เทพปีศาจหวนคืน 1293-1296
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1293 ขายวิญญาณ (อ่านฟรี)
แปลโดย iPAT
มันไม่เป็นไรหากแม่น้ำหวนคืนอยู่ข้างนอก แต่หากมันอยู่ในมิติช่องว่าง มันจะดูดกลืนปราณสวรรค์พิภพเป็นจำนวนมาก เมื่อขาดปราณสวรรค์พิภพ มิติช่องว่างจะไม่เสถียร
ดังนั้นฟางหยวนจึงต้องวางมิติช่องว่างลงและดูดซับปราณสวรรค์พิภพเป็นครั้งคราว
หลังจากดูดซับปราณสวรรค์พิภพ
ฟางหยวนไปที่แม่น้ำหวนคืนและโยนร่างผีดิบอมตะของเขาลงไป
แม่น้ำหวนคืนสามารถผนึกวิญญาณ ดังนั้นฟางหยวนจึงต้องทดลองทุกวิธีที่คิดได้
อย่างไรก็ตามมันไร้ประโยชน์
“ดังคาด”
“ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าในร่างผีดิบอมตะไม่ได้รับผลกระทบ ท้ายที่สุดมันก็เป็นพลังงานแห่งเต๋าไม่ใช่วิญญาณ”
“วิญญาณระดับหนึ่งถึงแปดไม่สามารถใช้งานในแม่น้ำหวนคืน แต่พลังงานแห่งเต๋ายังสามารถใช้งาน ในการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน พลังงานแห่งเต๋าช่วยปกป้องข้าและเป็นสาเหตุที่ผู้อมตะระดับแปดแข็งแกร่งที่สุดในแม่น้ำหวนคืน”
ฟางหยวนวิเคราะห์หลังจากล้มเหลวในการทดลอง
เขาต้องการใช้แม่น้ำหวนคืนแก้ปัญหากับดักบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณ แต่มันไร้ประโยชน์
อย่างไรก็ตามฟางหยวนไม่ท้อแท้ ในความเป็นจริงเขาคาดเดาสิ่งนี้ไว้แล้ว
ฟางหยวนนำร่างผีดิบอมตะกลับไปยังภูเขาผนึกสวรรค์และวางมันไว้ในค่ายกลวิญญาณอีกครั้ง
ต่อมาเขาเริ่มหลอมรวมวิญญาณ
ศพของม้าปีศาจฝันร้ายวางอยู่ตรงหน้า
นิ้วของฟางหยวนขยับราวกับใบมีดและส่งแสงสีทองออกไปชำแหละร่างกายของม้าปีศาจฝันร้าย
ไม่มีเลือด
หลังจากม้าปีศาจฝันร้ายเสียชีวิต ฟางหยวนระบายเลือดของพวกมันเก็บไว้ที่อื่นแล้ว
สามวันต่อมาขาข้างหนึ่งของม้าปีศาจฝันร้ายก็กลายเป็นของเหลวสีม่วงเข้มอยู่ในหม้อหลอมรวม
ฟางหยวนโยนวิญญาณหลายดวงลงไป
หลังจากสิบห้านาที หม้อหลอมรวมก็ระเบิดและส่งวิญญาณระดับมนุษย์มากกว่าร้อยดวงบินออกมา
วิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งความฝัน!
นี่ยังเป็นผลผลิตจากขาเพียงข้างเดียวของม้าปีศาจฝันร้ายเท่านั้น
ประสิทธิภาพของมันสูงมาก มันแตกต่างจากทรัพยากรที่ฟางหยวนนำออกจากอาณาจักรแห่งความฝันของเขาอย่างสิ้นเชิง
การรวบรวมทรัพยากรบนเส้นทางแห่งความฝันด้วยการเข้าไปในอาณาจักรแห่งความฝันของตนเองมีความเสี่ยง บางครั้งเขาต้องใช้ท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝันเพื่อผ่านด่าน นี่ถือเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมาก
แต่ตอนนี้ฟางหยวนมีม้าปีศาจฝันร้าย การหลอมรวมวิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งความฝันไม่เหมือนก่อนหน้าอีกต่อไป
“มันเหมือนกับการใช้ผลไม้แห่งความฝันในการหลอมรวม ประสิทธิภาพของมันสูงมาก”
“แท้จริงแล้วข้าสามารถปรับปรุงวิธีการหลอมรวมวิญญาณ ข้าต้องทดลองหลายๆวิธี”
ขณะที่ฟางหยวนกำลังจะทดสอบวิธีใหม่ เขาได้รับจดหมายจากผมที่หกอีกครั้ง
ในจดหมาย ราชันภูเขาม่วงไม่ยินดีส่งมอบวิญญาณทัศนคติ เขากล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า หากฟางหยวนต้องการวิญญาณทัศนคติ เขาต้องสร้างความร่วมมือเป็นอันดับแรก ตราบเท่าที่พวกเขาทำงานร่วมกัน วิญญาณทัศนคติจะเป็นของเขารวมถึงความลับของร่างทารกอมตะ
“ผู้อมตะระดับแปดจัดการได้ยากจริงๆ”
“ข้อบกพร่องของร่างทารกอมตะงั้นหรือ? มันเป็นเรื่องจริงหรือคำลวง?”
ข้อมูลนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อฟางหยวน
แต่ไม่นานเขาก็สามารถสงบจิตใจ
เขาผ่านความยากลำบากมามากมาย การล่อลวงชนิดนี้ไม่มีความหมายสำหรับเขา
“ดูเหมือนข้าต้องทำงานหนักด้วยตนเองเท่านั้น”
ฟางหยวนตอบจดหมายและเจรจาต่อรองกับนิกายเงาต่อไป
แต่เขารู้ว่านิกายเงาจะไม่ส่งมอบวิญญาณทัศนคติให้เขาก่อนจะสร้างความร่วมมือ
หลังจากนั้นฟางหยวนเริ่มคิดค้นท่าไม้ตายใหม่
เขาต้องการใช้ท่าไม้ตายนี้เพื่อปรับแต่งวิญญาณทัศนคติ
ในไม่ช้าเขาก็พบปัญหา แม้เขาจะมีวิญญาณอมตะจำนวนมาก แต่ไม่มีวิญญาณดวงใดที่เหมาะสมกับจุดประสงค์นี้
มันไม่เหมือนการสร้างท่าไม้ตายอมตะเกราะหวนคืน
‘หากมีการแลกเปลี่ยนวิญญาณ…’
ความคิดนี้ปรากฏขึ้นในใจของฟางหยวนและเริ่มหยั่งรากลึก
ขายวิญญาณอมตะ!
ฟางหยวนมีวิญญาณอมตะมากเกินไป มันมากจนน่าตกใจ
แต่ในความเป็นจริง วิญญาณอมตะส่วนหนึ่งไม่เหมาะสมกับเขา หรือกล่าวให้ถูกต้องกว่านั้น พวกมันไม่มีประโยชน์ในตอนนี้
วิญญาณดาบแห่งปัญญาและวิญญาณปีไหลผ่านราวกับสายน้ำไม่สามารถใช้งาน แต่พวกมันเป็นวิญญาณอมตะระดับแปด ฟางหยวนจะไม่ขายพวกมันออกไป
ฟางหยวนมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งดาบไม่มาก ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งดาบของเขาก็อยู่ในระดับทั่วไป แต่วิญญาณคิ้วดาบ วิญญาณคลื่นดาบ วิญญาณดาบบิน และวิญญาณดาบทะลวงมิติสามารถเพิ่มพลังการต่อสู้ของเขา เขาไม่สามารถสูญเสียพวกมันเช่นกัน
มองจากสถานการณ์
วิญญาณหัวใจหญิงงามมีประโยชน์น้อยมาก
วิญญาณความแข็งแกร่งของหมีบิน ฟางหยวนไม่ได้ใช้งานมันอีกต่อไป
วิญญาณหนานกระดูกไม่มีความเกี่ยวข้องกับฟางหยวนแม้แต่น้อย
วิญญาณสัมผัสแห่งเต๋ามีวิธีใช้งานที่ลึกลับ แต่สำหรับฟางหยวน มันไม่มีประโยชน์มากนัก เขาต้องชั่งน้ำหนักคุณค่าของมันอีกครั้ง
สรุป วิญญาณหัวใจหญิงงาม วิญญาณความแข็งแกร่งของหมีบิน และวิญญาณหนานกระดูกไม่มีประโยชน์กับเขาและสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยน
แต่การขายวิญญาณมีความยากลำบากอย่างไร?
ระหว่างสงครามห้าภูมิภาค มันอาจเป็นเรื่องทั่วไป แต่ตอนนี้มีโอกาสน้อยมากที่ผู้อมตะจะทำการแลกเปลี่ยนซื้อขายวิญญาณอมตะขนาดใหญ่
การเดินทางของฟางหยวนยังติดขัด เขาต้องหยุดเป็นครั้งคราว
แม้เขาจะต้องการเดินทางให้เร็วกว่านี้แต่มันยังยากเกินไป
ระหว่างทาง ฟางหยวนจะวางมิติช่องว่างลงและหลอมรวมวิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งความฝัน เขายังอนุมานท่าไม้ตายอมตะที่สามารถปรับแต่งวิญญาณทัศนคติ
อย่างไรก็ตามครั้งนี้ขณะที่ฟางหยวนกำลังเก็บมิติช่องว่างและเตรียมออกเดินทาง ใบหน้าของเขากลับเปลี่ยนแปลงไป เขาสังเกตเห็นร่องรอยของการต่อสู้ระหว่างผู้อมตะ
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1294 การปรากฏตัวอีกครั้งของชูอิง
แปลโดย iPAT
“ในที่สุดเราก็ผ่านกำแพงภูมิภาคมาแล้ว” อิงอู๋เซี่ยถอนหายใจ เขามองท้องทะเลและรู้สึกเหนื่อยล้า
ไห่ลั่วหลันและไป่หนิงปิงไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีกว่าเขา
นิกายเงาเดินทางมายังทะเลตะวันออก แน่นอนว่าการผ่านกำแพงภูมิภาคส่งผลกระทบต่อพวกเขา
โชคดีที่พวกเขาล้วนเป็นตัวตนระดับสูง แม้มิติช่องว่างของพวกเขาจะเสียหาย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่
พวกเขาไม่ได้รีบจากไปแต่เลือกเกาะแบบสุ่มเพื่อพักอาศัย
บนเกาะนิรนาม อิงอู๋เซี่ย ไห่ลั่วหลัน และไป่หนิงปิงเริ่มตั้งจัดค่ายกลวิญญาณ
อิงอู๋เซี่ยนำหินสีม่วงทองวางไว้ในค่ายกลวิญญาณขณะที่ไห่ลั่วหลันและไป่หนิงปิงยืนคุ้มกันอยู่ด้านนอก
ไม่นานหลังจากนั้นหินสีม่วงทองก็ถูกหลอมละลาย ราชันภูเขาม่วงตื่นขึ้นอีกครั้ง
เขาเป็นผู้อมตะระดับแปด หากเขาเดินทางผ่านกำแพงภูมิภาค เขาจะได้รับผลกระทบมากที่สุด
โดยปกติผู้อมตะระดับแปดจะเดินทางผ่านสวรรค์สีดำหรือสีขาว แต่สวรรค์สีดำและสีขาวของภาคเหนืออยู่ภายใต้อิทธิพลของวังสวรรค์แห่งโชค มันถูกควบคุมโดยถ้ำสวรรค์นิรันดร
แน่นอนว่านิกายเงาจะไม่นำตนเองเข้าสู่กับดัก ผู้อมตะภาคกลางเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับเรื่องนี้
นิกายเงามีรากฐานที่ลึกล้ำ ราชันภูเขาม่วงสามารถเข้าสู่การจำศีลและตื่นขึ้นได้ตามปรารถนา
เมื่อเขาอยู่ในหินสีม่วงทอง กลิ่นอายของเขาจะถูกผนึกอย่างสมบูรณ์ เขาจะกลายเป็นหินที่ไร้ชีวิต
ด้วยวิธีการที่น่าเหลือเชื่อนี้ อิงอู๋เซี่ยได้นำราชันภูเขาม่วงเดินทางผ่านกำแพงภูิมภาคมาถึงทะเลตะวันออก
“ทะเลตะวันออก…” ราชันภูเขาม่วงตื่นขึ้นและถอนหายใจขณะมองทะเลอันกว้างใหญ่
ภายใต้การนำของเขา สมาชิกนิกายเงารื้อถอนค่ายกลวิญญาณและเก็บกวาดสถานที่อย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นทั้งสี่ก็ใช้ค่ายกลวิญญาณท่องรอบทิศเพื่อเดินทางไปยังทะเลไหลเชี่ยว
ไม่มีกระแสน้ำใดที่สามารถกีดขวางราชันภูเขาม่วง
“หือ? สาขาของสายธารแห่งกาลเวลาอยู่ที่ใด?” เมื่อไม่พบสิ่งที่พวกเขาต้องการ อิงอู๋เซี่ยรู้สึกสับสน
“อย่าบอกว่าสาขาของสายธารแห่งกาลเวลาหายไป?” ไห่ลั่วหลันคาดเดาหลังจากตรวจสอบ
ราชันภูเขาม่วงพบเบาะแสบางอย่าง “สาขาของสายธารแห่งกาลเวลาถูกนำออกไปโดยบางคน”
“เป็นไปได้อย่างไร? ผู้ใดทำ? ฟางหยวนงั้นหรือ?” อิงอู๋เซี่ยนึกถึงฟางหยวนเป็นคนแรก
แต่ราชันภูเขาม่วงส่ายศีรษะ “วิธีนี้ไม่เหมือนเขา ต้องเป็นผู้อื่น ลืมมันไปซะ เมื่อเราไม่สามารถใช้สายธารแห่งกาลเวลาของที่นี่ เราจะไปที่อื่น มีสาขาของสายธารแห่งกาลเวลาอยู่ที่นั่นเช่นกัน”
กลุ่มของนิกายเงาออกจากทะเลไหลเชี่ยว
บางแห่งของทะเลตะวันออก
การต่อสู้แห่งชีวิตและความตายกำลังจะจบลง
“ไปเร็ว ข้าถูกโจมตีด้วยเข็มวิญญาณสายฟ้าของเขา เขาจะรู้ตำแหน่งของข้า ข้าไม่สมารถหลบหนี ข้าไม่สามารถไปกับเจ้า” ผู้อมตะฮวาตี้กล่าวอย่างอ่อนแรงอยู่ในอ้อมแขนของชายผู้หนึ่ง
หญิงผู้นี้อยู่ในชุดคลุมไหมสีชมพูอ่อน ดวงตาของนางแสดงสัญญาณของความอ่อนล้า เลือดไหลออกมาจากมุมปากของนาง อาการบาดเจ็บของนางถือว่ารุนแรงมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนผิวของนางมีประกายสายฟ้าแลบลั่นขึ้นเป็นครั้งคราว สิ่งนี้เกิดจากท่าไม้ตายอมตะเข็มวิญญาณสายฟ้า
“ไม่!” ผู้อมตะชายปฏิเสธโดยไม่ลังเล
เขามีไหล่กว้าง เอวบาง และอยู่ในชุดเกราะต่อสู้ แต่มันยังไม่สามารถปกปิดบาดแผลบนร่างกายของเขา
“ข้าจะทิ้งเจ้าได้อย่างไร? หากข้าหลบหนีไปเพียงลำพัง แล้วข้าจะเผชิญหน้ากับท่านเมี่ยวหมิงเฉินได้อย่างไร?” แม้เขาจะกล่าวเช่นนี้แต่สามารถมองเห็นร่องรอยของความรักอยู่ในดวงตาของเขา
เขาคือเฟิงเจียง
เฟิงเจียง ฮวาตี้ และกุ้ยฉีเย่ ทั้งสามเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้อมตะบนเส้นทางแห่งห้วงมิติที่มีชื่อเสียงของทะเลตะวันออก เมี่ยวหมิงเฉิน
เมี่ยวหมิงเฉินตามหาสาขาของสายธารแห่งกาลเวลาในทะเลไหลเชี่ยว ดังนั้นผู้อมตะทั้งสามจึงผลัดกันออกมาตรวจสอบพื้นที่บริเวณนี้อยู่เสมอ เมื่อพวกเขาเห็นผู้อมตะบางคนเข้าใกล้ พวกเขาจะเข้าไปพูดคุยและขอความช่วยเหลือ
“เช่นนั้นพวกเจ้าก็จงตายไปพร้อมกัน” คนที่ไล่ล่าพวกเขาเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด
เขาชื่อว่าเก้อเหวิน เขาอยู่ในชุดคลุมสีฟ้าและมีผิวหนังแห้งเหมือนเปลือกไม้ ดวงตาของเขาส่องประกายด้วยแสงสีแดง ฟันแหลมคม และดูท่าทางชั่วร้าย
คนผู้นี้ค่อนข้างมีอายุและมีชื่อเสียงอยู่บ้างในทะเลตะวันออก
เขาเป็นปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งสายฟ้า แต่ครั้งหนึ่งเมื่อเขาใช้ท่าไม้ตายอมตะ เขาล้มเหลวและได้รับผลกระทบย้อนกลับทำให้เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเปลี่ยนตนเองให้เป็นผีดิบอมตะ
แต่ถึงกระนั้นพลังการต่อสู้ของเขาก็ยังโดดเด่นด้วยวิญญาณอมตะสองดวง ด้วยเหตุนี้ผู้อมตะระดับหกฮวาตี้และเฟิงเจียงจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
“มอบผงวัฎจักรปีออกมา มันเป็นของข้า หากพวกเจ้ามอบมันให้ข้า ข้าอาจทิ้งศพของพวกเจ้าเอาไว้!” เก้อเหวินหัวเราะคิกคักขณะเคลื่อนที่เข้าใกล้เป้าหมาย
ผู้อมตะฮวาตี้กังวล “เราพบผงวัฎจักรปีก่อน มันจะเป็นของเจ้าได้อย่างไร?”
“ข้าอยู่ที่นี่มาครึ่งเดือนแล้ว แต่ทันทีที่ข้าพบมัน พวกเจ้าก็ชิงมันไปแล้ว!” เก้อเหวินคำราม
ผู้อมตะฮวาตี้รู้สึกขุ่นเคือง “ท่านเมี่ยวหมิงเฉินพบผงวัฎจักรปีเมื่อสามปีก่อนและจัดตั้งค่ายกลวิญญาณเอาไว้ ทุกสามเดือน ข้าจะไปที่นั่นและดูแลมัน ไม่ว่าเจ้าจะบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างไร เจ้าก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงข้อนี้!”
ผู้อมตะฮวาตี้กล่าวตามความจริง แต่เก้อเหวินปฏิเสธ “ฮืม ลิ้นสองแฉก ข้าจะฆ่าเจ้าเป็นคนแรก!”
“ฮืม อย่าอวดดีนัก!”
เป็นเพียงเวลานี้ที่เสียงสายหนึ่งดังขึ้น
“ผู้ใด?” การแสดงออกของเก้อเหวินเปลี่ยนไป
ในเวลาเดียวกันน้ำทะเลพลันยกตัวสูงขึ้น
ต่อมาอสูรกายตัวหนึ่งก็พุ่งขึ้นมาจากจุดนั้น
มังกรทะเลสีน้ำเงินปรากฏตัวขึ้นและกล่าว “ปีศาจร้าย! มอบชีวิตของเจ้ามา!”
ผู้อมตะทั้งสามเข้าใจทันทีว่ามังกรทะเลสีน้ำเงินตัวนี้คือผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง
ผู้อมตะฮวาตี้และเฟิงเจียงทั้งมีความสุขและตกใจ
เก้อเหวินโกรธมาก “ยุ่งไม่เข้าเรื่อง รับท่าไม้ตายของข้า!”
หลังกล่าวจบคำ เขาถ่มน้ำลายใส่ฝ่ามือข้างขวา
น้ำลายของเขากลายเป็นสายฟ้าขนาดเท่าไข่ห่าน
จากนั้นเก้อเหวินก็ส่งเสาสายฟ้าพุ่งเข้าโจมตีมังกรทะเลสีน้ำเงิน
แต่มันไม่หลบ มันอ้าปากและ…
ลมหายใจมังกร!
เก้อเหวินลอบหัวเราะอยู่ภายใน ‘ท่าไม้ตายของข้าอยู่ได้นานหลายนาทีขณะที่ลมหายใจมังกรต้องใช้ครั้งต่อครั้ง แล้วเขาจะต่อต้านข้าได้อย่างไร?’
แต่ลมหายใจมังกรกลับไม่หายไป
มันพุ่งทะลวงเสาสายฟ้าไปถึงเก้อเกวินในพริบตา
“นี่เป็นไปได้อย่างไร?” เก้อเหวินรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
เขารีบหลบ
ลมหายใจมังกรพุ่งผ่านไป เก้อเหวินขมวดคิ้วลึกและคำราม “วันนี้พวกเจ้าโชคดี ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปก่อน”
หลังกล่าวจบประโยค เขาเร่งล่าถอยทันที
มังกรทะเลสีน้ำเงินไม่ได้ไล่ล่า มันเพียงเฝ้ามองเก้อเหวินจากไปเท่านั้น
“เขาต้องกลับไปที่ค่ายกลวิญญาณ ที่นั่นยังมีผงวัฎจักรปีเหลืออยู่อีกมาก” ผู้อมตะฮวาตี้สามารถบอกแผนการของเก้อเหวิน
เฟิงเจียงวางฮวาตี้ลงและป้องหมัดไปที่มังกรทะเลสีน้ำเงิน “สหายท่านนี้ ท่านสามารถเอาชนะศัตรูที่แข็งแกร่งและช่วยชีวิตพวกเรา พวกเราจะไม่มีวันลืมความเมตตาในครั้งนี้ ข้าขอทราบชื่อของท่านได้หรือไม่?”
เป็นเพียงเวลานี้ที่มังกรทะเลสีน้ำเงินเปลี่ยนรูปลักษณ์กลับเป็นมนุษย์ “ข้าชื่อชูอิง เทพธิดาฮวาตี้ ท่านสบายดีหรือไม่?”
ผู้อมตะฮวาตี้ประหลาดใจและมีความสุข “โอ้ ผู้ใดจะคิดว่าเป็นท่านชูอิง!”
เมื่อเห็นสายตาที่งุนงงของเฟิงเจียง ผู้อมตะฮวาตี้เร่งอธิบาย “เราพบสาขาของสายธารแห่งกาลเวลาในทะเลไหลเชี่ยวเพราะท่านชูอิง เขาเป็นเหตุผลที่ทำให้นายท่านเมี่ยวหมิงเฉินสามารถนำสาขาของสายธารแห่งกาลเวลากลับไป”
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1295 งานประชุมการค้า
แปลโดย iPAT
“เป็นเช่นนั้น!” เมื่อได้ยินคำอธิบายของฮวาตี้ การแสดงออกของเฟิงเจียงจึงเปลี่ยนแปลงไป
แน่นอนว่าชูอิงผู้นี้ก็คือฟางหยวนที่ปลอมตัวมา
หลังจากเก็บมิติช่องว่าง เขาพบร่องรอยของการต่อสู้ระหว่างผู้อมตะ
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาติดตามร่องรอยดังกล่าวมาเพื่อดูว่าเขาจะสามารถฉกฉวยผลประโยชน์ใดได้บ้าง ท้ายที่สุดเขาก็พบผู้อมตะฮวาตี้กับอีกคนกำลังถูกศัตรูไล่ล่า
และผู้ที่ไล่ล่าพวกเขาคือผีดิบอมตะระดับเจ็ด ณ จุดนี้ ตัวตนเช่นนี้กลายเป็นอ่อนแอต่อหน้าฟางหยวนไปแล้ว
ฟางหยวนเคยช่วยผู้อมตะฮวาตี้มาก่อน นั่นเป็นเพราะเขาต้องการสร้างสายสัมพันธ์กับผู้อมตะบนเส้นทางแห่งกาลเวลาเมี่ยวหมิงเฉินที่อยู่เบื้องหลังผู้อมตะฮวาตี้
คนผู้นี้มีวิธีเข้าไปสำรวจปลาวาฬมังกรฟ้า
ปลาวาฬมังกรฟ้าเป็นสัตว์อสูรของเทพอมตะสวรรค์พิภพ มันถูกปลุกมิติช่องว่างและมีคลังสมบัติขนาดใหญ่เก็บไว้ภายใน
มันเหมือนพังพอนหางสุนัขของเทพอมตะตะวันเดือด
แต่สติปัญญาของปลาวาฬมังกรฟ้าไม่ได้รับการพัฒนา นั่นทำให้มันทำได้เพียงว่ายน้ำไปอย่างอิสระในทะเลตะวันออกตามสัญชาตญาณของมันเท่านั้น
นอกจากนี้เทพอมตะสวรรค์พิภพยังจัดตั้งค่ายกลวิญญาณไว้บนร่างของมัน นี่ทำให้มันปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ
ปลาวาฬมังกรฟ้ามีนิสัยอ่อนโยนและไม่มีอันตราย แต่พลังป้องกันของมันทำให้ผู้คนที่ต้องการทำร้ายมันไม่สามารถทำสิ่งใด
ตามข่าวลือที่เป็นความลับจากชีวิตแรกของฟางหยวน เทพอมตะสวรรค์พิภพทิ้งมรดกที่แท้จริงไว้ในร่างของปลาวาฬมังกรฟ้าตัวนี้
ฟางหยวนจำได้ว่าเมี่ยวหมิงเฉินเคยสำรวจปลาวาฬมังกรฟ้าหลายครั้ง อย่างไรก็ตามแม้เขาจะได้กำไรบางอย่าง เขาก็ยังไม่ได้รับมรดกที่แท้จริงตั้งแต่ต้นจนจบ
เป็นธรรมดาที่ฟางหยวนจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ดังนั้นเมื่อเห็นผู้อมตะฮวาตี้ถูกไล่ล่า เขาก็ตระหนักว่านี่เป็นโอกาสที่หาได้ยาก เขาสามารถฉวยโอกาสนี้เพื่อแสดงความปรารถนาดีต่อเมี่ยวหมิงเฉินได้อีกครั้ง
ดังนั้นเขาจึงปรากฏตัวขึ้นและขับไล่เก้อเหวินไป
เขาไม่ได้แปลงร่างเป็นมังกรดาบบรรพกาล
เพราะร่างมังกรดาบบรรพกาลไม่สามารถเปิดเผยได้ในช่วงเวลานี้
เนื่องจากหลิวกวนซื่อใช้มันสังหารเย่หลิวชุนซิงที่ภาคเหนือ
ตอนนี้หลิวกวนซื่อกลายเป็นเจ้าของแม่น้ำหวนคืนที่สามารถต่อต้านผู้อมตะระดับแปด ชื่อเสียงของเขาโด่งดังไปทั่วโลก ผู้อมตะเกือบทุกคนรู้จักเขา
ผู้คนนับไม่ถ้วนสนใจหลิวกวนซื่อและพยายามอนุมานเกี่ยวกับเขา
ความจริงที่ว่าหลิวกวนซื่อใช้ร่างมังกรดาบบรรพกาลเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้ดี หากฟางหยวนใช้มัน ผู้อมตะคนอื่นๆจะสามารถเชื่อมโยงเขากับหลิวกวนซื่อ
นี่คือภาระของชื่อเสียง
อย่างไรก็ตามแม้ฟางหยวนจะไม่สามารถเปลี่ยนเป็นมังกรดาบบรรพกาล เขาก็ยังสามารถเปลี่ยนเป็นมังกรทะเลสีน้ำเงิน สัตว์อสูรที่เป็นเอกลักษณ์ของทะเลตะวันออก
มันเป็นสัตว์อสูรบรรพกาลเช่นกัน แต่พลังของมันยังไม่สามารถเปรียบเทียบกับมังกรดาบบรรพกาล
อย่างไรก็ตามวิญญาณอมตะลมหายใจมังกรของฟางหยวนยังสามารถใช้งานได้
สิ่งที่ต้องกล่าวถึงก็คือเหตุผลที่ลมหายใจมังกรทะเลสีน้ำเงินสามารถเอาชนะผีดิบอมตะบนเส้นทางแห่งสายฟ้าเก้อเหวินเป็นเพราะฟางหยวนใช้วิญญาณความพยายามพร้อมกัน
วิญญาณความพยายามเป็นวิญญาณอมตะระดับเจ็ด หลังจากได้รับมันมา ฟางหยวนทำความเข้าใจและเรียนรู้ความสามารถบางอย่างของมันมาแล้ว
นอกเหนือจากการพิชิตแม่น้ำหวนคืน วิญญาณความพยายามยังทำให้วิญญาณดวงอื่นๆทำงานได้ยาวนานมากขึ้น
ตัวอย่างเช่นลมหายใจมังกรทะเลสีน้ำเงิน
หากฟางหยวนใช้เพียงวิญญาณอมตะลมหายใจมังกร มันอาจไม่สามารถทำลายเสาสายฟ้าของเก้อเหวิน
แต่เมื่อใช้มันร่วมกับวิญญาณความพยายาม พลังอำนาจของลมหายใจมังกรงจึงก้าวเข้าสู่ระดับใหม่
แน่นอนว่าฟางหยวนไม่สามารถรักษาลมหายใจมังกรเอาไว้ได้นานเกินไป เพราะมันจะสร้างภาระให้กับลำคอของเขา
โชคดีที่เก้อเหวินล่าถอยอย่างรวดเร็วหลังจากตระหนักถึงความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้
“สหายท่านนี้คือ?” ฟางหยวนมองเฟิงเจียน
“ข้าเป็นหนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาของนายท่านเมี่ยวหมิงเฉิน เฟิงเจียง ท่านชู ท่านช่วยชีวิตข้า ข้าสงสัยว่าข้าจะสามารถตอบแทนท่านได้อย่างไร?” เฟิงเจียงแนะนำตัวทันที
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ ข้าเพียงบังเอิญผ่านมาทางนี้เท่านั้น แม้ข้าจะเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษ แต่ข้าไม่สามารถอดทนต่อการกระทำอันชั่วช้าของปีศาจเหล่านี้ โดยเฉพาะเมื่อเทพธิดาฮวาตี้เป็นคนที่ข้ารู้จัก ดังนั้นข้าจึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ช่วย” ฟางหยวนถ่อมตน
ได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ ผู้อมตะฮวาตี้และเฟิงเจียงรู้สึกประทับใจฟางหยวนมากขึ้น
ผู้อมตะทั้งสามพูดคุยกันครู่หนึ่งก่อนที่ผู้อมตะฮวาตี้จะถอนหายใจกล่าว “น่าเสียดาย มีผงวัฎจักรปีอยู่มากมาย ตอนนี้พวกมันคงอยู่ในมือของเก้อเหวินแล้ว ความพยายามของเราไร้ผล เราควรสร้างค่ายกลวิญญาณให้มากกว่านี้”
เฟิงเจียงปลอบใจ “เสี่ยวตี้ อย่าโทษตัวเอง ทะเลตะวันออกกว้างใหญ่มาก เก้อเหวินพบค่ายกลวิญญาณนี้โดยบังเอิญขณะที่พวกเราไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลวิญญาณ เราทำดีที่สุดแล้ว หากต้องการซ่อนพวกมันให้ลึกกว่านี้ พวกเราต้องมีวิญญาณอมตะ”
ฟางหยวนยิ้ม “แม้จะสูญเสียผงวัฏจักรปีแต่สามารถรักษาชีวิต ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตก็ยังมีความหวัง อย่าท้อแท้ มีได้ย่อมมีเสีย นี่แหล่ะชีวิต ผู้ใดจะสามารถได้รับชัยชนะหรือพ่ายแพ้ตลอดไป”
เฟิงเจียงหัวเราะ “ท่านชูกล่าวได้ลึกซึ้งนัก นั่นเป็นเรื่องจริง”
คิ้วของผู้อมตะฮวาตี้คลายออกเล็กน้อย “ข้าเข้าใจเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามตอนนี้นายท่านเมี่ยวหมิงเฉินกำลังจะเข้าร่วมงานประชุมการค้า หนึ่งในสหายของท่านต้องการสิ่งนี้ ท่านเมี่ยวหมิงเฉินรับปากคนผู้นั้นไปแล้ว ตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก่อนจะถึงวันนัดหมาย แต่ผงวัฏจักรปีกลับถูกชิงไป แล้วเราควรทำอย่างไร?”
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ การแสดงออกของเฟิงเจียงกลายเป็นมืดมน “ถูกต้อง หากเรากลับไปมือเปล่า แม้ท่านเมี่ยวหมิงเฉินจะไม่ตำหนิพวกเรา แต่พวกเราก็ยังมีความผิด พวกเราทำงานล้มเหลว สิ่งสำคัญที่สุดคือเราจะทำให้ท่านสูญเสียชื่อเสียง นี่เป็นความผิดของพวกเรา!”
“งานประชุมการค้า?” ฟางหยวนถูกล่อลวง
ก่อนหน้านี้เขากำลังคิดที่จะแลกเปลี่ยนวิญญาณอมตะแต่ยังไม่มีโอกาสที่เหมาะสม
ในความเป็นจริงเขาเคยคิดถึงงานประชุมการค้าของทะเลตะวันออกมาก่อนแต่ยังไม่พบหนทางเข้าร่วม
ทะเลตะวันออกมีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในห้าภูมิภาค กระทั่งภาคกลางก็ไม่สามารถเปรียบเทียบ
ผู้อมตะของทะเลตะวันออกร่ำรวยกว่าผู้อมตะของภูมิภาคอื่นๆอย่างมาก
สิ่งนี้ส่งผลให้งานประชุมการค้าของทะเลตะวันออกมีชื่อเสียงมาก สินค้าที่ใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนล้วนเป็นสินค้าระดับสูง
แน่นอนว่ามันไม่ได้หมายความว่าภูมิภาคอื่นไม่มีงานประชุมการค้าลักษณะนี้ แต่มันมีน้อยเกินไปและฟางหยวนไม่สามารถเข้าร่วม
มีเพียงงานประชุมการค้าของทะเลตะวันออกเท่านั้นที่ฟางหยวนมีโอกาส
“ข้ามีวิญญาณอมตะที่ต้องการแลกเปลี่ยน เป็นไปได้หรือไม่ที่ข้าจะเข้าร่วมในงานประชุมการค้าครั้งนี้?” ฟางหยวนไม่ปิดบังความตั้งใจของเขาและถามออกมาโดยตรง
ผู้อมตะฮวาตี้และเฟิงเจียงมองหน้ากันก่อนกล่าว “งานประชุมการค้าครั้งนี้มีระดับสูงมาก เราไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมและเราไม่มีสิทธิ์ที่จะแนะนำผู้อื่น แต่ท่านชูอิงต่างออกไป ท่านมีบุญคุณต่อพวกเรา ท่านสามารถตามพวกเราไปพบนายท่านเมี่ยวหมิงเฉินและดูว่านายท่านจะคิดเห็นอย่างไร”
“ตกลง” ฟางหยวนพยักหน้า “เช่นนั้นเราไปกันเลยได้หรือไม่?”
เขารีบร้อนมาก
เพราะเขามีเวลาจำกัด
พลังอำนาจของวิญญาณอมตะขีดจำกัดความมืดกำลังลดลงเรื่อยๆ
ผู้อมตะฮวาตี้และเฟิงเจียงลังเลเล็กน้อย ภารกิจของพวกเขาล้มเหลว พวกเขาต้องการให้ฟางหยวนช่วยนำผงวัฏจักรปีกลับคืน แต่พวกเขาไม่สามารถเอ่ยปาก
ในความเป็นจริงฟางหยวนรู้ความตั้งใจของพวกเขา แต่ระหว่างการสนทนา เขาเริ่มกล่าวถึงหัวข้อนี้และไม่เปิดโอกาสให้ทั้งสองขอความช่วยเหลือ
แม้ฟางหยวนจะสามารถรับมือผู้อมตะระดับแปด แต่ไม่ว่าจะเป็นร่างมังกรดาบบรรพกาลหรือเกราะหวนคืน เขาไม่สามารถใช้พวกมันออกมาได้โดยง่าย
หากร่องรอยรั่วไหลออกไป ตัวตนของเขาจะถูกอนุมาน
ผู้อมตะฮวาตี้และเฟิงเจียงไม่มีทางเลือก พวกเขาทำได้เพียงพาฟางหยวนออกไปจากที่นี่เท่านั้น
พวกเขาไม่กล้าเอ่ยปากขอร้องจริงๆ
ฟางหยวนช่วยชีวิตพวกเขา แล้วพวกเขาจะขอให้ผู้มีพระคุณไปต่อสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่งได้อย่างไร ใบหน้าของพวกเขาไม่หนาพอที่จะนำเรื่องเช่นนี้
ดังนั้นผู้อมตะทั้งสามจึงออกเดินทางโดยไม่หยุดพัก
ระหว่างทางพวกเขาพูดคุยกันอีกมากมาย
ผู้อมตะฮวาตี้เคยพบฟางหยวนมาแล้วสองครั้งและมีความประทับใจที่ดีต่อเขา แต่นางยังไม่รู้ภูมิหลังของชูอิงผู้นี้มากนัก
ฟางหยวนเข้าใจว่านางต้องการตรวจสอบเขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงกล่าวถึงต้นกำเนิดของตนเองด้วยความจริงเพียงครึ่งหนึ่ง
ช่วงห้าร้อยปีในชีวิตแรกของฟางหยวน เขาเคยอยู่ในทะเลตะวันออก ดังนั้นคำกล่าวของเขาจึงไม่ใช่เรื่องโกหก โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายละเอียดและประสบการณ์เล็กๆน้อยๆที่เขามี พวกมันเป็นเรื่องจริง
เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาได้พบเมี่ยวหมิงเฉิน ผู้อมตะฮวาตี้และเฟิงเจียงจึงมีทัศนคติที่ดีต่อชูอิงเป็นอย่างมาก
แต่พวกเขาไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วคนผู้นี้คือปีศาจที่แท้จริง หากเปรียบเทียบ ผีดิบอมตะเก้อเหวินที่ขโมยผงวัฏจักรรปีของพวกเขายังไม่ถือเป็นสิ่งใด
เพราะเมื่อไม่นานมานี้ฟางหยวนขโมยแม้แต่แม่น้ำหวนคืนมาจากผู้อมตะระดับแปดปีศาจอมตะเซี่ยหู!
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1296 ราเรืองแสง
แปลโดย iPAT
ทะเลตะวันออก
บนเกาะนิรนาม มีเพียงพื้นที่รกร้างและถ้ำแห่งหนึ่ง
ผู้อมตะหลายคนบินลงมาจากท้องฟ้า
ท่ามกลางพวกเขามีฟางหยวน ฮวาตี้ และเฟิงเจียงรวมอยู่ด้วย
“ผู้ใดจะคิดว่างานประชุมการค้าครั้งนี้จะจัดขึ้นบนเกาะที่รกร้างว่างเปล่าเช่นนี้” ฟางหยวนก้าวขึ้นไปบนเกาะและถอนหายใจ
“น้องชู เจ้าอาจไม่รู้ว่างานประชุมการค้าขนาดใหญ่เช่นนี้มักจะเลือกสถานที่ล่วงหน้าเพียงไม่กี่วันเพื่อป้องกันผู้ที่มีเจตนาร้าย” ผู้อมตะที่อยู่ด้านข้างกล่าว
ผู้อมตะชายผู้นี้ไม่สูงไม่เตี้ย ไม่อ้วนไม่ผอม ในแง่ของรูปลักษณ์ เขาดูธรรมดา มีเพียงจมูกที่แบนและกว้างของเขาเท่านั้นที่เป็นจุดเด่น
คนผู้นี้เป็นผู้อมตะระดับเจ็ดบนเส้นทางแห่งห้วงมิติที่มีชื่อเสียงของทะเลตะวันออก เมี่ยวหมิงเฉิน
ในแง่ของรูปลักษณ์ เขาไม่โดดเด่น แต่หลังจากฟางหยวนได้พูดคุยกับเขา แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ฟางหยวนก็ยังรู้สึกประทับใจ
ฟางหยวนช่วยชีวิตผู้อมตะฮวาตี้และเฟิงเจียงภายใต้ตัวตนของชูอิงและได้เรียนรู้เกี่ยวกับงานประชุมการค้า
ต่อมาเขาติดตามคนทั้งสองมาพบเมี่ยวหมิงเฉิน
เมี่ยวหมิงเฉินไม่ลังเลที่จะตอบรับคำขอเข้าร่วมงานประชุมการค้าของฟางหยวน เขากล่าวว่า “สหาย เจ้าช่วยเหลือข้ามาสองครั้งแล้ว เจ้ายังเป็นผู้มีพระคุณของเสี่ยวตี้และเสี่ยวเจียง นี่เป็นเพียงงานประชุมการค้า แล้วข้าจะปฏิเสธได้อย่างไร? การปรากฏตัวของเจ้าถือเป็นโชคของพวกเขาอย่างแท้จริง”
เขาเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดที่มีชื่อเสียงของทะเลตะวันออกขณะที่ชูอิงเป็นเพียงผู้บ่มเพาะสันโดษนิรนาม แต่เมี่ยวหมิงเฉินกลับไม่ยโสและยังเป็นมิตรมาก ถ้อยคำของเขาเต็มไปด้วยความความสุภาพและอบอุ่น
ดังนั้นฟางหยวนและเมี่ยวหมิงเฉินจึงมาร่วมงานประชุมการค้าพร้อมกัน
เพียงเมื่อคนทั้งสี่มาถึง ผู้อมตะผู้หนึ่งก็ออกมาต้อนรับ
“เมี่ยวหมิงเฉิน เจ้ามาถึงแล้ว” ผู้อมตะที่มีรูปร่างแคระแกร็นกล่าว
“ฮ่าฮ่าฮ่า ถูเทาเทา ไม่ได้พบกันนานแล้ว” เมี่ยวหมิงเฉินหัวเราะและเร่งเดินเข้าไปหาฝ่ายตรงข้าม
“มาเถอะ ให้ข้าแนะนำเจ้า นี่คือผู้บ่มเพาะสันโดษของทะเลตะวันออก ชูอิง ส่วนนี่คือปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งปฐพีที่หาได้ยากในทะเลตะวันออก ถูเทาเทา” เมี่ยวหมิงเฉินแนะนำ
“ยินดีที่ได้พบ” ฟางหยวนกล่าวด้วยถ้อยคำที่สุภาพแต่การแสดงออกของเขากลับแข็งทื่อ เขาแสร้งแสดงเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษที่ไม่เก่งเรื่องการเข้าสังคม
ถูเทาเทามองฟางหยวนและเผยรอยยิ้ม “เจ้าได้รับคำแนะนำจากเมี่ยวหมิงเฉินและมาที่นี่เป็นครั้งแรก ฮ่าฮ่า ในอดีตข้าก็เข้าร่วมงานประชุมการค้าภายใต้คำแนะนำของเมี่ยวหมิงเฉินเช่นกัน”
ถูกเทาเทาค่อนข้างสุภาพเช่นกัน
เขาคิดว่า ‘เมี่ยวหมิงเฉินเป็นคนมองการณ์ไกล คนที่เขาเชิญมาล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถ ชูอิงผู้นี้ดูถ่อมตนและไร้ชื่อเสียง แต่เนื่องจากเขาได้รับการแนะนำโดยเมี่ยวหมิงเฉิน เขาย่อมไม่ใช่คนธรรมดา’
ขณะที่คิดเช่นนี้ ถูเทาเทากล่าว “โปรดตามข้ามา ข้ามาถึงเป็นคนแรก ในช่วงเวลาที่รอคอย ข้าได้สร้างพื้นที่ใต้ดินเอาไว้แล้ว”
“ครั้งนี้ข้าเป็นเจ้าภาพของงานประชุมการค้า ดังนั้นข้าคงต้องรบกวนพี่ถูแล้ว” เมี่ยวหมิงเฉินกล่าวอย่างสุภาพ
“ฮ่าฮ่า มันเป็นเพียงถ้ำใต้พิภพ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ มาเถอะ!” ถูเทาเทาคว้าแขนของเมี่ยวหมิงเฉินและพาเขาเดินเข้าไปในถ้ำใต้ดิน
ถูเทาเทาและเมี่ยวหมิงเฉินเดินไปข้างหน้าขณะที่ฟางหยวน ฮวาตี้ และเฟิงเจียงติดตามอยู่ด้านหลัง
ถูเทาเทาและเมี่ยวหมิงเฉินพูดคุยกันไปตลอดทาง
เมี่ยวหมิงเฉินมีทักษะในการเข้าสังคมที่น่าเหลือเชื่อขณะที่ถูเทาเทาหัวเราะอย่างมีความสุข
นอกจากนี้เมี่ยวหมิงเฉินยังหันไปพูดคุยกับฟางหยวนตลอดเวลา
ถ้อยคำของเขาอาจดูธรรมดาแต่มันให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติและไม่ได้ทำให้ฟางหยวนรู้สึกถูกทอดทิ้งไว้เพียงลำพัง
ถ้ำใต้พิภพแห่งนี้ดูธรรมดามากแต่มันค่อนข้างกว้าง
มีศาลาและเก้าอี้หลายตัววางอยู่ ทุกอย่างล้วนเป็นงานแกะสลักที่งดงาม สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าถูเทาเทาเป็นคนค่อนข้างพิถีพิถัน
ฟางหยวนนับและพบเก้าอี้หกตัว
‘ดูเหมือนงานประชุมการค้าครั้งนี้จะมีเพียงหกคน เมื่องานเริ่มขึ้น ฮวาตี้และเฟิงเจียงจะต้องออกไป’ ฟางหยวนคาดเดา
“มีสมาชิกใหม่ ดังนั้นข้าจะเพิ่มเก้าอี้เข้าไป” ถูเทาเทากระทืบเท้าเบาๆและทำให้เนินดินปรากฏขึ้นและเริ่มหมุนเหมือนลูกข่าง
ในชั่วพริบตา มันก็กลายเป็นเก้าอี้แกะสลักที่งดงามอีกตัว
ฟางหยวนและคนอื่นๆนั่งลงระหว่างรอคอยผู้อมตะคนอื่นๆ
ไม่นานหลังจากนั้นผู้อมตะสองคนก็ปรากฏตัวขึ้น
หนึ่งเป็นเด็กผู้หญิงที่มีผมเปียหางม้าสองข้าง นางมีดวงตากลมโตแต่สามารถมองเห็นวุฒิภาวะที่ซ่อนอยู่ภายใน
นางคือตงฮัว
ผู้อมตะระดับเจ็ดบนเส้นทางแห่งแสงที่มีชื่อเสียงของทะเลตะวันออก
คนหลังเป็นผู้อมตะชาย เขามีจมูกคด ดวงตาดำสนิท และสวมชุดคลุมดำ
เขาคืออู๋หม่าหยาง ผู้อมตะระดับเจ็ดบนเส้นทางแห่งความมืด เขามีพลังการต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัว ท่าไม้ตายอมตะของเขาคือม่านลูกศรทมิฬ เขาเคยเอาชนะการร่วมมือกันของผู้อมตะระดับเจ็ดสามคนในการต่อสู้ นั่นทำให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังในทะเลตะวันออก
ตงฮัวเป็นคนพูดมากแต่อู๋หม่าหยางกลับไม่พูด
ภายใต้การแนะนำของเมี่ยวหมิงเฉิน บรรยากาศกลายเป็นที่น่าพอใจ
สิบห้านาทีต่อมาผู้อมตะคนที่สามก็มาถึง
เขาคือกงเหลียงไป่ ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาที่บ่มเพาะบนเส้นทางแห่งไม้ ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญามีน้อย โดยเฉพาะผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาที่มีมรดกที่แท้จริงบนเส้นทางแห่งปัญญาเช่นฟางหยวน
อย่างไรก็ตามกงเหลียงไป่ไม่เพียงมีมรดกที่แท้จริงบนเส้นทางแห่งปัญญา แต่เขายังมีความสำเร็จอยู่บ้าง แม้เขาจะไม่ใช่ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาสามอันดับแรกของทะเลตะวันออกและเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษ แต่เขาก็มีเครือข่ายที่กว้างขวางและเต็มใจอนุมานเพื่อแลกกับทรัพยากร
“กงเหลียงไป่ หลังจากงานนี้ ข้ามีเรื่องจะขอให้เจ้าช่วยอนุมาน” เมี่ยวหมิงเฉินกล่าว
“เรื่องของหลิวกวนซื่อใช่หรือไม่? ข้าได้รับคำขอจากผู้คนมากมายให้อนุมานเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาทั้งหมดกำลังตามหาคนผู้นี้” กงเหลียงไป่กล่าว
“แน่นอนว่าไม่”
กงเหลียงไป่พยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี ข้าเคยอนุมานเกี่ยวกับคนผู้นี้มาแล้วห้าครั้งแต่กลับล้มเหลวทั้งหมด มีเบาะแสน้อยเกินไปขณะที่หลิวกวนซื่อมีวิธีป้องกันตัวจากการอนุมาน”
ฟางหยวนที่ฟังอยู่ด้านข้างรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อยแต่ภายนอกการแสดงออกของเขายังไม่เปลี่ยน
หัวข้อนี้ดึงดูดความสนใจของทุกคน
ถูเทาเทาตะโกน “หลิวกวนซื่อผู้นี้กำลังโด่งดัง ทุกคนต่างให้ความสำคัญกับเขา!”
“ผู้อมตะระดับเจ็ดที่สามารถต่อสู้กับผู้อมตะระดับแปด คนเช่นนี้จะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์” ตงฮัวถอนหายใจ
“สามารถต่อต้านผู้อมตะระดับแปดด้วยการบ่มเพาะระดับเจ็ด นี่เป็นเป้าหมายที่ทุกคนต่างไล่ล่า” เมี่ยวหมิงเฉินเผยรอยยิ้มขมขื่น “น่าเสียดายที่ข้าไม่มีโอกาสผูกมิตรกับคนเช่นนี้”
ฟางหยวนกล่าวอย่างไร้ความรู้สึก “ข้าได้ยินว่าหลิวกวนซื่อสามารถต่อต้านผู้อมตะระดับแปดเพราะเขาเป็นเจ้าของแม่น้ำหวนคืน แม้แม่น้ำหวนคืนจะเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรค์พิภพ แต่มันมีพลังอำนาจมากพอที่จะต่อต้านผู้อมตะระดับแปดเลยงั้นหรือ?”
ด้วยเหตุนี้หัวข้อสนทนาของกลุ่มผู้อมตะจึงเปลี่ยนจากหลิวกวนซื่อเป็นแม่น้ำหวนคืน
ฟางหยวนเปลี่ยนทิศทางของการสนทนา!
กลุ่มผู้อมตะพูดคุยกันจนถึงเวลากลางคืน
เมื่อดวงจันทร์ปรากฏ งานประชุมการค้าก็เริ่มขึ้น
ผู้อมตะอีกสองคนมาถึงแล้ว
ตงฮัวยืนอยู่บนแท่นด้านหน้า
“นี่คือพืชอสูรเดียวดาย ข้าพบมันในทะเลน้ำลึก สถานที่แห่งนั้นมืดมาก แต่ข้าเห็นแสงสว่างจากมัน เมื่อข้าพบแหล่งกำเนิดแสง ข้าต้องใช้เวลาหลายนาทีเพื่อไปถึงที่นั่น กล่าวได้ว่าที่นั่นเป็นสวรรค์บนเส้นทางแห่งแสงอย่างแท้จริง”
“เดิมทีข้าคิดว่ามันเป็นแสงปะการัง แต่ไม่นานข้าก็พบราสีเขียวที่อยู่บนผิวปะการัง ราสีเขียวเหล่านี้เป็นพืชอสูรเดียวดายชนิดใหม่ที่ไม่มีผู้ใดเคยพบเห็นมาก่อน ข้าตั้งชื่อมันว่าราเรืองแสง ด้วยร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งแสง มันจึงสามารถปลดปล่อยแสงสว่างออกมา”
ตงฮัวกล่าวถึงการค้นพบของนางและกระทั่งกระบวนการตั้งชื่อ
ฟางหยวนประหลาดใจเมื่อเขาพบบางสิ่งที่เขาต้องการตั้งแต่งานประชุมการค้าเริ่มขึ้น
ราเรืองแสง!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น