กระบี่จงมา - ตอนที่ 129.1-130.1

 ตอนที่ 129.1

 

 บนภูเขา

โดย

ProjectZyphon

เบื้องใต้กรอบป้ายของจวน ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มเอาศอกสองข้างยันด้ามและปลายฝักกระบี่ที่อยู่ด้านหลังไว้ด้วยความเคยชิน แต่กลับไม่มอบความรู้สึกเกียจคร้านให้แก่ผู้คน เขาเอ่ยเสียงเบาว่า “ฉู่ฮูหยิน”


หลังจากเอ่ยเรียกหนึ่งที เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ


หลางจงกรมพิธีการที่ถือโคมไฟไว้ในมือและเทพแม่น้ำซิ่วฮวาที่บนแขนมีงูดำพันล้อมกลบผ่อนลมหายใจช้าๆ ยืนตัวตรงอย่างเคร่งขรึมพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย


ผีสาวสวมชุดแต่งงานหัวเราะหยัน “ทำไม ใต้เท้าผู้นี้คิดจะคิดบัญชีกับเชี่ยเซินย้อนหลังงั้นรึ?”


ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มแหงนหน้ามองไปยังม่านฟ้าที่ถูกกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ศาลลมหิมะทะลวงจนปริแตกแล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “ฉู่ฮูหยินอย่าได้พูดจาประชดประชัน ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น แต่หลังจากนี้เมื่อเด็กกลุ่มนั้นเดินทางออกไปจากที่นี่ รวมถึงกลุ่มอาจารย์และศิษย์ผู้เฒ่าตาบอดสามคนนั้น หวังว่าฉู่ฮูหยินจะไม่สร้างเรื่องให้เกิดปัญหาแทรกซ้อน ไม่ว่าตอนแรกฉู่ฮูหยินจะตั้งใจหรือไร้เจตนา สกุลซ่งต้าหลีก็รู้สึกซาบซึ้งใจในบุญคุณของฉู่ฮูหยิน เพราะอย่างไรซะนั่นก็คือการกระทำที่ช่วยให้สกุลซ่งสามารถสืบทอดโชคชะตาของบ้านเมืองต่อไปได้ หลังจากนั้นมาสกุลซ่งต้าหลีก็ให้รู้สึกละอายใจต่อฉู่ฮูหยิน ต่อให้ข้าที่เป็นคนนอกได้ยินเรื่องโศกนาฎกรรมในครั้งนั้นแล้ว อาจไม่ถึงขั้นเป็นเดือดเป็นแค้นแทน แต่ความเห็นอกเห็นใจย่อมต้องมี”


บรรยากาศตกสู่ความเงียบอีกครั้ง


ผีสาวสวมชุดแต่งงานยกมือขึ้นลูบเส้นผมข้างจอนหู หรี่ตายิ้มพยายามแสดงให้เห็นถึงความอ่อนโยนอ่อนหวานของสตรีออกมาให้มากที่สุด “อันดับต่อไป ใต้เท้าสามารถพูดคำว่า ‘แต่ว่า’ ได้แล้ว”


ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มพยักหน้ารับจริงดังคาด “แต่ว่า เรื่องที่ฉู่ฮูหยินสังหารบัณฑิตพร่ำเพื่อ ยิ่งเนิ่นนานก็ยิ่งเป็นดั่งกระดาษที่ไม่อาจห่อไฟก็เหมือนอย่างในวันนี้ ฮ่องเต้จะคิดอย่างไร ข้าไม่กล้าคาดเดาเอาเองโดยพลการ แต่หากข้ายังได้ยินว่ามีบัณฑิตหายไปจากที่นี่อีกครั้ง ข้าก็จะมาเยือนภูเขาลูกนี้เพียงลำพัง พาฉู่ฮูหยินไปส่งที่คุกน้ำของต้าหลีด้วยตัวเอง เจ้าวางใจเถอะ ฮ่องเต้ทรงเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าแก่ก็จริง แต่ย่อมต้องให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์มากกว่า อีกอย่างต่อให้ไมตรีจิตมีมากแค่ไหน ก็ต้องมีสักวันที่ต้องใช้หมด”


ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มถอนหายใจ สายตาแสดงความจริงจัง “ฉู่ฮูหยิน ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ แต่ข้าไม่หวังให้มีวันนั้นจริงๆ”


ผีสาวสวมชุดแต่งงานทอดสายตามองไปยังทิศไกล สองนิ้วของมือข้างหนึ่งลูบชายแขนเสื้อชุดเจ้าสาวไว้เบาๆ ยากนักที่จิตใจของนางจะสงบได้เช่นเวลานี้ จึงเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “แค่ดูจากเรื่องที่เจ้ายอมลดตัวไปพูดกับเด็กหนุ่มคนนั้น ข้าเชื่อว่าเจ้าพูดจริง”


นางหยุดไปนาน สีหน้าเปลี่ยนมาเป็นเย็นชา “ตอนนี้ข้าสามารถรับรองว่าจะไม่ทำร้ายพวกบัณฑิตที่ผ่านทางมา แต่ข้าก็อยากให้เจ้ารู้ไว้ด้วยว่า หากข้าได้เห็นพวกบัณฑิตที่เดินเที่ยวชมทัศนียภาพของภูเขาและลำธารโดยบังเอิญ ถึงเวลานั้นก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะควบคุมตัวเองได้ ข้าไม่ได้ขอร้องเจ้า แค่บอกให้เจ้ารู้ความในใจเท่านั้น ถึงเวลานั้นควรจะจัดการอย่างไร เจ้าก็จัดการได้เลย จะเป็นข้าที่ถูกเจ้าจับโยนเข้าไปในคุกน้ำ หรือข้าทำลายรากฐานภูเขาและต้นกำเนิดแม่น้ำของที่นี่เสียก่อน เจ้าและข้าต่างก็อาศัยความสามารถของตัวเอง และยอมรับผลลัพธ์ที่จะตามมาด้วยตัวเอง!”


ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มยิ้ม “ได้”


เทพแม่น้ำซิ่วฮวาทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด


ก่อนที่ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มจะจากไปได้หันมาพูดกับเทพแม่น้ำว่า “ไม่ต้องเก็บๆ ซ่อนๆ แล้ว เจ้าบอกความจริงฉู่ฮูหยินไปตามตรงเถอะ เวลาผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้ อันที่จริงฉู่ฮูหยินควรจะรู้ความจริงตั้งนานแล้ว หากจะถามหาคนรับผิดชอบเรื่องนี้ก็โยนมาให้ข้า เจ้าไม่ต้องกังวลว่าราชสำนักจะตำหนิ”


เทพแม่น้ำกุมมือคารวะกล่าวเสียงหนัก “ขอบพระคุณใต้เท้า วันหน้าต่อให้เป็นเรื่องส่วนตัวของใต้เท้า แต่ข้าน้อยก็พร้อมจะบุกน้ำลุยไฟโดยไม่เกี่ยงงอน!”


ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มโบกมือ จากนั้นจึงพาหันหลางจงทะยานตัวจากไปกลางอากาศ


ฉู่ฮูหยินยืนอยู่ที่เดิม มองเทพแม่น้ำที่ได้รับความเชื่อถือจากราชสำนักต้าหลีอย่างสูงผู้นี้ด้วยความรังเกียจเล็กน้อย ทั้งไม่เชิญเขาเข้าไปเป็นแขกในจวน แต่กระนั้นก็ไม่ได้ไล่เขากลับไป


เทพแม่น้ำซิ่วฮวาก้าวยาวๆ เดินขึ้นบันไดแล้วนั่งลงง่ายๆ “รู้ว่าเจ้าดูแคลนชาวบู๊หยาบกระด้างอย่างข้ามาโดยตลอด ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะรวบรัดตัดความเลยแล้วกัน สามีที่เจ้าหมายตา ไม่ได้ทรยศต่อความจริงใจของเจ้า เพียงแต่เพราะราชสำนักต้าหลีเห็นแก่สถานการณ์โดยรวม กลัวว่าเจ้าจะไปจากที่นี่ ทำให้ไม่สามารถสยบโชคชะตาที่เหลืออยู่ของแคว้นเสินสุ้ยที่มีภูเขาฉีตุนเป็นหลักได้อีก ดังนั้นจึงไม่ยอมบอกความจริงแก่เจ้า จงใจให้เจ้าเข้าใจบัณฑิตผู้นั้นผิด”


ชายแขนเสื้อของฉู่ฮูหยินสะบัดแรง ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ น้ำตาที่เป็นสายเลือดหลั่งรินออกมาจากกรอบดวงตาอย่างต่อเนื่อง แต่สีหน้าของนางกลับยังนิ่งสงบ “เรื่องมาถึงวันนี้ เจ้ายังคิดจะหลอกข้าอีกหรือ? นึกว่าข้าเป็นเด็กสามขวบหรือไร? แม้ว่าหลังจากที่เขาจากไป ข้าจะไม่เคยไปสถานที่อื่น ไม่ไปชมทัศนียภาพในโลกมนาย์ของอำเภอหว่านผิงและเมืองหงจู๋อีก แต่เรื่องที่เขาไปยังสำนักศึกษากวานหูในปีนั้น ข้าไม่ใช่คนหูหนวก มีบัณฑิตมากมายถึงเพียงนั้นผ่านทางมา ในบรรดาพวกเขามีคนไม่น้อยที่พูดถึงเรื่องนี้โดยบังเอิญ ดังนั้นข้าจึงรู้ ข้ารู้เยอะเลยล่ะ! มาถึงท้ายที่สุด เขาก็ไปหลงรักผู้หญิงคนอื่น”


ฉู่ฮูหยินพึมพำ “ข้ารู้ หากเขารักใคร เขาก็จะต้องชอบนางมากจริงๆ”


สีหน้าของเทพแม่น้ำซิ่วฮวาเรียบเฉย “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็น่าจะรู้ว่า ในฐานะเมล็ดพันธ์บัณฑิตคนแรกของต้าหลีที่อาศัยความสามารถของตัวเองสอบติดสำนักศึกษา เขาที่อยู่ในสำนักศึกษากวานหูถูกคนร่วมมือกันเล่นงานจนมีสภาพอเนจอนาถมาก ตอนแรกก็จงใจสรรเสริญเยินยอให้เขาลำพองตน แล้วก็มีคนทุ่มเงินมหาศาลอย่างลับๆ จ้างสตรีจากหอโคมเขียวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดให้แสร้งทำเป็นเลื่อมใสในความสามารถของเขา สร้างชื่อเสียงให้กับเขา จากนั้นก็ให้ผู้มากความรู้จากลัทธิขงจื๊อของราชสำนักใกล้เคียงแสร้งเห็นเขาเป็นสหายต่างวัย อีกทั้งยังทำให้ภาพอักษรที่เขาเขียนทุกภาพมีมูลค่าควรเมือง และยังมีวิธีการอีกมากมายที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันเป็นลูกโซ่ ทำให้เขาขาดอีกแค่ก้าวเดียวก็จะได้กลายเป็นวิญญูชนคนแรกของต้าหลีที่ได้รับการยอมรับจากสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อ”


“ทว่าทุกอย่างกลับตาลปัตรเพียงชั่วข้ามคืน ชื่อเสียงเละเทะฉาวโฉ่ มีคนใส่ความว่าเขาคัดลอกบทกวีของคนอื่น ดูแคลนว่าเขาไร้มนุษยธรรม จึงมีผู้มากความรู้หลายท่านร่วมมือกันโจมตีคุณธรรมของเขา ตราหน้าว่าเขาเป็นวิญญูชนจอมปลอม ด่าว่าเขาเป็นคนต่ำช้าที่สร้างความเสื่อมเสียให้แก่สำนักศึกษากวานหู คนมากพรสวรรค์ที่เดิมทีเต็มไปด้วยปณิธานอันแรงกล้า กลับต้องมาเสียสติเป็นบ้าไปทั้งอย่างนี้”


“เป็นบ้าอยู่นาน บัณฑิตยากจนผู้นี้กลายมาเป็นตัวตลกของสำนักศึกษากวานหู ผู้คนก็ยิ่งมองว่าต้าหลีคือคนเหนือที่ป่าเถื่อน แต่มาถึงท้ายที่สุด ใครก็คิดไม่ถึงว่า เขากลับคืนสติขึ้นมาได้”


พูดมาถึงตรงนี้ เทพแม่น้ำซิ่วฮวาก็หันหน้าไปมองฉู่ฮูหยินที่ยืนเหม่อลอย “รู้หรือไม่ว่าทำไมเขาถึงคืนสติ?”


ฉู่ฮูหยินเดินช้าๆ ขึ้นมานั่งบนขั้นบันได ชุดเจ้าสาวแผ่ปูออกไปเหมือนดอกหมู่ตันสีแดงสด “ผู้ฝึกลมปราณต้าหลีของพวกเจ้าเป็นคนลงมือ?”


ชายร่างกำยำคลี่ยิ้ม สายตาเย็นชา พูดโพล่งตอบไปตามตรง “หากต้าหลีลงมือจริงๆ นั่นก็ต้องสังหารบัณฑิตผู้นี้ถึงจะถูก”


ฉู่ฮูหยินกระตุกมุมปากพยักหน้ารับ “ทำลายภาพลักษณ์ของบ้านเมือง เป็นเช่นนี้จริง การช่วงชิงกันระหว่างสองแคว้น ไม่มีวิธีใดที่ไม่ถูกนำมาใช้ นี่ต่างหากถึงจะเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล”


บุรุษพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนึ่งที “ที่บัณฑิตผู้นั้นสามารถคืนสติมาได้ เป็นเพราะมีสตรีที่เขาคุ้นเคยผู้หนึ่งไปอยู่ข้างกายเขา”


ร่างของฉู่ฮูหยินพลันแข็งทื่อ


เทพแม่น้ำผู้นั้นลุกขึ้นยืนช้าๆ แล้วเดินลงบันไดไป “สตรีผู้นั้นสวมหน้ากากที่มีใบหน้าเหมือนกับเจ้าฉู่ฮูหยินอย่างไม่มีผิดเพี้ยน หากไม่ผิดไปจากที่คาด น้ำเสียง นิสัยและความชื่นชอบของฉู่ฮูหยิน นางน่าจะเลียนแบบได้เหมือนสักเจ็ดแปดส่วน หากจะพูดว่าเรื่องที่ให้ร้ายบัณฑิตก่อนหน้านี้เกี่ยวพันกับการช่วงชิงกันของสองแคว้น ถ้าเช่นนั้นภายหลังที่บีบให้บัณฑิตเดินไปสู่ทางตาย ปั่นหัวเขาเล่นอยู่ในกำมือ เกรงว่าคงเป็นการแก่งแย่งแข่งขันกันเองระหว่างพวกบัณฑิตด้วยกัน”


เทพแม่น้ำก้าวยาวๆ จากไป “สรุปก็คือ หลังจากที่บัณฑิตผู้นั้นรู้ความจริงก็กระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ง่ายดายเพียงเท่านี้”


“อนุมานจากคำพูดบางบทบางตอนของเพื่อนสนิทสองคนในกั๋วจื่อเจียนเมืองหลวงต้าหลีก่อนที่บัณฑิตผู้นี้จะเดินทางไปยังสำนักศึกษากวานหู เขารู้แต่แรกแล้วว่าเจ้าไม่ใช่คน ดังนั้นเขาจึงดึงดันจะกลายเป็นวิญญูชนที่เหนือกว่านักปราชญ์ของลัทธิขงจื๊อให้ได้ เพราะคิดว่าในอนาคตเมื่อกลับมาถึงต้าหลีถึงจะมีความมั่นใจที่จะขอทางราชสำนักต้าหลีแต่งภรรยาอย่างถูกต้อง”


เทพแม่น้ำจากไปนานแล้ว


ผีสาวสวมชุดเจ้าสาวที่มีความผิดมากมายจนบันทึกลงตำราไม้ไผ่ไม่หมดยังคงนั่งอยู่ที่เดิม สีหน้าสงบนิ่ง ลูบชายแขนเสื้อกระชับสาบเสื้อด้วยท่วงท่าอ่อนโยน เดี๋ยวก็ลูบตรงนี้ เดี๋ยวก็พับตรงนั้น ทำซ้ำไปซ้ำมาอย่างเป็นสุขไม่มีเบื่อ


……


หลังจากที่เว่ยจิ้นขี่ลาจากไปได้ไม่นาน ด้านหลังเฉินผิงอันพลันมีเสียงเรียตะโกนเร่งร้อนบอกว่าผู้มีพระคุณโปรดรอก่อน หันกลับไปมองจึงเห็นว่าเป็นพวกผู้เฒ่าตาบอดสามคนที่กำลังไล่ตามฝีเท้าของพวกเขามา


นักพรตผู้เฒ่าผ่านลมผ่านฝนมานาน ย่อมต้องรู้เด็กที่มีที่มาไม่ธรรมดากลุ่มนี้ต่างหากถึงจะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ตนออกไปจากภูเขาแห่งนี้ได้อย่างปลอดภัย สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ว่าผีสาวนิสัยประหลาดผู้นั้นจะเปลี่ยนใจกะทันหัน จับพวกเขาอาจารย์และศิษย์ไปล้างหน้าคว้านหัวใจหรือไม่? ตามคำบอกของลูกศิษย์ทั้งสอง สวนดอกไม้ในจวน “ปลูก” เมล็ดพันธ์บัณฑิตไว้เป็นจำนวนมากจริงๆ มองดูคล้ายเคยมีคนพยายามจะคลานออกมาจากดิน ตอนนี้มองดูแล้วคือคนน่าสงสารที่ถูกตัดเอวทั้งเป็นอย่างแท้จริง


ผู้เฒ่าถูกแม่นางน้อยหน้ากลมประคองให้วิ่งเร็วๆ มาตลอดทาง ชุดนักพรตเต๋าเก่าปอนบนร่างติดเต็มไปด้วยหนามของพืชหญ้าที่ขึ้นสองฝั่งทางก็ไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย สภาพกระเซอะกระเซิงจนแทบทนดูไม่ได้ แต่อันที่จริงจะว่าไปแล้วแม้ผู้เฒ่าจะมีวิชาสายฟ้าที่เป็นวิชานอกรีตไม่ถูกต้อง ไม่อาจกำราบผีสาวที่สวมชุดแต่งงานเอาไว้ได้ แต่อันที่จริงหากเอาไปวางไว้ในหมู่บ้านร้านตลาดล่างภูเขา เขาก็นับเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าที่แท้จริง ตลอดทางที่มุ่งมาทางทิศเหนือนี้มักจะถูกคนสรรเสริญยกยอเป็นยอดฝีมือเป็นประจำ ตอนที่ถูกมองว่าเป็นนักต้มตุ๋นฝีมือห่วยแตกเมื่อครั้งอยู่บนภูเขาซานจือ ถือเป็นสภาพน่าสังเวชที่พบเจอน้อยยิ่งกว่าน้อย


นักพรตเฒ่าไม่เหลือท่าทางโอ้อวดความสามารถเหมือนตอนที่พบเจอกันครั้งแรกอีกแล้ว เขาเค้นรอยยิ้มถามว่า “ไม่ทราบว่าเซียนกระบี่เว่ยแห่งศาลลมหิมะไปอยู่ที่ไหนแล้ว? นักพรตผู้ต่ำต้อยมีนามว่าสวีอิ๋งเจิ้น สมญานามว่าเสวียนกู่จื่อ เลื่อมใสเซียนกระบี่เว่ยมานานมากแล้ว ครั้งนี้ได้รับโชคดีหลังหายนะ สามารถได้พบหน้าเซียนกระบี่เว่ย เห็นสามกระบวนท่ากระบี่ที่ยอมเยี่ยมสะท้านใจที่ท่านเซียนปล่อยออกมา ช่างเป็นความโชคดีเทียมฟ้าของนักพรตผู้ต่ำต้อยยิ่งนัก”


หลินโส่วอียิ้มเย็น “เซียนกระบี่พสุธาท่านนั้นเดินทางขึ้นเหนือเพียงลำพังไปแล้ว หากท่านนักพรตคิดจะกระชับความสัมพันธ์ก็ไม่สู้เดินผ่านพวกเราไป ไม่แน่ว่าอาจจะยังตามทัน”


ผู้เฒ่ายิ้มประจบ “พลาดไปแล้วก็คือพลาดไปแล้ว วาสนายังไม่มาถึง ไม่ควรฝืนดึงดัน”


เซียนห้าขอบเขตบนที่เป็นดั่งมังกรซ่อนตัวอย่างเว่ยจิ้นนี้ นักพรตเฒ่ารู้ตัวเองเป็นอย่างดีว่า หากไปอยู่ต่อหน้าผู้ฝึกกระบี่จากศาลลมหิมะท่านนั้นจริงๆ เกรงว่านอกจากจะทำให้อีกฝ่ายรังเกียจแล้วก็คงไม่มีดีอะไรอีก ผู้ฝึกลมปราณบนผู้เขาที่เมื่อเทียบกับชาวบ้านล่างภูเขาแล้ว แน่นอนว่าต้องถือว่าหายากดุจขนหงส์เขากิเลน ทว่าระหว่างผู้ฝึกตนด้วยกัน เมื่อได้พบเจอก็ถือเป็นวาสนา นี่ไม่ใช่เรื่องโกหก เพียงแต่ว่าวาสนานี้มีแยกแยะดีเลว ผลกรรมมีดีมีชั่ว ผู้เฒ่าปราบปีศาจกำจัดมารมาตลอดทางถือเป็นการสั่งสมผลบุญให้กับตัวเอง เคยผ่านการต่อสู้น้อยใหญ่มาสี่สิบห้าสิบครั้ง สามารถมีชีวิตอยู่มาได้ถึงวันนี้ ไม่ใช่แค่อาศัยตบะขอบเขตที่ห้าของผู้ฝึกลมปราณรวมถึงวิชาสายฟ้านอกรีตเท่านั้น


เมื่อเห็นว่าบรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ นักพรตเฒ่าก็รีบหันซ้ายแลขวา แล้วยิ้มตาหยีพูดว่า “จิ่วเอ๋อร์น้อย เจ้าเป๋น้อย ยังไม่รีบโขกหัวขอบคุณผู้มีพระคุณอีก!”


แม่นางน้อยหน้ากลมที่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็เตรียมจะคุกเข่าลง เด็กหนุ่มขาเป๋ที่ถือธงซึ่งเปรอะไปด้วยดินโคลนสีหน้ามืดทะมึน


เฉินผิงอันเดินขึ้นหน้าเร็วๆ ไปรั้งแขนเล็กบางของแม่นางน้อยเอาไว้ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไม่ต้องๆ”


จากนั้นเฉินผิงอันก็หันไปพูดกับเด็กหนุ่มขาเป๋ “ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนเส้นทางภูเขา ขอบคุณเจ้าที่ช่วยเตือน”

 

 

 


ตอนที่ 129.2

 

บนภูเขา

โดย

ProjectZyphon

ใบหน้าของเด็กหนุ่มขาเป๋เต็มไปด้วยความตะลึงงัน ถึงกับหน้าแดงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พลันกระอึกกระอักไม่รู้ว่าควรจะตอบเช่นไร สุดท้ายหันหน้าไปทางอื่นเสียเลย ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนถนนเส้นเล็ก เด็กหนุ่มปะทะกับผีสาวชุดแต่งงานโดยตรง ต่อสู้ประชิดตัวกับอีกฝ่าย ไล่ฆ่าตามกันมา แม้ว่าตบะจะต่างกันมาก แต่พลังอำนาจกลับไม่ด้อยกว่าแม้แต่น้อย คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นเด็กหนุ่มขี้อายที่หน้าบางถึงเพียงนี้


ในใจนักพรตเต๋าชราเต็มไปด้วยความตกตะลึงระคนยินดี หลังจากเตะเด็กหนุ่มขาเป๋ไปหนึ่งทีก็แสร้งทำสีหน้าขุ่นเคือง “เจ้าเด็กไม่เอาถ่าน”


จากนั้นนักพรตเฒ่าก็เอ่ยเสียงหนัก “ผู้มีพระคุณทุกท่าน หลังออกจากภูเขาพวกเจ้ามุ่งหน้าไปทางทิศใต้ เดินทางอีกประมาณหนึ่งวันครึ่งก็จะผ่านภูเขาซานจือ จงจำไว้ว่าอย่าเดินทางตอนกลางคืน ที่นั่นมีผีร้ายตนหนึ่งที่ใช้สุสานเป็นรัง ยึดครองพื้นที่มงคลของตัวเอง ดูดซับเอาปราณวิญญาณจากร่มเงาบรรพบุรุษของคนตระกูลนั้นมา หาไม่แล้วจากการคำนวณดวงชะตาของคนตระกูลนั้น ลูกหลานรุ่นก่อนควรจะมีคนได้เป็นขุนนางใหญ่แล้ว”


“ตบะของผีร้ายไม่ธรรมดา น่าจะเป็นพลังที่เท่าเทียมกับผู้ฝึกลมปราณขอบเขตที่สี่แล้ว หลักๆ แล้วเป็นเพราะมันทำตัวลึกลับยากจะจับได้ อีกทั้งยังใช้เวทลับชั่วร้ายบางอย่างที่ไม่รู้ที่มาสร้างหุ่นเชิดผีหลายสิบตัว นักพรตผู้ต่ำต้อยเคยประมือกับมัน แต่กลับต้องพ่ายแพ้เสียท่าหลายครั้ง ไม่เพียงแต่สิ้นเปลืองยันต์วิชาสายฟ้าที่ล้ำค่าไปหลายแผ่น ยังถูกพวกชาวบ้านในท้องถิ่นเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพวกนักต้มตุ๋น ช่างน่าโมโหยิ่งนัก”


หลินโส่วอีใช้จิตรับฟังคำเตือนอย่างลับๆ ของผู้อาวุโสเทพหยินแล้วถามว่า “ท่านนักพรตเชี่ยวชาญวิชาห้าอสนีงั้นรึ? ไม่ทราบว่าเป็นของสำนักหรือพรรคใด?”


นักพรตเฒ่ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย ในใจคิดว่าเด็กหนุ่มเย็นชาผู้นี้สมกับเป็นคนเพิ่งเข้าสังคมขาดประสบการณ์จริงๆ ช่างไม่รู้กฎเกณฑ์ของคนในยุทธภพบ้างเลย ใครเขาซักไซ้ตรงไปตรงมาแบบนี้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเซียนบนภูเขาหรือชาวบู๊ในยุทธภพล่างภูเขาก็ล้วนถือเป็นห้อข้ามใหญ่


เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้เพิ่งมีประสบการณ์น่าสงสารมาร่วมกัน อีกทั้งมีเซียนกระบี่พสุธาอย่างเว่ยจิ้นมาช่วยเก็บกวาดให้ นักพรตเฒ่าจึงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้ หลังจากใคร่ครวญอย่างระมัดระวังก็เอ่ยช้าๆ ว่า “พูดแล้วก็ยาว ถ้าอย่างนั้นเหล่าผู้มีพระคุณก็อย่ารังเกียจที่นักพรตผู้ต่ำต้อยพูดมากเลย บ้านเกิดของนักพรตผู้ต่ำต้อยคือแคว้นหนันเจี้ยนที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งทวีป มีกถามรรคเป็นหลัก ชายแดนมีสายลัทธิเต๋าที่ได้ใช้คำว่าสำนัก คือผู้นำแห่งลัทธิเต๋าในบุรพแจกันสมบัติทวีป ครอบครองพื้นที่มงคลชิงถานหนึ่งในเจ็ดสิบสองพื้นที่มงคลของทั่วหล้า เจ้าสำนักไม่เพียงแต่ถูกแต่งตั้งให้เป็นราชครูของแคว้นหนันเจี้ยน เนื่องด้วยกถามรรคที่มหัศจรรย์เลิศล้ำ วิชาอภินิหารยิ่งใหญ่กว้างขวาง เป็นเหตุให้กษัตริย์ของแคว้นใกล้เคียงหลายแห่งไปเยี่ยมเยือนถึงขุนเขาด้วยตัวเอง ขณะเดียวกันก็ให้สมญานามเจ้าสำนักท่านนี้เป็นเจินจวิน เป็นเหตุให้เทพเซียนลัทธิเต๋าผู้นี้ได้ควบตำแหน่งผู้นำเจินจวินของสี่แคว้นไปด้วย คือหนึ่งในสิบมหาเซียนซือที่ได้รับการยอมรับจากทั่วทั้งแจกันสมบัติทวีปของพวกเรา บอกตามตรง หากเป็นก่อนหน้าที่เซียนกระบี่เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะยังไม่ฝ่าทะลุขอบเขต เมื่อเจอกับเซียนซือท่านนี้ ผู้อาวุโสเว่ยก็คงไม่อาจทัดเทียมกับเขาได้จริงๆ”


เฉินผิงอันกับหลินโส่วอีต่างก็ตั้งใจรับฟังอย่างมาก ไม่ยอมให้พลาดไปแม้แต่คำเดียว


เหนือคนยังมีคน เหนือฟ้าก็ยังมีคน


โดยเฉพาะคำเรียกว่า “เจินจวิน” นี้ หลิวจื้อเม่าที่ปรากฎตัวในเมืองเล็กก็ไม่ได้รับสมญานามว่าสกัดคงคาเจินจวินหรอกหรือ?


ทว่าหลี่เป่าผิงกับหลี่ไหวกลับไม่ได้ตั้งใจฟังอย่างพวกเขา หลี่เป่าผิงคอยมองประเมินแม่นางน้อยหน้ากลมอยู่ตลอดเวลา ฝ่ายหลังหลบอยู่ด้านหลังผู้เฒ่าตาบอดอย่างหวาดกลัว ท่าทางเขินอายไม่กล้าพบเจอผู้คน


นักพรตเฒ่ากำลังคุยติดพัน ภายใต้การประคองของจิ่วเอ๋อร์น้อยก็เดินมาอยู่ตรงกลางระหว่างเฉินผิงอันกับหลินโส่วอีโดยไม่รู้ตัว โม้จนน้ำลายแตกฟอง “ใต้หล้านี้สำนักที่มีคุณสมบัติใช้คำว่าสำนัก โดยทั่วไปแล้วจะแบ่งออกเป็นปฐมสำนัก สำนักกลางและสำนักล่างสามระดับ ปฐมสำนักมักจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าศาลบรรพชน สำนักล่างก็จะมีพรรคและตระกูลมากมายมาพึ่งพา การตั้งชื่อของพรรคเหล่านี้ไม่ได้พิถีพิถันมากนัก ขอแค่ไม่ใช้คำว่าสำนักโดยพลการ ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ใช้ชื่อซ้ำกับพรรคและตระกูลอื่นๆ จะเรียกว่าลัทธิ อาราม วัดหรือนิกาย ฯลฯ ตั้งเป็นชื่ออะไรก็ได้ เพียงแต่เมื่อถึงเวลาต้องมอบของบรรณาการบางอย่างให้แก่ ‘สำนักล่าง’ จากนั้นก็เชื่อมความสัมพันธ์อันดีกับราชสำนักล่างภูเขา หาพื้นที่ฮวงจุ้ยดีๆ สักแห่งตั้งใจฝึกตนอยู่บนภูเขา พยายามรับเอาลูกศิษย์ที่มีคุณสมบัติในการฝึกตนมาให้เยอะแล้วสืบทอดควันธูปต่อไปร้อยปีพันปี”


“ฉิวเจินกวานอาจารย์ของข้านักพรตผู้ต่ำต้อยก็เคยเป็นพรรคใหญ่อันดับต้นๆ ของแคว้นหนันเจี้ยน ทว่าเสื่อมถอยลงเมื่อร้อยกว่าปีก่อน มาถึงรุ่นของนักพรตผู้ต่ำต้อย เหล่าอาจารย์ก็นั่งกระเรียนคืนสู่แดนสุขาวดีกันไปเกือบหมดแล้ว ศิษย์พี่ศิษย์น้องเหลืออยู่แค่ไม่กี่คน คนที่ประสบความสำเร็จมีหน้ามีตาจริงๆ กลับไม่มีเลยสักคน”


“พูดแล้วก็ไม่กลัวว่าพวกเจ้าจะหัวเราะเยาะ วิชาห้าอสนีจากสายฉิวเจินกวานของพวกเราไม่ใช่วิชาสายฟ้าที่แท้จริง หลักๆ แล้วฝึกเพียงสองช่องลมปราณตรงตับและถุงน้ำดี แก่นสำคัญอยู่ที่สองคำว่า ‘ถอนหายใจและหัวเราะ’ ซึ่งมาจากความหมายที่ว่า ‘ถอนหายใจกลายเป็นเมฆและฝน แผดเสียงหัวเราะดุจอสนีคำราม’ หากฝึกสำเร็จ เมื่อใช้ใจมองช่องโพรงจะสามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์มหัศจรรย์ที่เมฆและฝนผุดลอย เสียงสายฟ้าสะเทือนเลือนลั่นในช่องโพรงลมปราณที่สำคัญหลายแห่ง หลังจากนั้นจะสามารถขานรับกับฟ้าดิน ขยับมือยกเท้าก็สามารถเรียกขานอสนีสวรรค์มากำจัดสิ่งชั่วร้าย…แน่นอนว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าภาพเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ที่หนึ่งกระบี่ทลายหมื่นอาคมของเซียนกระบี่เว่ย วิชานอกรีตนี้ของฉิวเจินกวานก็เป็นแค่เรื่องขำขันของผู้คนเท่านั้น”


หลินโส่วอีขมวดคิ้ว “อวัยวะภายในทั้งห้าคือหัวใจ ตับ ม้าม ปอดและไต ลมปราณของห้าจุดรวมตัวกันกลายเป็นห้าอสนี ถึงจะเรียกว่าเป็นวิชาเที่ยงแท้แห่งมหามรรคา เหตุใดอาจารย์ของท่านนักพรตถึงได้ใช้ ‘ถุงน้ำดี’ ที่นอกเหนือจากอวัยวะทั้งห้ามาเป็นจุดชักนำสายฟ้า?”


คราวนี้สีหน้ากระอักกระอ่วนของนักพรตเฒ่าตาบอดไม่ใช่ของปลอมอีกต่อไป เขาถอนหายใจหนักๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า กล่าวอย่างจนใจว่า “เป็นเพราะไม่มีทางเลือกอื่น เวทห้าอสนีคือวิชาลับของสำนักกลางที่ไม่แพร่งพราย หากพูดประโยคที่ไม่น่าฟัง ต่อให้คนนอกจะรู้วิธีการฝึกที่สมบูรณ์แบบ แล้วใครจะใจกล้าฝึกโดยพลการ? ช่องโพรงลมปราณที่เกี่ยวกับตับและถุงน้ำดีที่ฉิวเจินกวานใช้ฝึกเป็นหลัก อันที่จริงแล้วต่อให้เป็นตับก็ยังเป็นเพราะท่านบุรพาอาจารย์ได้รับโอกาสจึงเรียนรู้มาอย่างผิวเผิน สุดท้ายจึงพอจะเลียนแบบเหมือนหลายส่วนอย่างถูไถ แต่ก็เป็นแค่ความเหมือนภายนอกเท่านั้น ไม่ได้ลึกซึ้งถึงแก่น นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมสำนักกลางที่แท้จริงบนโลกใบนี้ถึงได้มีน้อยนัก ส่วนสำนักนอกรีตกลับมีมากเหมือนขนวัว”


หลินโส่วอีพลันกระจ่างแจ้ง “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”


ผู้เฒ่าทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังจากใจจริง “มหามรรคายากจะเดิน ยากยิ่งกว่าทางดินโลนสายนี้นับร้อยนับพันเท่า”


“แล้วก็เพราะวิชาสายฟ้าของท่านอาจารย์ข้าไม่ใช่การสืบทอดที่แท้จริง เมื่อนำมาฝึกจึงมีทั้งข้อดีข้อเสีย คล้ายกับนักพรตลัทธิหยินหยางที่หากเปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์ก็ง่ายมากที่จะถูกทัณฑ์สวรรค์ไร้รูปลักษณ์ลงโทษ การฝึกวิชาสายฟ้าของสายนักพรตผู้ต่ำต้อยนี้จึงมักจะเลือกลูกศิษย์ที่มีข้อบกพร่องมาตั้งแต่เกิด เพราะคนเหล่านี้จะได้รับความสงสารจากมรรคาสวรรค์ ต่อให้ใช้วิชาสายฟ้าของฉิวเจินกวานที่ทำลายต้นกำเนิดพลังของตับและถุงน้ำดีบ่อยๆ จะไม่มีโอกาสคาดหวังถึงชีวิตอมตะ แต่หากโชคดี อย่างน้อยก็ถึงแก่กรรมได้ด้วยโรคชรา”


“ว่ากันว่าวิชาสายฟ้าที่แท้จริงของทวีปใหญ่บางแห่ง หากผู้ฝึกลมปราณร่ายใช้ อสนีเทพ เจ้าแม่สายฟ้า พิรุณเทพ เทพสายลม เทพแห่งวิญญาณ เทพแห่งเมฆา ฯลฯ เทพหลายองค์ล้วนถูกควบคุมให้มาช่วยเพิ่มพลานุภาพ ลองจินตนาการดู เวทคาถาที่ใหญ่สะเทือนฟ้าขนาดนี้จะไม่ทำให้ภูเขาและแม่น้ำเปลี่ยนสีได้อย่างไร?”


พูดเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตัวเองเหล่านี้ สีหน้าของผู้เฒ่าตาบอดกลับเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ไม่เหลือความหดหู่ห่อเหี่ยวแม้แต่นิดเดียว


เกรงว่านี่คงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ว่าแม้การฝึกฝนจะยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์ แต่กลับยังทำให้คนกระโจนเข้าใส่


หากเหยียบขึ้นมาบนเส้นทางแห่งการฝึกตน เดินขึ้นไปบนสะพานแห่งความอมตะ อาจเคยได้เห็นหรือเคยได้ยินภาพเหตุการณ์งามล้ำจากจุดสูงของภูเขา ทว่าอายุขัยที่ยาวนาน ใช้คาถาคล่องมือ เรียกลมได้ลมเรียกฝนได้ฝน ย้ายภูเขาพลิกกลับมหาสมุทร ทัศนียภาพที่งดงามยิ่งใหญ่น่าเหลือเชื่อทั้งหมดนี้ล้วนคาดหวังได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ใครเล่าจะอยากอยู่ล่างภูเขาที่เต็มไปด้วยความสกปรกโสมม?


ผู้เฒ่าถอนหายใจ “นักพรตผู้ต่ำต้อยกับลูกศิษย์อีกสองคนนี้พึ่งพาอาศัยกันเพื่อความอยู่รอดมาหลายปี ท่องพเนจรไปทั่วทิศ ปราบปีศาจกำจัดมาร จับผีขับไล่สิ่งชั่วร้ายก็ทำมาไม่น้อย อีกทั้งยังเก็บเงินด้วย ช่วยไม่ได้ ฝึกตนก็ต้องใช้เงินเหมือนกัน เดิมทีการสร้างสะพานแห่งความอมตะก็เป็นหลุมดูดเงินที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้านี้อยู่แล้ว ต่อให้ตระกูลของผู้สูงศักดิ์จะมีวิญญาณชั่วร้ายก่อความวุ่นวาย แต่ในเมื่อนักพรตผู้ต่ำต้อยไร้ทางเลือก แล้วก็ไม่มีคนช่วยแนะนำ แน่นอนว่าไม่มีโอกาสจะได้เข้าไป ส่วนพวกมณฑลสถานที่เหล่าเศรษฐีเป็นผู้สร้างขึ้นก็เชิญแค่หลวงจีนและนักพรตที่มีชื่อเสียงในพื้นที่เท่านั้น พวกเขาไม่เชื่อคนนอก วิชาสายฟ้าของอาจารย์ที่นักพรตผู้ต่ำต้อยถนัดก็ไม่สามารถเอาออกมาข่มขู่คนธรรมดาได้ตลอดเวลาเพียงเพื่อพิสูจน์ว่าตนไม่ใช่นักต้มตุ๋น ดังนั้นจึงมีจุดจบเช่นนี้ จับปีศาจได้สำเร็จก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะได้เงินมาก แต่หากล้มเหลวกลับต้องมีรายได้ไม่พอรายใจ การฝึกตนไม่ง่ายเลยจริงๆ”


เดินพูดคุยกันไปตลอดทาง รอจนคนทั้งกลุ่มตระหนักได้พวกเขาก็เดินออกมาจากพื้นที่ราบกลางภูเขาที่เป็นดั่งกรงขังโดยไม่ทันรู้ตัว มารู้สึกอีกทีสภาพรอบด้านก็กลับคืนมาเป็นเทือกเขาเขียวแม่น้ำใสอีกครั้ง ไม่มีความรู้สึกหนาวเย็นเต็มไปด้วยปราณอึมครึมอย่างก่อนหน้านี้อีกแล้ว


สุดท้ายเฉินผิงอันค้นพบว่าต่อให้ผู้เฒ่าตาบอดจะไม่ได้พูดอะไรอีกแล้ว แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะแยกทางไป ยังคงเดินตามพวกเขาลงใต้ไปเรื่อยๆ จึงอดเปิดปากถามไม่ได้ “ท่านนักพรต พวกเจ้าไม่ได้จะเดินทางขึ้นเหนือหรอกหรือ?”


นักพรตเฒ่าหัวเราะร่า “แค่เสียเวลานิดหน่อยเท่านั้น ไม่เป็นไรๆ พระคุณช่วยชีวิตไม่อาจตอบแทน ก็ถือซะว่าข้านักพรตผู้ต่ำต้อยพาลูกศิษย์สองคนเดินไปส่งเหล่าผู้มีพระคุณจากไปก็แล้วกัน ก็แค่ต้องเดินเพิ่มไม่กี่ก้าวเท่านั้น เรื่องเล็กน้อย”


หลังจากนั้นคนสองกลุ่มก็เดินทางเป็นเพื่อนกันไปเช่นนี้ ตลอดทางไร้ลมไร้ฝน ราบรื่นไม่มีอุปสรรค รอจนเดินออกจากขอบเขตของภูเขาและแม่น้ำแห่งนั้นมาได้อย่างแท้จริงแล้ว หัวใจที่เกร็งแน่นของผู้เฒ่าตาบอดถึงคลายลงได้ในที่สุด จึงหาพื้นที่ข้างทางแล้วนั่งพัก แม่นางน้อยหน้ากลมที่มีฉายาว่าจิ่วเอ๋อร์น้อย (จิ่วเอ๋อร์หมายถึงเหล้า) รีบยื่นกาน้ำส่งให้ เด็กหนุ่มขาเป๋ยืนอยู่ด้านหลังผู้เฒ่า หันกลับไปมองภูเขาลูกนั้น ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่


ก่อนจะจากกัน ผู้เฒ่าควักม้วนภาพเนื้อผ้าที่รักษาไว้อย่างสมบูรณ์แบบม้วนหนึ่งออกมาจากในห่อสัมภาระ ยื่นส่งให้เฉินผิงอัน “นี่คือ ‘ภาพค้นภูเขา’ ที่สืบทอดกันมาจากอาจารย์ข้านักพรตผู้ต่ำต้อย ด้านบนเขียนบรรยายเกี่ยวกับภูตผีปีศาจเกือบร้อยชนิด สามารถนำมาใช้อ้างอิง พวกเจ้าเดินทางไกลเป็นครั้งแรกย่อมต้องผ่านภูเขาสูงมากมายหลายแห่ง ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจได้ใช้ นักพรตผู้ต่ำต้อยท่องจำได้ขึ้นใจมานานแล้ว แค่เก็บไว้เป็นที่ระลึกเท่านั้น ไม่สู้มอบให้พวกเจ้า เมื่อเป็นของที่มีประโยชน์ก็ควรมอบให้คนที่ได้ใช้ประโยชน์”


หลินโส่วอีกระตุกชายแขนเสื้อของเฉินผิงอัน ฝ่ายหลังรู้ใจจึงรับ ‘ภาพค้นภูเขา’ นี้มา แต่เฉินผิงอันเองก็หยิบเอาหินดีงูที่เหลืออยู่แค่ไม่กี่ก้อนออกมายื่นส่งให้เด็กหนุ่มขาเป๋ บอกว่าเป็นของที่มีเฉพาะในบ้านเกิด ไม่มีค่า เพียงแต่ว่าจำนวนมีไม่มาก เด็กหนุ่มขาเป๋คิดจะปฏิเสธ ผู้เฒ่าตาบอดรีบบอกให้เขารับไว้ บอกว่าเป็นความหวังดีจากผู้มีพระคุณ เด็กหนุ่มขาเป๋ที่เป็นคนเก็บตัวจึงรับไว้เงียบๆ ขยับปากจะพูด แต่สุดท้ายแล้วก็ขัดเขินเกินกว่าจะพูดคำว่าขอบคุณออกมา


สุดท้ายเฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ ว่า “หลังจากที่พวกเจ้าผ่านเมืองหงจู๋และภูเขาฉีตุนไปถึงอำเภอหลงเฉวียน สามารถไปที่ร้านฉ่าวโถวหรือไม่ก็ร้านยาสุ่ยของที่นั่น ตามหาแม่นางคนหนึ่งที่ชื่อหร่วนซิ่ว แสดงหินดีงูก้อนนี้ให้นางดู นางก็จะรู้เองว่าพวกเจ้าคือเพื่อนของข้า ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยจัดหาที่ทางในเมืองให้พวกเจ้า เมื่อไปถึงจุดพักม้าที่ใกล้ที่สุด ข้าจะเขียนจดหมายกลับไปที่เมืองเล็กบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดอย่างชัดเจน”


หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็แยกทางกัน ผู้เฒ่าตาบอดยอมที่จะพาลูกศิษย์ทั้งสองอ้อมเดินทางไกล แต่ให้ตายก็ไม่ยอมเดินเข้าไปในภูเขาและแม่น้ำแถบนั้น


เดินทางลงใต้ต่ออีกครั้ง เฉินผิงอันหันหน้ากลับไปมองแล้วค่อยๆ ถอนสายตากลับมา


เด็กหนุ่มพลันรู้สึกอยากฝึกกระบี่ขึ้นมาบ้างแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 130.1

 

 เด็กหนุ่มกับภูเขาและแม่น้ำ

โดย

ProjectZyphon

การพบกันโดยบังเอิญในธารน้ำแห่งชีวิต ต่างคนต่างหมุนวนอยู่ในวงของตน จากนั้นก็แยกย้ายกันไป


กลุ่มของผู้เฒ่าตาบอดที่มีฉายาว่าเสวียนกู่จื่อเดินกันไปเงียบๆ ตลอดทาง นี่ทำให้จิ่วเอ๋อร์แม่นางน้อยรู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินนัก


แม้ว่าเด็กหนุ่มขาเป๋จะไม่เต็มใจมอบหินดีงูก้อนนั้นให้อีกฝ่าย แต่หลังจากคิดไม่ตกอยู่ชั่วครู่ก็ยังเป็นฝ่ายยื่นส่งให้กับอาจารย์ที่มีนิสัยเลวร้าย


ผู้เฒ่ารับก้อนหินเนื้อละเอียดมาลูบคลำอยู่กลางฝ่ามือครู่หนึ่ง แล้วคืนให้กับเด็กหนุ่มอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน “เจ้าเก็บไว้เองเถอะ”


เด็กหนุ่มขาเป๋รับก้อนหินมาด้วยความมึนงง มองหน้าจิ่วเอ๋อร์น้อย ฝ่ายหลังก็ส่ายหน้าเงียบๆ บอกให้รู้ว่าตัวเองก็เดาใจอาจารย์ไม่ออกเหมือนกัน


ผู้เฒ่าเอ่ยเสียงเบา “เจ้าเป๋น้อย นี่คือโชควาสนาของเจ้า อาจารย์รับมาไม่ได้ หากรับมาจริงๆ กลับไม่ใช่เรื่องดี เจ้าคิดว่าทำไมเด็กหนุ่มที่ชื่อเฉินผิงอันผู้นั้นจะต้องเขียนจดหมายส่งกลับไปที่อำเภอหลงเฉวียน ข้าคาดว่าหากไปถึงร้านไท่สุ่ย ร้านฉ่าวโถวอะไรนั่นแล้วเป็นอาจารย์ที่แสดงหินดีงูไม่ใช่เจ้า พวกเราที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นคงไม่มีวันสบาย อาจไม่ได้ถูกคนกลั่นแกล้งให้ลำบากใจเสมอไป แต่ก็อย่าได้คิดจะตั้งตัวอย่างมั่นคง ยิ่งไม่ต้องหวังว่าจะหาภูเขาสักลูกไว้ฝึกตนใต้ชายคาผู้อื่นเลย”


เด็กหนุ่มขาเป๋ร้องอ้อหนึ่งที เขาไม่ใช่คนที่ชอบทำอะไรวกไปวนมา ไม่ถนัดใคร่ครวญถึงปัญหาพวกนี้


ผู้เฒ่าตาบอดลูบศีรษะของแม่นางน้อย “พวกเจ้าสองคนช่างมีโชคจริงๆ”


จิ่วเอ๋อร์น้อยมีจิตใจที่ละเอียดอ่อนยิ่งกว่าพี่ชายตัวเอง จึงถามว่า “อาจารย์ พวกกลุ่มของพี่หญิงน้อยคงมีชาติกำเนิดไม่ธรรมดาใช่หรือไม่?”


ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “อำเภอหลงเฉวียนแห่งนั้น เดิมทีคือถ้ำสวรรค์หลีจูที่ลอยอยู่กลางอากาศเหนือราชวงศ์ต้าหลี หลังจากปริแตกก็ร่วงลงมาตั้งรกรากอยู่บนพื้นดิน ก่อนหน้านี้มีอริยะลัทธิขงจื๊อฉีจิ้งชุนเฝ้าพิทักษ์หกสิบปี ตอนนี้เด็กพวกนี้สะพายหีบหนังสือ แต่ละคนฉลาดไม่น้อยไปกว่ากัน บอกว่าจะเดินทางไปยังสำนักศึกษาที่ต้าสุย ถ้าอย่างนั้นเจ้าว่า พวกเขาจะเป็นศิษย์ของใคร?”


แม่นางน้อยรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย “ลูกศิษย์ของอริยะลัทธิขงจื๊อ ร้ายกาจจริงๆ”


ผู้เฒ่าตาบอดหลุดหัวเราะพรืด “หาไม่แล้วเรื่องแรกที่เว่ยจิ้นเซียนกระบี่ศาลลมหิมะทำจะเป็นการเดินทางมาช่วยพวกเขาหรือ? อีกอย่างข้างกายของเด็กเหล่านี้ยังมีเทพหยินตนหนึ่งคอยให้การปกป้อง ถึงขนาดสามารถเป็นภัยคุกคามต่อรากฐานภูเขาและต้นกำเนิดแม่น้ำของผีสาวที่ดุร้ายตนนี้ได้ เด็กพวกนี้ไม่มีใครที่เป็นตะเกียงประหยัดน้ำมันเลยสักคน”


ผู้เฒ่าทอดถอนใจ “อนาคตกว้างไกลไร้ขีดจำกัด อนาคตกว้างไกลไร้ขีดจำกัดจริงๆ”


แม่นางน้อยรู้สึกตัวช้าไปสักเล็กน้อย จึงถามอย่างใคร่รู้ “ในเมื่ออาจารย์รู้ว่าพวกเขามียอดฝีมือคอยปกป้อง ทำไมจะต้องทำในสิ่งที่เกินความจำเป็น บอกให้พวกเขารู้เรื่องผีร้ายบนภูเขาซานจือด้วยล่ะ พวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลเลย”


ผู้เฒ่ายื่นมือออกมาหยิกแก้มแม่นางน้อยด้วยความเคยชิน เอ่ยยิ้มๆ “เด็กโง่ นี่แรกว่ามอบผลประโยชน์ให้คนอื่นโดยที่ตัวเองไม่เสียหาย ไม่ต้องจ่ายเงินสักแดงเดียว แต่ได้เป็นคนดี ทำไมถึงจะไม่ทำล่ะ?”


แม่นางน้อยกล่าวอย่างขลาดๆ “แต่หากเขามองความคิดของอาจารย์ออก ก็ไม่กลายเป็นว่าอาจารย์วาดงูเติมขา (หมายถึงการกระทำที่เกินความจำเป็น) หรือ?”


ผู้เฒ่าหัวเราะขำ ส่ายหน้าถอนหายใจ สุดท้ายตบศีรษะของแม่นางน้อยเบาๆ “วันหน้าอาจารย์จะดีกับพวกเจ้าสองคนให้มากหน่อย หลายปีมานี้อาจารย์เอาแต่คิดว่าวันไหนจะโชคดีเก็บลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์เลิศล้ำมาได้จากข้างทาง มักจะรังเกียจที่พวกเจ้าสองคนชาติกำเนิดไม่ดี ที่มาไม่ถูกต้อง คิดไม่ถึงว่าเมื่อย้อนกลับมาดูแล้ว กลับเป็นอาจารย์ที่มองไม่เห็นเงาใต้โคมไฟ”


แม่นางน้อยรู้สึกกลัวเล็กน้อย ผู้เฒ่าที่เป็นแบบนี้เหมือนคนแปลกหน้ายิ่งนัก สีหน้าของนางซีดขาว “อาจารย์ ท่านถูกผีสิงหรือเปล่า จิ่วเอ๋อร์ไม่รู้จักท่านแล้ว”


ผู้เฒ่าหัวเราะร่าเสียงดัง แล้วพลันกดเสียงลงต่ำ “จิ่วเอ๋อร์ ก่อนหน้านี้อาจารย์รับปากเจ้าว่าจะไม่รับยันต์น้ำพุภายในเวลาหนึ่งปี ตอนนี้ขอปรึกษากับเจ้าหน่อย เปลี่ยนจากหนึ่งปีเป็นครึ่งปี ได้ไหม? เจ้าคิดดูนะ รอบนี้อาจารย์ปราบปีศาจกำจัดมาร ตบะของอาจารย์สูงแค่หนึ่งฉื่อ แต่มารสูงตั้งหนึ่งจั้ง ถูกผีสาวเล่นงานเสียอ่วม ไม่เพียงแต่อักษรบนธงหายไปสี่ตัว ยังต้องมอบ ‘ภาพค้นภูเขา’ ที่สืบทอดมาจากอาจารย์ให้คนอื่นไปด้วย พวกเจ้าเป็นลูกศิษย์จะไม่สงสารอาจารย์ ไม่คิดกตัญญูต่ออาจารย์บ้างเลยหรือ?”


แม่นางน้อยรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก นี่ต่างหากถึงจะเป็นอาจารย์ที่นางคุ้นเคย ดังนั้นนางจึงตอบรับอย่างฉับไว “ครึ่งปีก็ครึ่งปี!”


เด็กหนุ่มขาเป๋เก็บหินก้อนนั้นไว้เป็นอย่างดีแล้วกล่าวทื่อๆ “ก้อนหินเป็นของข้าแล้ว”


ผู้เฒ่าตาบอดพลันเกิดโทสะ สบถด่าเสียงดัง “สันดานสุนัขไม่เลิกกินขี้!”


แม่นางน้อยยกมือปิดปากแอบหัวเราะ


เด็กหนุ่มขาเป๋ก็หัวเราะตามไปด้วย


……


ตรงจุดที่ไม่มีผู้คน เทพหยินผู้นั้นเผยร่างจริง แต่ใบหน้ายังคงพร่าเลือน ควันดำโอบล้อมทั่วร่าง แผ่ไอเย็นอึมครึม เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ปกป้องพวกเจ้าไม่ได้ ทั้งยังทำให้พวกเจ้าถูกลักพาตัวไปที่จวนของผีสาว ขอโทษด้วย”


เฉินผิงอันไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะปลอบคนอื่นอย่างไร เงียบไปนานกว่าจะพูดออกมาว่า “ทำเต็มที่ก็พอแล้ว”


เทพหยินยิ้มบาง “ไม่ว่าจะอย่างไร ครั้งนี้ข้าก็ไม่อาจจะปฏิเสธความรับผิดชอบได้ โดยเฉพาะเป็นข้าที่ละโมบในตบะส่วนตัวถึงได้ทำให้พวกเจ้าเดือดร้อน จนต้องตกอยู่ในสภาพนี้ ข้าไม่อาจสงบใจได้จริงๆ หากเกิดเรื่องกับพวกเจ้า ต่อให้สุดท้ายแล้วข้าต้องทำลายรากฐานภูเขาและต้นกำเนิดแม่น้ำของที่แห่งนี้แล้วพินาศไปพร้อมกับผีสาว ก็ไม่มีความหมายอะไรอีก”


หลี่เป่าผิงยิ้ม “ตอนยังเด็ก พี่ชายใหญ่ของข้าชอบเล่าเรื่องประหลาดให้ข้าฟัง มีครั้งหนึ่งพูดถึงเรื่องของเทพอภิบาลเมือง ว่ากันว่าวิถีทดสอบความดีความชั่วไม่ค่อยเหมือนกัน ข้าจำได้แม่นยำมาก นั่นก็คือคนบางคนจงใจทำดี แม้จะเป็นเรื่องดี แต่ไม่ควรให้รางวัลเขา คนบางคนไม่ได้จงใจทำเรื่องไม่ดี แม้ว่าจะทำเรื่องไม่ดี แต่ก็ไม่ต้องลงโทษเขา กำลังของคนเราย่อมต้องมีวันที่ใช้หมด เมื่อทุ่มสุดแรงและสุดใจแล้วก็ไม่ต้องรู้สึกผิด หาไม่แล้วเป็นคนเหนื่อย เป็นผีก็เหนื่อยเหมือนกัน”


 เทพหยินพูดไม่ออก ถูกแม่นางน้อยคนหนึ่งสั่งสอนอย่างเต็มไปด้วยเหตุผล แม้ว่าก่อนหน้านี้นางจะเปิดเผยท่าทีของวิญญูชนออกมา แต่จะอย่างไรก็ยังอดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้


แม่นางน้อยตกสู่ภวังค์ของโลกตัวเองอีกครั้ง จู่ๆ ก็ให้รู้สึกเจ็บใจ ใช้หมัดทุบฝ่ามือตัวเอง “พี่ชายใหญ่มักจะเล่าเรื่องประหลาดพวกนี้เสมอ ตอนนั้นฟังก็เพราะคิดว่าน่าสนใจเท่านั้น หากรู้แต่แรกข้าควรจะตั้งใจมากกว่านี้”


เฉินผิงอันจะพูดแต่ก็ไม่พูด


เทพหยินมองมายังเฉินผิงอัน พูดยิ้มๆ ว่า “พวกเราคุยกันเป็นการส่วนตัวหน่อยได้ไหม?”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ บอกให้พวกหลินโส่วอีสามคนเดินนำไปก่อน


เทพหยินรอจนพวกหลินโส่วอีเดินห่างไปได้ประมาณครึ่งลี้แล้วเปิดปากว่า “ข้าคือคนที่หยางเหล่าโถวของร้านยาส่งมาให้คุ้มครองหลี่ไหว”


เฉินผิงอันเกาหัว “ข้ายังนึกว่าเจ้ามาคุ้มครองเป่าผิงหรือไม่ก็หลินโส่วอี”


เทพหยินจึงคลี่ยิ้ม “หลี่เอ้อร์พ่อของหลี่ไหวเกือบจะเล่นงานซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้นจนตาย ร้ายกาจมาก เคยมีครั้งหนึ่ง หลี่เอ้อร์ไปหาหยางเหล่าโถวแล้วบอกว่าภรรยาเขาถูกคนรังแก เขาจะออกจากภูเขาไปคิดบัญชีกับบรรพบุรุษของคนตระกูลนั้น จะต้องไปจากถ้ำสวรรค์หลีจูให้ได้ หยางเหล่าโถวเห็นว่าเขายืนกรานจึงได้แต่ตอบรับ ผลกลับกลายเป็นได้ยินว่าภายหลังมีตระกูลเซียนที่รากฐานไม่ธรรมดาแห่งหนึ่งในบุรพแจกันสมบัติทวีปถูกหลี่เอ้อร์ใช้หมัดต่อยศาลบรรพชนจนพังพินาศ อีกทั้งยังบุกทำลายล้างตั้งแต่ตีนเขาไปถึงยอดเขา”


เฉินผิงอันอ้าปากกว้าง


ไหนบอกว่าหลี่เอ้อร์เป็นผู้ชายที่ไม่เอาถ่านที่สุดของเมืองเล็กไม่ใช่หรือ? แม้แต่หลี่ไหวลูกชายแท้ๆ ของเขาเองก็ยังคิดแบบนี้เหมือนกัน


เฉินผิงอันถามด้วยความสงสัย “ทำไมหลี่เอ้อร์ถึงไม่บอกหลี่ไหว?”


ดูเหมือนว่าพอพูดถึงหลี่เอ้อร์ อารมณ์ของเทพหยินจะดีขึ้นมาก “หลี่เอ้อร์มีนิสัยดื้อรั้นมาก ไม่อย่างนั้นก็คงไม่แต่งมารดาของหลี่ไหวมาเป็นภรรยา”


เฉินผิงอันยิ้มอารมณ์ดี “ถ้าวันหน้ารู้ความจริง หลี่ไหวคงดีใจแย่”


เทพหยินเอ่ยถาม “เจ้าไม่คิดจะบอกเรื่องนี้กับหลี่ไหวหรือ? ตอนที่อยู่จุดพักม้าเจิ่นโถว เจ้ายังบอกความจริงกับหลี่เป่าผิงอย่างตรงไปตรงมา ต่อให้อาเหลียงจะเกลี้ยกล่อมเจ้าว่าอย่ารีบร้อนบอกนางก็ตาม”


เฉินผิงอันเดินไปข้างหน้าช้าๆ “เรื่องที่เกี่ยวกับข้า ข้ารู้สึกว่าถูกต้อง แน่นอนว่าต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่ในเมื่อบิดาของหลี่ไหวไม่ต้องการจะบอกลูกชายตัวเอง ข้าเป็นเพียงแค่คนนอกจะอาศัยอะไรไปบอกความจริงหลี่ไหว? หรือเพียงแค่เพราะข้ารู้สึกว่าทำแบบนี้หลี่ไหวจะอารมณ์ดี? แบบนั้นไม่ดีหรอก”


เทพหยินพยักหน้ารับ ในใจคิดว่ามิน่าเล่าปีนั้นหลี่เอ้อร์ถึงไม่เห็นดีกับพวกผู้เป็นความภาคภูมิใจแห่งสวรรค์ทั้งหลาย แต่กลับเห็นความสำคัญกับเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงผู้นี้ ถึงขั้นยอมแหกกฎเพื่อเขาโดยไม่เสียดาย คิดจะมอบปลาหลี่สีทองพร้อมกับข้องราชามังกรให้เฉินผิงอัน


เฉินผิงอันพลันชะงักฝีเท้า เอ่ยถาม “เพราะว่าสายตาข้าดีมาก อีกทั้งตอนนั้นยังเป็นกังวลว่าเจ้าจะเป็นคนไม่ดี ดังนั้นข้าจึงจำได้อย่างชัดเจนว่าครั้งแรกที่ท่านผู้อาวุโสเทพหยินเผยตัว ได้มองมาที่ข้าเป็นคนแรก จากนั้นค่อยมองไปที่หลี่ไหว นี่เป็นเพราะอะไร? เป็นเพียงการกระทำโดยไม่ตั้งใจหรือ? หากไม่อยากจะตอบ ผู้อาวุโสเทพหยินก็ถือเสียว่าข้าไม่ได้ถาม”


หากเทพหยินเป็นคนที่มีชีวิตจริงๆ ต้องปากคอแห้งผาก เหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็มแน่นอน


ตอนนั้นไหนเลยที่เขาจะนึกได้ว่าเฉินผิงอันจะเป็นคนละเอียดอ่อนขนาดนี้ และสายตาของเขาในเวลานั้นที่กวาดผ่านไปอย่างรวดเร็วก็ไม่นับว่าอำพรางเจตนารมณ์ไว้อย่างตื้นเขินนัก


แต่พอนึกถึงการแสดงออกของเฉินผิงอันตลอดการเดินทาง เทพหยินก็พลันปล่อยวาง น่าจะเป็นเพราะนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้เฉินผิงอันเอาชนะใจคนได้


ต่อให้ตอนนี้หลินโส่วอีจะเลื่อนมาเป็นห้าขอบเขตกลาง กลายมาเป็นเทพเซียบนภูเขาอย่างแท้จริงแล้ว แต่หลี่เป่าผิงก็ยังเชื่อฟังเฉินผิงอัน หลี่ไหวเองก็เหมือนกัน ส่วนเทพหยินอย่างเขา เกรงว่าก็คงไม่ใช่ข้อยกเว้น ในสายตาของเขา หลินโส่วอียังคงเป็นเพียงเด็กหนุ่มรุ่นเล็กที่ฉลาดมากและพรสวรรค์ดีมากเท่านั้น


ความรู้สึกเช่นนี้มหัศจรรย์อย่างมาก


ดูเหมือนว่าบนร่างของเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงจะมีลักษณะที่ทำให้คนรู้สึก “จิตใจสงบสุข” และ “มีเหตุผลน่าเชื่อถือ”


เด็กหนุ่มบอกว่าเรื่องนี้ไม่ถูก คนอื่นๆ ในกลุ่มก็จะรู้สึกว่าไม่ถูก


เด็กหนุ่มบอกว่าเรื่องนี้ทำได้ นั่นก็แสดงว่าทำได้


แต่ที่น่าแปลกยิ่งกว่านั้นก็คือ เด็กหนุ่มไม่เคยจงใจโอ้อวดข้อดีใดๆ ของตนเลยแม้แต่ครั้ง


ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง เขาเรียนรู้ตัวอักษรและเรียนหนังสือจากแม่นางน้อยที่เรียกตัวเองว่าอาจารย์อาน้อยอย่างตั้งใจ เขายังถึงขั้นไม่เคยมองหลี่ไหวเป็นเด็กไม่รู้ความ แล้วก็ยอมคุยเล่นกับหลินโส่วอี ฟังฝ่ายหลังคุยเรื่องฟ้าดินด้านนอก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)