พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1297-1298

 บทที่ 1297 โดนเฮยทั่นวางกับดักแล้ว

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากมองส่งพวกหยางชิ่งจากไปแล้ว เหมียวอี้และคนอื่นๆ ก็กลับไปที่ตลาดสวรรค์


พักอยู่ที่ตลาดสวรรค์เพียงหนึ่งวันเท่านั้น เหมียวอี้ก็พาเฮยทั่นออกไปข้างนอกตามลำพังอีก หลังจากปลอมตัวแล้วก็เหาะไปยังจุดลึกของทะเลดาวอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา


เหาะระยะไกลเป็นเวลาหลายเดือน ข้ามผ่านประตูดวงดาวหลายสิบแห่ง ในที่สุดเหมียวอี้ก็มาถึงน่านฟ้าเกิงกุ่ยแล้ว


น่านฟ้าเกิงกุ่ยก็คืออาณาเขตของตระกูลโค่ว เหมียวอี้มาที่นี่ก็เพื่อเยี่ยมคารวะคนของตระกูลโค่วอยู่แล้ว และพุ่งเป้ามาที่ประตูดวงดาวแห่งที่สองจากแผนที่ดาวสี่ฉบับด้วย ประตูดวงดาวแห่งแรกคือทางเข้าแดนอเวจี ส่วนประตูดวงดาวแห่งที่สองก็ไม่รู้ว่าจะพาไปทางไหน


ก่อนหน้านี้เขาค่อนข้างใจกว้าง แต่ตอนนี้เขารู้สึกขาดความปลอดภัยนิดหน่อย ไม่กล้าตัดสินว่าเทพพยากรณ์จะรักษาความลับเรื่องเส้นทางเข้าออกพิภพเล็กหรือไม่ ดังนั้นแม้แต่พิภพเล็กเขาก็ยังรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยแล้ว จึงคิดจะหาทางหนีทีไล่อื่นๆ ถ้าเกิดสถานการณ์ที่ไม่ชอบมาพากลขึ้นมา จะได้หาที่หลบซ่อนตัวได้สะดวก กันไว้ดีกว่าแก้คือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว


เมื่อเจอจุดเริ่มต้นที่อยู่มุมบนซ้ายบนแผนที่ดาวฉบับที่สองที่เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ทำเครื่องหมายไว้แล้ว เหมียวอี้ก็เรียกเฮยทั่นออกมา แล้วขี่เฮยทั่นเหาะสำรวจตามแผนที่อย่างรวดเร็ว เมื่อค่อยๆ ออกห่างจากน่านฟ้าเกิงกุ่ย แผนที่ดาวก็ค่อยๆ หมดประโยชน์ไปทีละนิด เหมียวอี้ค้นหาโดยอิงตามแผนที่ตลอดทาง ขณะเดียวกันก็ถือแผ่นหยกสำรวจดาวรอบๆ และทำเครื่องหมายลงในเส้นทางเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด


สาเหตุก็ไม่ได้ซับซ้อน หากแผนที่ในมือผิดพลาดขึ้นมา ตัวเองจะได้อาศัยเส้นทางที่ตัวเองทำเครื่องหมายไว้เพื่อกลับน่านฟ้าเกิงกุ่ยได้ ไม่อย่างนั้นจะอันตรายเกินไปแล้ว


ไม่ว่าวรยุทธ์ของจ้าจะสูงเท่าไร แต่ในจักรวาลก็ไม่มีแบ่งแยกบนล่างซ้ายขวา ตัวอยู่ในอาณาเขตดาวที่ไม่รู้จัก ถ้าจำพิกัดที่แบ่งแยกทิศทางไม่ได้ก็จะหลงทางได้ง่ายมาก โดยเฉพาะเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่สภาพแวดล้อมโดยรอบมีระดับการแยกแยะต่ำ บางทีถ้าร่างกายลาดเอียงไปแค่นิดหน่อย เจ้าก็จะหลงทางแล้ว


อย่าไปคิดว่าวรยุทธ์สูงแล้วจะหาแหล่งดำรงชีวิตที่เหมาะสมในอาณาเขตดาวที่ไม่รู้จักเจอได้ง่ายๆ ดาราจักรกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ความสามารถในการค้นหาของตัวเองมีจำกัด บางทีดาวเคราะห์ที่เหมาะแก่การดำรงชีพอาจจะอยู่ห่างโดยใช้เวลาเหาะเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น แต่เจ้าก็สามารถคลาดผ่านมันไปได้ง่ายๆ เช่นกัน ดังนั้น ต่อให้วรยุทธ์จะสูงกว่านี้ แต่เมื่อหลงทางในดาราจักรขึ้นมา ผลลัพธ์สุดท้ายก็คืออาจจะล่องลอยหายไปในดาราจักรอันเวิ้งว้างไร้ขอบเขตตลอดไปเลยก็ได้


เหมียวอี้ย่อมไม่อยากมีจุดจบแบบนั้น มาเสี่ยงอันตรายเพียงลำพังก็ต้องระวังตัวสักหน่อย


หลังจากขี่เฮยทั่นเหาะอยู่ในดาราจักรอันกว้างใหญ่ด้วยความเร็วปกติเกือบหนึ่งเดือน เหมียวอี้ที่ถือแผนที่ดูเปรียบเทียบเป็นระยะก็พลันลุกขึ้นยืน บนใบหน้าฉายแววตื่นเต้นดีใจ ประตูดวงดาวบานหนึ่งที่กำลังหมุนวนพลันปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว


เฮยทั่นเองก็ตื่นเต้นดีใจจนเร่งความเร็วพุ่งไปข้างหน้าเช่นกัน เหมียวอี้งงไปชั่วขณะ รอจนกระทั่งรู้สึกได้ถึงแรงดึงมหาศาลที่มาจากประตูดวงดาวแล้ว เขาก็กลัวขึ้นมาทันที รีบตะโกนบอกว่า “เจ้าโจรอ้วน ทำอะไรของเจ้า? หยุดก่อน! เร็วเข้า! อย่าเข้าไป รีบกลับ!”


ตอนนี้ยังไม่รู้ชัดว่าด้านหลังประตูดวงดาวนั่นจะพาไปที่ไหน ต้องคิดหาทางทดสอบก่อนสักหน่อยแล้วค่อยว่ากัน ถ้าเป็นทางไปนรกขึ้นมา จะไม่เกิดปัญหาใหญ่หรอกเหรอ


เฮยทั่นรีบหมุตัวเลี้ยวเหาะกลับไป เหมียวอี้นอนหมอบอยู่บนหลังของมันแล้ว กำลังจับเขาสองข้างของมัน ทั้งร่างกายถูกแรงดึงมหาศาลของประตูดวงดาวดึงให้ลอยขึ้นมา ถ้าไม่ใช่เพราะคว้าเขาสองข้างของเฮยทั่นเอาไว้ ก็คงโดนแรงดึงมหาศาลดึงหลุดไปแล้ว


“เจ้าอ้วน! เร็วเข้า! เร็วสิ! เร็วๆ!” เหมียวอี้คำรามอย่างเกรี้ยวกราดร้อนใจ


“อ๋าว…” เฮยทั่นก็กลัวแล้วเช่นกัน มันร้องคำรามไม่หยุด กำลังสั่นหัวส่ายหางพยายามเหาะไปข้างหน้าอย่างสุดชีวิต แต่ผลปรากฏว่าก็ยังเหาะกลับไปข้างหลัง


เฮยทั่นยังพอต้านทานไหว แต่เหมียวอี้กลับรู้สึกว่าแขนของตัวเองกำลังจะหักแล้ว จึงคำรามสั่งอย่างจนใจว่า “กลับ! ไม่ต้องหนีแล้ว กลับ!”


เฮยทั่นบิดตัวทันที เลี้ยวเปลี่ยนทิศทางและเลิกต้านทาน ปล่อยให้แรงดึงมหาศาลดูดมันกับเหมียวอี้เข้าไปด้วยกัน


วินาทีที่ชนเข้าไปในประตูดวงดาว บึ้ม! เหมียวอี้ใช้งานกระสวยทองอันหนึ่งทันที ปล่อยลำแสงที่หมุนวนมาครอบทั้งสองเอาไว้แล้วแวบจมเข้าไป หายไปในจุดลึกของประตูดวงดาวแล้ว


ความดำมืดไร้ขอบเขตแวบผ่านไป มองเห็นดาราจักรอีกครั้ง ทั้งสองถูกพ่นออกมากลางอากาศแล้ว


ทั้งสองหยุดพร้อมกัน ตรงหน้าคือดาราจักรแพรวพราวหลากสีสัน แปลกประหลาดลี้ลับ เหมียวอี้กระตุกมุมปากเล็กน้อย ทำไมดาราจักรผืนนี้ถึงดูคุ้นๆ ล่ะ


เขาแข็งใจหยิบแผนที่ดาวออกมาร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดู ตอนไม่เห็นก็ยังดีๆ อยู่ แต่พอได้เห็นแล้วพูดไม่ออก ยังกลัวอยู่เลยว่าตัวเองจะมาที่ไหน แผนที่ดาวแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนไม่ผิดพลาด พวกเขากำลังอยู่ที่แดนอเวจี


แดนอเวจีที่แสดงอยู่ในแผนที่ดาวค่อนข้างแตกต่างจากอาณาเขตอื่น เนื่องจากแผนที่ดาวของแดนอเวจีไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนั้นจึงระบุไว้เพียงจุดที่เป็นเส้นทางเข้าออกเท่านั้น แล้วก็มีตำแหน่งดาวหลักอีกไม่กี่ดวง ถ้าต้องการจะไปที่ไหนเจ้าก็ทำได้เพียงวินิจฉัยทิศทางและคิดหาทางไปเอาเอง ไม่สามารถนำทางให้เจ้าได้อีก


และจุดที่เขาอยู่ในตอนนี้ ก็น่าจะเป็นจุดที่อยู่ระหว่างทางเข้าออกแดนอเวจี


แต่สิ่งนี้ล้วนไม่สำคัญ ที่สำคัญคือเขาได้เข้ามาในนรกแล้วจิรงๆ! เหมียวอี้คว้าทวนเกล็ดย้อนออกมากลางอากาศ แล้วตีไปบนหัวที่มีกระดองนูนของเฮยทั่นครั้งแล้วครั้งเล่า ตีจนเสียงดังตุ้งๆๆ ตีไปพลางด่าไปพลาง “เจ้าจะวิ่งหาพระแสงอะไร? ใครใช้ให้เจ้าวิ่ง? ข้าให้เจ้าวิ่งเหรอ? เจ้าจะหุนหันพลันแล่นทำไม…”


“อ๋าว…อ๋าว…” เฮยทั่นหดหัวพลางร้องครางสองครั้ง เหมือนรู้สึกน้อยใจมาก การเหาะอยู่ในดาราจักรเป็นเรื่องที่เหงามาก โดยเฉพาะการเหาะเป็นเวลานานขนาดนั้น ไม่ง่ายเลยกว่าจะเห็นประตูดวงดาวโผล่มา มันก็เลยตื่นเต้นนิดหน่อย อดไม่ได้ที่จะหุนหันพลันแล่นไปชั่วขณะ ผลที่ได้ก็คืออับอายนิดหน่อย…


ต่อให้ตีเจ้านอกคอกตัวนี้ให้ตายก็ไม่มีประโยชน์! เหมียวอี้ที่ระบายอารมณ์ไปยกหนึ่งแบกทวนเหลียวซ้ายแลขวา ในใจร่ำร้องด้วยความเศร้า ตอนนี้โดนเฮยทั่นวางกับดักตายแล้วจริงๆ แบบนี้ไม่ได้นะ! คนอื่นหลบหลีกไม่อยากมาที่นี่ แต่ตัวเองกลับเป็นฝ่ายพุ่งชนเข้ามา ตอนนี้เป็นปัญหาใหญ่แล้วว่าจะออกไปได้อย่างไร ทางออกโดนตำหนักสวรรค์ปิดไว้แล้ว


รอให้การทดสอบรอบนี้จบแล้วตามออกไปด้วยกันดีมั้ย? ท่านนั้นจะต้องถามแน่นอน ว่าเจ้าถ่อเข้ามาในนี้ได้อย่างไร? เจ้าก็จะไม่มีทางอธิบายแล้ว


แล้วอีกอย่าง การรออยู่ในนี้ร้อยสองร้อยปีแล้วค่อยออกไปก็ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ตัวเองเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ คอยเฝ้าคุมอาณาเขต ถ้าไม่มีเหตุผลที่เหมาะสมก็จะละทิ้งหน้าที่นานเกินไปไม่ได้ ถ้ากลับไปอีกครั้งก็คงจะเปลี่ยนคนมาเป็นผู้บัญชาการใหญ่แล้ว ส่วนตัวเองก็รอถูกสืบสวนได้เลย!


ส่วนความปลอดภัยในแดนอเวจี เขากลับไม่ต้องกังวล จะดีจะร้ายอย่างไรก็เป็นหนึ่งในประมุขปราชญ์หกลัทธิ แต่ปัญหาคือถ้าอีกฝ่ายถามว่าเจ้ามาได้อย่างไร เจ้าเองจะอธิบายอย่างไรล่ะ?


จะซ้ายหรือขวาก็ลำบาก! ผู้บัญชาการใหญ่หนิวคิดวนเวียนไปมา ก็เลยถือทวนเกล็ดย้อนมาทำเป็นไม้กระบอง ฟาดเฮยทั่นอีกยกหนึ่ง เฮยทั่นโดนตีแต่ไม่โต้ตอบ ได้แต่ร้องครางอย่างคับแค้นใจ


หลังจากใช้ทวนเกล็ดย้อนระบายอารมณ์ไปพักหนึ่ง จู่ๆ เหมียวอี้ก็ชะงักไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ เขาเก็บทวนเกล็ดย้อนแล้ว จากนั้นหยิบแผนที่ประตูดวงดาวสองฉบับที่ทำสำเนาไว้ออกมาตรวจดู


จุดเริ่มต้นของประตูดวงดาวสองแห่งนี้ไม่ได้อยู่ในแผนที่ดาว งั้นเป็นไปได้หรือเปล่าว่าจะอยู่ที่แดนอเวจี? นี่คือเรื่องที่มีความเป็นไปได้ ของออกมาจากแดนอเวจี ทั้งยังทำให้หาประตูดวงดาวของแดนอเวจีสองแห่งพบอย่างต่อเนื่องกัน เช่นนั้นประตูดวงดาวอีกสองแห่งอาจจะเป็นประตูดวงดาวสำหรับออกจากแดนอเวจีหรือเปล่า?


ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ก็เป็นไปได้เหมือนกันว่าอีกสองแห่งจะเป็นประตูดวงดาวทางเข้าแดนอเวจี หรือไม่ตัวเองก็คิดมากไป หรือที่จริงแล้วจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนรกเลย


สรุปก็คือ มีความเป็นไปได้ที่ประตูดวงดาวสองแห่งนั้นจะเป็นทางออกของแดนอเวจี หรือพูดได้อีกอย่างว่า ตัวเองยังมีโอกาสออกไปจากที่นี่


เมื่อมีความคิดแบบนี้แล้ว เขาก็เริ่มมองเห็นความหวังนิดหน่อย หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขาก็ขี่เฮยทั่นไปเหยียบลงบนดาวเคราะห์รกร้างดวงหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ ตอนอยู่ที่นี่เขาเองก็ไม่กล้าเพ่นพ่านไปทั่วเหมือนกัน เขาไม่ได้กลัวโจรกบฏ แต่เคยได้รับบทเรียนมาแล้วว่าสภาพแวดล้อมในนี้อันตรายขนาดไหน ต้องหาคนมาช่วยนำทาง จึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับคนอื่น


หลังจากนั้นครึ่งวัน เงาคนคนหนึ่งก็ถลันวูบเข้าจากจุดลึกของดาราจักร ลอยอยู่เหนือดวงดาวรกร้างพร้อมทั้งใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองสำรวจด้านล่าง ผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน กงซุนลี่เต้านั่นเอง


ในที่กำบังบนภูเขาหินลูกหนึ่งของดวงดาวรกร้าง เหมียวอี้โผล่ออกมา ถลันตัวขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วกุมหมัดคารวะด้วยรอยยิ้ม “นึกไม่ถึงว่าจะรบกวนให้ขุนพลใหญ่กงซุนมาด้วยตัวเองแล้ว”


เขาปลอมตัวมาแล้ว ทีแรกกงซุนลี่เต้าก็สงสัย จนกระทั่งได้ยินเสียงของเหมียวอี้ เขาถึงได้กุมหมัดคารวะ “ประมุขปราชญ์ เอ่อคือ…”


เหมียวอี้รู้ว่าเขากำลังสงสัยอะไร จึงกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ถ้ามีอะไรจะถาม ไว้เจอประมุขขุนพลแล้วค่อยถามก็ยังไม่สาย อีกห้าปราชญ์ไม่รู้ใช่มั้ยว่าข้ามา?”


เขาไม่อยากให้มู่ฝานจินและตาแก่อีกสี่คนรู้ว่าเขามา


“ในเมื่อประมุขปราชญ์สั่งไว้แล้ว ก็ย่อมไม่มีการเปิดเผยข่าวขอรับ” กงซุนลี่เต้าตอบ


จากนั้นทั้งสองก็ออกเดินทาง กงซุนลี่เต้าคล้องแขนเหมียวอี้ แล้วเหาะไปยังจุดลึกของดาราจักรที่ประหลาดพิศวงอย่างรวดเร็ว


อีกเกือบครึ่งวันหลังจากนั้น ทั้งสองก็แฉลบลงมาจากฟ้า มาเหยียบลงนอกตำหนักเก่าแก่โบราณ


เมื่อเห็นจินม่านที่สวมชุดกระโปรงสีทองยืนสง่าอยู่บนบันไดนอกตำหนัก เหมียวอี้ก็ฉีกหนังปลอมบนใบหน้าตัวเองเพื่อเผยโฉมหน้าที่แท้จริง


ตอนนี้จินม่านที่ในดวงตาฉายแววสงสัยเล็กน้อยถึงได้ถลันตัวมาข้างหน้า นำเหลียงหรงกับหมี่หลิงมาทำความเคารพ”ประมุขปราชญ์”


เหมียวอี้ยังไม่ชินกับการวางมาดเป็นประมุขปราชญ์ จึงกุมหมัดคารวะตอบ “ประมุขขุนพล!”


จินม่านขมวดคิ้ว จากนั้นก็ยื่นมือเชิญ แล้วรีบเดินเข้าไปในลานบ้านหลังตำหนักที่เหมียวอี้เคยพักอาศัยอยู่


พอเข้ามาในโถงหลักก็นั่งลงแบบแบ่งชนชั้น หลังจากวางน้ำชาแล้ว จินม่านก็ถามด้วยสีหน้าสงสัยประหลาดใจ “ประมุขปราชญ์ ตัวท่านอยู่ข้างนอกแล้วเข้ามาในนี้ได้อย่างไร?”


เหมียวอี้ยิ้มพร้อมตอบว่า “ในบรรดาขุนพลที่เฝ้าทางเข้าออกที่นี่อยู่ ข้าเพิ่งรู้จักกับคนคนหนึ่ง ก็เลยคิดหาทางติดสินบนเขา ฉวยโอกาสตอนที่พวกเขาเข้ามาทำงานตรงทางเข้าออกที่ปิดล้อมไว้ เข้าในกระเป๋าสัตว์ของเขาเพื่อปะปนเข้ามา รอตอนที่เขาออกไปข้าค่อยปะปนออกไปกับเขา”


ตอนนี้เหมียวอี้ยังไม่อยากเปิดเผยความลับเรื่องที่ตัวเองเข้ามาที่นี่ให้พวกเขารู้ ต้องกุมช่องทางแบบนี้ไว้ในมือตัวเองถึงจะมีแต้มต่อ ในภายหลังถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แล้วโลกภายนอกไม่มีทางหนีทีไล่จริงๆ ก็ทำได้เพียงพาครอบครัวหนีมาที่นี่


ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! จินม่านและกงซุนลี่เต้าสบตากันแวบหนึ่ง ให้ความรู้สึกเหมือนแอบทึ่ง ดูท่าแล้วประมุขปราชญ์ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน ตำหนักสวรรค์ขนาดเฝ้าป้องกันแน่นหนาขนาดนี้ยังเล็ดรอดเข้ามาได้


กงซุนลี่เต้ากลับถามหยั่งเชิงว่า “ประมุขปราชญ์ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พอจะมีทางพาพวกเราออกไปด้วยได้มั้ย?”


สงสัยจะคิดอยากออกไปจากที่นี่ตลอด! เหมียวอี้แอบพึมพำในใจ แล้วโบกมือบอกว่า “เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าได้หรือไม่ได้ อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่ถึงเวลาที่พวกเจ้าจะออกไป”


“แล้วครั้งนี้ประมุขปราชญ์เข้ามาในนี้เพราะมีจุดประสงค์อะไร?” จินม่านถาม


เหมียวอี้ตอบว่า “มาทดลองด้วยตัวเองก่อนว่าการเข้าออกยากลำบากขนาดไหน จะได้เตรียมตัวพาพวกเจ้าออกไป สาเหตุรองก็เพื่อจะมาพิสูจน์เรื่องบางอย่าง สุดท้ายก็มาเยี่ยมผู้บังคับบัญชาคนนั้นของข้าสักหน่อย พวกเราต้องคิดหาทางว่าจะควบคุมนางไว้ได้หรือเปล่า ข้าจะได้ทำงานที่ตำหนักสวรรค์ได้สะดวก”


ไม่น่าเชื่อว่ามารอบเดี๋ยวก็คิดจะจัดการตั้งหลายเรื่อง นี่สิคือทัศนคติในการทำงานที่ประมุขปราชญ์ควรจะมี จินม่านพยักหน้าเบาๆ แล้วกุมหมัดถามว่า “ต้องการให้พวกเราให้ความร่วมมืออะไรหรือเปล่า ประมุขปราชญ์กำชับมาได้เลยค่ะ”


เหมียวอี้หยิบแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกมายื่นให้นาง “พวกเจ้าตรวจดูสถานที่สองแห่งนี้หน่อย ดูว่าแดนอเวจีมีสองที่นี้หรือเปล่า” ก่อนที่กงซุนลี่เต้าจะมารับเขา เขาก็วาดแผนที่ดาวตรงมุมบนขวาของแผนที่ประตูดวงดาวอีกสองฉบับแยกเอาไว้แล้ว เกรงว่าโจรกบฏกลุ่มนี้คงจะรู้จักนรกดีที่สุด


บทที่ 1298 แผนนี้สกปรกโสมมเกินไป

โดย

Ink Stone_Fantasy

แน่นอน เหมียวอี้ยังต้องพูดเสริมอีกว่า “อย่าบอกเรื่องนี้ให้อีกห้าลัทธิรู้นะ”


“ประมุขปราชญ์วางใจได้ การที่หกลัทธิทำงานร่วมกันไม่ได้แปลว่าจะเปิดเผยความลับในบ้านตัวเอง”


จินม่านตอบพร้อมรอยยิ้ม ที่จริงสำหรับลัทธิอู๋เลี่ยงพวกเขายินดีที่จะเห็นเหมียวอี้ไม่ลงรอยกับอีกห้าลัทธิ ก็เป็นอย่างที่นางบอก ตอนนี้ร่วมมือกันเพื่อปกป้องตัวเองภายใต้ความจนใจเท่านั้น ถ้าวันไหนสามารถโค่นล้มตำหนักสวรรค์ได้จริงๆ ก็ย่อมกลับสู่สภาวะการช่วงชิงความเป็นมหาอำนาจของหกลัทธิอยู่แล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่อยากรับความไม่ยุติธรรมอยู่ใต้ลัทธิอื่นทั้งนั้น


พอนางรับแผ่นหยกมาดูในมือ เหมียวอี้ก็ทำสีหน้าเฝ้าคอยทันที


ใครจะคิดว่าจินม่านจะขมวดคิ้วครุ่นคิดได้ครู่เดียว เหมือนจะไม่พบเบาะแสอะไร จึงส่งต่อให้กงซุนลี่เต้าอีก “เจ้าดูซิ”


สายตาเหมียวอี้มองตามไป กงซุนลี่เต้าพิจารณาอยู่พักหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง พึมพำเบาๆ ว่า “เหมือนจะคุ้นๆ อยู่นะ เดี๋ยวข้าจะกลับไปค้นหาหลักฐานอีกสักหน่อย”


เมื่อได้ยินว่ามีหวัง เหมียวอี้ก็รีบบอกว่า “หวังว่าจะรีบๆ หน่อยนะ ข้ารอตรวจสอบยืนยันเรื่องนี้อยู่”


“ข้าจะตรวจสอบโดยเร็วที่สุด” กงซุนลี่เต้าพยักหน้าตอบ


“รบกวนขุนพลใหญ่แล้ว” เหมียวอี้กล่าว


“ประมุขปราชญ์ แล้วปี้เยว่นั่น นายท่านเตรียมจะควบคุมยังไงคะ?” จินม่านถาม


เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าเองก็กำลังพิจารณาเรื่องนี้เหมือนกัน ไม่รู้ว่าพวกเจ้ามีวิธีการดีๆ บ้างหรือเปล่า?”


“ไม่ปิดบังประมุขปราชญ์ ข้าเองก็เคยคิดว่าจะช่วยประมุขปราชญ์ควบคุมนางได้อย่างไร แต่ก็ไม่มีวิธีไหนแล้วจริงๆ ผู้ชายของนางอยู่ในตำแหน่งโหวฝั่งโจรกบฏ คนที่อยู่ในระดับนั้น เกรงว่าการที่พวกเราจับฮูหยินของเขามาก็อาจจะขู่เขาไม่ได้ ถึงตอนนั้นเขาจะต้องตัดขาดอย่างไม่ลังเลแน่นอน” จินม่านตอบ


ในตอนนี้ หมี่หลิงเดินเข้ามาจากด้านนอกแล้ว นางมองจินม่านครู่หนึ่ง แล้วก็มองเหมียวอี้อีก เหมือนไม่รู้ว่าจะรายงานท่านไหนดี


“มีเรื่องอะไร ว่ามาเถอะ” จินม่านถาม


หมี่หลิงถึงได้ตอบว่า “ประมุขขุนพล ขุนพลใหญ่สือกับขุนพลใหญ่อ๋าวมาแล้วค่ะ”


“เชิญเข้ามา” จินม่านพยักหน้า


หมี่หลิงออกไปได้ไม่นาน สืออวิ๋นเปียนกับอ๋าวเถี่ยก็เข้ามาด้วยกัน พอทั้งสองเห็นเหมียวอี้อยู่ในโถงหลัง ก็ยืนงงอยู่ตรงประตูทันที พวกเขามองหน้ากันเลิกลั่ก นึกว่าตัวเองดูผิดไป


“ไม่ต้องสงสัยหรอก เป็นประมุขปราชญ์…” จินม่านเล่าคร่าวๆ ทันทีว่าเหมียวอี้มาที่นี่ได้อย่างไร


ตอนนี้ทั้งสองถึงได้กุมหมัดคารวะอย่างประหลาดใจสงสัยอยู่บ้าง “คารวะประมุขปราชญ์”


“ขุนพลใหญ่ทั้งสองไม่ต้องเกรงใจ” เหมียวอี้ผายมือขึ้นเล็กน้อย แล้วถามจินม่านต่อว่า “พวกเจ้ามียาพิษที่ร้ายแรงอะไรบ้างหรือเปล่า ยาพิษที่สามารถควบคุมคนได้น่ะ?”


จินม่านส่ายหน้า “ตราบใดที่ไม่ทำให้ถึงตาย เกรงว่าทางโจรกบฏก็ล้วนมีวิธีถอนพิษ ในจุดนี้สำคัญมาก ตราบใดที่ปล่อยคนกลับไป ไม่ว่าจะใช้วิธีการอะไร เกรงว่าพวกเราจะควบคุมไม่ได้เลย ดีไม่ดีอาจจะโดนตำหนักสวรรค์ปลุกระดมให้ก่อกบฏก็ได้ กลับจะสร้างภัยคุกคามให้พวกเราด้วยซ้ำ นี่ก็เป็นเหตุลที่ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แต่พวกเราก็ยังไม่กล้ารับคนของตำหนักสวรรค์ง่ายๆ ดังนั้นไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ตราบใดที่มีคนของตำหนักสวรรค์มาที่นี่ พวกเราก็จะประหารอย่างเดียว”


“ดึงนางให้มาสมคบกับพวกเราดีมั้ย? สร้างใบรับรองสมาชิกให้นาง แล้วค่อยปล่อยนางกลับไปดีมั้ย?” เหมียวอี้ถาม


กงซุนลี่เต้าตอบว่า “อันนี้พวกเราเคยลองตั้งแต่ปีแรกๆ แล้ว ตอนนี้โจรกบฏยึดครองใต้หล้าไปแล้ว ทรัพยากรในมือที่พวกเขามี พวกเราก็เทียบไม่ติดเลย ถ้าปล่อยคนออกไปก็จะทรยศแน่ๆ ประมุขชิงเองก็ไม่ใช่เล่นๆ สำหรับประมุขชิง คนทรยศที่สร้างใบรับรองสมาชิกที่นรก การฆ่าคนของตัวเองนิดหน่อยไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย แต่ขอเพียงมีค่าให้ใช้ประโยชน์ เขาก็จะไม่เพียงแค่มองข้ามความผิดในอดีต แต่จะให้ความสำคัญและตบรางวัลด้วย ครั้งนั้นทำให้พวกเราเสียหายหนักมาก แทบจะหว่านแหกำจัดคนของเราที่อยู่ข้างนอกจนหมด ดังนั้นวิธีการนี้จึงไม่ได้ผลเลย มีบทเรียนให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว หลังจากกลับไปนางจะทำยังไงข้าย่อมรู้ ถึงตอนนั้นไม่ใช่แค่จะไร้ความผิด แต่ยังมีผลงานด้วย!”


เหมียวอี้กลุ้มใจทันที วิธีการนี้ของประมุขชิงช่างโหดจริงๆ สามารถตัดความคิดของโจรกบฏนรกในด้านนี้ได้ในรวดเดียว พอเป็นแบบนี้ก็หมดหนทางกับปี้เยว่แล้วจริงๆ นอกเสียจากจะจงใจหลอกท่านโหวเทียนหยวน ไม่อย่างนั้นขอเพียงปล่อยปี้เยว่กลับไป ทุกอย่างก็จะเปล่าประโยชน์ บีบจุดอ่อนของปี้เยว่ไม่ได้เลย


สืออวิ๋นเปียนกับอ๋าวเถี่ยที่มาใหม่ได้ฟังแล้วไม่เข้าใจ สืออวิ๋นเปียนกุมหมัดถามว่า “ไม่ทราบว่าประมุขปราชญ์และคนอื่นๆ กำลังปรึกษาเรื่องอะไรกันอยู่?”


“คนคนนั้นที่ถูกพวกเราควบคุมไว้ ประมุขปราชญ์อยากจะใช้ประโยชน์เพิ่ม…” กงซุนลี่เต้าเล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ


สืออวิ๋นเปียนได้ยินแล้วส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “เรื่องให้กลับไปอยู่หน่วยงานภายในของโจรกบฏก็ไม่ต้องคิดแล้ว ประมุขชิงไม่ใช่คนถือศีลกินเจ ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น พวกเราเคยเสียเปรียบไปแล้วครั้งหนึ่ง ตามความคิดของข้า ถ้าไม่มีค่าให้ใช้ประโยชน์แล้ว ก็ฆ่าให้หมดเกลี้ยงไปเสียเลยดีกว่า”


“จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ได้…” อ๋าวเถี่ยที่รูปร่างผอมแห้งและสวมชุดคลุมสีดำ เขากำลังเอามือขยี้เคราสีขาว หรี่ดวงตาสามเหลี่ยม แววตาดุร้ายในร่องตาฉายประกายเล็กน้อย กล่าวสิ่งที่ทำให้คนตกใจออกมา “ถ้าไม่รีบร้อนอยากได้ผลงาน ให้นางกลับไปหาโจรกบฏแล้วไม่เปิดเผยความลับ ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีการเลย”


“อ้อ!” เหมียวอี้สนใจทันที รีบขอคำชี้แนะ “ข้าจะล้างหูรอฟัง”


อ๋าวเถี่ยตอบกลั้วหัวเราะว่า “ข้าเองก็มีแผนการแล้ว เพียงแต่แผนนี้สกปรกโสมมเกินไป ถ้าพูดออกไปแล้วก็เกรงว่าจะทำให้ประมุขขุนพลไม่พอใจ”


จินม่านลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ตราบใดที่มีประโยชน์ต่อลัทธิอู๋เลี่ยงของข้า สามารถช่วยให้ประมุขปราชญ์โจมตีเข้าไปภายในของโจรกบฏได้ ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร จะเรียกว่าสกปรกโสมมได้ยังไง มีประโยชน์ก็พอแล้ว”


อ๋าวเถี่ยหันซ้ายหันขวามองทุกคน “อยากจะฟังจริงเหรอ?”


“อยากฟัง!” ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน สืออวิ๋นเปียนก็ยิ่งพูดเร่งว่า “เจ้าบอกมาเร็วๆ หน่อย อย่าล่อให้อยากรู้”


“ถ้าใจร้อนจะทำไม่สำเร็จ แผนนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไป ต้องใช้เวลา…” อ๋าวเถี่ยอธิบายแผนของตัวเองทันที


หลังจากได้รู้แผนการของเขาแล้ว ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็งงเป็นไก่ตาแตก เหมียวอี้สูดหายใจอย่างตกตะลึง พึมพำในใจว่า แผนนี้ช่างต่ำทรามไร้ยางอายจริงๆ มีน่าล่ะถึงรู้สึกเขินอายที่จะพูดออกมา จินม่านกัดริมฝีปาก ดูจากท่าทางแล้ว เหมือนเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะตบอ๋าวเถี่ยสักฉาด แม้แต่เหลียงหรงที่อยู่ข้างๆ ก็มองเขาราวกับมองเห็นสัตว์ประหลาด


ส่วนอ๋าวเถี่ยเองก็หดคอหัวเราะแห้งๆ หลังจากพูดจบ เป็นชายชราแล้วแท้ๆ แต่กลับทำสีหน้าเขินอายเหมือนเด็กน้อย ทั้งยังรีบเปลี่ยนประเด็นสนทนากับเหมียวอี้ด้วย “ประมุขปราชญ์ ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง จะใช้แผนนี้หรือไม่ก็แล้วแต่ท่านปราชญ์เลย!”


เหมียวอี้lส่งเผือกร้อนในมือกลับไปทันที “ขุนพลใหญ่อ๋าวรู้สึกว่าใช้แผนนี้ได้จริงเหรอ?”


อ๋าวเถี่ยตอบว่า “ตามหลักการแล้วได้ผล แต่สามีของปี้เยว่คือท่านโหวของฝั่งโจรกบฏ วรยุทธ์ก็ถึงระดับระดับบงกชกลายแล้วด้วย ถ้าอยากให้โอกาสของแผนนี้สำเร็จเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย ทางฝั่งพวกเราต้องส่งคนที่ไม่ว่าปัจจัยทางด้านวรยุทธ์ ความสามารถหรือรูปลักษณ์ภายนอกล้วนเหนือกว่า”


กงซุนลี่เต้าเหล่ตามตอบ “ทางข้ามีตัวเลือกที่ดีอยู่คนหนึ่ง!”


สืออวิ๋นเปียนหลุดขำออกมา แทบจะกล่าวชื่อของคนคนหนึ่งออกมาเป็นเสียงเดียวกับอ๋าวเถี่ย “ไห่ยวนเค่อ!”


“ใช่แล้ว!” กงซุนลี่เต้ากล่าวอย่างสบายๆ


จินม่านได้ยินแล้วกลอกตามองบน แล้วจะหลุดพูดคำว่า ‘ต่ำช้าไร้ยางอาย’ ออกมา


“หา!” เหมียวอี้ทำท่าเหมือนตกใจมาก กลืนน้ำลายแล้วถามว่า “ขุนพลใหญ่ไห่จะยอมตอบตกลงทำเรื่องแบบนี้เหรอ?”


กงซุนลี่เต้าตอบว่า “ประมุขปราชญ์ไม่เคยเจอไห่ยวนเค่อ ถ้าเคยเจอแล้วจะต้องรู้สึกว่าเหมาะสมแน่นอน ปัจจัยภายนอกของเจ้านั่นมีแรงดึงดูดต่อผู้หญิงอยู่หลายส่วน ทั้งยังชอบวางมาดเก๊กหล่อทั้งวัน ทำให้คนเห็นแล้วอยากจะอ้วก ตอนนี้ส่งไปใช้ประโยชน์ได้พอดีเลย เพียงแต่เป็นอย่างที่ประมุขปราชญ์บอก เจ้านั่นจะยอมตอบตกลงทำเรื่องแบบนี้เหรอ เกรงส่าจะต้องให้ประมุขขุนพลไปเกลี้ยกล่อมด้วยตัวเอง”


จินม่านปฏิเสธทันที “ถ้าจะพูดพวกเจ้าก็ไปพูดเองสิ ข้าพูดไม่ออกหรอก”


“เหอะๆ!” สืออวิ๋นเปียนยกมือห้าม “ช่างเถอะ ประมุขขุนพลเป็นผู้หญิง ไม่สะดวกจะพูดเรื่องประเภทนี้จริงๆ พวกเราสามคนไปเป็นนายหน้าติดต่อด้วยกัน”


ขุนพลใหญ่ทั้งสามสบตากันด้วยรอยยิ้มราวกับใจตรงกัน ทำสีหน้าเจ้าเล่ห์ดุร้าย


“จริงด้วย ถ้าสามารถใช้แผนนี้ได้ ตอนหลังก็จะใช้แผนนี้ได้อีกหลายครั้ง” กงซุนลี่เต้าพยักหน้า


อ๋าวเถี่ยบอกว่า “ไม่เหมาะจะใช้แผนนี้หลายครั้ง อันดับแรกเป็นเพราะผู้หญิงที่มาเข้าร่วมการทดสอบมีไม่เยอะ แล้วถ้าคนเยอะมีหลายปากก็จะถูกเปิดโปงได้ง่าย ถ้าฝ่ายนั้นเปิดเผยความลับขึ้นมา ฝั่งโจรกบฏจะต้องระวังผู้หญิงทุกคนที่เข้าร่วมการทดสอบแน่นอน กลับจะทำให้ความพยายามที่ทุ่มเทไปก่อนหน้าเสียเปล่าได้ง่ายๆ”


สืออวิ๋นเปียนพยักหน้า แล้วกล้าวว่า “ประมุขปราชญ์ ประมุขขุนพล พวกเราขอตัวไปจัดการเรื่องนี้ก่อน”


เหมียวอี้ยืนขึ้นกุมหมัดคารวะ “รบกวนแล้ว ขุนพลใหญ่กงซุน รีบจัดการเรื่องนั้นให้เร็วไว”


กงซุนลี่เต้าพยักหน้าบอกใบ้ว่าทราบแล้ว จากนั้นขุนพลใหญ่ก็ออกไปด้วยกัน


ตอนนี้จินม่านถึงได้ทำเสียงฮึดฮัดแล้วพูดเหน็บแนมว่า “พวกผู้ชายไม่มีใครดีสักคน!”


เหมียวอี้ที่อยู่ข้างๆ ทำสีหน้าอึดอัดเก้อเขิน พลอยโดนด่าไปด้วยแล้ว


วันต่อมา กงซุนลี่เต้าพาเหมียวอี้ไปยังดาวเคราะห์ที่ปี้เยว่ฮูหยินซ่อนตัวอยู่ เหมียวอี้เป็นฝ่ายขอมาเอง เพราะอยากจะเห็นว่าปี้เยว่ฮูหยินเป็นอย่างไรบ้างแล้ว แน่นอน เขารู้สึกว่าละครเรื่องนี้ยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว ไม่อยากจะพลาด อยากจะเห็นว่าตัวเอกฝ่ายชายหน้าตาเป็นอย่างไร ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนคนกลุ่มหนึ่งผลักให้มาทำเรื่องแบบนี้


กงซุนลี่เต้า อ๋าวเถี่ย สืออวิ๋นเปียน แล้วก็ยังมีขุนพลใหญ่ซือถูชิงหลันที่รู้สึกว่าพลาดละครยอดเยี่ยมเรื่องนี้ไม่ได้ก็มาด้วยเช่นกัน เดิมทีที่นี่ก็คือเขตที่อยู่ในความรับผิดชอบของนางอยู่แล้ว เมื่อรู้ว่าประมุขปราชญ์มา ถ้านางไม่โผล่หน้ามาเจอสักหน่อยก็จะฟังดูเหลวไหล


“ซือถูกชิงหลันคารวะประมุขปราชญ์!”


บนป่าที่รกร้าง ซือถูกชิงหลันสวมชุดกระโปรงผ้ามุ้งบางสีม่วง ปล่อยผมยาวคลุมหลังโดยไม่ได้มัด นางกำลังกุมหมัดคารวะตรงหน้าเหมียวอี้ ดวงตางามมองสำรวจเหมียวอี้อย่างเย็นเยียบ แต่จนใจที่บนใบหน้าเหมียวอี้ใส่หน้ากากปลอมตัวอยู่ มองไม่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง แล้วก็คงไม่ดีถ้านางจะฉีกหน้ากากบนหน้าเหมียวอี้ออก ทำให้เจอแล้วก็เหมือนไม่ได้เจอ นางรู้สึกเซ็งในใจ


“ขุนพลใหญ่ไม่ต้องมากพิธี” เหมียวอี้ผายมือเล็กน้อย ในใจแอบรู้สึกปลง เป็นผู้หญิงสวยอีกคนหนึ่งแล้ว ผู้ชายในใต้หล้านี้ตายหมดแล้วรึไง ทำไมมีแต่ผู้หญิงที่กุมอำนาจมหาศาล ยกตัวอย่างเช่นจินม่าน เขายังมีทัศนคติเรื่องชายเป็นใหญ่อยู่นิดหน่อย


ซือถูกชิงหลันย่อมไม่ทำตัวมากพิธีรีตองอยู่แล้ว นางหยุดทำความเคารพ แล้วมองคนอื่นๆ พร้อมถามว่า “แค่นักพรตบงกชรุ้งคนเดียว สะเทือนจนทำให้พวกเจ้าต้องโผล่หน้ามาพร้อมกันเลยเหรอ พวกเจ้าจะทำอะไรกันแน่?”


พวกเขายิ้มอย่างถ่อมตัวและมีลับลมคมใน สืออวิ๋นเปียนโบกมือบอกว่า “เรื่องแบบนี้ผู้หญิงอย่างพวกเจ้าอย่ารู้จะดีกว่า”


ซือถูกชิงหลันเหล่ตามถาม “ดูถูกผู้หญิงเหรอ? พวกเจ้าเกิดมาจากก้อนหินรึไง?”


“ทุกคน ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเถียงกัน” เหมียวอี้รีบคลี่คลายบรรยากาศ กลัวว่าพวกเขาจะทะเลาะกัน รีบเปลี่ยนประเด็นพูดว่า “ปี้เยว่อยู่ที่ไหน?”


“ตามข้ามา เบาๆ หน่อย อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น” กงซุนลี่เต้าบอก


จากนั้นทุกคนก็ลอยไปเหยียบลงเหนือหุบเขาแห่งนึ่ง กงซุนลี่เต้าชี้ไปยังหินก้อนใหญ่ที่อุดปากถ้ำตรงหุบเขาด้านล่าง เหมียวอี้มองดูสภาพด้านล่างแล้วต้องกลั้นขำ นึกไม่ถึงว่าปี้เยว่ฮูหยินที่ยามปกติใช้อำนาจบาตรใหญ่ชี้นิ้วสั่งเขาจะทำงานประเภทขุดถ้ำได้


หลังจากดูเสร็จแล้ว กงซุนลี่เต้าให้ก็พวกเขาหลบไปอยู่ในที่ลับเพื่อรอดูละครสนุกๆ จากนั้นก็โบกมือ คนสี่คนที่ดักซุ่มเฝ้าดูอยู่ตลอดกระโดออกมา พวกเขาสบตากันแล้วพยักหน้า ก่อนจะลงไปในหุบเขาด้วยกัน


…………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)