ลำนำบุปผาพิษ 1297-1300
บทที่ 1297 ไม่น่าเชื่อว่านางจะวิ่งไปถึงตาค่ายของยอดเขาที่แปดแล้ว!
ภายในวังค้ำนภา
ตี้ฝูอีตะลึงงันปานถูกสกัดจุดอยู่ครึ่งนาทีเต็มๆ!
ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะได้เห็นนางอีกครั้ง!
แต่น่าเสียดายที่นางหายไปอย่างรวดเร็ว ถึงขั้นที่เขาคว้านางไว้ไม่ทัน!
นางถอดวิญญาณอีกแล้ว…
ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ร่างโคลนนิ่งนั้นของนางค่อนข้างพิเศษ หากไม่ใช้วิธีเฉพาะนางจะถอดวิญญาณไม่ได้ แต่นางทำได้จริงๆ แถมยังหลบอยู่ในห้องหอของเขาด้วย…
เขารู้ว่านางเป็นตัวแปร เรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นกับนางไม่อาจใช้เหตุผลทั่วไปมาอนุมานได้ แต่เด็กสาวผู้นี้เป็นตัวแปรที่ยิ่งใหญ่เกินไปหน่อย ทำให้คนรับมือแทบไม่ไหว
น่าแปลก ในอดีตเมื่อนางอยู่ในภาพถอดวิญญาณ เขามองเธอนางได้ หนนี้เขาไม่ได้สังเกตล่วงหน้าเลยสักนิด
เป็นพลังยุทธ์ของเขาถดถอยลง หรือเป็นดวงวิญญาณของนางแข็งแกร่งขึ้นอีกขั้นแล้ว?
น่าตายนัก เขาถึงขั้นที่ไม่ทันได้ถามว่าสรุปแล้วตอนนี้นางอยู่ไหนกันแน่?!
อย่างไรก็ตาม มันไม่สำคัญแล้ว ในเมื่อนางถอดวิญญาณมาถึงที่นี่ได้ บนดวงวิญญาณก็น่าจะมีกลิ่นอายของที่สถานที่ติดมาด้วยเล็กน้อย บางทีเขาอาจจะอนุมานจากกลิ่นอายเล็กน้อยนั้นได้
เขาสูดหายใจเบาๆ มองสำรวจภายในห้องอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง จากนั้นก็ได้กลิ่นอายจางๆ ของนางอยู่บนม่านเตียง กลลิ่นอายของนางประหลาดอยู่บ้าง เจือกลิ่นสุราเล็กน้อย…
สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนในทันใด!
นั่นคือกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของผลถันภังคี
ทั่วแผ่นดินนี้มีเพียงสถานที่เดียวเท่านั้นที่มีผลไม้ชนิดนี้อยู่…ตาค่ายยอดเขาที่แปดของป่าทมิฬ
ไม่น่าเชื่อว่านางจะวิ่งไปถึงตาค่ายของยอดเขาที่แปดแล้ว!
เข้าไปได้อย่างไรกัน?
หากว่านางทำลายแล้วบุกเข้าไป เขาจะรับรู้ได้ทันที หากว่าเข้าไปโดยใช้วิธีเดียวกับผู้อื่น เขาก็จะรับรู้ได้เช่นกัน แต่ครั้งนี้เขาจับสัมผัสไม่ได้สักนิดเลย ไม่น่าเชื่อว่านางเข้าไปแล้วจริงๆ!
มิน่าเล่าดวงดาวที่เป็นตัวแทนของนางจึงสุกสว่างขึ้นเรื่อยๆ ที่แท้ก็เป็นเพราะฝึกฝนอยู่ที่นั่น!
เขาหลับตาลงเล็กน้อย ดีเหลือเกิน ในที่สุดเขาก็มีสถานที่ให้ตามหานางแล้ว!
เพียงค่อนข้างยุ่งยากอยู่บ้างเท่านั้น…
….
“นางอยู่ในตาค่ายของยอดเขาที่แปดเหรอขอรับ?!” มู่เฟิงแสดงสีหน้าดั่งถูกสายฟ้าฟาด “เข้าไปได้อย่างไรกัน?”
“สวรรค์ ทำได้อย่างไร?!” มู่เหล่ยก็มีสีหน้าเหลือเชื่อเช่นกัน
มู่เตี่ยนส่ายหน้า “แม่นางกู้คนนี้เป็นตัวประหลาดผู้หนึ่งเสมอมา นางมักจะทำให้เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้อยู่บ่อยครั้ง”
เดิมทีมู่อวิ๋นก็คิดจะเปิดปากแสดงความรู้สึกออกมาเช่นกัน แต่เมื่อคำพูดจ่ออยู่ตรงลิ้นเก็กลืนกลับลงไปอีกครั้ง
ปากจะพาซวย ความซวยจะมาเยือนเพราะปาก!
ต่อไปเขาจะเป็นคนที่หวงแหนวาจาดั่งทอง…
ตี้ฝูอีคอยให้พวกเขาตกตะลึงจนเสร็จ ในที่สุดก็เอ่ยขึ้น “ตกใจเสร็จหมดแล้วใช่ไหม? ในเมื่อตกใจเสร็จแล้ว เช่นนั้นก็ฟังข้าพูด พรุ่งนี้ข้าจะไปที่ป่าทมิฬอีกครั้ง ไปรอบนี้น่าจะกินเวลาค่อนข้างนาน ในหลายวันนี้ที่ข้าไม่อยู่ กิจธุระภายนอกมอบหมายให้พวกเจ้าทั้งสี่จัดการ มู่เฟิงเป็นหัวหน้าเช่นเคย คนที่เหลือคอยช่วยแบ่งเบา…”
มู่เฟิงสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา “นายท่าน ท่านคงไม่คิดจะเข้าไปในตาค่ายแห่งนั้นใช่ไหมขอรับ?! ท่านบอกไว้มิใช่หรือว่าที่เป็นเขตแดนฟ้าดินที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ มีเพียงคนที่ใกล้จะสิ้นชีพเท่านั้นถึงจะถูกต้นถันภังคีดูดเข้าไปเอง ไม่มีลู่ทางอื่นให้เข้าไปแล้ว แม้แต่ท่านเองก็ไม่อาจบุกเข้าไปตรงๆ ได้เช่นกัน…”
ตี้ฝูอีเอ่ยเรียบๆ ว่า “เช่นนั้นก็เข้าไปตามวิธีปกติก็พอแล้วนี่”
มู่เหล่ยแตกตื่น “ไม่ได้นะขอรับ! นายท่าน แบบนั้นอันตรายเกินไปแล้ว! อีกอย่างเข้าไปแล้วจะออกไม่ได้! หากว่าแม่นางกู้ไม่ได้อยู่ที่นั่น…”
“นางอยู่ที่นั่น” สุ้มเสียงของตี้ฝูอีมั่นใจยิ่งนัก
“แต่ว่า แต่ว่าผู้คนที่นั่นล้วนแต่เป็นอริกับท่านนะขอรับ!” มู่เฟิงก็ทนไม่ไหวตะโกนออกมาเช่นกัน “เมื่อท่านเข้าไปโดยสูญสิ้นพลังยุทธ์ หากว่าพวกเขาคิดแก้แค้นขึ้นมา แล้วรุมโจมตีท่าน…”
“ใช่แล้วๆ นายท่าน เรื่องนี้ต้องวางแผนให้รอบคอบก่อนนะขอรับ!”
————————————————————————————-
บทที่ 1298 เขาทุบสัตว์ร้ายจนปางตายน่าจะไว้ใจได้มากกว่า!
“ใช่แล้วๆ นายท่าน เรื่องนี้ต้องวางแผนให้รอบคอบก่อนนะขอรับ! ข้าน้อยรู้ว่านายท่านมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อแม่นางกู้ แต่เรื่องนี้ใหญ่หลวงเกินไป ข้าน้อยคิดว่าไม่คุ้มค่าให้นายท่านไปเสียงอันตรายมากขนาดนี้ นายท่านขอรับ ท่านเป็นเทพของโลกใบนี้ หากพลาดท่าออกมาจากที่นั่นไม่ได้ตลอดไป เช่นนั้น…” มู่อวิ๋นยอมรับความเสี่ยงที่จะถูกท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ลงทัณฑ์และกล่าวความเห็นของตนอออกมา
“ครานี้ที่เปิ่นจุนจะเข้าไปด้านในมิใช่เพื่อนางเสียทั้งหมด” ตี้ฝูอีเอ่ยอย่างเยือกเย็น “สัตว์ร้ายที่ดุร้ายที่สุดของโลกใบนี้ถูกผนึกไว้ในยอดเขาที่แปด ตาค่ายนั้นเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาผนึก ในอดีตคนเหล่านั้น เมื่อก่อนคนเหล่ากระทำเรื่องยิ่งใหญ่พลิกฟ้าอันใดไม่ได้ แต่ตอนนี้เมื่อมีซีจิ่วเข้าไปก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว นางเป็นตัวแปรอย่างหนึ่ง หากว่านางเป็นแกนนำคนเหล่านั้นไปทำลายเขตแดนของแปดยอดเขาเข้าโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ สัตว์ร้ายจะหวนสู่โลกา ใต้หล้าจะตกอยู่ในหายนะ เปิ่นจุนต้องเข้าไปควบคุมในตอนที่พวกเขายังไม่ได้ก่อความผิดพลาดขึ้น นี่ถึงจะเป็นแผนการที่สมบูรณ์แบบ”
“เช่นนั้นข้าน้อยจะเข้าไปเองขอรับ!” มู่เฟิงเสนอตัว “หลังจากเข้าไปแล้วข้าจะอธิบายทุกอย่างแก่แม่นางกู้ให้กระจ่าง”
ตี้ฝูอีเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “เปิ่นจุนตัดสินใจไปแล้ว อย่าได้คัดค้านอีก!”
สี่ทูตเงียบงัน
นายท่าน ความจริงแล้วท่านหาข้ออ้างที่ยิ่งใหญ่มาเพื่อไปเสี่ยงภัยตามตื้อนางในดวงใจใช่หรือไม่?!
….
ณ ยอดเขาที่เจ็ดของป่าทมิฬ
สี่ทูตยืนอกสั่นขวัญแขวนมองผู้เป็นนายผนึกพลังยุทธ์ทั้งหมดแล้วเดินเข้าสู่ส่วนลึกของป่าทมิฬจากที่ไกลๆ ด้านในมีเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวและเสียงบดฟันของสัตว์ร้ายที่ทำให้คนรู้สึกเสียฟันแว่วออกมา
ต้นถันภังคีที่ตาค่ายของยอดเขาที่แปดเป็นต้นไม้ประหลาดชนิดหนึ่ง รากของมันแผ่นขยายออกไปทุกทิศทาง ร่ำลือกันว่าลึกลงไปใต้ดินมันได้แพร่ขยายไปทั่วป่าทมิฬแล้ว
มันมีความสามารถที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนักอยู่อย่างหนึ่ง สามารถจับสัมผัสสถานการณ์ของผู้ที่บุกรุกเข้ามาได้อย่างรวดเร็ว หลังจากผู้บุกรุกประสบการต่อสู้นองเลือด ในยามที่ใกล้จะสิ้นชีพ รากของมันจะดูดคนเข้าสู่ตาค่ายของยอดเขาที่แปด
แน่นอนว่ามันไม่ได้ช่วยผู้บุกรุกทุกคน จะต้องเป็นผู้ที่มันเห็นว่าคู่ควรพอจะได้รับความช่วยเหลือเท่านั้น แน่นอนว่าหากผู้บุกรุกคนนั้นดวงไม่ดีถูกสัตว์ร้ายเขมือบทันที มันก็จะไม่ช่วยเหลือเช่นกัน
หลายปีมานี้ไม่ทราบเช่นกันว่าผู้ที่อ้างตนว่าเป็นสานุศิษย์สวรรค์แล้วถูกท่านเทพศักดิ์สิทธิ์โยนเข้าป่าทมิฬแห่งนี้มีมากน้อยเพียงใดแล้ว แต่ผู้ที่ถูกช่วยชีวิตไว้มีอัตราประมาณหนึ่งในสิบเท่านั้น
การช่วยคนของมันยังมีเงื่อนไขที่โหดเหี้ยมข้อหนึ่งด้วย นั่นก็คือพลังวิญญาณของผู้ที่ถูกช่วยต้องไม่ถึงขั้นแปด ดีที่สุดคือเหนือกว่าขั้นหกต่ำกว่าขั้นแปด เป็นระดับขั้นที่มันชมชอบช่วยเหลือที่สุด ถ้าระดับต่ำต้อยเกินไปมันจะรู้สึกว่าไม่คู่ควรให้ช่วยเหลือ ถ้าระดับสูงเกินไป…พลังวิญญาณสูงส่งถึงเพียงนี้ยังประสบเภทภัยจนปางตายได้อีก เช่นนั้นก็ไร้ความสามารถเกินไปแล้ว! ไม่ช่วย!
ตี้ฝูอีเพื่อเพิ่มอัตราในการถูกช่วยเหลือ ดังนั้นเขาจึงถอดถอนพลังวิญญาณออกไปมากกว่าครึ่ง ทำให้ดูเหมือนเหมือนมีพลังวิญญาณขั้นหก จากนั้นเขาก็เหินพลิ้วเข้าไป…
สี่เทวทูตเป็นกังวลยิ่งนัก อดไม่ได้ที่จะซุ่มอยู่สี่มุมจับตามองจอยู่ไกลๆ ในใจได้ตัดสินใจไว้แล้ว ทันทีที่นายท่านประสบอันตรายร้ายแรง พวกเขาจะพุ่งเข้าไปช่วยคนอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น! ไม่อาจปล่อยให้นายท่านถูกสัตว์ร้ายอันใดเขมือบได้เด็ดขาด!
สัตว์บนยอดเขาที่เจ็ดคือสัตว์ร้ายขั้นเจ็ด ดุร้ายอย่างยิ่ง ว่ากันไปแล้วพลังวิญญาณของตี้ฝูอีในยามนี้เพียงขั้นหกนิดๆ น่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมัน
แต่ตอนนี้ถึงแม้พลังวิญญาณของตี้ฝูอีจะต่ำ แต่ประสบการณ์ในการเผชิญหน้ากับศัตรูกลับโชกโชนนัก หลังจากเขาเข้าสู่ยอดเขาที่เจ็ด ได้พบสัตว์ร้ายขั้นเจ็ดสามตัวรุมโจมตีในสถานที่แห่งหนึ่ง ผลคือสัตว์ร้ายระดับเจ็ดทั้งสามตัวถูกเขาพลั้งมือสังหารไป แม้แต่เสื้อคลุมของเขาก็ไม่ฉีกขาดเลยสักมุม!
สี่ทูตจับตาดูอยู่รอบๆ ครู่หนึ่ง ส่ายหัวกันอย่างพร้อมเพรียง นายท่านคิดจะบาดเจ็บปางตายที่นี่เพื่อให้ได้รับความช่วยเหลือดูเหมือนจะไม่ง่ายเสียแล้ว…
เขาทุบสัตว์ร้ายจนปางตายน่าจะไว้ใจได้มากกว่า!
บทที่ 1299 นี่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะชนะอีกแล้วหรือ?!
เนื่องจากจะต้องพยายามต่อสู้อย่างสุดกำลังจริงๆ ถึงจะตกอยู่ในสภาพปางตายได้ ดังนั้นตี้ฝูอีจึงไม่สามารถออมมือได้…
เขายืนอยู่ที่เดิมครุ่นคิดเล็กน้อย ลดทอนพลังวิญญาณลงอีกระดับเสียเลย ลดเป็นขั้นหกแบบเดี่ยวๆ จากนั้นก็บุกเข้าไปในรังของสัตว์ร้ายขั้นเจ็ดตัวหนึ่ง…
นี่เป็นรังของหมีครามปีกเดี่ยวชนิดหนึ่ง ด้านในมีหมีอาศัยอยู่สี่ตัว
หมีชนิดนี้เป็นอันธพาลของยอดเขาที่เจ็ด และหมีที่อยู่ในรังนี้ก็เป็นลูกพี่ใหญ่ของเหล่าอันธพาลอีกที ปกติแล้วไม่มีสิ่งมีชีวิตใดกล้าไปยั่วยุ รังสีดุร้ายบนร่างของพวกมันทำให้สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระยะห้าลี้คร้ามครั่นจนตลิดหนีไป…
โดยทั่วไปแล้วหมีครามปีกเดี่ยวล้วนเป็นสัตว์สันโดษ แต่หมีรังนี้กลับมีสติปัญญาแล้ว และเข้าใจเหตุผลที่ว่าหมีมากพละกำลังสูง ดังนั้นไม่ว่าพวกมันจะล่าสัตว์หรือว่าปิดล้อมดินแดนก็ล้วนรวมตัวกันลงมือ ทำให้สัตว์ร้ายอื่นๆ ในยอดเขาที่เจ็ดเคียดแค้นชิงชังอย่างยิ่ง…
ตี้ฝูอีมาป่าทมิฬอยู่บ่อยครั้ง กระจ่างแจ้งในลักษณะนิสัยของสัตว์ร้ายบนยอดเขาเหล่านี้ยิ่งนัก ทราบถึงความร้ายกาจของหมีรังนี้ ดังนั้นเพื่อให้บรรลุผลลัพธ์ที่ตนต้องการโดยเร็วที่สุด ภายใต้ระดับพลังวิญญาณขั้นหก จึงเลือกบุกเดี่ยวเข้าไปในรังหมีเสียแลย!
สี่ทูตตกตะลึงหัวใจแทบจะเด้งออกมา รีบรุดติดตามไปอย่างห่างๆ หวั่นเกรงว่าจะให้ความช่วยไม่ทัน…
เนื่องจากตามกฎแล้วไม่อาจมีผู้อื่นช่วยเหลือได้ ดังนั้นสี่ทูตจึงไม่กล้าลงมือส่งๆ ได้ยินเพียงเสียงหมีคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวแว่วออกมาจากรังหมี!
หมีตัวนี้คำรามเสียงก้องฟ้า สามารถทำให้ฟ้าดินไร้ซึ่งสีสันได้เลย ผืนดินใต้ฝ่าเท้าสั่นสะเทือนปานเกิดแผ่นดินไหว
สี่ทูตอกสั่นขวัญแขวน ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เล่นใหญ่เกินไปแล้ว!
ดีร้ายอย่างไรท่านล่อออกมาทีละตัวก็ได้นี่ ตรงเข้าไปหาที่ตายในรังของผู้อื่นเช่นนี้ ถูกสี่ตัวนั้นล้อมไว้ ตะปบกรงเล็บไม่กี่ที ไยจะฉีกท่านจนกลายเป็นชิ้นๆ ไม่ได้เล่า?
เสียงคำรามของหมีในถ้ำน่าตกตะลึง สี่ทูตเกรงว่าจะมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น กำลังตัดสินใจว่าจะเข้าไปช่วยคนข้างใน อย่างมากก็แค่ทำให้ครั้งนี้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์วิวาทไปอย่างเสียเปล่า ดีกว่าปล่อยให้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นชิ้นๆ…
กลับนึกไม่ถึงว่าพวกเขายังไม่ทันโฉบไปถึงหน้าถ้ำหมี ก็เห็นหมีตัวหนึ่งลอยละลิ่วออกมา!
จากนั้นอีกตัวก็ลอยละลิ่วตามมาติดๆ…
หมีทั้งสองตัวอยู่ในสภาพจนตรอกยิ่งนัก ปีกถูกตัดทิ้งไปครึ่งหนึ่ง กางปีกที่มีอยู่ครึ่งเดียวเผ่นหนีไปโดยกรีดร้องโหยหวนเสียงดังอู้วๆ ไปตลอดทาง โลหิตไหลนองไปตลอดทาง…
สี่ทูตสบตากันแวบหนึ่ง ไม่ใช่กระมัง?!
นี่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะชนะอีกแล้วหรือ?!
ระดับพลังวิญญาณของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ลดลงไปเป็นขั้นหกแล้ว หากว่าลดลงอีกก็ไม่ตรงตามมาตรฐานของตันถันภังคีแล้ว…
หากว่าแม้แต่หมีอันธพาลรังนี้ก็ไม่อาจซ้อมท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จนปางตายได้ เช่นนั้นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ทำได้เพียงบุกเข้าไปเสี่ยงโชคที่ยอดเขาที่แปดแล้ว
พวกกู้ซีจิ่วถูกขังไว้ในใจกลางตาค่ายเขาที่แปด เขตแดนของสถานที่แห่งนั้นเกิดขึ้นตามธรรมชาติ สามารถปกป้องคนที่อยู่ด้านในไม่ให้ได้รับอันตรายจากสัตว์ร้ายของยอดเขาที่แปด แต่อาณาเขตที่โอบล้อมอยู่ด้านนอกของยอดเขาที่แปดเป็นเขตแดนที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ร่วมมือกับผู้อื่นตืดตั้งขึ้นมาเมื่อครั้งกระโน้น ผู้อื่นเข้าไปไม่ได้ แต่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์สามารถใช้วิธีพิเศษเข้าออกยอดเขาที่แปดอย่างอิสระได้ โดยไม่ต้องทำลายเขตแดน
เพียงแต่ คนอื่นๆ ที่ดูดเข้าไปในตาค่ายล้วนได้รับการช่วยเหลือในยอดเขาที่หกที่เจ็ด หากว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ประสบอันตรายในยอดเขาที่แปดจะได้รับการช่วยเหลือเปล่านะ?
พวกเขาพะวกพะวงแทนเจ้านายของบ้านตนยิ่งนัก เพียงแต่พวกเขาก็หยุดพะวงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากพวกเขาพบว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ได้ออกมาเลย…
นี่ทำให้พวกเขาร้อนใจอีกครั้ง รีบรุดเข้าไปดูในถ้ำหมี หัวใจพลันเต้นโครมคราม!
ภายในถ้ำมีหมีนอนตายอยู่สองตัว แต่เจ้านายของพวกเขากลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย!
เจ้านายของพวกเขาถูกหมีเขมือบไปแล้ว หรือว่าได้รับความช่วยเหลืออย่างที่ต้องการแล้ว?
สี่ทูตมองหน้ากันเลิกลั่ก กังวลใจอย่างยิ่ง
เพียงแต่ถึงอย่างไรท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นเทพ หากว่าเขาถูกหมีเขมือบเข้าไปดังว่า ดวงวิญญาณก็ยังคงอยู่ อย่างมากก็ไปเยือนยมโลกสักรอบ ดื่มชากับท่านยมบาลสักกา จากนั้นเขายังสามารถกลับมาได้ อย่างมากก็ต้องสิ้นเปลืองพลังยุทธ์ก่อสังขารใหม่ขึ้นมาเท่านั้นเอง
————————————————————————————-
บทที่ 1300 ไอ้สารเลวคนใดที่กล้ารบกวนการนอนของข้าผู้เฒ่า?
ได้ อย่างมากก็ต้องสิ้นเปลืองพลังยุทธ์ก่อสังขารใหม่ขึ้นมาเท่านั้นเอง ความยุ่งยากเพียงอย่างเดียวคือพลังยุทธ์ของสังขารใหม่จะต่ำต้อย ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ต้องฝึกฝนอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง…
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาชมชอบการเสี่ยงภัย สนุกสนานที่ได้ทำกิจกรรมโลดโผนท้าทายตัวเอง เพียงแต่เขายังไม่เคยพลาดท่ามาก่อนเลย ดังนั้นนับตั้งแต่สี่ทูตติดตามเขา ก็ยังไม่เคยเห็นเขาเล่นสนุกจนตัวเองตายแล้วต้องประกอบร่างขึ้นใหม่เลย วิธีนี้เป็นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เล่าออกมาเอง สี่ทูตยังไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน…
ในตาค่ายของยอดเขาที่แปดนั้นไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกได้ อุปกรณ์สื่อสารใดๆ ล้วนไม่มีประโยชน์ ดังนั้นสี่ทูตก็ติดต่อเขาไม่ได้เช่นกัน
ทำได้เพียงสวดภาวนาต่อฟ้าดินอยู่ที่นี่ ขอร้องให้ปกปักษ์รักษาท่านเทพศักดิ์มากๆ หน่อย…
เนื่องจากก่อนออกเดินทางตี้ฝูอีได้มอบหมายกิจธุระทั้งหมดให้ พวกเขาต้องปฏิบัติตามคำสั่งของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ต้องไปจัดการตามที่ควร ดังนั้นสี่ทูตจึงจากไปด้วยด้วยความสงสัยที่อัดแน่นอยู่เต็มท้อง…
….
เมื่อคืนกู้ซีจิ่วดื่มจนเมามายอยู่บ้าง นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนล้วนทราบกันถ้วนหน้า ดังนั้นทุกคนจึงนึกไปว่าวันนี้เธอคงตื่นสายมากเป็นแน่ และไม่มีใครมาเรียกเธอ
เมื่อเห็นว่าเที่ยงแล้ว ก็ยังไม่เห็นเธอออกมากินข้าว หลัวจั่นอวี่จึงค่อนข้างฉงน มาเคาะประตูเรียกเธอ
เมื่อเห็นว่าประตูไม่ได้ลงสลักไว้ จึงผลักประตูเข้าไป จากนั้นก็พบว่ากู้ซีจิ่วไม่อยู่ในบ้าน เพียงทิ้งกระดาษไว้บนโต๊ะแผ่นหนึ่ง ‘ข้าไปเก็บสมุนไพร จะกลับมาตอนเย็น’
และภายในเรือนมีเพียงเจ้าหอยยักษ์ตัวนั้นกำลังนอนหลับน้ำลายไหลยืดอยู่ หลับจนลืมวันลืมคืน
หลายวันมานี้วิถีชีวิตของเจ้าหอยยักษ์มีชีวิตชีวามากจริงๆ ส่วนใหญ่กู้ซีจิ่วเลี้ยงพวกมันสามตัวแบบปล่อยตามอัธยาศัย ดังนั้นหลายวันมานี้เจ้าหอยยักษ์จึงออกไปล่าสัตว์กับลู่อู๋น้อยทุกวัน มุดหัวอยู่ในภูเขาด้านหลัง กินจนท้องป่อง ยามค่ำถึงกลับทุกวัน
เมื่อคืนมันตามไปกินเนื้อดื่มสุราด้วย กินเนื้อไปไม่น้อยเลย และดื่มสุราไปค่อนข้างมาก ตอนนี้ยังคงเป็นหอยที่กรึ่มสุราอยู่ หุบฝานอนกรนคร่อกๆ อยู่ตรงนั้น เนื่องจากยังกรึ่มๆ อยู่ ฝาของมันจึงปิดไม่สนิท น้ำลายไหลยืดออกมา
หลัวจั่นอวี่ตบปลุกมัน มันตื่นขึ้นอย่างมีน้ำโห อ้าฝาร้องด่าคน “ไอ้สารเลวคนใดที่กล้ารบกวนการนอนของข้าผู้เฒ่า?”
หลัวจั่นอวี่แทบอยากจะถีบมันสักที!
เจ้าหอยตัวนี้ปกติก็นับว่าเป็นหอยที่มีมารยาทตัวหนึ่ง แต่ระยะนี้คลุกคลีกับชายฉกรรจ์หยาบโลนนานไปหน่อย มันจึงได้เรียนรู้คำศัพท์มาเต็มท้อง เมื่อไม่เมาก็ไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ ยามนี้ยังกรึ่มๆ อยู่จึงธาตุแท้ออกมา
หลัวจั่นอวี่ถามถึงร่องรอยของเจ้านายมัน มันงุนงงยิ่งกว่าหลัวจั่นอวี่เสียอีก ดวงตาหรี่ปรือส่ายหน้าแล้วตอบว่า “ไม่รู้ เจ้านายไม่ได้แจ้งข้าไว้”
“เช่นนั้นเจ้ารู้ไหมว่านางจะไปเก็บสมุนไพรอะไร?”
เจ้าหอยยักษ์กลอกตา “ผู้เฒ่าจะไปรู้ได้อย่างไร?!”
หลัวจั่นอวี่โมโหขึ้นมาแล้ว “ไม่ใช่ว่าเจ้าก็เคยเห็นนางหลอมมโอสถมาหลายครั้งแล้วหรอกหรือ? มีสมุนไพรชนิดใดลดน้อยลงบ้าง?”
เจ้าหอยยักษ์ไม่สบอารมณ์ “การหลอมโอสถน่าเบื่อจะตายชัก! ผู้เฒ่ามองนางหลอมโอสถไปหลับไปอยู่บ่อยๆ จะรู้ได้ยังไงว่าสมุนไพรชนิดไหนของนางลดลงบ้าง?”
หลัวจั่นอวี่พูดไม่ออกแล้ว
เขาข่มเพลิงโทสะเอาไว้ “เช่นนั้นลู่อู๋กับเพรียกวายุเล่า?”
เจ้าหอยยักษ์ชี้ไปที่บนเตียง “ลู่อู๋อยู่บนเตียง ส่วนเพรียกวายุ…” มันกวาดตามองรอบเรือน “โอ้ เพรียกวายุไม่อยู่ น่าจะแบกเจ้านายไปเก็บสมุนไพรกระมัง เมื่อคืนมันก็ไม่ได้ดื่มสุราเท่าไหร่ด้วย…”
หลัวจั่นอวี่นวดคลึงหว่างคิ้ว “ภูเขาด้านหลังอันตรายมาก เจ้านายของเจ้าไปเพียงลำพังอันตรายเกินไปแล้ว ประสาทการรับกลิ่นของเจ้ายอดเยี่ยมมากมิใช่หรือ? พาข้าไปหานางสิ”
เจ้าหอยยักษ์ไม่แยแส “นางไม่เป็นไรหรอก สัตวร้ายในภูเขาด้านหลังระดับสูงสุดก็คือขั้นเจ็ด นางเป็นยอดฝีมือขั้นแปด มีแต่นางที่จะไปทำร้ายสัตว์ ไม่ถูกสัตว์ทำร้ายหรอก เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล”
หลัวจั่นอวี่ขมวดคิ้ว “สัตว์ร้ายบนภูเขาด้านหลังถึงแม้ระดับจะไม่นับว่าสูงจนเกินไป แต่ก็มีมากมายที่ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง หากถูกล้อมไว้ ต่อให้เป็นยอดฝีมือขั้นแปดก็หนีไม่รอด นางตัวคนเดียวอันตรายเกินไปแล้ว!”
————————————————————————————-
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น