เทพปีศาจหวนคืน 1297-1311

 เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1297 เต่าพยากรณ์


แปลโดย iPAT 


ฟางหยวนต้องการแสง


เขาต้องการสร้างธารแสงเพื่อเป็นแหล่งอาหารของวิญญาณทัศนคติ


แม้ราเรืองแสงจะเป็นพืชอสูรเดียวดายและไม่เหมือนผลไม้ธารแสง


แต่มนุษย์มีสติปัญญา พวกเขาสามารถดัดแปลง


ดังนั้นหากฟางหยวนได้รับราเรืองแสง เขาอาจใช้มันสร้างธารแสงได้ในอนาคต


นอกเหนือจากวิญญาณทัศนคติ ยังมีวิญญาณดาบแห่งปัญญา


วิญญาณดาบแห่งปัญญากินดอกไม้หลากสี


หากฟางหยวนต้องการเพาะปลูกดอกไม้หลากสีปริมาณมาก เขาจำเป็นต้องบรรลุเงื่อนไขสามประการ แสงสว่าง กลิ่นหอมหวาน และดินมุก


สองข้อหลังไม่ใช่เรื่องยาก แต่แสงสว่างไม่ใช่เรื่องง่าย


มิติช่องว่างของฟางหวนมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งแสงอยู่ไม่มาก แม้เขาจะเคยกลืนกินแดนศักดิ์สิทธิ์บนเส้นทางแห่งแสงเข้าไป แต่มันยังห่างไกลจากเป้าหมายของเขา


ในทางตรงข้าม หากมีราเรืองแสง มันจะช่วยแก้ปัญหานี้


แต่ยังมีปัญหาอื่น


ราเรืองแสงเติบโตในทะเลน้ำลึก พวกมันจะอยู่รอดในสภาพแวดล้อมอื่นหรือไม่?


‘นี่ไม่น่าเป็นปัญหา เพราะราเรืองแสงเป็นพืชอสูรเดียวดาย’


‘สำหรับธารแสง ข้าสามารถมองข้ามมันไปก่อน เนื่องจากทรัพยากรจากถ้ำแสงมรกตของเผ่าหลิวช่วยมันได้มาก แม้มันจะยังไม่ถึงมาตรฐานที่กำหนดก็ตาม’


‘สำหรับทุ่งดอกไม้หลากสี ข้ายังมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งแสงไม่พอที่จะเพาะเลี้ยงพวกมัน’


‘โอ้ ถูกต้อง ข้ามีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง ในช่วงเวลาสำคัญข้าสามารถเปลี่ยนพวกมันให้เป็นร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งแสงได้ชั่วคราว’


ขณะที่ฟางหยวนกำลังคิดเรื่องเหล่านี้ ตงฮัวกล่าวต่อ “ข้าต้องการแลกเปลี่ยนราเรืองแสงเหล่านี้กับช้างน้ำสามตัว”


ผู้อมตะบางคนตอบ “ข้ามีช้างน้ำอยู่บ้าง เจ้าต้องการกี่ชั้น?”


ช้างน้ำเป็นสัตว์อสูรชนิดพิเศษของทะเลตะวันออก พวกมันมีงาสีขาวและผิวสีน้ำเงิน บนแผ่นหลังของพวกมันมีโครงกระดูกสีน้ำเงินยื่นออกมาและดูเหมือนอาคารสองชั้น สามชั้น หรือมากกว่านั้น


ช้างน้ำหกชั้นเป็นสัตว์อสูรเดียวดาย ช้างน้ำเจ็ดชั้นเป็นสัตว์อสูรบรรพกาล ช้างน้ำแปดชั้นเป็นสัตว์อสูรแรกกำเนิด ช้างน้ำเก้าชั้นไม่ปรากฏ


ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ พืช หรือมนุษย์กลายพันธุ์ พวกมันไม่สามารถบรรลุสู่ระดับเก้า มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่สามารถบรรลุเป็นผู้อมตะระดับเก้า


ตงฮัวบอกปริมาณราเรืองแสงของนางและต้องการแลกกับช้างน้ำหกชั้นจำนวนสามตัว


ราคานี้ไม่แพง มันอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน


แต่ผู้อมตะผู้นั้นยังขมวดคิ้ว “ข้ามีช้างน้ำหกชั้นเพียงตัวเดียว ราเรืองแสงของเจ้าสามารถแบ่งขายหรือไม่? หรือมีสิ่งใดที่เจ้าต้องการอีกหรือไม่?”


ตงฮัวลังเล


เขาอาจไม่ได้กล่าวความจริง


แต่หลังจากพิจารณา ตงฮัวพยักหน้า “เช่นนั้นเรามาแลกเปลี่ยนกัน”


ดังนั้นธุรกรรมแรกจึงลุล่วงไปอย่างรวดเร็ว


“ข้าอยากได้ราเรืองแสงแต่ไม่มีช้างน้ำ ท่านรับหินวิญญาณอมตะหรือไม่?” ฟางหยวนถาม


ตงฮัวส่ายศีรษะแต่นางไม่ได้ปฏิเสธทั้งหมด “ข้าจะขายราเรืองแสงในสวรรค์สีเหลือง เจ้าสามารถไปซื้อที่นั่น”


ในความเป็นจริงผู้อมตะของทะเลตะวันออกส่วนใหญ่บ่มเพาะบนเส้นทางแห่งวารี


ราเรืองแสงเหมาะสมกับผู้อมตะของทะเลตะวันออกเป็นอย่างมาก เช่นเดียวกับมิติช่องว่างของวูอี้ไห่ มิติช่องว่างของเขาเป็นทะเล


ตงฮัวค้นพบทรัพยากรชนิดใหม่ นางจะทำกำไรได้อย่างมากจากสิ่งนี้


สำหรับหินวิญญาณอมตะ นางไม่ต้องการเพราะนางยังไม่รู้ราคาตลาด


ดังนั้นนางจึงปฏิเสธฟางหยวนโดยไม่ลังเล จะเกิดสิ่งใดขึ้นหากราเรืองแสงได้รับความนิยมในสวรรค์สีเหลือง หากนางขายมันตอนนี้ นางจะไม่ขาดทุนงั้นหรือ?


แต่หากนางขายในราคาสูงเกินไป อีกฝ่ายจะไม่แลกเปลี่ยนกับนาง สวรรค์สีเหลืองเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการทดลองตลาด


ตงฮัวไม่ต้องการขาย ดังนั้นฟางหยวนจึงไม่สามารถทำสิ่งใด


แต่เขาเข้าใจนาง


นี่เป็นพืชอสูรเดียวดาย นางสามารถเพิ่มราคาของมันได้ในภายหลัง


โดยเฉพาะเมื่อมีเพียงตงฮันเพียงผู้เดียวที่ครอบครองมัน


หากเป็นฟางหยวน เขาจะเพิ่มราคาตั้งแต่แรกเพื่อทำกำไร


ราเรืองแสงเป็นพืชอสูรเดียวดายระดับหก เมื่อมันอยู่ในตลาดนานพอ ผู้คนจะค้นคว้าเกี่ยวกับมันและจะทำให้การผูกขาดของตงฮันพังทลายลงในที่สุด


ท้ายที่สุดแล้วทะเลตะวันออก็มีขนาดใหญ่โตมาก ราเรืองแสงไม่ได้เติบโตขึ้นในสถานที่เดียว


หลังจากทำวิจัย ผู้อมตะจะใช้วิธีการพิเศษของพวกเขาเพื่อค้นหามัน


เมื่อเวลานั้นมาถึง ตงฮัวจะถูกโค่นล้ม


ต่อมาผู้อมตะคนที่สองขึ้นไปบนแท่น


นี่คือกฎของงานประชุมการค้า


ในแต่ละรอบผู้อมตะจะออกไปตามลำดับที่ได้รับการตัดสินมาก่อนหน้า พวกเขาจะสามารถเสนอขายสินค้าได้รอบละชิ้นเท่านั้น


นี่เพื่อความยุติธรรม


สำหรับฟางหยวน สมาชิกใหม่ของกลุ่ม เขาจะเป็นคนสุดท้าย


“นี่คือหินไขกระดูก ทรัพยากรอมตะระดับเจ็ด ข้าต้องการไม้ลอยน้ำพันปี” ผู้อมตะคนที่สองบอกความต้องการของตนเองอย่างรวดเร็ว


หินไขกระดูกเหมือนหินชายหาดทั่วไป แต่เมื่อรูปแบบชีวิตเข้าไปใกล้ พวกมันจะถูกดูดเข้าไปข้างใน


ดังนั้นหินไขกระดูกจึงถูกเรียกว่าหินปีศาจ


ชื่อหินปีศาจถูกเรียกโดยเผ่าเงือก


เงือกเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ชนิดหนึ่ง พวกมันอาศัยอยู่ในทะเลตะวันออก


เมื่อเงือกพบหินไขกระดูก พวกมันจะได้รับความทุกข์ทรมานจากหินเหล่านั้น


อย่างไรก็ตามมีเงือกบางกลุ่มปฏิบัติต่อหินปีศาจราวกับเทพเจ้าและบูชาพวกมัน


แต่สำหรับผู้อมตะ หินไขกระดูกเป็นเพียงวัสดุในการหลอมรวมวิญญาณ


ธุรกรรมนี้ประสบความสำเร็จเช่นกัน


ไม้ลอยน้ำพันปีอาจหาได้ยากในท้องตลาด แต่ผู้อมตะทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนมีฐานะร่ำรวย มิฉะนั้นพวกเขาจะไม่สามารถสร้างงานประชุมการค้าเช่นนี้


กล่าวได้ว่าการรวมตัวของผู้อมตะกลุ่มนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเขาล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่หาได้ยากของทะเลตะวันออก


คนที่สามที่ออกไปคือถูเทาเทา


“ข้ามีราชินีคางคกอสูรบรรพกาล มันสามารถออกคำสั่งคางคกระดับหกและต่ำกว่า หากเลี้ยงมันได้ดี มันจะสามารถสร้างวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งทาส มีผู้ใดสนใจหรือไม่?”


ราชินีคางคกอสูรบรรพกาลเป็นสัตว์อสูรบนเส้นทางแห่งทาส


แต่ธุรกรรมของถูเทาเทาล้มเหลว


ต่อไปเป็นผู้อมตะคนที่สี่ “ข้ากำลังหาเบาะแสเกี่ยวกับทะเลปราณ หากผู้ใดมีข้อมูลเกี่ยวกับมัน ข้ายินดีจ่ายด้วยข้อมูลที่มีมูลค่าใกล้เคียงกัน”


นี่เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูล แต่กลุ่มผู้อมตะยังนิ่งเฉย


ธุรกรรมนี้ล้มเหลวเช่นกัน


ทะเลปราณเป็นสถานที่พิเศษและลึกลับมากในทะเลตะวันออก


ผู้อมตะบางคนอาจไม่รู้หรือบางคนอาจรู้แต่ไม่ต้องการแลกเปลี่ยน


ผู้อมตะผลัดกันออกไปทีละคน


รอบแรกกำลังจะจบ


ฟางหยวนเป็นคนสุดท้าย


ขณะที่เมี่ยวหมิงเฉินเป็นคนรองสุดท้าย


เขาขึ้นไปและกล่าว “ข้ามีวิญญาณอมตะเต่าพยากรณ์ระดับเจ็ด ผู้ใดต้องการมันบ้าง?”


ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายขึ้นทันที


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1298 แลกเปลี่ยนวิญญาณ


แปลโดย iPAT 


งานประชุมการค้ายังดำเนินต่อไป


ในฐานะเจ้าภาพผู้จัดงาน เดิมทีเมี่ยวหมิงเฉินต้องเป็นคนสุดท้าย


แต่เนื่องจากฟางหยวนเป็นคนใหม่ ตามกฎเขาจึงกลายเป็นคนสุดท้าย


หากเมี่ยวหมิงเฉินไม่ปฏิบัติตามกฎ คนอื่นๆอาจไม่พอใจ


เมี่ยวหมิงเฉินเข้าใจเรื่องนี้และสามารถตอบสนองได้อย่างเหมาะสม


อย่างไรก็ตามความคิดของฟางหยวนไม่ได้อยู่ที่เมี่ยวหมิงเฉิน แต่สายตาของเขามองไปยังวิญญาณอมตะที่อยู่ในมือของเมี่ยวหมิงเฉิน


วิญญาณอมตะเต่าพยากรณ์ระดับเจ็ด!


ฟางหยวนถูกล่อลวงทันที


เพราะเหตุใด?


เพราะฟางหยวนมีหลายสิ่งที่ไม่สามารถใช้งานเช่นท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นมังกรดาบบรรพกาลหรือท่าไม้ตายอมตะเกราะหวนคืน หากเขาต้องการใช้ท่าไม้ตายอมตะเหล่านี้ เขาต้องแน่ใจว่าจะไม่มีผู้รอดชีวิต มิฉะนั้นเมื่อเบาะแสถูกแพร่กระจายออกไป ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาจะสามารถอนุมานเกี่ยวกับตัวเขา


เรื่องนี้ค่อนข้างน่าอึดอัดใจสำหรับฟางหยวน


ยิ่งแข็งแกร่ง ก็ยิ่งมีปัญหา


นิกายเงา วังสวรรค์ ถ้ำสวรรค์นิรันดร…ทั้งหมดล้วนเป็นกองกำลังใหญ่


นอกจากนั้นเขายังกลายเป็นศัตรูของปีศาจอมตะเซี่ยหู ผู้อมตะระดับแปดอันดับหนึ่งของภาคเหนือ


ดังนั้นฟางหยวนจึงต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันมหาศาล


อาจมีเพียงการก้าวเข้าสู่ระดับเก้าเท่านั้นที่จะทำให้ฟางหยวนสามารถเปิดเผยตัวตน


ก่อนหน้านั้น แม้ฟางหยวนจะกลายเป็นผู้อมตะระดับแปด แต่วังสวรรค์และถ้ำสวรรค์นิรันดรก็ยังจะไล่ล่าและสร้างปัญหาให้เขา


‘การปลอมตัวเป็นวูอี้ไห่ยังมีจุดบกพร่องหรือกล่าวให้ถูกต้องกว่านั้นคือข้ามีข้อบกพร่อง…’


ฟางหยวนไม่สามารถต่อสู้ได้เมื่อเขาเป็นวูอี้ไห่


เพราะเขาไม่ใช่วูอี้ไห่ตัวจริง!


หลังจากค้นวิญญาณของวูอี้ไห่ ฟางหยวนพบว่าวูอี้ไห่มีท่าไม้ตายอมตะที่สามารถเปลี่ยนร่างเป็นสามสิ่ง หนึ่ง ปะการัง สอง นกนางนวล สาม เต่า


ก่อนหน้านี้ระหว่างการต่อสู้ในกำแพงภูมิภาค วูอี้ไห่เคยเปลี่ยนร่างเป็นเต่าเพื่อป้องกันตนเอง


ฟางหยวนจำได้อย่างชัดเจนว่ามันเป็นเต่าศักดิ์สิทธิ์ สัตว์อสูรบรรพกาลที่มีพลังป้องกันเป็นสิบอันดับแรกท่ามกลางสัตว์อสูรบรรพกาลทั้งหมดของทะเลตะวันออก


แท้จริงแล้วสิ่งนี้สามารถเห็นได้จากมิติช่องว่างของวูอี้ไห่


มิติช่องว่างของวูอี้ไห่เป็นทะเล ภายในมีสิ่งมีชีวิตสามชนิดได้แก่ เต่าศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล ปะการังอสูรบรรกาล และนกนางนวลสีน้ำเงิน


ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงมักเลี้ยงสัตว์อสูรที่ตนเองแปลงเป็นเอาไว้


ประการแรก สิ่งมีชีวิตเหล่านี้เป็นทรัพยากรที่สามารถช่วยในการบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง ตัวอย่างเช่นเต่าศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล หากเขาต้องการหลอมรวมวิญญาณอมตะในอนาคต เขาจะฆ่าเต่าตัวนี้เพื่อใช้มันเป็นวัสดุในการหลอมรวม


ประการที่สอง ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงต้องมีความเข้าใจอย่างชัดเจนเกี่ยวกับรูปแบบชีวิตที่ตนเองต้องการแปลงเป็น ด้วยวิธีนี้พวกเขาจะสามารถเพิ่มพลังการต่อสู้ การเลี้ยงรูปแบบชีวิตเหล่านั้นเอาไว้ในมิติช่องว่างจะทำให้พวกเขาสามารถสังเกตพฤติกรรมของพวกมันได้อย่างใกล้ชิด


สำหรับฟางหยวน ด้วยความสำเร็จที่เพิ่มสูงขึ้น มันส่งผลกระทบต่อทุกสิ่ง เขาสามารถตระหนักรู้ได้ตามสัญชาตญาณโดยไม่ต้องเสียเวลาสังเกตและฝึกฝนเป็นเวลาอันยาวนาน


‘หากข้ามีวิญญาณอมตะดวงนี้ มันจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อข้า’


หลังจากไตร่ตรอง ฟางหยวนต้องการมันมากขึ้น


เต่าพยากรณ์เป็นสัตว์อสูรบรรพกาลบนเส้นทางแห่งปัญญา ความสามารถหนึ่งของมันคือป้องกันการอนุมานจากผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา


หากฟางหยวนเปลี่ยนร่างเป็นเต่าพยากรณ์ การเดินทางของเขาจะสะดวกสบายมากขึ้น


เขาสรุปว่าวิญญาณอมตะดวงนี้มีประโยชน์ต่อเขาอย่างมาก


หรือกล่าวให้ถูกต้องกว่านั้น มันมีประโยชน์มากเกินไป!


สำหรับคนอื่นๆ วิญญาณอมตะเต่าพยากรณ์ระดับเจ็ดอาจไร้ประโยชน์ ท้ายที่สุดมันก็ทำได้เพียงป้องกันเท่านั้น แต่หากเป็นคนที่มองหาความสามารถในการป้องกันการอนุมาน มันกลับมีประสิทธิภาพไม่เท่ากับวิธีอื่น


ดังนั้นประโยชน์ของมันจึงน้อยมาก นอกจากนี้มีกี่คนที่จะถูกอนุมานตลอดเวลา? ทุกคนเป็นเหมือนหลิวกวนซื่องั้นหรือ?


อย่างไรก็ตามฟางหยวนแตกต่างออกไป


ตอนนี้เขามีชื่อเสียงอย่างมากในทั้งห้าภูมิภาค กระทั่งตัวตนปลอมของเขาก็ยังเป็นภาระ


นอกจากนี้ฟางหยวนยังสามารถเปลี่ยนร่างเป็นเต่าพยากรณ์และใช้ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าช่วยเพิ่มพลังอำนาจของมัน ด้วยวิธีนี้ความสามารถในการป้องกันการอนุมานของเต่าพยากรณ์จะเพิ่มสูงขึ้น


ฟางหยวนมองไปรอบๆและพบว่ามีผู้สนใจวิญญาณอมตะดวงนี้ไม่มากนัก


การทำธุรกรรมวิญญาณอมตะทำได้โดยการใช้วิญญาณอมตะในการแลกเปลี่ยนเท่านั้น


เนื่องจากวิญญาณอมตะทุกดวงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คุณค่าของพวกมันไม่สามารถกำหนดได้โดยง่าย กล่าวได้ว่าคุณค่าของวิญญาณอมตะขึ้นอยู่กับตัวของผู้อมตะแต่ละคน วิญญาณอมตะบางดวงอาจมีคุณค่าต่อผู้อมตะคนหนึ่งแต่ไร้ค่าสำหรับผู้อมตะอีกคน


“วิญญาณอมตะ”


“ผู้ใดจะคิดว่าวิญญาณอมตะจะปรากฏตั้งแต่รอบแรก”


กลุ่มผู้อมตะถอนหายใจ พวกเขาพึมพำแต่ยังไม่ตอบสนอง


เมี่ยวหมิงเฉินยิ้ม เขาคาดเดาสิ่งนี้ไว้แล้ว


ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงมักเปลี่ยนเป็นสิ่งมีชีวิตรูปแบบอื่นเพียงสองหรือสามรูปแบบ มิฉะนั้นพวกเขาต้องมีวิญญาณอมตะเปลี่ยนรูปลักษณ์


อย่างไรก็ตามนี่เป็นความตั้งใจของเมี่ยวหมิงเฉิน


เขาเป็นเจ้าภาพจัดงาน หากข่าวเรื่องวิญญาณอมตะปรากฎขึ้นตั้งแต่รอบแรกถูกแพร่กระจายออกไป มันจะยกระดับงานประชุมการค้าของเขาและดึงดูดผู้อมตะคนอื่นๆให้เข้าร่วมมากขึ้น


“ข้ายินดีแลกเปลี่ยนวิญญาณอมตะดวงนี้” ฟางหยวนลุกขึ้นจากเก้าอี้


กลุ่มผู้อมตะหันหน้าไปทางฟางหยวนทันที


เมี่ยวหมิงเฉินมึนงงเล็กน้อยก่อนจะตอบสนองด้วยรอยยิ้ม


“ข้าสงสัยว่าท่านต้องการสิ่งใด?” ฟางหยวนถาม


เมี่ยวหมิงเฉินหัวเราะ “ชูอิง นี่เป็นงานประชุมการค้าครั้งแรกของเจ้าและเจ้าเป็นผู้มีพระคุณของข้า นอกจากนั้นข้าก็ไม่ได้ใช้งานวิญญาณอมตะดวงนี้มากนัก ดังนั้นเจ้าสามารถใช้สิ่งใดก็ได้เพื่อแลกเปลี่ยนกับมัน”


คราวนี้เป็นฟางหยวนที่มึนงง เขาไม่ได้คาดหวังการตอบสนองลักษณะนี้


แต่ถึงกระนั้นธุรกรรมวิญญาณอมตะก็สามารถทำได้ด้วยการใช้วิญญาณอมตะแลกเปลี่ยนเท่านั้น


ฟางหยวนคิดก่อนกล่าว “ข้ามีวิญญาณอมตะความแข็งแกร่งของหมีบิน…”


“ตกลง” ก่อนที่ฟางหยวนจะกล่าวจบประโยค เมี่ยวหมิงเฉินกลับตอบตกลงโดยไม่ลังเล


ฟางหยวนมองเมี่ยวหมิงเฉินและตระหนักว่าเหตุใดคนผู้นี้จึงมีชื่อเสียงอย่างมากในทะเลตะวันออกและมีผู้อมตะหลายคนที่ภักดีต่อเขา


แต่บางเรื่องยังไม่ชัดเจน


ฟางหยวนเผยรอยยิ้มขมขื่น “สหาย ข้าชื่นชมในความตั้งใจของท่าน แต่ข้ายังกล่าวไม่จบ วิญญาณอมตะความแข็งแกร่งของหมีบินเป็นเพียงวิญญาณอมตะระดับหกเท่านั้น”


การแสดงออกของเมี่ยวหมิงเฉินเปลี่ยนไป


การแสดงออกของคนอื่นๆก็เช่นกัน พวกเขามองฟางหยวนด้วยสายตาที่น่ากลัว


วิญญาณอมตะความแข็งแกร่งของหมีบินเป็นวิญญาณบนเส้นทางความแข็งแกร่งขณะที่วิญญาณอมตะเต่าพยากรณ์เป็นวิญญาณบนเส้นทางแห่งปัญญาและการเปลี่ยนแปลง


เส้นทางความแข็งแกร่งซบเซาขณะที่เส้นทางแห่งปัญญาและเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงยังได้รับความนิยม ชัดเจนว่าวิญญาณอมตะความแข็งแกร่งของหมีบินมีค่าน้อยกว่าวิญญาณอมตะเต่าพยากรณ์


สิ่งสำคัญที่สุดก็คือมันเป็นเพียงวิญญาณอมตะระดับหก


วิญญาณอมตะระดับหกจะสามารถแลกเปลี่ยนกับวิญญาณอมตะระดับเจ็ดได้อย่างไร?


มูลค่าของพวกมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1299 ธุรกรรมที่สอง


แปลโดย iPAT


การหลอมรวมวิญญาณอมตะระดับเจ็ดยากลำบากกว่าการหลอมรวมวิญญาณอมตะระดับหกเป็นอย่างมาก


หากฟางหยวนใช้วิญญาณอมตะระดับหกแลกเปลี่ยนกับวิญญาณอมตะระดับเจ็ด มันจะถือว่าเขาเอาเปรียบและโลภมากเกินไป


มันเป็นการเอาเปรียบที่ทำให้ทุกคนดูแคลน


‘เขาคิดว่าเมี่ยวหมิงเฉินเป็นผู้ใด?’


‘เมี่ยวหมิงเฉินจะถูกเอาเปรียบง่ายๆได้อย่างไร?’


‘เขาคิดว่าผู้อื่นโง่เง่างั้นหรือ?’


กลุ่มผู้อมตะแสดงออกด้วยความไม่พอใจ


แต่ฟางหยวนยังยิ้ม


เขาเข้าใจอารมณ์ของผู้คนเหล่านี้


เขากล่าวต่อ “ท่านจะแลกเปลี่ยนกับข้าหรือไม่?”


เมี่ยวหมิงเฉินพยักหน้าและตอบด้วยรอยยิ้มที่จริงใจ “แน่นอน เจ้าช่วยข้าไว้สองครั้ง สิ่งเหล่านี้เพียงพอแล้ว”


ได้ยินคำตอบนี้ กลุ่มผู้อมตะต้องมองเมี่ยวหมิงเฉินในมุมที่แตกต่างออกไปขณะที่รังเกียจฟางหยวนมากขึ้น


หนึ่งในนั้นก่นเสียงเย็นด้วยความไม่พอใจ


ฟางหยวนหัวเราะ


เขากล่าว “ทุกคนต่างบอกว่าท่านเมี่ยวหมิงเฉินเป็นคนที่น่ายกย่อง เดิมทีข้ายังไม่เชื่อ แต่หลังจากวันนี้ข้าเห็นด้วยกับพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง ข้าจะกล้าเอาเปรียบท่านได้อย่างไร? ข้าจะชดเชยอย่างอื่นให้ท่านและเชื่อว่าท่านต้องพอใจอย่างแน่นอน!”


หลังกล่าวจบคำ ฟางหยวนส่งมอบบางสิ่งให้เมี่ยวหมิงเฉินอย่างลับๆ


การแสดงออกของเมี่ยวหมิงเฉินเปลี่ยนไป เขารู้สึกตื่นเต้นมาก “ชูอิง เจ้าจริงจังหรือไม่?”


“ฮ่าฮ่าฮ่า หลังจากทำข้อตกลง ท่านจะรู้ว่าข้าจริงจังหรือไม่?” ฟางหยวนหัวเราะอีกครั้ง


“ขออภัยทุกท่านด้วย เราต้องทำธุรกรรมกันเดี๋ยวนี้” เมี่ยวหมิงเฉินกล่าวและนำฟางหยวนออกไปจากถ้ำ


พวกเขาออกไปข้างนอกเพื่อทำธุรกรรม หลังจากนั้นทั้งสองก็กลับเข้ามาอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม


ฟางหยวนแสดงออกด้วยความผ่อนคลายขณะที่เมี่ยวหมิงเฉินเผยรอยยิ้มพึงพอใจมาก


ทั้งสองเดินมาด้วยกันและแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดมากขึ้น


หลังจากนั่งลง เมี่ยวหมิงเฉินก็ปรบมือให้ฟางหยวน “ข้าติดหนี้บุญคุณเจ้าเป็นครั้งที่สามแล้ว”


“อย่าได้กล่าวเช่นนั้น นี่เป็นการทำธุรกรรม ไม่ใช่บุญคุณใดๆทั้งสิ้น” ฟางหยวนกล่าวอย่างสุภาพ


ถ้อยคำเหล่านี้ทำให้กลุ่มผู้อมตะรู้สึกมึนงงมาก


พวกเขาเริ่มคาดเดา ชูอิงใช้สิ่งใดชดเชยและทำให้เมี่ยวหมิงเฉินมีความสุขถึงเพียงนี้?


เมี่ยวหมิงเฉินนั่งลงแต่ฟางหยวนไม่


ครั้งนี้เป็นรอบของฟางหยวน เขาเดินไปที่แท่น


สายตาของกลุ่มผู้อมตะที่มองฟางหยวนเปลี่ยนไปจากก่อนหน้า พวกเขาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น


ฟางหยวนจะนำเสนอสิ่งใด?


หลังจากทั้งหมดฟางหยวนเป็นคนแปลกหน้า


จากข้อเสนอก่อนหน้า ฟางหยวนสามารถเดาข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับพวกเขา ทรัพยากรอมตะที่พวกเขามีมักถูกผลิตขึ้นในมิติช่องว่างของพวกเขาเอง


ด้วยวิธีนี้คนฉลาดย่อมสามารถคาดเดาบางสิ่ง ตัวอย่างเช่นทรัพยากรในมิติช่องว่าง ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าที่พวกเขามีอยู่ หากเป็นซากศพของสัตว์อสูรที่ได้รับความเสียหาย พวกมันมักมาจากการต่อสู้ หากเป็นซากศพสัตว์อสูรที่สมบูรณ์ พวกมันมักมาจากมิติช่องว่างของพวกเขา สิ่งเหล่านี้สามารถประเมินพลังการต่อสู้ของพวกเขาทั้งสิ้น


นี่เป็นข้อมูลที่ทุกคนพยายามรวบรวม


ในแง่มุมนี้ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งข้อมูลจะมีความได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่


อย่างไรก็ตามสิ่งที่ฟางหยวนนำออกมากลับทำให้พวกเขาประหลาดใจ


“ทุกท่าน นี่คือวิญญาณอมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งกระดูก หนามกระดูก ข้าได้มันมาโดยบังเอิญ แต่ข้าไม่ได้บ่มเพาะบนเส้นทางแห่งกระดูก ข้าต้องการแลกเปลี่ยนมัน มีผู้ใดต้องการสิ่งนี้หรือไม่? สิ่งที่ข้าต้องการเหมือนท่านเมี่ยวหมิงเฉิน ข้าไม่มีข้อกำหนดที่เฉพาะเจาะจง” ฟางหยวนยิ้ม


“วิญญาณอมตะอีกดวง!”


“นี่พึ่งรอบแรกแต่มีวิญญาณอมตะออกมาแล้วถึงสองดวง”


“ชูอิงผู้นี้ค่อนข้างร่ำรวย เขาเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงแต่เขามีวิญญาณอมตะบนเส้นทางสายอื่นถึงสองดวง”


“ธุรกรรมแรกประสบความสำเร็จแต่ครั้งนี้อาจไม่ ไม่มีผู้อมตะบนเส้นทางแห่งกระดูกอยู่ที่นี่”


กลุ่มผู้อมตะลอบพูดคุยกันอย่างลับๆ


“ไม่มีงั้นหรือ?” ฟางหยวนรออยู่ชั่วครู่แต่ยังไม่มีผู้ใดตอบสนอง


เขาไม่รู้สึกผิดหวัง


มีเพียงวิญญาณอมตะระดับเจ็ดเช่นวิญญาณเต่าพยากรณ์เท่านั้นที่มีค่าพอสำหรับงานประชุมการค้าครั้งนี้


เมื่อฟางหยวนกำลังจะลงจากแท่น เสียงสายหนึ่งกลับดังขึ้น “เดี๋ยว ข้าคิดว่า…เราสามารถแลกเปลี่ยนด้วยวิญญาณอมตะดวงนี้”


กลุ่มผู้อมตะหันหน้าไปทางต้นเสียงเพื่อพบกับอู๋หม่าหยาง


‘แปลก เขาเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งความมืด เหตุใดเขาจึงต้องการวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งกระดูก?’ คำถามนี้ปรากฏขึ้นในใจของทุกคน


วิญญาณอมตะหนามกระดูกไม่มีความสัมพันธ์กับเส้นทางแห่งความมืด


แต่ในกรณีที่อู๋หม่าหยางมีท่าไม้ตายอมตะที่ต้องใช้วิญญาณอมตะหนามกระดูกก็เป็นไปได้ที่เขาจะต้องการวิญญาณอมตะดวงนี้้


ทุกคนต่างมีความลับเป็นของตนเอง แม้กลุ่มผู้อมตะจะรู้สึกงุนงง แต่พวกเขาก็ไม่ได้ตั้งคำถามและเพียงมองดูอยู่อย่างเงียบๆเท่านั้น


“ท่านต้องการวิญญาณอมตะหนามกระดูกงั้นหรือ?” ฟางหยวนอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน


เขาถาม “ข้าอยากรู้ว่าท่านจะใช้สิ่งใดในการแลกเปลี่ยน?”


วูหม่าหยางกัดฟันกล่าว “ข้าจะแลกเปลี่ยนกับวิญญาณดวงนี้”


เขานำวิญญาณอมตะออกมา


มันเป็นวิญญาณอมตะระดับหกในระดับเดียวกับวิญญาณอมตะหนามกระดูก


ผู้อมตะบางคนอุทาน “โอ้ นี่คือวิญญาณวันอมตะ!”


ฟางหยวนตะลึง


‘ข้าไม่คาดหวังกับสิ่งนี้ งานประชุมการค้าครั้งนี้ช่างคุ้มค่านัก!’ ฟางหยวนรู้สึกยินดีอยู่ภายในแต่ภายนอกเขาแสดงออกราวกับกำลังครุ่นคิด


ไม่จำเป็นต้องคิด!


ทันทีที่ฟางหยวนเห็นวิญญาณอมตะดวงนี้ เขาก็ตัดสินใจไปแล้ว


เหตุผล?


เนื่องจากมรดกที่แท้จริงของไห่ฟาน เขามีวิญญาณปีอมตะ วิญญาณอมตะราชินีมด และวิญญาณอมตะปีไหลผ่านราวกับสายน้ำ ตลอดไปถึงท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งกาลเวลาอีกมากมาย


เขาจำได้ว่าในมรดกที่แท้จริง ไห่ฟานกล่าวถึงวิญญาณวันอมตะและวิญญาณเดือนอมตะอยู่บ่อยครั้ง


หากผู้สืบทอดสามารถครอบครองวิญญาณวันอมตะหรือวิญญาณเดือนอมตะ ท่าไม้ตายอมตะเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องใช้วิญญาณวันหรือวิญญาณเดือนระดับมนุษย์ขณะที่ประสิทธิภาพของมันจะเพิ่มสูงขึ้น


นี่เป็นถ้อยคำที่ปรากฏอยู่ในมรดกที่แท้จริงของไห่ฟาน


ฟางหยวนเห็นสิ่งนี้และไม่จำเป็นต้องคิดมาก


ในความเป็นจริงฟางหยวนพอใจกับวิญญาณปีอมตะอยู่แล้ว


แต่โชคชะตาเป็นเรื่องลึกลับ เมื่อฟางหยวนไม่สนใจวิญญาณวันอมตะและวิญญาณเดือนอมตะ พวกมันกลับปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาโดยไม่คาดคิด


‘มาแลกเปลี่ยนกันเถอะ’


“แม้ข้าจะไม่คุ้นเคยกับเส้นทางแห่งกาลเวลา แต่การให้อาหารวิญญาณอมตะหนามกระดูกเป็นภาระสำหรับข้า” ฟางหยวนกล่าว


“วิญญาณวันอมตะกินสายธารแห่งกาลเวลาเป็นอาหาร มันไม่มีปัญหาในการให้อาหาร อย่างไรก็ตามข้าไม่สามารถใช้วิญญาณอมตะดวงนี้ ข้าต้องการแลกเปลี่ยนมันกับวิญญาณอมตะหนามกระดูกเพื่อใช้มันสนับสนุนท่าไม้ตายอมตะของข้า” อู๋หม่าหยางกล่าว


ทั้งสองทำการแลกเปลี่ยนกันอย่างรวดเร็ว


เจตจำนงเดิมที่อยู่ภายในวิญญาณอมตะจะถูกปัดเป่าออกไปขณะที่เจตจำนงใหม่เข้าแทนที่


นี่คือกุญแจสำคัญในการปรับแต่งวิญญาณ


สำหรับวิญญาณป่า พวกมันมีเจตจำนงเป็นของตนเอง ผู้ใช้วิญญาณต้องลบเจตจำนงของพวกมันและเติมเจตจำนงของตนเองเข้าไป


เจตจำนงป่ามีสัญชาตญาณในการเอาตัวรอด พวกมันจะไม่ทำลายตนเอง ดังนั้นแม้การปรับแต่งพวกมันจะค่อนข้างยากแต่มันไม่มีความเสี่ยง


สิ่งนี้แตกต่างจากวิญญาณของผู้อื่น


เจตจำนงของผู้ใช้วิญญาณแตกต่างจากเจตจำนงป่า


หากบางคนฝืนปรับแต่งวิญญาณของผู้อื่น เจตจำนงของผู้ใช้วิญญาณที่อยู่ภายในอาจระเบิดทำลายตัวเองเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นปรับแต่งวิญญาณดวงนั้น


เว้นเพียงผู้ใช้วิญญาณจะมีวิธีผนึกเจตจำนงที่อยู่ภายใน แต่โดยทั่วไปแล้วมันเป็นเรื่องยากที่จะเกิดขึ้นและยังมีข้อบกพร่องมากมาย


ด้วยเหตุนี้แม้ฟางหยวนจะสามารถจับกุมไห่เจิ้ง เขาก็ยังไม่ได้รับวิญญาณอมตะศรทมิฬ


และด้วยเหตุนี้แม้ข้อตกลงพันธมิตรระหว่างฟางหยวนกับไห่ลั่วหลันจะหายไป แต่เขาก็ไม่สามารถปรับแต่งวิญญาณทัศนคติได้โดยตรง


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1300 ปรับแต่งวิญญาณทัศนคติ


แปลโดย iPAT 


“งานประชุมการค้าครั้งนี้โดดเด่นมาก”


“ถูกต้อง มันไม่ปกติจริงๆ ในงานประชุมการค้าทั่วไป แม้จะมีการแลกเปลี่ยนวิญญาณอมตะ แต่มันก็ไม่เคยปรากฏขึ้นตั้งแต่รอบแรก”


การแลกเปลี่ยนวิญญาณอมตะเป็นเรื่องหายาก สมาชิกในงานประชุมมีจำกัด ดังนั้นธุรกรรมวิญญาณอมตะจึงมักจะจบลงด้วยความล้มเหลว


ดังนั้นแม้จะมีการแลกเปลี่ยนวิญญาณอมตะ มันก็จะเกิดขึ้นในรอบเกือบสุดท้าย


นี่เป็นเรื่องปกติของงานประชุมการค้า


แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป


ไม่เพียงวิญญาณอมตะจะปรากฏขึ้นตั้งแต่รอบแรก แต่มันยังปรากฏขึ้นถึงสองดวงและยังประสบความสำเร็จในการแลกเปลี่ยนทั้งสองครั้ง!


และในการทำธุรกรรม ฟางหยวนมีบทบาทสำคัญทั้งสองครั้ง


แม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาเข้าร่วมงานประชุมการค้า แต่ผู้อมตะคนอื่นๆไม่กล้าดูแคลนเขาอีกต่อไป


“เรามาเริ่มรอบที่สองกันเถอะ เทพธิดาตงฮัว เชิญ” เมี่ยวหมิงเฉินกล่าว


เขามีความสุขมาก


งานประชุมการค้าพึ่งเริ่มต้นแต่วิญญาณอมตะถูกแลกเปลี่ยนไปแล้วถึงสองครั้ง ผลลัพธ์นี้จะทำให้ชื่อเสียงของเขาแพร่กระจายออกไปในทะเลตะวันออก


ตงฮัวออกไปและต้องการแลกเปลี่ยนสัตว์อสูรอีกประเภทหนึ่ง


“ดูเหมือนนางกำลังพัฒนามิติช่องว่าง” ฟางหยวนกล่าวกับเมี่ยวหมิงเฉิน


เมี่ยวหมิงเฉินยิ้ม “น้องชู เจ้าอาจไม่รู้ แต่เทพธิดาตงฮัวพึ่งก้าวข้ามภัยพิบัติเมื่อไม่นานมานี้”


“เป็นเช่นนั้น” ฟางหยวนเข้าใจทันที


หลังจากก้าวข้ามภัยพิบัติ ทรัพยากรในมิติช่องว่างของผู้อมตะจะได้รับความเสียหาย ดังนั้นเทพธิดาตงฮัวจึงต้องการใช้งานประชุมการค้าครั้งนี้เพื่อสะสมทรัพยากร


“เทพธิดาตงฮัวมั่งคั่งมาก ไม่เพียงนางจะสามารถพัฒนามิติช่องว่างได้อย่างยอดเยี่ยม นางยังมีทะเลส่วนตัวที่เรียกว่าทะเลแสงสีรุ้ง ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน เหนือทะเลของนางก็จะมีธารแสงสีรุ้งปรากฏขึ้นตลอดเวลา มันงดงามมาก ทะเลของนางอยู่ไม่ไกล หลังจบงานประชุมการค้าครั้งนี้ นางยังเชิญทุกคนไปท่องเที่ยวที่ทะเลของนาง เมื่อเวลานั้นมาถึง น้องชูสามารถไปกับพวกเรา” เมี่ยวหมิงเฉินให้ข้อมูลเพิ่มเติม


นี่ทำให้ฟางหยวนเข้าใจนางมากขึ้น


“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ กล่าวตามตรง ข้าสนใจราเรืองแสงของนาง” ฟางหยวนกล่าว


“ไม่มีปัญหา ข้าสามารถช่วยเจ้า” เมี่ยวหมิงเฉินมีความสามารถทางสังคม


หลังจากแลกเปลี่ยนวิญญาณอมตะกับฟางหยวน ความสัมพันธ์ของพวกเขาดีขึ้นอย่างมาก ฟางหยวนเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเหตุใดทัศนคติของเมี่ยวหมิงเฉินจึงเปลี่ยนไป เหตุผลก็คือวิญญาณอายุยืน!


ฟางหยวนใช้วิญญาณอมตะระดับหกและวิญญาณอายุยืนเพื่อแลกเปลี่ยนกับวิญญาณอมตะระดับเจ็ด


เมี่ยวหมิงเฉินพอใจกับธุรกรรมนี้มาก โดยเฉพาะเมื่อฟางหยวนใช้วิญญาณอายุยืนหนึ่งร้อยปีเพื่อชดเชยส่วนต่าง แม้วิญญาณอายุยืนจะเป็นวิญญาณระดับมนุษย์ แต่มันหายากมาก


ผู้อมตะหลายคนมักเก็บมันไว้และปฏิเสธที่จะแลกเปลี่ยนพวกมัน พวกเขาจะใช้วิญญาณอายุยืนในช่วงเวลาที่จำเป็นเท่านั้น


แม้อายุขัยของเมี่ยวหมิงเฉินจะยังไม่ถึงจุดสิ้นสุด แต่มันก็เหลือไม่มาก


ดังนั้นเขาจึงมองหาสาขาของสายธารแห่งกาลเวลาและพยายามให้วิธีการบางอย่างเพื่อครอบครองวิญญาณอายุยืน


ในชีวิตแรกของฟางหยวน เมี่ยวหมิงเฉินเข้าไปสำรวจปลาวาฬมังกรฟ้าหลายครั้งเพื่อค้นหาวิญญาณอายุยืน


ดังนั้นเมื่อฟางหยวนเสนอวิญญาณอายุยืนให้เมี่ยวหมิงเฉินโดยตรง แล้วเขาจะรู้สึกอย่างไร?


เมี่ยวหมิงเฉินไม่ใช่คนโง่ เขาคิด ‘นี่หมายความว่าชูอิงมีวิญญาณอายุยืนมากกว่านี้ มิฉะนั้นเหตุใดเขาจึงสามารถนำมันออกมาได้อย่างง่ายดาย?’


ดังนั้นเมี่ยวหมิงเฉินจึงต้องการพัฒนาความสัมพันธ์ของเขากับฟางหยวนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น


แต่เขาไม่รู้ว่านี่เป็นความตั้งใจของฟางหยวนอยู่แล้ว


แรงจูงใจของฟางหยวนลึกล้ำกว่า


นั่นคือปลาวาฬมังกรฟ้า!


ตามข้อมูลในชีวิตแรก ฟางหยวนเข้าใจถึงความสำคัญของมันยิ่งกว่าเมี่ยวหมิงเฉินในปัจจุบัน


ธุรกรรมยังดำเนินต่อไป


ในรอบที่สอง ผู้อมตะออกไปนำเสนอสินค้าทีละคน ส่วนใหญ่ประสบความสำเร็จ


ไม่นานก็ถึงรอบของฟางหยวน


วิญญาณอมตะหัวใจหญิงงาม


ฟางหยวนกำลังจะนำเสนอวิญญาณอมตะดวงนี้แต่การแสดงออกของเขากลับเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน


“ขออภัยทุกท่านด้วย มีบางสิ่งเกิดขึ้น ข้าต้องออกไปเดี๋ยวนี้” ฟางหยวนกล่าว


กลุ่มผู้อมตะตกตะลึง


งานประชุมการค้าเป็นเรื่องยากที่จะเข้าร่วมแต่ฟางหยวนกลับยอมแพ้อย่างรวดเร็ว


แต่งานประชุมการค้าไม่มีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด มันไม่เป็นไรหากฟางหยวนต้องการจากไป ขณะที่คนอื่นๆก็ไม่สามารถหยุดเขา


“เกิดสิ่งใดขึ้น ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่?” เมี่ยวหมิงเฉินออกมาส่งฟางหยวน


“ไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่เป็นเรื่องเร่งด่วน น่าเสียดายนักที่ข้าพลาดงานประชุมการค้าครั้งนี้!” ฟางหยวนถอนหายใจ


เมี่ยวหมิงเฉินเร่งกล่าว “อย่ากังวล เมื่องานประชุมการค้าถูกจัดขึ้นอีกครั้ง ข้าจะแจ้งเตือนเจ้าอย่างแน่นอน”


“เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณล่วงหน้า ลาก่อน”


“แล้วพบกันใหม่”


ฟางหยวนบินหายเข้าไปในกลุ่มเมฆอย่างรวดเร็ว


เมี่ยวหมิงเฉินถอนหายใจเมื่อเห็นฟางหยวนบินลับตาไป


ขณะที่บินอยู่ในกลุ่มเมฆ การแสดงออกของฟางหยวนกลายเป็นน่าเกลียด


เขาต้องจากมาเพราะผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญากำลังอนุมานเกี่ยวกับตัวเขา


พลังอำนาจของวิญญาณอมตะขีดจำกัดความมืดถูกใช้จนเกือบหมด มันบังคับให้ฟางหยวนต้องออกจากงานประชุมการค้าก่อนเวลาอันสมควร


‘บัดซบ! ผู้อมตะคนใดอนุมานข้า? แต่ข้าสงสัยว่าพวกเขาพยายามอนุมานเกี่ยวกับฟางหยวนหรือหลิวกวนซือ?’


ฟางหยวนรู้สึกเสียดายมาก


หากเขามีเวลามากกว่านี้ เขาอาจสามารถแลกเปลี่ยนวิญญาณอมตะหัวใจหญิงงาม


โอกาสดังกล่าวหาได้ยากมาก


หลังงานประชุมการค้าครั้งนี้ กลุ่มผู้อมตะจะเก็บตัวเป็นเวลาหลายปีก่อนจะออกมาแลกเปลี่ยนอีกครั้ง


เมื่อไปถึงสถานที่ปลอดภัย ฟางหยวนใช้วิญญาณอมตะเต่าพยากรณ์ร่วมกับวิญญาณอมตะเปลี่ยนรูปลักษณ์


ท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นเต่าพยากรณ์!


ท่าไมตายบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงเรียบง่ายและตรงไปตรงมา


การเปลี่ยนร่างเป็นเต่าพยากรณ์ทำให้ฟางหยวนมีเวลามากขึ้น


หลังจากนั้นเขาก็วางมิติช่องว่างลง


เขาหลบภัยอยู่ในมิติช่องว่างเป็นเวลาหลายวันและเริ่มคิดเกี่ยวกับการปรับแต่งวิญญาณทัศนคติ


แม้เขาจะมีวิญญาณอมตะใหม่สองดวง แต่พวกมันไม่มีประโยชน์สำหรับการปรับแต่งวิญญาณทัศนคติ


ฟางหยวนไม่สามารถทำสิ่งใดเกี่ยวกับเรื่องนี้


บางทีวิญญาณอมตะที่ได้รับจากการแลกเปลี่ยนวิญญาณอมตะหัวใจหญิงงามอาจเป็นวิญญาณอมตะที่เหมาะสม


แต่ฟางหยวนพลาดโอกาสนี้ไป


อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาต้องรอให้วิญญาณอมตะขีดจำกัดความมืดฟื้นตัวก่อนจะสามารถใช้งานมันได้อีกครั้ง


เมื่อเวลานั้นมาถึง งานประชุมการค้าก็สิ้นสุดลงแล้ว


‘หมายความว่าข้าต้องยืมวิญญาณอมตะจากแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาเท่านั้น’ ฟางหยวนมีแผนสำรอง


แต่นี่ก็เป็นเพียงแผนสำรอง


วิธีที่ดีที่สุดคือจัดการทุกอย่างด้วยตัวของเขาเอง


หากฟางหยวนใช้วิญญาณอมตะของตนเพื่อสร้างท่าไม้ตายที่สามารถปรับแต่งวิญญาณทัศนคติ เขาอาจใช้มันกับเกราะหวนคืนได้เช่นกัน


หากเขาประสบความสำเร็จ แม่น้ำหวนคืนอาจช่วยเขาปรับแต่งวิญญาณอมตะได้ในอนาคต


นี่เป็นเป้าหมายระยะยาวของฟางหยวน


น่าเสียดายแม้เขาจะสามารถเข้าร่วมงานประชุมการค้าแต่เขากลับไม่มีความก้าวหน้าในด้านนี้


โชคดที่แดนศักดิ์สิทธิ์หยางหยามีความเชี่ยวชาญด้านการหลอมรวม


ด้ายการใช้สวรรค์สีเหลืองเป็นทางผ่านและใช้แต้มผลงานของนิกายหลางหยา ฟางหยวนสามารถยืมวิญญาณอมตะบางดวงได้สำเร็จในที่สุด


ความโกลาหลปะทุขึ้นในสวรรค์สีเหลืองอีกครั้ง แต่ฟางหยวนไม่มีทางเลือกนอกจากทำเช่นนี้


ด้วยวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมและแม่น้ำหวนคืน ฟางหยวนสามารถพัฒนาท่าไม้ตายอมตะเพื่อปรับแต่งวิญญาณทัศนคติ


ฟางหยวนจงใจชะลอการเคลื่อนไหวของเขา ครึ่งเดือนต่อมา เขาประสบความสำเร็จในการปรับแต่งวิญญาณทัศนคติ


ตอนนี้เขากลายเป็นเจ้าของวิญญาณอมตะระดับตำนานในที่สุด


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1301 มหายุคที่ใกล้เข้ามา


แปลโดย iPAT 


ภาคกลาง ถ้ำมังกรเร้น


“คารวะท่านเจ้าวัง” ผู้อมตะสองคนคุกเข่าลงบนพื้น


หนึ่งแก่และหนึ่งหนุ่ม


ปู่และหลานชาย


พวกเขาคือผู้อมตะจากนิกายเมฆาวายุ


ผู้อมตะวัยเยาว์คือฟงเฉินซื่อ ผู้อมตะชราคือเฒ่าไป่เฟิง คนผู้นี้เป็นผู้อมตะระดับแปดที่มีชื่อเสียงของภาคกลางและมีโอกาสเข้าสู่วังสวรรค์


การเป็นสมาชิกวังสวรรค์ไม่ใช่เรื่องง่าย


การบ่มเพาะระดับแปดยังไม่เพียงพอ พวกเขายังต้องเป็นชนชั้นสูงในระดับแปด มาตรฐานนี้ไม่เคยลดลงตั้งแต่วังสวรรค์ถูกสร้างขึ้น


เฒ่าไป่เฟิงกำลังคุกเข่าอยู่ต่อหน้าชายชราที่ดูอ่อนแอมาก


แต่ชายชราผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา เขามีต้นกำเนิดที่ยิ่งใหญ่


เพราะเขาคือราชันมังกร!


“ลุกขึ้น พาข้าเข้าไปข้างใน” ราชันมังกรกล่าว


“รับทราบ” เฒ่าไป่เฟิงตอบรับ


ครู่ต่อมาราชันมังกรก็ไปถึงส่วนลึกที่สุดของถ้ำมังกรเร้น


มันเป็นรอยแยกใต้พิภพที่มีความลึกยิ่งกว่าโลกใต้บาดาลของภาคเหนือ


มันสามารถบรรจุเมืองขนาดใหญ่หลายพันเมืองได้อย่างไม่มีปัญหา


ราชันมังกรและเฒ่าไป่เฟิงราวกับฝุ่นละอองเมื่อเปรียบเทียบกับมัน


จากมุมมองของพวกเขา รอยแยกใต้พิภพถูกปกคลุมไปด้วยความมืดที่ไม่สามารถมองเห็นสิ่งใด


“ครืน…”


ทันใดนั้นรอยแยกใต้พิภพแห่งนี้กลับเกิดการสั่นสะเทือนขึ้นอย่างรุนแรง


เศษหินร่วงหล่นลงจากที่สูง


แผ่นดินไหวทำให้เกิดคลื่นเสียงที่ทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นตระหนก


การแสดงออกของเฒ่าไป่เฟิงเปลี่ยนไป เขาเร่งกระตุ้นใช้วิญญาณอมตะในมิติช่องว่างของเขา จากนั้นแสงสว่างจึงปรากฏขึ้น


แท้จริงแล้วมีค่ายกลวิญญาณขนาดใหญ่อยู่ที่นี่


เปรียบเทียบกับค่ายกลวิญญาณของภาคใต้ที่ปิดผนึกอาณาจักรแห่งความฝันเอาไว้ ค่ายกลวิญญาณของที่นี่เหมือนช้างขณะที่ค่ายกลวิญญาณของภาคใต้เหมือนลูกแมว


เฒ่าไป่เฟิงควบคุมค่ายกลวิญาณด้วยเหงื่อที่ไหลลงมาจากหน้าผาก


“รุนแรงมาก” ในฐานะผู้อมตะระดับแปดชั้นยอด เขากลับรู้สึกถึงความยากลำบาก


ค่ายกลวิญญาณนี้ผนึกรูปแบบชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวเอาไว้ เฒ่าไป่เฟิงแทบไม่สามารถจัดการกับมัน


“ฮ่าฮ่าฮ่า ผ่านไปหลายปี เจ้ายังมีชีวิตอยู่อีกงั้นหรือ? ไต่เจิ้งเฉิง” ราชันมังกรกล่าว


“โฮก…” เสียงคำรามของมังกรดังขึ้นจากส่วนลึกของรอยแยกใต้พิภพ


แสงระยิบระยับจากค่ายกลวิญญาณค่อยๆลดความสว่างไสวลง หน้าผากของเฒ่าไป่เฟิงเต็มไปด้วยเหงื่อ เขาคิด ‘กระทั่งมีค่ายกลวิญญาณ เสียงของมันก็ยังดังมาก หากข้าต้องเผชิญหน้ากับมังกรปีศาจตัวนี้โดยตรง ข้าเกรงว่า…’


ราชันมังกรไม่หวั่นไหว เขาประเมิน “ดูเหมือนอารมณ์ของเจ้าจะไม่เปลี่ยนแปลง เจ้ายังอารมณ์ร้อนเหมือนเดิม”


“เจ้าแก่ต้องสาป!” ครั้งนี้เป็นเสียงของมนุษย์ที่ดังออกมาจากค่ายกลวิญญาณ


ในเวลาต่อมา ศีรษะมังกรขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงระยิบระยับ


มันคือมังกรปีศาจ ไต่เจิ้งเฉิง!


สัตว์อสูรแรกกำเนิดในตำนานที่ถูกสร้างขึ้นจากความโกรธ ความเกลียดชัง และความแค้นอันไร้ที่สิ้นสุด


มันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากอารมณ์ด้านลบของมนุษย์และมีสติปัญญาเทียบเท่ากับมนุษย์


แรกเริ่มมันทำได้เพียงคำราม แต่หลังจากเรียนรู้ มันสามารถปลุกทะเลวิญญาณ พูดภาษามนุษย์ และบ่มเพาะจนบรรลุสู่ขอบเขตอมตะ


มันเคยสร้างหายนะให้กับภาคกลาง แต่สุดท้ายราชันมังกรก็สามารถกำหราบมันและผนึกไว้ที่นี่


วังสวรรค์ไม่สามารถสังหารมันเพราะมันเกิดจากอารมณ์ด้านลบของมนุษย์ ตราบเท่าที่ยังมีมนุษย์อยู่บนโลกใบนี้ มังกรปีศาจก็จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ


นั่นเป็นเหตุผลที่วังสวรรค์ต้องใช้ค่ายกลวิญญาณขนาดใหญ่เพื่อกำหราบมัน


วังสวรรค์จะส่งผู้อมตะหมุนเวียนมาดูแลสถานที่แห่งนี้ตลอดเวลา ครั้งนี้เป็นฟงเฉินซื่อที่ลอบขายทรัพยากรอมตะและถูกลงโทษให้มาปกป้องถ้ำมังกรเร้นแห่งนี้ อย่างไรก็ตามปู่ของฟงเฉินซื่อรู้ว่าหลานชายของเขาไม่สามารถทำเรื่องนี้เพียงลำพัง ดังนั้นเขาจึงสละโอกาสที่จะเข้าร่วมวังสวรรค์เพื่อมาดูแลมังกรปีศาจตนนี้


หลังจากมังกรปีศาจเห็นราชันมังกร มันโกรธมาก


ทั้งสองเป็นศัตรูเก่าที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง


“แม้เจ้าจะคำรามเท่าใด เจ้าก็ไม่สามารถหลบหนีจากที่นี่” ราชันมังกรกล่าว


ไต่เจิ้งเฉิงหัวเราะ “ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าเกือบลืมไปแล้ว เจ้าแก่ต้องสาป เจ้ากำลังจะตายในไม่ช้า อายุขัยของเจ้ากำลังจะสิ้นสุดลง วิญญาณอายุยืนไม่สามารถช่วยเจ้าได้อีกต่อไป ฮ่าฮ่าฮ่า ช่างน่าขันนัก เจ้ากดขี่ข่มเหงข้า แต่ข้ายังมีชีวิตขณะที่เจ้ากำลังจะตาย”


ราชันมังกรพยักหน้า “เจ้าพูดถูก บางครั้งข้าก็อิจฉาเจ้า เจ้ามีอายุยืนยาวโดยธรรมชาติ นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้พบกัน ให้ข้ายืมอายุขัยของเจ้าสักสิบปี”


ราชันมังกรถอนหายใจ


เฒ่าไป่เฟิงตกใจเมื่อเขาสูญเสียการควบคุมค่ายกลวิญญาณอย่างกะทันหัน


ไต่เจิ้งเฉิงถูกปราบปรามโดยราชันมังกร ค่ายกลวิญญาณนี้ก็ถูกสร้างขึ้นโดยเขาเช่นกัน


กล่าวให้ถูกต้องมากขึ้น ราชันมังกรคือเจ้าของที่แท้จริงของค่ายกลวิญญาณนี้


“โฮก…” ไต่เจิ้งเฉินกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด


ราชันมังกรดูดกลืนพลังชีวิตของมันเข้าไป


‘ดูเหมือนค่ายกลวิญญาณนี้จะไม่ได้มีไว้เพื่อกำหราบไต่เจิ้งเฉินเพียงอย่างเดียว แต่มันยังมีความสามารถเช่นนี้’ เฒ่าไป่เฟิงคิด


ระหว่างการดูดพลังชีวิต ร่างของราชันมังกรเริ่มโป่งพองขึ้นราวกับบอลลูนที่มีกิ่งก้านสาขา ใบหน้าสีขาวซีดของเขากลับสู่สภาพปกติ ผมสีขาวของเขาเปลี่ยนเป็นสีเข้ม หลังค่อมค่อยๆยืดตรง


ติ่งเนื้อบนศีรษะของเขาพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าและส่องแสงแวววาวราวกับโลหะ


“บึม!”


กลิ่นอายของผู้อมตะระดับแปดปะทุขึ้น


เฒ่าไป่เฟิงก้าวถอยหลังกลับไปอย่างไม่สามารถต่อต้าน


เห็นแผ่นหลังอันสง่างามของราชันมังกร เฒ่าไป่เฟิงรู้สึกยกย่องอยู่ภายใน


ในทางตรงข้าม มังกรปีศาจไต่เจิ้งเฉินกลายเป็นอ่อนแอลง


มันกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า “เจ้าแก่บัดซบ อายุขัยเพียงสิบปี มันเหมือนข้าฉี่รดตัวเจ้า ฮ่าฮ่าฮ่า”


ราชันมังกรกล่าวอย่างเฉยเมย “มังกรปีศาจ เจ้าไม่เข้าใจข้า ราชันมังกรจะเกรงกลัวต่อความตายได้อย่างไร? ข้าตื่นขึ้นมาคราวนี้เพื่อชดเชยความผิดพลาดครั้งก่อน สิบปีก็เพียงพอแล้ว”


“พอแล้วงั้นหรือ? เจ้าพยายามทำสิ่งใด?” มังกรปีศาจถาม


“มันจะเป็นสิ่งใดได้ ยุคที่ยิ่งใหญ่กำลังจะมาถึง” ราชันมังกรกล่าวอย่างมีความหมาย


“ยุคที่ยิ่งใหญ่? มหายุคงั้นหรือ? อย่าบอกว่ารอยแยกใต้พิภพกำลังจะหลอมรวมกัน กำแพงภูมิภาคกำลังจะพังทลายลงและรวมห้าภูมิภาคให้เป็นหนึ่ง…เดี๋ยว! เจ้าแก่ต้องสาป อย่าพึ่งไป บอกข้าทุกสิ่ง!” ไต่เจิ้งเฉินตะโกน


แต่ราชันมังกรเพียงก่นเสียงเย็นเย้ยหยัน เหตุใดเขาต้องสนใจเชลย? เขาหันหลังกลับและออกจากถ้ำมังกรเร้นไปโดยไม่ลังเล


…..


ภาคใต้


สถานกที่ไร้นาม


แม่น้ำแห่งหนึ่ง


นี่คือสาขาของสายธารแห่งกาลเวลา!


กลุ่มของอิงอู๋เซี่ยรออยู่ที่ริมแม่น้ำเป็นเวลานาน


เป็นเพียงเวลานี้ที่ร่างหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากสายธารแห่งกาลเวลา


“เร็ว ช่วยนายท่าน!” อิงอู๋เซี่ยตะโกน


ไห่ลั่วหลันและไป่หนิงปิงร่วมมือกับอิงอู๋เซี่ยเพื่อกระตุ้นใช้ค่ายกลวิญญาณ


ภายใต้พลังอำนาจของค่ายกลวิญญาณ ราชันภูเขาม่วงสามารถหลบหนีออกจากสายธารแห่งกาลเวลาได้ในที่สุด


‘ราชันภูเขาม่วงสามารถเข้าออกสายธารแห่งกาลเวลาได้อย่างปลอดภัย!’ ไป่หนิงปงลอบตกตะลึงอยู่ภายใน


“นายท่าน ท่านทำสำเร็จหรือไม่?” อิงอู่เซี่ยเร่งถาม


ราชันภูเขาม่วงพยักหน้า “ข้าพบเจตจำนงของร่างหลักแล้ว”


“แล้วเป็นอย่างไร?” อิงอู๋เซี่ยมีความสุขมาก


แต่ราชันภูเขาม่วงกลับแสดงออกอย่างเคร่งขรึม “ข้าใช้มรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดงเพื่อตรวจสอบอดีตและอนาคต ก่อนที่ฟางหยวนจะเกิดใหม่ นิกายเงาของเราประสบความสำเร็จ พวกเราสามารถเลื่อนยุคที่ยิ่งใหญ่ออกไปห้าร้อยปี พวกเราทำลายเทพอมตะแห่งความฝันก่อนที่นางจะสามารถเติบโต กระทั่งวังสวรรค์ก็ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเรา น่าเสียดายที่ฟางหยวนเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง นิกายเงาไม่สามารถหยุดมัน ยุคที่ยิ่งใหญ่กำลังจะมาถึง!”


อิงอู๋เซี่ยตกใจมาก


ไป่หนิงปิงและไห่ลั่วหลันมองหน้ากันด้วยความงุนงง


ไป่หนิงปิงถาม “ยุคที่ยิ่งใหญ่หมายถึงสิ่งใด?”


อิงอู๋เซี่ยสูดหายใจลึกก่อนตอบ “รอยแยกใต้พิภพจะหลอมรวมกัน กำแพงภูมิภาคจะหายไป ห้าภูมิภาคจะกลายเป็นหนึ่งและเทพอมตะแห่งความฝันจะถือกำเนิดขึ้น!”


ไห่ลั่วหลันและไป่หนิงปิงตะลึง


ในเวลาเดียวกัน


ฟางหยวนกลับไปยังภาคใต้ภายใต้รูปลักษณ์ของวูอี้ไห่


‘ในที่สุดข้าก็กลับมาแล้ว’


‘คราวนี้ข้าต้องคลี่คลายอาณาจักรแห่งความฝันอย่างสุดกำลังเพื่อเพิ่มระดับความสำเร็จของข้า!’


‘ยังพอมีเวลา’


‘หลังจากห้าร้อยปี ในสงครามห้าภูมิภาค ข้าอาจกลายเป็นปรมาจารย์เอกบนทุกเส้นทาง!’


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1302 เปลี่ยนเป็นเต่าพยากรณ์


แปลโดย iPAT 


ภาคใต้ ตระกูลวู


ฟางหยวนกลับไปยังฐานทัพใหญ่ของตระกูลวู


วูหยงเรียกเขาเข้าพบทันที


“ท่านพี่ นี่คือวิญญาณอมตะที่ข้ายืมมาจากตระกูล ตอนนี้ข้าขอส่งคืนพวกมัน” ฟางหยวนส่งคืนวิญญาณอมตะ


วูหยงรับพวกมันไว้และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “การเดินทางของเจ้าได้รับกำไรหรือไม่?”


ผู้อมตะทุกคนมีความลับของตนเองโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีสถานะพิเศษเช่นวูอี้ไห่ วูหยงไม่สามารถสอบสวนมากเกินไป คำถามของเขาเป็นเพียงการพูดคุยเล็กๆน้อยๆเท่านั้น


“ข้าได้รับกำไรมหาศาล” ฟางหยวนแสดงออกอย่างมีความสุข


“นั่นเป็นสิ่งที่ดี” วูหยงพยักหน้า


เขาย่อมไม่สามารถจินตนาการได้ว่ากำไรของฟางหยวนยิ่งใหญ่เพียงใด


หลังออกเดินทาง ฟางหยวนไล่ล่ากลุ่มของอิงอู๋เซี่ย แม้จะไม่ประสบความสำเร็จในการสังหารพวกเขา แต่กำไรของฟางหยวนกลับมหาศาลมาก


นอกจากวิญญาณความพยายามและแม่น้ำหวนคืน พลังการต่อสู้ของเขายังเพิ่มสูงขึ้นอีกมาก เขาสามารถเผชิญหน้ากับผู้อมตะระดับแปดขณะที่ชื่อเสียงของหลิวกวนซื่อโด่งดังไปทั่วโลก


ไม่เพียงเท่านั้น แต่เขายังได้เข้าร่วมงานประชุมการค้าของทะเลตะวันออกและได้รับวิญญาณอมตะที่มีประโยชน์มาถึงสองดวง


“ขอบคุณสำหรับความห่วงใย ท่านพี่ ข้าสงสัยว่าเมื่อใดที่ข้าจะสามารถกลับเข้าไปในค่ายกลวิญญาณ? โปรดจัดการให้ข้าด้วย” ฟางหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สุภาพและอ่อนน้อมถ่อมตน


วูหยงพอใจกับการแสดงออกของฟางหยวน


ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาสามารถควบคุมตระกูลวูได้ดี แม้จะมีอุปสรรค์เล็กๆน้อยๆในตระกูล เขาก็ยังสามารถปกครองและรวมอำนาจ


ตอนนี้วูหยงแตกต่างจากก่อนเข้ารับตำแหน่ง เขาดูสงบนิ่งและทรงอำนาจมาก


เขามีความสุขเกี่ยวกับทัศนคติของฟางหยวนเช่นกัน


ตระกูลแตกต่างจากนิกาย สายเลือดมีความสำคัญที่สุด


สถานะของวูอี้ไห่ทำให้เขาเป็นคนพิเศษของตระกูล ในแง่ของสายเลือด เขาด้อยกว่าเพียงวูหยงเท่านั้น


วูอี้ไห่ต้องการบ่มเพาะอยู่อย่างเงียบๆ แน่นอนว่าวูหยงต้องตอบสนองความต้องการของน้องชายผู้นี้


ดังนั้นเขาจึงรีบตกลง “เจ้าไปพักเถอะ ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยภายในสองหรือสามวัน”


“ขอบคุณท่านพี่ เช่นนั้นข้าขอลา” ฟางหยวนกลับไปหลังจากบรรลุเป้าหมาย


เขามีบ้านอยู่ในตระกูลวู


เมื่อเขาเข้าร่วมกับตระกูลวู ภูเขาผาหมีถูกส่งมอบให้เขา


‘วูหยงเริ่มควบคุมตระกูลแล้ว’


‘ตัวตนของวูอี้ไห่อ่อนไหวมาก หากเขาทำงานกับกลุ่มที่มีความทะเยอทะยานเช่นตระกูลเฉียว เขาจะทำให้วูหยงปวดหัว’


‘ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย วูหยงจะไม่ให้วูอี้ไห่เตร็ดเตร่ไปขอความช่วยเหลือจากกองกำลังอื่นและสร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง’


วูตู๋ซิ่วพึ่งเสียชีวิต สถานการณ์ของวูหยงยังไม่มั่นคง ฟางหยวนตระหนักถึงเรื่องนี้ ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะไม่ได้กลับเข้าไปในค่ายกลวิญญาณ


เขาใช้ช่วงเวลานี้บ่มเพาะอยู่อย่างเงียบๆที่บ้านของตน


แน่นอนว่าเขาไม่สามารถวางมิติช่องว่างลงเพื่อดูดกลืนปราณสวรรค์พิภพ


‘รากฐานของมิติช่องว่างจักรพรรดิลึกซึ้งเกินไป ทุกครั้งที่มันดูดซับปราณสวรรค์พิภพ ความวุ่นวายครั้งใหญ่จะปะทุขึ้น’


‘แม่น้ำหวนคืนกินปราณสวรรค์พิภพเข้าไปมากจริงๆ ดูเหมือนข้าต้องดูดดซับปราณสวรรค์พิภพก่อนจะเข้าไปในค่ายกลวิญญาณ มิฉะนั้นมิติช่องว่างของข้าอาจพังทลาย’


มันเป็นรูปแบบหนึ่งของภาระแต่มันก็เป็นสิ่งที่ดี


แม้วูหยงจะบอกให้เขาพักผ่อนแต่ฟางหยวนไม่ได้พักผ่อน


เขายังบ่มเพาะอย่างไม่หยุดยั้ง


ในช่วงเวลานี้ผู้อมตะมากมายมาขอพบวูอี้ไห่แต่ฟางหยวนปฏิเสธพวกเขาทั้งหมด


ทัศนคตินี้ทำให้วูหยงพอใจมาก เขารู้สึกว่าวูอี้ไห่ไม่ได้พยายามเข้าไปยุ่งกับธุรกิจของตระกูล ดังนั้นเขาจึงมอบทรัพยากรอมตะมากมายให้กับฟางหยวนและสร้างชื่อเสียงให้กับตนเองในฐานะพี่ชายที่แสนดี


บนยอดเขา ฟางหยวนเปลี่ยนร่างเป็นเต่า


เต่าตัวนี้มีขนาดใหญ่พอๆกับบ้าน มันมีสีดำและเปลือกที่แข็งแกร่ง


มันก็คือเต่าพยากรณ์


สัตว์อสูรบรรพกาลบนเส้นทางแห่งปัญญา หลังจากเปลี่ยนเป็นร่างนี้ ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงของฟางหยวนก็กลายเป็นร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งปัญญา


ด้วยร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งปัญญาที่เพิ่มสูงขึ้นรวมกับความสำเร็จบนเส้นทางแห่งปัญญาของฟางหยวน มันทำให้ประสิทธิภาพในการอนุมานของเขาเพิ่มสูงขึ้นอีกมากกว่าสิบเท่า


แม้วิญญาณอมตะเต่าพยากรณ์จะไม่สามารถเปรียบเทียบกับวิญญาณทัศนคติ วิญญาณดาบแห่งปัญญา หรือกระทั่งวิญญาณดาบบิน วิญญาณดาบทะลวงมิติ แต่สำหรับฟางหยวน มันมีประโยชน์มาก!


เป็นเพียงเวลานี้ที่แสงสว่างส่องประกายขึ้นในดวงตาของเต่าพยากรณ์


‘หลังจากทำงานหนักมาสิบวัน ในที่สุดข้าก็ประสบความสำเร็จในการอนุมานท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นเต่าพยากรณ์ที่สมบูรณ์แบบ’


ด้วยความประสงค์ของฟางหยวน เขากลับสู่ร่างมนุษย์


หลังจากนั้นเขายังฝึกท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นเต่าพยากรณ์ซ้ำแล้วซ้ำอีก


หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง…


หลังจากสิบครั้ง ในที่สุดเขาก็หยุด


ท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นเต่าพยากรณ์ฉบับปรับปรุง!


เขาเพิ่มวิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงเข้าไปหลายดวงเช่นวิญญาณหัวเต่า วิญญาณหางเต่า วิญญาณขาเต่า และอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีวิญญาณบนเส้นทางแห่งปัญญาที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการป้องกันการอนุมานของเต่าพยากรณ์


แน่นอนว่ามันยังมีแกนกลางเพียงสองดวงเท่านั้น


หนึ่งคือวิญญาณอมตะเต่าพยากรณ์ และอีกหนึ่งคือวิญญาณอมตะเปลี่ยนรูปลักษณ์


เต่าพยากรณ์มีร่างกายที่ใหญ่โตขึ้น ตอนนี้มันดูเหมือนเต่าพยากรณ์บรรพกาลที่แท้จริงอย่างมาก


โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระดองเต่าที่เต็มไปด้วยร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าจำนวนมหาศาล


‘ดีมาก ข้ามาถึงขีดจำกัดในปัจจุบันแล้ว’ ฟางหยวนทดลองและรู้สึกยินดีมาก


ทั้งหมดต้องขอบคุณความสำเร็จระดับปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงและเส้นทางแห่งปัญญาของเขาที่ทำให้การพัฒนาท่าไม้ตายนี้ง่ายดายราวกับการดื่มน้ำ


ท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นมังกรดาบบรรพกาลอยู่บนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงและเส้นทางแห่งดาบ ขณะที่ท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นเต่าพยากรณ์อยู่บนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงและเส้นทางแห่งปัญญา


กล่าวได้ว่าตอนนี้ฟางหยวนมีวิธีการต่อสู้รูปแบบใหม่แล้ว


ฟางหยวนไม่สามารถใช้ท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นมังกรดาบบรรพกาล เกราะหวนคืน หรือหมื่นตัวตนในการต่อสู้ ดังนั้นท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นเต่าพยากรณ์บรรพกาลจึงสามารถแก้ไขจุดบกพร่องในปัจจุบันของฟางหยวน


ฟางหยวนหยุดการฝึกและพักฟื้นพลังจิต


เขาปิดเปลือกตาลงและเพ่งจิตเข้าไปในมิติช่องว่างจักรพรรดิ


พื้นที่ก่อนหน้า!


วิญญาณอมตะระดับหกดวงนี้ถูกใช้กับแม่น้ำหวนคืน!


ลูกพลัมแดงอมตะของเขาถูกใช้ไปอย่างรวดเร็วขณะที่ระดับน้ำในแม่น้ำหวนคืนค่อยๆเพิ่มสูงขึ้น


‘ประสิทธิภาพต่ำเกินไป’ ฟางหยวนถอนหายใจ เขาค่อนข้างผิดหวัง


แต่นี่ไม่ใช่การทดลองครั้งแรกของเขา


วิญญาณอมตะพื้นที่ก่อนหน้าส่งผลกระทบต่อแม่น้ำหวนคืนแต่ประสิทธิภาพของมันยังต่ำเกินไป


เห็นได้ชัดว่ามันแตกต่างจากภูเขาตงฮันและหุบเขาเหล่าโป


‘เหตุใดวิญญาณอมตะพื้นที่ก่อนหน้าจึงมีประสิทธิภาพสูงเมื่อใช้กับภูเขาตงฮันและหุบเขาเหล่าโปแต่แม่น้ำหวนคืนแทบไม่ได้รับผลกระทบ?’


ฟางหยวนไม่เข้าใจเรื่องนี้


แม่น้ำหวนคืนพิเศษกว่าภูเขาตงฮันและหุบเขาเหล่าโปงั้นหรือ?


มีเหตุผลใดซ่อนอยู่?


หากเขาสามารถฟื้นฟูแม่น้ำหวนคืนได้ทันที นั่นจะดีมาก


แต่ความเป็นจริงกลับไม่สมบูรณ์แบบอย่างที่ฟางหยวนต้องการ


‘เดี๋ยว! ภูเขาตงฮันและหุบเขาเหล่าโปเคยอยู่ภายใต้การครอบครองของเทพปีศาจจิตวิญญาณและเทพปีศาจจิตวิญญาณเป็นผู้สร้างวิญญาณทารกอมตะ บางที…แดนศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรค์พิภพทั้งสองอาจถูกดัดแปลงโดยนิกายเงาเช่นเดียวกับไห่ลั่วหลันและคนอื่นๆที่สามารถใช้วิญญาณอมตะบนเส้นทางสายอื่นและไม่ถูกจำกัดโดยร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าที่ขัดแย้งกัน’


ฟางหยวนเกิดแรงบันดาลใจ


แต่การคาดเดาของเขาถูกต้อง


นิกายเงาไม่เพียงมีวิธีที่อนุญาตให้ผู้อมตะบ่มเพาะบนเส้นทางสายอื่นโดยไม่เผชิญหน้ากับความขัดแย้งระหว่างร่องรอยของพลังงานแแห่งเต๋า แต่พวกเขายังสามารถดัดแปลงแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรค์พิภพเพื่อให้วิญญาณอมตะสามารถใช้กับพวกมันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยไม่ต้องเผชิญหน้ากับความขัดแย้งระหว่างร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋า


วิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งกาลเวลาส่งผลกระทบอย่างมากต่อภูเขาตงฮันและหุบเขาเหล่าโปเพราะพวกมันไม่ต่อต้านร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งกาลเวลา


ต้องไม่ลืมว่าวิญญาณอมตะพื้นที่ก่อนหน้าเคยเป็นของนิกายเงามาก่อน มันถูกส่งผ่านให้ไท่เป่ยหยุนเฉิงโดยราชันภูเขาม่วง


สำหรับแม่น้ำหวนคืน นิกายเงาไม่เคยครอบครองมัน ดังนั้นแม่น้ำหวนคืนจึงไม่ถูกดัดแปลง


เมื่อฟางหยวนใช้วิญญาณอมตะพื้นที่ก่อนหน้ากับแม่น้ำหวนคืน มันจึงเกิดความขัดแย้งระหว่างร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าที่แตกต่างกันทำให้ประสิทธิภาพของวิญญาณอมตะพื้นที่ก่อนหน้าลดลง


‘แม่น้ำหวนคืนสูญเสียน้ำไปมากจากการโจมตีของผู้อมตะระดับแปด แต่โชคดีที่มันสามารถฟื้นตัวขึ้นแม้ความเร็วจะไม่มากก็ตาม’


‘ข้าสามารถใช้เกราะหวนคืนต่อต้านอสูรปีแรกกำเนิดหรือไม่?’


ฟางหยวนคิดและส่ายศีรษะ


แม่น้ำหวนคืนใช้ป้องกันร่างกายของเขาเท่านั้น หากอสูรปีแรกกำเนิดบุกเข้ามาในมิติช่องว่างของเขาและทำลายมันโดยตรง เขาจะไม่สามารถทำสิ่งใด


เขาคิดเรื่องนี้เพราะกังวลเกี่ยวกับวิญญาณอมตะปีไหลผ่านราวกับสายน้ำที่ถูกผนึกอยู่


แม้พลังการต่อสู้ของเขาจะเพิ่มสูงขึ้น แต่เขายังไม่สามารถปลดผนึกวิญญาณอมตะปีไหลผ่านราวกับสายน้ำ


ในช่วงเวลานี้ฟางหยวนยังบ่มเพาะอยู่อย่างเงียบๆและรอการจัดเตรียมของวูหยงเพื่อกลับไปยังอาณาจักรแห่งความฝัน


แต่สองวันต่อมากลับมีอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1303 พลังอำนาจของเต่าพยากรณ์


แปลโดย iPAT 


ภาคใต้ ตระกูลวู


ในห้องโถง ฟางหยวนอยู่กับวูหยงและผู้อมตะอีกคน


เขาเป็นชายร่างสูงในชุดคลุมขาวดำ เคราของเขายาวลงไปถึงหน้าอก ดวงตาของเขาเรียวเล็กและดูลึกลับ ร่างกายของเขาถูกปกคลุมไปด้วยชั้นหมอกบางๆ


ผู้อมตะระดับเจ็ดของตระกูลวู วูอวี้ป๋อ เขาด้อยกว่าเฒ่าปาเต้อของตระกูลปาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


“ผู้อมะเยี่ยนฮวงท้าทายอวี้ป๋อโดยมีตระกูลเซี่ยอยู่เบื้องหลัง หุบเขาจันทราเป็นหนึ่งในแหล่งทรัพยากรสำคัญที่ผลิตวิญญาณประเภทจันทราให้กับพวกเรา เราไม่สามารถสูญเสียมันไป” วูหยงกล่าว


“ข้าเคยชนะเยี่ยนฮวงมาแล้วสองครั้ง มันไม่ใช่เรื่องยากที่จะชนะเป็นครั้งที่สาม” วูอวี้ป๋อกล่าวเสียงเย็น


หุบเขาจันทรามีลักษณ์เหมือนชามและสามารถผลิตวิญญาณเกี่ยวกับจันทรา


ที่นั่นเคยมีหมู่บ้านตั้งอยู่ แต่เมื่อตระกูลวูขยายอิทธิพลเข้าไป หมู่บ้านก็ถูกกวาดล้าง มีผู้อมตะอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านดังกล่าว เขาคือเยี่ยนฮวง


แต่ตระกูลวูส่งวูอวี้ป๋อออกไปกำหราบเยี่ยนฮวงทำให้คนผู้นี้ต้องละทิ้งหมู่บ้านของตนและหลบหนีไป


นี่คือกฎของฝ่ายธรรมะ


เยี่ยนฮวงจากไปพร้อมกับความเกลียดชัง เขาซ่อนตัวบ่มเพาะและรอโอกาสแก้แค้น แต่เขายังแพ้วูอวี้ป๋อเป็นครั้งที่สอง


ตระกูลวูรู้ว่าความแค้นนี้ไม่สามารถแก้ไข ดังนั้นพวกเขาจึงส่งกองกำลังผู้อมตะออกไปลอบสังหารเยี่ยนฮวง


อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาสำคัญกองกำลังที่ไม่รู้จักกลับยื่นมือเข้าช่วยเยี่ยนฮวง


ตระกูลวูต้องการไล่ล่าแต่วูตู๋ซิวกลับเสียชีวิตในขณะนั้นและทำให้ตระกูลวูตกสู่ความสับสนวุ่นวาย นี่ทำให้เยี่ยนฮวงมีเวลาพักฟื้น


จนถึงตอนนี้เยี่ยนฮวงได้ส่งคำท้าทายมายังวูอวี้ป๋อโดยใช้หุบเขาจันทราเป็นเดิมพัน


ตระกูลวูเป็นกองกำลังอันดับหนึ่งของภาคใต้ แล้วพวกเขาจะปฏิเสธได้อย่างไร?


แต่ความกังกลของวูหยงคือตระกูลเซี่ยที่อยู่เบื้องหลังเยี่ยนฮวง


โดยไม่ต้องสงสัยกองกำลังที่ช่วยชีวิตเยี่ยนฮวงคราวก่อนย่อมไม่ใช่ผู้ใดนอกจากตระกูลเซี่ย


ภายนอกเยี่ยนฮวงท้าทายวูอวี้ป๋อ แต่ความจริงคือมันเป็นการแข่งขันระหว่างสองกองกำลังใหญ่


การท้าทายครั้งนี้ได้รับความสนใจจากทุกกองกำลังของภาคใต้


หลังจากวูตู๋ซิวเสียชีวิต แม้ตระกูลวูจะยังเป็นกองกำลังอันดับหนึ่งของภาคใต้ แต่ชื่อเสียงของพวกเขาก็ตกต่ำลงอย่างมาก


ตระกูลเซี่ยเป็นคู่แข่งคนสำคัญของตระกูลวู หากตระกูลวูพ่ายแพ้ในครั้งนี้ ตระกูลอื่นจะพุ่งเข้าโจมตีพวกเขา


กล่าวได้ว่าเยี่ยนฮวงเป็นอุปสรรค์ต่อความทะเยอทะยานของวูหยง


“อวี้ป๋อ อย่าประมาท เจ้ารู้ว่าเรื่องนี้สำคัญต่อตระกูลของเรามากเพียงใด” วูหยงถอนหายใจ


“เยี่ยนฮวงเข้าร่วมกับตระกูลเซี่ย เขาได้รับความช่วยเหลือจากคนเหล่านั้น ครั้งนี้พวกเขาย่อมมีเจตนาร้ายและเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี”


“ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่ง ท่านเพียงรอฟังข่าวดีเท่านั้น” วูอวี้ป๋อกล่าวอย่างไร้อารมณ์ขณะชำเลืองมองฟางหยวนก่อนกล่าวต่อ “ในความคิดเห็นของข้า เราไม่จำเป็นต้องนำคนจำนวนมากออกไป ข้าเพียงผู้เดียวสามารถจับเยี่ยนฮวงได้อย่างง่ายดาย”


“เราไม่ควรประมาท น้องชายของข้ามีทักษะในการแปลงร่าง เขาเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด หากเขาไปกับเจ้า ข้าจะวางใจมากขึ้น” วูหยงกล่าว


ตระกูลวูมีอาณาเขตกว้างใหญ่ แม้พวกเขาจะมีผู้อมตะมากมาย แต่คนเหล่านั้นก็ถูกส่งออกไปดูแลแหล่งทรัพยากรต่างๆ นี่ทำให้ตระกูลวูขาดแคลนกำลังคน


เดิมทีวูหยงวางแผนที่จะส่งฟางหยวนไปยังค่ายกลวิญญาณ


แต่ตอนนี้มีเรื่องที่วูหยงต้องส่งฟางหยวนออกไปกับวูอวี้ป๋อ เพราะเขาแน่ใจว่าเยี่ยนฮวงไม่ได้มาเพียงลำพัง


แม้ฟางหยวนจะสามารถปฏิเสธ แต่เรื่องนี้ไม่มีอันตราย ดังนั้นฟางหยวนจึงยอมรับภารกิจ


นี่เป็นงานที่ดี เขาเพียงต้องระวังหลังให้กับวูอวี้ป๋อเท่านั้น หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ เขาจะได้รับค่าตอบแทนจากตระกูล


วูอวี้ป๋อไม่ต้องการความช่วยเหลือจากฟางหยวน แต่วูหยงยืนกรานเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถปฏิเสธ


ไม่กี่วันต่อมา วูอวี้ป๋อก็เดินทางไปยังสถานที่นัดหมายพร้อมกับฟางหยวน


ที่นั่นเซี่ยชิงกังและเยี่ยนฮวงกำลังรออยู่


เยี่ยนฮวงเป็นผู้อมตะวัยกลางคน เขามีรูปลักษณ์ที่ธรรมดาแต่ดูมีวุฒิภาวะ หลังจากเห็นวูอวี้ป๋อ การแสดงออกของเขาก็เปลี่ยนไป เขาเบิกตากว้างราวกับมันสามารถพ่นไฟออกมา


เซี่ยชิงกังยืนอย่างสงบนิ่งราวกับภูเขาสูงที่ไม่สั่นไหว เขามีใบหน้าสี่เหลี่ยมและเส้นผมสีขาวโดยเฉพาะเคราของเขาที่แข็งเหมือนเข็ม


“วูอวี้ป๋อ เจ้าทำลายหมู่บ้านของข้าและฆ่าบุตรหลานของข้า ข้าจะทวนคืนความอัปยศทั้งหมดในวันนี้!” เยี่ยนฮวงคำราม


วูอวี้ป๋อหัวเราะเย้ยหยัน “เจ้าใส่ร้ายข้า  ข้าเพียงค้นหาร่องรอยของปีศาจบนเส้นทางแห่งเลือดและกำจัดมันเพื่อผดุงความยุติธรรม เจ้าเป็นคนชั่ว เจ้ากล้าใส่ร้ายข้า เจ้าสมควรตาย!”


การต่อสู้ปะทุขึ้นทันที


ฟางหยวนและเซี่ยชิงกังเฝ้ามองอยู่ข้างสนามรบ


ไม่มีการพูดคุย ทุกคนรู้เหตุผลที่แท้จริง แต่ฝ่ายธรรมะต้องแสดงออกเยี่ยงวีรบุรุษ


เยี่ยนฮวงเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งไฟและปฐพี ด้านหนึ่งเขาเหมือนมังกรเพลิง แต่อีกด้านหนึ่งเขาทำให้พื้นดินเกิดการสั่นสะเทือน


สำหรับวูอวี้ป๋อ เขาบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งวารี เขาเคลื่อนไหวราวกับใบไม้ร่วงและดูสง่างามทุกการกระทำ ร่างกายของเขาปกคลุมไปด้วยหมอก เขาทำให้ฝนตกลงมาและดับไฟของเยี่ยนฮวง


เห็นได้ชัดว่าวูอวี้ป๋อเป็นฝ่ายได้เปรียบ


อย่างไรก็ตามการต่อสู้พึ่งเริ่มต้น ทั้งสองฝ่ายกำลังตรวจสอบซึ่งกันและกัน พวกเขายังไม่ได้ใช้ท่าไม้ตายอมตะ


ฟางหยวนเฝ้าดูและระวังการลอบโจมตีจากเซี่ยชิงกัง


แต่เซี่ยชิงกังยังดูผ่อนคลายมาก เขามองฟางหยวนและเผยรอยยิ้มบาง


สิ่งนี้ทำให้ฟางหยวนรู้สึกไม่สบายใจ


เซี่ยชิงกังเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา เขาเป็นตัวตนระดับสูงและมีชื่อเสียงในภาคใต้


การต่อสู้ยังดำเนินต่อไป


ทั้งสองฝ่ายเริ่มใช้ท่าไม้ตายอมตะ


เยี่ยนฮวงเป็นฝ่ายถูกกดดัน ข้อได้เปรียบของวูอวี้ป๋อชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ


ชัยชนะกำลังใกล้เข้ามา แต่ฟางหยวนไม่กล้าประมาท หากภารกิจล้มเหลว เขาจะถูกลงโทษ


“เยี่ยนฮวง เป็นเกียรติของเจ้าที่ได้ตายด้วยท่าไม้ตายอมตะของข้า!” วูอวี้ป๋อเต็มไปด้วยเจตนาสังหาร


เขากระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะ สายฝนที่ร่วงหล่นลงมาหลอมรวมกันและกลายเป็นกรงขังเยี่ยนฮวงเอาไว้ภายใน


เยี่ยนฮวงตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังและกำลังจะตาย


ฟางหยวนสังเกตเซี่ยชิงกังอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันการแทรกแซงของเขา


แต่เซี่ยชิงกังยังมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าราวกับเขาไม่มีเจตนาที่จะสอดมือเข้าไป


ในเวลาต่อมาเยี่ยนฮวงกลับระเบิดเสียงหัวเราะออกมา กลิ่นอายของวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนปะทุขึ้นจากร่างกายของเขา


กรงวารีระเบิดขึ้นทันที


“เป็นไปได้อย่างไร?” วูอวี้ป๋อตกใจมาก ท่าไม้ตายอมตะที่ถูกทำลายส่งผลกระทบย้อนกลับและทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสทันที


ลาวาใต้เท้าของเยี่ยนฮวงขยายวงกว้างออกไปและปกคลุมทั่วทั้งสนามรบ


ท่าไม้ตายเขตแดนอมตะ!


ใบหน้าของวูอวี้ป๋อกลายเป็นซีดเผือด เขาติดอยู่ในเขตแดน!


สถานการณ์เปลี่ยนไป วูอี้ป๋อตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง


การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทำให้ฟางหยวนต้องยื่นมือเข้าช่วยแต่เซี่ยชิงกังเตือนเขา “วูอี้ไห่ อย่าเป็นความอับอายของตระกูลวู!”


ฟางหยวนหัวเราะ “คนนอกเช่นเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าจะเป็นความอับอายของตระกูลวูหรือไม่?”


หลังกล่าวจบคำ เขาเปลี่ยนร่างเป็นเต่าพยากรณ์และเข้าสู่เขตแดนลาวาทันที


เซี่ยชิงกังลอบยกย่องการตัดสินใจที่เด็ดขาดของฟางหยวนอยู่ภายนใน แต่เขาก็ไม่ช้า “ในกรณีนี้ลองลิ้มรสท่าไม้ตายอมตะของข้า ความคิดกระจัดกระจาย!”


ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา!


เซี่ยชิงกังใช้ท่าไม้ตายอมตะที่ทรงพลังของเขาตั้งแต่แรก


ความคิดของผู้อมตะที่ถูกโจมตีด้วยท่าไม้ตายนี้จะถูกรบกวนขณะต่อสู้ นี่จะทำให้พวกเขาสูญเสียการควบคุมและเปิดช่องว่าง


ฟางหยวนหัวเราะคิกคัก เขายังพุ่งไปข้างหน้าโดยไม่แยแส


“คนโง่!” เซี่ยชิงกังเย้ยหยันเสียงเย็น


แต่พลังอำนาจของท่าไม้ตายอมตะความคิดกระจัดกระจายกลับไม่ส่งผลกระทบต่อฟางหยวนแม้แต่น้อย


รอยยิ้มบนใบหน้าของเซี่ยชิงกังกลายเป็นแข็งค้าง


“นี่เป็นไปได้อย่างไร? มันคือ…เต่าพยากรณ์!?” ในที่สุดเซี่ยชิงกังก็สามารถจดจำสิ่งมีชีวิตชนิดนี้และแสดงออกด้วยความขมขื่น


เต่าพยากรณ์เป็นสัตว์อสูรบรรพกาล มันมีทักษะในการต่อต้านวิธีการบนเส้นทางแห่งปัญญา ดังนั้นท่าไม้ตายอมตะบนเส้นาทางแห่งปัญญาของเซี่ยชิงกังจึงไร้ประโยชน์ต่อหน้าเต่าพยากรณ์


“บึม!”


ท่าไม้ตายอมตะเขตแดนถูกทำลายโดยฟางหยวน


เซี่ยชิงกังกำลังจะสอดมือเข้าไปแต่ฟางหยวนกลับเปิดปากกล่าว “ตระกูลวูของเราเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ การต่อสู้ครั้งนี้จบลงแล้ว หุบเขาจันทราเป็นของเจ้า!”


หลังจากได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ เซี่ยชิงกังจึงหยุดเคลื่อนไหว


เยี่ยนฮวงต้องการโจมตีต่อแต่เซี่ยชิงกังหยุดเขาเอาไว้


นั่นทำให้เยี่ยนฮวงทำได้เพียงมองดูศัตรูของเขาจากไปเท่านั้น


“เหตุใดถึงปล่อยพวกเขาไป?” เยี่ยมฮวงคำราม


เซี่ยชิงกังแสดงออกอย่างเย็นชา “เราชนะและได้รับหุบเขาจันทรามาแล้ว เป้าหมายของเราสำเร็จแล้ว ยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าจะฆ่าวูอวี้ป่อ อย่าลืมว่าเจ้าเป็นผู้อาวุโสสูงสุดนอกของตระกูลเซี่ย เจ้าต้องคิดถึงผลประโยชน์ของตระกูลเป็นอันดับแรก!”


ครั้งนี้ตระกูลเซี่ยได้รับชัยชนะ หากพวกเขายังไล่ล่าคนทั้งสอง ตระกูลวูจะตอบโต้ด้วยขุมกำลังทั้งหมด


ตระกูลเซี่ยไม่ต้องการเป็นเป้าหมายของตระกูลวูและพ่ายแพ้ในที่สุด นั่นจะทำให้กองกำลังอื่นได้รับผลประโยชน์


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1304 ได้รับวิญญาณอมตะ


แปลโดย iPAT 


ผู้อมตะระดับเจ็ดของตระกูลวู วูอวี้ป๋อ แพ้ผู้อมตะเยี่ยนฮวง


ข่าวนี้แพร่สะพัดออกไปด้วยความตั้งใจของตระกูลเซี่ย โลกของผู้อมตะภาคใต้ตกสู่ความโกลาหล


“วูอวี้ป๋อเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดที่ทรงพลังของตระกูลวู แต่เขายังพ่ายแพ้ให้กับเยี่ยนฮวง?”


“เยี่ยนฮวงไม่ได้อ่อนแอ ตอนนี้เขาได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเซี่ย มันไม่ใช่เรื่องแปลกหากเขาจะสามารถเอาชนะวูอวี้ป๋อ”


“วูอวี้ป๋อเป็นคนหยิ่งยโส มันค่อนข้างน่าตกใจที่เขาแพ้ให้กับคนที่เขาเคยเอาชนะมาก่อน”


“สิ่งสำคัญคือผู้อมตะเยี่ยนฮวงสามารถทำลายท่าไม้ตายอมตะของวูอวี้ป๋อ นี่เป็นเรื่องที่น่าประทับใจมาก บางทีเซี่ยลิ่วเพ่ยของตระกูลเซี่ยอาจช่วยเขาอนุมาน”


ตระกูลเซี่ยมีผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาที่มีชื่อเสียงในการอนุมาน


มันคือเซี่ยลิ่วเพ่ย


“คราวนี้ตระกูลวูเสียหน้า ไม่เพียงวูอวี้ป๋อจะพ่ายแพ้ แต่เขายังเกือบเสียชีวิต หากไม่ใช่เพราะวูอี้ไห่ที่ทำลายเขตแดน วูอวี้ป๋อคงไม่รอด”


“นี่เป็นเรื่องจริงงั้นหรือ?”


“ถูกต้อง มีการบันทึกฉากการต่อสู้เอาไว้ พวกมันถูกแพร่กระจายออกไปแล้ว”


“ตระกูลวูสูญเสียหุบเขาจันทรา ฮ่าฮ่า เรื่องนี้ช่างน่าขันนัก”


“หากเราย้อนไปดูต้นตอ ตระกูลวูชิงหุบเขาจันทรามาอย่างน่าไม่อาย นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาสมควรได้รับ!”


“ฮ่าฮ่าฮ่า วูตู๋ซิ่วตายไปแล้ว ตระกูลวูไม่สามารถรักษาสถานะของพวกเขาไว้ได้อีก”


การสูญเสียหุบเขาจันทราไม่ใช่ปัญหาสำหรับตระกูลวู หลังจากทั้งหมดพวกเขามั่งคั่งมาก


แต่วูอวี้ป๋อพ่ายแพ้ในการต่อสู้และรอดชีวิตมาได้เพราะการแซงแทรงของวูอี้ไห่ นี่เป็นเรื่องที่ตระกูลวูไม่สามารถโต้เถียง


มีความแตกต่างระหว่างฝ่ายธรรมะและปีศาจ


ฟางหยวนช่วยวูอวี้ป๋อซึ่งขัดต่อกฎเกณฑ์ของฝ่ายธรรมะ นี่ทำให้ตระกูลวูสูญเสียใบหน้า


ปัญหาคือมีหลักฐานที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้


เซี่ยชิงกังเป็นคนรอบคอบ เขาใช้วิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งข้อมูลบันทึกภาพเหตุการณ์ทั้งหมดเอาไว้


ตระกูลวูทำได้เพียงยอมรับความผิด หลังจากฟางหยวนกลับไปพร้อมกับวูอวี้ป๋อ วูหยงออกคำสั่งลงโทษฟางหยวนเพราะเขาทำผิดกฎของการต่อสู้ เขาถูกกักบริเวณและต้องชดเชยด้วยหินวิญญาณอมตะบางส่วน


ฟางหยวนช่วยชีวิตวูอวี้ป๋อ นี่ถือเป็นบุญคุณ แต่สำหรับตระกูลวู พวกเขาเสียหน้าแม้พวกเขาจะสามารถช่วยชีวิตผู้อมตะระดับเจ็ดเอาไว้ สำหรับฝ่ายธรรมะ หน้าตาสำหรับกว่าทุกสิ่ง!


ฟางหยวนทำสิ่งที่ถูกต้องแต่วูหยงยังต้องลงโทษเขา


แต่วูหยงไม่โกรธ เขายังลดโทษให้ฟางหยวนและให้เขาบ่มเพาะอย่างเงียบสงบอยู่บนภูเขาผาหมี


เหตุการณ์เกี่ยวกับหุบเขาจันทราส่งผลกระทบในวงกว้าง


วูอวี้ป๋อเป็นคนยโสที่มีความภาคภูมิใจในตนเอง หลังจากพ่ายแพ้ เขารู้สึกละอายใจอย่างมาก เขาประกาศว่าเขาจะปิดประตูฝึกตนอย่างสงบและจะกลับมาคว้าชัยชนะในอนาคต


เรื่องนี้ทำให้ตระกูลวูสูญเสียชื่อเสียงอย่างช่วยไม่ได้


สิ่งสำคัญที่สุดคือการเคลื่อนไหวของตระกูลเซี่ยในครั้งนี้สร้างแรงบันดาลใจให้กับกองกำลังอื่นๆ


ฝ่ายธรรมะแตกต่างจากฝ่ายปีศาจ


พวกเขาจะใช้กฎในการตัดสิน


ตระกูลเซี่ยมีความเชี่ยวชาญบนเส้นทางแห่งแสงและเส้นทางแห่งปัญญา แม้ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาจะหายาก แต่ตระกูลเซี่ยไม่ขาดแคลนตัวตนเช่นนี้


ในภาคใต้ ตระกูลเซี่ยมีผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาอยู่มากที่สุด


ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตระกูลเซี่ยจะสามารถวางแผนต่อต้านตระกูลวู


เมื่อกองกำลังอื่นเห็นความสำเร็จของตระกูลเซี่ย พวกเขาก็เริ่มเลียนแบบ


ด้วยเหตุนี้เหตุการณ์เช่นเดียวกับหุบเขาจันทราจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง


ศัตรูมากมายกำลังรุมล้อมเข้ามา วูหยงรู้สึกสังหรณ์ร้าย


หลังจากตระกูลเซี่ยก็เป็นตระกูลลั่ว ตระกูลชือ และตระกูลช่าย


วูหยงต้องส่งผู้อมตะออกไปเพื่อปกป้องแหล่งทรัพยากรของตระกูลวูและพยายามรักษาเสถียรภาพเอาไว้


ตระกูลวูกำลังพบปัญหา วูหยงปวดหัวมาก แต่น้องชายของเขา วูอี้ไห่ ยังมีชีวิตที่สงบสุข


ในมิติช่องว่างจักรพรรดิ


“ปล่อยข้า! ปล่อยข้า! อา…” ดวงวิญญาณของหม่าหงหยุนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด


แต่ฟางหยวนไม่สนใจและยังดำเนินการต่อไป


ดวงวิญญาณของหม่าหงหยุนไม่สามารถต่อท้านการทรมานชนิดนี้และอ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว


วิญญาณความเด็ดเดี่ยว!


ฟางหยวนใช้วิญญาณความเด็ดเดี่ยวฟื้นฟูดวงวิญญาณของหม่าหงหยุนก่อนจะเริ่มค้นวิญญาณอีกครั้ง


“ปีศาจร้าย!”


“ฆ่าข้า! ฆ่าข้า…”


ความเจ็บปวดที่รุนแรงทำให้หม่าหงหยุนไม่สามารถอดทน เขาทั้งสาปแช่ง ดุด่า ร้องไห้ และอ้อนวอน แต่ฟางหยวนยังไม่หวั่นไหว


ครู่ต่อมาเขาก็หยุด


ดวงวิญญาณของหม่าหงหยุนกลายเป็นกลุ่มหมอกควันและกำลังจะหายไป


ฟางหยวนใช้วิญญาณความเด็ดเดี่ยวอีกดวง


“ในที่สุดข้าก็ประสบความสำเร็จในการขุดค้นมรดกที่แท้จริงบนเส้นทางแห่งโชคที่หม่าหงหยุนมี”


“แต่จ้าวเหลียนหยุนยังไม่ตาย ข้ายังต้องรักษาดวงวิญญาณของหม่าหงหยุนเอาไว้ มันยังมีค่า”


ฟางหยวนฆ่าหม่าหงหยุนโดยบังเอิญในแม่น้ำหวนคืนและได้รับดวงวิญญาณของเขา


หลายวันที่ผ่านมา ฟางหยวนค้นวิญญาณหม่าหงหยุนอย่างไม่หยุดยั้ง


ตอนนี้เขาสามารถยืนยันว่าเขาได้ขุดค้นทุกอย่างจากหม่าหงหยุนเรียบร้อยแล้ว


ฟางหยวนได้รับมรดกที่แท้จริงบนเส้นทางแห่งโชค โชคของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด!


โชคของตนเอง โชคของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด และโชคแห่งสวรรค์พิภพ สิ่งเหล่านี้เป็นมรดกที่แท้จริงสามอย่างของเทพอมตะตะวันเดือด โชคของตนเองอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา โชคของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดอยู่ในวังแปดสิบแปดเปลวเพลิงที่แท้จริง และโชคแห่งสวรรค์พิภพอยู่กับถ้ำสวรรค์นิรันดร


เมื่อแดนศักดิ์สิทธิ์เมืองหลวงของภาคเหนือถูกทำลาย วังแปดสิบแปดเปลวเพลิงที่แท้จริงพังทลายลง มรดกที่แท้จริงโชคของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดก็ถูกทำลายเช่นกัน


อย่างไรก็ตามหม่าหงหยุนและจ้าวเหลียนหยุนได้รับการคุ้มครองจากมรดกที่แท้จริงโชคของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด กล่าวได้ว่าพวกเขาได้รับส่วนหนึ่งของมัน


หลังจากเหตุการณ์มากมาย ฟางหยวนได้ค้นวิญญาณของหม่าหงหยุนและได้รับมรดกที่แท้จริงโชคของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในส่วนของเขา


“โชคดีที่ปีศาจอมตะเซี่ยหูต้องการใช้หม่าหงหยุนหลอมรวมวิญญาณอมตะโชคชะตาท้าทายสวรรค์ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่สามารถสังหารหม่าหงหยุน”


“ย้อนกลับไปหม่าหงหยุนถูกจับโดยฉินไป่เฉิงของนิกายเงา เขาต้องเรียนรู้เกี่ยวกับโชคของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดและส่งต่อให้กับนิกายอย่างแน่นอน”


ฟางหยวนวิเคราะห์ สิ่งที่มีค่ามากที่สุดคือเคล็บลับการหลอมรวมวิญญาณอมตะโชคชะตาท้าทายสวรรค์


หม่าหงหยุนได้รับรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้


นี่คือแก่นแท้ของมรดกที่แท้จริงโชคของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด


ด้วยวิธีนี้ปีศาจอมตะเซี่ยหูจึงได้เรียนรู้เกี่ยวกับมันและตั้งใจหลอมรวมวิญญาณอมตะโชคชะตาท้าทายสวรรค์


“วิญญาณอมตะโชคชะตาท้าทายสวรรค์…” ฟางหยวนเผยรอยยิ้มขมขื่น


ตามเคล็ดลับการหลอมรวมวิญญาณอมตะดวงนี้ แม้เขาจะใช้ทรัพย์สินทั้งหมด แต่เขาก็ยังไม่สามารถทำตามความต้องการของมัน


เว้นเพียงเขาจะมีวิธีการพิเศษเช่นการใช้หม่าหงหยุนเป็นวัสดุในการหลอมรวม


แต่ฟางหยวนจะกล้าหลอมรวมวิญญาณอมตะโชคชะตาท้าทายสวรรค์ได้อย่างไร?


มันเป็นวิญญาณอมตะระดับแปด!


ความพยายามในการหลอมรวมวิญญาณอมตะระดับแปดอย่างเปิดเผยจะเกิดสิ่งใดขึ้น? ปีศาจอมตะเซี่ยหูเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องนี้


กระทั่งผู้อมตะระดับแปดที่แข็งแกร่งที่สุดของภาคเหนือยังพบกับความล้มเหลว นอกจากนั้นเขายังสูญเสียแม่น้ำหวนคืนและแดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะ แม้แต่ท่านหญิงหว่านซูก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส


“แม้ข้าจะมีทรัพยากรมากมาย แต่พวกมันยังห่างไกลจากเรื่องนี้ นอกจากนั้นตอนนี้ลูกพลัมแดงอมตะของข้าก็เหลืออยู่น้อยมาก”


ในการไล่ล่าอิงอู๋เซึ่ย เขาเดินทางจากภาคใต้ไปถึงภาคเหนือ แม้เขาจะได้รับแม่น้ำหวนคืนและท่าไม้ตายใหม่ แต่มันมีค่าใช้จ่ายสูงมาก


“หลังจากชะลอเวลาในมิติช่องว่างจักรพรรดิ ประสิทธิภาพในการผลิตพลังงานอมตะของมันลดลงอย่างมาก”


“แม้ข้าจะได้รับกำไรแต่ค่าใช้จ่ายก็มหาศาลเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้อาหารวิญญาณอมตะระดับแปด มันยังเป็นภาระที่ยิ่งใหญ่ของข้า”


ฟางหยวนต้องแก้ปัญหาเรื่องอาหารของวิญญาณอมตะ เขายังต้องสำรองลูกพลัมแดงอมตะเอาไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน สถานการณ์ในปัจจุบันของเขาน่าอึดอัดใจมาก


เมื่อไม่นานมานี้เขายังต้องจ่ายหินวิญญาณอมตะเนื่องจากทำผิดกฎของฝ่ายธรรมะเรื่องการช่วยวูอวี้ป๋อ


“เวลาในมิติช่องว่างของข้าเดินช้าลง ด้วยวิธีนี้ข้าทำได้เพียงเพิ่มกำลังผลิตเพื่อเน้นปริมานเท่านั้น”


“แต่การเพิ่มกำลังผลิตต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ หากทรัพยากรบางอย่างมีมากเกินความต้องการของตลาด มันจะกลายเป็นการทำร้ายตนเอง”


ในขณะที่ฟางหยวนกำลังคิดเรื่องนี้ วูอวี้ป๋อได้นำวิญญาณอมตะดวงหนึ่งมาหาฟางหยวนที่ภูเขาผาหมี


“ข้าต้องขอบคุณท่านวูอี้ไห่ที่ช่วยชีวิตข้า วิญญาณอมตะระดับหกดวงนี้ถือเป็นการแสดงความกตัญญูของข้า” วูอวี้ป๋อมอบวิญญาณอมตะให้กับฟางหยวน


วิญญาณอมตะความคิดวัชระ!


เห็นได้ชัดว่ามันเป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา


ฟางหยวนได้รับประโยชน์จากเหตุการณ์หุบเขาจันทราโดยไม่คาดคิด


แม้มันจะเป็นเพียงวิญญาณอมตะระดับหก แต่วิญญาณอมตะทุกดวงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่สามารถประเมินค่าได้!


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1305 ความคิดวัชระ


แปลโดย iPAT 


วิญญาณอมตะความคิดวัชระอยู่ในรูปลักษณ์ของวัชระสีทองขนาดเท่ากำปั้นมนุษย์


ฟางหยวนถือมันไว้ในมือและรู้สึกถึงความหนักราวกับกำลังถือก้อนทองคำ


ขั้นตอนการเปลี่ยนเจ้าของเป็นไปอย่างรวดเร็ว


หลังจากฟางหยวนประสบความสำเร็จในการปรับแต่งวิญญาณอมตะความคิดวัชระ วูอวี้ป๋อก็จากไปอย่างรวดเร็ว


ฟางหยวนไม่แปลกใจกับเรื่องนี้


เพราะเขามีบุญคุณ!


ฟางหยวนช่วยชีวิตวูอวี้ป๋อเอาไว้ แม้มันจะเป็นการฝ่าฝืนกฎและทำให้ตระกูลวูสูญเสียใบหน้า แต่พวกเขาก็ยังสามารถรักษาพลังการต่อสู้ระดับเจ็ดที่สำคัญเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าความดีความชอบของเขาเหนือกว่าปัญหาที่เขาก่อ


แม้วูหยงจะลงโทษฟางหยวน แต่ฟางหยวนเข้าใจ นี่เป็นวิธีของฝ่ายธรรมะ มันเป็นเพียงการแสดงเท่านั้น


ตระกูลวูต้องให้รางวัลกับฟางหยวน แต่วูหยงไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง


หากเขาทำ มันจะก่อให้เกิดปัญหาทางการเมือง คนอื่นๆจะใช้เรื่องนี้เพื่อโจมตีชื่อเสียงของเขา


ดังนั้นวูอวี้ป๋อจึงต้องเป็นคนออกหน้า


วิญญาณอมตะความคิดวัชระดวงนี้ถูกส่งมอบโดยวูอวี้ป๋อแต่ในความเป็นจริงมันเป็นรางวัลจากตระกูลวู


“วิญญาณอมตะอีกดวง” ฟางหยวนเผยรอยยิ้มขมขื่น


ผู้อมตะทั่วไปอาจมีความสุข แต่สำหรับฟางหยวน ความหมายนั้นแตกต่างออกไป


เขามีวิญญาณอมตะมากเกินไป!


พวกมันเป็นภาระที่ยิ่งใหญ่


“แต่วิญญาณอมตะความคิดวัชระเป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา ข้าสามารถใช้มันชดเชยจุดอ่อนของข้า”


ฟางหยวนไม่ได้ขาดแคลนความสำเร็จบนเส้นทางแห่งปัญญา เขาขาดเพียงวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาเท่านั้น


ในอดีตเขามีวิญญาณทัศนคติและวิญญาณคลี่คลายปริศนา แต่ตอนนี้เขามีวิญญาณความใคร่และวิญญาณความคิดวัชระ


วิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาสี่ดวงเพียงพอแล้ว ด้วยความสำเร็จระดับปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งปัญญา เขาสามารถใช้งานพวกมัน


ฟางหยวนใช้ลูกพลัมแดงอมตะเพื่อกระตุ้นใช้งานวิญญาณความคิดวัชระ


ทันใดนั้นความคิดสีทองก็ปรากฏขึ้นในใจของเขา พวกมันเหมือนโลหะที่แข็งแกร่งและส่องประกายงดงาม


ฟางหยวนพยายามใช้ความคิดวัชระอนุมานและพบว่ามันมีประสิทธิภาพไม่สูงนัก


แต่ฟางหยวนไม่แปลกใจ ทั้งหมดอยู่ในการคาดเดาของเขา


วิญญาณอมตะความคิดวัชระไม่ได้มีไว้เพื่อการอนุมานแต่มีไว้สำหรับต่อสู้


ฟางหยวนสร้างความคิดวัชระขึ้นในใจอีกครั้งก่อนจะส่งพวกมันออกมายังโลกภายนอก


ฟางหยวนนั่งอยู่บนเบาะขณะที่วัชระสีทองนับร้อยเล่มลอยอยู่รอบตัวเขา


ด้วยหนึ่งความคิด พวกมันบินออกไป


“ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว…”


เร็วมาก!


ความคิดเคลื่อนไหวเร็วกว่าแสง!


แม้ความคิดวัชระจะเคลื่อนไหวในโลกภายนอกได้ช้ากว่าในจิตใจ แต่มันยังถือว่ารวดเร็วมาก


‘ความเร็วนี้เท่ากับครึ่งหนึ่งของวิญญาณดาบทะลวงมิติ’ ฟางหยวนพอใจมากกับความเร็วนี้


วิญญาณดาบทะลวงมิติเป็นวิญญาณอมตะระดับเจ็ดและเป็นหนึ่งในวิญญาณที่มีความเร็วสูงที่สุดในโลก ขณะที่วิญญาณความคิดวัชระเป็นเพียงวิญญาณอมตะระดับหก แต่มันกลับรวดเร็วถึงครึ่งหนึ่งของวิญญาณดาบทะลวงมิติ


แน่นอนว่าหากวิญญาณความคิดวัชระก้าวเข้าสู่ระดับเจ็ดหรือแปด ความเร็วของมันจะไม่เพิ่มขึ้น มีเพียงปริมาณเท่านั้นที่จะแตกต่างออกไป


ตามทฤษฎี วิญญาณความคิดวัชระระดับห้าสามารถสร้างความคิดวัชระได้ประมาณหนึ่งร้อยเล่มต่อครั้ง วิญญาณอมตะความคิดวัชระระดับหกสามารถสร้างความคิดวัชระได้หนึ่งหมื่นเล่มในครั้งเดียว


แล้วพลังของความคิดวัชระเป็นอย่างไร?


ฟางหยวนยิงวัชระสีทองเล่มหนึ่งลงบนพื้น


“บึม!”


วัชระสีทองเจาะแผ่นกระเบื้องและทะลวงลึกลงไปถึงชั้นใต้ดิน


ฟางหยวนพยักหน้า


พลังจัดว่าดี


สถานที่แห่งนี้คือคฤหาสน์วิญญาณระดับมนุษย์ พลังป้องกันของมันไม่สามารถเปรียบเทียบกับผู้อมตะ


แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นยังถือว่าใช้ได้


ฟางหยวนคิดว่ามันรุนแรงกว่ากระสุนปืนอยู่มากนัก


‘วิญญาณอมตะความคิดวัชระสามารถสร้างความคิดวัชระได้หลายพันเล่ม หากพวกมันถูกยิงออกไปพร้อมกัน ผลลัพธ์ของมันจะแตกต่างออกไป’


‘เดี๋ยว!’


ฟางหยวนเกิดแรงบันดาลใจใหม่ๆ


เขานึกถึงผู้อมตะสองคน หนึ่งคือตงฟางชางฟาน และอีกหนึ่งคือเย่หลิวชุนซิง ท่าไม้ตายอมตะของพวกเขา หนึ่งคือหมื่นหิ่งห้อยดาราและอีกหนึ่งเลียนแบบมาจากหมื่นหิ่งห้อยดารา


‘เหตุใดข้าไม่เลียนแบบท่าไม้ตายอมตะหมื่นหิ่งห้อยดารา?’


ฟางหยวนพิจารณาเกี่ยวกับมัน


ความสำเร็จระดับปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งปัญญาทำให้เขารู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ยาก


ดังนั้นฟางหยวนจึงหยุดใช้วิญญาณความคิดวัชระและเริ่มอนุมานท่าไม้ตายใหม่


เขาพยายามเลียนแบบท่าไม้ตายอมตะหมื่นหิ่งห้อยดาราโดยใช้วิญญาณอมตะความคิดวัชระเป็นแกนกลาง


กระบวนการเป็นไปได้อย่างราบรื่นและรวดเร็ว มีปัญหาเล็กน้อยแต่ทุกอย่างสามารถแก้ไขตามสัญชาตญาณของฟางหยวน


หนึ่งชั่วโมงต่อมา ท่าไม้ตายใหม่สำเร็จไปครึ่งหนึ่ง


ฟางหยวนยังอนุมานอย่างไม่หยุดยั้ง ในที่สุดไม่กี่วันต่อมาท่าไม้ตายอมตะที่สมบูรณ์แบบก็ประสบความสำเร็จ


ฟางหยวนยังไม่ได้ตั้งชื่อท่าไม้ตายนี้เพราะเขาได้รับแรงบันดาลใจใหม่


‘วิญญาณอมตะความคิดวัชระเป็นเพียงวิญญาณอมตะระดับหก มันยังไม่ทรงพลังมากพอ บางทีข้าอาจใช้มันร่วมกับท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นเต่าพยากรณ์เพื่อเพิ่มพลังทำลายล้าง!’


การปรับเปลี่ยนนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย


แม้เขาจะเป็นปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งปัญญาและการเปลี่ยนแปลง แต่การผสานสองเส้นทางเข้าด้วยกันไม่ใช่เรื่องง่าย


มันต้องใช้เวลา


แต่ฟางหยวนไม่กังวล


สถานการณ์ภายนอกยังค่อนข้างสงบ


แม้นิกายเงาจะอยู่ใกล้ๆ แม้วังสวรรค์และถ้ำสวรรค์นิรันดรจะต้องการจับตัวเขา แต่ตราบเท่าที่เขาสามารถฉกฉวยผลประโยชน์จากอาณาจักรแห่งความฝัน รากฐานของเขาจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว


ด้วยเกราะหวนคืน ความมั่นใจของเขาเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก


สามวันต่อมา การดัดแปลงท่าไม้ตายก็ยังไม่เสร็จสิ้น มันเหลืออีกสามสิบส่วน แต่ในเวลานี้วูหยงกลับเรียกวูอี้ไห่เข้าพบ


ในห้องโถง สองพี่น้องพูดคุยกัน วูหยงบอกฟางหยวนว่า หากเขาไม่พอใจวิญญาณอมตะความคิดวัชระ เขาสามารถเปลี่ยนวิญญาณอมตะระดับหกที่อยู่ในคลังสมบัติของตระกูล


เหตุผลคือหลังจากฟางหยวนได้รับวิญญาณอมตะความคิดวัชระ เขาไม่ได้เคลื่อนไหว วูหยงคิดว่าวูอี้ไห่เป็นผู้บ่มเพาะสันโดษและไม่รู้วิธีการของฝ่ายธรรมะ ดังนั้นเขาอาจคิดว่ามันเป็นของขวัญจากวูอวี้ไห่จริงๆ


แต่มันไม่ใช่


วูหยงเรียกฟางหยวนเข้าพบและบอกเป็นนัยว่าวิญญาณอมตะดวงนี้เป็นของขวัญจากพี่ชายผู้นี้ เขายังใช้ข้ออ้างเรื่องการเปลี่ยนวิญญาณอมตะเพื่อแสดงความปรารถนาดีต่อฟางหยวนอีกด้วย


วูหยงไม่รู้ว่าฟางหยวนเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด เขาเพียงแสร้งเป็นไม่รู้เท่านั้น


‘ดูเหมือนตระกูลวูกำลังมีปัญหา พวกเขากำลังขาดกำลังคน ดังนั้นวูหยงจึงต้องการใช้ประโยชน์จากข้า’ ฟางหยวนเข้าใจเจตนาของวูหยงทันที


ไม่นานมานี้กองกำลังใหญ่ร่วมมือกันกดดันตระกูลวู วูหยงต้องจัดการปัญหามากมาย


ที่อาณาจักรแห่งความฝัน ตระกูลปาเริ่มสร้างปัญหาให้กับตระกูลวูเช่นกัน


เดิมทีวูหยงต้องการส่งฟางหยวนไปที่นั่น แต่ตระกูลปากำลังสร้างปัญหาขณะที่วูหยงไม่ต้องการเสี่ยงเปลี่ยนคนดูแลของตระกูลวูในเวลานี้ ดังนั้นแผนการส่งฟางหยวนกลับไปที่ค่ายกลวิญญาณจึงหยุดชะงัก


“ขอบคุณสำหรับความห่วงใย ท่านพี่ ข้าขอดูสมบัติในคลังก่อนได้หรือไม่?” แม้ฟางหยวนจะสร้างท่าไม้ตายใหม่ที่ใช้วิญญาณอมตะความคิดวัชระเป็นแกนกลางสำเร็จแล้ว แต่เขายังอยากเห็นวิญญาณอมตะในคลังสมบัติของตระกูลวู


ในฐานะกองกำลังอันดับหนึ่งของภาคใต้ สมบัติในคลังของพวกเขาย่อมสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับฟางหยวน


มีวิญญาณอมตะสองสามดวงในคลังสมบัติที่เหมาะสมกับเขา แต่ตอนนี้ฟางหยวนมีวิญญาณอมตะอยู่มากเกินไป ครั้งนี้เขาเพียงต้องการสำรวจรากฐานของตระกูลวูเท่านั้น


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1306 ขีดจำกัดชื่อเสียง


แปลโดย iPAT 


ในคลังสมบัติของตระกูลวูมีวิญญาณอมตะดวงหนึ่งเรียกว่าขีดจำกัดชื่อเสียง มันเป็นวิญญาณอมตะระดับเจ็ดบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่หาได้ยาก ฟางหยวนสนใจมันมาก


หลังจากทั้งหมดทักษะบนเส้นทางแห่งข้อมูลของเขาอ่อนด้อยมาก เขาต้องการพัฒนาความสามารถในด้านนี้


วิญญาณอมตะขีดจำกัดชื่อเสียงมีพลังอำนาจที่น่าอัศจรรย์


หลังจากใช้งานมัน มันจะกลายเป็นเชือกที่ผูกมัดสัตว์อสูรเดียวดายหรือสัตว์อสูรบรรพกาล


แม้มันจะเป็นวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งข้อมูล แต่มันมีความสามารถบนเส้นทางแห่งทาส


มันพิเศษและมีเอกลักษณ์


สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของฟางหยวนก็คือประสิทธิภาพของวิญญาณอมตะดวงนี้จะแตกต่างกันไปตามชื่อเสียงของผู้ใช้งาน


มันเหมาะสมกับเขาเป็นอย่างมาก


ไม่ว่าจะเป็นฟางหยวนหรือหลิวกวนซื่อ ทั้งสองต่างเป็นตัวละครที่สามารถสั่นคลอนทั้งห้าภูมิภาค พวกเขามีชื่อเสียงแพร่กระจายไปทุกหนทุกแห่ง หากถามว่าผู้ใดมีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดของโลกผู้อมตะในปัจจุบัน? คำตอบก็คือฟางหยวน!


‘แต่…’


‘ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งข้อมูลของข้าอยู่ในระดับทั่วไป แม้ข้าจะได้รับวิญญาณอมตะดวงนี้ แล้วมันจะมีประโยชน์กับข้ามากน้อยเพียงใด?’


‘การใช้สัตว์อสูรหรือพืชอสูรเป็นวิธีบนเส้นทางแห่งทาส มันไม่มีประโยชน์กับข้า เว้นเพียงมันจะทำให้ข้าสามารถสะกดข่มสัตว์อสูรแรกกำเนิด’


‘แต่วิญญาณอมตะขีดจำกัดชื่อเสียงเป็นเพียงวิญญาณระดับเจ็ด แล้วมันจะช่วยข้าสะกดข่มสัตว์อสูรแรกกำเนิดได้อย่างไร? ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือใช้มันเป็นแกนกลางของท่าไม้ตายอมตะ’


ฟางหยวนคิดและไม่ได้แลกเปลี่ยนมัน เขายังเก็บวิญญาณอมตะความคิดวัชระเอาไว้


ตัวเลือกนี้ทำให้วูหยงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย


“ข้าพึ่งได้รับกำไรจากทะเลตะวันออก จากนี้ไปข้าจะใช้การแปลงร่างเป็นเต่าพยากรณ์บนเส้นทางแห่งปัญญาเป็นหลัก” ฟางหยวนอธิบาย


นี่เป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการใช้ท่าไม้ตายอมตะเต่าพยากรณ์ในอนาคตของเขา


วูหยงพยักหน้า “ข้าเรียกเจ้ามาเพราะมีเรื่องอื่นเพิ่มเติม”


ฟางหยวนถามอย่างสงบ “เชิญกล่าว”


วูหยงเผยรอยยิ้มขมขื่น “แหล่งทรัพยากรที่สำคัญของตระกูล ยอดเขาเยือกแข็ง กำลังตกเป็นเป้าหมายของตระกูลเซี่ย มีเหตุผลทางประวัติศาสตร์ที่เราต้องรักษาเอาไว้ ข้อมูลทั้งหมดอยู่ในวิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งข้อมูลดวงนี้แล้ว น้องชาย ข้าหวังว่าเจ้าจะช่วยปกป้องยอดเขาเยือกแข็งให้กับตระกูลของเรา”


“ข้ายินดีแก้ปัญหานี้ให้กับท่านพี่” ฟางหยวนตกลงก่อนจะรับวิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งข้อมูลและตรวจสอบมัน


ทัศนคติของฟางหยวนทำให้วูหยงพอใจมาก


ฟางหยวนตรวจสอบข้อมูลและเข้าใจรายละเอียด


หลังจากเยี่ยนฮวงเอาชนะวูอวี้ป๋อและได้รับผลประโยชน์ครั้งใหญ่จากตระกูลเซี่ย กองกำลังอื่นๆเริ่มเลียนแบบการกระทำของตระกูลเซี่ยและสร้างปัญหาให้กับตระกูลวู


ขณะที่ตระกูลเซี่ยยังไม่หยุดสร้างปัญหา ครั้งนี้พวกเขาเล็งเป้าไปที่ยอดเขาเยือกแข็ง เดิมทียอดเขาลูกนี้เป็นของผู้บ่มเพาะสันโดษ แต่เขาร้องขอการคุ้มครองจากตระกูลวู หลังจากเจรจาต่อรอง ผู้บ่มเพาะสันโดษต้องส่งมอบสถานที่แห่งนี้ให้กับตระกูลวูเป็นเวลาหลายร้อยปี


เมื่อเวลาผ่านไป ผู้บ่มเพาะสันโดษผู้นี้เสียชีวิตจากภัยพิบัติ ยอดเขาเยือกแข็งจึงตกเป็นของตระกูลวูอย่างเป็นทางการและกลายเป็นแหล่งทรัพยากรที่สำคัญของตระกูลวู


อย่างไรก็ตามตอนนี้ตระกูลเซี่ยกลับบอกว่าพวกเขาพบลูกหลานของผู้บ่มเพาะสันโดษผู้นั้น


ทายาทของผู้บ่มเพาะสันโดษต้องการให้ตระกูลวูคืนยอดเขาเยือกแข็ง นี่เป็นข้ออ้างที่สมเหตุสมผลและมีหลักฐานที่ไม่สามารถปฏิเสธ


พวกเขาพยายามนำยอดเขาเยือกแข็งกลับคืนและสร้างความโกลาหลขึ้น


‘ทายาทของผู้บ่มเพาะสันโดษเป็นเพียงผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์แต่เขากลับกล้าท้าทายตระกูลวู’


‘ตระกูลเซี่ยมีผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาอยู่มากมาย พวกเขาเก่งเรื่องการวางแผน’


‘แต่คราวนี้ข้าต้องปกป้องยอดเขาเยือกแข็ง นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับข้าที่จะแสดงความสามารถ วูหยงไม่ต้องการให้ข้าไปยังค่ายกลวิญญาณเพราะเขาเกรงว่าข้าจะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์’


ฟางหยวนได้รับภารกิจแต่ยังไม่รีบร้อนออกเดินทาง


เขารู้ว่าแม้เขาจะแข็งแกร่งแต่วิธีการของเขาไม่สามารถเปิดเผย ท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นเต่าพยากรณ์มีพลังป้องกันที่ดีแต่มันยังขาดวิธีการโจมตี โชคดีที่เขาพึ่งได้รับวิญญาณอมตะความคิดวัชระ แต่เขายังต้องคิดค้นท่าไม้ตายใหม่


ด้วยเหตุนี้ฟางหยวนจึงอยู่ในบ้านของเขาและพัฒนาท่าไม้ตายอมตะเป็นเวลานับสิบวัน


นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่สงบสุข


ตระกูลเซี่ยเห็นตระกูลวูไม่เคลื่อนไหวและกระตุ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก


ตระกูลวูเผชิญหน้ากับแรงกดดันครั้งใหญ่ วูหยงกระตุ้นฟางหยวนแต่เขายังนิ่งเฉย


“ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน”


“หากเราไม่ปรากฏตัว ตระกูลเซี่ยก็ไม่สามารถยึดยอดเขาเยือกแข็งด้วยกำลัง”


“ตระกูลเซี่ยทำให้เกิดความโกลาหล? ไม่มีปัญหา ปล่อยให้พวกเขาจัดฉากไป พวกเราไม่จำเป็นต้องหวั่นไหว”


“จงมั่นคง เมื่อข้าเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษอยู่ในทะเลตะวันออก ข้าได้เรียนรู้ว่านี่คือหมายความของชีวิต”


“ไม่รีบ ช้าลงผลลัพธ์จะดีขึ้น”


ฟางหยวนให้เหตุผลมากมาย


ท้ายที่สุดแม้แต่วูหยงยังวิตกกังวล วูอี้ไห่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันมากนักแต่วูหยงแตกต่างออกไป


“เรื่องของตระกูลเป็นเรื่องของข้า”


“ในเมื่อเรื่องนี้ถูกมอบหมายให้ข้าแล้ว ข้าจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง ท่านพี่ ข้าจะตอบสนองความคาดหวังของท่าน”


ฟางหยวนยังทำสิ่งต่างๆในแบบฉบับของเขา


วูหยงไม่มีทางเลือกเพราะเขาไม่มีผู้อมตะคนอื่นที่สามารถส่งออกไป


เพียงเมื่อฟางหยวนประสบความสำเร็จในการอนุมานและทดลองท่าไม้ตายใหม่ เขาจึงเริ่มออกเดินทาง


วูหยงถอนหายใจด้วยความโล่งอก


ตระกูลเซี่ยติดตามความเคลื่อนไหวของตระกูลวูตลอดเวลา เมื่อฟางหยวนออกเดินทาง พวกเขาก็ได้รับข่าวนี้ทันที


บนยอดเขาเยือกแข็ง


“ตระกูลวูส่งวูอี้ไห่ออกมา” ผู้อมตะระดับหกเซี่ยจ้าวโม่กล่าว


“ยอดเขาเยือกแข็งมีคุณค่าเทียบเท่าหุบเขาจันทรา ตระกูลวูไม่ได้ส่งวูอวี้ป๋อหรือวูเจิ้นมาที่นี่งั้นหรือ? นี่เป็นการเคลื่อนไหวที่แย่มาก” ผู้อมตะระดับเจ็ดเซี่ยเฟยกุ้ยรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ


เซี่ยจ้าวโม่กล่าว “ตระกูลวูไม่สามารถส่งผู้ใดออกมาได้อีก วูอวี้ป๋อเป็นคนหยิ่งยโส หลังจากพ่ายแพ้ต่อเยี่ยนฮวง เขาปิดประตูฝึกตน สำหรับวูเจิ้น เขายุ่งอยู่กับการปกป้องยอดเขาวิหคเพลิง แล้วเขาจะจากมาได้อย่างไร?”


“ฮ่าฮ่าฮ่า วูหยงไม่มีทางเลือกนอกจากส่งวูอี้ไห่ออกมา พลังการต่อสู้ของคนผู้นี้เป็นอย่างไร?” เซี่ยเฟยกุ้ยถาม


เซี่ยจ้าวโม่ตอบ “พลังการต่อสู้ของเขายังไม่แน่ชัด เขาเคยเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษอยู่ในทะเลตะวันออก มีข้อมูลน้อยเกินไป แต่เขาสามารถหลบหนีจากการคุกคามและกลับถึงตระกูลวูได้อย่างปลอดภัย เขามีความสามารถในการป้องกันตัว ก่อนหน้านี้เขาช่วยวูอวี้ป๋อด้วยการเปลี่ยนร่างเป็นเต่าพยากรณ์ ด้วยวิธีนี้เขาจึงสามารถรับมือท่าไม้ตายอมตะความคิดกระจัดกระจายของท่านเซี่ยชิงกัง”


เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ เขาก็เผยรอยยิ้มขมขื่น “เต่าพยากรณ์มีความสามารถในการป้องกันวิธีบนเส้นทางแห่งปัญญา สำหรับเขา ข้าอาจไร้ประโยชน์ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับท่านแล้ว”


เซี่ยจ้าวโม่เป็นผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งปัญญา ขณะที่เซี่ยเฟยกุ้ยเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดบนเส้นทางแห่งแสง


คนหลังหัวเราะ “วูอี้ไห่นิ่งเฉยมานาน เขาไม่มีความมั่นใจ อย่ากังวล ข้าจะกำหราบคนผู้นี้ หลังจากที่เรายึดครองยอดเขาเยือกแข็ง ตระกูลเซี่ยจะสามารถขยายอิทธิพล นี่ถือเป็นผลงานชิ้นใหญ่!”


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1307 ชาสี่ฤดู


แปลโดย iPAT 


ท้องฟ้ามืดครึ้ม ละอองฝนโปรยปราย


ฟางหยวนบินผ่านท้องฟ้าท่ามกลางกลุ่มเมฆหมอก


“ข้ามาแล้ว” เขาพบเป้าหมาย


ท่ามกลางภูเขาสีเขียว ยอดเขาเยือกแข็งมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น มันเป็นสีขาวและแตกต่างจากภูเขาอื่นๆอย่างสิ้นเชิง


ที่ยอดเขาเยือกแข็งมีคฤหาสน์วิญญาณระดับมนุษย์ตั้งอยู่ ผู้อมตะเซี่ยจ้าวโม่และเซี่ยเฟยกุ้ยตระหนักถึงการมาถึงของฟางหยวนอย่างรวดเร็ว


ฟางหยวนมาที่นี่เพื่อเจรจา เขาไม่ได้ปิดบังการปรากฏตัวของตนเอง


“ในที่สุดเขาก็มาถึง วูอี้ไห่ผู้นี้ช่างน่าอัศจรรย์นัก เขาใช้เวลาครึ่งเดือนในการเดินทางที่ควรใช้เวลาเพียงสามวัน” เซี่ยเฟยกุ้ยขมวดคิ้ว


“ลืมมันไปซะ เขามาแล้ว ไปกันเถอะ” เซี่ยจ้าวโม่ยิ้ม


ทั้งสองฝ่ายพบกันบนท้องฟ้าด้วยรอยยิ้ม


ผู้อมตะตระกูลเซี่ยประเมินวูอี้ไห่และคิดว่า ‘เขาดูคล้ายวูตู๋ซิ่วจริงๆ’


ฟางหยวนประเมินฝ่ายตรงข้ามเช่นกัน เซี่ยเฟยกุ้ยเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด เขาเป็นผู้รับผิดชอบภารกิจนี้


ตามข้อมูล เซี่ยเฟยกุ้ยเป็นคนใจร้อนแต่เขามีพลังการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม สำหรับเซี่ยจ้าวโม่ เขาอาวุโสน้อยกว่าแต่เขาเป็นคนรอบคอบและจะคิดทบทวนซ้ำแล้วซ้ำอีก


ชัดเจนว่าเซี่ยเฟยกุ้ยคือเครื่องจักรสังหารที่เซี่ยจ้าวโม่พยายามใช้งาน


นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองฝ่ายพบกัน ดังนั้นผู้อมตะตระกูลเซี่ยจึงนำฟางหยวนไปยังยอดเขาเยือกแข็ง


“เชิญดื่มชาก่อน” สองผู้อมตะตระกูลเซี่ยทำตัวราวกับเป็นเจ้าของสถานที่ พวกเขากำลังประกาศว่าการแข่งขันเริ่มขึ้นแล้ว แต่ฟางหยวนทำตัวราวกับไม่รู้สิ่งใด


เขายิ้มและดื่มชา


“ชาไม่เลว” เขาชม


เซี่ยจ้าวโม่ยิ้ม “นี่คือชาสี่ฤดูของตระกูลเซี่ย ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเราผลิตมันขึ้นมาด้วยตนเอง เพียงจิบเดียว ท่านจะได้ลิ้มรสชาติที่แตกต่างกันสี่รสชาติ มันทำให้ผู้คนรู้สึกถึงฤดูกาลทั้งสี่ ดังนั้นมันจึงถูกเรียกว่าชาสี่ฤดู”


ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของตระกูลเซี่ยบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งกาลเวลา ชาสี่ฤดูที่นางผลิตขึ้นแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จที่น่าทึ่งของนางบนเส้นทางแห่งกาลเวลา


ผู้อมตะตระกูลเซี่ยใช้ชานี้เพื่อกดดัน แต่หลังจากดื่มชา ฟางหยวนยังเผยรอยยิ้มกว้าง


“นี่เป็นชาที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ข้าสงสัยว่าข้าสามารถเติมชาอีกได้หรือไม่? ข้าขอเพิ่มอีกสักสองสามกา” ฟางหยวนกล่าวด้วยรอยยิ้มขณะที่ผู้อมตะตระกูลเซี่ยมองหน้ากัน


เซี่ยจ้าวโม่คิด ‘วูอี้ไห่ผู้นี้ช่างโลภมากนัก อย่างไรก็ตามแม้เราจะเป็นศัตรูแต่การแสดงออกที่สง่างามของฝ่ายธรรมะก็เป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้การเมืองยังเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตอนนี้พวกเราเป็นศัตรูกันแต่ผู้ใดจะรู้ว่าในอนาคตพวกเราอาจต้องร่วมมือกับตระกูลวู’


เซี่ยจ้าวโม่ตัดสินใจและกำลังจะกล่าวแต่เซี่ยเฟยกุ้ยกลับชิงตัดหน้า “นี่ไม่ใช่สิ่งใด พวกเรามีชาสี่ฤดูอยู่มากมาย หากเจ้าต้องการ เจ้าจะได้รับมัน”


หลังกล่าวจบคำ เขานำใบชาสี่ฤดูออกมาทันที


“เช่นนั้นข้าก็จะรับไว้” ฟางหยวนหัวเราะอย่างเต็มที่


เซี่ยเฟยกุ้ยกระตุ้น “มาพูดถึงยอดเขาเยือกแข็งกันเถอะ”


ฟางหยวนยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างช้าๆก่อนจะวางลงและกล่าว “เชิญกล่าว”


เซี่ยเฟยกุ้ยเร่งกล่าวอย่างรวดเร็ว “เรื่องนี้ต้องใช้เวลานานในการอธิบาย พวกเรารู้ต้นกำเนิดของมันอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ เสี่ยวจาง ออกมา”


เป็นเพียงเวลานี้ที่ผู้ใช้วิญญาณระดับห้าเดินออกมาจากประตูด้านใน


“ทายาทจางซานเฟิง จางไคซุ้ย คารวะผู้อมตะทั้งสาม” ผู้ใช้วิญญาณชราเดินออกมาทักทาย


“เสี่ยวจางเป็นทายาทผู้สืบสายเลือดที่แท้จริงของจางซานเฟิง มานี่ วูอี้ไห่ ทดสอบเร็วเข้า” เซี่ยเฟยกุ้ยลุกขึ้นและลากจางไคซุ้ยไปหาฟางหยวนด้วยท่าทางรีบร้อน


จางซานเฟิงไม่ใช่ชื่อจริงของผู้บ่มเพาะสันโดษเจ้าของยอดเขาเยือกแข็ง มันเป็นเพียงชื่อที่คนทั่วไปรู้จักเท่านั้น


ชื่อจริงของเขาไม่เป็นที่รู้จัก เขาเปิดเผยเพียงแซ่ของตนเอง ดังนั้นผู้คนจึงเรียกเขาว่าจางซานเฟิง


กระทั่งบุตรหลานของเขาก็ไม่เคยรู้จักชื่อจริงของเขา


ฟางหยวนรู้เรื่องนี้จากข้อมูลของตระกูลวู


เป็นเพียงเวลานี้ที่ฟางหยวนโบกมือด้วยความสับสน “เดี๋ยว! ผู้ใช้วิญญาณผู้นี้คือผู้ใด?|


เซี่ยเฟยกุ้ยตะลึง


จางไคซุ้ยกำลังจะกล่าวแต่เซี่ยเฟยกุ้ยชิงตัดบท “เขาคือจางไคซุ้ย เขาแนะนำตัวเองไปแล้ว เราทุกคนรู้ดี”


“ข้ารู้ว่าเขาชื่อจางไคซุ้ย” ฟางหยวนพยักหน้า


แต่เขาหยุดและดื่มชาก่อนกล่าวต่อ “แต่ผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์ผู้นี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับยอดเขาเยือกแข็ง?”


“มันเป็นเช่นนี้ บรรพบุรุษของเขา จางซานเฟิง ครั้งหนึ่ง…” เซี่ยเฟยกุ้ยเร่งอธิบาย


“เดี๋ยว!” ฟางหยวยหยุดเขา “ผู้ใดคือจางซานเฟิง?”


เซี่ยเฟยกุ้ยตะลึง “วูอี้ไห่ เจ้าไม่รู้ว่าจางซานเฟิงคือผู้ใดงั้นหรือ?”


ฟางหยวนเผยรอยยิ้มเขินอาย “ตระกูลของข้าให้ข้ามาปกป้องยอดเขาเยือกแข็ง แต่ข้าเดินทางมาอย่างเร่งรีบ ข้าไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ โปรดอย่าขุ่นเคือง”


เซี่ยเฟยกุ้ยคิด ‘เจ้าใช้เวลาครึ่งเดือนเพื่อเดินทางมาที่นี่ นี่คือสิ่งที่เจ้าเรียกว่าเร่งรีบงั้นหรือ?’


เขาคิดเช่นนี้แต่เขากล่าวอีกอย่าง “เช่นนั้นข้าจะบอกเหตุผลให้เจ้าฟัง”


เซี่ยเฟยกุ้ยเร่งอธิบายเหตุผลทางประวัติศาสตร์ในพริบตา


ฟางหยวนดื่มชาและพยักหน้า


เซี่ยเฟยกุ้ยกล่าว “ตอนนี้เจ้าเข้าใจหรือยัง?”


ฟางหยวนวางถ้วยชาลง เขายืนขึ้นและป้องหมัดไปที่เซี่ยเฟยกุ้ย


เซี่ยเฟยกุ้ยไม่รู้ว่าเหตุใดฟางหยวนถึงทำเช่นนี้ แต่พวกเขาเป็นฝ่ายธรรมะ ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นพวกเขาก็ต้องแสดงออกด้วยความสุภาพ ในสถานการณ์นี้เขาต้องป้องมือตอบ


ต่อมาเขาเห็นฟางหยวนยิ้มอีกครั้งด้วยความเขินอาย


ฟางหยวนกล่าว “ขอบคุณที่บอกข้า แต่ท่านอธิบายเร็วเกินไป ข้าเข้าใจเรื่องราวเพียงคร่าวๆ ข้ายังไม่เข้าใจทั้งหมด ท่านช่วยบอกข้าอีกครั้งได้หรือไม่?”


“อีกครั้ง?” เซี่ยจ้าวโม่ขมวดคิ้ว


เซี่ยเฟยกุ้ยไม่ได้อธิบายซ้ำ เขากล่าว “ส่วนใดที่เจ้าไม่แน่ใจ ข้าสามารถอธิบายให้เจ้าฟัง”


น้ำเสียงของเขาชัดเจนว่าไม่มีความสุข


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1308 หน้าด้าน


แปลโดย iPAT 


ฟางหยวนราวกับไม่สังเกตเห็น เขายังยิ้ม “วรรคแรก ข้าได้ยินไม่ชัดเจน”


เซี่ยเฟยกุ้ยอธิบาย


ฟางหยวนพยักหน้า “และวรรคที่สอง…”


เซี่ยเฟยกุ้ยขมวดคิ้ว


ฟางหยวนกล่าวต่อ “ข้าได้ยินไม่ชัดเช่นกัน”


เซี่ยเฟยกุ้ยกล่าวซ้ำด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “มีจุดใดอีกหรือไม่?”


“วรรคที่สาม…” ฟางหยวนกล่าว


ดวงตาของเซี่ยเฟยกุ้ยแทบหลุดออกมาจากเบ้า เขากล่าว “ขอโทษด้วย แต่เจ้าไม่ได้ยินสามวรรคแรกใช่หรือไม่?”


“ท่านเข้าใจผิดแล้ว” ฟางหยวนโบกมือ “วรรคที่สาม…”


“ข้าได้ยินอย่างชัดเจน”


การแสดงออกของเซี่ยจ้าวโม่กลายเป็นมืดครึ้ม


คิ้วของเซี่ยเฟยกุ้ยกระตุก ความโกรธปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “แล้วเจ้าต้องการสิ่งใดอีก?”


ฟางหยวนกล่าว “แท้จริงแล้ววรรคที่สี่…”


เซี่ยเฟยกุ้ยโบกมือ “ข้าจะพูดอีกครั้ง ตั้งใจฟังให้ดี”


เขากล่าวมันอีกครั้ง คราวนี้เขาพูดช้าๆทีละคำอย่างชัดเจน


ฟางหยวนยืนขึ้นและป้องหมัดอีกครั้ง


เซี่ยเฟยกุ้ยมึนงง เขารู้สึกสังหรณ์ร้ายแต่เขายังต้องป้องมือตอบ


เขากล่าวอย่างใจเย็น “ตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้วใช่หรือไม่?”


“ชัดเจน ขอบคุณที่อธิบาย ตอนนี้ทุกอย่างดูมีเหตุมีผล โอ้ นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น” ฟางหยวนตบหน้าผากของตนเองก่อนจะนั่งลง


“ดังนั้นตระกูลของเจ้าต้องคืนยอดเขาเยือกแข็ง มันเป็นเหตุผลที่ต้องทำ ตระกูลเซี่ยของเราเป็นผู้ผดุงความยุติธรรม จางไคซุ้ยเป็นทายาทของจางซานเฟิงอย่างไม่ต้องสงสัย โปรดตรวจสอบ” เซี่ยเฟยกุ้ยร้องขออีกครั้ง


แต่ฟางหยวนเพียงชำเลืองมองจางไคซุ้ยก่อนจะเผยรอยยิ้มและโบกมือ “ไม่รีบ ไม่รีบ”


“อันใด? ตอนนี้ยังไม่เข้าใจอีกงั้นหรือ?” การแสดงออกของเซี่ยเฟยกุ้ยกลายเป็นเคร่งขรึม เขาถามด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว


“ข้ารบกวนให้ท่านอธิบาย แต่สถานการณ์จะเป็นเช่นนี้จริงหรือไม่ข้ายังไม่สามารถยืนยัน” ฟางหยวนกล่าว


เซี่ยเฟยกุ้ยหัวเราะด้วยความโกรธ “ข้ากล่าวเรื่องจริง เจ้าสามารถตรวจสอบ!”


“ฮ่าฮ่าฮ่า” ฟางหยวนหัวเราะและปรบมือ “ท่านเป็นคนตรงไปตรงมา เช่นนั้นข้าก็จะขอคำยืนยืนจากตระกูลของข้า”


หลังกล่าวจบคำ เขาก็ปิดเปลือกตาลงราวกับเขากำลังเพ่งจิตเข้าไปในมิติช่องว่างของตนเพื่อใช้วิธีบนเส้นทางแห่งข้อมูล


หลังจากเนินนาน ฟางหยวนเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง


เซี่ยเฟยกุ้ยกระตุ้น “วูอี้ไห่ เจ้าตรวจสอบเรียบร้อยแล้วหรือยัง?”


ฟางหยวนยิ้มด้วยความเขินอาย “พี่ชายของข้ากำลังยุ่ง โปรดรอสักครู่”


เมื่อมีการกล่าวถึงผู้อมตะระดับแปด เซี่ยเฟยกุ้ยจึงไม่สามารถกล่าวสิ่งใด เป็นเซี่ยจ้าวโม่ที่แทรกแซง “ท่านวูหยงยุ่งมาก นั่นเป็นเรื่องปกติ แต่ท่านวูอี้ไห่ ท่านสามารถขอให้ผู้อมตะคนอื่นๆของตระกูลวูตรวจสอบ”


ฟางหยวนหัวเราะและยกนิ้วให้เซี่ยจ้าวโม่ “คู่ควรกับการเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาจริงๆ เป็นความคิดที่ดี!”


การสรรเสริญนี้ทำให้การแสดงออกของเซี่ยจ้าวโม่กลายเป็นแข็งค้าง


หลังจากนั้นฟางหยวนก็เปิดปากกล่าวอีกครั้ง “แต่ข้าไม่สนิทกับผู้อมตะคนอื่นๆของตระกูล ท่านมีคำแนะนำอื่นอีกหรือไม่?”


“แนะนำน้องสาวเจ้าสิ!” เซี่ยเฟยกุ้ยตะโกนออกมาอย่างไม่สามารถอดทน


“น้องสาวของข้างั้นหรือ? ข้ามีพี่ชายเพียงคนเดียว ไม่มีน้องสาว ท่านคงจำผิดแล้ว” ฟางหยวนยิ้ม


“…” เซี่ยเฟยกุ้ยรู้สึกพูดไม่ออก


เขามองเซี่ยจ้าวโม่และลอบสื่อสารกันอย่างลับๆ พวกเขาบอกได้ว่าฟางหยวนกำลังทำให้พวกเขาเสียเวลา


‘ผู้ใดจะคิดว่าตระกูลวูจะส่งคนเช่นนี้ออกมา! พวกเขาช่างไร้ยางอายนัก!’ เซี่ยเฟยกุ้ยเต็มไปด้วยความโกรธ


พวกเขาต้องการเจรจาอย่างถูกต้องแต่ฟางหยวนกลับปฏิเสธ


และเนื่องจากพวกเขาเป็นตัวละครฝ่ายธรรมะ เซี่ยเฟยกุ้ยจึงไม่สามารถใช้กำลังโดยไร้เหตุผล


เมื่อเห็นรอยยิ้มของฟางหยวน เขาอยากจะส่งหมัดออกไปและชกฟางหยวนให้ล้มลงไปบนพื้น


“อย่าโกรธ ท่านจะตกหลุมพรางของเขา คนผู้นี้มีประสบการณ์สูง เขาจงใจทำให้พวกเราโกรธ ดังนั้นพวกเราจะเปิดช่องว่างไม่ได้” เซี่ยจ้าวโม่ลอบส่งเสียงเตือน


เซี่ยเฟยกุ้ยทำได้เพียงสูดหายใจลึก


ฟางหยวนมองเซี่ยเฟยกุ้ยและกล่าวอย่างจริงจัง “ข้ามีน้องสาวจริงๆงั้นหรือ?”


เซี่ยเฟยกุ้ย “…”


เขาสูดหายใจอีกสองสามครั้งก่อนกล่าว “ไม่ มันเป็นลิ้นของข้าที่ลื่นไหลเกินไป โปรดยกโทษให้ข้าด้วย”


“โอ้ เป็นเช่นนั้น” ฟางหยวนพยักหน้าด้วยความห่วงใย “ข้าเห็นลิ้นของท่านแห้ง หน้าอกของท่านเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนท่านจะมีไข้ ท่านต้องดื่มชา มิฉะนั้นท่านอาจล้มป่วย แท้จริงแล้วชาสี่ฤดูเลิศรสมาก ท่านควรจิบชาสักเล็กน้อย”


เซี่ยจ้าวโม่ “…”


เซี่ยเฟยกุ้ยกรีดร้อง “ดื่มอันใด!? เรากำลังทำธุระสำคัญ!”


ฟางหยวนแสดงออกด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “สหาย นั่นไม่ใช่ทัศนคติที่ถูกต้อง เรื่องสำคัญอันใด? สุขภาพของท่านไม่ใช่เรื่องสำคัญงั้นหรือ? ยอดเขาเยือกแข็งเป็นเพียงแหล่งทรัพยากร มันเป็นเพียงทรัพยากร หากล้มป่วยเพราะทรัพยากรเหล่านี้ มันไม่ต่างจากการทำร้ายตนเอง”


เขากล่าวอย่างจริงใจแต่มันเหมือนการเติมเชื้อเพลิงลงในกองไฟ เซี่ยเฟยกุ้ยทุบโต๊ะด้วยความโกรธ


“วูอี้ไห่!” เขากรีดร้อง “อย่าคิดว่าเจ้าจะสามารถใช้วิธีนี้เพื่อเก็บยอดเขาเยือกแข็งเอาไว้กับตระกูลของเจ้าเอง!”


การแสดงออกของฟางหยวนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เขากล่าวอย่างจริงใจ “ท่านพยายามกล่าวสิ่งใด? ข้าไม่เข้าใจ เราต้องปฏิบัติตามกฎของยอดเขาเยือกแข็ง นี่คือทรัพย์สินของจางซานเฟิง หากจางไคซุ้ยผู้นี้เป็นทายาทที่แท้จริงของเขา พวกเราจะต้องส่งคืนอย่างแน่นอน พวกเราตระกูลวูเป็นคนตรงไปตรงมาและยืดมั่นในคุณธรรม เราจะไม่ทำลายกฎของฝ่ายธรรมะเพียงเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง!”


“เจ้าเข้าใจจริงๆ” เซี่ยจ้าวโม่กล่าวด้วยรอยยิ้มที่มีความหมาย


เซี่ยเฟยกุ้ยขมวดคิ้ว เขาหยุดตะโกนและกล่าว “ถูกต้อง ทดสอบสายเลือดของเขาเร็วเข้า จางไคซุ้ยเป็นทายาทของจางซานเฟิงจริงๆ”


“ไม่รีบ ไม่รีบ” ฟางหยวนยิ้มและดื่มชาต่อ “ให้ข้ายืนยันจากตระกูลของข้าเป็นอันดับแรก ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อท่าน แต่นี่เป็นเรื่องสำคัญ ข้าไม่กล้าตัดสินใจโดยประมาทเลินเล่อ”


“เช่นนั้นก็รีบตรวจสอบ!” เซี่ยเฟยกุ้ยตะโกนอีกครั้ง


“แต่ท่านพี่วูหยงไม่ตอบ” ฟางหยวนแสดงออกด้วยความกังวล


“เช่นนั้นก็ถามคนอื่น!” เซี่ยเฟยกุ้ยตะโกน


ฟางหยวนตบขาของตนเอง “ถูกต้อง แต่ข้าพึ่งกลับเข้าตระกูล ข้าไม่รู้จักผู้ใดเลย ข้าไม่รู้ว่าควรจะตรวจสอบเรื่องนี้กับผู้ใด ก่อนหน้านี้ข้าขอให้พวกท่านทั้งสองช่วยคิด แต่พวกท่านไม่ให้ความช่วยเหลือ ข้ารู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง”


สองผู้อมตะตระกูลเซี่ยมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง


หลังจากหาข้อแก้ตัวมาเป็นเวลานาน ตอนนี้มันกลายเป็นความผิดของตระกูลเซี่ยงั้นหรือ?


ผู้ใช้วิญญาณระดับห้าจางไคซุ้ยได้ยินบทสนทนาเหล่านี้และจ้องมองฟางหยวนด้วยดวงตาเบิกกว้าง


นี่คือ…ผู้อมตะงั้นหรือ?


ช่างหน้าด้านนัก!


ความประทับใจที่ดีของเขาที่มีต่อผู้อมตะพังทลายลงอย่างสมบูรณ์


“ลืมมันไปซะ ข้าบอกได้เลยว่าคนผู้นี้กำลังถ่วงเวลา!” เซี่ยจ้าวโม่ถ่ายทอดเสียง


“ถ่วงเวลาเพื่อสิ่งใด?” เซี่ยเฟยกุ้ยถาม


“เห็นได้ชัดว่าตระกูลวูไม่มีเหตุผลที่จะโต้แย้ง วูอี้ไห่พยายามถ่วงเวลาโดยใช้ข้อแก้ตัวทุกอย่าง เมื่อตระกูลวูไม่มีปัญหาเรื่องกำลังคนอีก พวกเขาจะสามารถจัดการทุกสิ่ง มันจะกลายเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเรา ยังไม่ต้องกล่าวถึงผู้อื่น หากวูเจิ้นเสร็จสิ้นภารกิจที่ภูเขาวิหคเพลิง เมื่อเขามาถึง สถานการณ์จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง” เซี่ยจ้าวโม่อธิบาย


“เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง แล้วพวกเราควรทำอย่างไร? ผู้อี้ไห่ผู้นี้กำลังถ่วงเวลา แต่คำกล่าวของเขาสมเหตุสมผล เราไม่มีทางโต้แย้งเขาและยังมีอีกหลายวิธีที่สามารถใช้ถ่วงเวลา” เซี่ยเฟยกุ้ยตระหนักถึงปัญหาร้ายแรง


“ข้ามีแผน” เซี่ยจ้าวโม่กล่าว


“แผนใด?” เซี่ยเฟยกุ้ยเร่งถาม


เซี่ยจ้าวโม่ให้คำตอบที่ทำให้เซี่ยเฟยกุ้ยมีความสุขมาก เขาหันหน้ากลับไปหาฟางหยวนและเร่งกล่าว “วูอี้ไห่ ข้าได้ยินมานานแล้วว่าเจ้าแข็งแกร่งมาก เจ้าคือศักดิ์ศรีของตระกูลวู ข้าในฐานะตัวแทนของตระกูลเซี่ยขอท้าประลองกับเจ้า!”


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1309 ท้าประลอง


แปลโดย iPAT 


ท้าประลอง?


การตัดสินด้วยการต่อสู้เป็นวิธีที่ดีกว่าการพูดคุย


แต่การต่อสู้ครั้งนี้แตกต่างจากการต่อสู้ของฝ่ายปีศาจ เมื่อสมาชิกบนเส้นทางสายปีศาจต่อสู้ มันคือการต่อสู้เพื่อความอยู่รอด สำหรับฝ่ายธรรมะ พวกเขาจะต่อสู้เพื่อตัดสินแพ้ชนะ เหตุใดต้องต่อสู้จนถึงความตาย? เพียงตัดสินแพ้ชนะก็เพียงพอแล้ว


นี่เป็นสาเหตุที่ฟางหยวนตั้งใจถ่วงเวลา เพื่อแก้ไขปัญหาของยอดเขาเยือกแข็ง ผู้อมตะตระกูลเซี่ยถูกบังคับให้ใช้วิธีนี้ในการตัดสิน


หากเป็นโลกมนุษย เมื่อการเจรจาล้มเหลว แต่ละประเทศจะส่งกองกำลังออกไป


มันคือสิ่งเดียวกัน


คำกล่าวของเซี่ยเฟยกุ้ยค่อนข้างน่าสนใจ เขาเป็นตัวแทนของตระกูลเซี่ยและยังกล่าวว่าวูอี้ไห่เป็นเกียรติของตระกูลวู ดังนั้นมันจึงถือเป็นการแข่งขันระหว่างสองตระกูล


ถ้อยคำเหล่านี้บังคับให้ฟางหยวนเข้าสู่ทางตัน หากเขาหลีกเลี่ยงการต่อสู้ มันจะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของตระกูลวู เขาจะถูกปฏิบัติเหมือนคนขี้ขลาด


แต่สองผู้อมตะตระกูลเซี่ยไม่รู้ว่าฟางหยวนไม่ใช่วูอี้ไห่ เขาไม่สนใจชื่อเสียงของตนเองหรือชื่อเสียงของตระกูล


อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาแสดงเป็นวูอี้ไห่ เขายังต้องการเข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝัน ดังนั้นเขาจึงต้องยอมรับคำท้าทายนี้


เขาคิดก่อนกล่าว “หากมันเป็นการท้าประลอง พวกเจ้ามีคนมากกว่า ข้าเป็นฝ่ายเสียเปรียบและจะพ่ายแพ้ในที่สุด”


การแสดงออกของเซี่ยเฟยกุ้ยเปลี่ยนไป


นี่เป็นคำกล่าวที่ชั่วร้าย


ในการประลอง หากฝ่ายหนึ่งได้รับชัยชนะด้วยการเอาเปรียบและไม่เป็นธรรม มันจะทำให้พวกเขาสูญเสียใบหน้า พวกเขาจะไม่สามารถเผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกไป


ในความเป็นจริงเซี่ยเฟยกุ้ยไม่มีความตั้งใจที่จะต่อสู้สองต่อหนึ่ง เขาเร่งกล่าว “อย่ากังวล ข้าจะสู้กับเจ้าเพียงผู้เดียว”


ฟางหยวนแสดงออกด้วยความไม่เต็มใจ เขากล่าว “เมื่อท่านต้องการประลอง ข้าก็ไม่สามารถปฏิเสธ แต่เมื่อมันเป็นการประลอง มันย่อมต้องมีเวลาที่จำกัด ถูกต้อง เราไม่สามารถต่อสู้ได้ตลอดไป”


“เจ้าคิดอย่างไร?” เซี่ยเฟยกุ้ยถาม


การประลองต้องมีกฎ มันแตกต่างจากการต่อสู้แห่งชีวิตและความตาย


ฟางหยวนกล่าว “ท่านโจมตีและข้าป้องกัน ตราบเท่าที่ท่านสามารถทำลายการป้องกันของข้าได้ภายในสิบกระบวนท่า ข้าจะเป็นฝ่ายแพ้”


เปลือกตาของเซี่ยเฟยกุ้ยกระตุก เขาตอบ “ตกลง”


เซี่ยจ้าวโม่ขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ แต่เนื่องจากเซี่ยเฟยกุ้ยตกลงไปแล้ว พวกเขาต้องประนีประนอมขณะที่เขายังมั่นใจในความสามารถของเซี่ยเฟยกุ้ย


ยอดเขาเยือกแข็งไม่ใช่สถานที่สำหรับการต่อสู้ การทำลายมันจะทำให้ภารกิจล้มเหลว


ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงบินไปยังยอดเขารกร้างแห่งหนึ่ง


ฟางหยวนยืนอยู่ตรงข้ามเซี่ยเฟยกุ้ย


“เริ่ม!” เซี่ยเฟยกุ้ยแทบรอไม่ไหว เขาต้องการมอบบทเรียนให้กับฟางหยวนอย่างรวดเร็วที่สุด


ท่ามกลางผู้อมตะระดับเจ็ดของภาคใต้ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียง ในตระกูลวู นอกจากวูหยง ผู้อมตะระดับเจ็ดที่แข็งแกร่งที่สุดคือวูอวี้ป๋อ ขณะที่วูอี้ป๋อเหนือกว่าเซี่ยเฟยกุ้ยเพียงเล็กน้อย ตอนนี้วูอวี้ป๋อปิดประตูฝึกตน แล้วเซี่ยเฟยกุ้ยจะต้องกลัวผู้ใด?


กล่าวได้ว่าการสนับสนุนเยี่ยนฮวงของตระกูลเซี่ยถือเป็นการเคลื่อนไหวที่ฉลาด


ในแง่ของพลังการต่อสู้ เยี่ยนฮวงไม่สามารถแข่งขันกับวูอวี้ป๋อ แต่ตระกูลเซี่ยสามารถทำลายท่าไม้ตายอมตะของวูอวี้ป๋อ นี่ทำให้วูอวี้ป๋อตกลงสู่กับดักและพ่ายแพ้ในที่สุด


“รอก่อน” ฟางหยวนกล่าว


เซี่ยเฟยกุ้ยพร้อมต่อสู้แต่คำกล่าวของฟางหยวนทำให้เขารู้สึกอึดอัด เขาตะโกน “วูอี้ไห่ เจ้าต้องการสิ่งใดอีก?”


“นี่คือการประลอง เราจะทำแบบลวกๆไม่ได้ ถูกต้องหรือไม่?” ฟางหยวนยิ้ม


เซี่ยเฟยกุ้ยคิด ‘ฮืม การมอบบทเรียนให้เจ้าคือสิ่งสำคัญที่สุด!’


เขาคิดเช่นนี้แต่เขาไม่ได้กล่าวออกมา


ผู้อมตะมีวิธีบันทึกฉากเหตุการณ์ต่างๆเช่นเดียวกับการต่อสู้ระหว่างเยี่ยนฮวงกับวูอวี้ป๋อ หลังจากการต่อสู้จบลง มันก็ถูกเผยแพร่ออกไป


เซี่ยเฟยกุ้ยโกรธจัด “เจ้าต้องการสิ่งใด?”


“ง่ายมาก หากข้าชนะ สถานะเดิมของยอดเขาเยือกแข็งจะยังอยู่ มันจะเป็นของเรา” ฟางหยวนกล่าว


“เราจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร?” เซี่ยจ้าวโม่กังวล


ตระกูลเซี่ยตั้งใจสร้างปัญหา พวกเขามีทายาทของจางซานเฟิงและมีเหตุผลที่ได้เปรียบ ตระกูลวูถูกบังคับให้อยู่ในสถานะที่ไม่สามารถโต้ตอบ ดังนั้นหากตระกูลเซี่ยยอมรับเงื่อนไขนี้ พวกเขาจะกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ มันไม่ใช่เรื่องฉลาด


เซี่ยเฟยกุ้ยกัดฟัน “ข้าไม่ได้โง่”


ในเวลาเดียวกันเขาก็ปฏิเสธ “ไม่มีทาง!”


“เช่นนั้นข้าก็ไม่สามารถต่อสู้ การประลองครั้งนี้ถือเป็นโมฆะ” ฟางหยวนโบกมือและหันหลังเดินออกไป


พวกเขาออกจากยอดเขาเยือกแข็งและเดินทางมาถึงที่นี่หลังจากประสบปัญหามากมายแต่การต่อสู้จะยกเลิกอย่างง่ายดายเช่นนี้งั้นหรือ?


ล้อเล่นหรือไม่?


ใบหน้าของเซี่ยเฟยกุ้ยกลายเป็นเคร่งขรึม “วูอี้ไห่ออกไปโดยไม่ต่อสู้ นี่คือความกล้าหาญและศักดิ์ศรีของตระกูลวูงั้นหรือ?”


ฟางหยวนหยุดเคลื่อนไหว


เซี่ยเฟยกุ้ยเผยรอยยิ้มเย็นชา


ฟางหยวนหันหลังกลับและกล่าวอย่างไร้ยางอาย “ท่านกล่าวผิดแล้ว ข้าไม่ได้หลบหนีการประลอง แต่พวกท่านไม่ยอมรับเงื่อนไขของข้า เนื่องจากการเจรจาล้มเหลว มันไม่ได้หมายความว่าข้ากำลังวิ่งหนี ดูสิ ข้ากระทั่งเป็นคนเลือกสถานที่สำหรับการประลองครั้งนี้ด้วยตนเอง”


“เจ้า!” คำกล่าวเหล่านี้ทำให้เซี่ยจ้าวโม่ที่เฝ้าดูอยู่ด้านข้างรู้สึกโกรธ


ดวงตาของเซี่ยเฟยกุ้ยแทบสามารถพ่นไฟออกมา


เขามองฟาหงยวนและคิดว่าตระกูลวูผลิตคนไร้ยางอายเช่นนี้ขึ้นมาได้อย่างไร? โดยปกติผู้อมตะตระกูลวูมักใจร้อนและกระตือรือร้นที่จะต่อสู้เพื่อแก้ไขปัญหามิใช่หรือ? ความกล้าหาญและจิตวิญญาณของตระกูลวูอยู่ที่ใด? มันอยู่ที่ใด!?


แต่ในไม่ช้าเซี่ยเฟยกุ้ยก็นึกถึงที่มาของฟางหยวน


แท้จริงแล้ววูอี้ไห่ไม่ใช่ผู้อมตะตระกูลวูตั้งแต่แรกเริ่ม เขาเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษของทะเลตะวันออก


ผู้บ่มเพาะสันโดษที่ไร้ยางอาย!


ฟางหยวนเผยรอยยิ้มอย่างมีความหมาย “เนื่องจากเราไม่สามารถประลอง ดังนั้นเรามาพูดคุยและดื่มชากันต่อเถอะ ข้าต้องบอกว่าชาสี่ฤดูของท่านเลิศรสมาก ข้าแทบไม่สามารถอดใจรอได้อีก”


“ดื่มชาอันใด!? พูดคุยสิ่งใด!?” เซี่ยเฟยกุ้ยอยากบีบคอฟางหยวนให้ตายไปเดี๋ยวนี้ หน้าอกของเขาร้อนรุ่มไปด้วยความโกรธ


เซี่ยจ้าวโม่มองเซี่ยเฟยกุ้ยด้วยความขมขื่นและคิด ‘ท่านไม่ใช่คนที่มอบใบชาให้เขาก่อนหน้านี้งั้นหรือ?’


ฟางหยวนพึมพำกับตนเองก่อนกล่าว “เช่นนี้เป็นอย่างไร? หากข้าชนะ ภายในห้าปีนี้ ยอดเขาเยือกแข็งจะยังคงสถานะเดิม พวกท่านจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับมันอีกในช่วงเวลานี้ นี่เป็นอย่างไร?”


“นี่…” เซี่ยจ้าวโม่เริ่มไตร่ตรองเกี่ยวกับมัน


ข้อเสนอนี้ของฟางหยวนสามารถยอมรับได้มากกว่าเงื่อนไขก่อนหน้า


‘แต่มันอาจเป็นแผนการของวูอี้ไห่’ เซี่ยจ้าวโม่ยังคิด


แต่เซี่ยเฟยกุ้ยตอบรับทันที “ตกลง ข้าเห็นด้วย!”


เซี่ยจ้าวโม่ตกตะลึงและเร่งส่งสัญญาณ “ท่านเซี่ยเฟยกุ้ย ท่าน…”


“เราจะไม่เสียเวลากับคนสารเลวผู้นี้อีก ข้าจะรับผิดชอบเรื่องนี้แต่เพียงผู้เดียว มันไม่เกี่ยวกับเจ้า!” เซี่ยเฟยกุ้ยตอบอย่างเฉียบขาด เขามีความมั่นใจมาก


เซี่ยจ้าวโม่เผยรอยยิ้มขมขื่น


‘หากท่านเซี่ยเฟยกุ้ยพ่ายแพ้ แม้เขาจะรับผิดชอบ แต่ข้าจะหนีจากมันได้งั้นหรือ? ตระกูลส่งข้ามาที่นี่เพื่อช่วยแนะนำเขามิใช่หรือ? เห้อ…’ เซี่ยจ้าวโม่ลอบถอนหายใจอยู่ภายใน


เขาถ่ายทอดเสียง “เช่นนั้นข้าก็หวังว่าท่านจะได้รับชัยชนะ”


“พวกท่านทั้งสองแน่ใจหรือไม่?” ฟางหยวนถาม


วิธีนี้จะช่วยยื้อเวลาให้กับตระกูลวู


แต่หลังจากห้าปี ฟางหยวนจะจัดการเรื่องของเขาให้เสร็จ เมื่อเวลานั้นมาถึง เขายังต้องสนใจตระกูลวูอีกงั้นหรือ?


“เราแน่ใจ” คราวนี้เซี่ยเฟยกุ้ยไม่ได้กล่าวแต่เป็นเซี่ยจ้าวโม่


“ตกลง” ฟางหยวนค่อยๆบินกลับไปและกล่าวอย่างไร้ยางอาย “แท้จริงแล้วข้าไม่ต้องการทะเลาะวิวาท มันจะทำลายความสัมพันธ์ที่ดีของเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่เนื่องจากท่านเซี่ยเฟยกุ้ยยืนกรานในนามของชาสี่ฤดู ข้าก็คงต้องยอมรับคำขอของท่าน”


“หยุดพูดถึงชานั่นแล้วมาต่อสู้!” เซี่ยเฟยกุ้ยตะโกนด้วยดวงตาแดงก่ำ


ก่อนที่เขาจะกล่าวจบประโยค ร่างของฟางหยวนก็ส่องประกายขึ้นและเปลี่ยนเป็นเต่าพยากรณ์ไปแล้ว


เซี่ยเฟยกุ้ยตะลึง ก่อนหน้านี้ฟางหยวนใช้เวลาไปกับเรื่องไร้สาระมากมาย แต่ตอนนี้เขากลับเริ่มเข้าสู่การต่อสู้อย่างรวดเร็ว มันตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง


“เต่าพยากรณ์อีกครั้ง!” เซี่ยจ้าวโม่ขมวดคิ้ว


ร่างใหญ่โตของเต่าพยากรณ์ยึดครองพื้นที่เกือบทั้งหมดของยอดเขา


มันเป็นเต่าสีเข้ม กระดองของมันส่องประกายระยิบระยับและเต็มไปด้วยลวดลายนับพันนับหมื่นที่ทำให้เซี่ยจ้าวโม่รู้สึกเวียนศีรษะเมื่อมองดู ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องหยุดมองมัน


เซี่ยเฟยกุ้ยไม่ได้คาดหวังว่าฟางหยวนจะใช้ท่าไม้ตายอมตะตั้งแต่แรก


โดยปกติผู้อมตะจะตรวจสอบกันเป็นอันดับแรก แต่ฟางหยวนกลับข้ามขั้นตอนนี้และใช้ท่าไม้ตายอมตะออกมาทันที


‘กระดองของมันแสดงให้เห็นถึงพลังป้องกันที่แข็งแกร่งของเต่าพยากรณ์ ไม่แปลกใจเลยที่เขาเลือกวิธีนี้’ เซี่ยจ้าวโม่ขมวดคิ้วลึก


‘ข้าควรทำอย่างไร?’ เซี่ยเฟยกุ้ยลังเล เขาไม่รู้ว่าวูอี้ไห่มีความเชี่ยวชาญด้านใด แต่ฟางหยวนรู้ว่าเซี่ยเฟยกุ้ยชำนาญสิ่งใด


เซี่ยเฟยกุ้ยลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเริ่มโจมตี


ครั้งแรก


เขายกกำปั้นขึ้นและกระโดดขึ้นสู่ท้องฟ้า


หมัดของเขาส่งหมัดแสงสีขาวพุ่งเข้าโจมตีเต่าพยากรณ์โดยตรง


ท่าไม้ตายอมตะหมัดแสงเหินเวหา!


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1310 น่าอายมาก


แปลโดย iPAT 


ตั้งแต่ฟางหยวนใช้ท่าไม้ตายอมตะ เซี่ยเฟยกุ้ยก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องใช้ท่าไม้ตายอมตะเช่นกัน


หมัดแสงสีขาวเคลื่อนที่ด้วยความเร็วทั่วไป มันไม่ได้รวดเร็วเหมือนความเร็วแสง


แต่ขณะที่มันบินผ่านอากาศ มันผลักอากาศที่อยู่ด้านหน้าออกไปและทำให้เกิดเสียงดังขึ้น


“บึม…”


หมัดแสงขนาดเท่าถังหมักสุราทุบลงบนแผ่นหลังของเต่าพยากรณ์และผลักมันจมลงไปใต้พื้นดินประมาณครึ่งเมตร


มันเป็นท่าไม้ตายที่ทรงพลัง โดยปกติแล้วเส้นทางแห่งแสงมีชื่อเสียงในด้านความเร็ว แต่ท่าไม้ตายของเซี่ยเฟยกุ้ยกลับตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง มันไม่เร็วแต่ทรงพลัง นี่จะทำให้ศัตรูถูกหลอก


อย่างไรก็ตามเต่าพยากรณ์ของฟางหยวนไม่ได้รับอันตรายแม้แต่น้อย


“หือ?” ดวงตาของเซี่ยเฟยกุ้ยแทบหลุดออกมาจากเบ้าเมื่อเขาเห็นผลลัพธ์นี้


ท่าไม้ตายของเซี่ยเฟยกุ้ยใช้เส้นทางแห่งแสงเลียนแบบเส้นทางความแข็งแกร่ง มันถือเป็นท่าไม้ตายที่มีเอกลักษณ์


ด้านฟางหยวน เขาใช้ท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นเต่าพยากรณ์ นี่เป็นท่าไม้ตายอมตะระดับเจ็ดที่ทำให้กระดองเต่าของเขาไม่อ่อนแอกว่าเต่าพยากรณ์บรรพกาลที่แท้จริง


และตอนนี้มันยังได้รับการสนับสนุจากวิญญาณอีกมากมาย นั่นทำให้การป้องกันของมันเหนือกกว่าเต่าพยากรณ์บรรพกาลไปแล้ว


ไม่ใช่เรื่องแปลกหากการโจมตีของเซี่ยเฟยกุ้ยจะไม่ได้ผล


‘ท่าไม้ตายอมตะหมัดแสงเหินเวหาไม่ได้ผล การป้องกันของเขาช่างแข็งแกร่งนัก!’ เซี่ยเฟยกุ้ยตกตะลึง


เซี่ยเฟยกุ้ยหยุดเคลื่อนไหว เขาเริ่มรู้สึกปวดศีรษะและไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร


‘ข้าควรทำอย่างไร?’ เซี่ยเฟยกุ้ยเริ่มคิด


แม้เขาจะเป็นคนโมโหร้าย แต่เขาก็สามารถต่อสู้ได้อย่างมีสติ


อย่างไรก็ตามฟางหยวนได้ใช้ท่าไม้ตายอมตะท่าที่สองออกมาแล้ว


กลิ่นอายของวิญญาณอมตะเล็ดรอดออกมา เต่าพยากรณ์อ้าปากและพ่นกระดองเต่าขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนออกไป


กระดองเต่าขนาดเล็กมีลักษณะเหมือนกระดองเต่าพยากรณ์ เว้นเพียงว่าพวกมันมีขนาดที่เล็กกว่าหลายเท่า


กระดองเต่าขนาดเล็กจำนวนมากลอยอยู่กลางอากาศและหมุ่นวนด้วยความเร็วสูง


“มันคือสิ่งใด?” เซี่ยเฟยกุ้ยหยุดคิดและเร่งสร้างระยะห่างออกจากฟางหยวน


“บึม!”


เซี่ยเฟยกุ้ยส่งหมัดแสงเหินเวหาออกไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันไม่แม้แต่จะสามารถสัมผัสร่างกายของเต่าพยากรณ์


กระดองเต่าขนาดเท่ากำปั้นมนุษย์ราวกับผึ้งที่ดูดซับน้ำหวานขณะที่พวกมันสัมผัสหมัดแสงเหินเวหา


“บึม บึม บึม…”


กระดองเต่าขนาดเล็กหลายร้อยหลังแตกเป็นเสี่ยงๆ


แต่พลังอำนาจของหมัดแสงเหินเวหาก็ถูกกลืนกินเข้าไปจนหมดสิ้น


ท่าไม้ตายอมตะกระดองเต่าวัชระ!


นี่คือท่าไม้ตายอมตะที่ฟางหยวนคิดค้นขึ้นมาก่อนหน้านี้


มันใช้วิญญาณอมตะความคิดวัชระระดับหกเป็นแกนกลาง


แต่เมื่อใช้มันร่วมกับวิญญาณอมตะความพยายามระดับเจ็ดและวิญญาณระดับมนุษย์อีกมากมาย


พลังอำนาจของมันจึงเพิ่มสูงขึ้นโดยธรรมชาติ


“อา…กระดองเต่าเหล่านี้เป็นความคิดจริงๆ!” ดวงตาของเซี่ยจ้าวโม่ส่องประกายขึ้น


เขาเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา เขาเข้าใจความคิดทุกประเภท นี่คือสิ่งที่เขาเชี่ยวชาญ


สำหรับเซี่ยเฟยกุ้ย เขาบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งแสงไม่ใช่เส้นทางแห่งปัญญา แม้เขาจะเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด แต่เขาตระหนักถึงมันหลังจากได้รับการแจ้งเตือนจากเซี่ยจ้าวโม่เท่านั้น


“เซี่ยจ้าวโม่ เจ้าค่อนข้างมีความรู้ พวกเจ้าทำงานร่วมกันได้ดีจริงๆ” เต่าพยากรณ์พูดภาษามนุษย์ด้วยน้ำเสียงเสียดสี


ในความเป็นจริงฟางหยวนไม่ได้ตั้งใจที่จะปิดบังมันตั้งแต่แรก มันเป็นเพียงว่าหลังจากหลอมรวมวิญญาณความคิดวัชระเข้าไปในท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนเป็นเต่าพยากรณ์ วัชระสีทองกลับเปลี่ยนเป็นกระดองเต่าสีเข้มโดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจ


“เสี่ยวโม่ หุบปาก ข้าจะทำลายกระดองของมัน!” เซี่ยเฟยกุ้ยกล่าว


เซี่ยจ้าวโม่ก่นเสียงแต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก การเย้ยหยันของฟางหยวนทำให้ใบหน้าของเขากลายเป็นไม่น่ามอง


เซี่ยเฟยกุ้ยปิดเปลือกตาลง


เขาเริ่มเตรียมท่าไม้ตายต่อไป


กลิ่นอายของวิญญาณจำนวนมากปะทุขึ้น ลูกพลัมแดงอมตะถูกใช้ไปอย่างรวดเร็ว


ในเวลาเดียวกันเขากางแขนออกและค่อยๆประสานฝ่ามือไว้เหนือศีรษะ


แสงสว่างพุ่งจากฝ่ามือของเขาขึ้นสู่ท้องฟ้า


กลิ่นอายของมันอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ


ฟางหยวนก้มศีรษะและใช้เท้าจิกลงไปใต้ดิน ขณะเดียวกันกระดองเต่าที่ลอยอยู่รอบๆก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง


แรกเริ่มมันมีเกือบหมื่น แต่ในไม่ช้าจำนวนของมันก็เกินสองหมื่น สามหมื่น สี่หมื่น…


ในความเป็นจริงวิญญาณอมตะความคิดวัชระระดับหกสามารถสร้างความคิดวัชระได้เพียงหนึ่งหมื่นเท่านั้น


แต่สิ่งที่ทำให้เกิดผลลัพธ์นี้คือร่างกายของฟางหยวนที่เต็มไปด้วยร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งปัญญา


เดิมทีฟางหยวนมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งปัญญาอยู่ไม่มากนัก แต่หลังจากเปลี่ยนร่างเป็นเต่าพยากรณ์ ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงของเขาก็เปลี่ยนเป็นร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งปัญญา ดังนั้นมันจึงมีมากมายมหาศาล!


การเก็บเกี่ยวที่สำคัญที่สุดก่อนหน้านี้ของฟางหยวนคือการสังหารวูอี้ไห่และผู้อมตะอีกสองคนในกำแพงภูมิภาค พวกเขาล้วนเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง ด้วยการดูดกลืนร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงจากพวกเขา มันทำให้ฟางหยวนมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงถึงระดับห้าหมื่นร่องรอย


หนึ่งพันร่องรอยสามารถเพิ่มพลังอำนาจให้กับวิญญาณอมตะสองเท่า


หนึ่งหมื่นร่องรอยสามารถเพิ่มพลังอำนาจให้กับวิญญาณอมตะสิบเท่า


ห้าหมื่นร่องรอยสามารถเพิ่มพลังอำนาจให้กับวิญญาณอมตะห้าสิบเท่า


นี่หมายความว่าอย่างไร?


ผู้อมตะระดับเจ็ดทั่วไปมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางสายหลักของพวกเขาประมาณหนึ่งหมื่นถึงสามหมื่นร่องรอย


เซี่ยเฟยกุ้ยเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดแนวหน้า เขามีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งแสงประมาณสามหมื่นร่องรอย


แต่เขาจะเปรียบเทียบกับฟางหยวนได้อย่างไร?


ผลลัพธ์ก็คือเซี่ยเฟยกุ้ยและเซี่ยจ้าวโม่ทำได้เพียงเบิกตากว้างด้วยความไม่อยากจะเชื่อที่เห็นกระดองเต่าจำนวนนับไม่ถ้วนปกคลุมไปทั่วทั้งยอดเขาและยังขยายออกไปเรื่อยๆ


หัวใจของเซี่ยเฟยกุ้ยจมดิ่งลง


การเพิ่มขึ้นของกระดองเต่าทำให้เขาได้รับแรงกดดันทางจิตใจอย่างมาก


อย่างไรก็ตามเซี่ยเฟยกุ้บยังเป็นฝ่ายได้เปรียบจากกฎที่พวกเขาตั้งขึ้น นั่นคือฟางหยวนทำได้เพียงป้องกันแต่ไม่สามารถโจมตี ดังนั้นฟางหยวนจึงไม่สามารถใช้กระดองเต่าเหล่านี้โจมตีเซี่ยเฟยกุ้ย


เซี่ยเฟยกุ้ยสงบจิตใจลงและกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะของเขาต่อไป


ท่าไม้ตายอมตะกงล้อแสง!


ฝ่ามือทั้งสองข้างที่อยู่เหนือศีรษะของเขาถูกกวาดลงมา


กงล้อแสงที่มีขอบเป็นฟันเลื่อยขนาดเท่าเรือพุ่งออกมา


ดี!’ เซี่ยจ้าวโม่โห่ร้องอยู่ในใจ ‘กระดองเต่าแข็งมากแต่มันจะถูกทำลายโดยท่าไม้ตายนี้!’


อย่างไรก็ตามในเวลาต่อมา


“บึม บึม บึม…”


ภายใต้การทำลายตัวเองของกระดองเต่าจำนวนมาก กงล้อแสงบินออกมาได้เพียงระยะทางสั้นๆก่อนจะถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์


เซี่ยจ้าวโม่ “…”


เซี่ยเฟยกุ้ย “…”


ฟางหยวนยกย่อง “เป็นท่าไม้ตายอมตะที่ยอดเยี่ยม มันทำลายความคิดของข้าไปมากกว่าหกพัน”


คำกล่าวนี้เหมือนการตบหน้าเซี่ยจ้าวโม่และเซี่ยเฟยกุ้ย


เซี่ยเฟยกุ้ยใช้เวลาเตรียมตัวนานมากเพื่อปลดปล่อยท่าไม้ตายนี้


โดยปกติแล้วยิ่งใช้เวลาเตรียมตัวนานเท่าใด ท่าไม้ตายอมตะที่ปลดปล่อยออกมาก็จะยิ่งทรงพลังมากเท่านั้น แต่มันมักจะถูกรบกวนจากฝ่ายตรงข้าม หากท่าไม้ตายอมตะถูกทำลาย ผู้อมตะจะได้รับผลกระทบย้อนกลับ


เซี่ยเฟยกุ้ยใช้ประโยชน์จากกฎของการประลองเพื่อกระตุ้นใช้งานท่าไม้ตายอมตะนี้อย่างปลอดภัย


อย่างไรก็ตาม!


ในขณะที่เซี่ยเฟยกุ้ยเตรียมท่าไม้ตายอมตะกงล้อแสง ฟางหยวนก็ใช้ท่าไม้ตายอมตะของตนเช่นกัน เขาปล่อยกระดองเต่าออกมามากกว่าสี่หมื่นหลัง


ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นชัดเจนมาก กงล้อแสงถูกทำลายโดยกระดองเต่าเพียงหกพันหลัง


แม้แต่คนโง่ยังสามารถคำนวณตัวเลขดังกล่าวได้โดยไม่ยาก


วิธีการที่เซี่ยเฟยกุ้ยคาดหวังจบลงเช่นนี้


น่าอายมาก!


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1311 การล่าถอยของตระกูลเซี่ย


แปลโดย iPAT 


“บัดซบ!” เซี่ยเฟยกุ้ยกัดฟันแน่น


เขาใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะกงล้อแสง แต่ตอนนี้มันกลายเป็นเรื่องน่าขัน


กระดองเต่าขนาดเล็กยังเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง


ห้าหมื่น หกหมื่น…


‘ข้าจะปล่อยให้มันเป็นเช่นนี้ไม่ได้!’ เซี่ยเฟยกุ้ยรู้สึกร้อนใจ


‘มันเพิ่มขึ้นเร็วเกินไป ไม่แปลกใจเลยที่วูอี้ไห่ตั้งกฎการประลองเช่นนี้ แต่ท่านเซี่ยเฟยกุ้ยยังมีไพ่ตายอยู่ในมือ ผลของการต่อสู้ยังไม่ถูกตัดสิน!’ เซี่ยจ้าวโม่คิดและมองเซี่ยเฟยกุ้ยด้วยความคาดหวัง


เซี่ยเฟยกุ้ยเตรียมท่าไม้ตายใหม่อีกครั้ง


กลิ่นอายของวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนปะทุออกมาภายนอก


สายตาที่หยิ่งยโสของเขาเพ่งมองไปที่เต่าพยากรณ์


“จะมากเพียงใด พวกมันก็เป็นเพียงความคิด มันจะทำสิ่งใดได้!”


“รับนี่ แสงสวรรค์สามสิบสามชั้น!”


“ให้ข้าดูว่าความคิดของเจ้าจะหยุดแสงสวรรค์ได้กี่ชั้น!”


ท่าไม้ตายอมตะแสงสวรรค์สามสิบสามชั้น!


มันเป็นท่าไม้ตายอมตะที่ทำให้เซี่ยเฟยกุ้ยมีชื่อเสียงโด่งดังในภาคใต้


‘เขาใช้มันออกมาแล้ว ท่าไม้ตายประจำตัวของท่านเซี่ยเฟยกุ้ย!’ เซี่ยจ้าวโม่รู้สึกตื่นเต้นมาก


นี่เป็นท่าไม้ตายอมตะที่ค่อนข้างน่าทึ่ง


เมื่อกระตุ้นใช้งาน วงแหวนแสงสามสิบสามชั้นจะระเบิดออกมาจากร่างของเซี่ยเฟยกุ้ย


ภายใต้พลังอำนาจของวงแหวนแสง ทุกสิ่งที่สัมผัสจะถูกทำลาย


วงแหวนแสงวงแรกไม่ทรงพลังนักแต่วงแหวนถัดไปจะค่อยๆแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ


นี่เป็นท่าไม้ตายอมตะที่สามารถสังหารสัตว์อสูรเดียวดายหรือกระทั่งสัตว์อสูรบรรพกาล


ความคิดกระดองเต่าอาจยอดเยี่ยมแต่พวกมันยังไม่สามารถเปรียบเทียบกับสัตว์อสูรเดียวดาย ดังนั้นพวกมันจะถูกทำลายโดยแสงสวรรค์สามสิบสามชั้น


ไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้


โดยปกติท่าไม้ตายอมตะแสงสวรรค์สามสิบสามชั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะกระตุ้นใช้งาน เนื่องจากผู้อมตะจำเป็นต้องหยุดเคลื่อนไหว หากเซี่ยเฟยกุ้ยเคลื่อนไหว ท่าไม้ตายนี้จะหยุดลงทันทีขณะที่เขาจะได้รับผลกระทบย้อนกลับ มันมีโอกาสสูงมากที่เขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัส


วงแหวนแสงวงแรกไม่สามารถสั่นคลอนความคิดกระดองเต่าของฟางหยวน


วงที่สองก็ไม่ใช่สิ่งใด


วงที่สาม ความคิดกระดองเต่าเริ่มสั่นไหว


วงที่สี่ ความคิดกระดองเต่าเริ่มเสียหาย


วงที่ห้า ความคิดกระดองเต่านับร้อยพังทลายลง


เซี่ยจ้าวโม่เฝ้ามองจากด้านข้างด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ


นี่ยังเป็นเพียงวงแหวนแสงวงที่ห้าเท่านั้น


ท่าไม้ตายนี้มีวงแหวนแสงถึงสามสิบสามวง


‘แต่เหตุใดข้ายังรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง?’ เซี่ยจ้าวโม่ครุ่นคิด


วงแหวนแสงวงที่หกทำลายความคิดกระดองเต่านับพันหลัง


‘วงแหวนแสงวงที่เจ็ดจะจัดการเจ้า!’ เซี่ยเฟยกุ้ยลอบเย้ยหยันอยู่ในใจ


แต่ในเวลานี้


“ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว…”


กระดองเต่าเจ็ดหมื่นหรือแปดหมื่นพุ่งออกมาจากปากของเต่าพยากรณ์ราวกับสายน้ำ!


“อันใด!?” เซี่ยเฟยกุ้ยตกตะลึง


เซี่ยจ้าวโม่ตบศีรษะและอุทานด้วยความเกลียดชังอยู่ภายใน ‘ในที่สุดข้าก็เข้าใจว่าสิ่งใดทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจ! กระดองเต่าเหล่านี้ล้วนเป็นความคิดขณะที่ผู้อมตะสามารถเก็บกลุ่มก้อนความคิดเอาไว้ในใจ!’


กลุ่มความคิดกระดองเต่าราวกับภูเขาขณะที่เต่าพยากรณ์ฟางหยวนนอนอยู่ใต้ภูเขาลูกนี้อย่างเงียบๆ


กลางอากาศ ท่าไม้ตายอมตะของเซี่ยเฟยกุ้ยยังดำเนินต่อไป


วงแหวนแสงวงที่เจ็ด วงที่แปด วงที่เก้า…


แต่มันไม่สามารถทะลวงการป้องกันที่หนาแน่นของความคิดกระดองเต่า


อย่างไรก็ตามท่าไม้ตายของเซี่ยเฟยกุ้ยไม่สามารถหยุด


ด้วยเหตุนี้เซี่ยเฟยกุ้ยจึงต้องใช้ท่าไม้ตายของเขาต่อไป


วงแหวนแสงวงที่สิบ วงที่สิบเอ็ด วงที่สิบสอง…


มันกลายเป็นสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง


หลังจากปลดปล่อยวงแหวนแสงที่สามสิบสามออกมา เซี่ยเฟยกุ้ยก็สูญเสียพลังงานอมตะไปเป็นจำนวนมาก ขณะที่เต่าพยากรณ์ยังซ่อนตัวอยู่ในกระดองเต่าของมันและนอนนิ่งอยู่บนพื้นโดยไม่ขยับเขยื้อน


สนามรบพังทลายลงอย่างสมบูรณ์


ในความเป็นจริงสามารถกล่าวได้ว่าท่าไม้ตายอมตะแสงสวรรค์สามสิบสามชั้นทรงพลังมาก


“ท่าไม้ตายนี้ทรงพลังจริงๆ” ฟาหงยวนสรรเสริญ


ขณะกล่าว เขายื่นศีรษะ หาง และแขนขาออกมาจากด้านในกระดอง


ความคิดกระดองเต่าไม่แข็งแกร่งเท่ากระดองเต่าพยากรณ์ ดังนั้นฟางหยวนจึงซ่อนตัวอยู่ภายในโดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆทั้งสิ้น


เมื่อได้ยินคำชมของฟางหยวน เซี่ยเฟยกุ้ยรู้สึกอึดอัดใจมาก


‘ไร้ยางอายเกินไป!’ เซี่ยจ้าวโม่กัดฟันแน่นและมองฟางหยวนด้วยความเกลียดชัง


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเห็นความคิดกระดองเต่ามากกว่าหนึ่งแสนหลังถูกส่งออกมา นี่ทำให้ความอิจฉา ความเกลียดชัง และความโกรธของเขาลึกซึ้งขึ้นอีกหลายระดับ


‘เราจะทำลายการป้องกันของเขาได้อย่างไร?’ สองผู้อมตะตระกูลเซี่ยไตร่ตรองถึงความยากลำบากนี้


“ท่านใช้สามกระบวนท่าแล้ว” ฟางหยวนเตือนเสียงเรียบ


เซี่ยเฟยกุ้ยตะโกน “เช่นนั้นก็รับไปซะ!”


ขณะที่เขากล่าวถ้อยคำเหล่านี้ เขาก็ส่งลำแสงพุ่งเข้าโจมตีเต่าพยากรณ์เรียบร้อยแล้ว


ความคิดกระดองเต่าจำนวนมากถูกทำลาย


แต่เซี่ยเฟยกุ้ยยังเคลื่อนที่ไปรอบๆและโจมตีอย่างต่อเนื่อง


เห็นเซี่ยเฟยกุ้ยโจมตีอย่างบ้าคลั่ง ฟาหงยวนหดศีรษะ หาง และแขนขาเข้าไปในกระดองเต่าอีกครั้ง


หางตาของเซี่ยเฟยกุ้ยกระตุก


วูอี้ไห่ผู้นี้ไร้ยางอายเกินไป แต่มันก็ทำให้เซี่ยเฟยกุ้ยเกลียดชังกระดองเต่ามากขึ้น


สิบกระบวนท่าสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว ความพยายามของเซี่ยเฟยกุ้ยไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง


“ครั้งนี้เจ้าชนะ!” เซี่ยเฟยกุ้ยทิ้งประโยคสุดท้ายเอาไว้ก่อนจะบินออกจากสนามรบขึ้นสู่ท้องฟ้า


เซี่ยจ้าวโม่ที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังถอยหายใจ เขาต้องจัดการเรื่องเล็กๆน้อยๆที่เหลือ อย่างน้อยเขาก็ต้องนำผู้ใช้วิญญาณจางไคซุ้ยกลับไป


“ห้าปี หลังจากห้าปี ข้าจะกลับมาหาเจ้า” เซี่ยจ้าวโม่จากไปด้วยความรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)