พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1299-1304

 บทที่ 1299 ช่างตรงไปตรงมา

โดย

Ink Stone_Fantasy

“โจรกบฏพวกนั้นหลบซ่อนตัวอยู่ทุกที่ ทำให้พวกเราค้นหาไปทั่วจนขาจะหักอยู่แล้ว”


“อย่าบ่นมากเลย ที่หุบเขานี้เหมือนจะเป็นที่ซ่อนตัวได้เลย ทุกคนค้นหาให้ละเอียด”


“เอ๋! ใต้หินก้อนนี้มีพื้นที่ว่างนะ”


“เข้าไปดูสักหน่อย!”


การแสดงช่างเรียบง่าย  ทั้งสี่เดินบ่นอยู่ในหุบเขา ก็เลยบังเอิญเจอถ้ำแห่งหนึ่ง ค้นพบได้อย่างรวดเร็วฉับไว แล้วก็ไม่ต้องแสดงละครอะไรมาก เพราะคนที่หลบอยู่ในถ้ำมองไม่เห็น ต่อให้แสดงดีกว่านี้แต่ก็เหมือนแสดงให้คนตาบอดดู ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น แค่แสดงให้ได้ยินก็พอ


โครม! หินที่อุดปากถ้ำถูกเตะออกไปแล้ว ชายสองคนถลันตัวเข้าไปทันที


บึ้ม! มีเสียงสะท้านฟ้าสะเทือนดินดังขึ้นอีก หุบเขาด้านหนึ่งระเบิดออกมาเป็นโพรง ดินหินพังปลิวราวกับจะย้ายภูเขาคว่ำทะเล ปี้เยว่ฮูหยินที่ยามปกติใช้ชีวิตที่มีเกียรติมั่งคั่งและร่ำรวย ในเวลานี้สวมเกราะรบโผล่ขึ้นมาจากผิวดินอย่างตื่นตระหนก ไม่มีความมุ่งมั่งในการต่อสู้รบใดๆ ทั้งนั้นพุ่งขึ้นฟ้าเตรียมจะหลบหนี


“จะหนีไปไหน!” สองคนที่นั่งเฝ้าอยู่ด้านนอกถลันตัวไล่ตามไปบนฟ้าทันที


ขณะดียวกันเงาคนคนหนึ่งก็แฉลบผ่านฟ้าเข้ามา ขวางทางไว้กลางอากาศ ตัดทางหนีของปี้เยว่ฮูหยิน ไม่ใช่ใครที่ไหน กงซุนลี่เต้านั่นเอง


ปี้เยว่ฮูหยินหยุดชะงักกลางท้องฟ้าอย่างวิตกกังวล นางเบิกตากว้าง ตอนแรกก่อนที่จะซ่อนตัว นางก็โดนกงซุนลี่เต้าทำให้ตกใจจนแทบขวัญกระเจิง อุตส่าห์ซ่อนตัวได้นานขนาดนี้แล้ว ทีแรกนึกว่าจะได้อยู่อย่างสงบปลอดภัย ใครจะคิดว่าพอโผล่ออกมาก็เจอกันเลย อารมณ์หวาดกลัวและเศร้าโศกนี้ยากจะบรรยายออกมาได้ ทำไมโชคร้ายขนาดนี้ รู้สึกอยากตายขึ้นมาแล้วจริงๆ


นางรู้อย่างแจ่มแจ้ง ว่ายามเผชิญกับยอดฝีมือที่น่ากลัวระดับกงซุนลี่เต้า เจ้าก็ไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะต่อสู้ด้วยซ้ำ


เมื่อเห็นกงซุนลี่เต้ายกมือขึ้นอย่างช้าๆ เตรียมจะโจมตี ปี้เยว่ฮูหยินที่หน้าซีดเผือดก็รีบวางอาวุธในมือ แล้วตะโกนเสียงดังว่า”ยอมแพ้! ข้ายอมแพ้!”


กงซุนลี่เต้าเลือดเย็นมาก ทำสีหน้าราวกับเห็นคนเป็นผักหญ้า จู่ๆ ก็ฟาดฝ่ามือโจมตีออกมาหนึ่งครั้ง พลังอิทธิฤทธิ์อันทรงพลังถล่มเข้าไปราวกับหินอุกกาบาตที่ตกจากฟ้า


ชีวิตของข้าจบเห่แล้ว! ปี้เยว่ฮูหยินทำสีหน้าหวาดกลัวสิ้นหวัง!


วึง! เกิดเสียงดังก้องดาราจักร


เงาคนคนหนึ่งแฉลบผ่านฟ้ามา แสงสะท้อนคมดาบวิบวับราวกับฟ้าผ่า มีรูปร่างราวกับอาวุธจริง ราวกับกระแสน้ำตก เหมือนกับสายรุ้งที่ตัดผ่านดวงอาทิตย์ โจมตีสกัดพลังอิทธิฤทธิ์อันทรงพลังของฝ่ามือนั้น


บึ้ม! พลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดสาดกระเพื่อมออกมา ม้วนไปที่ผืนดินอันกว้างใหญ่ไพศาล ทรายหินบนผิวดินปลิวว่อน ฝุ่นดินตลบอบอวลขึ้นมา


การโจมตีอันทรงพลังของกงซุนลี่เต้าสลายหายไป เงาดาบที่ดุร้ายก็ค่อยๆ สลายจนไร้รูปร่างเช่นกัน ปี้เยว่ฮูหยินหกคะมำคว่ำคะเมนอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ราวกับเป็นใบไม้ปลิวอยู่ท่ามกลางพลังอิทธิฤทธิ์ที่พัดม้วน ไม่มีทางควบคุมร่างกายตัวเองได้เลย


กงซุนลี่เต้าที่ยืนอยู่บนฟ้าพลันหันกลับมา แล้วตะคอกถามมอย่างเกรี้ยวกราด “ไห่ยวนเค่อ เจ้าคิดจะทำอะไร?”


จู่ๆ ปี้เยว่ฮูหยินที่อยู่ท่ามกลางความวุ่นวายก็รู้สึกว่าร่างกายตัวเองหยุดอยู่กับที่ นางรู้สึกตึงที่เอว ตกอยู่ในอ้อมแขนที่บึกบึนทรงพลัง นางอยากจะดิ้นรน ทว่าวรยุทธ์ของอีกฝ่ายสูงเกินไปจริงๆ ไม่ให้โอกาสนางขยับตัวเลย ตอนนี้นางมองเห็นใบหน้าด้านข้างที่มีหนวดเคราและจอนผมแล้ว


ตรงที่ไกลๆ ในซอกร่องของหน้าผาแห่งหนึ่ง ที่ด้านหลังซอกหน้าผา เหมียวอี้ยื่นศีรษะและร่างกายครึ่งหนึ่งออกมา ข้างหลังเขาเป็นอ๋าวเถี่ย สืออวิ๋นเปียน ซือถูกชิงหลันยื่นศีรษะออกมาตามลำดับ


พระเอกโผล่ออกมาแล้ว เหมียวอี้ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองดูในระยะไกล


ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งปรากฏตัวกลางท้องฟ้า การแต่งตัวเรียบง่ายธรรมดา สวมชุดที่ทำจากผ้าฝ้ายหยาบ ม้วนแขนเสื้อและขากางเกง สวมรองเท้าผ้าฝ้ายหยาบ เหมียวอี้ยังนึกว่าตัวเองมองผิดไป ขุนพลใหญ่ลัทธิอู๋เลี่ยงผู้สง่าผ่าเผย ทำไมแต่งตัวเหมือนชาวนาไปได้ล่ะ


แต่ก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบจริงๆ ใบหน้าหล่อเหลาเด็ดเดี่ยว นับว่าเป็นชายรูปงามที่หาพบได้ยากในโลก เพียงแต่แต่งตัวไม่เรียบร้อย เกล้าผมอย่างลวกๆ ปักปิ่นไว้บนยอดศีรษะอย่างง่ายๆ แววตาเศร้าซึม ไว้หนวดหร็อมแหร็ม ข้างหลังสะพายฝักดาบและหมวกงอบใบหนึ่ง ทั้งตัวให้ความรู้สึกเหมือนผ่านโลกมาอย่างโชกโชน แต่กลับมีสง่าราศีอย่างบอกไม่ถูก


“คนนั้นคือ…จุจุ! ขุนพลใหญ่ไห่แต่งตัวแบบนี้ มีเสน่ห์ไปอีกแบบจริงๆ หล่อมากจริงๆ ด้วย” เหมียวอี้เอ่ยชม


“หล่อเหรอ? ทำให้เขาขาดเงิน แล้วยังทำให้เขาขาดคลนเสื้อผ้าอีกเหรอ? ถ้าเป็นคนโกโรโกโสจริงก็ว่าไปอย่าง ขุนพลใหญ่ผู้สง่าผ่าเผยอยากจะแต่งตัวยังก็ได้ ทำไมดันทำซะเหมือนคนตกอับที่นั่งยองๆ ขายตัวเพื่อฝังศพพ่ออยู่ที่หัวถนนล่ะ จะทำตัวให้หล่อๆ ไม่ใช่เหรอ? ให้คนแบบนี้โผล่ออกมาน่าอิดสะเอียนจะตาย ไม่ทำตัวเด่นกว่าพวกเราแล้วจะตายรึไง?” สืออวิ๋นเปียนที่อยู่ข้างหลังพูดดูถูก


“ขายตัวเพื่อฝังศพพ่อ? เอ่อ…” เหมียวอี้หันกลับมามองแวบหนึ่ง คำพูดเหน็บแนมนี้ร้ายพอสมควร นี่นางกำลังหึงหรือว่ามีความแค้นต่อกันล่ะ!


“อุบ…” อ๋าวเถี่ยได้ยินแล้วหลุดหัวเราะออกมา


แม้แต่ซือถูกชิงหลันเอง เมื่อได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปากเช่นกัน แล้วก็ถามทันทีว่า “พวกเจ้ากำลังทำอะไรกันแน่”


“ไม่ทำอะไรหรอก” สืออวิ๋นเปียนตอบ


นี่ยังไม่ได้ทำอะไรอีกเหรอ? ขนาดคนโง่ยังมองออกว่ามีอะไรในกอไผ่ ซือถูกชิงหลันเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะฟันเขาแล้ว


ท่ามกลางพลังอิทธิฤทธิ์ที่พัดกระเพื่อม มือข้างหนึ่งของไห่ยวนเค่อกำลังโอบเอวของปี้เยว่ฮูหยิน ส่วนมืออีกข้างยกดาบหักเสียบลงในฝักที่สะพายอยู่ด้านหลัง ดาบเสียบลงฝักเสียงดังชวิ้ง! ขณะเดียวกันก็คลายมือปล่อยปี้เยว่ฮูหยินที่หยุดโซเซแล้ว ตอบกงซุนลี่เต้าที่อยู่ตรงหน้าอย่างเย็นเยียบว่า “ก็ไม่คิดจะทำอะไร นางบอกว่ายอมแพ้แล้ว ทำไมยังจะฆ่านางอีก?”


ปี้เยว่ฮูหยินที่ยังขวัญผวาย่อมไม่มีอารมณ์มาชื่นชมความ ‘หล่อ’ ของใครบางคน เพียงรู้สึกโชคดีหลังจากรอดชีวิต นึกไม่ถึงว่าจะได้พบคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วย เมื่อเห็นลายคลื่นสีครามที่เป็นสัญลักษณ์พลังอิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้วของอีกฝ่าย นางก็ตกใจนิดหน่อย เป็นยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์อีกแล้ว!


“ไห่ยวนเค่อ! เจ้ายุ่งมากเกินไปรึเปล่า?” กงซุนลี่เต้าตำหนิอย่างโมโห


ไห่ยวนเค่อ? ทันใดนั้น ปี้เยว่ฮูหยินก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ หันกลับมามองคนที่ช่วยชีวิตตัวเองอีกครั้ง พอเห็นการแต่งตัวของอีกฝ่าย หนังตานางก็กระตุก อย่าบอกนะว่าท่านนี้คือไห่ยวนเค่อ ขุนพลใหญ่ของประมุขปราชญ์ลัทธิอู๋เลี่ยงในตำนาน?


“จะจะปกป้องคนคนนี้” ไห่ยวนเค่อตอบ


กงซุนลี่เต้าแสยะยิ้มไม่หยุด “นี่คือโจรกบฏ เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาปกป้องนาง?”


ในตอนนี้เอง ในที่สุดพวกเหมียวอี้ก็โผล่หน้าออกมาแล้ว เหาะออกมาจากที่ไกลๆ อย่างรวดเร็ว หลังจากหยุดอยู่แถวนั้น  อ๋าวเถี่ยก็ถามว่า “เสียงสะเทือนฟ้าสะเทือนดินเมื่อครู่นี้ ใช่พวกเจ้าสองคนประมือกันรึเปล่า?”


กงซุนลี่เต้าชี้ไห่ยวนเค่อพร้อมบอกว่า “เจ้าถามเขาสิ ตรงนี้กำลังจะฆ่าโจรกบฏที่แฝงตัวอยู่ แต่เขากลับมาขัดขวาง ตอนนี้ข้าสงสัยแล้วว่าเขาเป็นพวกเดียวกับโจรกบฏรึเปล่า”


อ๋าวเถี่ยอยากรู้อยากเห็นทันที “ไห่ยวนเค่อ เจ้าทำแบบนี้หมายความว่ายังไง? ทำไมต้องปกป้องโจรกบฏคนนี้?”


ไห่ยวนเค่อตอบด้วยสีหน้าดุร้ายเย็นชา “ก็ไม่ทำไมหรอก ข้าถูกใจนางไม่ได้รึไง?”


“…” ปี้เยว่ฮูหยินที่กำลังขวัญผวา พอได้ยินแล้วตกตะลึงอ้าปากค้างทันที


“…” เหมียวอี้และคนอื่นๆ งุนงง บทละครที่เตรียมไว้ไม่ควรจะตรงไปตรงมาขนาดนี้สิ ขนาดความสมเหตุสมผลยังไม่มี บทจะชอบก็ชอบเลยงั้นเหรอ แบบนี้ปลอมไปหน่อยรึเปล่า?


ซือถูกชิงหลันงงมากจริงๆ อ้าปากค้างจนแทบจะยัดไข่ไก่เข้าไปได้ เหมือนจินตนาการไม่ออกมาว่าไห่ยวนเค่อจะพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้


พอออกนอกบทแบบนี้ กงซุนลี่เต้ายืนเหม่อค้างอยู่ที่เดิม เห็นได้ชัดว่าพูดไม่ออกเพราะไห่ยวนเค่อแล้วเช่นกัน ถึงตาจ้องไห่ยวนเค่ออยู่อย่างนั้น


“แค่กๆ!” อ๋าวเถี่ยกำมือป้องปากไอแห้งๆ แล้วบอกว่า “เอ่อคือ ไห่ยวนเค่อ พวกเจ้าเคยเจอกันมาก่อนเหรอ?” เขาอยากจะช่วยให้จบลงด้วยดี


“ไม่เคยเจอกันมาก่อน” ไห่ยวนเค่อตอบ


อ๋าวเถี่ยจึงถามว่า “ไม่เคยเจอกันมาก่อน แล้วเจ้าอาศัยอะไรไปถูกใจนาง?”


ไห่ยวนเค่อเอียงหน้ามองปี้เยว่ฮูหยินที่กำลังเบิกตากว้างอ้าปากค้าง แล้วยื่นฝ่ามือออกไปให้นาง บอกใบ้ว่าจะจูงมือนาง


ปี้เยว่ฮูหยินงงนิดหน่อย แต่นางก็รู้เช่นกันว่าในตอนนี้ผู้ชายคนนี้คือความหวังเดียวในการปกป้องชีวิต จึงยื่นมือไปวางในฝ่ามือของอีกฝ่ายทันที


แต่ใครจะคาดคิด จู่ๆ ไห่ยวนเค่อก็ดึงปี้เยว่เข้ามาในอ้อมอกของตัวเอง กอดอีกฝ่ายไว้ในอ้อมอกโดยตรง นางยังไม่ทันรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร ไห่ยวนเค่อที่ไม่ปรึกษาอะไรกับใครเลยสักนิดก็ประกบจูบบนริมฝีปากนางอย่างเผด็จการแล้ว นางเบิกตากว้างมองดูผู้ชายที่กำลังจูบตัวเองอยู่ ในแววตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ไม่สนใจว่ากำลังถูกหนวดเคราสั้นทิ่มแทงบนใบหน้าตัวเอง


ในชั่วพริบตาเดียว ทุกคนที่อยู่ตรงหน้าพากันอ้าปากค้างแล้ว คางแทบจะหลุดร่วงลงพื้น เหม่อค้างไปตามๆ กัน


เมื่อจูบที่เนิ่นนานคลายออก ปี้เยว่ฮูหยินก็ยังคงจ้องเขาอย่างตกตะลึง บอกไม่ถูกว่าสายตาสื่ออารมณ์ไหน


ไห่ยวนเค่อกลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พูดกับทุกคนด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบว่า “ไม่อาศัยอะไรหรอก อาศัยที่ตอนนี้นางเป็นผู้หญิงของข้าแล้วไง ข้าอยากจะปกป้องนางไม่ได้เหรอ?”


มารดาเจ้าเถอะ! ตรงไปตรงมาเกิน โหดนัก! เหมียวอี้พูดไม่ออกสุดๆ เขามองไปหาปี้เยว่ฮูหยินที่ไม่รู้ว่ากำลังตกตะลึงหรืองุนงงอีกครั้ง ทำให้แทบจะหลุดขำออกมา คาดว่าปี้เยว่ฮูหยินคงนึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบบนี้


อ๋าวเถี่ยอดไม่ได้ที่จะใช้สองมือถูใบหน้าตัวเอง รู้สึกโง่เขลาเพราะไห่ยวนเค่อแล้วจริงๆ เขาเอามือถูหน้าปลุกตัวเองให้ได้สติ เรียบเรียงคำพูดครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “ไห่ยวนเค่อ แบบนี้ไม่สอดคล้องกับธรรมเนียม นางเป็นโจรกบฏ ถ้านางเปิดเผยความลับทางฝั่งนี้ของพวกเรา ถึงตอนนั้นแม้แต่เจ้าเองก็จะเอาตัวไม่รอด ต่อให้เจ้าจะอยากได้นางไปเป็นผู้หญิงของเจ้าจริงๆ อย่างน้อยก็จะขาดใบรับรองสมาชิกไม่ได้”


ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะดึงบทละครกลับมาได้ โชคดีที่ไห่ยวนเค่อไม่ได้เล่นนอกบทอีก “ซือถู ทางเจ้ามีคนติดกับดักมั้ย?”


“หา! อ้อ!” ในที่สุดซือถูกชิงหลันก็ได้สติกลับมาแล้ว พยักหน้าตอบว่า “ทางนี้จับได้ไม่กี่คน เจ้าจะให้ข้าเหลือคนไว้ให้เจ้าเหรอ”


ไห่ยวนเค่อพยักหน้าแสดงความขอบคุณ


อ๋าวเถี่ยบอกอีกว่า “ไห่ยวนเค่อ เจ้าจะปกป้องนางก็ย่อมได้ แต่ตามธรรมเนียมแล้ว นางต้องส่งของบนตัวออกมาให้หมด”


ไห่ยวนเค่อเอียงหน้ามองปี้เยว่ พร้อมกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ถ้าอยากรักษาชีวิตไว้ ก็ส่งของบนตัวเจ้าออกมาให้หมด ส่งมาให้พวกเขา มีปัญหาอะไรมั้ย?”


ปี้เยว่ฮูหยินส่ายหน้า แล้วก็รีบพยักหน้าอีก นางถอดเกราะรบบนตัวออก นำสิ่งของประเภทกำไลเก็บสมบัติส่งอกมาทั้งหมด ของที่อยู่นอกกาย ต่อให้สำคัญขนาดไหนก็ไม่สำคัญกว่าชีวิต ในจุดนี้นางยังสามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจน


ผ่านไปครู่เดียวคนกลุ่มหนึ่งก็เหาะลงมา ไห่ยวนเค่อยืนเงียบๆ อยู่ไม่ไกล ส่วนปี้เยว่ฮูหยินที่กำลังกังวลก็ยืนอยู่ข้างเขา


ซือถูชิงหลันหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อลูกน้องตัวเอง ให้พานักโทษที่จับได้มาที่นี่


เหมียวอี้ อ๋าวเถี่ย สืออวิ๋นเปียนและกงซุนลี่เต้าถ่ายทอดเสียงคุยกันอยู่อีกด้าน


“ไห่ยวนเค่อกินยาผิดมารึเปล่า ย้อนดูตอนที่เขาดุดันกับผู้หญิงคนนี้สิ ไม่ใช่ว่าถูกใจนางจริงๆ หรอกใช่มั้ย?” สืออวิ๋นเปียนถาม


อ๋าวเถี่ยบอกว่า “เจ้ายังไม่รู้จักนิสัยของเขาอีกเหรอ ตอนแรกจะเป็นจะตายยังไงก็ไม่ยอมตอบตกลง ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเราอ้างเรื่องที่ประมุขปราชญ์ดูแลเขาดีในปีนั้น เขาก็คงไม่ตอบตกลงหรอก ตอนนี้ถ้าจะให้เขาพูดหยอดคำหวานชวนขนลุกกับผู้หญิงคนนี้ เขาต้องพูดไม่ออกแน่นอน การที่เขาทำแบบนี้ได้ก็ต้องขอบคุณฟ้าขอบคุณดินแล้ว ช่างเถอะ จะอ้อมค้อมหรือจะตรงไปตรงมาก็ได้ ขอแค่ทำสำเร็จก็พอแล้ว…ประมุขปราชญ์ ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร?” เขาหันมาถามความเห็นของเหมียวอี้


“ข้าไม่มีความเห็นอะไรหรอก พวกเจ้าจัดการตามเห็นสมควรเถอะ!” เหมียวอี้กล่าวอย่างร่าเริง แต่ในใจกลับพึมพำว่า เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมาย เจ้าคนพวกนี้ช่างทำได้ทุกอย่างโดยไม่เลือกวิธีการจริงๆ เมื่อเปรียบเทียบสิ่งที่ตัวเองเคยทำกับสิ่งที่คนพวกนี้ทำ ตัวเองก็เหมือนรุ่นเล็กมาเจอรุ่นใหญ่จริงๆ


บทที่ 1300 ปี้เยว่แต่งงานอีกครั้ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

สมาชิกตำหนักสวรรค์ที่เข้าร่วมการทดสอบถูกส่งตัวมาแล้ว แต่ละคนถูกควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ไว้ ยืนพิงกันตัวสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว มองกลุ่มคนที่เข้ามาประชิดอย่างระแวดระวัง อยากจะถอยหลังแต่กลับถูกคนที่ควบคุมตัวเชลยศึกขวางเอาไว้ ไม่มีทางให้หนี


ไห่ยวนเค่อก้าวช้าๆ ไปตรงหน้านักโทษ ปี้เยว่ฮูหยินเรียกได้ว่าก้าวเดินตามเขา กลัวว่าถ้าอยู่ห่างจากอีกฝ่ายแล้วจะโดนคนอื่นฆ่า


“ผู้หญิงออกมา” ไห่ยวนเค่อชี้ผู้หญิงสามคนที่อยู่ในนั้นด้วยท่าทางใจเย็น


ผู้หญิงสามคนนั้นส่ายหน้าอย่างหวาดกลัว ไม่รู้ว่าต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์อะไร จึงไม่กล้าออกมา แต่กลับถูกคนที่บุกเข้าไปในนั้นบีบหลังคอโยนออกมาทีละคน


ผู้หญิงสามคนตกกระแทกลงบนพื้น แล้วลุกขึ้นอย่างตระหนก ก่อนจะเบียดกันตัวสั่นระริก


ตรงหน้าผู้ชายสิบสองคนที่ได้รับบาดเจ็บนิดหน่อย ไห่ยวนเค่อยกมือคว้าดาบข้างหลัง จับด้ามดาบชักออกมา หมุนคมดาบถือกลับด้าน แล้วส่งให้ปี้เยว่ที่อยู่ข้างๆ “ใบรับรองสมาชิก ฆ่าสามคน เจ้ารอด ถ้าไม่ฆ่า ข้าก็ปกป้องเจ้าไม่ได้!”


เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ชายสิบสองคนก็เริ่มกระวนกระวายถึงขีดสุดแล้ว


เหมียวอี้และคนอื่นๆ ที่อยู่ไม่ไกลมองดูฉากนี้ด้วยสายตาเย็นเยียบ


ปี้เยว่ฮูหยินไม่มีทางเลือก นางกัดริมฝีปากแน่น รับดาบมาไว้ในมือ แล้วก้าวช้าๆ ไปหาสิบสองคนนั้น


“ข้ารู้จักท่าน ท่านคือฮูหยินของท่านโหวเทียนหยวน ท่านคิดจะทำอะไร?” เมื่อเห็นปี้เยว่เดินมาหาตัวเอง ชายคนหนึ่งก็ร้องบอกอย่างตกใจ


ตอนที่เขายังไม่พูดคำนี้ก็ยังไม่เป็นอะไร แต่พอพูดออกมาปี้เยว่ฮูหยินก็เริ่มเครียดแล้ว คนที่บอกว่าจะปกป้องชีวิตนางบอกว่าชอบนาง ถ้ารู้ว่านางเป็นผู้หญิงที่มีสามีแล้ว เขาจะคิดอย่างไรล่ะ? ชั่วพริบตานั้นนางก็ไม่ลังเลอีกต่อไป กวาดดาบออกมาหนึ่งที ตัดหัวชายคนนั้นกระเด็นออกไปเสียเลย ในที่สุดก็ปิดปากอีกฝ่ายได้แล้ว


เลือดร้อนๆ พุ่งขึ้นมาจากคอ ร่างที่ไรศีรษะยังไม่ทันล้มลงพื้น ปี้เยว่ฮูหยินก็ลงมืออีกด้วยความรวดเร็ว ฟันซ้ายฟันขวาคนละหนึ่งดาบ มีศีรษะอีกสองใบขาดกระเด็นอีกแล้ว ทำให้คนที่เหลือถอยหลังอย่างตกใจกลัว แต่กลับถูกเท้าของคนที่เฝ้าอยู่ข้างหลังเตะกลับมา


ปี้เยว่ฮูหยินถือดาบเดินกลับมาอย่างช้าๆ ใช้สองมือประคองดาบคืนให้ตรงหน้าไห่ยวนเค่อ


ไห่ยวนเค่อเอียงหน้ามองผู้หญิงอีกสามคน พร้อมบอกว่า “ส่งดาบให้พวกนาง ฆ่าคนละสามคน”


ดังนั้นปี้เยว่ฮูหยินจึงถือดาบไปยื่นให้ตรงหน้าผู้หญิงสามคนนั้น ทั้งสามสบตากันอย่างหวาดกลัว ไม่มีใครยื่นมือไปรับดาบ


“ศีรษะสามใบ นี่คือใบรับรองสมาชิก ให้โอกาสพวกเจ้ารอดชีวิตแล้ว พวกเจ้าไม่อยากได้เหรอ?” ไห่ยวนเค่อถาม


เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ผู้หญิงหนึ่งในนั้นก็ยื่นมือไปรับดาบจากปี้เยว่ฮูหยินทันที แต่ใครจะคิดว่าอีกสองคนจะรีบยื้อแย่ง ทุกคนอยากจะช่วงชิงโอกาสในการมีชีวิตรอด


ปี้เยว่ฮูหยินคลายมือออก ดาบตกลงพื้น ปักลงบนพื้นดินครึ่งหนึ่ง ผู้หญิงสามคนที่ยื้อแย่งกันไม่มีใครสามารถดึงดาบขึ้นมาได้ ต่อให้ทั้งสามร่วมมือกันออกแรงเต็มที่ก็ยังดึงไม่ออก


ดาบวิเศษขนาดใหญ่ที่สร้างจากผลึกแดงบริสุทธิ์สูง สำหรับคนที่สูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์ไปแล้ว นี่คือสิ่งที่หนักหน่วงไร้ที่เปรียบ ไม่มีทางทำให้มันขยับได้เลย


ไห่ยวนเค่อเพิ่งจะพบว่าตัวเองลืมจุดนี้ไป บนตัวปี้เยว่ฮูหยินไม่ได้ถูกระงับพลัง แต่ผู้หญิงสามคนนี้กลับไม่มีทางใช้พลังอิทธิฤทธิ์ได้


พลังอิทธิฤทธิ์กลุ่มหนึ่งโถมเข้ามา ซวบ! ดาบถูกดึงขึ้นกลางอากาศ แล้วหมุนเข้าไปตกในฝักดาบที่สะพายอยู่ข้างหลังไห่ยวนเค่อเสียงดัง “แกร๊ง”


ผู้หญิงสามคนที่แย่งกันล้มลงพื้นพร้อมกันทันที คนยังไม่ทันลุกขึ้นมา ซวบๆๆ กระบี่ยาวสามด้ามก็ลงจากฟ้ามาปักตรงหน้าทั้งสามคนพอดี


ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหมายความว่าอะไร ผู้หญิงทั้งสามลุกขึ้นทันที ต่างคนต่างชักกระบี่ออกมา เพื่อที่จะมีชีวิตรอด  พวกนางพุ่งเข้าไปหาเป้าหมายอย่างบ้าคลั่ง


“ข้ายอมแพ้!”


“ขอร้องพวกเจ้าล่ะ พวกเจ้าจะให้ข้าทำอะไรก็ได้”


เมื่อถูกความตายคุกคาม ผู้ชายทั้งสิบสองคนก็แทบจะสติหลุด จะหนีก็หนีไม่ได้ ได้แต่ร้องขอชีวิตอย่างหวาดกลัวอยู่อย่างนั้น มีคนนั่งคุกเข่าขอร้อง มีบางคนน้ำตาไหลพราก


“อา…”


เสียงร้องโอดครวญดังต่อเนื่องหลายครั้ง ทุกคนล้มลงภายใต้กระบี่ของผู้หญิงทั้งสามอย่างไม่มีข้อยกเว้น ไม่รวดเร็วฉับไวเหมือนปี้เยว่ฮูหยินที่ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ช่วยสังหาร ผู้หญิงทั้งสามคนเผชิญกับการถูกกลุ่มผู้ชายต่อต้าน ต้องใช้ประโยชน์จากกระบี่วิเศษถึงจะทำสำเร็จ เป็นขั้นตอนที่ยากลำบาก


หลังจากทำให้ผู้ชายทั้งสิบสองคนล้มลงแล้ว ผู้หญิงทั้งสามก็โบกกระบี่ราวกับสับเนื้อ ฟันติดต่อกันหลายครั้งกว่าศีรษะของเป้าหมายจะขาดลงมา เสร็จแล้วถึงได้นำศีรษะคนละสามใบเดินกลับมายื่นให้ตรงหน้าไห่ยวนเค่ออย่างสะบักสะบอม นี่ก็คือใบรับรองสมาชิกที่สามารถทำให้ตัวเองรอดชีวิตได้


ไห่ยวนเค่อหันกลับมามองพวกเหมียวอี้ที่อยู่ทางนี้ “ผู้หญิงสี่คนนี้เป็นของข้า ข้าจะนำพวกนางกลับไปด้วยกัน”


กลุ่มคนที่อยู่ทางนี้เดินเข้ามา อ๋าวเถี่ยถามขณะที่เดินว่า “เจ้าคงไม่ได้จะบอกว่าชอบผู้หญิงหมดสี่คนนี้หรอกใช่มั้ย?”


ไห่ยวนเค่อหันกลับมาอย่างช้าๆ มอบไปที่ปี้เยว่ฮูหยิน พร้อมถามว่า “ยินดีจะเป็นผู้หญิงของข้ารึเปล่า?”


ปี้เยว่ฮูหยินกัดฟันลังเลอยู่ประเดี๋ยวเดียว นางไม่อยากตอบตกลง แต่ตัวอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้นางไม่มีทางเลือก แค่อยากมีชีวิตรอดเท่านั้น นางจึงพยักหน้าตอบว่า “ยินดี!”


เหมียวอี้ได้ยินแล้วทอดถอนใจไม่หยุด ไม่รู้ว่าถ้าท่านโหวเทียนหยวนได้ยินคำพูดนี้แล้วจะรู้สึกอย่างไร


แต่สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้คาดไม่ถึงก็คือ ปี้เยว่ฮูหยินพูดเสริมอีกว่า “ข้าเป็นผู้หญิงที่มีสามีแล้ว ผู้ชายของข้าคือท่านโหวเทียนหยวนของตำหนักสวรรค์”


นางรู้ว่าปิดบังเรื่องนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว เมื่อครู่ก็เพิ่งมีคนเอ่ยถึง และในบรรดาของที่นางถูกยึดไปก็อาจจะมีของที่พิสูจน์ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับท่านโหวเทียนหยวนก็ได้


“เรื่องนั้นไม่สำคัญแล้ว เป็นแค่ทหารเล็กๆ เท่านั้น ไม่คู่ควรแม้แต่จะถือรองเท้าให้ข้าด้วยซ้ำ ขนาดข้าแย่งผู้หญิงของเขา เขายังบ่นอะไรไม่ได้เลย! ข้าเพียงจะถามสิ่งที่เจ้าเลือกตอนนี้ ยินดีจะไปกับข้าหรือไม่ ไปเป็นผู้หญิงของข้า?” ไห่ยวนเค่อถาม


เมื่อเห็นว่าเขาไม่ถือสา ปี้เยว่ฮูหยินก็กัดฟันตอบว่า “ตราบใดที่เจ้าไม่รังเกียจ ข้าก็ยินดี”


ไห่ยวนเค่อบอกอีกว่า “ถ้าเจ้าไม่แย้งอะไร กลับไปแล้วพวกเราก็จะแต่งงานกัน ข้าจะแต่งงานกับเจ้า!”


เมื่อเขากล่าวแบบนี้ ก็ราวกับมีฟ้าผ่า พวกเหมียวอี้เหม่อค้างอีกครั้ง แต่ละคนตกใจราวกับโดนฟ้าผ่าใส่ โดนผ่าจนกรอบนอกนุ่มในหมดแล้ว


พวกเขาพบว่าไห่ยวนเค่อเล่นนอกบทอีกแล้ว ละครและขั้นตอนที่ค่อยไปเป็นค่อยไปทั้งหมดที่เตรียมไว้ถูกฟันพังหมดแล้ว  ไม่ต้องทำเรื่องหยุมหยิมอะไรทั้งนั้น ใช้ไม้กระบองกระทุ้งทีเดียวถึงก้น เจอกันครั้งแรกก็จะแต่งงานกับอีกฝ่ายแล้ว ทั้งยังเป็นผู้หญิงที่มีสามีแล้วด้วย แบบนี้เหลวไหลไปหน่อยหรือเปล่า


พวกเขายังดีหน่อย ถึงอย่างไรก็รู้เรื่องราวเบื้องลึก แต่ซือถูกชิงหลันแทบจะลูกตาถลนออกมาแล้ว สงสัยว่านี่ใช่ไห่ยวนเค่อที่ตัวเองรู้จักหรือเปล่า? อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ไห่ยวนเค่อ นี่เจ้าไม่ได้ล้อเล่นใช่มั้ย?”


นางรู้สึกว่าไห่ยวนเค่อไม่เหมือนคนที่จะพูดล้อเล่นได้ กอปรกับเบาะแสเรื่องที่เกิดในวันนี้ เดิมทีนางนึกว่าพวกเขาวางแผนอะไร แต่ดูจากท่าทางของพวกเหมียวอี้ ก็พบว่าตกตะลึงอ้าปากค้างจนคางแทบร่วงเหมือนกัน ไม่เหมือนเตรียมการเรื่องนี้มาก่อน


ไห่ยวนเค่อไม่สนใจนาง ดวงตาที่เศร้าซึมเหมือนผ่านโลกมาโชกโชนจ้องเพียงปี้เยว่ฮูหยิน เพียงรอให้นางตอบตกลงเท่านั้น


“…” ปี้เยว่ฮูหยินตกใจไม่เบา เบิกตากว้างอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น นางไม่คิดว่าตัวเองจะมีเสน่ห์มากขนาดนี้ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบุคคคลที่เคยมีบารมีสะเทือนใต้หล้าอย่างไห่ยวนเค่อเลย ไม่ว่าความงามแบบไหนก็พบเจอมาหมดแล้ว คงไม่ถึงขั้นเคลิบเคลิ้มหลงใหลผู้หญิงที่มีสามีแล้วอย่างนางได้หรอกมั้ง?


แม้แต่ผู้หญิงสามคนข้างๆ ที่เพิ่งหนีรอดจากความตายก็ยังเหม่องงเช่นกัน


เมื่อเห็นว่าผ่านไปนานแล้วนายังไม่ตอบอะไร ไห่ยวนเค่อก็ขมวดคิ้วถาม “เจ้าไม่เต็มใจเหรอ?”


มีคำพูดบางอย่างที่เหมือนก้างที่ติดคอปี้เยว่ฮูหยิน ถ้าไม่คายออกมาก็เกรงว่านางคงจะเก็บกดตาย นางจึงแข็งใจกัดฟันถามว่า “ในเมื่อข้าตอบตกลงว่าจะเป็นผู้หญิงของเจ้าแล้ว ก็ไม่เต็มใจไม่ได้อยู่แล้ว เพียงแต่ข้าถามได้มั้ยว่าเพราะอะไร?”


ไห่ยวนเค่อตอบอย่างใจเย็นว่า “เคยมีผู้หญิงคนหนึ่ง นางรอข้ามาตลอด แต่ข้ากลับมาช้ากว่าเวลาที่นัดกันสามชั่วยาม พอไปถึงจุดที่นัดกันไว้ นางก็ตายด้วยน้ำมือคนอื่นไปแล้วเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน เจ้าหน้าตาเหมือนนาง…” เมื่อพูดถึงตรงนี้น เขาก็ไม่พูดอะไรต่ออีก


แต่ปี้เยว่ฮูหยินคิดเพิ่มเติมเอาเองโดยอัตโนมัติแล้ว ที่แท้ข้ากับผู้หญิงคนนั้นของเขาก็หน้าตาเหมือนกันมากนี่เอง เขาก็เลยไม่อยากรออีก ที่มาแต่งงานกับข้าก็เพราะจะชดเชยความรู้สึกเสียใจส่วนนั้น เมื่อในใจมีคำตอบแล้ว นางก็พยักหน้าบอกว่า “เข้าใจแล้ว ข้าจะเชื่อฟังตามที่เจ้าเตรียมการ”


เหมียวอี้เอามือลูบคางพลางพึมพำในใจ ไห่ยวนเค่อคนนี้ดูเหมือนเป็นคนเงียบๆ แต่เวลาได้หลอกผู้หญิงขึ้นมาก็เป็นยอดฝีมือชัดๆ! คำพูดโกหกแบบนี้อาจจะฟังดูเหลวไหลไม่น่าเชื่อถือมาก แต่เมื่อมันออกมาจากปากของเขา ไม่ว่าจะฟังยังไงก็รู้สึกเหมือนเป็นความจริง บวกกับสีหน้าที่สอดคล้องกันสุดๆ ก็เหมือนจริงจนไม่รู้จะจริงยังไงแล้ว ยิ่งแก่ยิ่งเผ็ดจริงๆ ด้วย ควรค่าแก่การเรียนรู้!


อ๋าวเถี่ยและคนอื่นๆ ทำสีหน้าอัศจรรย์ใจมาก คำอธิบายนี้ก็เหนือความคาดหมายของพวกเขาเช่นกัน


เมื่อได้คำตอบแล้ว ไห่ยวนเค่อถึงได้หันกลับมาตอบอ๋าวเถี่ย “อีกสามคนข้าจะพาไปด้วยกันเลย พาไปคอยรับใช้นาง” เขาชี้ไปที่ปี้เยว่ฮูหยินขณะที่พูด


ในตอนนี้ ผู้หญิงสามคนที่โชคดีรอดชีวิตถึงได้เข้าใจกระจ่างในฉับพลัน สงสัยสาเหตุที่ตัวเองรอดชีวิตล้วนเป็นเพราะปี้เยว่ฮูหยิน


อ๋าวเถี่ยตอบว่า “ไห่ยวนเค่อ เจ้าทำแบบนี้เกินไปหน่อยหรือเปล่า”


“ข้าจะพาผู้หญิงกลับไปด้วยแค่สามสี่คนไม่ได้เชียวเหรอ? เจ้าจะขัดขวางข้าหรือไง?” ไห่ยวนเค่อถามกลับ


“ไม่ใช่ว่าข้าจะขัดขวางเจ้า แค่อยากจะเตือนเจ้าเฉยๆ ถ้าพวกนางไปแล้วเปิดเผยข้อมูลอะไรขึ้นมา ประมุขขุนพลไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!” อ๋าวเถี่ยตอบ


“ไม่ต้องเตือนหรอก พรุ่งนี้อย่าลืมมาดื่มสุรามงคลก็แล้วกัน” ไห่ยวนเค่อพูดทิ้งท้ายแล้วเก็บปี้เยว่ฮูหยินกับผู้หญิงอีกสามคนเข้ากระเป๋าสัตว์ แล้วพากลับไปด้วยกัน


ขณะมองคล้อยหลังเงาคนหายไปในดาราจักร เหมียวอี้และคนที่เหลือก็มองหน้ากันเลิกลั่ก ยังคงรู้สึกเหมือนกำลังฝันอยู่ เรื่องที่เดิมทีกำหนดเวลาไว้อย่างน้อยสิบกว่าปี ปรากฎว่าใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวันไห่ยวนเค่อก็จัดการเรียบร้อย แบบนี้รวดเร็วเกินไปแล้ว เพียงแต่ทำแบบนี้จะได้ผลเหรอ?


“พวกเจ้ากำลังเล่นพิเรนทร์อะไรกันแน่?” ซือถูกชิงหลันแทบจะไม่หยุดทำสีหน้าสงสัยประหลาดใจ เมื่อไม่ได้คำตอบ ก็ถามอีกว่า “จริงหรือล้อเล่น? ไห่ยวนเค่อคงไม่ได้จะแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้จริงๆ หรอกใช่มั้ย?”


“จะจริงหรือล้อเล่น เดี๋ยวคอยดูพรุ่งนี้ก็รู้แล้ว” สืออวิ๋นเปียนตอบกลั้วหัวเราะ


วันต่อมาที่ดาวอู๋เลี่ยง จวนของขุนพลใหญ่ทั้งห้าล้วนอยู่บนดาวดวงนี้ ที่นี่แทบจะเป็นทะเลทั้งหมด ไม่ค่อยมีพื้นดินสักเท่าไร จวนของไห่ยวนเค่อก็เป็นเกาะกลางทะเลแห่งหนึ่งที่ถูกดันขึ้นมาโดยฝีมือมนุษย์ ขนาดของตำหนักเรือนพักก็เล็กกว่าของประมุขปราชญ์อย่างเหมียวอี้นิดหน่อย


ในตอนนี้ทั้งจวนประดับตกแต่งจนเกิดบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง ทุกที่ล้วนประดับโคมไฟและผ้าหลากสี ตอนที่ม่านราตรีมาเยือน อย่าว่าแต่คนอื่นๆ เลย แม้แต่ประมุขขุนพลจินม่านก็มาร่วมงานด้วย


แขกในงานก็มีไม่เยอะ ในลานบ้านมีโต๊ะเพียงสิบกว่าโต๊ะเท่านั้น เจตนาของไห่ยวนเค่อคือจัดให้เรียบง่าย คนที่กราบไหว้เทวดาฟ้าดินอย่างปี้เยว่จะมีความเห็นแย้งอะไรได้ นางย่อมไม่รู้ว่าทางฝั่งนี้ไม่อยากเคลื่อนไหวให้ใหญ่โตจนอีกห้าลัทธิรู้เรื่อง


วันนี้ไม่เหมือนวันธรรมดาทั่วไป ในที่สุดไห่ยวนเค่อก็ได้ถอดเครื่องแต่งกายที่มีลักษณะสุดพิเศษตัวนั้นไปแล้ว ตอนนี้สวมชุดแต่งงานสีแดงทั้งตัว ส่วนปี้เยว่ฮูหยินก็สวมมงกุฎหงส์และม่านไข่มุกอีกครั้ง ผู้หญิงสามคนเมื่อวานที่ฟาดเคราะห์คอยประคอง ทั้งสองกราบไหว้ฟ้าดินอย่างจริงจังและเป็นทางการ


หลังจากส่งเข้าเรือนหอแล้ว จินม่านที่นั่งอยู่ในงานก็ถอนหายใจ “ทำให้ไห่ยวนเค่อได้รับความไม่ยุติธรรมแล้ว” สายตากลับกวาดมองพวกใช้วิธีการสกปรกที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยกัน พวกอ๋าวเถี่ยได้แต่ไอแห้งๆ และหลบสายตานาง ส่วนซือถูกชิงหลันก็สอบถามความจริงจากจินม่าน หลังจากเข้าใจแล้วว่าเป็นเรื่องอะไร นางก็กวาดสายตามองพวกอ๋าวเถี่ยเหมือนอยากจะฆ่าให้ตาย ส่วนปากก็พูดว่า “พวกผู้ชายไม่มีใครดีสักคน!”


เหมียวอี้กลับยิ้มจนหุบปากไม่ลงเมื่อนึกถึงภาพที่ปี้เยว่ฮูหยินกราบไหว้ฟ้าดินก่อนหน้านี้ คนอื่นมาที่นรกเพื่อรับการทดสอบ แต่ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงอย่างปี้เยว่จะมาที่นรกแล้วได้แต่งงานใหม่อีกรอบ ถ้าให้ท่านโหวเทียนหยวนรู้เรื่องนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะทำให้ท่านโหวเทียนหยวนโมโหตายรึเปล่า


บทที่ 1301 เร็วจนน่าทึ่ง!

โดย

Ink Stone_Fantasy

ที่จริงแต่งงานใหม่ก็ไม่เป็นอะไรหรอก ที่สำคัญคือการกระทำที่ตามมาหลังจากแต่งงานนี่สิ คนพวกนี้ทำทุกอย่างได้โดยไม่สนวิธีการเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ถึงแม้เรื่องนี้จะเกิดขึ้นเพราะเหมียวอี้ แต่เขาก็ยังอยากรักษาระยะห่างกับเรื่องนี้สักหน่อย


“อู…อู…อู…”


คลื่นสีครามสาดซัดริมทะเล เคล้าด้วยเสียงขลุ่ยที่บางครั้งก็สูงบางครั้งก็แผ่ว นำมาซึ่งความรู้สึกเศร้ารันทดและกร้านโลกอยู่หลายส่วน


ปี้เยว่เดินช้าๆ ออกมาจากบันไดประตูด้านหลังของลานบ้าน หลายวันมานี้นางเพิ่งเคยลองเดินออกจากจวนแห่งนี้เป็นครั้งแรก ไห่ยวนเค่อบอกนางอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ว่าอยู่ที่นี่ห้ามเดินเพ่นพ่านซี้ซั้ว ถ้าไม่ได้รับอนุญาตก็อย่าออกจากเกาะแห่งนี้โดยพลการ บอกว่าตอนนี้มีคนไม่น้อยที่ยังสงสัยในตัวตนของนาง ให้นางสำนึกได้ด้วยตัวเองสักหน่อย จะได้ไม่ก่อให้เกิดปัญหาโดยไม่จำเป็น


ได้ยินเสียงดนตรีที่ทั้งไพเราะทั้งทำให้คนรู้สึกเศร้ารันทดดังมาจากด้านนอกต่อเนื่องกันหลายวัน นางจึงอดไม่ได้ที่จะออกไปดูว่าคืออะไรกันแน่


การแต่งกายของนางไม่ได้ต่างจากเมื่อก่อนสักเท่าไร ยังคงใส่ชุดกระโปรงยาวสีเขียวทรกตที่นางชอบที่สุด เพียงแต่ไม่กล้าเผยร่องอกที่เย้ายวนใจครึ่งหนึ่งเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ตอนนี้นางปิดหน้าอกอย่างค่อนข้างมิดชิด แต่ก็ยังปิดบังเสน่ห์ที่เหมือนลูกท้อสุกหวานของนางไม่ได้


พอเดินออกมาจากประตูด้านหลัง ก็เห็นศาลาที่มีชายคาโค้งสี่มุมริมทะเล ในศาลามีคนคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนราวระเบียง พาดขาขึ้นมาข้างหนึ่ง หันหน้าเข้าหาทะเลกว้าง ถือขลุ่ยยาวเลาหนึ่งเป่าบรรเลงเพียงลำพัง ถ้าไม่ใช่ไห่ยวนเค่อแล้วจะเป็นใครไปได้อีก


ปี้เยว่ตกตะลึงนิดหน่อย วันต่อมาหลังจากแต่งงานกัน ไห่ยวนเค่อก็กลับมาแต่งตัวตามความเคยชินแล้ว ตอนอยู่บ้านก็แค่ไม่สะพายดาบและหมวกงอบที่หลังเท่านั้นเอง


ขณะที่มองคนที่อยู่ในศาลา นางก็อดไม่ได้ที่จะแอบสะท้อนใจ เลี่ยงไม่ได้ที่จะนึกถึงท่านโหวเทียนหยวน นางไม่รู้ว่าหลังจากท่านโหวเทียนหยวนรู้แล้วจะมีปฏิกิริยาอย่างไร นึกไม่ถึงว่าคำพูดที่นางใช้ขู่ท่านโหวเทียนหยวนตอนที่มาในนรกแรกๆ จะกลายเป็นจริงแล้ว


หลายวันผ่านไป เรื่องที่ควรจะเกิดก็เกิดแล้ว เรื่องที่ไม่ควรจะเกิดก็เกิดแล้วเช่นกัน ปี้เยว่เองก็ก็สงบใจเย็นลงท่ามกลางสภาพความสับสนวุ่นวาย ยอมรับความจริงเรื่องนี้ได้แล้วเช่นกัน


เมื่อคนเราเผชิญหน้ากับความตาย ก็ล้วนมีเงื่อนไขในการร้องขอชีวิตทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีนางก็ใช้ชีวิตอย่างสบายดีอยู่แล้ว จะยอมตายได้อย่างไร


ตอนที่อยู่ข้างนอก ท่านโหวเทียนหยวนมีฐานะต่ำแหน่งสูง ข้างกายไม่ได้ขาดผู้หญิงเลย ทั้งสองแยกกันอยู่เป็นระยะเวลานาน ในใจปี้เยว่รู้อย่างชัดเจน แต่นางก็ไม่กล้าฉีกหน้าอีกฝ่าย เพราะท่านโหวเทียนหยวนคือที่พึ่งพิงสำหรับความร่ำรวยมีเกียรติของนางมาตลอด


ส่วนคนตรงหน้าที่นางแต่งงานด้วยอีกครั้ง การได้ทำความรู้จักในหลายวันมานี้ทำให้ปี้เยว่ค่อนข้างตกตะลึง ข้างกายเขาไม่มีผู้หญิงแม้แต่คนเดียว เมื่อได้คลุกคลีอยู่ด้วยกันหลายวัน ความบึกบึนแข็งแรงของไห่ยวนเค่อก็ยิ่งทำให้นางพึงพอใจสุดๆ


เมื่อเปรียบเทียบทั้งสองคน ท่านโหวเทียนหยวนนอกจากจะมีทรัพยากรเยอะเพราะมีอำนาจมากที่ตำหนักสวรรค์ อย่างอื่นก็เทียบไห่ยวนเค่อไม่ติดเลยจริงๆ ปี้เยว่เองก็นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะได้แต่งงานเป็นภรรยาของไห่ยวนเค่อที่ร่ำลือกันในตำนาน


ที่สำคัญก็คือ นางออกไปด้านนอกไม่ได้แล้ว ทำได้เพียงทิ้งอดีตและเริ่มต้นชีวิตใหม่ ถ้านางอยากจะรอดชีวิตอยู่ที่นี่ ก็มีแต่ต้องตามติดพึ่งพาผู้ชายคนนี้เท่านั้น สำหรับสภาพแวดล้อมที่นางอยู่ในปัจจุบัน การได้แต่งงานกับผู้ชายคนนี้ การที่อีกฝ่ายไม่รังเกียจอดีตของนาง ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้วจริงๆ


เมื่อเดินเข้ามาในศาลา ปี้เยว่ก็คุกเข่าลงบนพื้นอย่างช้าๆ เอียงหน้าหนุนบนตักไห่ยวนเค่อ น่ารักเหมือนนกน้อยที่เกาะบนบ่าคนมาก แสดงความอ่อนโยนอย่างที่พบเห็นได้ไม่บ่อย ฟังเสียงขลุ่ยที่ไห่ยวนเค่อบรรเลงอย่างเงียบๆ…


ในวันหนึ่งหลังจากผ่านไปครึ่งปี เหลียงหรงมารายงานว่า “ประมุขปราชญ์ ขุนพลใหญ่กงซุนขอเข้าพบค่ะ”


เหมียวอี้ที่กำลังนั่งสมาธิฝึกตนอยู่ในห้องสมาธิหยุดใช้วิชา แล้วเดินออกมาที่โถงหลัก


“ประมุขปราชญ์” หลังจากทำความเคาพ กงซุนลี่เต้าก็เข้าประเด็นทันที หยิบแผ่นหยกสองแผ่นออกมาพร้อมรายงานว่า “พบสถานที่ที่ท่านต้องการจะหาแล้ว แต่ตำแหน่งที่ตั้งของมันค่อนข้างไกลๆ อีกทั้งสองสถานที่นี้ยังอยู่ในทิศทางตรงข้ามกันด้วย ไม่ได้อยู่ในบริเวณเดียวกัน”


เหมียวอี้รีบตรวจดู พบว่าตำแหน่งคร่าวๆ ที่ทำเครื่องหมายไว้บนนั้นไกลจริงๆ ด้วย จึงบอกทันทีว่า “เดี๋ยวพาข้าไปตรวจสอบตรงสถานที่จริงสักหน่อยนะ”


กงซุนลี่เต้าถามอย่างลังเลว่า “ไม่ทราบว่าประมุขปราชญ์มีเจตนาจะทำอะไรกับสองสถานที่นี้ขอรับ?” เขาตรวจสอบมาก่อนรอบหนึ่งแล้ว แต่ก็ไม่พบเบาะแสใดๆ ดังนั้นจึงไม่เข้าใจว่าเหมียวอี้ต้องการสองสถานที่นี้เอาไว้ทำอะไรกันแน่


เหมียวอี้ย่อมไม่เปิดเผยความจริง ตอบเพียงว่า “เดี๋ยวในภายหลังเจ้าก็จะเข้าใจเอง ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาบอก พรุ่งนี้แล้วกัน ออกเดินทางพรุ่งนี้เป็นไง?” เขาไม่อยากอยู่ที่นี่แม้แต่วันเดียว เขาออกจากตลาดสวรรค์มาเกือบหนึ่งปีแล้ว ถ้ายังไม่กลับไปอีกก็กลัวจะเกิดเรื่อง


กงซุนลี่เต้าพยักหน้า แสดงออกว่าไม่มีความเห็นแย้งใดๆ


ลมทะเลแผ่วเบาและนุ่มนวล คลื่นสีมากตซัดกระทบทราย ปี้เยว่ฮูหยินที่สวมชุดผ้ามุ้งบางตัวหลวมมีพุงยื่นออกมา นางกำลังเดินช้าๆ อยู่บนชายหาด ข้างหลังมีหญิงรับใช้สามคนคอยปรนนิบัติรับใช้


ท้องนางจะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก แต่สำหรับปี้เยว่ฮูหยินที่ยามปกติเอวบางอ่อนช้อย ตอนนี้ท้องก็นางก็ไม่ถือว่าเล็กแล้ว พอมองดูนางใช้สองมือประคองหลังเอวอยู่เป็นระยะ ขอเพียงไม่ใช่คนโง่ ก็ล้วนดูออกว่าในท้องปี้เยว่มีอะไร


ในท้องนางมีอะไรบางอย่างจริงๆ นางตั้งครรภ์แล้ว ผ่านไปหลายเดือนมากแล้ว นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตนาง ในด้านนี้ท่านโหวเทียนหยวนบอกตลอดว่าไม่รีบ รอให้ปัจจัยแวดล้อมดีกว่านี้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน แต่เมื่ออยู่ที่นี่ เพิ่งจะแต่งงานใหม่ได้ไม่กี่วันไห่ยวนเค่อก็บอกให้นางมีลูกสักคนแล้ว นางจึงทำตามคำสั่ง ตั้งครรภ์กับเขาแล้ว


สำหรับนาง นางเองก็กังวลใจเช่นกันว่าเรื่อของตัวเองกับท่านโหวเทียนหยวนจะทำให้ไห่ยวนเค่อเบื่อหน่ายเข้าสักวัน ในท้องนางมีลูกของนางกับไห่ยวนเค่อแล้ว ถ้ามองในด้านความปลอดภัย นี่ก็เป็นสิ่งรับประกันที่มีน้ำหนักมากจริงๆ นางไม่ได้ขัดข้องกับสิ่งนี้


บนท้องฟ้า เหมียวอี้ที่อาศัยเมฆขาวก้อนหนึ่งพรางตัวกำลังใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองดูปี้เยว่ฮูหยินที่ท้องยื่นอย่างตะลึงนิดหน่อย “มีเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?”


เขากำลังจะไปหาประตูดวงดาวอีกสองแห่ง ก่อนจะไปนึกถึงปี้เยว่ฮูหยินขึ้นมา อยากจะดูสถานการณ์ของนางว่าเป็นย่างไรบ้าง ผลปรากฏว่าได้เห็นภาพนี้แล้ว


กงซุนลี่เต้าที่อยู่ข้างๆ กล่าวอย่างรู้สึกขำว่า “ไห่ยวนเค่อก็เป็นแบบนี้แหละ รวดเร็วฉับไว ขนาดเรื่องแบบนี้ยังไม่อ้อมค้อมเลยสักนิด เร็วจนน่าทึ่ง!”


จินม่านที่มาส่งแสยะยิ้มบอกว่า “ข้าอยากจะดูนักว่าพวกเจ้าจะยุติแผนการอันโง่เง่านี้ยังไง!”


“ประมุขขุนพล ท่านมักจะบอกกับพวกเราไม่ใช่เหรอ ว่าขั้นตอนไม่สำคัญ ที่สำคัญคือผลลัพธ์ ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร!” กงซุนลี่เต้าตอบ


“เชอะ!” จินม่านพ่นเสียงทางจมูก แต่กลับไม่พูดอะไรอีกแล้ว


เหมียวอี้จ้องปี้เยว่ฮูหยินที่อยู่ด้านล่างพร้อมถามว่า “ถ้าผ่านไปอีกไม่กี่เดือน นางก็จะคลอดแล้วใช่มั้ย?”


จินม่านตอบว่า “ไม่ได้เร็วขนาดนั้น นางต้องอุ้มท้องครรภ์จิตวิญญาณก่อนฟ้าก่อน รับประกันคุณสมบัติการฝึกตนของเด็กที่จะเกิดมา ไม่อย่างนั้นถ้าคลอดมนุษย์ธรรมดาออกมาก็มีชีวิตอยู่ต่อได้ไม่ถึงตอนที่การทดสอบของโจรกบฏจบ ส่วนระยะเวลาตั้งครรภ์จะนานเท่าไร  ถ้าอย่างสั้นก็สามถึงห้าปี อย่างนานก็อาจจะสิบกว่าปี ยังต้องดูอีกว่าจิตวิญญาณก่อนฟ้าของตัวอ่อนในท้องนางเป็นอย่างไร ถ้าครรภ์จิตวิญญาณก่อนฟ้าไม่แย่ก็สามารถรีบคลอดออกมาได้ ถ้าครรภ์จิตวิญญาณก่อนฟ้าแย่หน่อยก็อาจจะตั้งครรภ์นานเพิ่มหลายปี”


พอนึกถึงที่ตำหนักคุ้มเมืองในปีนั้น นึกขึ้นได้ว่าปี้เยว่ฮูหยินที่เอะอะก็เดินบิดเอวเด็ดดอกไม้ให้ตนกำลังจะท้องยื่น เหมียวอี้ก็เรียกได้ว่าหนาวในใจอยู่พักหนึ่ง รีบเรียกกงซุนลี่เต้าให้ออกไปจากตรงนั้น ไม่อยากมองอีกแล้ว นี่เป็นการก่อกรรมทำเข็ญชัดๆ!


ในดาราจักรที่แปลกประหลาดลี้ลับ ลวดลายหลากสีสัน เงาคนสองคนเหาะเข้ามาด้วยความเร็วสูง เหยียบลงบนหินก้อนหนึ่งที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า


ที่จริงเหมียวอี้ไม่อยากพากงซุนลี่เต้ามาด้วย แต่ก็ไม่มีทางเลือก เพราะตรงศูนย์กลางของหกลัทธิมีสถานที่อันตรายมากเกินไป ถ้าไม่มีคนทู้สถานการณ์ภายในนำทางก็เข้าออกลำบากมาก แม้แต่โจรกบฏส่วนใหญ่ก็ยังไม่รู้ชัดเจนเลย นี่ก็เป็นเส้นตายสุดท้ายที่ทำให้โจรกบฏยังรอดชีวิตอยู่ได้ ยังไม่มีประมุขปราชญ์คนใหม่คนไหนได้ไป ประมุขขุนพลทั้งหกบอกเพียงว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะมอบให้พวกเขา


“ประมุขปราชญ์ นั่นน่าจะเป็นสถานที่ที่ท่านต้องการจะหา สภาพการเรียงตัวของดวงดาวสามสิบสองดวงเหมือนที่ท่านให้ข้ามาทุกอย่าง” กงซุนลี่เต้าชี้ไปยังกลุ่มดาวที่อยู่ตรงหน้า


เหมียวอี้ขมวดคิ้ว เป็นเหมือนที่อยู่บนแผนที่จริงๆ ด้วย จึงบอกทันทีว่า “ขุนพลใหญ่อยู่ตรงนี้ก่อน ข้าจะไปดูสักหน่อย”


“ประมุขปราชญ์!” กงซุนลี่เต้ารีบยกมือห้าม แล้วเตือนอย่างจริงจังว่า “ไปข้างหน้าต่อไม่ได้แล้วขอรับ ทางนั้นเป็นอาณาเขตแปลกใหม่สำหรับพวกเรา ในตอนนั้นเพื่อที่จะค้นหาทางออก กำลังพลของหกลัทธิเคยไปสำรวจทางนั้นมาแล้ว แต่คนที่เข้าไปทางนั้นไม่มีใครรอดกลับมาอีก ตรงนั้นอันตรายกว่าอาณาเขตที่พวกเราครอบครองเยอะมาก รอบข้างของอาณาเขตที่พวกเราหกลัทธิครอบครองล้วนเป็นเขตต้องห้าม หรือพูดได้อีกอย่างว่าเป็นเกราะกำบังตามธรรมชาติของพวกเรา “


“แบบนี้…” เหมียวอี้ลังเล ถอดใจกลางคันแล้วจริงๆ ถ้าเสียชีวิตไปก็จะวาดขึ้นมาใหม่ไม่ได้แล้ว


แต่พอลองเปลี่ยนความคิด เขาก็รู้สึกว่าถูก ในเมื่อมีคนทิ้งภาพป้ายบอกทางไว้แล้ว เช่นนั้นก็แสดงว่าเส้นทางที่ทิ้งไว้เป็นเส้นทางที่ปลอดภัย นอกเสียจากว่าจะจงใจทำแผนที่ปลอม แต่ดูจากการที่ค้นพบประตูดวงดาวสองแห่งก่อนหน้านี้ แผนที่ก็ไม่น่าจะผิดพลาด หรือพูดได้อีกอย่างว่าไปได้


พอหายเหม่อลอยแล้วก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ขุนพลใหญ่ไม่ต้องคิดมาก ในเมื่อข้าต้องการจะมาที่นี่ ก็ย่อมมีวิธีหลบภัยอันตรายอยู่แล้ว”


“ประมุขปราชญ์…” กงซุนลี่เต้ายื่นมือออกมา แล้วมองดูเหมียวอี้เหาะออกไปโดยไม่สนใจอะไรด้วยความประหลาดใจ หรือว่าจะมีวิธีการหลบภัยอันตรายจริงๆ?


เหมียวอี้ผลักมือกลับมาด้านหลัง บอกใบ้ไม่ให้เขาตามมา ส่วนตัวเองก็เหาะไปในดวงดาวสามสิบสองดวงนั้น เมื่อเจอป้ายทางบนแผนที่แล้ว ก็เหาะเฉียงลงไปด้านล่างของดาราจักรด้วยความเร็ว ไม่นานก็หายไปจากสายตากงซุนลี่เต้าแล้ว


ไม่เหมือนกับแผนที่ของประตูดวงดาวที่เหมียวอี้ตามหาก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าแผนที่ฉบับนี้ซับซ้อนกว่ามาก เส้นทางเปลี่ยนแปลงเยอะ บางครั้งผ่านไปแล้วหันกลับมาดู ก็พบว่าเป็นสถานที่ที่สามารถไปถึงโดยใช้เส้นทางตรงได้ แต่กลับอ้อมไปเสียไกลตั้งหนึ่งรอบ หรือไม่ก็ขึ้นลงไม่เสมอกัน หรือไม่ก็เอียงซ้ายเอียงขวา บางทีก็ถึงขั้นเหาะถอยหลังแล้วค่อยไปข้างหน้าต่อด้วย พอเป็นแบบนี้ เขากลับยิ่งเพิ่มความระมัดระวัง สำรวจภาพพิกัดดาวอย่างละเอียด ถ้าหากเดาไม่ผิด เส้นทางที่คดเคี้ยวเลี้ยวลดเปลี่ยนแปลงเยอะนี้คงจะเกี่ยวข้องกับอันตรายที่กงซุนลี่เต้าบอก อาศัยจากการที่เขาเดินทางมาแล้วไม่พบอันตรายเลยสักนิดก็แน่ใจได้แล้ว


ตอนที่ใช้เวลาไปหนึ่งเดือนกว่า ตอนที่ได้เห็นประตูดวงดาวอีกครั้ง เหมียวอี้ก็เงียบงันอยู่นานมาก แต่สุดท้ายก็ยังแข็งใจใช้กระสวยเงินเพื่อเข้าไปในประตูดวงดาวแล้ว


พอปรากฏตัวกลางอากาศ มองดูท้องฟ้าที่สว่างแจ่มใสโดยรอบ เหมียวอี้ก็รีบหยิบแผนที่ดาวออกมาตรวจดูตำแหน่งที่ตัวเองอยู่ ในแผนที่ดาวมีแสดงให้เห็น ทั้งยังเป็นสถานที่ที่เขาเคยมาด้วย สถานที่ไร้ระเบียบ!


ออกมาแล้วจริงๆ เหมียวอี้โล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก หยิบระฆังดาราติดต่อจินม่าน : ข้าตามทหารยามของตำหนักสวรรค์ออกจากนรกมาแล้ว…


บนหน้าผาริมทะเลใต้ท้องฟ้าที่มีแสงดาวระยิบระยับ จินม่านที่สวมชุดกระโปรงสีทองทั้งตัวเก็บระฆังดาราอย่างเงียบๆ แล้วขมวดคิ้วบอกว่า “ประมุขปราชญ์บอกว่าเขาออกจากแดนอเวจีไปแล้ว”


กงซุนลี่เต้าที่ถูกเหมียวอี้ไล่กลับมาก่อนถามอย่างแปลกใจว่า “เรื่องนี้มีจุดที่น่าสงสัย ประมุขขุนพล ท่านว่าในมือเขามีเส้นทางเข้าออกแดนอเวจีที่อื่นอีกหรือเปล่า?”


จินม่านหรี่ตาเล็กน้อย “ถ้าจะมีก็ไม่แปลก ในปีนั้นตอนที่นรกปิด ประมุขไป๋ก็ยังเข้าออกได้อย่างอิสระอยู่ดี”


บทที่ 1302 เปลี่ยนคน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ส่วนประตูดวงดาวแห่งที่สี่มีสถานการณ์เป็นอย่างไร ตอนนี้เหมียวอี้ยังไม่มีอารมณ์ไปสนใจ โดนขังมานานขนาดนี้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะออกมาได้ จะให้อ้อมทางตั้งไกลเพื่อกลับไปนรกอีกไม่ได้อยู่แล้ว คราวหลังค่อยว่ากัน เขาเองก็ไม่สะดวกจะออกจากดาวเทียนหยวนนานเกินไป หลังจากแยกแยะทิศทางได้แล้วก็รีบกลับดาวเทียนหยวนทันที


ทว่าขระที่ตัวกำลังอยู่ระหว่างทาง จู่ๆ ก็ได้รับข้อความจากมู่หรงซิงหัว


เหมียวอี้ถาม: มีเรื่องอะไร?


มู่หรงซิงหัว : นายท่าน มีแขกจะมาพบนายท่านค่ะ


เหมียวอี้ : ใคร?


มู่หรงซิงหัว : ท่านโหวเทียนหยวน


เหมียวอี้พูดไม่ออก ถามว่า : ตั้งใจมาหาข้าเลยเหรอ?


มู่หรงซิงหัว : ใช่ค่ะ นายท่านจะกลับมาเมื่อไร?


เหมียวอี้คำนวณเวลาครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า : ยังอยู่ระหว่างทาง ต้องใช้เวลาอีกสามวันกว่าจะถึง


มู่หรงซิงหัว : นายท่านกรุณาเร็วๆ หน่อย ท่านโหวบอกว่ารอท่านอยู่!


พอเก็บระฆังดาราแล้ว เหมียวอี้ก็พึมพำในใจว่า มาหาข้าทำไม? คงไม่ได้มาเพราะปี้เยว่ฮูหยินหรอกใช่มั้ย ปี้เยว่ฮูหยินหายไปแล้วจะมาหาข้าทำไม คงไม่ได้แน่ใจว่าเกี่ยวข้องกับข้าหรอกใช่มั้ย?


ฐานะของอีกฝ่ายก็เห็นๆ กันอยู่ ไม่เหมาะจะให้รอนานจริงๆ เหมียวอี้เองก็ไม่สนใจจะปิดบังตัวตนแล้ว ถอดหนังปลอมบนใบหน้าเสียเลย ปล่อยเฮยทั่นออกมา แล้วควบคุมให้มันเหาะกลับด้วยความเร็วทั้งหมดที่มี


ใช้เวลาไม่ถึงสองวัน เหมียวอี้ก็มาถึงก่อนเวลาแล้ว เหาะลงมาเหยียบนอกประตูทิศเหนือ ทหารยามไม่มีใครกล้าขัดขวาง เขาเหาะเข้าเมืองไปเหยียบลงนอกจวนผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือโดยตรง


มู่หรงซิงหัวได้ข่าวแล้วออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง แล้วพาเหมียวอี้เข้ามาในลานบ้านด้านใน


ในลานบ้าน ภายใต้แสงจันทร์ ท่านโหวเทียนหยวนเอามือไขว้หลังยืนอยู่ริมแปลงดอกไม้ ข้างหลังเขามีผู้ชายหุ่นเตี้ยล่ำยืนอยู่คนหนึ่ง เขาคือเฉาว่านเสียง สามีของมู่หรงซิงหัวนั่นเอง


ดูจากท่าทางแล้ว สงสัยเฉาว่านเสียงมาคอยติดตามรับใช้ด้วยตัวเอง


เหมียวอี้รีบก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะ “คำนับท่านโหว คำนับหัวหน้าภาคเฉา”


เฉาว่านเสียงตอบ “อืม” แล้วรีบส่งสายตาให้มู่หรงซิงหัว จากนั้นสองสามีภรรยาก็ออกไปด้วยกัน หลบเลี่ยงไปแล้ว


เมื่อไม่มีคนอื่นแล้ว ท่านโหวเทียนหยวนก็หันตัวมาช้าๆ แล้วถามด้วยสายตาเย็นเยียบว่า “ช่วงไม่กี่ปีมานี้เจ้าได้ติดต่อกับท่านแม่ทัพภาคของพวกเจ้าบ้างรึเปล่า?”


เหมียวอี้ตอบว่า “เปล่าขอรับ ท่านแม่ทัพภาคสั่งมาแล้ว ว่าให้ผู้การสองดูแลจวนแม่ทัพภาคตงหัวชั่วคราว ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญอะไรก็อย่าไปรบกวนการทดสอบของนาง”


“ติดต่อนางเดียวนี้ บอกว่าข้ามีเรื่องจะถามนาง” ท่านโหวเทียนหยวนตอบ


เหมียวอี้หยิบระฆังดาราออกมาอย่างว่าง่าย เขย่าติดต่ออยู่พักใหญ่ หลังจากทำซ้ำอยู่นานถึงได้กล่าวอย่างแปลกใจว่า “ท่านโหว ก็ติดต่อได้นะขอรับ แต่ท่านแม่ทัพภาคไม่ตอบกลับเลย”


หารู้ไม่ว่านี่คือสิ่งที่ท่านโหวเทียนหยวนกังวลที่สุด ถ้าติดต่อไม่ได้ไปเลยจะได้แน่ใจว่าปี้เยว่ฮูหยินตายแล้ว แบบนั้นกลับจะดีเสียอีก กลัวก็แต่ว่าปี้เยว่ฮูหยินจะตกอยู่ในมือของโจรกบฏแล้วโดนโจรกบฏใช้ประโยชน์ เพื่อที่จะเอาชีวิตรอด หากปี้เยว่ฮูหยินไปขอพึ่งพาโจรกบฏแล้วทำเรื่องอะไรที่ดูหมิ่นตำหนักสวรรค์ ถ้าเป็นแบบนั้นเขาก็เหมือนโดนดินเหลืองปาใส่กางเกงแล้วจริงๆ ต่อให้ไม่ได้อุจจาระคนก็นึกว่าอุจจาระ


อิงจากที่เขารู้จักปี้เยว่ฮูหยินมา ผู้หญิงของตัวเองไม่ใช่ผู้หญิงบริสุทธิ์อะไร แต่ไม่ใช่คนหัวแข็งอะไรเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าตกอยู่ในมือโจรกบฏแล้วหัวแข็งไปก็ไม่มีประโยชน์


แต่กับเรื่องแบบนี้ ถ้ายังไม่มีผลลัพธ์ที่แน่นอน ก็คงไม่ดีที่จะประกาศต่อทุกคน เหตุผลก็ไม่ซับซ้อนเลย ถ้าปี้เยว่ฮูหยินกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว ทางนี้ก็กลับจะวิจารณ์กันวุ่นวาย สงสัยปี้เยว่ฮูหยินว่าอาจจะโดนโจรกบฏจับเป็นเชลยศึกมาแล้ว แบบนี้ไม่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวหรอกเหรอ


ก็เพราะด้วยเหตุนี้เอง เขาถึงได้แอบออกหน้าด้วยตัวเอง แทบจะไปหาลูกน้องคนสำคัญของปี้เยว่ฮูหยินจนทั่วมาแล้วรอบหนึ่ง กอดความหวังสุดท้ายเอาไว้ ดูว่าจะมีใครสามารถติดต่อปี้เยว่ฮูหยินได้หรือไม่ ถ้าแน่ใจว่าเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ เขาจะได้เตรียมตัวล่วงหน้าได้สะดวก


เมื่อมาหาเหมียวอี้ก็เป็นเหมือนเดิม ยังคงคว้าน้ำเหลว


หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ท่านโหวเทียนหยวนก็ถามเสียงต่ำว่า “ใครใช้ให้เจ้าละทิ้งหน้าที่ไปโดยพลการ?”


เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าน้อยเพียงไปเยี่ยมสหาย ไม่ได้ทำให้เสียการเสียงานขอรับ”


ท่านโหวเทียนหยวนอารมณ์ไม่ดี สีหน้าก็แย่มาก ตำหนิตรงๆ เลยว่า “ที่จวนแม่ทัพภาคตงหัวก็มีเจ้านี่แหละที่เรื่องเยอะ โหวผู้นี้ขอเตือนเจ้านะ อย่านึกว่าท่านแม่ทัพภาคของพวกเจ้าไม่อยู่แล้วข้าจะจัดการเจ้าไม่ได้นะ ทำตัวดีๆ หน่อย ถ้าก่อเรื่องอะไรอีกเจ้าได้เห็นดีแน่!”


ท่าทีที่เขามีต่อเหมียวอี้กลับไปกลับมาอยู่เสมอ มีบางครั้งถึงขั้นประสาทแดกเล็กน้อยด้วยซ้ำ


“ขอรับ!” เหมียวอี้เอ่ยรับด้วยท่าทางเคารพ


“แล้วอีกอย่าง เรื่องที่ข้ามาในวันนี้เจ้าห้ามเปิดเผยให้ใครรู้ ไม่อย่างนั้นข้าไม่ให้อภัยแน่ ได้ยินรึยัง?”


“ขอรับ!”


“ถ้ามีเวลาว่างก็ติดต่อกับท่านแม่ทัพภาคเฃของเจ้าเยอะๆ หน่อย ถ้าได้ข่าวอะไรก็ติดต่อผู้การสองหลันเซียงทันที”


“ขอรับ!”


“ไสหัวไปได้แล้ว!”


“ขอรับ!” เหมียวอี้ที่โดนตำหนิยกหนึ่งถอยออกไปอย่างว่าง่าย


ตอนที่เดินออกจากจวนผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือ ผู้บัญชาการใหญ่หนิวก็ทำสีหน้าผ่อนคลายสบายอารมณ์ โดนดูถูกเหยียดหยามเล็กน้อยแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อย่างน้อยก็ดีกว่าใครบางคนตั้งเยอะแล้ว


เนื่องจากสิ่งที่ปี้เยว่ฮูหยินประสบ เหมียวอี้ก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าตัวเองมีสภาพจิตใจเป็นอย่างไร ตอนนั้นจึงไปร้านค้าของฉินเวยเวยผ่านทางใต้ดิน ฉินเวยเวยไม่อยู่แล้ว เหลือฝ่าอินอยู่แค่คนเดียว


การมาถึงอย่างกะทันหันของเหมียวอี้ทำให้ฝ่าอินแปลกใจมาก หลายปีขนาดนี้แล้ว นี่เป็นครั้งแรก!


พอทั้งสองเจอกันในห้อง ฝ่าอินก็มองประเมินเหมียวอี้อย่างแปลกใจ เดินวนรอบเหมียวอี้หลายรอบ แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “วันนี้เจ้ามาได้ยังไง?”


“ไม่ต้องเดินวนแล้ว!” จู่ๆ เหมียวอี้ก็คว้ามือฝ่าอินไว้ แล้วดึงฝ่าอินเข้ามาในอ้อมอกที่แข็งแรงบึกบึน


ฝ่าอินเบิกตากว้างมองเขา รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของสัตว์ป่า ได้แต่มองดูเหมียวอี้อุ้มตัวเองขึ้นมา อุ้มเข้าไปในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ คืนนี้เหมือนจะเป็นจะตายแล้วจริงๆ ไม่มีทางอธิบายได้ ในที่สุดนางก็เข้าใจรสชาติของการเข้าห้องหอแล้ว…


เช้าตรู่วันต่อมา ฝ่าอินมองดูหมอนว่างเปล่าที่อยู่ข้างกายตัวเอง ผมเผ้ายุ่งสยายประบนร่างกายที่นั่งเหม่อลอยอยู่ในผ้าห่ม งดงามดุจหยกสลัก ยอดสีแดงบนภูเขาหิมะที่อวบอัดกลมกลึงไม่มีท่าทีว่าจะลู่ลง ส่วนเว้าส่วนโค้งของเรือนร่างท่อนบนงดงามที่สุด ผิวขาวหมดจดเหมือนผิวเด็กทารก


จนกระทั่งตอนเที่ยง ร้านโฉมเมฆาก็ส่งคนมาเตรียมของให้นางแล้ว ฉินเวยเวยไม่อยู่แล้ว ฝ่าอินไร้เดียงสาเกินไป ทิ้งร้านนี้ไว้ให้นางก็สิ้นเปลืองเปล่าๆ อวิ๋นจือชิวจึงย้ายนางไปอยู่จีเหม่ยลี่ ร้านค้าร้านนี้ก็ต้องขายทิ้งแล้ว


ในตอนค่ำของสามวันหลังจากนั้น จู่ๆ เหมียวอี้ก็ไปที่ร้านค้าของอวี้หนูเจียว เขาทำเหมือนกับในปีก่อนๆ อวี้หนูเจียวถูกถอดเสื้อฟ้าจนหมดอีกแล้ว


นางนึกว่าเหมียวอี้จะล้อนางเล่นเหมือนในปีที่ผ่านๆ มา แต่รอจนกระทั่งแขนขาทั้งสี่รับมือไม่ไหว แขกตัวร้ายบุกเข้ามาในประตูที่รกร้าง ถึงได้รู้ว่าครั้งนี้โดนจัดการแล้วจริงๆ…


หลังจากนั้นอีกสามวัน เจ้าสำนักลมปราณอวี้หลิงเจินเหรินก็มาที่ตำหนักคุ้มเมือง ผู้ที่มาด้วยกันยังมีชีอู้เจินเหริน ปรมาจารย์ผู้บุกเบิกสำนักลมปราณ ตอนนี้เป็นขุนนางพิธีการให้จวนเทพประจำดาวคนฉลู


ตำแหน่งเดิมของชีอู้เจินเหรินค่อนข้างว่างกว่าตำแหน่งในตอนนี้ เนื่องจากร้านขายของชำซื่อตรงรุ่งเรืองขึ้น ตอนนี้ก็นับว่าได้เป็นคนที่พบหน้าพูดคุยกับเทพประจำดาวคนฉลูบ่อยๆ แล้ว เพียงแต่ไม่ถนัดเรื่องประจบสอพลอ เลยไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจอิทธิพลสักที


พอเห็นสองคนนี้ เป่าเหลียนที่ออกมารับแขกก็ทั้งดีใจทั้งตกใจ รีบพาแขกเข้ามาข้างใจ


“อวี้หลิงเจินเหริน” ในสวนดอกไม้ เหมียวอี้ที่ออกมายืนต้อนรับกุมหมัดคารวะ “ท่านนี้คงจะเป็นนายท่านฝ่ายพิธีการของจวนเทพประจำดาวแน่ๆ หนิวโหย่วเต๋อ ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนทักทายขอรับ”


ชีอู้เจินเหรินโบกมือ “เป็นตำแหน่งว่างๆ เท่านั้น แต่ก็สงบดีเหมือนกัน ถ้าอึกทึกครึกโครมเหมือนผู้บัญชาการใหญ่ ก็เกรงว่าจะยุ่งยากเหมือนกัน นิสัยข้าไม่เหมาะที่จะอยู่ตำหนักสวรรค์หรอก ถ้าหลบมาอยู่อย่างสงบได้ก็อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้”


เพิ่งพบหน้ากันก็พูดจาตรงไปตรงมาขนาดนี้ สงสัยไม่เหมาะจะอยู่ที่ตำหนักสวรรค์จริงๆ เหมียวอี้หรี่ตายิ้ม รู้ว่าการที่เขาถูเรียกเข้าตำหนักสวรรค์ก็เป็นเรื่องที่เลือกเองไม่ได้เหมือนกัน นักพรตของสำนักต่างๆ ในใต้หล้า ถ้าวรยุทธ์บรรลุถึงระดับบงชกรุ้งแล้ว ก็จะต้องถูกให้เข้ารับตำแหน่งที่ตำหนักสวรรค์


“ขุนนางพิธีการก็ยังคิดได้!” เหมียวอี้กล่าวตามมารยาท แล้วหันตัวยื่นมือเชิญ “เชิญข้างในขอรับ!”


แขกและเจ้าบ้านเข้ามานั่งด้านใน หลังจากเป่าเหลียนนำน้ำชามาวางแล้ว ก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าบรรยากาศในห้องแปลกนิดหน่อย


สุดท้ายก็ยังเป็นอวี้หลิงเจินเหรินที่วางถ้วยน้ำชาลงแล้วเอ่ยว่า “เป่าเหลียน ที่ข้ากับปรมาจารย์มาในครั้งนี้ ก็เพราะปรมาจารย์ช่วยเจ้าหาตำแหน่งข้างบนที่เหมาะสมกว่านี้ให้แล้ว อยากจะย้ายเจ้าออกจากผู้บัญชาการใหญ่ จะได้ดูแลสะดวกหน่อย”


เป่าเหลียนอึ้งทันที ค่อยๆ เคลื่อนสายตาไปบนหน้าเหมียวอี้ พบว่าเหมียวอี้ไม่สะทกสะท้านเลย จึงตระหนักได้ทันทีว่าเหมียวอี้รู้เรื่องนี้ตั้งนานแล้ว นางส่ายหน้าบอกว่า  “ศิษย์ซาบซึ้งในเจตนาดีของปรมาจารย์แล้ว แต่ศิษย์ไม่อยากไป อยู่ที่นี่ก็ดีมากอยู่แล้ว”


ในห้องเงียบไปครู่หนึ่ง เหมียวอี้หยิบแผ่นหยกออกมา ถอนหายใจแล้วบอกว่า “เป่าเหลียน เจ้าไปเถอะ อยู่ข้างกายขุนนางพิธีการเหมาะสมกว่าอยู่ที่นี่กับข้า ข้าเขียนหนังสือปล่อยคนไว้เรียบร้อยแล้ว”


ที่จริงเขาเป็นฝ่ายเสนอเรื่องนี้ต่ออวี้หลิงเจินเหรินเอง ระหว่างทางที่กลับมาดาวเทียนหยวนก็ติดต่อกันแล้ว ข้างกายตัวเองกำลังจะมีลูกน้องคนสนิทมาเพิ่ม ให้เป่าเหลียนอยู่ที่นี่จะไม่เหมาะสม ถ้าพูดจากอีกมุมมองหนึ่ง นี่ก็ถือเป็นเจตนาดีเช่นกัน อนาคตของเขาไม่แน่นอน ไม่อยากให้นางพลอยลำบากไปด้วย


เป่าเหลียนสีหน้าเปลี่ยนแล้ว “นายท่าน เป่าเหลียนทำผิดตรงไหนหรือเปล่า? เป็นเพราะเป่าเหลียนชอบไปแทรกแซงเรื่องที่ไม่ควรแทรกแซงของผู้บัญชาสวีใช่มั้ย?”


เหมียวอี้ตอบว่า “เจ้าไม่ได้ทำผิดตรงไหนหรอก แต่ชายหญิงอยู่กันตามลำพังนั้นไม่เหมาะสม เมื่อเวลานานไปอาจจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของเจ้า ที่ทำแบบนี้ก็เพราะหวังดีกับเจ้า ไม่มีอะไรน่าเถียงแล้ว เอาตามนี้แล้วกัน!” เขาหยิบกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งมาวางไว้บนแผ่นหยก แล้วผลักไปที่โต๊ะข้างหน้าพร้อมกัน “เจ้าติดตามข้ามาหลายปีขนาดนี้ นับว่าไม่ยุติธรรมต่อเจ้าแล้ว ไม่รู้จะตอบแทนยังไง หวังว่าจะไม่รังเกียจน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ นี้”


เป่าเหลียนที่กัดฟันแน่นหันหน้าหนี หันตัววิ่งหนีออกไปแล้ว


สามคนในห้องยืนขึ้นพร้อมกัน เหมียวอี้หยิบของบนโต๊ะ ส่งให้ที่มืออวี้หลิงเจินเหริน แล้วเจ้าตัวก็ถอนหายใจ


ชีอู้เจินเหรินก็นำคำสั่งย้ายที่ขอจากเบื้องบนมาตลอดทางมาเช่นกัน เบื้องบนจวนแม่ทัพภาคตงหัวก็อนุญาตแล้ว ถึงแม้เขาจะไม่ได้มีอำนาจที่แท้จริงอะไร แต่ถึงอย่างไรตอนนี้ก็อยู่ข้างกายเทพประจำดาว ยังมีหน้ามีตาอยู่บ้างนิดหน่อย


เมื่อนำของให้เหมียวอี้แล้ว ก็นับว่าทำการส่งตัวกันเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองฝ่ายกล่าวอำลากันตรงนี้ เป่าเหลียนเองก็ไม่ได้โผล่หน้ามาอีก เหมียวอี้ได้แต่หลับตานั่งเงียบๆ อยู่ในโถง…


ผ่านไปไม่กี่วัน หยางชิ่ง เหยียนซิวและพวกหยางเจาชิงก็ย้ายกลับมาจากฝั่งโค่วเหวินหลานแล้ว เป็นลูกน้องฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋อยู่หนึ่งเดือน ทำความคุ้นเคยกับตลาดสวรรค์ฝั่งนี้มาบ้างแล้วนิดหน่อย แล้วก็ให้ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋แนะนำเข้าตำหนักคุ้มเมือง โดยให้เหตุผลว่าข้างกายผู้บัญชาการใหญ่ขาดคนดูแล


วรยุทธ์และรดับของทั้งสามก็เห็นๆ กันอยู่ ภายนอกทำได้เพียงวิ่งเต้นทำงานอยู่ในและนอกตำหนักคุ้มเมืองไปก่อนชั่วคราว


ในวันที่เข้ามาในตำหนัก เหมียวอี้ก็มาหาหยางชิ่งโดยตรง ขณะที่อยู่ใต้ร่มเงาของเพิงเถาวัลย์ก็ถามว่า “ข้าบอกกับทางเซี่ยโห้วหลงเฉิงไว้แล้ว เจ้าจะออกเดินทางเมื่อไร?”


“ออกเดินทางได้ทุกเมื่อ เพียงรอให้นายท่านสั่งขอรับ” หยางชิ่งตอบ


เหมียวอี้จึงบอกว่า “งั้นก็ไม่ต้องชักช้าแล้ว ข้าบอกฝูชิงไว้แล้วเหมือนกัน ให้ชิงเฟิงช่วยวิ่งเต้นเรื่องนี้ให้เจ้า”


“เซี่ยโห้วหลงเฉิงโลภสมบัติ ยังต้องใช้สมบัติอีกจำนวนหนึ่ง” หยางชิ่งกล่าว


“ไปเบิกค่าใช้จ่ายกับฮูหยินแล้วกัน” เหมียวอี้กล่าว


“ขอรับ! ข้าน้อยจะไปเตรียมดำเนินการเดี๋ยวนี้”


บทที่ 1303 เซี่ยโห้วจัดงานเลี้ยง

โดย

Ink Stone_Fantasy

รอจนกระทั่งหยางชิ่งออกไปแล้ว เหมียวอี้ก็ลุกขึ้นเดินไปที่สวนดอกไม้ เหยียนซิวกับหยางเจาชิงเดินตามอยู่ข้างหลัง


ถึงแม้ทั้งสองจะมาพิภพใหญ่ได้ไม่นาน แต่กลับได้ยินความเคลื่อนไหวที่เหมียวอี้ก่อไว้ที่พิภพใหญ่มาแล้ว พวกเขาพบว่าช่างสมกับเป็นนายท่าน สร้างชื่อเสียงที่ใหญ่โตขนาดนี้ไว้ที่พิภพใหญ่แล้ว ไม่ว่าไปที่ไหนก็ไม่เคยกลัวใครจริงๆ ด้วย บุกเดี่ยวโจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านเชียวนะ!


โดยเฉพาะเหยียนซิว เขาได้เห็นภาพเหตุการณ์ตอนที่เหมียวอี้ยังเป็นมือใหม่ไร้ประสบการณ์กับตาตัวเองแล้ว นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าเด็กโง่เขลาไร้ความรู้ในปีนั้นจะเดินมาถึงจุดนี้ได้


เมื่อเดินช้าๆ ไปได้พักหนึ่ง จู่ๆ เหมียวอี้ที่เอามือไขว้หลังเดินอยู่ข้างหน้าก็กล่าวขึ้นมาว่า  “พวกเจ้าสองคนติดตามรับใช้ข้ามานานแล้ว จงรักภักดีไม่ทรยศ แต่ถ้าอยากก้าวให้ทันข้า อาศัยศักยภาพของพวกเจ้าก็เกรงว่าจะเหนื่อยพอสมควร ในมือข้ามีมหาเคล็ดวชาอู๋เลี่ยงของเฟิงเป่ยเฉินกับเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าของมู่ฝานจวิน สามารถช่วยพวกเจ้าได้อีกแรง ถ้าพวกเจ้าอยากจะฝึกก็บอกมาตรงๆ ได้เลย” เหมียวอี้หยุดฝีเท้าและหันมามองทั้งสอง


ทั้งสองดีใจเหนือความคาดหมาย เคยได้ยินเรื่องหกเคล็ดวิชาพิเศษของพิภพใหญ่มาแล้ว นึกไม่ถึงว่านายท่านจะประทานหกเคล็ดวิชาพิเศษเป็นรางวัลให้พวกเขาฝึก


หยางเจาชิงหันตัวไปมองเหยียนซิว อยากจะให้เหยียนซิวเลือกก่อน ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นคนเก่าคนแก่ที่ติดตามอย่างแท้จริง พูดถึงคุณสมบัติและประสบการณ์ก็เหนือกว่าตนด้วย นับว่าเป็นการให้เกียรติ


ทว่าเหยียนซิวกลับเงียบไปพักใหญ่ ทำท่าอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง


สุดท้ายก็ยังเป็นเหมียวอี้ที่ถามว่า “ทำไมล่ะ อยู่ต่อหน้าข้ายังมีอะไรต้องอึกอักอีก มีอะไรก็พูดมาตรงๆ”


เหยียนซิวแข็งใจกุมหมัดคารวะ “นายท่าน ตอนที่ข้าน้อยไปนภาหยินหยาง เคยได้ยินศิษย์ของซือถูเซี่ยวเอ่ยถึง บอกว่าเคล็ดวิชาของหกปราชญ์ล้วนอยู่ในมือนายท่านแล้ว ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ขอรับ?”


เหมียวอี้หรี่ตาเล็กน้อย  “อย่าบอกนะว่าเจ้าอยากฝึกเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน? นี่คือทักษะยอดเยี่ยมที่เป็นสมบัติส่วนตัวของฮูหยิน ไม่สะดวกจะถ่ายทอดต่อภายนอก” เขานึกว่าเหยียนซิวอยากจะฝึกวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาหกเคล็ดวิชาพิเศษ


เหยียนซิวตอบว่า “นายท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าน้อยไม่ได้โลภขนาดนั้น ข้าน้อยแค่ได้ยินศิษย์ของซือถูเซี่ยวพูดถึงเท่านั้นเอง เขาบอกว่าเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางนี้ ถ้าฝึกจนสูงถึงระดับหนึ่งแล้ว ก็สามารถอ่านชาติก่อนและชาตินี้ของคนอื่นได้ สามารถควบคุมวิญญาณที่ตายแล้วให้กลับมาเกิดใหม่ได้ ไม่ทราบว่าจริงหรือเปล่าขอรับ?”


หยางเจาชิงที่อยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าเคล็ดวชาของปราชญ์ผีจะมหัศจรรย์ขนาดนี้


เหมียวอี้ขมวดคิ้ว “บทน้ำของเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางก็กล่าวไว้ยิ่งใหญ่แบบนั้น เพียงแต่ขนาดประมุขลัทธิผีของพิภพใหญ่ในปีนั้นยังฝึกไม่ถึงระดับนั้นเลย ใครจะไปรู้ว่าจริงหรือหลอก ต่อให้จริงแล้วยังไงล่ะ อย่าบอกนะว่าเจ้าอยากฝึกเคล็ดวิชาของนักพรตผี?”


เหยียนซิวโค้งตัวคำนับ พร้อมกล่าวอย่างจริงใจว่า ถ้าหากนายท่านยินดี ข้าน้อยก็อยากฝึกเคล็ดวิชานี้ของนักพรตผีขอรับ”


เหมียวอี้กล่าวอย่างแปลกใจทันทีว่า “คนเป็นๆ อย่างเจ้าไปฝึกวิชานั้น รู้รึเปล่าว่าผลที่ตามมาคืออะไร? ร่างกายที่มีเลือดเนื้อจะแปรสภาพจนหมด ปราณหยินจะกระจายทั้งตัว ตัดขาดพลังชีวิต ก้าวสู่สภาพความตาย ขั้นตอนของมันอาจจะเป็นแบบจะอยู่ก็ไม่ใช่จะตายก็ไม่เชิง ความทุกข์ทรมานของมันไม่ใช่สิ่งที่คนปกติจะรับไหว คนที่ผ่านด่านนี้ไปได้ถึงจะรักษาวรยุทธ์ไว้ได้และเปลี่ยนวิชาได้อย่างราบรื่น ส่วนคนที่ผ่านไปไม่ได้ก็จะดับสูญทั้งวิญญาณและร่างกาย นี่ไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย เคล็ดวิชาของนักพรตผีเหมาะสำหรับผู้ที่วิญญาณหยินไม่สลายเท่านั้น วิญญาณหยินเหล่านั้นไม่มีทางเลือก จะมีคนเป็นสักกี่คนที่จะไปฝึก ต่อให้เจ้าจะฝึกสำเร็จแล้ว แต่ก็จะเปลี่ยนจากคนเป็นไปเป็นผีอยู่ดี เจ้าเคยคิดถึงผลลัพธ์นี้บ้างรึเปล่า?”


เหยียนซิวโค้งคำนับอีกครั้ง “นายท่านได้โปรดช่วยให้สมปรารถนา”


หยางเจาชิงตกตะลึงอ้าปากค้าง


“เจ้า…” บนใบหน้าเหมียวอี้ฉายแววโกรธเคืองอยู่บางส่วน เขามอบหกเคล็ดวิชาพิเศษให้ก็เพราะอยากจะให้ลูกน้องคนสนิทของตัวเองมีความสามารถยิ่งขึ้น ไม่ใช่ให้ลูกน้องตัวเองไปตาย จึงถามอย่างโมโหว่า “เป็นคนอยู่ดีๆ ไม่ชอบ ทำไมดึงดันจะฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางให้ได้?”


บนใบหน้าเหยียนซิวค่อยๆ เผยให้เห็นความเศร้าโศก ในนั้นเจือด้วยความรู้สึกผิด กล่าวอย่างเสียดายว่า  “เพราะข้าน้อยทำร้ายนาง ข้าน้อยทำให้นางแบกรับความอัปยศจนตาย หลังจากนางอยู่กับข้าน้อย ข้าน้อยก็ไม่เคยให้ชีวิตที่มีหน้ามีตากับนางเลยสักวัน ข้าน้อยแค่อยากจะบอกนางต่อหน้าสักคำ ขอโทษ! บอกสักคำว่า ข้าผิดไปแล้ว!”


“…” เหมียวอี้อึ้งทันที ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาจึงอยากฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง จึงถอนหายใจแล้วบอกว่า  “เรื่องราวผ่านไปหลายปีแล้ว นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะคิดถึงอยู่ตลอดไม่เคยลืม นี่เจ้าต้องขมขื่นใจขนาดไหนกัน! เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าอยากฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางจริงๆ จะไม่เสียใจทีหลังนะ?”


เหยียนซิวโค้งกายอีกครั้ง “ถ้าไม่มีหวังก็จะปล่อยไป แต่ในเมื่อมีหวังแล้ว ข้าน้อยก็ไม่อยากพลาดเลยจริงๆ ไม่อย่างนั้นต่อให้ข้าน้อยอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่านี้ ข้าน้อยก็จะยิ่งรู้สึกผิด นายท่านได้โปรดช่วยให้สมปรารถนาด้วย!”


เหมียวอี้นิ่งเงียบ ขมวดคิ้วจ้องเขา เหมือนกำลังลังเลตัดสินใจไม่ได้


ส่วนหยางเจาชิงก็ทำสีหน้างุนงง เหมือนฟังเข้าใจแล้วนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้เข้าใจจริงๆ


“เอาไปเถอะ!” จู่ๆ เหมียวอี้ก็หยิบแผ่นหยกออกมาแผ่นหนึ่ง แล้วโยนให้เหยียนซิว


“ขอบคุณนายท่าน!” ขณะมองดูสิ่งที่อยู่ในมือ เหยียนซิวก้มหน้าน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้ง


หยางเจาชิงลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพูดอย่างแน่วแน่ว่า “เคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้า!”


เหมียวอี้พลิกมือโยนแผ่นหยกให้เขา แล้วก็หันหน้าเดินจากไป ขณะที่หันหลังให้และเดินก้าวยาวจากไปก็พูดว่า “อย่าให้ของสิ่งนี้เล็ดรอดสู่ภายนอก พวกเจ้ารู้ดีถึงผลที่ตามมา”


“ขอรับ!” ทั้งสองเอ่ยรับพร้อมกัน


ดาวอวี้หลัว ตลาดสวรรค์ ตำหนักคุ้มเมือง ผู้บัญชาการใหญ่เซี่ยโห้วหลงเฉิงจัดงานเลี้ยงต้อนรับผู้บัญชาการใหญ่อีกเจ็ดคนของจวนแม่ทัพภาคตงหัวด้วยตัวเอง


สาเหตุที่มีเพียงเจ็ดคน ก็เพราะเหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ไม่ได้ถูกรับเชิญ เหยียนซู่ เหยาสิ้ง ติงเจ๋อเฉวียน ซ่างหรูเยว่ เกาโย่ว เหลียนฟางอวี้ รุ่ยฝาน เซี่ยโห้วหลงเฉิง ทั้งแปดคนนั่งล้อมโต๊ะเดียวกันเพื่อดื่มสุราฉลอง เหยียนซู่ ซ่างหรูเยว่และเหลียนฟางอวี้เป็นผู้หญิง ถ้านับจ้านหรูอี้ไปด้วยอีก ในบรรดาผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์สิบคนของจวนแม่ทัพภาคตงหัวก็มีผู้หญิงสี่คน แม่ทัพภาคก็เป็นผู้หญิงเช่นกัน


งานเลี้ยงถูกจัดที่ตึกศาลาในสวน เพื่อเห็นแก่หน้าราชินีสวรรค์ ผู้บัญชาการใหญ่ทั้งเจ็ดคนย่อมต้องประจบสอพลอเซี่ยโห้วหลงเฉิงอยู่แล้ว เซี่ยโห้วหลงเฉิงร่าเริงอย่างหาที่สุดมิได้  บวกกับเพิ่งได้รับสินน้ำใจจากร้านค้าต่างๆ ในเมืองที่ทำตามธรรมเนียมทุกปี การได้นั่งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ช่างสำราญใจจริงๆ!


พอดีใจขึ้นมา ก็ย่อมมีอารมณ์สุนทรีในการดื่มเหล้าเช่นกัน


“ดื่มไปไม่น้อยแล้ว เดี๋ยวกลับไปข้ายังมีธุระต้องทำอีกนิดหน่อย…”


ผู้บัญชาการใหญ่ซ่างหรูเยว่ที่ปฏิเสธสุรายังไม่ทันพูดจบ เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ชี้ห้านางพร้อมพูดขัดว่า “วันนี้ไม่พูดถึงเรื่องอื่น พูดแต่เรื่องดื่มเท่านั้น!”


หยางชิ่งที่ทำงานเบ็ดเตล็ดชั่วคราวกำลังถือถาดอาหารรออยู่ที่ประตู ตอนนี้กำลังทำหน้าที่ส่งอาหาร ปรากฏว่ารออยู่ตั้งนานแต่ก็ไม่เห็นเซี่ยโห้วหลงเฉิงเอ่ยเรื่องที่เป็นการเป็นงานเสียที กลับตะโกนสั่งให้เปลี่ยนอาหารเป็นชามใหญ่เพราะชามเล็กไม่สะใจ ดื่มจนอารมณ์คึกคักแล้วจริงๆ ถึงขั้นกล่าวออกมาว่าไม่คุยเรื่องอื่นแล้ว หยางชิ่งขมวดคิ้วเดินลงจากตึกศาลา สาวเท้าเดินไปที่ครัว พอเข้ามาในครัว ก็ถ่ายทอดเสียงสั่งทันทีว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ต้องการเพิ่มกับแกล้มอีกที่”


พวกพ่อครัวรีบร้อนทำงาน ผ่านไปไม่นานหยางชิ่งก็ถือถาดใบหนึ่งเดินออกมา พอเข้ามาในตึกศาลา ก็วางกับแกล้มที่ทำใหม่ลงบนโต๊ะ หลังจากวางอาหารเสร็จแล้ว หยางชิ่งก็จงใจเดินผ่านเซี่ยโห้วหลงเฉิง ถือถาดให้มุมถาดชนหลังเซี่ยโห้วหลงเฉิงเหมือนไม่ได้ตั้งใจ


ปั้ง! เซี่ยโห้วหลงเฉิงพลันตบโต๊ะยืนขึ้น หันกลับมาเอาน้ำสุราชามหนึ่งสาดหน้าหยางชิ่ง แล้วตะคอกว่า “เป็นหมาตาบอดรึไง เวลาเดินไม่ใช้ตาเหรอ?”


หยางชิ่งที่หน้าเปียกน้ำสุราพูดไม่ออก นึกไม่ถึงว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงจะมีปฏิกิริยาอย่างนี้ ทำให้เขารู้สึกหาทางลงไม่ได้ทันที


เหยียนซู่และคนอื่นๆ ที่บ้างก็กำลังถือตะเกียบ บ้างก็กำลังยกจอกสุราชะงักค้างทันที หันมองมาทางนี้พร้อมกัน ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น


พอเซี่ยโห้วหลงเฉิงเห็นเขา ก็ทำท่าอึ้งนิดหน่อย ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายชนหลังตัวเองทำไม จึงโบกมือไล่ว่า “ไสหัวไป!”


“ขอรับๆ!” หยางชิ่งรีบก้มหน้ารับผิด แล้วถอยออกไปด้านนอก


“พี่เซี่ยโห้ว ไม่จำเป็นต้องไปโมโหทหารเล็กๆ หรอก มาเถอะ พวกเรามาดื่มกันอีกจอก!” เกาโย่วกล่าวพร้อมยกจอกสุราขึ้น


ปั้ง! เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่น่ะงลงตบโต๊ะอีกครั้ง ครั้งนี้ออกแรงค่อนข้างมาก ตบจนอาหารบนโต๊ะกระโดดมั่วไปหมด แล้วโพล่งออกมาอย่างกระฟัดกระเฟียดว่า “ไม่ดื่มแล้ว คุยเรื่องสำคัญกันก่อน”


คนที่นั่งอยู่เต็มโต๊ะพูดไม่ออก เมื่อครู่นี้ยังบอกอยู่เลยว่าไม่คุยเรื่องอื่น ทำไมชั่วพริบตาเดียวก็กลับคำเสียแล้วล่ะ?


เกาโย่วทำได้เพียงเก็บจอกสุราที่ยกขึ้นมากลับไป แล้วถามว่า “ไม่ทราบว่าพี่เซี่ยโห้วต้องการจะคุยเรื่องสำคัญอะไรเหรอ?”


เซี่ยโห้วหลงเฉิงดื่มสุราย้อมใจก้อนชามหนึ่ง จากนั้นใช้หลังมือเช็ดปาก ถลึงดวงตาที่โตเหมือนลูกระฆัง กวาดมองทุกคนรอบวงแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “ทุกคนไว้หน้าข้ามั้ย?”


ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ไว้หน้าอะไรกัน? ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก เหยียนซู่ถามว่า “พี่เซี่ยโห้วมีเรื่องอะไรก็บอกมาได้เลย”


เซี่ยโห้วหลงเฉิงกล่าวอย่างแน่วแน่ว่า “ข้าแค่ถามคำเดียวว่าพวกเจ้าไว้หน้าข้ารึเปล่า ยินดีจะช่วยอะไรข้าสักอย่างมั้ย”


เห็นได้ชัดว่าไม่คุยกันด้วยเหตุผล ถ้าเจ้าให้พวกเราก่อกบฏขึ้นมา พวกเราก็ยังต้องช่วยเจ้าใช่มั้ย? พวกเขามองหน้ากันไปมองหน้ากันมา สุดท้ายรุ่ยฝานก็กัดฟันบอกว่า “พวกเราไว้หน้าพี่เซี่ยโห้วอยู่แล้ว ขอเพียงเป็นเรื่องที่เราสามารถทำได้ ก็ย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว เป็นเรื่องอะไรกันแน่?” เขาต้องเหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ตัวเองก่อนสักหน่อย


เซี่ยโห้วหลงเฉิงใช้สองมือจับขอบโต๊ะ “คืออย่างนี้นะ ทางครอบครัวข้ากลัวว่าข้างกายข้าจะไม่มีกำลังคนเอาไว้ใช้งาน จึงส่งคนจำนวนหนึ่งมาให้ข้า แต่ข้าไม่อยากถูกคนมากมายขนาดนี้จับตาดู ก็เลยอยากจะไล่ไปอยู่ที่อาณาเขตพวกเจ้าบางส่วน พวกเจ้าคิดว่าวิธีการนี้ของข้าเป็นยังไงบ้าง?”


วิธีการนี้ไม่ดีเลยสักนิด! คนที่เหลือพูดในใจเป็นเสียงเดียวกัน แต่ก็ไม่ดีที่จะปฏิเสธตรงๆ เหยียนซู่ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วถามว่า “กี่คน?”


คนอื่นๆ ก็ถามแบบนี้เช่นกัน ถ้ามีไม่เยอะก็ยังดีหน่อย ขี้เกียจจะพัวพันอยู่กับเจ้าหมอนี่


เซี่ยโห้วหลงเฉิงโบกมือ “ไม่เยอะหรอก ร้อยกว่าคนเองมั้ง พวกเจ้าแปดคนแบ่งไปคนละส่วน เอาไปฝ่ายละประมาณสิบกว่าคน”


ส่งมารวดเดียวสิบกว่าคนนี่ยังไม่เยอะอีกเหรอ? เบื้องบนจ่ายค่าจ้างตามระบบของตลาดสวรรค์ ถ้าเพิ่มมาคนเดียวยังพอถูไถไปได้ แต่ถ้าเพิ่มมารวดเดียวสิบกว่าคน จะไปเอาค่าจ้างของคนสิบกว่าคนมาเพิ่มจากไหน คงจะให้พวกเราควักกระเป๋าเองไม่ได้หรอกใช่มั้ย?


เหยาสิ้งถอนหายใจแล้วบอกว่า “พี่เซี่ยโห้ว ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่อยากช่วยนะ ถ้าเพิ่มมาคนเดียวก็ยังพอไหว กำลังคนในระบบของเราก็เต็มแล้ว ถ้าให้เพิ่มรวดเดียวสิบกว่าคนอาจจะดำเนินการยากหน่อย!”


“ฟังจากที่พี่เหยาพูดแล้ว จะไม่ไว้หน้าข้างั้นสิ ตั้งใจอยากจะให้ข้าลำบากใจใช่มั้ย?” เซี่ยโห้วหลงเฉิงเหล่ตาถาม


“ฮะ!” เหยาสิ้งอยากจะถ่มน้ำลายใส่หน้าเขา ใครอยากทำให้ใครลำบากใจกันแน่? แต่ภายนอกก็ยังโบกมือกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่เซี่ยโห้วเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้หมายความอย่างนี้ ข้าหมายความว่า ทำไมถึงมีแค่พวกเราแปดคนล่ะ จ้านหรูอี้กับหนิวโหย่วเต๋อก็สามารถแบ่งไปคนละส่วนได้นี่นา เออใช่ จากที่ข้ารู้มา ในปีนั้นที่ท่านแม่ทัพภาคพาลูกน้องออกจากดาวเทียนหยวนไป หนิวโหย่วเต๋อก็เหมือนจะขาดจำนวนมากคนมาตลอดนะ ทำไมไม่ให้เขาแบ่งไปมากๆ หน่อยล่ะ ไม่แน่นะ เขาคนเดียวอาจจะแก้ปัญหาได้ทั้งหมดก็ได้”


“ใช่แล้ว!”


“ใช่มาก!”


ทุกคนพากันพยักหน้าสนับสนุน


“ใช่บ้าอะไรล่ะ!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงพูดตรงๆ ว่า “จ้านหรูอี้กับหนิวโหย่วเต๋อน่ะ ข้าไม่กล้าไปล่วงเกินหรอก ข้าถามคำเดียวว่าพวกเจ้าจะช่วยหรือไม่ช่วย หาข้ออ้างมาจากไหนเยอะขนาดนี้?”


ผู้บัญชาการใหญ่ทั้งเจ็ดคนสีหน้าเปลี่ยนนิดหน่อย แต่ละคนด่าในใจอย่างบ้าคลั่ง หมายความว่ายังไง? ล่วงเกินสองคนนั้นไม่ไหว แต่ล่วงเกินพวกเราได้ง่ายๆ งั้นเหรอ?


บทที่ 1304 ไม่มีเรื่องใดรบกวน

โดย

Ink Stone_Fantasy

หยางชิ่งที่ฟังอยู่นอกตึกศาลาก็ปวดหัวแล้วเช่นกัน เขาพบว่าตัวเองประเมินท่านเจ้าภาพที่อยู่ในนั้นต่ำเกินไป เขาเริ่มสงสัยนิดหน่อยแล้วว่าการให้คนแบบนี้ทำงานให้จะไว้ใจได้หรือเปล่า?


เท่ากับโดนเซี่ยโห้วหลงเฉิงตบหน้าแล้ว ผู้บัญชาการใหญ่เหลียนฟางอวี้ถึงขั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เจือด้วยความโมโหแล้ว พวกเราทุกฝ่ายมีเพิ่มมาคนละสิบกว่าคน ถ้าบวกกันก็ได้ร้อยกว่าคน ค่าจ้างของคนมากมายขนาดนี้ใครจะเป็นคนออกล่ะ?”


เซี่ยโห้วหลงเฉิงตอบอย่างฉลาดมากว่า “เรื่องนี้ก็ง่ายมาก เราแค่สลับกันก็พอแล้ว ข้าแบ่งส่งคนไปให้พวกเจ้า ส่วนคนของพวกเจ้าที่เกินมาก็ส่งมาให้ข้า เดี่ยวข้าจะเตรียมข้าจ้างให้พวกเขาเอง”


ในตอนนี้ ผู้บัญชาการใหญ่ทั้งเจ็ดคนไม่มีใครพูดอะไรแล้ว แต่เซี่ยโห้วหลงเฉิงยังพูดเสริมอีกว่า “คนของข้าที่ส่งไปให้พวกเจ้า จะดูแลแย่ๆ ไม่ได้นะ ทุกคนเตรียมตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการไว้คนละสามตำแหน่งก็ไม่ถือว่าลำบากใช่มั้ย?”


งานเลี้ยงสุรารอบนี้ ตอนแรกทุกคนกินดื่มกันอย่างมนุกสนานมาก แต่หลังจากที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงเริ่มคุยเรื่องสำคัญ พวกเขาก็อารมณ์ย่ำแย่ถึงขีดสุด จนกระทั่งงานเลี้ยงเลิกรา ผู้บัญชาการใหญ่ทั้งเจ็ดคนก็ออกจากงานไปด้วยใบหน้านิ่งเฉย


ในใจแต่ละคนเก็บกดแทบแย่ เจ้าหมีควายนั่นจะสำนึกได้อย่างไรว่าทุกคนอยุ่ในระดับเดียวกัน ยื่นมือเขาไปแทรกแซงที่ตลาดสวรรค์แห่งอื่นแล้ว ทำเหมือนเขาเป็นแม่ทัพภาคของจวนแม่ทัพภาคตงหัว


สรุปก็คือทุกคนไว้หน้าเซี่ยโห้วหลงเฉิงด้วยความไม่พอใจอย่างถึงที่สุด ที่สำคัญคือจะไม่ไว้หน้าก็ไม่ได้ เพราะทำมาหากินอยู่ที่ตลาดสวรรค์ อาศัยระดับอย่างพวกเขา ใครจะกล้าไปฟ้องร้องความผิดของเซี่ยโห้วหลงเฉิงล่ะ ต่อให้ฟ้องร้องจนชนะแล้ว ทำให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงโดนทำโทษแล้ว แต่เรื่องแบบนี้ก็ไม่ถือว่าอีกฝ่ายทำผิดกฎร้ายแรงสักเท่าไร เพราะเจ้าสามารถไม่ตอบตกลงได้ ดังนั้นจึงดึงเจ้าหมีควายนั่นให้ล้มไม่ได้เลย


ทว่าด้วยนิสัยอย่างเจ้าหมีควายนั่น เรียกได้ว่าชื่อเสียงดังไปถึงข้างนอก ถ้าโค่นไม่ล้มผลที่ตามมาก็ร้ายแรงมาก ทำเอาทั้งเจ็ดคนจะไม่ตอบตกลงก็ไม่ได้


แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ช่วยครั้งเดียวก็สิ้นเรื่องแล้ว ทั้งเจ็ดคนกังวลว่าถ้าในภายหลังเจ้าหมีควายนี่มาขอให้ช่วยบ่อยๆ ล่ะ แล้วพวกเขาจะทำยังไง? เมื่อจวนแม่ทัพภาคตงหัวมีนายท่านผู้นี้มา เกรงว่าต่อให้เป็นท่านแม่ทัพภาคก็อาจจะคุมไม่อยู่!


นี่ก็คือข้อดีของการที่ชื่อเสียงของเซี่ยโห้วหลงเฉิงโด่งดังออกไปข้างนอก และมีเพียงเขาเท่านั้นที่ทำเรื่องนี้แล้วดูสมเหตุสมผล ทั้งเจ็ดคนต่างก็รู้ว่าเขาไม่พูดจากันด้วยเหตุผลเลย ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น ทั้งเจ็ดคนก็คงไม่ได้พูดง่ายขนาดนี้ แต่ครั้งนี้ยอมแล้ว อย่างมากถ้าครั้งหน้าเจ้าเวรนี่จัดงานเลี้ยงเรียกทุกคนมาอีก ทุกคนก็จะหลบให้ไกลหน่อย


อย่างน้อยมารยาทบางอย่าง เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ยังรักษาไว้ได้ ถึงอย่างไรก็มาจากตระกูลใหญ่


หลังจากส่งกลุ่มเพื่อนร่วมงานไปแล้ว เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็กลับเข้ามานั่งในตึกศาลา


หยางชิ่งมองดูด้านนอกครู่หนึ่ง เสร็จแล้วถึงได้หันตัวเดินเข้ามาในตึกศาลา พอเข้ามาข้างใน ก็ได้ยินเซี่ยโห้วหลงเฉิงกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “น้องหนิวต้องการตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการหนึ่งตำแหน่ง ข้าให้พวกเขาจัดหาคนละสามตำแหน่ง ข้ามีน้ำใจมั้ยล่ะ? กลับไปก็อย่าลืมเอ่ยเรื่องนี้ให้น้องหนิวฟังสักหน่อยนะ”


หยางชิ่งไม่รู้จะด่าเขาว่าอย่างไรดี มีตำแหน่งเพิ่มขึ้นก็ย่อมดีอยู่แล้ว แต่ก็ต้องทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอนสิ เจ้ากดดันโหดขนาดนี้ในครั้งเดียว เจ้าไม่กลัวว่าเรื่องนี้จะพังเหรอ ข้ากลัวว่าเรื่องนี้จะสะดุดตาคนอื่นมากเกินไปนะ!


แต่ภายนอกเขาก็ยังยิ้มพร้อมชมว่า “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว! ใช่สิ หลังจากนายท่านสลับคนกับพวกเขาหนึ่งร้อยคนแล้ว ก็เท่ากับลูกน้องของนายท่านเพิ่มขึ้นรวดเดียวหนึ่งร้อยคน นายท่านเคยคิดมั้ยว่าจะจัดการอย่างไร?”


เซี่ยโห้วหลงเฉิงโบกมือ “เรื่องนี้ง่ายมาก มาก็มาสิ เดี๋ยวยัดเยียดข้อหาความผิดให้พวกเขา เตะพวกเขาออกจากตลาดสวรรค์ไปก็สิ้นเรื่องแล้ว ตำแหน่งพวกเทพแห่งผืนดิน ผีหลักเมืองที่ไม่มีคนอย่างไปเป็นก็มีตั้งเยอะ ยังจะกลัวหาที่ลงไม่ได้อีกเหรอ”


หยางชิ่งพูดไม่ออก ไม่ง่ายเลยกว่าอีกฝ่ายจะได้มาทำงานในตลาดสวรรค์ เจ้าจะเตะพวกเขาไปอย่างนี้น่ะเหรอ?


ช่างมันเถอะ ถึงอย่างไรเจ้าหมอนี่ก็หัวใหญ่ ตอนนี้หยางชิ่งกังวลอีกเรื่องหนึ่งมากกว่า จึงถามว่า “เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตอบตกลงอย่างไม่ค่อยเต็มใจ ไม่รู้ว่าพวกเขาจะกลับคำพูดหรือเปล่า เมื่อใกล้ถึงเวลาแล้วจะไม่กลับคำหรอกใช่มั้ย?”


“ข้าสงสัยว่าทำไมน้องหนิวถึงส่งคนขี้บ่นพูดมากอย่างเจ้ามาที่นี่?” เซี่ยโห้วหลงเฉิงทำสีหน้าเหมือนทนรำคาญไม่ไหว “นี่เป็นเรื่องง่ายๆ ไม่ใช่เหรอ ถ้าฝั่งพวกเขาไม่ยอมรับไว้จริงๆ ก็ยังมีข้าอยู่ไม่ใช่เหรอ? ก็แค่เพิ่มมาหนึ่งร้อยคนเอง ข้าเหมาหมดคนเดียวเลยก็สิ้นเรื่อง!”


ถ้าให้เจ้าเหมาคนเดียวได้ ข้ายังจะสิ้นเปลืองความพยายามแบบนี้อีกเหรอ? หยางชิ่งเริ่มกลัวแล้ว พบว่าเจ้าเวรนี่ไว้ใจไม่ได้เลย พอรู้สึกว่ายุ่งยากนิดหน่อยก็ไม่ทนแล้ว เป็นไปได้สูงว่าจะทำแบบนี้ จึงรีบพูดห้าม “ไม่ได้เด็ดขาด ถ้าไปทำโดยที่ผู้บัญชาการใหญ่หนิวไม่ได้สั่ง เกรงว่าจะทำให้ผู้บัญชาการใหญ่หนิวไม่พอใจ”


เขามาที่นี่หลายวันแล้ว พอจะมองออกอยู่บ้าง ว่าท่านนี้กลัวเหมียวอี้ยู่นิดหน่อย เขาทำได้เพียงอ้างเหมียวอี้


เป็นอย่างที่คาดไว้ พอได้ยินว่าผู้บัญชาการใหญ่หนิวจะไม่พอใจ เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็อดไม่ได้ที่จะดูดฟันตัวเอง กล่าวเหมือนปวดประสาทมากว่า “น้องหนิวคนนี้อะไรก็ดีหมด เพียงแต่เจ้าอารมณ์ไปหน่อย เอะอะก็จะตัดหัว เฮ้อ! ช่างเถอะ ข้าเองก็ไม่ทำให้เจ้าลำบากแล้ว จะได้ไม่ต้องกลับไปแล้วอธิบายลำบาก วางใจเถอะ อย่างมากข้าก็แค่ต้องไปเยี่ยมเจ็ดคนนั้นถึงบ้าน ถ้ากล้ากลับคำพูดเรื่องที่ตอบตกลงไว้แล้ว ปู่คนนี้ก็ไม่ใช่คนที่จะมาล้อเล่นด้วยได้ง่ายๆ ขนาดนั้น”


“ผู้บัญชาการใหญ่ช่างปราดเปรื่อง!” หยางชิ่งกุมหมัดขอบคุณ แล้วพลิกฝ่ามือนำกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งมาวางตรงหน้าเขา พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ช่วยเหลือขนาดนี้ ก่อนที่จะมา ผู้บัญชาการใหญ่หนิวฝากฝังเป็นพิเศษว่าให้มอบน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ นี้ให้ผู้บัญชาการใหญ่ หวังว่าจะไม่รังเกียจขอรับ”


“ของอะไรกัน!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงพึมพำ ถือโอกาสหยิบมาดู หลังจากเห็นชัดว่าของข้างในคืออะไร ดวงตาทั้งคู่ก็ลุกวาวทันที เงยหน้าถามอย่างตกตะลึงว่า “นี่น้องหนิวให้ข้าหมดเลยเหรอ?”


“ขอรับ!” หยางชิ่งยิ้ม


“ไอ๊หยา! น้องหนิวเกรงใจกันเกินไปแล้ว ในเมื่อเป็นน้ำใจที่มอบให้ งั้นถ้าข้าปฏิเสธก็จะถือว่าไม่เคารพแล้ว” เซี่ยโห้วหลงเฉิงลูกคลำกำไลด้วยความโปรดปรานจนวางไม่ลง แล้วก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้อีก เลิกคิ้วถามว่า “ของที่น้องหนิวสั่งให้เจ้าเอามาให้ข้าอยู่ในนี้หมดแล้วนะ? เจ้าไม่ได้เก็บไว้ส่วนตัวใช่มั้ย?”


“มิบังอาจแน่นอน! เดี๋ยวผู้บัญชาการใหญ่ไปตรวจสอบจำนวนกับผู้บัญชาการใหญ่หนิวก็จะรู้เอง ข้าน้อยไม่กล้าเล่นตุกติกหรอก” หยางชิ่งไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี


เซี่ยโห้วหลงเฉิงพ่นเสียงทางจมูกสองที แล้วบอกว่า “รู้แล้วก็ดี!”


หยางชิ่งกล่าวเสียงต่ำอีกว่า “เออใช่  ก่อนที่จะมาที่นี่ ผู้บัญชาการใหญ่ให้ข้าน้อยเตือนผู้บัญชาการใหญ่ไว้ด้วย ว่าของที่นำมาให้ผู้บัญชาการใหญ่ล้วนเป็นของที่แอบหักไว้ส่วนตัวตอนค้นยึดร้านค้าที่ตลาดสวรรค์ ถ้ามันรั่วไหลออกไปเมื่อไร  เกรงว่าถึงตอนนั้นเบื้องบนก็จะสั่งให้ผู้บัญชาการใหญ่คายของออกมาเช่นกัน ดังนั้นเรื่องที่ผู้บัญชาการใหญ่หนิวฝากฝังผู้บัญชาการใหญ่ไว้ จะต้องปิดปากให้มิด ถ้าให้คนอื่นรู้ว่าเกี่ยวข้องกับผู้บัญชาการใหญ่หนิว…ผู้บัญชาการใหญ่เองก็รู้ว่าผู้บัญชาการใหญ่หนิวล่วงเกินคนอื่นไว้มากมาย จะต้องมีคนถือโอกาสนี้สร้างเรื่องแน่นอน สืบสาวไปถึงตัวผู้บัญชาการใหญ่หนิวจริงๆ เกรงว่าหลักฐานพวกนี้ก็จะต้องส่งมอบขึ้นไปเหมือนกัน”


เซี่ยโห้วหลงเฉิงจับกำไลเก็บสมบัติไว้แน่นทันที พร้อมกล่าวด้วยสายตาแน่วแน่เด็ดเดี่ยวว่า “พวกฝานอวี้เฟยเป็นลูกน้องเก่าของน้องชายข้า ข้าย้ายกำลังคนมาจากลูกน้องเก่าของน้องชายนิดหน่อยจะเกี่ยวอะไรกับน้องหนิว? มีแต่คนขี้บ่นพูดมากไม่รู้จักหยุดอย่างเจ้านั่นแหละ แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าไว้ใจไม่ได้ ข้าขอเตือนเจ้าไว้นะ ถ้ากล้าเปิดเผยเรื่องนี้แม้แต่ครึ่งคำ ก็อย่าหาว่าปู่คนนี้ไม่เกรงใจ!”


หยางชิ่งพูดไม่ออก พบว่าถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเงินทอง ท่านนี้ก็สมองใสปราดเปรื่องมาก!


เวลาของแดนฝึกตนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปเกือบสองร้อยปีแล้ว ไม่มีเรื่องอะไรให้กังวล ถือเป็นช่วงเวลาที่สงบเงียบสำหรับเหมียวอี้


ในห้องสมาธิ ดอกบัวสีทองห้ากลีบตรงหว่างคิ้วค่อยๆ เบ่งบานอีกกลีบอย่างงดงามเรืองรอง วรยุทธ์เพิ่มขึ้นอีกขั้นหนึ่งแล้ว บงกชทองขั้นหก!


ยาแก่นเซียนหนึ่งกำที่หมุนวนอยู่รอบกายระเบิดกลายเป็นพลังจิตวิญญาณเข้มข้นเหมือนน้ำนม เขาทดสอบความคืบหน้าในการฝึกตนอีกครั้ง


ยาเม็ดโลหิตที่ได้มาจากปีศาจโลหิตก็ใช้ไปหมดแล้ว เขาใช้ยาแก่นเซียนจำนวนมากตั้งนานแล้ว


หลังจากนั้นหนึ่งวัน เหมียวอี้ที่นั่งขัดสมาธิและดูดซับพลังจิตวิญญาณจดหมดเกลี้ยงก็ลืมตาขึ้น แล้วนับนิ้วคำนวณ


ความเร็วในการกลั่นกรองยาแก่นเซียนแต่ละวันเพิ่มขึ้นอีกสิบเท่าตัว ตอนนี้กลั่นกรองได้สามร้อยสามสิบเม็ดแล้ว ถ้าอยากจะบรรลุระดับบงกชทองขั้นเจ็ด ก็เกรงว่าต้องใช้ยาแก่นเซียนอีกห้าสิบล้านกว่าเม็ด คาดว่าต้องใช้เวลาอีกสี่ร้อยห้าสิบกว่าปีกว่าจะไปถึงจุดนั้นได้


“เฮ้อ!” เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ เวลามีเหลือเฟือ แต่ช่วยไม่ได้ที่เรื่องกวนใจรอบกายไม่เคยคอยใคร เขาหลับตาฝึกฝนต่อไปอีก


ทว่าอยู่อย่างสงบเงียบได้เพียงสองปี การทดสอบระยะเวลาสองร้อยปีที่แดนอเวจีก็กำลังจะจบลงแล้ว ทางนรกส่งข่าวมาแล้ว


“ถุย…”


สาวสวยพริ้มเพราคนหนึ่งที่ผมยาวประบ่าโผล่ขึ้นมาจากผิวทะเล พอโผล่หน้าขึ้นมา ก็เงยหน้าขึ้นฟ้าพ่นเสาน้ำขึ้นมา


ปี้เย่วฮูหยินที่ยืนอยู่บนชายหาดถลึงตา ยืนเท้าเอวสองข้างพร้อมตะโกนว่า “ซินเอ๋อร์ ยังไม่รีบกลับมาอีก เด็กผู้หญิงมาเล่นน้ำกลางแจ้งกลางวันแสกๆ แบบนี้ไม่เรียบร้อยเลย! ยังไม่ไสหัวกลับมาฝึกตนอีก!”


“คิคิ…คิคิ!”


เสียงหัวเราะที่ใสเหมือนระฆังดังมาจากผิวทะเล สาวน้อยใช้สองมือทำท่าเหมือนโทรโข่ง ตะโกนว่า “ท่านแม่! ขอเล่นอีกประเดี๋ยวนะ เดี๋ยวก็กลับแล้ว…”


เงาคนคนหนึ่งแฉลบเข้ามา ร่างของไห่ยวนเค่อเหาะลงมาจากฟ้า แล้วยืนอย่างมั่นคงอยู่ข้างกายปี้เย่วฮูหยิน ยังคงแต่งกายเหมือนในปีนั้น มองดูลูกสาวเล่นน้ำทะเลด้วยสีหน้าเรียบเฉย ปี้เย่วฮูหยินหันมาย่อตัวคำนับทันที


สาวน้อยที่โผล่แขนเหนือผิวทะเลแลบลิ้นสีแดงสดออกมาทันที เหมือนจะกลัวนิดหน่อย รีบลอยขึ้นมาเหยียบบนคลื่น ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชม่วงขั้นหนึ่ง ได้รับถ่ายทอดหน้าตามาจากส่วนดีของพ่อและแม่ จึงงามหยาดเยิ้มราวกับดอกบัวที่โผล่พ้นน้ำ ลักษณะท่าทางก็อ่อนโยน เรือนร่างลอยขึ้นเหนือผิวน้ำ ชุดกระโปรดแนบติดลำตัว มีส่วนเว้าส่วนโค้งอ่อนช้อย ราวกับหยกงามที่สลักออกมา พอไอน้ำแผ่กระจายรอบกาย เสื้อผ้าที่แนบติดลำตัวก็เปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงยาวสีเหลืองอ่อนปลิวพลิ้ว  นางลอยติดผิวน้ำเข้ามาเหยียบลงข้างกายไห่ยวนเค่อกับปี้เย่วฮูหยิน แล้วกล่าวเรียกเสียงหวานอย่างน่าเอ็นดูว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่!”


สาวน้อยคนนี้ก็คือลูกสาวของไห่ยวนเค่อกับปี้เย่วฮูหยิน ชื่อว่าไห่ผิงซิน ตอนที่ตั้งชื่อ ปี้เย่วฮูหยินเคยถามไห่ยวนเค่อว่าทำไมจึงตั้งชื่อนี้ให้ลูกสาว ไห่ยวนเค่อบอกว่า ไม่ว่าในอนาคตจะประสบกับเรื่องอะไรก็ล้วนสามารถก้าวข้ามไปได้ด้วยใจที่สงบเยือกเย็น


นี่ยังไม่เท่าไร ปี้เย่วฮูหยินหวังว่าไห่ยวนเค่อจะถ่ายทอดวิชาที่ลึกล้ำให้กับลูกสาวตัวเอง แต่ไห่ยวนเค่อบอกเพียงว่า “ในภายหลังค่อยว่ากัน”


เมื่อเผชิญหน้ากับลูกสาวที่อยู่ตรงหน้า ไห่ยวนเค่อไม่พูดอะไรทั้งนั้น หันตัวเดินเข้าไปในจวนแล้ว


ปี้เย่วฮูหยินกลับรีบบิดหูลูกสาว พร้อมตำหนิว่า “นางเด็กแก่นแก้ว ถ้าครั้งหน้ากล้าหนีออกมาเล่นน้ำอีก ก็คอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการเจ้ายังไง!”


“ไม่กล้าแล้วค่ะ ไม่กล้าแล้ว” ไห่ผิงซินขอร้องซ้ำๆ กว่าจะรอดตัว นางเอามือนวดหูพลางเดินตามหลังไห่ยวนเค่อที่อยู่ไกลๆ แต่ปากก็อดไม่ได้ที่จะกระซิบถามมารดาที่เดินอยู่ข้างกายว่า “ท่านแม่ ทำไมข้าไม่เคยเห็นท่านพ่อยิ้มเลยล่ะ?”


ข้างหน้า ไห่ยวนเค่อที่ได้ยินแบบนั้นกระตุกมุมปากเล็กน้อย แววตาที่อมทุกข์ยังคงสงบนิ่ง


“อ๊า…” ไห่ผิงซินร้องอย่างเจ็บปวดอีกครั้ง นางกำลังนินทาบิดาลับหลัง จึงโดนปี้เย่วฮูหยินดึงหูอีกแล้ว


หญิงรับใช้สามคนกำลังเดินตามหลังครอบครัวที่มีพ่อแม่ลูกสามคนนี้


หลังจากเข้ามาที่เรือนพักด้านในจวน จู่ๆ ไห่ยวนเค่อที่เดินอยู่ข้างหน้าก็หันตัวมาบอกปี้เย่วฮูหยินว่า “มาคุยกับข้าสักหน่อย”


ปี้เย่วฮูหยินหันกลับมากำชับให้หญิงรับใช้สามคนดูแลลูกสาวทันที เสร็จแล้วถึงเดินตามไห่ยวนเค่อออกมาจากประตูด้านหลัง เดินเข้ามาในศาลาริมทะเล


ไห่ยวนเค่อที่เดินนำมาก่อนหันตัวมา แล้วยื่นกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งให้ตรงหน้านาง


ปี้เย่วฮูหยินงงทันที ถามอย่างแปลกใจว่า “อะไรเหรอ?”


“ของที่แย่งชิงมาจากตัวเจ้าในปีนั้น ช่วยนำกลับมาคืนให้เจ้าโดยไม่แตะต้องอะไรตั้งนานแล้ว เพียงแต่ไม่เคยคืนให้เจ้าเลย เจ้าลองดูสิว่ามีอะไรหายไปหรือเปล่า” ไห่ยวนเค่อตอบ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)