใดนั้นก็เป็นที่รู้ๆ กันอยู่ ถึงแม้เขาจะไม่ได้ระมัดระวังจนเป็นสาเหตุให้ถึงแก่ความตาย แต่พลังของฝ่ายตรงข้ามก็แข็งแกร่งจนยากที่จะรู้ได้


อย่างน้อยเกาชงก็รู้ดีว่า ต่อให้ตนเองใช้พลังปราณอันเข้มแข็ง ก็ไม่อาจทำลายร่างศพเหล็กของเฟิงฉานภายในระยะเวลาอันสั้นได้


แต่เมื่อเขาเหลือบไปเห็นลิ้นยาวสีแดงอมม่วงกับมือที่เต็มไปด้วยเกล็ดแล้ว สีหน้าเขาก็ซีดขาวขึ้นมา จากนั้นก็รีบหมุนตัวทะยานขึ้นฟ้าท่ามกลางหมอกโลหิตอันพวยพุ่งในทันที


มาถึงตอนนี้แล้วทำไมเขาจะไม่รู้ว่า ‘สือชวน’ ที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่สือชวนคนเดิม บางทีอาจจะกลายร่างมาจากสิ่งแปลกประหลาดอย่างอื่นก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้พอเขาค้นพบถึงความผิดปกติแล้วก็รีบหลบหนีไปทันทีโดยไม่ต้องพูดอะไรมาก


เกาชงมีชีพจรจิตวิญญาณพสุธาที่เป็นพรสวรรค์เลิศล้ำที่สุดในยุคนี้ จะยอมเสียชีวิตอยู่ในแดนลึกลับได้อย่างไร


‘สือชวน’ จ้องมองฉากนี้พร้อมกับค่อยๆ แยกปากจนถึงใบหูทั้งสองข้าง เผยให้เห็นคมเขี้ยวอันแหลมคมสองแถว จากนั้นก็สะบัดไหล่เล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาจะไล่ตามเกาชงไป


แต่ในขณะนั้นเอง เสียงดังสะเทือนเลือนลั่นก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง จากนั้นพื้นดินก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนแยกออกจากกัน และเปลวเพลิงสีแดงจำนวนมากก็พุ่งขึ้นมาจากในนั้น


พอนิ้วมือปีศาจค้ำฟ้าที่อยู่ด้านหลังแยกออกจากกัน มันก็ทุบผ่านอากาศลงไปยังพื้นด้านล่าง ทำให้ปีศาจอสูรอ่อนแอมากมายที่ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้กลายเป็นชิ้นเนื้อเละๆ ในทันที เลือดสดๆ ไหลออกมาจากมือยักษ์เสียงดัง “จ๊อกๆ!”


เสียงดัง “ซิ้วๆ!” ไหมเงินพุ่งยิงออกมาเป็นจำนวนมากอีกครั้ง พริบตาเดียวมันก็เจาะเข้าไปยังคราบเลือด


สือชวนเห็นเช่นนี้ก็เผยแววตาอันหวาดกลัวออกมา จากนั้นก็เคลื่อนตัวกลายเป็นกลุ่มแสงสีแดงกลมๆ พุ่งไปยังด้านหน้า โดยละความคิดที่จะตามฆ่าเกาชงอย่างสิ้นเชิง


เมื่อเกาชงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา แต่หลังจากที่หันหน้าไปดูมือยักษ์สีดำที่ทุบลงพื้นด้วยพลังมหาศาลอีกครั้ง ใจเขาก็รู้สึกสั่นสะท้าน จากนั้นก็กระตุ้นพลังเวทย์เพื่อหลบหนีอย่างสุดชีวิต


ทิศทางที่เขาไปย่อมห่างไกลจากทิศทางที่สือชวนไปเป็นอย่างมาก


……


หลิ่วหมิงไปตามเส้นทางที่บันทึกไว้บนแผ่นเข็มทิศจนออกมาจากโลกหิมะได้ และกลับมาอยู่บริเวณหุบเหวที่มีเสาหินเป็นจำนวนมากอีกครั้ง


ตอนนี้เขาถึงค่อยโล่งใจขึ้นมาบ้าง และก็หันกลับไปมองด้านหลังด้วยเช่นกัน มือยักษ์สีดำข้างนั้นยังคงทุบลงบนพื้นอย่างไม่รีบร้อน ไม่รู้ว่าภายในชั่วพริบตาจะมีปีศาจอสูรจำนวนเท่าไหร่ที่ถูกทุบจนเละเทะ


หลังจากที่มือยักษ์อันน่ากลัวทุบลงไปสิบกว่าครั้ง ก็ทำให้ต้นไม้สูงใหญ่ที่อยู่บริเวณนั้นล้มราบเป็นหน้ากลอง และก่อให้เกิดเป็นแอ่งขนาดใหญ่ที่ลึกสิบกว่าจั้ง


ดูเหมือนกับว่ามันจะไม่ยอมรามือถ้าไม่ได้สังหารปีศาจอสูรทั้งหมด


เมื่อหลิ่วหมิงเห็นฉากนี้ก็รู้สึกเย็นสะท้านขึ้นมา เขาสะบัดแขนเสื้ออย่างไม่ลังเลก่อนที่จะมีเชือกสีดำม้วนตัวไปพันกับเสาหินที่อยู่ใกล้ที่สุด


ขณะเดียวกัน ตรงบริเวณอีกส่วนหนึ่งของขอบหุบเหว หลังจากที่หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ แล้วนางก็ดึงกระบี่ยาวหิมะขาวออกมาจากหลังในทันที หลังจากนั้นปราณกระบี่ก็พุ่งขึ้นไปในอากาศ ร่างของนางกลายเป็นแสงกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวก่อนที่จะพุ่งออกไปยังอีกฝั่งของหุบเหว


หลังจากกะพริบไม่กี่ทีแสงกระบี่ก็หายไป และหญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์ก็ปรากฏตัวตรงอีกฝั่งของหุบเหวแล้ว


สีหน้าของนางซีดขาวเป็นอย่างมาก นางหันหน้าไปมองหลิ่วหมิวอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะทำท่ามือเรียกเมฆเทาออกมาแล้วขี่จากไปอย่างเงียบๆ


“นี่คือความสามารถของร่างกระบี่ ช่างไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!” หลังจากที่หลิ่วหมิงใช้พลังจำนวนมากในการต้านแรงดึงดูดและดึงตัวเองขึ้นมาอยู่บนยอดเสาหินได้แล้ว เขาก็มองตามหลังหญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์ด้วยความอิจฉา


แต่หลังจากชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป เขาก็กระโดดขึ้นมาอีกฝั่งของหุบเหวพร้อมกับร่างที่เต็มไปด้วยเหงื่อ


โชคดีที่พลังกับพลังเวทย์ของเขาในตอนนี้เพิ่มขึ้นมาจากก่อนหน้านั้นมาก ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถข้ามมาได้รวดเร็วถึงเพียงนี้


พอหลิ่วหมิงหลุดพ้นจากแรงดึงดูดอันน่ากลัวก็รู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก และอาศัยจังหวะที่พลังของยันต์เทพเคลื่อนไหวยังคงมีอยู่กลายร่างเป็นกลุ่มแสงสีเขียวพุ่งทะยานไปยังป่าดงดิบที่อยู่ไกลๆ


แต่ฟองอากาศลึกลับตรงจุดตันเถียนของหลิ่วหมิงก็ยิ่งเคลื่อนไหวถี่ขึ้น ความรู้สึกกระหายบางอย่างที่ดูผิดปกติก็เริ่มรุนแรงมากขึ้น


ถึงแม้ว่าหลิ่วหมิงจะรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก แต่เวลาเช่นนี้ ไหนเลยจะกล้าหยุดเพื่อทำการตรวจสอบอย่างละเอียด ทำได้แต่รอหาสถานที่เร้นลับปลอดภัยก่อนแล้วค่อยหาวิธีจัดการกับปัญหานี้


แต่พอเขาเคลื่อนไหวเข้าไปในป่าดงดิบอย่างรวดเร็วแล้วหยุดอยู่บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง และขณะที่กำลังจะกระตุ้นพลังเวทย์เพื่อมุ่งหน้าไปต่อนั้น เรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น!


ไม่คาดคิดว่าฟองอากาศลึกลับในจุดตันเถียนจะระเบิดออกมา


หลิ่วหมิงเพียงแค่รู้สึกเจ็บในจุดตันเถียน จากนั้นตาทั้งสองก็ดำมืด และร่วงหล่นลงไปจากกิ่งไม้ด้วยเสียงดัง “ตุ๊บ!” แล้วล้มลงไปบนใบไม้หนาๆ ก่อนที่จะหมดสติไป


ครู่ต่อมา ไอสีดำจำนวนมากก็พรั่งพรูออกมาจากผิวหนังของหลิ่วหมิง หลังจากที่มันหมุนติ้วๆ รวมตัวกันแล้วก็กลายเป็นอักขระสีดำที่ไม่ทราบชื่อเป็นจำนวนมาก และมันหมุนวนรอบตัวหลิ่วหมิงอย่างบ้าคลั่ง


ท่ามกลางแสงสีดำที่เคลื่อนไหว ได้ปรากฏค่ายกลแปลกประหลาดที่มีขนาดใหญ่จั้งกว่าๆ อยู่ลางๆ


ค่ายกลสีดำเคลื่อนไหวเพียงแค่ไม่กี่ที ไอดำก็รวมตัวอยู่ที่บริเวณใจกลางและกลายเป็นฟองอากาศแวววาว แสงสีเงินค่อยๆ ปรากฏออกมาจากในนั้น


ดูเหมือนกับว่าชั่วพริบตาที่จุดแสงสีเงินนี้ปรากฏออกมา มือปีศาจค้ำฟ้าที่กดทับปีศาจอสูรจำนวนมากจนไร้เรี่ยวแรงก็หยุดชะงักอยู่กลางอากาศในทันที


กลับมีเพียงหัวใจสีเงินที่ฝังอยู่บนมือยักษ์กะพริบอย่างบ้าคลั่งเท่านั้น


เสียงดัง “เพล้ง!” “เพล้ง!” หัวใจสีเงินที่กลายเป็นแสงสีเงินก็ระเบิดออกมาในทันที


มือยักษ์ค้ำฟ้าก็สลายกลายเป็นไอสีดำราวกับว่าสูญเสียการควบคุม จากนั้นก็พัดกระพือหือโหมไปยังที่ที่หลิ่วหมิงอยู่


……


หลิ่วหมิงรู้สึกว่าตัวเองหลับฝันไปอย่างยาวนาน ราวกับว่าในความฝันนั้นเขากลับไปยังห้องว่างเปล่าลึกลับอันมืดครึ้มอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็ถูกอสรพิษสีดำจำนวนมากรัดพันร่างของเขาอยู่ ทำให้ไม่สามารถขยับตัวได้เลยแม้แต่น้อย และอากาศรอบด้านก็มีเงาพร่ามัวสีดำเคลื่อนไหวอยู่ไหม่หยุด


เงาดำเหล่านี้ บ้างก็เดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวหาย บ้างก็มากระซิบอยู่ข้างหูด้วยภาษาที่ดูแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ไม่อาจได้ยินเนื้อหาที่เต็มประโยคได้ ทำให้เขารู้สึกวุ่นวายใจเป็นอย่างมาก


ท่ามกลางไอดำเหล่านี้ มีเพียงแค่เงาดำขนาดสูงใหญ่เงาหนึ่งที่ก้มหน้ายืนนิ่งสงบอยู่ตรงมุม และเงาดำอื่นๆ ก็พากันหลบห่างออกจากมันราวกับว่าไม่มีใครสนใจมันเลย


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เงาดำสูงใหญ่นั้นก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วค่อยๆ เดินมาที่หลิ่วหมิง เงาดำอื่นๆ เห็นเช่นนี้ก็พากันหลีกทางให้และค่อยๆ กลายเป็นหมอกก่อนที่จะสลายไป


เงาดำสูงใหญ่เดินไม่กี่ก้าวก็มาถึงด้านหน้าหลิ่วหมิง ราวกับว่ากำลังพินิจดูหลิ่วหมิงอยู่ไม่หยุด


หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่าตนเองสามารถรับรู้ถึงไอร้อนที่ฝ่ายตรงข้ามหายใจออกมาได้ แต่ใบหน้าของมันพร่ามัวไปหมด ถึงแม้จะพยายามเพ่งมองก็ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าที่ชัดเจนของฝ่ายตรงข้ามได้ จนเขารู้สึกกลัวขึ้นมา


ในขณะนั้นเอง อยู่ๆ ก็พลันมีเสียงฟ้าแลบฟ้าผ่าดังขึ้น สายฟ้าสีเงินเส้นหนึ่งปรากฏออกมาในบริเวณนั้น


ด้วยแสงอันน้อยนิดนี้ ในที่สุดหลิ่วหมิงก็เห็นใบหน้าของเงาดำได้อย่างชัดเจน เขาหลุดปากออกมาในทันที


“เป็นไปไม่ได้ ทำไมถึงเป็นเจ้า!”


……………………………………….


ตอนที่ 140 เซวี่ยนู่

โดย

Ink Stone_Fantasy

ใบหน้าของคนผู้นั้นเหมือนกับหลิ่วหมิงไม่มีผิด


เขามองดูตัวเองที่เป็นคนอีกคนหนึ่งราวกับว่าเป็นเงาของกระจก สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนกันคือฝ่ายตรงข้ามหลับตาทั้งของข้าง ใบหน้าไร้ความรู้สึก


สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกตัวในฉับพลันก็คือ คำพูดที่เปล่งออกมาเมื่อครู่ ราวกับว่าเขาคุ้นเคยกับฝ่ายตรงข้ามโดยไม่รู้ตัว


ในขณะนั้นเอง ‘หลิ่วหมิง’ ที่อยู่ตรงหน้าก็ลืมตาขึ้นมาในทันที ลูกตาของเขาเป็นแสงสีเงินละลานตาเป็นอย่างมาก


ด้วยความตกใจหลิ่วหมิงหลับตาทั้งสองลงโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเขาก็ตื่นขึ้นมาจากฝัน


รอบด้านมืดมิด และยังมีกลิ่นอับชื้นของดินโชยเข้ามาในจมูก


หลักจากที่เขาคิดวกไปมาอย่างรวดเร็ว ก็พลันรู้ตัวว่าตนเองถูกฝังอยู่ในดินทั้งเป็น


ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเคล็ดวิชากระดูกดำที่เขาฝึกฝนได้ปล่อยไอสีดำปกป้องร่างเขาไว้ เกรงว่าคงเสียชีวิตไปโดยไม่รู้ตัวแล้ว


เสียงดัง “เพล้ง!”


หลิ่วหมิงตะโกนเสียงต่ำออกมา จากนั้นก็กลิ้งไปมาใต้พื้นดิน ก่อนที่จะกระโดดขึ้นมาจากใต้ดินที่ลึกหลายจั้งได้ แสงด้านนอกตอนนี้สว่างไสว เขาไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว


เขาสำรวจดูรอบด้านอย่างรวดเร็ว ที่นี่คือบริเวณชายป่าดงดิบที่เขาสลบไสลไปก่อนหน้านั้น เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าทำไมตนเองถึงถูกฝังอยู่ใต้ดินได้


หลังจากที่สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปมาก็พลันนึกเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขารีบทำท่ามือด้วยมือเดียวก่อนที่จะส่งจิตไปสำรวจดูที่บริเวณทะเลจิตวิญญาณ แต่เขาเห็นเพียงแค่ทะเลจิตวิญญาณที่ว่างเปล่า ทุกอย่างยังคงเป็นปกติ ฟองอากาศลึกลับที่ระเบิดตัวก็ไม่ได้ปรากฏออกมา


และพอเขากระตุ้นเคล็ดวิชากระดูกดำเพื่อตรวจสอบพลังเวทย์ก็ยังเป็นปกติ ไม่มีสิ่งใดที่ดูผิดปกติแต่อย่างใด


หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้นมา!


หรือว่าความฝันในก่อนหน้านี้จะเป็นเพียงแค่ความฝันจริงๆ แต่ความรู้สึกที่รับรู้ได้ในฝันนั้นดูคล้ายกับความจริงมาก ‘หลิ่วหมิง’ อีกคนทำให้เขารู้สึกขนลุกขนพองและหนาวเย็นจนถึงขั้วหัวใจ


เขาคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็รู้สึกสมองยุ่งเหยิงจนไม่สามารถจับต้นชนปลายได้ จึงได้แต่ส่ายศีรษะแล้วเก็บเรื่องนี้ไว้คิดที่หลัง จากนั้นก็ค่อยๆ ลอยไปไปบนต้นไม้ใหญ่และเบิ่งมองไปข้างหน้าอันไกลโพ้น


ผลคือม่านตาดำของเขาหดตัวในทันที!


แอ่งขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางแดนลึกลับยังคงมีอยู่ แต่มือยักษ์ค้ำฟ้ากลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย


ตัวเขาสลบไปนานเท่าไหร่กันแน่ คงไม่ถึงกับเลยเวลาที่กำหนดให้อยู่ในแดนลึกลับได้นะ


หลิ่วคิดได้เช่นนี้แล้วก็รู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย เขารีบเหาะไปยังป่าดงดิบที่ลึกเข้าไปโดยไม่คำนึงถึงเรื่องอื่นๆ เลย


หลายชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงที่กระโดดอยู่ในป่าดงดิบก็ได้ยินเสียงดังอยู่แว่วๆ ความดีใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขาในทันที จากนั้นเขาก็กระโดดไปตามทิศทางของเสียง


ผ่านไปไม่นาน ร่างของเขาก็เคลื่อนตัวมาอยู่บนต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ขึ้นอยู่บนขอบพื้นที่กว้างโล่ง


ด้านหน้าที่อยู่ไม่ไกล มีชายหญิงสองคนกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด


ผู้ชายสวมชุดหอสายธารโลหิต ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยปราณโลหิต ภายใต้การกวัดแกว่งดาบยาวสีเลือดที่อยู่บนมือ ทำให้แสงสีแดงน่าสะพรึงกลัวม้วนออกไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่งราวกับอสรพิษ แต่ตาทั้งสองของเขากลับปิดสนิท โดยไม่มองคู่ต่อสู้แม้แต่น้อย


ผู้หญิงมีใบหน้างดงามจนยากหาที่เปรียบได้ ร่างของนางเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แต่แสงสีม่วงในตาทั้งสองกลับหมุนวนอยู่ไม่หยุด ในมือถือระฆังทองแดงขนาดเล็ก สูงชุ่นกว่าๆ และสั่นมันอยู่ไม่หยุด


นางก็คือเจียหลานนั่นเอง


ชายหอสายธารโลหิตผู้นั้นมีสีหน้าดุร้าย ถึงแม้เขาจะหลับตาทั้งสองข้าง แต่ทุกครั้งที่ฟาดฟันดาบออกไป มันก็ฟันเข้าใส่เจียหลานราวกับว่ามองเห็นอย่างชัดเจน จนทำให้นางไม่อาจอยู่นิ่งได้


ดีที่ระฆังเล็กในมือของหญิงสาวก็ดูเหมือนจะมีผลลัพธ์ที่น่าเหลือเชื่อ ทุกการสั่นไหวจะมีเสียงดังกังวานออกมา จนทำให้การเคลื่อนไหวของชายหอสายธารโลหิตหยุดชะงัก จากนั้นก็ถือโอกาสปล่อยวิชาออกไปโจมตี


ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ชายหอสายธารโลหิตก็ยังโจมตีรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ ปราณดาบสีแดงแต่ละสายก็ส่งกลิ่นคาวเลือดออกมาเข้มข้นยิ่งขึ้น ราวกับว่ามันได้ห่อหุ้มดรุณีน้อยไว้อย่างสมบูรณ์ และเจียหลานกลับมีสีหน้าซีดขาวคล้ายกับว่าเสียพลังไปอย่างมาก เห็นได้ชัดว่านางต้านทานไม่ค่อยไหวแล้ว


“ศิษย์พี่เจียหลาน ต้องการให้ศิษย์น้องช่วยหรือไม่!” ณ เวลานั้นเอง หลิ่วหมิงก็ลอยลงมาจากต้นไม้และกล่าวกับเจียหลานด้วยรอยยิ้ม


“ฮึ! ศิษย์นิกายปีศาจอีกแล้ว! ดี! นับว่าพวกเจ้าโชคดีไป ครั้งหน้าอย่าให้เจอพวกเจ้าตอนอยู่คนเดียวก็แล้วกัน” พอชายหนุ่มหน้าตาดุร้ายเห็นการปรากฏตัวของหลิ่วหมิงสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เขารีบเก็บดาบโลหิตในทันที จากนั้นก็ถอยออกจากการต่อสู้ไปอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่จะหายเข้าไปในป่าดงดิบเขาได้กล่าวออกมาอย่างโหดเหี้ยม และหายตัวไปอย่างรวดเร็ว


“ที่แท้ก็คือศิษย์น้องไป๋ ครั้งนี้ต้องขอบคุณเจ้ามาก” ตอนแรกเจียหลานตกใจที่เห็นหลิ่วหมิง แต่ต่อมากลับรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก หลังจากที่แสงสีม่วงในดวงตาได้หายไป ร่างของนางก็พร่ามัวกลับมาเป็นดรุณีน้อยใบหน้างดงามดังเดิม


“คนผู้นั้นคือใครกัน ทำไมต้องมาขัดขวางท่าน!” ถึงแม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่หลิ่วหมิงเห็นการกลายร่างของดรุณีน้อย แต่ก็แอบบร้องออกมาด้วยความประหลาดใจไม่ได้ และถามออกไปด้วยความสงสัย


“เขาคือเซวี่ยนู่ศิษย์อันดับที่สามของหอสายธารโลหิต ไม่คาดคิดว่าเขาจะไม่กลัววิชาดวงตาละเมอฝันของข้า ที่เขาขัดขวางข้าก็เป็นเพราะว่าอยากได้พืชจิตวิญญาณของข้า สองวันนี้ศิษย์น้องไม่ได้พบกับศิษย์นิกายอื่นๆ เลยหรือ?” เจียหลานกล่าวก่อนที่จะถามออกไปด้วยความสงสัย


“บอกตามตรง สองวันนี้เกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันกับข้าเล็กน้อย ข้าหมดสติหลับลึกอยู่ตรงสถานที่แห่งหนึ่ง และเพิ่งฟื้นขึ้นมา แต่ดูจากท่าทีแล้วข้าคงจะสลบไสลไปได้ไม่นาน” หลิ่วหมิงได้ยินก็แสดงสีหน้าราวกับคิดอะไรอยู่


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! ศิษย์น้องวางใจได้ ตอนนี้ยังมีเวลาเหลืออีกสิบกว่าวันในการอยู่แดนลึกลับ แต่แดนลึกลับในตอนนี้อันตรายเป็นอย่างมาก ศิษย์นิกายอื่นๆ จำนวนมากต่างก็มาดักซุ่มแย่งชิงทรัพยากรของคนอื่นๆ โดยเฉพาะ ไม่สิ! ต้องพูดว่าตอนนี้ทั่วทุกพื้นที่เปลี่ยนเป็นอันตรายเป็นอย่างมาก มิเช่นนั้นข้าคงไม่ถูกค้นพบและโดนโจมตีรวดเร็วขนาดนี้ เกรงว่าเมื่อถึงเวลาสองสามวันสุดท้าย คนทุกคนจำต้องมารวมตัวกันในที่นี้ และคงจะเกิดการต่อสู้อย่างแท้จริง” เจียหลานกล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ศิษย์พี่ทราบไหมว่ามือยักษที่อยู่ใจกลางแดนลึกลับนั้นหายไปไหนแล้ว ทำไมตอนที่ข้าฟื้นขึ้นมาถึงไม่เห็นมันแล้ว!” หลิ่วหมิงฉุกคิดอย่างรวดเร็ว แล้วก็ถามเรื่องที่ตัวเองกังวลออกมาอย่างอดไม่ได้


“มือยักษ์นั้นปรากฏออกมาได้ไม่กี่ชั่วยามก็หายไปตั้งแต่สองวันก่อนแล้ว ตอนนั้น…” เจียหลานได้ยินก็เล่าเรื่องที่มือยักษ์ค้ำฟ้าสลายตัวกลายเป็นไอสีดำพวยพุ่งเข้าไปในป่าดงดิบ และก็หายไปอย่างแปลกประหลาดให้หลิ่วหมิงฟัง


“อะไรนะ! ไอดำที่กลายร่างมาจากมือยักษ์นั้นหายเข้าไปในขอบชายป่าดงดิบ” หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจขึ้นมา


“ไม่ผิด ตอนที่เห็นไอดำปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า ข้ายังคิดว่าครั้งนี้ทุกคนคงหนีรอดไปได้ยาก แต่คิดไม่ถึงว่าพอไอดำอันน่ากลัวนี้พุ่งเข้าไปในป่าดงดิบ มันก็หายไปในพริบตาเดียว เรื่องนี้มันดูผิดปกติมาก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าที่นี่เป็นสถานที่ซ่อนตัวที่ดีที่สุดก่อนที่จะออกไปจากแดนลึกลับล่ะก็ ข้าคงจะไม่ยอมอยู่ที่นี่อย่างเด็ดขาด” เจียหลายขมวดคิ้วกล่าวออกมา


“ในเมื่อสุดท้ายแล้วมือยักษ์ข้างนั้นไม่ได้ปรากฏออกมา คาดว่าคงจะหายไปแล้วจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นอีกไม่กี่วันพวกเราก็ไปจากแดนลึกลับแล้ว แม้ว่าต่อไปจะมีเรื่องแปลกๆ อะไรเกิดขึ้นที่นี้ มันก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเราแล้ว” หลิ่วหมิงกล่าวเหมือนคิดอะไรอยู่


“ข้าเองก็คิดเช่นนี้ ไม่ทราบว่าศิษย์น้องไป๋จะวางแผนต่อไปอย่างไร จะหาที่หลบซ่อนดีๆ หรือคิดที่จะไปหาพืชจิตวิญญาณในป่าต่อ และรอจนถึงเวลาที่สมควรแล้วค่อยไปจากแดนลึกลับ” เจียหลานพยักหน้ากล่าวออกมา


“หลายวันก่อนข้าเก็บเกี่ยวมาได้ไม่น้อย ดังนั้นจึงไม่คิดที่จะไปเสี่ยงอันตรายแล้ว ข้าคิดที่จะหาที่ซ่อนตัวสองสามวันแล้วค่อยว่ากัน


“ข้าเข้าใจความหมายของศิษย์น้องไป๋แล้ว ข้าจะไปสถานที่ไกลๆ สักหน่อยเพื่อดูว่ายังมีอะไรให้เก็บเกี่ยวได้บ้าง ถือโอกาสหลบการต่อสู้อันดุเดือดที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ด้วย”


ต่อมาทั้งสองก็พูดคุยกันไม่กี่ประโยคแล้วก็แยกย้ายกันไป


ทั้งสองต่างก็ไม่มีใครกล่าวถึงเรื่องการทำงานร่วมกันออกมา


ครึ่งวันต่อมา หลิ่วหมิงหาโพรงไม้ขนาดใหญ่ที่มีพุ่มไม้เตี้ยแน่นขนัดปกคลุมเอาไว้ได้ เขารีบเข้าไปข้างในด้วยความดีใจ เขารู้สึกว่าที่นี่สะอาดและกว้างขวาง ดังนั้นจึงตบกระเป๋าหนังบนเอวอย่างไม่ลังเล


หลังจากที่มีแสงสีดำม้วนตัวออกมา แมงป่องกระดูกขาวก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางไอสีม่วง


“ไป! ไปเฝ้าอยู่ด้านนอก ถ้ามีคนเข้าใกล้ให้รีบเรียกข้าให้ตื่น!” หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือเดียวแล้วใช้วิชาสื่อสารจิตวิญญาณสื่อสารกับจิตของแมงป่องกระดูกขาว


แมงป่องกระดูกขาวร้อง “แกว๊ก!” “แกว๊ก!” ไม่กี่ครั้งแล้วก็จมหายเข้าไปในพื้นดิน


ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงได้ล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้ออย่างวางใจ เขาหยิบลูกท้อที่มีสีเขียวเล็กน้อยออกมาลูกหนึ่ง หลังจากที่สำรวจดูเล็กน้อยก็กัดกินอย่างไม่เกรงใจ


เวลาที่เหลือในหลายวันนี้ เขาต้องการกินลูกท้อจิตวิญญาณเหล่านี้ให้ได้จำนวนมาก จากนั้นก็ค่อยๆ กลั่นพลังออกมาเพื่อที่จะผลักดันให้การฝึกฝนของตนเองไปถึงเขตแดนศิษย์จิตวิญญาณขั้นสมบูรณ์แบบ


เช่นนี้แล้ว หลังจากที่เขาออกจากแดนลึกลับไปก็ไม่จำเป็นต้องกลัดกลุ้มกับเรื่องการใช้โอสถเพิ่มพลังเวทย์แล้ว เพียงแค่มุ่งมั่นหาวิธีทะลวงเข้าสู่เขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณก็พอ


พอหลิ่วหมิงรับรู้ได้ถึงพลังบริสุทธิ์ที่พรั่งพรูอยู่บริเวณท้องน้อยก็รีบหลับตาทั้งสองลงทันที จากนั้นเขาก็เข้าสู่ฌานอย่างรวดเร็วโดยไม่รับรู้เรื่องราวภายนอกเลยแม้แต่น้อย


ขณะนี้ ‘เซวี่ยนู่’ ศิษย์หอสายธารโลหิตก็ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ใหญ่ที่มีกิ่งใบเต็มต้น เขาเองก็หลับตานั่งขัดสมาธิอยู่


ถึงแม้ว่าการต่อสู้กับเจียหลานในก่อนหน้านี้เขาจะได้เปรียบ แต่ก็สูญเสียพลังเวทย์ไปไม่น้อย เขาคิดที่จะฟื้นฟูพลังก่อนแล้วค่อยคิดเรื่องอื่นๆ ในภายหลัง


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เซวี่ยนู่ดูเหมือนจะรับรู้อะไรบางอย่างได้ และลืมตาทั้งสองขึ้นมาในทันที


สิ่งที่เขาเห็นคือ พื้นที่ตรงข้ามที่อยู่ห่างจากเขาไม่มากนัก ชายหนุ่มผมแดงมีเขาแปลกประหลาดอยู่บนหัวสองเขากำลังนั่งยองๆ อยู่ที่นั่น และจ้องมองเขาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก


เขาคือ ‘สือชวน’


“เจ้าเป็นใคร!”


เซวี่ยนู่ย่อมตกใจเป็นอย่างมาก และตะโกนออกไปด้วยความโมโห พอเขาสะบัดแขนเสื้อดาบเล็กสีแดงก็ปรากฏอยู่ในมือ


ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มหอสายธารโลหิตจะได้กระทำการใดๆ ‘สือชวน’ ที่อยู่ตรงข้ามก็พลันอ้าปาก ก่อนที่เงาสีแดงม่วงจะพุ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว


……………………………………….


ตอนที่ 141 การฝึกฝนที่รุดหน้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

เสียงดัง “เพล้ง!”


ถึงแม้เซวี่ยนู่จะมีความสามารถรอบด้าน แต่ด้วยระยะที่ใกล้เช่นนี้ แม้แต่หมอกโลหิตคุ้มกายก็ไม่สามารถเรียกออกมาได้ทัน ดังนั้นต้นคอของเขาจึงถูกลิ้นสีแดงม่วงเจาะทะลุเข้าไป แม้แต่คอหอยก็ถูกตัดขาดจนไม่สามารถส่งเสียงร้องเวทนาออกมาได้ ทำได้เพียงแต่เขวี้ยงดาบเล็กสีเลือดในมือออกไปอย่างรุนแรง จากนั้นก็ล้มลงไปอย่างไร้เรี่ยวแรง


เสียงดัง “เต๊ง!”


‘สือชวน’ แค่ใช้นิ้วสะกิดไปยังด้านหน้าเล็กน้อย ดาบก็กระเด็นออกไป จากนั้นก็เผยสีหน้าชั่วร้ายออกมา เขาขยับตัวกลายเป็นแสงสีแดงกระโจนเข้าใส่เซวี่ยนู่


ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป บนพื้นก็ปรากฏศพที่ถูกฉีกเป็นสองส่วน และถูกกัดไปบางส่วน ขณะเดียวกันสิ่งของบนตัวต่างก็ถูกค้นเอาไปจนหมดสิ้น


สองชั่วยามผ่านไป เมื่อศิษย์หญิงนิกายเอกะผ่านมาแถวนี้แล้วได้กลิ่นคาวเลือด นางก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก และก็จากไปอย่างรวดเร็ว


……


ครึ่งวันผ่านไป ในเขตบึงแห่งหนึ่งของป่าดงดิบ ศิษย์หุบเขาเก้าช่องที่มีร่างบึกบึนผู้หนึ่งที่เพิ่งจะบังคับหุ่นฆ่าปีศาจอสูรที่มีรูปร่างคล้ายจิ้งจอกได้ ขณะที่กำลังไปรับเอาสิ่งของที่ได้จากชัยชนะนั้น พลันรู้สึกมีคลื่นร้อนๆ ม้วนตัวมาตรงหลัง จากนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดที่ทรวงอกก่อนที่ดวงตาทั้งสองจะดำมืดจนไม่สามารถรับรู้เรื่องราวใดๆ


……


หนึ่งวันผ่านไป ชายหนุ่มนิกายวาตอัคคีถือน้ำเต้าสีเขียวอยู่ที่อีกด้านหนึ่งของป่าดงดิบ เขากำลังปล่อยพายุสีเขียวขนาดใหญ่โจมตีชายหนุ่มนิกายจันทราสวรรค์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามจนต้องถอยเป็นระยะๆ และไม่สามารถเข้าใกล้เขาได้


ขณะที่ชายหนุ่มนิกายวาตอัคคีกำลังหัวเราะด้วยความชะล่าใจนั้น พลันมีเงาร่างมนุษย์เคลื่อนไหวมาจากป่าดงดิบบริเวณใกล้ๆ และเงาร่างสีแดงจางๆ ก็โจมตีเข้าใส่พวกเขาทั้งสองอย่างไม่คาดคิด


ชายหนุ่มนิกายวาตอัคคีก็นับว่าเป็นผู้ที่มีประสบการณ์การต่อสู้อย่างโชกโชน แต่ตอนนี้สีหน้าของเขาได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากนั้นเขาก็เปลี่ยนทิศทางน้ำเต้าสีเขียวไปทางเงาร่างสีแดงที่กำลังพุ่งเข้ามา


เสียงดัง “ฟู่!”


พายุบ้าระห่ำได้บังเกิดขึ้น ขณะเดียวกันเขาก็สะบัดแขนเสื้อก่อนที่จะมีแสงสีเขียวเปล่งประกายออกมา โซ่ยาวสีเขียวโปร่งแสงเส้นหนึ่งเข้าไปรัดเงาร่างสีแดงไว้แน่น


“ฮึ! เจ้ากล้าซุ่มจู่โจมข้า เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าไม่ได้ป้องกันตัว…ไม่ใช่สิ! เจ้าเป็นสัตว์ประหลาดอันใดกัน!” เดิมทีชายหนุ่มนิกายวาตอัคคีกล่าวด้วยความทระนง แต่พอเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเงาร่างสีแดงจางๆ ที่ถูกโซ่ยาวสีเขียวรัดไว้แน่นอย่างชัดเจนแล้ว ก็ตกใจจนหลุดปากออกมา


สิ่งที่ถูกรัดพันอยู่ในโซ่สีเขียวนั้น เป็นสัตว์ประหลาดที่มีหัวเป็นมังกรร่างเป็นมนุษย์ และมีเกล็ดสีแดงอยู่เต็มไปทั่วร่าง


หลังจากสัตว์ประหลาดนี้ก้มหน้ามองเชือกยาวสีเขียวบนร่างแล้วก็แสยะปากพร้อมกับออกแรงที่แขนทั้งสอง เปลวไฟสีแดงพวยพุ่งออกมาจากร่างในทันที พริบตาเดียวเชือกยาวสีเขียวก็อันตรธานหายไป


ชายหนุ่มนิกายวาตอัคคีเห็นเช่นนี้ก็ตกใจจนขวัญกระเจิง เขากระตุ้นน้ำเต้าสีเขียวในมืออย่างรวดเร็ว คมวายุสีเขียวสิบกว่าเส้นพุ่งออกไปในทันที ขณะเดียวกันก็ทำท่ามือด้วยมือเดียวแล้วพุ่งถอยไปอย่างรวดเร็ว


แต่สัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งมังกรแค่สะบัดไหล่เบาๆ ร่างของมันก็เลือนลางหายไป คมวายุทั้งหมดพุ่งโดนแต่ความว่างเปล่า


ขณะเดียวกัน ก็มีคลื่นอากาศสั่นไหวบริเวณด้านหน้าของชายหนุ่มนิกายวาตอัคคี ก่อนที่สัตว์ประหลาดครึ่งมนุษย์ครึ่งมังกรจะโผล่ออกมาราวกับปีศาจ


ชายหนุ่มนิกายวาตอัคคีตกใจเป็นอย่างมาก เขาคิดที่จะทำอะไรสักอย่าง แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว


สัตว์ประหลาดแสยะปากก่อนที่กระโจนไปยังด้านหน้าอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ แขนทั้งสองโอบรัดชายหนุ่มไว้แน่นราวกับเหล็ก มันเอนศีรษะกัดต้นคอกว่าครึ่งหนึ่งของชายหนุ่มและใช้คมเขี้ยวอันแหลมคมฉีกออกมาในทันที


“ไม่…”


ชายหนุ่มส่งเสียงร้องอย่างเวทนาออกมาได้เพียงครึ่งเดียวต้นคอกว่าครึ่งหนึ่งก็หายไปแล้ว โลหิตสดๆ ไหลพรั่งพรูออกมา ครึ่งหนึ่งเข้าไปในปากของสัตว์ประหลาด อีกหนึ่งหนึ่งกลับสาดกระเด็นไปทั่วทิศ


ร่างของชายหนุ่มกระตุกเพียงไม่กี่ครั้งในอ้อมแขนของสัตว์ประหลาด จากนั้นก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ อีกเลย


ตอนนี้สัตว์ประหลาดครึ่งมนุษย์ครึ่งมังกรถึงได้คลายปากออกมา แล้วมองไปยังชายหนุ่มนิกายจันทราสวรรค์ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยโลหิต


ตอนแรกชายหนุ่มนิกายจันทราสวรรค์ก็ตกใจจนอ้าปากค้างอยู่แล้ว แต่พอเห็นสัตว์ประหลาดมองมาที่ตนเองด้วยความโหดเหี้ยม เขาก็ตกใจจนตัวสั่นระริก และรีบหมุนตัววิ่งหนีไปทางด้านหลังอย่างบ้าคลั่ง


สัตว์ประหลาดครึ่งมนุษย์ครึ่งมังกรเพียงแค่จ้องมองชายหนุ่มนิกายจันทราสวรรค์ที่วิ่งหนีไปอย่างเยือกเย็นโดยไม่ไล่ตามไป แต่กลับก้มหน้าดูดโลหิตของศพที่อยู่ในอ้อมแขนต่อ


ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด เมื่อมันคลายแขนออก ศพของชายหนุ่มก็อ่อนยวบยาบและตกลงไปบนพื้น จากนั้นมันก็แหงนหน้าแผดเสียงยาวออกมาด้วยสีหน้าที่เจ็บปวด


เสียงนี้แหลมและเศร้ากำสรดเป็นพิเศษราวกับว่าพุ่งทะลุไปยังเก้าชั้นฟ้า ปีศาจ และมนุษย์ที่อยู่ในรัศมีร้อยลี้ต่างก็ได้ยินอย่างชัดเจน


ศิษย์นิกายต่างๆ ที่อยู่บริเวณใกล้ๆ ได้ยินเสียงแผดร้องอันน่าตกใจนี้ต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก


พอชายหนุ่มนิกายจันทราสวรรค์ที่กำลังวิ่งหนีอยู่ได้ยิน ก็อยากจะให้ตัวเองมีขาเพิ่มขึ้นมาเป็นสี่ขาใจจะขาด และพยายามวิ่งหนีให้ไกลจากเสียงแผดร้องอย่างสุดชีวิต


“ฟิ้ว!”


หางมังกรสีแดงม่วงงอกยาวออกมาจากบั้นท้ายของสัตว์ครึ่งมนุษย์ครึ่งมังกร และหลังจากที่มันแกว่งไปตามลมแล้วก็หวดไปยังพื้นบริเวณใกล้ๆ


หลังจากที่พื้นดินสั่นสะเทือน หลุมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางยาวจั้งกว่าๆ ก็ปรากฏขึ้น


ถ้าหากจะบอกว่าก่อนหน้านี้ร่างของสัตว์ประหลาดมีห้าในสิบส่วนที่เป็นมนุษย์ แต่ตอนนี้กลับมีแค่สองถึงสามในสิบส่วนเท่านั้นที่ยังพอมองเป็นร่างของสือชวน


ครู่ต่อมา เสียงแผดยาวของสัตวประหลาดก็สิ้นสุดลง ร่างของมันสั่นไหวก่อนที่จะกลายเป็นเงาสีแดงหายวับเข้าไปในป่าดงดิบ


ดูจากทิศทางที่มันไปแล้ว เป็นทิศทางเดียวกับที่ชายหนุ่มนิกายจันทราสวรรค์วิ่งหนีไป


……


อีกสองสามวันถัดมา ข่าวการเข่นฆ่าของสัตว์ประหลาดครึ่งมนุษย์ครึ่งมังกรในป่าดงดิบก็แพร่สะบัดไปยังศิษย์แต่ละนิกายด้วยวิธีการต่างๆ อย่างรวดเร็ว


ศิษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ในตอนนี้มีไม่ถึงครึ่งหนึ่งของตอนแรกที่เข้ามาในแดนลึกลับ แต่พวกเขาล้วนเป็นศิษย์ที่มีพลังแกร่งกล้า และระมัดระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง


พวกเขาต่างก็ร่วมมือกันเป็นกลุ่มน้อยใหญ่หลังจากได้ยินข่าวไม่นาน และไม่กล้ากระทำการใดๆ เพียงลำพัง


และผู้ที่อยู่ตามลำพังก็ระมัดระวังเป็นอย่างมาก พวกเขาต่างก็หลบอยู่ในสถานที่เร้นลับ ไม่กล้าออกไปเดินอยู่ข้างนอก


ชั่วเวลานั้นสัตว์ประหลาดตนนั้นก็ไม่สามารถหาเป้าหมายที่เหมาะสมได้ มันจึงหันหน้าไปลงมือกับปีศาจอสูรที่อยู่ในป่าดงดิบ


ขณะนี้ พื้นที่ทั่วทุกแห่งในป่าดงดิบมีซากศพของปีศาจอสูรที่ถูกฉีกทึ้ง และโดนดูดเลือดจนแห้งเต็มไปหมด


ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ศิษย์แต่ละนิกายยิ่งรู้สึกหวาดกลัว และระมัดระวังสัตว์ประหลาดตนนี้มากขึ้นกว่าเดิมร้อยเท่า


……


หลังจากที่หลิ่วหมิงกลั่นพลังภายในจนหมดหยดสุดท้ายแล้ว เขาก็นำจิตไปรับรู้ถึงพลังเวทย์ที่พรั่งพรูไปตามเส้นลมปราณต่างๆ


พลังเวทย์เหล่านี้แข็งแกร่งมากจนเกินขีดความสามารถที่ร่างกายของเขาจะรับได้เล็กน้อย ทำให้เส้นลมปราณต่างๆ เจ็บปวดราวกับถูกทิ่มแทง


นี่เป็นผลจาการที่เขากินลูกท้อจิตวิญญาณไปครึ่งหนึ่งจนผลักดันให้การฝึกฝนเขาเข้าสู่ระดับที่สมบูรณ์แบบแล้ว และกลับค้นพบว่าพลังของลูกท้อจิตวิญญาณที่เหลือก็เริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว เขาจึงตัดสินใจใช้เวลาอีกสามถึงสี่วันในการกินลูกท้อยี่สิบกว่าลูกที่เหลือ


และลูกท้อจิตวิญญาณที่เหลือแต่ละลูกก็แห้งกลายเป็นไม้จนไม่สามารถกินได้ ทำให้เขาจำต้องทิ้งมันไป


พลังเวทย์ที่เพิ่มขึ้นมาในครั้งนี้มีปริมาณมหาศาล ลำพังแค่ความบริสุทธิ์ของมันก็มีมากกว่าการใช้โอสถในการเพิ่มพลังเวทย์เป็นอย่างมาก


เดิมทีพืชผลไม้จิตวิญญาณที่เพิ่มพลังเวทย์ก็แตกต่างจากเลือดเนื้อของปีศาจอสูรโดยสิ้นเชิง พวกมันต่างก็เกิดขึ้นจากปราณบริสุทธิ์ของฟ้าดินซึ่งแฝงไปด้วยพลังบริสุทธิ์กว่าที่คาดไว้มาก พอมันกลั่นเป็นพลังเวทย์แล้วสิ่งแปลกปลอมที่ผสมปนเปเข้ามานั้นก็สามารถมองข้ามมันไปได้


วัตถุจิตวิญญาณเพิ่มพลังเวทย์ที่มีผลลัพธ์เช่นนี้ ทั้งยังไม่มีผลข้างเคียงใดๆ แน่นอนว่าโลกภายนอกมันถูกผู้ฝึกฝนเก็บไปจนหมดแล้ว


ที่มีอยู่ก็เหลือน้อยมาก พอผู้ฝึกฝนค้นพบก็เสียดายไม่กล้าที่จะกินมัน แต่กลับมอบให้ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถใช้เป็นวัตถุดิบในการปรุงเป็นโอสถที่หาได้ยากยิ่ง


ผลลัพธ์การเพิ่มพลังเวทย์ของมันกลับเป็นเรื่องรองเสียแล้ว


เพราะการเพิ่มพลังเวทย์ของพืชจิตวิญญาณต้นหนึ่ง บางทีก็เทียบเท่ากับการฝึกฝนอย่างหนักไม่กี่เดือนเท่านั้น และโอสถล้ำค่าหายากที่ใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆ กลับสามารถช่วยตนเองตอนเจอปัญหาคอขวดหรือช่วยชีวิตได้หลายครั้ง


หลิ่วหมิงสัมผัสถึงพลังเวทย์ที่เต็มเปี่ยมภายในร่าง แล้วก็คำนวนเวลาอยู่ในใจเงียบๆ ดูเหมือนว่าเหลือเวลาอยู่ในแดนลึกลับไม่กี่วันแล้ว ควรจะออกเดินทางไปปากทางเข้าแดนลึกลับได้แล้ว


หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ จากนั้นก็รีบลุกขึ้นมาอย่างไม่ลังเล เขาก้าวยาวๆ ออกไปจากโพรงไม้และสังเกตดูบรรยากาศบริเวณรอบๆ ก่อนที่จะทำท่ามือร่ายคาถาออกมา


เสียงดัง “ซู่!”


แมงป่องกระดูดขาวมุดขึ้นมาจากพื้นดิน และใช้ก้ามด้านหน้าแตะที่ปลายกางเกงของเขาอย่างสนิทสนม


หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย เขาก้มลงลูบก้ามของแมงป่องกระดูกขาวอยู่ครู่หนึ่ง แล้วใช้มือตบไปยังถุงหนังตรงเอวก่อนที่จะมีแสงสว่างม้วนตัวออกมา มันย่อส่วนแมงป่องกระดูกขาวแล้วดูดเข้าไปในนั้น


จากนั้นเขาก็หยิบแผ่นเข็มทิศออกมาจากอก หลังจากที่สังเกตดูเส้นทางที่มีเครื่องหมายกำกับไว้แล้วก็เก็บมันเข้าไปไว้ที่เดิม เขากระทืบเท้าข้างหนึ่งลงพื้นและกระโดดขึ้นไปบนกิ่งของต้นไม้ จากนั้นก็ค่อยๆ ลอยออกไปยังที่ไกลๆ


สามชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงที่กำลังกระโดดไปตามกิ่งไม้ต่างๆ พลันหยุดฝีเท้าลงและส่งเสียงร้อง “เอ๊ะ?” หลังจากที่กวาดสายตามองไปรอบด้านแล้ว จึงได้ลอยลงมาจากกิ่งไม้


สถานที่อยู่ห่างจากเขาไปไม่ไกล มีซากศพปีศาจอสูรขนาดใหญ่สูงจั้งกว่าๆ หางของมันแวววาว มือเท้าทั้งสี่หนาผิดปกติ มันคือหมียักษ์สีน้ำตาล ซึ่งนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้น ทั้งตัวเต็มไปด้วยหยดเลือด เหมือนกับว่ามันไร้ซึ่งลมหายใจแล้ว


หลิ่วหมิงเดินวนดูหมีสีน้ำตาลไปสองรอบ แล้วมองดูต้นไม่บริเวณรอบๆ! ที่ถูกพลังมหาศาลผลักล้มลงไป กับรอยเท้าจำนวนมากที่ปรากฏอยู่แถวนั้นแล้วก็พลันยกเท้าขึ้นมา


“ตุ้บ!” ซากศพของหมียักษ์ถูกเตะพลิกขึ้นมา เผยให้เห็นถึงรู้เลือดขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นบนต้นคอ กับใบหน้าหวาดกลัวก่อนตาย


หลิ่วหมิงขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ หลังจากที่ดวงตาเป็นประกาย เขาก็พลันก้มลงหยิบสิ่งของชิ้นหนึ่งขึ้นมาจากฝ่ามือหมียักษ์


มันคือเกล็ดมังกรสีแดงม่วงนั่นเอง!


……………………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)