พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1295-1296

 บทที่ 1295 หาหลักฐานพิสูจน์

โดย

Ink Stone_Fantasy

อวิ๋นจือชิวอึ้งไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงโยงมาพูดเรื่องนี้ จึงถามอย่างสงสัยว่า “เจ้าสงสัยเหล่าไป๋ทำไม?”


เหมียวอี้ส่ายหน้า เหมือนจะไม่อยากพูดถึงเรื่องเหล่าไป๋มาก จึงพูดสิ่งเดิมต่อ “ในตอนนั้นข้ายังไม่รู้ว่าหมายความว่ายังไง ตอนหลังถึงได้เริ่มเข้าใจทีละนิด สิ่งที่เขาพูดกำลังถูกพิสูจน์ทีละอย่าง ถ้าวันไหนข้ารู้สึกโดดเดี่ยวจริงๆ อวิ๋นจือชิว เจ้าจะยังอยู่เคียงข้างข้ามั้ย?”


อวิ๋นจือชิวยื่นขาสองข้างออกมาพันเอวเขา จูบหัวไล่ของเขาเบาๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เป็นสามีภรรยาที่ผูกชีวิตไว้ร่วมกัน ไม่แยกจากกัน จนกระทั่งตายก็ไม่เปลี่ยนแปลง”


เหมียวอี้ใช้มือลูบไล้ขาที่เกลี้ยงเกลาของนาง พลางกล่าวเสียงต่ำอย่างช้าๆ ว่า “ตั้งแต่ข้าเริ่มเข้าวงการนี้ ก็ผ่านการเข่นฆ่าทั้งสนามเล็กสนามใหญ่ สู้ศึกเลือดมาตลอดทาง ไม่รู้ว่าเอาชีวิตรอดจากความตายมากี่ครั้งแล้ว มาถึงที่นี่เดิมทีคิดว่าจะได้เป็นเศรษฐี ที่พิภพเล็กเอาไว้เป็นสวนหลังบ้านอย่างรู้จักพอเพียง และไม่เคยคิดว่าจะมีภรรยาหลายคน โอบซ้ายที่กอดขวาที ใครจะคิดว่ากิจการแรกที่สร้างไว้ที่ตลาดสวรรค์จะต้องส่งมอบให้ผู้อื่นด้วยความเต็มใจ ตอนหลังนอกจากจะได้รับความอัปยศต่างๆ นาๆ แล้ว กลุ่มคนที่แดนอเวจีก็รวมหัวกันรังแกข้าคนเดียว เพื่อที่จะเอาชีวิตรอด ก็เลยต้องบุกเดี่ยวทำศึกเลือดเข้าไปในทัพใหญ่หนึ่งล้าน โดนขังอยู่ท่ามกลางโจรกบฏหกลัทธิ ต้องยอมทำตัวต่ำต้อยเพื่อเอาชีวิตรอด แต่ใครจะคิดว่าบ้านของอนุภรรยาอีกห้าบ้านจะไม่สนใจแม้แต่เส้นตายพื้นฐาน ต้องการจะร่วมมือกันเล่นงานให้ข้าถึงตาย ไม่มีใครช่วยข้าพูดสักคน ขนาดปู่เจ้ายังเป็นไปกับเขาด้วยเลย ข้าผิดหวังท้อใจ สิ้นหวังท้อแท้อยู่ในสภาพที่อับจน จะมีใครบ้างที่รู้? ตอนนั้นข้าไม่มีหนทางรอดอะไรเหลืออยู่เลย ที่รอดมาได้เพราโชคช่วยล้วนๆ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้ชัดเลยว่าตัวเองรอดมาได้ยังไง พออออกจากแดนอเวจีได้ ยังไม่ทันได้ดีใจที่ได้รอดชีวิตก็ต้องโดนลงโทษอีกแล้ว การลงโทษจะหนักหรือเบาก็ขึ้นอยู่กับบัญชาสวรรค์ ตอนนั้นข้ากังวลมากขนาดไหนใครจะรู้? ถ้าโดนหนักก็หัวร่วงลงพื้น ใครจะกล้ามาช่วยชีวิตข้าล่ะ? พอกลับมาทีตลาดสวรรค์พวกเจ้าก็เอาแต่เกลี้ยกล่อมให้ข้าทนรับความอัปยศ ข้าจะไม่รู้เชียวเหรอว่าการฆ่าพวกเขาเป็นการเก็บเกาลัดจากกองไฟ[1]? แต่ใครจะไปรู้ว่าฟ้าสูงขนาดไหน ผู้มีอำนาจที่ใช้อิทธิพลกดดันข้ายังมีอีกเท่าไร ทำผิดไปแล้วจะทนถึงตอนสุดท้ายได้ยังไง ข้ามีอยู่เส้นทางเดียวเท่านั้น ก็คือต้องสู้กับพวกเขาให้ถึงที่สุด มีเพียงการยืนอยู่ในจุดที่สูงกว่าเดิมเท่านั้นถึงจะปลอดภัยยิ่งขึ้น ตอนนี้ข้าตัดสินใจแล้ว ว่าจะกลับไปกลับมาไม่ได้ ต้องก้าวไปข้างหน้าเท่านั้น!”


“กลับเถอะ!” อวิ๋นจือชิวฟังจนน้ำตานองหน้าแล้ว กอดเขาพลางส่ายหน้าสะอึกสะอื้น “หนิวเอ้อร์ ข้าผิดไปแล้ว กลับเถอะ พวกเรากลับพิภพเล็กกัน ไม่ต้องช่วงชิงสิ่งเหล่านั้นแล้ว”


“กลับไปเหรอ? ยังกลับไปได้ด้วยเหรอ? ที่พิภพเล็กมีคนที่สามารถไปมาพิภพใหญ่อย่างอิสระได้ตั้งนานแล้ว ขนาดปู่เจ้ายังไว้ใจไม่ได้เลย ใครจะกล้ารับประกันว่าเทพพยากรณ์จะปิดปากเงียบไปตลอด ถ้าถูกคนของพิภพใหญ่พบขึ้นมา พวกเราจะสามารถร้องขอชีวิตได้เหรอ? ตำหนักสวรรค์สามารถตัดสินความเป็นความตายของข้าได้ทุกเมื่อ โจรกบฏที่แดนอเวจีก็บีบจุดอ่อนของข้าอยู่ สามารถทำให้ข้าตายได้ทุกเมื่อ


เจ้าว่าข้าไปที่ไหนถึงจะรับรองได้จริงๆ ว่าจะไม่พลาดเลย? บนตัวข้าแบกบุญคุณความแค้นและหนี้เลือดไว้เยอะเกินไป หันกลับไม่ได้แล้ว ทำได้เพียงก้าวไปข้างหน้าเท่านั้น! ถ้าแม้แต่คนข้างกายตัวเองข้ายังดึงไว้ไม่ได้ แล้วข้าจะก้าวไปข้างหน้าได้ยังไงล่ะ? สวีถังหรานสร้างผลงานครั้งแล้วครั้งเล่า ตำแหน่งขุนนางก็อยู่ใต้บังคับบัญชาข้าเท่านั้น ข้าไม่มีทางเลื่อนตำแหน่งให้เขาสูงขึ้นได้เลย เขายังห่างจากระดับบงกชรุ้งอีกไกล…”


“ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าเข้าใจแล้ว!” อวิ๋นจือชิวพลันหันตัวมาจูบปากเขา กดเขาลงบนเตียงด้วยน้ำตานองหน้า บ้าระห่ำ เป็นฝ่ายรุก…


หลังจากนั้นหลายเดือน เมื่อเห็นว่าทั้งข้างบนทั้งข้างล่างไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร คลื่นลมสงบชั่วคราว สองสามีภรรยาจึงปลอมตัวออกจากตลาดสวรรค์ พาฉินเวยเวย หงเหมียนและลู่หลิ่วกลับพิภพเล็กด้วยกัน


“ฮูหยิน นายท่านล่ะคะ?”


ที่น่านฟ้านอกพิภพเล็ก อวิ๋นจือชิวปล่อยพวกฉินเวยเวยออกมา ฉินเวยเวยที่เหลียวซ้ายแลขวาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม


อวิ๋นจือชิวโบกมือชี้ไปด้านล่าง เป็นท้องฟ้าเหนือแดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง เหมียวอี้ลอยหยุดยืนอยู่ตรงนั้น


หลังจากคำนวณทิศทางด้านล่างคร่าวๆ แล้ว ลายนูนสีแดงตรงหว่างคิ้วของเหมียวอี้ก็พลันเปิดออก เสาแสงสีรุ้งสายหนึ่งพลันถูกยิงออกมา ฉินเวยเวย หงเหมียนและลู่หลิ่วเพิ่งได้เห็นฉากนี้เป็นครั้งแรก เรียกได้ว่าตกใจมาก นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะมีพลังอภินิหารมากขนาดนี้


อวิ๋นจือชิวเองก็ตกตะลึงเช่นกัน นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะมาหยุดอยู่ที่นี่ชั่วคราวเพราะต้องการจะใช้ตาทิพย์สำรวจแดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง


พอเปิดตาทิพย์ เขาก็รีบกวาดมองหมอกสีเลือดลึกลับที่อยู่ด้านล่าง สายตาทะลุฝ่าหมอกหนาลงไป แนวเทือกเขาสีดำทึบที่สูงต่ำสลับกันอยู่ในสายตาทั้งหมด โลกสีขี้เถาที่คุ้นเคยอยู่ด้านล่างนี้เอง


จากปรากฏการณ์ที่เลือนรางในปีนั้น ไม่นานสายตาของเขาก็ไปหยุดที่แอ่งกระทะแห่งหนึ่ง สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้ตกใจมากก็คือ เขาพบว่าในแอ่งกระทะมีตั๊กแตนทมิฬดุร้ายทั้งตัวใหญ่ตัวเล็กคลานอยู่นับไม่ถ้วน มากมายจนเหมือนภูเขาเล็กๆ


ตาทิพย์ทำให้สูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์เร็วเกินไป อาศัยวรยุทธ์ของเขายังไม่สามารถใช้ต่อเนื่องได้นาน เขาย้ายสายตาไปรวมอยู่บนยอดเขาลูกหนึ่งกลางแอ่งกระทะ ที่ตีนเขามีบันไดกินที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ บันไดทอดยาวขึ้นไปบนยอดเขา


ความคิดของเหมียวอี้ย้อนกลับไปในปีนั้นทันที ย้อนกลับไปตอนที่ได้ยินเสียงฉินในปีนั้น ภาพที่เขาถือมีดเชือดหมูเดินขึ้นบันไดไป เหยียบขึ้นไปทีละก้าวอย่างช้าๆ พอขึ้นไปถึงยอดเขา เขาก็ถูกหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งดึงดูดความสนใจทันที บนหินใหญ่ก้อนนั้นสลักรูปสตรีคนหนึ่งที่กำลังกางแขนทะยานฟ้าอย่างอ่อนช้อยนิ่มนวล…


ในตอนนี้ตาทิพย์กำลังสำรวจค้นหาไปที่จุดนั้น ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว หินก้อนใหญ่ที่สลักภาพภาพสตรีที่กางแขนทะยานฟ้าอย่างอ่อนช้อยยังคงอยู่เหมือนเดิม ภาพของสตรีคนนี้ในรูปแบบต่างๆ เขาได้เห็นที่พิภพใหญ่มาหลายครั้งแล้ว


ลิขิตแห่งเส้นทางแห่งเซียนยังไม่จบสิ้น เรือกระดูกลอยอยู่ในทะเลเลือด’ ตัวอักษรเหล่านี้ยังคงอยู่บนหินขนาดใหญ่ก้อนนั้น บนแผนที่ซ่อนสมบัติที่พิภพใหญ่ เหมียวอี้ก็เคยเห็นมันมาหลายครั้งแล้วเช่นกัน


สุดท้ายสิ่งที่เขาอยากหาก็ปรากฏออกมาแล้ว บนโต๊ะหินตัวหนึ่ง บนนั้นมีกู่ฉินขนาดใหญ่ที่ยาวประมาณหนึ่งจั้งวางนอนอยู่ตัวหนึ่ง


บนตัวฉินที่เก่าแก่มีภาพสลักดาราจักร ผืนน้ำและแผ่นดิน แต่น่าเสียดายที่บนนั้นเหลือสายฉินอยู่เพียงสามสาย ดูออกเลยว่าเดิมทีมีอยู่แปดสาย ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงขาดไปห้าสาย เหลือเพียงสายฉินสามสายมีมีลักษณะเหมือนมังกรย่อส่วน ประณีตงดงามมากราวกับมีชีวิต


อาศัยสายตาของเหมียวอี้ในตอนนี้ ถึงแม้จะแยกไม่ออกว่าของสิ่งนี้คืออะไร แต่ก็รู้ว่าต้องไม่ใช่ของวิเศษธรรมดาแน่นอน เขาอยากจะลงไปหยิบมาไว้ ทว่าพอกวาดตาทิพย์มองดูตั๊กแตนทมิฬที่ยั้วเยี้ยหนาแน่นอยู่ในแอ่งกระทะรอบๆ แล้ว เขาก็ต้องยอมแพ้ไป อาศัยศักยภาพของเขาในตอนนี้ถือว่ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกตั๊กแตนทมิฬ เขาเคยได้รับบทเรียนมาก่อน ตอนนั้นแทบจะรักษาชีวิตเอาไว้ไม่ได้


เมื่อกวาดสายตามองไปรอบข้างอย่างคร่าวๆ เสาแสงที่สวยสดงดงามในตาทิพย์ก็พลันหดเก็บเข้ามาและปิดลง เหมียวอี้ใช้สมาธิครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วยกมือคลำเข้ามาในคอเสื้อ คลำลูกประคำสีเขียวเข้มเสน้ที่ห้อยอยู่บนคอตัวเอง พร้อมทั้งร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดู


เป็นเหมือนอย่างเคย พลังอิทธิฤทธิ์ไม่สามารถทะลุเข้าไปตรวจสอบได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเชือกที่ใช้ห้อยลูกประคำคืออะไรกันแน่ ขนาดใช้เครื่องมือผลึกแดงบริสุทธิ์แล้วก็ยังตัดไม่ขาด


เขาหัวเราะเจื่อนพลางส่ายหน้า จากนั้นถลันตัวออกไปที่ท้องฟ้าด้านนอก แล้วพูดกับบรรดาผู้หญิงทีอยู่ตรงนั้นว่า “พวกเจ้ากลับตำหนักอู๋เลี่ยงไปก่อนเถอะ”


“ไม่กลับไปด้วยกันเหรอ?” อวิ๋นจือชิวถาม


เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าต้องหาหลักฐานพิสูจน์เรื่องบางอย่าง ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอก พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ”


“งั้นเจ้าก็ระวังตัวด้วยแล้วกัน” อวิ๋นจือชิวบอกเขา และไม่ได้กังวลอะไรมาก ตอนนี้ที่พิภพเล็กไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเหมียวอี้แล้ว จึงพาพวกฉินเวยเวยเหาะจากไปอย่างรวดเร็ว


พอมองคล้อยหลังพวกนางจากไปแล้ว เหมียวอี้ก็พลิกตัวเหาะออกจากเขตน่านฟ้าที่ครอบคลุมแดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง เหาะจากฟ้าลงมาโดยตรง มาเหยียบลงบนกำแพงเมืองโบราณของเมืองฉางเฟิงที่ถูกปรับปรุงใหม่ซ้ำหลายครั้ง เขากวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะนั่งขัดสมาธิบนกำแพงเมือง


รอจนกระทั่งฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์ที่เสียไปเพราะใช้ตาทิพย์เสร็จแล้ว เขาก็ถลันตัวเข้าไป ไปเหยียบลงในถนนสายเล็กของเมืองฉางเฟิงโดยตรง อาศัยวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ ถ้ามนุษย์ธรรมดาทั่วไปอยากจะค้นพบที่อยู่ของเขาก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น


เดินอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่เดินขวักไขว่ ดมกลิ่นหอมของอาหารมนุษย์ที่โชยมาจากหัวถนน ตามหาตำแหน่ง ‘บ้าน’ ในปีนั้นตามความทรงจำที่มี หลังจากหาเจอก็พบว่าตรงนั้นกลายเป็นถนนสี่แยกไปแล้ว บ้านเรือนแถวนั้นถูกรื้อถอนทิ้งไปหมดแล้ว เมืองฉางเฟิงเปลี่ยนไปจนเขาจำไม่ได้แล้ว ตอนนี้แม้แต่ความทรงจำสุดท้ายอันน้อยนิดของเขาก็ถูกกลบไปแล้วเช่นกัน เหมียวอี้ยืนเงียบอยู่ตรงกลางถนนนานมาก เจ้ารองก็ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนแล้ว แล้วเจ้าสามจะยืนอยู่ฝ่ายไหน?


เขาหันตัวเดินเข้ามาในถนนสายเล็ก อาศัยโอกาสตอนที่ไม่มีคนพุ่งขึ้นฟ้าไป เหาะข้ามแผ่นดินอันกว้างขวาง แล้วก็ผ่านมหาสมุทรอันยิ่งใหญ่ สุดท้ายก็ไปเหยียบลงบนเกาะแห่งหนึ่ง


เป็นเกาะที่เขากับเหล่าไป๋ใช้เป็นที่ซุกหัวนอนในปีนั้น บนเกาะรกร้างไร้ถนน เต็มไปด้วยหญ้าหวายสูงกว่าหัวคน เขาหาตำแหน่งถ้ำแห่งนั้นตามความทรงจำที่มี ปรากฏว่าถ้ำหลังนั้นถล่มลงมาตั้งนานแล้วด้วยสาเหตุอะไรบางอย่างก็ไม่รู้ได้ ตรงจุดที่ถ้ำถล่มถูกปกคลุมด้วยพืชนานาชนิด


เขาเดินวนสำรวจรอบกาะรอบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้อะไรทั้งนั้น จึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเทพพยากรณ์ ทว่าไม่มีอะไรตอบกลับมาเลย…


ตอนที่กลับมาที่ตำหนักอู๋เลี่ยง ก็เป็นตอนเที่ยงของวันถัดมาแล้ว หลังจากเจออวิ๋นจือชิวเขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เรียกรวมคนที่เกี่ยวข้องให้ไปที่ตำหนักหลังทันที เตรียมจัดการกิจธุระต่างๆ


หลังจากนั่งลงในโถง เหมียวอี้ก็มองไปเบื้องล่างพร้อมถามว่า “พี่ใหญ่ พี่สี่ เตรียมคนไว้พร้อมหรือยัง?”


“ไม่ต้องห่วง เตรียมไว้พร้อมหมดแล้ว สามารถออกเดินทางได้ทุกเมื่อ”


ประมุขถิ่นทิศตะวันออกสงเวยและประมุขถิ่นทิศเหนือหงเทียนเอ่ยรับอย่างฮึกเหิมกระปรี้กระเปร่า ทั้งสองได้รับแจ้งล่วงหน้าแล้ว ว่าครั้งนี้เหมียวอี้จะพาพวกเขาไปที่พิภพใหญ่ ทั้งสองตื่นเต้นดีใจมานานแล้ว


ครั้งนี้ต้องการพาคนไปด้วยไม่น้อยเลย เหยียนซิวกับหยางเจาชิงก็จะไปเช่นกัน หยางชิ่งก็จะต้องไปด้วย ส่วนฉินเวยเวยกลับถูกอวิ๋นจือชิวอ้างเหตุผลให้อยู่ที่นี่ โดยอ้างว่าต้องหาคนที่ไว้ใจได้คอยคุมรักษาการณ์ที่นี่ หยางชิ่งก็ตอบตกลงแล้วเช่นกัน ส่วนเหมียวอี้ก็เงียบไว้ตลอด


ด้วยเหตุนี้ สงเวยจึงย้ายอดีตสองวีรบุรุษแห่งทะเลทรายม่านเมฆาหวงฉิงเทียนและอู๋ตัวมาเฝ้ารักษาการณ์ที่นภาอู๋เลี่ยง


ทางนี้เพิ่งจะกำหนดเรื่องออกเดินทางเสร็จ ทุกคนเพิ่งจะแยกย้ายกันออกไป ข้างนอกก็มีคนมารายงานว่า “ไต้ซือศีลเจ็ดขอพบขอรับ”


เหมียวอี้ย่อมไม่หลีกเลี่ยงที่จะพบ นอกจากเชิญให้เข้ามาแล้ว ยังออกไปต้อนรับที่ประตูตำหนักหลังด้วยตัวเองด้วย


หลังจากพบกันและทักทายกันตามมารยาท ทั้งสองก็เดินกลับเข้ามาด้วยกัน ไต้ซือศีลเจ็ดถามว่า “ท่านปราชญ์ได้ข่าวศีลแปดหรือไม่?”


เหมียวอี้ถอนหายใจ “ขาดการติดต่อไปหลายปีแล้ว แต่ก็แน่ใจได้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ระฆังดารายังติดต่อไป เพียงแต่เจ้าเวรนั่นไม่ยอมตอบกลับ ไม่รู้เหมือนกันว่าไปหลบใช้ชีวิตหรรษาอยู่ที่ไหน”


ไต้ซือศีลเจ็ดถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “บนร่างกายศีลแปดถูกอาตมาระงับทวารไว้แล้ว ครั้งก่อนจู่ๆ ก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบอย่างเลือนราง สัมผัสได้ว่าสิ่งที่ระงับนั้นคลายออกไปบ้าง อาตมาสงสัยว่าเขาค้นพบวิธีการทำลายระงับนั้นแล้วหรือเปล่า หรือไม่ก็บรรลุอย่างถ่องแท้แล้วจริงๆ? ไม่กี่วันก่อนอาตมาถึงได้ใช้ระฆังดาราติดต่อเทพพยากรณ์ อยากจะขอให้เขาพาอาตมาไปที่พิภพใหญ่สักรอบ บางทีอาตมาอาจจะมีวิธีหาศีลแปดพบก็ได้ อยากจะไปดูว่าเป็นอย่างไรกันแน่ เทพพยากรณ์บอกว่าตัวอยู่ที่พิภพใหญ่ไม่สะดวกจะมาที่นี่ บอกว่าอีกไม่กี่วันท่านปราชญ์จะกลับมาที่พิภพเล็ก ให้อาตมามาหาท่านปราชญ์เพื่อให้พาไปด้วยกัน เพียงแต่ไม่ทราบว่าท่านปราชญ์จะสะดวกหรือเปล่า?”


เหมียวอี้กระตุกมุมปากเล็กน้อย รู้สึกชาวาบหนังศีรษะนิดหน่อย ถามด้วยใบหน้าที่แข็งทื่อเหมือนโดนตะคริวกินว่า “ไต้ซือบอกว่าไม่กี่วันก่อนเทพพยากรณ์ก็รู้แล้วเหรอว่าข้าจะกลับมาที่พิภพเล็ก?”


ไต้ซือศีลเจ็ดพยักหน้ายิ้มบางๆ รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่


เหมียวอี้เริ่มด่าในใจอีกแล้ว ยังมีอะไรอีกบ้างที่เทพพยากรณ์นั่นทำนายไม่ได้?


…………………………


[1] เก็บเกาลัดจากกองไฟ 火中取栗 อุปมาว่าเสี่ยงอันตรายโดยที่อาจจะไม่ได้อะไรกลับมาเลย


บทที่ 1296 เริ่มกระจายเครือข่าย

โดย

Ink Stone_Fantasy

 ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจ แต่สุดท้ายเหมียวอี้ก็ยังไม่ปฏิเสธไต้ซือศีลเจ็ด สาเหตุสำคัญเป็นเพราะอีกฝ่ายเป็นสหายของเทพพยากรณ์ ถ้าเจ้าไม่ตอบตกลงอีกฝ่าย สักวันหนึ่งอีกฝ่ายก็ไปกับเทพพยากรณ์ได้อยู่ดี


ทางนี้เพิ่งจะสั่งให้คนจัดหาที่พักให้ไต้ซือศีลเจ็ด ขณะกำลังเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ใต้ต้นไม้ เหยียนซิวก็ทำลับๆ ล่อๆ เข้ามาใกล้อีก “นายท่าน หลังจากข้าน้อยไปพิภพใหญ่แล้ว จะทำอย่างไรกับจูเก๋อชิงที่อยู่ตำหนักประมุขถิ่นกลาง?”


เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ ถ้าเหยียนซิวไม่เอ่ยถึง เขาก็แทบจะลืมผู้หญิงที่เคยมีความสุขด้วยกันหนึ่งคืนไปแล้ว ความงดงามที่อยู่หลังผ้ามุ้งบางเป็นสิ่งที่หาพบได้ยากในโลกนี้จริงๆ หน้าตางดงามจนฉีนซีเทียบไม่ติด แค่นั้นก็รู้แล้วว่าสวยขนาดไหน สรุปก็คือเป็นหนึ่งในผู้หญิงที่สวยที่สุดในบรรดาผู้หญิงที่เขาเคยเจอมา


ตอนนี้จูเก๋อชิงถูกอวิ๋นจือชิวกักบริเวณไว้ที่ตำหนักประมุขถิ่นกลาง ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากอวิ๋นจือชิว เหมียวอี้ก็ไม่สะดวกจะปล่อยนางออกมาจริงๆ เรื่องแบบนี้เกี่ยวข้องกับปัญหาความซื่อสัตย์เชื่อใจระหว่างสามีภรรยา คงไม่ดีหากจะทำลายความรู้สึกระหว่างสามีภรรยาเพียงเพราะจูเก๋อชิงคนเดียว ที่จริงทางอวิ๋นจือชิวก็ยังคุยง่ายหน่อย อย่างน้อยก็ไม่เอาชีวิตของจูเก๋อชิง แต่คนอื่นนั้นพูดยาก เพราะเคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้ว วางยาพิษเหมือนกัน!


สาเหตุของเรื่องนี้เป็นเพราะจูเก๋อชิงไม่ได้อยู่ที่ตำหนักประมุขถิ่นกลางอย่างสงบได้นานนัก ตอนหลังคิดหาทางให้ทหารยามช่วยนางส่งข้อความให้เหมียวอี้


ผลลัพธ์เกิดขึ้นเร็วมาก มีคนวางยาพิษในอาหารที่ส่งมาให้จูเก๋อชิง แต่ที่โชคดีก็คือ ในบรรดานักพรตปีศาจที่เฝ้าอยู่มีคนแอบกินอาหารของจูเก๋อชิงมาเป็นเวลานานแล้ว ขอเพียงเป็นอาหารที่ส่งมาก็จะถือโอกาสหยิบฉวยไว้เล็กน้อย ผลปรากฏว่าปีศาจเล็กๆ ที่แอบขโมยกินอาหารโดนยาพิษตายก่อน


พอเป็นแบบนี้ กลับทำให้จูเก๋อชิงตกใจมาก ในที่สุดก็อยู่อย่างว่านอนสอนง่ายแล้ว


หลังจากอวิ๋นจือชิวที่อยู่พิภพใหญ่ได้รู้ข่าว ก็สั่งให้คนสืบหาทันที ผลปรากฏว่าสืบไม่เจอผลลัพธ์ใดๆ เบาะแสที่เกี่ยวข้องก็ถูกคนตัดขาดได้ทันเวลาหมดแล้ว


ถึงแม้จะสืบไม่เจอผลลัพธ์อะไร แต่อวิ๋นจือชิวกลับให้คำตอบเหมียวอี้ว่า : จูเก๋อชิงไม่มีอำนาจอิทธิพลหนุนหลัง แต่กลับคิดเพ้อฝันเหลวไหล กอปรกับที่นางสวยเกินไป นี่ก็คือเหตุผลที่มีคนลงมือเล่นงานนาง!


ตอนนั้นเหมียวอี้ยังอยู่ที่แดนอเวจี


ส่วนทางด้านจูเก๋อชิง ยามปกติก็มีเหยียนซิวคอยแอบดูแลและจัดหาทรัพยากรฝึกตนให้ ตอนนี้จะย้ายเหยียนซิวไปที่พิภพใหญ่แล้ว คนอื่นๆ เกรงว่าจะดูแลความปลอดภัยให้จูเก๋อชิงได้ลำบาก ถึงอย่างไรทุกคนก็รู้ว่าเหยียนซิวคือลูกน้องคนสนิทของเหมียวอี้


แต่ถ้าเขาเคลื่อนไหวใหญ่โตเพื่อจูเก๋อชิงคนเดียว แล้วจะให้กลุ่มอนุภรรยาในบ้านคิดอย่างไร? เหมียวอี้คิดไปคิดมา ก่อนจะถอนหายใจแล้วบอกว่า “เรื่องนี้เจ้าไปให้ฮูหยินเตรียมการเถอะ”


“ขอรับ!” เหยียนซิวเอ่ยรับแล้วเดินออกไป


แต่ไปได้ไม่นานก็กลับมาแล้ว มารายงานว่า “ฮูหยินให้ข้ามาบอกนายท่าน ว่านางเป็นคนนอกคนหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกัน ไม่ใช่คนที่นายท่านควรจะเป็นห่วง”


เหมียวอี้พูดไม่ออก รู้ทันทีว่าตัวเองทำเรื่องโง่ๆ ไปแล้ว การให้เมียตัวเองคิดหาทางปกป้องดอกไม้ริมทางที่ตัวเองไปเด็ดมา คาดว่าผู้หญิงคนนี้คงจะเดือดดาลจนไฟลุกสามจั้งแล้ว


เมื่อรออยู่นานแล้วไม่เห็นนายท่านมีปฏิกิริยาอะไรเสียที เหยียนซิวก็ถามหยั่งเชิงอีกว่า “จ้าวเฟย ซือคงอู๋เว่ยและบรรดาสหายเก่าของนายท่านเคยมาขอเยี่ยมนายท่านได้ครั้งแล้ว แต่ช่วยไม่ได้ที่นายท่านไม่อยู่เลย ตอนนี้นายท่านกลับมาแล้ว จะให้แจ้งพวกเขามั้ยขอรับ?” เขารู้ว่าเหมียวอี้เป็นคนมีคุณธรรมน้ำมิตร ดังนั้นจึงเตือนให้รู้สักหน่อย


เหมียวอี้ได้สติกลับมา แล้วก็เงียบไปอีกสักพัก หลังจากผ่านประสบการณ์เรื่องบางอย่างมา ตอนนี้เขาจำเป็นต้องยอมรับว่าคำพูดบางอย่างของอวิ๋นจือชิวก็มีเหตุผลเหมือนกัน


ต่อให้เขาจะกระเป๋าลึกกว่านี้แต่ก็เลี้ยงทุกคนไม่ไหว ยกตัวอย่างเช่นลูกน้องอย่างสวีถังหราน ยามปกติไม่จำเป็นต้องให้เหมียวอี้จ่ายอะไรให้ แต่ก็ยังทำงานให้เหมียวอี้อย่างจงรักภักดีเหมือนเดิม เวลาที่เหมียวอี้จำเป็นต้องควักกระเป๋า ก็เป็นตอนที่มอบรางวัลให้ แบบนี้ถึงจะสมเหตุสมผล สิ่งที่เหมียวอี้ต้องทำก็คือสร้างตำแหน่งที่ทำให้ทุกคนสามารถพึ่งพาความสามารถตัวเองในการเลี้ยงชีพได้ สร้างกลุ่มผลประโยชน์ที่สามารถทำให้ทุกคนได้หมุนเวียนรับผลประโยชน์ในทางบวกได้ ไม่ใช่ว่าเขาคนเดียวจะสามารถควักเงินเลี้ยงไหวเหมือนเลี้ยงเหล่าภรรยา


ยกตัวอย่างเช่นฝูชิงและพวกอิงอู๋ตี๋ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องให้เหมียวอี้ควักเงินจากกระเป๋ามาเลี้ยงเช่นกัน


ส่วนสหายเก่าพวกนั้นเขาก็อยากจะดูแล แต่ถ้ามองจากสภาพความเป็นจริง ฐานะของทุกคนห่างกันเกินไปแล้ว เขาสามารถอุ้มชูประคับประคองได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ตอนนี้จิตใจและกำลังของเขาไม่ได้อยู่ที่ตัวคนพวกนั้นแล้ว คนที่จะไปร่วมบุกยึดใต้หล้ากับเขาจะต้องเป็ยคนที่ตามจังหวะการก้าวเดินของเขาทัน คนที่ตามเขาไม่ทันจะต้องถูกเขานำหน้าแซงไป


ตอนนี้ฐานะของทุกคนต่างกันเกินไป ต่อให้เจอกันก็ได้แค่กินดื่มด้วยกันเท่านั้น ที่สำคัญเป็นเพราะเขาเริ่มจะตัดใจจากสหายเก่าพวกนั้นไม่ได้แล้ว คนที่อยู่ข้างกายเขาในตอนนี้ แค่เลือกใครมาสักคนก็สามารถทำให้พวกเขาพะว้าพะวงเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็มได้ ถ้าอยากจะรักษาความสัมพันธ์ของมิตรสหายต่อไป ทุกคนก็เจอหน้ากันน้อยๆ หน่อยจะดีกว่า ถ้าเป็นแบบนั้นมิตรภาพจะยังคงอยู่ ไม่อย่างนั้นจะเป็นเหมือนพวกฝูชิง จากพี่น้องร่วมสาบานก็ต้องกลายเป็นลูกน้อง


“ช่างเถอะ รอตอนหลังมีโอกาสแล้วค่อยว่ากัน” เหมียวอี้โบกมืออย่างค่อนข้างจนใจ…


“พี่สาว พี่เขย!”


อวิ๋นรั่วซวงยกกระโปรงวิ่งเข้ามาในตำหนักอย่างตื่นเต้นดีใจ วิ่งมาลอบยิ้มอยู่ข้างกายอวิ๋นจือชิวพักหนึ่ง แล้วก็ยื่นศีรษะไปตรงหน้าเหมียวอี้อีก ดวงตากลมโตสองข้างยิ้มจนหยีกลายเป็นวงพระจันทร์เสี้ยว บนแก้มสองข้างมีลักยิ้ม ยิ้มจนเผยฟันขาวดุจหิมะเต็มปาก “พี่เขย ท่านพูดคำไหนคำนั้นใช่มั้ย?”


คนกลุ่มใหญ่เตรียมตัวจะออกเดินทางไปที่พิภพใหญ่แล้ว ขณะกำลังอธิบายเรื่องที่ต้องระวังเมื่อไปถึงพิภพใหญ่ ก็นึกไม่ถึงว่าอวิ๋นรั่วซวงจะโผล่มาในเวลานี้


พอเหมียวอี้เห็นนางก็นึกถึงผู้ชายบางคนที่มีขนงอกบนไฝ คนคนนั้นค่อนข้างไว้ใจไม่ได้ และนึกขึ้นได้เช่นกันว่าการที่นางพูดแบบนี้หมายความว่าอะไร เขาจึงหันหน้าเดินหนี “ข้าไม่ได้รับปากอะไรเจ้านะ ไปถามพี่สาวเจ้าสิ”


อวิ๋นรั่วซวงกอดแขนอวิ๋นจือชิวทันที “พี่สาวคะ! ท่านคงไม่กลับคำพูดใช่มั้ย?”


อวิ๋นจือชิวค่อนข้างลำบากใจ ถ้าเปลี่ยนเป็นตอนแรกนางย่อมตอบตกลงอยู่แล้ว แต่หลังจากเกิดเรื่องที่ตระกูลอวิ๋นทำผิดต่อเหมียวอี้ที่นรก นางก็ไม่สะดวกจะตอบตกลงแล้ว ตระกูลอวิ๋นเป็นฝ่ายผิด นางเองก็กลัวว่าจะยั่วให้เหมียวอี้ไม่พอใจเช่นกัน


ดังนั้น จู่ๆ นางก็สับฝ่ามือไปที่หลังคอของอวิ๋นรั่วซวง อวิ๋นรั่วซวงทำสีหน้าตกตะลึงมากทันที ในความตกตะลึงนั้นเจือด้วยความเศร้าโศกคับแค้น ราวกับกำลังบอกว่าพวกท่านพูดจาไม่เป็นคำพูด…ก่อนจะตาเหลือกล้มลง


อวิ๋นจือชิวยื่นมือประคองไว้ แล้วกำชับบอกคนข้างๆ ว่า “แจ้งให้คนของนภาจอมมารมารับตัวนางกลับไป”


ดาวเทียนหยวน ยังไม่ทันถึงที่หมาย บนดาวเคราะห์รกร้างดวงหนึ่งที่สามารถมองเห็นดาวเทียนหยวนไกลๆ เหมียวอี้และและอวิ๋นจือชิวที่เหาะเดินทางมาเป็นระยะเวลานานเหยียบลงบนนั้น


เหมียวอี้เรียกไต้ซือศีลเจ็ดออกมาจากกระเป๋าสัตว์ แล้วชี้ไปที่ดาวเทียนหยวนพร้อมบอกว่า “ไต้ซือ อาณาเขตของข้าอยู่ตรงหน้าใกล้ๆ นี้แล้ว จะไม่ไปดูจริงๆ เหรอ?”


ไต้ซือศีลเจ็ดประนมมือตอบว่า “เคยได้ยินสถานการณ์ของที่นี่แล้ว ที่อาณาเขตโยมมีคนจากลัทธิพุทธไปมาหาสู่น้อยมาก เกรงว่าจะสร้างปัญหาให้ท่านปราชญ์ เดี๋ยวอาตมาจะไปตาหาศีลแปดเองศีลแปด”


อวิ๋นจือชิวที่อยู่ข้างกันถามว่า “ไต้ซือเตรียมจะใช้วิธีการไหนตามหา? ถ้าหาเรื่อยเปื่อยอย่างไร้จุดหมาย พิภพใหญ่กว้างขวางมาก เกรงว่าจะยากกว่างมเข็มในมหาสมุทร”


“อามิตตาพุทธ!” ไต้ซือศีลเจ็ดตอบว่า “วิชาศีลเป็นวิชาที่สืบทอดได้เพียงคนเดียว การฝึกวิชาศีลล้วนต้องอาศัยต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ของผู้อาวุโสเพื่อเป็นเมล็ดพันธุ์ แล้วปลูกเข้าไปในร่างกายลูกศิษย์เพื่อเริ่มต้นฝึกฝน มันจะค่อยๆ แตกกิ่งก้านเติบโตจนออกดอกออกผล ไม่เหมือนวิชาอื่นที่ต้องพึ่งตัวเองในการฝึกจนเกิดต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ครั้งแรก วิชานี้เรียกได้ว่าถ่ายทอดทักษะต่อกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า ด้วยเหตุนี้เอง ขอเพียงอาตมาเข้าใกล้อาณาเขตที่ศีลแปดอยู่ อาตมาก็ย่อมสัมผัสถึงเขาได้ เพียงแต่บนตัวอาตมาไม่มีของที่เอาไว้ใช้ข้ามผ่านประตูดวงดาว เกรงว่าต้องให้โยมทั้งสองทำบุญให้สักหน่อย”


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” สองสามีภรรยาเข้าใจในทันที เหมียวอี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง จัดการนำกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งออกมา ใช้สองมือยื่นให้พร้อมบอกว่า “ดาราจักรกว้างใหญ่ ต่อให้ไต้ซือมีพลังอภินิหาร แต่เกรงว่าจะต้องตามหาจนรองเท้าสึก เพื่อป้องหันไม่ให้เจ้านอกคอกนั่นทำให้ไต้ซือลำบาก นี่คือแผนที่ดาวที่ใช้แยกแยะทิศทางของพิภพใหญ่ ถ้าไต้ซือพบตัวศีลแปดแล้ว กรุณาแจ้งให้ข้าทราบทันที”


ไต้ซือศีลเจ็ดรับของของมา แล้วประนมมือกล่าวขอบคุณทั้งสอง เขาไม่ได้พูดอะไรมากอีก เหาะเข้าไปในจุดลึของดาราจักรอันกว้างใหญ่เพื่อตามหาลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวที่สืบทอดวิชาของตัวเองแล้ว


กระทั่งหลังจากนั้นพักหนึ่ง เหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับทางตลาดสวรรค์ อวิ๋นจือชิวก็เรียกพวกสงเวยออกมาจากกระเป๋าสัตว์เช่นกัน


ผ่านไปไม่นานนัก ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็นำคนจำนวนหนึ่งเหาะมาถึงอย่างรวดเร็ว


“พี่ใหญ่!”


“น้องสี่!”


หลังจากเหาะลงมาเหนียบพื้นแล้ว พวกเขากับสงเวย หงเทียนก็ทุบอกตบบ่าทักทายกัน สหายเก่าได้พบกันอีกครั้ง ต่างก็ตื่นเต้นดีใจไม่หาย


ครั้งนี้ประมุขถิ่น พวกราชาปีศาจของทะเลดาวนักษัตรมาที่นี่แทบทั้งหมด พวกแม่ทัพปีศาจก็เลือกคนที่ไว้ใจได้มาประมาณร้อยกว่าคน


เหมียวอี้ไม่อยากกังวลใจกับปัญหาเรื่องรักษาความลับ ถ้าประมุขถิ่นสี่ทิศไม่อยากทำลายอาชีพที่พิภพใหญ่ให้พังในรวดเดียว ก็ย่อมต้องคิดหาทางควบคุมอย่างเข้มงวดอยู่แล้ว เหมียวอี้เดินมาถึงทุกวันนี้ได้ เบื้องล่างมีลูกน้องมากมายขนาดนั้น เขาคนเดียวก็ไม่สามารถควบคุมทุกคนอย่างเข้มงวดได้เหมือนกัน ทำได้เพียงแบ่งอำนาจให้คนเบื้องล่างจัดการ


หลังจากคุยกันถึงเรื่องในอดีตนิดหน่อย พวกเขารวมทั้งหยางชิ่ง เหยียนซิวและหยางเจาชิงก็แบ่งกลุ่มกันทันที แล้วเลี่ยหวนกับราชาปีศาจคนอื่นๆ ก็พาเหาะไปยังจุดลึกในดาราจักร


พวกเขาแบ่งกลุ่มกันไปหา ฝานอวี้เฟย หลัวชิ่งจื่อ หมานซาน หลู่ต๋าไค เจี่ยงจ้งเซิน แล้วก็ยังมีโค่วเหวินหลานด้วย


ถ้าคิดจะเข้าทำงานที่ตำหนักสวรรค์ นอกจากจะต้องปั้นเรื่องสร้างพื้นเพภูมิหลังให้น่าเชื่อถือแล้ว ยังต้องให้คนระดับผู้บัญชาการใหญ่สามคนเขียนจดหมายแนะนำด้วย เมื่อเกิดเรื่องขึ้นคนพวกนี้ก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบ และเหมียวอี้คนเดียวก็ไม่มีทางทำให้คนมากมายขนาดนั้นเข้าทำงานในตำหนักสวรรค์ได้ สาเหตุที่ตอนแรกพวกฝูชิงเข้ามาได้อย่างราบรื่นนั้นเป็นเพราะโค่วเหวินหลาน ด้วยเส้นสายของโค่วเหวินหลาน การจะหาคนมาเขียนจดหมายแนะนำให้ก็ย่อมไม่ใช่ปัญหา แต่ตอนนี้มีนักพรตปีศาจมากขนาดนี้ ถ้าจะผลักไปให้โค่วเหวินหลานคนเดียว ก็คงยากที่จะไม่ให้คนอื่นสงสัย จึงต้องแบ่งกลุ่มกันไป


เหมียวอี้ติดต่อโค่วเหวินหลานกับพวกฝานอวี้เฟยไว้ล่วงหน้าแล้ว กับโค่วเหวินหลานมีความสนิทสนมกันในวันเก่าๆ ส่วนพวกฝานอวี้เฟยก็ติดหนี้นำใจเขา ต่างก็ตอบตกลงว่าขะช่วยเหลือแล้ว ทุกคนต่างก็รู้ว่าเหมียวอี้ล่วงเกินคนอื่นไว้เยอะเกินไป ถ้าอยากจะไปหาคนอื่นให้ช่วยก็ค่อนข้างยากลำลาก


ส่วนทางด้านเซี่ยโห้วหลงเฉิง ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่พิภพใหญ่ เขาเล่าสถานที่ของทางนี้ให้หยางชิ่งฟังอย่างเป็นทางการ หยางชิ่งแนะนำว่าอย่าให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงเขียนจดหมายแนะนำ รอให้ทุกคนได้ฐานะขุนนางตำหนักสวรรค์มาก่อน แล้วค่อยยัดคนส่วนหนึ่งไปเป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชาเซี่ยโห้วหลงเฉิง สานตาข่ายกระจายกำลังคน อย่าให้ทุกคนมารวมตัวอยู่ด้วยกัน ไม่อย่างนั้นถ้าดาวเทียนหยวนมีนักพรตปีศาจมากเกินไป ไม่ช้าก็เร็วที่คนอื่นจะต้องสงสัย


สิ่งที่หยางชิ่งจะสื่อก็คือ ให้ทุกคนได้ฐานะของขุนนางตำหนักสวรรค์มาก่อน แล้วให้ทำงานอยู่ใต้บังคับบัญชาโค่วเหวินหลานกับพวกฝานอวี้เฟยชั่วคราว จะมีตำแหน่งหรือไม่ก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญคืออย่าเพิ่งให้คนทางนี้รู้ว่าพวกเขาคือคนของเหมียวอี้ และเหมียวอี้ก็ล่วงเกินคนของตำหนักสวรรค์ไว้เยอะเกินไป คาดว่าพวกฝานอวี้เฟยคงไม่เที่ยวประกาศไปเรื่อยว่าพวกเรากำลังช่วยเหลือหนิวโหย่วเต๋ออยู่


คนที่จะให้กลับมารับตำแหน่งที่ดาวเทียนหยวน ก็ให้ไปสร้างประวัติส่วนตัวกับโค่วเหวินหลาน ส่วนคนที่เหลือที่ไปสร้างประวัติส่วนตัวกับพวกฝานอวี้เฟย ก็ให้ใช้ประโยชน์จากภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่และนิสัยที่อันธพาลของเซี่ยโห้วหลงเฉิง ให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงรับคนไปแล้วจับยัดไปที่ตลาดสวรรค์แต่ละที่ในสังกัดจวนแม่ทัพภาคตงหัว อาศัยหน้าของเซี่ยโห้วหลงเฉิง การให้ช่วยหาตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการของตลาดสวรรค์ในสังกัดจวนแม่ทัพภาคตงหัว ก็คาดว่าไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่อะไร ไม่อย่างนั้นที่ดาวเทียนหยวนก็ไม่มีตำแหน่งเตรียมไว้ให้เยอะขนาดนั้น


วางเสาไว้ที่ตลาดสวรรค์แต่ละแห่งก่อน ควบคุมทิศทางการเคลื่อนไหวภายในของตลาดสวรรค์แต่ละแห่ง การรับรู้ข่าวสารคือเรื่องที่สำคัญมาก


เหมียวอี้กังวลว่าปากของเซี่ยโห้วหลงเฉิงจะเชื่อถือไม่ได้ ถึงอย่างไรก็เคยมีประสบการณ์ปล่อยไก่ต่อหน้าหวงฝู่จวินโหรวไปครั้งหนึ่งแล้ว เขาไม่เชื่อมั่นในปากของเซี่ยโห้วหลงเฉิง ทว่าหยางชิ่งบอกว่าเขาจะออกโรงจัดการเซี่ยโห้วหลงเฉิงด้วยตัวเอง รับรองว่าจะทำให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่กล้าปริปากเปิดเผยต่อภายนอกแม้แต่คำเดียว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)