ท่านเทพมาแล้ว 129-132
บทที่ 129 ไหว้วานเจ้าแล้ว
โดย
Ink Stone_Romance
เวลาห่างกันไม่เพียงกี่ชั่วยามเท่านั้น ของวิเศษหลายพันชิ้นทำไมหายไปแล้ว?
แผ่นผนึกติดไว้หน้าประตูถ้ำอย่างแน่นหนา ร่องรอยการเคลื่อนไหวแม้แต่นิดก็ไม่มี ของวิเศษจะระเหยไปแบบนี้หรือ?
เรื่องนี้นางจะรู้ได้อย่างไรว่าเกิดอะไรขึ้น! คิดไม่ถึงว่ายังมีคนกล้าลองดีกับสวรรค์? ประเด็นคือมีคนมีความกล้านี้ด้วย เจ้ายังต้องคิดเหตุหาผลต่อไปว่าเขาทำไปทำไมอีก!
นางมองมู่หรงหลิวเย่ก่อนมองหลิวจวิ้น มู่หรงหลิวเย่ขมวดคิ้ว แต่กลับไม่มีสีหน้าร้อนรนจนเกินไป ของวิเศษไม่กี่ชิ้นสำหรับชิงชิวแล้วไม่นับว่าเป็นอะไร ได้จิตจิ้งจอกของมู่หรงรุ่ยเจี๋ยแล้ว ชัดเจนว่าพวกเขาไม่สนใจสิ่งของที่เหลืออีก อย่างไรก็ตามหลิวจวิ้นกลับไม่คิดเช่นนั้น ใบหน้าของเขาเคร่งเครียด ในสายตายังเห็นถึงความใจหายวาบอย่างชัดเจน
เรื่องนี้ส่งให้กับหน่วยลาดตระเวนแล้ว แน่นอนว่าเป็นความรับผิดชอบของหน่วยลาดตระเวน หากหลิวจวิ้นไม่ตกใจ ใครจะตกใจ? หากหาร่องรอยไม่ได้ หน่วยลาดตระเวนต้องแบกรับ!
“ท่าน…เอ่อ มหาเซียนลู่มาแล้ว ท่านรู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น?” ราชาจิ้งจอกเห็นลู่ยา จึงพุ่งเข้ามาอย่างตื่นตัว
คนที่เหลือมองไป กลับไม่ขยับ ถึงแม้ทุกคนรู้สึกว่าคนหนุ่มผู้นี้มีบุคลิกโดดเด่น แต่กลับไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ถูกขนานนามว่าเป็นราชาจิ้งจอกถึงเคารพซ่านเซียนผู้หนึ่งขนาดนี้ กลิ่นอายก็มิใช่อาวุธเสียหน่อย
ลู่ยามุ่งตรงเข้าไปในถ้ำ สายตาราวกับไฟกวาดไปรอบด้าน
“เป็นอย่างไรบ้าง” มู่จิ่วเดินตามเข้ามาถาม
“มีคนเคยเข้ามา” ลู่ยาพูด
มู่จิ่วกับซ่างกวนสุ่นและหลิวจวิ้นที่เดินตามมาอดตะลึงไม่ได้
ถึงแม้พวกเขาล้วนคาดการณ์ไว้ประมาณนี้ แต่เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้อย่างมาก นอกจากคนของทัพสวรรค์แล้ว ใครจะมีแผ่นผนึกประทับตราของอวี้ตี้และเข้าออกได้อย่างสะดวกเล่า? นอกจากคนของอู่เต๋อกับพวกเขาแล้วจะมีใครรู้ว่าที่นี่ซ่อนของวิเศษจำนวนมากไว้?
“หรือจะเป็นอู่เต๋อ?” ซ่างกวนสุ่นพูด
“เป็นไปไม่ได้” มู่จิ่วแย้ง “อู่เต๋อไม่มีเหตุผลจะทำแบบนี้”
ถึงแม้ทุกคนจะรวมหัวกัน รู้สึกว่าเบื้องหลังอู่เต๋อยังมีแผนการอะไรแอบซ่อนอีก แต่หากเขายังมีความคิดนี้อยู่ ทำไมยังไปหาหลีหัง?
“ไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใคร?” ซ่างกวนอวิ๋นพ่อของซ่างกวนสุ่นพูด “ตอนนี้คดีคลี่คลายแล้ว ของวิเศษหากถูกขโมยก็ถูกขโมย และคนที่สอดคล้องกับเงื่อนไขก็มีเพียงเขา หากเบื้องหลังเขาซ่อนความลับอะไรไว้จริงๆ ล่ะ? ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เราควรอาศัยตอนนี้ที่เขายังไม่ลงไปเวียนว่ายตายเกิดถามเสียหน่อย”
มู่จิ่วรู้สึกว่าคำพูดนี้มีเหตุผลมาก จึงกล่าว “แบบนี้แล้วกัน ข้ากับองค์หญิงหลิวเย่และซ่างกวนสุ่นไปหาอู่เต๋อ ส่วนแต่ละท่านไปรอที่หน่วยลาดตระเวนหรือลานจื่อหลิง โปรดทำตัวตามสบาย หากข้าได้ข่าวแล้วจะรีบกลับไปบอก”
อิ่นเสวี่ยรั่วพูด “ข้าเป็นคนของกองอารักขาพู่เหลือง ข้าไปกับเจ้าด้วย!”
มู่จิ่วพยักหน้า แล้วจึงเตรียมตัวขี่เมฆไป
ลู่ยาหยุดนางไว้ เรียกอาฝูมาก่อนพูด “ขี่เขาไปเร็วกว่าหน่อย” พูดจบก็ร่ายเวทอยู่ข้างหูนาง บอกให้นางออกไปสามร้อยลี้ก่อนค่อยร่ายให้อาฝู จากนั้นเรียกพวกเขาขึ้นไป
นางทำตามคำพูดที่ลู่ยาบอก ออกไปสามร้อยลี้จึงค่อยร่ายวิชา เห็นเพียงอาฝูตัวใหญ่ขึ้นสี่ห้าเท่าราวกับถูกสูบลม หลังของเสือกว้างใหญ่เหมือนเนินเขาเล็กๆ!
มู่จิ่วกระโดดขึ้นอย่างดีใจระคนแปลกใจ คนที่เหลือแต่ละคนปีนขึ้นไป เห็นเพียงภาพสีขาวราวแสงอัสนีเมื่ออยู่กลางอากาศ พวกเขาเดินทางพริบตาเดียวก็ไม่เห็นเงาคนแล้ว
มีฝีเท้าของอาฝูอยู่ ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็มาถึงประตูสวรรค์แดนใต้ พวกเขาเข้าประตูก็มุ่งไปวังเทพราชา
วังเทพราชาเป็นที่พิจารณาคดี เพียงแต่ปกติคดีที่อวี้ตี้ไม่มีคำสั่งลงมา หลังจากหน่วยบังคับคดีและหกฝ่ายร่วมไต่สวนแล้ว ก็จะให้เจ้าหน้าที่ในส่วนเทพราชาประกาศคำพิพากษาและดำเนินการ อู่เต๋อกับหลีหังรอรับการลงโทษอยู่ที่นี่
ตอนพวกมู่จิ่วมาถึงเจ้าหน้าที่ลงทัณฑ์กำลังนำม้วนบันทึกไปที่คุก ได้ยินว่าคดีเกิดปัญหาขึ้นอีก จึงไม่กล้าชักช้า รีบสั่งคนให้พาอู่เต๋อออกมา
อู่เต๋อซึ่งถูกตัดรากฐานเซียน ตอนนี้เหมือนผู้คงแก่เรียนธรรมดาบนโลกมนุษย์ ได้ยินมู่จิ่วพูดถึงสาเหตุที่มาเขาก็รู้สึกตื่นตระหนก เงียบไปสักพักจึงพูดว่า “หากสิ่งของเหล่านั้นมีส่วนช่วยในการตามหาเฟยอี ข้าย่อมต้องซ่อนพวกมันไว้อย่างไม่ลังเล แต่สำหรับข้าพวกมันก็เหมือนกับขยะ ข้าจะเอาไปทำอะไร?”
“เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่ามีใครสามารถนำพวกมันออกไปจากข้างในได้?” มู่หรงหลิวเย่ถาม
อู่เต๋อพูด “ในค่ายทหารสวรรค์ขุนนางลำดับสามขึ้นไปล้วนมีความสามารถในการควบคุมผนึก พวกเจ้าเพียงต้องสืบหาว่านอกจากข้าแล้วยังมีใครที่รู้จักถ้ำนั่นอีก และยังมีเวลาก่อคดี”
“ความหมายของเจ้าคือ นอกจากเจ้าหน้าที่ของค่ายทหารสวรรค์แล้ว ก็ไม่มีใครเข้าไปในถ้ำที่ถูกผนึกได้?”
อู่เต๋อเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพูด “นอกจากนี้แล้ว คนที่พลังบำเพ็ญถึงระดับก็สามารถเข้าไปได้ แต่…” พูดถึงตรงนี้เขาก็หยุดชะงักลง ยกปากขึ้นพูดด้วยความเย็นชา “แต่วันนี้ลัทธิฉ่านกล้ำกลืนความสูญเสีย เกรงว่าหากพวกเขาไม่หาทางเอาคืนหน่อยคงไม่ยินยอม”
มู่จิ่วอึ้ง ความหมายของเขาคือเรื่องนี้ลัทธฉ่านเป็นผู้ทำ?
ยังไม่ทันให้นางได้ถาม อู่เต๋อก็มองนางอย่างล้ำลึก “ความจริงพวกเจ้ายังมีเวลาตัดสินใจ แต่ข้าอยากถามว่าเจ้ากับลู่ยาเต้าจู่มีความสัมพันธ์กันเช่นไร?”
มู่จิ่วอ้าปากกว้างจนเป็นถ้วยชา!
เขารู้จักลู่ยาได้อย่างไร? ใครบอกเขา?!
“ทำไมเจ้าถามแบบนี้?”
อู่เต๋อยกริมฝีปาก มองไปข้างหน้าพลางพูด “เพราะก่อนหน้านี้หลีหังบอกว่า หลายวันก่อนลู่ยาเต้าจู่เรียกเขามาพบที่วิมานหลีเฮิ่น และยังนำเลือดของเขาไปหยดหนึ่ง ส่วนเจ้ากลับรู้เรื่องระหว่างข้ากับหลีหังมากมาย นอกจากเจ้ากับลู่ยาเต้าจู่รู้จักกันแล้ว ยังมีความเป็นไปได้อย่างอื่นอีกหรือ?”
มู่จิ่วอึ้งงัน หลีหังรู้เรื่องลู่ยาเอาเลือดของเขาไปแล้วหรือ?
ดูแล้วคนเหล่านี้ไม่ธรรมดาเลย!
ต่อหน้าคนข้างตัวมากมายขนาดนี้ นางไม่รู้ว่าควรจะตอบว่าอย่างไรดี พอดีมีเซียนถือพู่หางม้าเดินเข้ามาสองคน “ถึงเวลาแล้ว ท่านเซียนควรออกเดินทาง”
มู่จิ่วรู้ว่าคือผู้ดูแลเรื่องเวียนว่ายตายเกิด จึงรีบเปิดทางให้ มองพวกเขาพาอู่เต๋อไป
อู่เต๋อเดินมาถึงประตู พลันหันกลับมามองมู่จิ่วก่อนพูด “ข้าไหว้วานเจ้าสักเรื่องได้หรือไม่?”
มู่จิ่วสงสัย “เรื่องอะไร?”
อู่เต๋อค้อมเอวส่งแผ่นหยกให้ “เจ้ารู้จักเฟยอี หากเจ้าเห็นนาง รบกวนเจ้ามอบสิ่งนี้ให้นางด้วย”
มู่จิ่วมองแผ่นหยก เป็นหยกเขียวซึ่งสลักขึ้นเป็นนกชิงหลวนตัวหนึ่ง นางรับมา พยักหน้าให้ แล้วเก็บเข้าไปในกระเป๋าเล็ก
“ข้ารับปาก หากมีโชคได้พบนาง”
ถึงแม้นางไม่มีหนทางช่วยเขาตามหาวิญญาณเฟยอี เช่นนั้นสามารถช่วยให้เขาสำเร็จตามใจปรารถนาก็ยังดี
เมื่ออู่เต๋อเดินหายไปจากระเบียงทางเดิน มู่จิ่วจึงยืนขึ้นและออกจากประตูไปพร้อมพวกหลิวเย่
ได้ยินว่าพวกราชาจิ้งจอกกลับไปลานจื่อหลิงกับลู่ยา พวกเขาก็มุ่งตรงไปทันที
มู่จิ่วเพิ่งบอกว่าอู่เต๋อไม่ได้ทำ และเขาสงสัยว่าเป็นลัทธิฉ่านที่ทำ ราชาจิ้งจอกก็ตบโต๊ะ “ข้าเดาว่าเป็นพวกเขาที่ทำ! ต้องเป็นหลีหังคนชั่วนั่นแน่! เขาเห็นข้าจัดการเขา ดังนั้นจึงย้ายของวิเศษเพื่อตอบโต้ ให้พวกเรากล้ำกลืนความสูญเสีย!”
…………………………………………………
บทที่ 130 ให้ของขวัญเจ้า
โดย
Ink Stone_Romance
ทั้งห้องไม่มีใครแสดงออกว่าไม่เห็นด้วย
เพราะนอกจากคำอธิบายนี้แล้วก็ไม่มีคำอธิบายอื่นอีก
หลีหังเป็นผู้นำหน่วยทหาร มีพลังบำเพ็ญหลายหมื่นปี แน่นอนว่าสามารถเร่งรุดไปยอดเขาราชาเพลิงเพื่อย้ายของวิเศษก่อนพวกเขาได้ และจากพฤติกรรมของไท่ซ่างเหล่าจวินก่อนหน้านี้ ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถก่อเรื่องให้ชิงชิวเพิ่มได้
ทั้งชิงชิวและเนินอารามต่างก็ไร้คำพูด
ใครก็คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วจะเกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้น แต่ถึงแม้จะเป็นความรับผิดชอบของหน่วยลาดตระเวน ทุกคนกลับไม่ได้วุ่นวายใจเท่าไหร่นัก ที่จริงเพียงแค่ของหายไปไม่กี่ชิ้นเท่านั้น จิตจิ้งจอกของจิ้งจอกน้อยก็ได้คืนมาแล้ว พวกชิงชิวไม่ได้ใจคับแคบแล้วเอาเรื่องไม่หยุดเพื่อคนคนเดียว
ส่วนทางเนินอารามเดิมทีต้องการความยุติธรรมเพราะเรื่องนี้ ของที่หายไปเหล่านั้นไม่มีความหวังเหลือแล้ว ตอนนี้ถึงแม้สิ้นหวัง แต่คิดๆ แล้วที่จริงก็ไม่ได้แตกต่างกันมากมาย ยิ่งทุกกระบวนการของการทำคดีมีซ่างกวนสุ่นอยู่ด้วย หากติดใจเอาความก็แสดงว่าไร้เหตุผลแล้ว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ยอมกันได้
เพียงแต่อย่างไรของเหล่านั้นก็คือของวิเศษ และมีจำนวนไม่น้อยด้วย แบบนั้นควรจะไปฟ้องร้องต่อหน้าอวี้ตี้หรือไม่?
“ช่างเถอะ ยังไงก็แค่ของไม่กี่ชิ้น พวกเขาเอาก็เอาไป” หลังจากเงียบอยู่นานซ่างกวนสุ่นจึงพูดแบบนี้ บางทีอาจเพราะหน้าตาของวงศ์ตระกูล
ทางชิงชิวและราชาจิ้งจอกก็ไม่เหมาะจะพูดอะไรอีก
แต่เดิมสิ่งที่เขาสนใจคือจิตจิ้งจอกเท่านั้น ก่อนหน้านี้ที่อยู่ในวังหลิงเซียวเขาได้ทำให้ไท่ซ่างเหล่าจวินลำบากแล้ว หากไปก่อเรื่องราวอีกเพื่อของวิเศษไม่กี่ชิ้น ถึงแม้อวี้ตี้จะยอมรับเหตุผล ค้านขึ้นมาอย่างจริงใจ พวกเขาชิงชิวก็ไม่มีหนทางเทียบกับเสียงจำนวนมากของลัทธิฉ่านได้ คิดมาคิดไปก็ไม่คุ้ม จึงปลอบใจกันหลายประโยค ดื่มชาจนหมด แล้วเตรียมบอกลา
ราชาจิ้งจอกไม่มีเวลาโอ้เอ้ นอกจากต้องนำจิตจิ้งจอกมอบให้จิ้งจอกน้อยและเตรียมของขวัญไปวิมานหลีเฮิ่น เขายังต้องไปวังจิตกระจ่างด้วย!
พวกเขาซึ่งเป็นเจ้าทุกข์ล้วนไม่เอาความ มู่จิ่วย่อมไม่จำเป็นต้องสืบต่อ ถึงแม้ใจนางยังแอบมีความสงสัยอยู่ก็ตาม
นางไปส่งพวกเขาที่ประตูลาน
เมื่อถึงใต้ซุ้มดอกจื่อเถิง มู่หรงหลิวเย่พลันจงใจถอยร่นลงมาหลายก้าว ดึงมือนางลากนางมายังที่สงบ ก่อนพูด “ข้าเป็นคนพูดแล้วต้องทำให้ได้ ก่อนหน้านี้ข้าพูดแล้วหากเจ้าช่วยข้าตามหาจิตจิ้งจอกของน้องสี่เจอ ข้าจะต้องตอบเเทนเจ้าอย่างหนัก ไม่ผิดคำพูดแน่นอน” นางพูดพลางยิ้มอย่างงดงาม ทันใดนั้นก็ยื่นมือมาจับชีพจรนางไว้ จากนั้นส่งพลังฤทธิ์เข้าไปที่เส้นลมปราณ!
มู่จิ่วไหนเลยจะคาดเดาได้ว่านางคิดลงมือโดยฉับพลัน?
มู่จิ่วพลันตกใจจนหน้าถอดสี จิตใจคิดอยากต่อต้าน แต่ไหนเลยจะต้านทานไหว? เพียงรู้สึกว่าพลังฤทธิ์แต่ละคลื่นของนางไหลเข้ามาในร่างกายเหมือนสายน้ำ ราวกับต้องการชะล้างรากฐานวิญญาณทั้งร่างของนางให้สะอาดอีกครา เจ็บปวดและทนไม่ไหว! นางคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจิ้งจอกเหม็นโฉ่นี่จะทำร้ายนางแบบนี้ นางคิดจะด่าบรรพบุรุษสิบแปดรุ่น แต่น่าเสียดายที่ไม่มีแรงพูดออกมา…
“เสร็จแล้ว”
ผ่านไปไม่รู้นานเท่าไหร่ จนมู่จิ่วแทบจะลงไปกองกับพื้น นางจึงเก็บมือกลับไป ยิ้มตาหยีพูดว่า “พวกเราจิ้งจอกเก้าหางมีเวทวิเศษมากมาย แต่มีความสามารถสองอย่างที่อย่างไรคนอื่นก็เรียนรู้ไม่ได้ หนึ่งคือภาพมายา สองคือวิชายั่วยวน สองอย่างนี้เมื่อครู่ข้าใช้พลังส่งให้เจ้าแล้ว นี่คือวิธีถ่ายทอดด้วยใจ ใช้ให้ดีล่ะ”
นางหยิบใบไม้สีทองสองใบสอดเข้าไปในอกมู่จิ่ว ยิ้มพลางพูด “ถึงแม้ข้าส่งพลังบำเพ็ญพันปีให้ จะช่วยให้เจ้าเรียนสำเร็จเร็วขึ้น แต่ตัวเจ้าเองต้องฝึกให้คุ้นชินถึงจะสามารถเข้าถึงแก่น มิฉะนั้นแล้วมันจะไม่กลายเป็นเวทอันมีค่าของเจ้า ข้าไม่อาจส่งแก่นเคล็ดวิชาให้เจ้าได้ แต่ภายหลังหากเจ้าเลื่อนขั้นได้ไม่หยุด มันจะแสดงผลลัพธ์ที่โดดเด่นได้ตามพลังบำเพ็ญและพลังฤทธิ์ที่เพิ่มขึ้น”
พูดจบนางก็เข้ามาเอ่ยข้างหู “ลู่หยาคนนั้นรูปร่างหน้าตาไม่เลว ดูท่าทางแล้วไม่ใช่พวกไม่เอาโล้เอาพาย เพียงแต่มีเล่ห์เหลี่ยมไปหน่อย แต่ผู้ชายนี่นะ บางทีมักจะมีนิสัยเสีย เอาแน่เอานอนไม่ได้ ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร อย่างไรก็เรียนวิชายั่วยวนของพี่สาวไว้จัดการเขา ชีวิตดีมีสุขแน่”
มู่จิ่วมองใบหน้าที่ยิ้มสดใสยิ่งกว่าดอกทานตะวันของนาง และเกือบจะกระอักเลือดออกมา!
ย่ามันเถอะ ให้ภาพมายาก็ให้มาเถิด แต่ให้วิชายั่วยวนมาหมายความว่าอะไร!
ยังจะมาชีวิตดีมีสุข…
ทั้งยังให้นางใช้สิ่งนี้จัดการลู่ยา แน่นอนว่านางยังไม่ทันเข้าถึงเตียงก็ถูกเขาบีบจนเป็นผุยผงแล้ว เข้าใจหรือไม่?!
นางอดทนไว้ ไม่ส่งใบไม้สีทองกลับไป ยกมุมปากขึ้นอย่างยากลำบาก
มู่หรงหลิวเย่หัวเราะคิกคักแล้วออกประตูไป เหมือนกับเพิ่งได้รับการปรนนิบัติจากหนุ่มหน้าละอ่อนสิบกว่าคน…
พวกเขาไปแล้ว ตระกูลซ่างกวนแห่งเนินอารามสิบกว่าคนก็จะไปเหมือนกัน
คดีจบแล้ว แน่นอนว่าซ่างกวนสุ่นก็ต้องไป แต่ไม่รู้ทำไมเขากลับชักช้าไม่ยินยอมย้ายที่อยู่ สุดท้ายเร่งอย่างหนักจึงค่อยลุกขึ้นอย่างไม่เต็มใจ มู่จิ่วเห็นท่าทางของเขาชัดเจนเหลือเกิน จึงพูดขึ้น “เจ้าออกมาครึ่งปีไม่ได้กลับไปเลย ต้องกลับไปรายงานตัวสักหน่อยกระมัง?”
ซ่างกวนสุ่นเด้งตัวขึ้นมา “หลังจากข้ากลับไปรายงานตัวแล้ว ยังกลับมาได้อีกหรือไม่?”
ต่อหน้าพ่อแม่เขา มู่จิ่วรู้สึกไม่ดีหากจะปฏิเสธ ทำได้เพียงฝืนยิ้มพูด “ยินดีต้อนรับองค์ชายเจ็ดกลับมาทุกเวลา”
เขาจึงดีใจจนร้องออกมา ก่อนจะวิ่งไปไกล
ซ่างกวนอวิ๋นเห็นดังนั้นแล้วก็หลั่งเหงื่อออกมาเต็มไปหมด พูดกับมู่จิ่วกับลู่ยาอย่างเกรงใจ “ลูกชายข้ารบกวนแล้ว” หลังพูดขอบคุณหลายครั้งจึงออกไป
เมื่อคนจากไปหมดแล้ว ลานบ้านที่คึกคักเมื่อครู่พริบตาเดียวก็สงบลง
มู่จิ่วช้อนสายตาขึ้นมองเมฆและแสงอรุโณทัยตรงขอบฟ้า แบกเอาความสงสัยที่ยังไม่คลี่คลายเดินไปเรือนของลู่ยา “เจ้าดูออกหรือไม่ว่าใครขโมยของวิเศษไป”
“ดูไม่ออก” ลู่ยาพูด
“ทำไมล่ะ? ในเมื่อเจ้าสามารถเห็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นของหลีหังกับอู่เต๋อ”
ลู่ยาเงยหน้าขึ้นจากของโบราณประหลาดชิ้นหนึ่ง “คนที่ขโมยของวิเศษไปไม่ได้เข้าถ้ำเลยตั้งแต่แรก ไม่เพียงแต่ไม่เข้าไป ในรัศมีร้อยลี้ยังไม่มีกลิ่นอายของเขาเลยแม้แต่น้อย ข้าจะสืบอย่างไร?”
ในรัศมีร้อยลี้ไม่มีกลิ่นอายของคนผู้นี้?
มู่จิ่วนั่งขึ้นมา หรือว่าจะเป็นหลีหังทำจริง? หรือบางทีอาจเป็นไท่ซ่างเหล่าจวินให้คนทำ?
“เช่นนั้นมีหนทางที่จะสืบหาร่องรอยได้หรือไม่?” นางถาม
“ไม่มี” ลู่ยายังคงพูดอย่างไม่ลังเล “ไม่มีร่องรอยแม้แต่น้อย และฝีมือหมดจด ไม่มีทางสืบได้เลย”
มู่จิ่วไหล่ตก
ลู่ยามองนาง พูดอย่างอ่อนโยนว่า “ที่จริงเจ้าไม่ต้องใส่ใจเรื่องนี้ ทุกเรื่องล้วนมีเหตุมีผล ใครจะรู้ว่าผลในวันนี้ไม่ใช่เหตุของวันอื่น? หากของวิเศษเหล่านี้สามารถลบล้างบุญคุณความแค้นระหว่างลัทธิฉ่านกับภพต่างๆ ได้ แบบนั้นก็ดี”
“หืม?” มู่จิ่วเงยหน้าขึ้น “หมายความว่าอย่างไร?”
ลู่ยามองกระดองเต่าบนโต๊ะ แล้วพูด “หลายปีมานี้ลัทธิฉ่านมีศัตรูมาก ข้าทำนายดูแล้ว เคราะห์หนักจริงๆ ของพวกเขายังมาไม่ถึง”
“ยังมีเคราะห์หนักอีก?” มู่จิ่วเข้าไปดูภาพแปดทิศของเขาโดยไม่รู้ตัว แต่กลับดูไม่เข้าใจเลย
“ไม่ผิด” ลู่ยาพยักหน้า “สรรพสิ่งมีเกิดมีดับ ลัทธิฉ่านรุ่งเรืองมาหลายปีขนาดนี้ อย่างไรก็ต้องมีช่วงเสื่อมถอย และเรื่องหลีหังครั้งนี้ บางทีอาจเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น”
มู่จิ่วไม่รู้จะพูดอะไรดี ถึงแม้หลายปีมานี้ลัทธิฉ่านทำให้คนดูแคลน แต่อย่างไรก็เป็นลัทธิหลักฝ่ายธรรมของสามภพ และยังรักษาสมดุลอำนาจส่วนใหญ่ไว้ นี่ก็เป็นพื้นฐานทำให้สามภพมั่นคงเช่นกัน
……………………………………………………………
บทที่ 131 ยังคิดหลอกข้า?
โดย
Ink Stone_Romance
“ถ้าเช่นนั้นไท่ซ่างเหล่าจวินรู้หรือไม่?” มู่จิ่วถาม
“เรื่องนั้นข้าไม่รู้ชัดแจ้ง” ลู่ยายืนขึ้น “ข้าเพียงแค่อาศัยเรื่องนี้ทำนายดูหน่อย อีกอย่างภาพแปดทิศนี้ก็ลึกลับนัก ข้าไม่สามารถทำนายเหตุผลออกมาได้ รู้เพียงว่าความยุ่งยากในวันนี้ สามารถเปลี่ยนเป็นเคราะห์หนักในวันหน้า”
“เจ้าไม่คิดหยุดยั้งหรือ?” มู่จิ่วตามเขาไปถึงกลางห้อง
“ภาพแปดทิศแสดงออกมาไม่ได้ จะหยุดยั้งอย่างไร?” ลู่ยาแบมือ “อีกอย่าง ในเมื่อเป็นเคราะห์สวรรค์ แน่นอนว่าต้องมีเหตุ ไหนเลยจะเปลี่ยนแปลงกันง่ายๆ”
มู่จิ่วขมวดคิ้วแล้วเงียบลง
ลู่ยาเหลือบมองนางสองครา พลันจับข้อมือนางขึ้นมาอย่างสงสัย แล้วพูดต่อ “ทำไมอยู่ๆ เจ้าถึงมีพลังบำเพ็ญเพิ่มขึ้นพันปี?”
“อ้อ จิ้งจอกแดงให้มา” มู่จิ่วได้ยินเขาพูดถึงเรื่องนี้ก็รีบชักมือกลับ
ใบหน้าลู่ยาเต็มไปด้วยความสงสัย จึงพิจารณาใบหน้านาง ก่อนถามอีก “ทำไมนางต้องให้พลังเจ้า?”
พลังบำเพ็ญแบบนี้ไม่ใช่พลังฤทธิ์ คิดจะให้ก็ให้ได้หรือ? หากไม่ส่งมาพร้อมกับวิชา ปกติก็ไม่สามารถเอาออกมาได้
“นางให้เวทอะไรแก่เจ้า?” เขาถาม
“ก็แค่…แค่ให้ภาพมายา ไม่มีอะไรหรอก” มู่จิ่วไหนเลยจะมีหน้าบอกว่ามู่หรงหลิวเย่ให้วิชายั่วยวนแก่นาง? แบบนั้นนางยังจะมียางอายอยู่หรือ? พูดจบนางก็รู้สึกว่าอยู่ต่อไม่ได้แล้ว จึงหยิบกระบี่ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา “ยุ่งมาสองเดือนกว่าข้ารู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย ต้องไปพักก่อนแล้ว ตอนกินข้าวเย็นหากข้าไม่ตื่นไม่ต้องปลุก!”
พูดจบก็พุ่งออกไปราวกับควัน เหมือนกลัวว่าช้าไปครึ่งก้าวจะไม่อาจออกไปได้แล้ว
ลู่ยามองนางตลอดโดยไม่ขยับแม้แต่น้อย มุมปากกลับยกยิ้มเยาะขึ้น หรือคิดว่ารีบวิ่งไปแล้วเขาจะมองไม่ออกว่านางกำลังโกหก? ไม่คิดเสียหน่อยว่าคนตรงหน้านางคือปรมาจารย์ด้านการพูดโกหก! วิ่งไปเถอะ ช้าเร็วเขาก็ต้องรู้อยู่ดี
คดีฆาตกรรมของชิงชิว หลังจากที่อู่เต๋อและหลีหังเข้าสู่การเวียนว่ายตายเกิดแล้วเรื่องราวก็จบลง
ถึงแม้ของวิเศษที่หายไปจากถ้ำยังคงเป็นปริศนาอยู่ แต่ตามการตัดสินใจว่าจะไม่สืบหาของชิงชิวและเนินอาราม กลุ่มคนก็เข้าใจเงียบๆ ว่านี่คือการกระทำของลัทธิฉ่าน ดังนั้นจึงทำเป็นงุนงงไม่พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก
หลังจากหลิวจิ้นนำคดีนี้แจ้งต่อฝ่ายทหาร ในขณะเดียวกันก็แจ้งเรื่องผลงานของมู่จิ่วไปด้วย วันนี้ตอนเช้านางไปขอลาหยุดที่หน่วย คนในห้องก็ฉีกยิ้มมองนาง ในนั้นยังรวมถึงหลิวจวิ้นด้วย!
“นี่เกิดอะไรขึ้น?” นางก็ยิ้ม
หลิวจวิ้นไม่พูด กลับเอาหนังสือเล่มหนึ่งส่งให้นาง
นางเปิดออกดู เห็นเพียงหนังสือแต่งตั้งให้นางเป็นผู้บัญชาการถิงเว่ย[1]แห่งหน่วยลาดตะเวน!
ถิงเว่ยแห่งหน่วยลาดตระเวนทำหน้าที่รับพิจารณาคดีโดยเฉพาะ ทั้งหมดมีสิบสองกอง ผลัดเปลี่ยนกันรับคดีจากสามภพ ผู้บัญชาการเป็นขุนนางผู้ดูแลหน่วยงานทั้งสิบสอง ตอนแรกหลิวจวิ้นรับปากเลื่อนขั้นให้นางเป็นนายร้อย ตอนนี้กลับเลื่อนให้นางเป็นถิงเว่ยทำคดี? นี่ทำให้ตกใจระคนยินดีมากไปแล้วกระมัง?!
นายร้อยกับผู้บัญชาการถิงเว่ยถึงแม้จะลำดับขั้นเท่ากัน ล้วนเป็นระดับหก ตำแหน่งหนึ่งเป็นผู้นำกองทหารเล็กๆ แต่อีกตำแหน่งเป็นผู้นำในหน่วยงานเฉพาะกิจ ความแตกต่างระหว่างกันช่างยิ่งใหญ่นัก! อย่างน้อยโอกาสสร้างผลงานในภายหลังก็มีมาก การที่จะได้ของวิเศษยาเซียนก็ยิ่งมีมาก หลิวจวิ้นช่างดูแลนางอย่างดีจริงๆ!
“ใต้เท้า นี่…”
นางตื่นเต้นจนไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
“ไม่ต้องนู่นนี่แล้ว นายร้อยไม่มีกำลังพล มีเพียงตำแหน่งผู้บัญชาการว่าง ถึงแม้ประสบการณ์เจ้าไม่พอ ก็เอาเป็นว่าให้เจ้าได้ส้มหล่นแล้วกัน” หลิวจวิ้นยิ้ม ทำหน้าขรึมพูด แต่ถึงแม้เขาจะทำหน้าเคร่ง แต่สายตาของเขากลับดีอกดีใจอย่างปิดไม่มิด
“ขอบคุณใต้เท้า!” มู่จิ่วรีบก้าวขึ้นไปทำความเคารพ
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร หลิวจวิ้นก็ยังเป็นคนให้โอกาสส้มหล่นแก่นาง! นางไม่อาจใจจืดใจดำรับเอาความกรุณาของเขามาเปล่าๆ!
“อย่าเพิ่งรีบขอบคุณ” หลิวจวิ้นหยิบกล่องหนึ่งออกมาจากลิ้นชัก กางแผนที่ออกมา “นี่คือยาเซียนสองเม็ดที่กองอารักขาพู่ม่วงส่งมาให้เจ้า นอกจากนี้ยังมีเรื่องยินดีกับเจ้าอีก ตามกฎสวรรค์แล้ว เจ้ามีสิทธิได้ที่พักเดี่ยวมีทางเข้าออกสองทาง นี่คือแผนที่ในเขตของพวกเรา ทุกเส้นสายในนี้ล้วนใช่หมด เจ้าเลือกเอาได้เลย!”
“ดียิ่ง!” มู่จิ่วค้อมตัว จากนั้นหยิบแผนที่ขึ้นมาอย่างยินดี มองๆ แล้วจึงพูด “ข้านำกลับไปดูแล้วพรุ่งนี้เช้ามาคืนท่านได้หรือไม่?”
“เจ้านี่เรื่องมากที่สุด!” หลิวจวิ้นจ้องนางอย่างไม่สบอารมณ์ พูดจบก็เหลือบมองนาง “เอาไป!”
มู่จิ่วนำแผนที่ไปอย่างยินดี ขอบคุณนับพันครั้งขณะออกประตูไป
เหล่าทหารในหน่วยเดินหลั่งไหลตามไปด้วย แต่ละคนล้อมเข้ามาอวยพรนาง “มู่จิ่วได้เลื่อนตำแหน่ง ควรจะเลี้ยงข้าวพวกเรา!”
“ใต้เท้าหลิวดูแลเจ้าดีขนาดนี้ อย่างไรเจ้าก็ต้องตอบแทนพวกเราพี่น้องบ้าง?”
“ใช่! ไหนเลยจะไม่มีที่ว่างของนายร้อย แล้วให้เจ้าได้ส้มหล่นเป็นถึงผู้บัญชาการถิงเว่ย เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจเว้นตำแหน่งนี้ไว้ให้เจ้า? เมื่อวานข้าได้ยินว่ากองอารักขาพู่น้ำเงินพูดว่า ก่อนหน้านี้ไม่นานมีนายร้อยจากไปหลายคน ทั้งทัพทหารสวรรค์มีกองอารักขาเจ็ดกอง ยังจะหาที่ว่างนายร้อยไม่ได้อีกหรือ? เอาละ มื้อนี้เจ้าต้องเลี้ยง!”
แต่ก่อนตอนนางโดนหลิวจวิ้นเล่นงาน คนเหล่านี้แต่ละคนคอยซ้ำเติมรอดูเรื่องตลก ตอนนี้เห็นหลิวจวิ้นมองนางเปลี่ยนไปก็รีบหันมาห้อมล้อมนาง ช่างรู้จักสถานการณ์เสียจริง!
แต่ทุกคนล้วนเป็นพวกที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงขุนนาง ทำไมต้องคิดเล็กคิดน้อยเล่า? ยังไงนางต้องตอบแทนความดูแลเอาใจใส่ของหลิวจวิ้น ต้องเชิญเขากินข้าวสักมื้อ ถือโอกาสสร้างไมตรีเสียเลย!
ดังนั้นนางจึงยิ้ม “รอข้าจัดการเรื่องเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าต้องเชิญทุกท่านดื่มเหล้า!”
พูดจบก็อาศัยโอกาสฝ่าวงล้อมออกไป และนำแผนที่กลับลานจื่อหลิง
เสี่ยวซิงได้ยินว่ามู่จิ่วได้รับจัดสรรบ้านมาแล้ว ความดีใจนั้นไม่ต้องพูดถึง ทิ้งไม้กวาดลากอาฝูมาดูแผนที่ทันที อาฝูดูอะไรก็ไม่เข้าใจ แต่มาด้วยเพื่อความคึกคัก มู่จิ่วคิดขึ้นได้ว่าลู่ยาก็อยู่ ถึงแม้เขาจะเป็นแขก ช้าเร็วต้องจากไป แต่อย่างไรนางก็ทำเหมือนไม่มีเขาอยู่ไม่ได้ จึงไปเรือนข้างๆ ดึงเขามาดูด้วย
“เจ้าช่วยดูหน่อย ที่ไหนดี?”
พูดตามความจริง เรือนบนสวรรค์ไม่มีที่ไม่ดี แต่แม้เป็นแบบนี้ยังไงก็ต้องเลือก เพราะเลือกเองถึงจะมีความรู้สึกผูกพัน
ที่จริงลู่ยาไม่มีความเห็น เพราะเขาดูแล้วไม่มีอะไรสู้วังชิงเสวียนได้ หากนางต้องการเรือนของตนเองแล้วละก็ สำหรับเขาแล้วไม่ใช่ปัญหา! แต่เขาต้องทนไว้ไม่ทำลายน้ำใจนาง ดังนั้นสุดท้ายจึงชี้ไปหลายที่ จากนั้นพานางไปดูสถานที่จริง สุดท้ายมู่จิ่วเลือกลานบ้านที่ปลูกต้นท้อกับจื่อเถิงเหมือนเดิม
หน้าหลังลานบ้านมีสองทางเข้า ลึกเข้าไปไม่มากนัก แต่ห้องเล็กๆ ใหญ่ๆ ด้านในมีทั้งหมดหกห้อง ลานด้านหน้าทางตะวันออกมีสองห้อง สามห้องทางตะวันตกเป็นห้องครัว ผ่านห้องโถงไปลานด้านหลังจะมีสี่ห้อง แบ่งเป็นตะวันออกตะวันตกอย่างละห้อง ทางเหนือสองห้อง เมื่อเดินเข้าประตูเล็กที่มุมตะวันออกเฉียงเหนือไปจะเป็นสวนดอกไม้เล็กๆ
………………………………………………………
[1] ถิงเว่ย เป็นยศขุนนางซึ่งมีหน้าที่พิจารณาคดีและส่งรายงานผลพิจารณาคดีถวายกษัตริย์
บทที่ 132 มารร้ายพัวพัน
โดย
Ink Stone_Romance
อิ่นเสวี่ยรั่วตามไปดูด้วย รู้สึกว่าไม่เลวนัก หลังจากกลับมาลานบ้านก็รีบให้ต้นซานหู[1]สูงสามฉื่อแก่มู่จิ่วเป็นของขวัญยินดี
หลังจากเลือกได้แล้ว มู่จิ่วไปแจ้งหลิวจวิ้น วันถัดมาเขาจึงนำกุญแจมาให้นาง
ตอนเสี่ยวซิงจัดเก็บห่อผ้าย้ายบ้านอย่างกระตือรือร้น มู่จิ่วเตรียมตัวทำรายชื่อเชิญมากินข้าว ตอนทำอยู่อดจะนึกถึงหลินเจี้ยนหรูไม่ได้ แต่เดิมเป็นเพื่อนกัน เรื่องแบบนี้ยังไงก็ขาดเขาไปไม่ได้ แต่เพราะนางกับลู่ยาสัญญากันไว้แล้ว อีกอย่างนางก็ไม่รู้ว่าจะพูดเรื่องที่เขาสังหารบิดาอย่างไร ดังนั้นคิดแล้วจึงหลีกเลี่ยงจะดีกว่า
แต่ในความเป็นจริง หลินเจี้ยนหรูก็ไม่มีเวลาว่างมายินดีกับนาง
บ่ายวันนั้นตอนที่คดีฆาตกรรมของชิงชิวถูกคลี่คลาย เขากลับไปยังลานสนเขียว
ตอนนี้คดีคลี่คลายแล้ว ข่าวเเพร่กระจายไปแต่ละภพ พวกจีหมิ่นจวินกระเหี้ยนกระหือรือเตรียมดำเนินการ ถ้าพวกเขาไปชิงชิว แบบนั้นกระดาษย่อมห่อไฟไม่อยู่ ชิงชิวต้องมีวิธียืนยันความบริสุทธิ์ของตนเอง และหากแรกพยับดึงดันไม่หยุดจนนำเรื่องนี้ขึ้นร้องเรียนต่อสวรรค์ ไม่เพียงแต่เขาจะอยู่ในทัพทหารสวรรค์ต่อไม่ได้ แต่จีหมิ่นจวินต้องทำลายพลังบำเพ็ญของเขาแน่ เขาต้องยับยั้งไม่ให้แรกพยับไปชิงชิว
และตอนนี้คนที่สามารถช่วยเขาได้คือเหลียงชิวฉาน
เขารู้แน่ชัดถึงเวลาพักผ่อนและทำงานของอีกฝ่าย รู้ว่าวันนี้นางทำงานกะเช้าอยู่ที่วังขาวกระจ่าง ดังนั้นพอถึงกลางคืน เขาจึงซ่อนอยู่ที่ลานชื่อหนีของนาง อาศัยตอนนางตักน้ำล้างหน้าแอบเข้าไปในห้อง
เหลียงชิวฉานมีเรื่องกังวลใจ หลายวันมานี้ทั้งได้ข่าวว่ามู่จิ่วเลื่อนตำแหน่ง และมีเสียงด่าทอไม่หยุดของจีหย่งฟาง รู้สึกเพียงกลัดกลุ้มจนทนไม่ได้ หลายวันมานี้ตอนทำงานใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทำให้ถูกหัวหน้าตำหนิหลายครั้ง ใจเลยยิ่งอึดอัด วันนี้จึงตั้งใจล้างหน้าบ้วนปากพักผ่อนเข้านอนเร็วหน่อย
ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งผลักประตูเข้าไป กลับต้องตกใจเพราะคนที่ยืนกอดอกอยู่ในห้อง!
“เจ้าเข้ามาได้อย่างไร?!” นางรีบถอยไปหน้าประตู ร่างแข็งเกร็ง
หลินเจี้ยนหรูยิ้ม เดินเข้าไปจ้องหน้านางใกล้ๆ “ศิษย์พี่ช่วงนี้ผอมนัก อาจารย์ลุงเจ้าสำนักไม่ค่อยชอบหญิงผอม ศิษย์พี่ต้องตั้งใจบำรุงหน่อย”
“เจ้าออกไป!” แก้มทั้งสองของเหลียงชิวฉานแดงจัดเพราะโกรธ หวีดร้องขึ้นมาอย่างร้อนรน
หลินเจี้ยนหรูยกนิ้วขึ้นมาทาบไว้บนปาก พูดว่า “ศิษย์พี่เป็นศิษย์ที่เจ้าสำนักแรกพยับสั่งสอนมากับมือ ตอนนี้มีชายอยู่ในห้อง ร้องเสียงดังแบบนี้จะดูไม่ดีนัก”
ใบหน้าของเหลียงชิวฉานเกือบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว นางจ้องเขาอยู่ครู่หนึ่ง หมุนตัวจะพุ่งออกไป หลินเจี้ยนหรูใช้มือเดียวผลักบานประตูไว้ ประตูที่แง้มออกอยู่สี่นิ้วมือถูกผลักปิดลงต่อหน้านาง
“ศิษย์พี่ไม่ต้อนรับข้าหรือ?”
เขาเก็บมือกลับมา ยืนอยู่ตรงหน้าธรณีประตู
เหลียงชิวฉานถูกกดดัน จนปัญญาต้องถอยกลับไปกลางห้อง และจ้องเขาอย่างแค้นเคือง “เจ้ามาทำอะไร?!”
“ไม่เห็นศิษย์พี่หลายวัน คิดถึงอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าศิษย์พี่คิดถึงอาจารย์ลุงเจ้าสำนักอย่างที่ข้าคิดถึงเจ้าหรือไม่?” เขาหยิบขวดหยกเขียวจากโต๊ะเครื่องแป้งขึ้นมาเล่นพลางพูดต่อ “ศิษย์พี่โดนข้ารังแก ต้องอยากกลับไปฟ้องอาจารย์ลุงที่สำนักก่อนเป็นอันดับแรกแน่? มิสู้ข้าส่งศิษย์พี่กลับไปเลยดีหรือไม่?”
เหลียงชิวฉานหน้าแดงเถือก หัวชิงกลายเป็นความเจ็บปวดในใจนางแล้ว เจ้าเดรัจฉานนี่ยังคิดใส่เกลือบนแผลของนางอีก? นางเอ่ยด้วยความโกรธ “ไม่ต้องให้เจ้ากังวล!”
นางต้องเปิดโปงเขาให้ได้ ไม่ให้เขาลอยนวลอยู่แบบนี้แน่!
แต่ไหนแต่ไรนางไม่เคยได้รับความอับอายแบบนี้ นางต้องล้างแค้นคืนความอัปยศทั้งหมดแน่นอน!
“หากข้าต้องการให้เจ้ากลับไปล่ะ?” เขาวางขวดลง แล้วหยิบโถใบเล็กขึ้นมาแทน
เหลียงชิวฉานระแวงขึ้นมาทันที “เจ้าคิดจะทำอะไร!”
หลินเจี้ยนหรูดูโถเล็กในมือ จากนั้นเดินไปนั่งข้างโต๊ะ แล้วพูด “เจ้าน่าจะรู้ว่าคดีของชิงชิวถูกคลี่คลายแล้ว เจ้าก็รู้ ราชาจิ้งจอกกับแรกพยับสัญญากันไว้ หลังจากคดีนี้สิ้นสุดแล้วจะหารือกันเรื่องการตายของหลินเซี่ย ดังนั้นข้าคิดว่าตอนนี้แรกพยับน่าจะเตรียมตัวไปหารือกับชิงชิวแล้ว”
เหลียงชิวฉานได้ฟังถึงตรงนี้ ก็อดไม่ได้กัดฟันยิ้มเยาะเย้ย “นี่ไม่ใช่เรื่องดีมากหรือไร? รอจนชิงชิวบอกเล่าเรื่องจริงไป ความสงสัยก็จะตกมาอยู่ที่ตัวเจ้า เจ้าเด็กนอกสมรสเดรัจฉานที่สังหารบิดาตน ต้องถูกฮูหยินอาจารย์อาสี่สับเป็นชิ้นๆ!”
หากเรื่องที่หลินเซี่ยตายด้วยเงื้อมมือหลินเจี้ยนหรูเปิดเผยออกมา จีหมิ่นจวินจะปล่อยเขาไปหรือ?
หัวชิงและเหล่าผู้อาวุโสปล่อยเขาไปได้หรือ?
และนางยิ่งหวังให้เขาตายมากกว่าคนอื่น! มีเพียงเขาตายเท่านั้นความอับอายของนางถึงจะได้รับการชำระหลายส่วน ถึงจะทำให้นางไม่ต้องถูกเขาข่มขู่อีก!
คิดถึงขั้นนี้ ใจนางถึงได้ผ่อนคลายลงหน่อย หากมีวันนั้นจริง นางต้องชิงสับเขาก่อนจีหมิ่นจวินให้ได้!
หลินเจี้ยนหรูยิ้มขึ้นมา “เจ้าหวังจะให้ข้าตายขนาดนี้เลย?”
ไม่รอนางพูด เขาก็กล่าวต่อ “หากข้าตาย ตอนตายข้าก็จะลากศิษย์พี่ไปด้วย ศิษย์พี่ลองคิดดู อาจารย์ลุงไม่ได้บอกข้าแต่แรกว่าเขาจะให้มหาโอสถแก่หลินเซี่ย ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าในท้องของหลินเซี่ยมียาแบบนี้อยู่? เช่นนั้นจึงมีเพียงความเป็นไปได้เดียว คือศิษย์พี่เป็นคนบอกข้า”
“ศิษย์พี่ไม่เพียงแต่แอบบอกข้าว่าหลินเซี่ยกินยามหาโอสถไป ทว่ายังจงใจช่วยข้าปกปิดเรื่องขโมยยาสังหารคน หลังจากหลินเซี่ยกินยาเข้าไปแล้ว เจ้าเข้าไปในห้องเพื่อดูความเป็นไป จากนั้นช่วยข้าฆ่าปิดปากหลินเซี่ย มิฉะนั้นแล้วข้าที่พลังน้อยขนาดนั้นจะสังหารหลินเซี่ยได้อย่างไร เจ้าคิดว่าอย่างไรบ้าง?”
สีหน้าของเหลียงชิวฉานซีดขาวในพริบตาเดียว
หลินเจี้ยนหรูยิ้มๆ แล้วพูดอีก “ตอนนั้นข้าเป็นเพียงจู้จี จะสังหารหลินเซี่ยได้อย่างไร? แต่ศิษย์พี่อยู่ขั้นเจี๋ยตันมานานมากแล้ว ทำลายจุดตันเถียนของหลินเซี่ยในตอนนั้นเป็นเรื่องง่ายดาย และในคืนนั้นจีหย่งฟางเห็นด้วยตาตนเองว่าหลังจากหลินเซี่ยกินยาไป ศิษย์พี่อยู่ในห้องของเขา เจ้าคิดว่าจีหย่งฟางจะเชื่อว่าเจ้าบริสุทธิ์ได้หรือ?”
ร่างของเหลียงชิวฉานเริ่มสั่นเล็กน้อยแล้ว
แต่ก่อนนี้นางอาศัยความเป็นศิษย์พี่ต่อว่าพวกจีหย่งฟาง พี่น้องตระกูลจีแอบไม่พอใจนางมานานแล้ว หากไม่ใช่เพราะนางเป็นศิษย์สายตรงของหัวชิง เกรงว่าจีหย่งฟางคงไม่เห็นนางอยู่ในสายตา จีหย่งฟางจะเชื่อได้อย่างไรว่านางเป็นผู้บริสุทธิ์? คนผู้นั้นต้องไม่สนว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ย่อมต้องอาศัยโอกาสนี้เหยียบนางไว้ใต้เท้า!
ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องที่หลินเจี้ยนหรูพูดไม่มีช่องโหว่เลย!
“ถึงแม้แม่ลูกตระกูลจีจะเชื่อ แต่อาจารย์ต้องไม่เชื่อ!” นางตะโกนขึ้นมา ไม่รู้ว่าเพราะกลัวหรือเพราะออกแรงมากไป ร่างนั้นจึงโค้งงอไปข้างหน้า
“ทำไมจะไม่เชื่อ?” หลินเจี้ยนหรูพูด “มีร่างที่ไม่สมบูรณ์ของเจ้าเป็นหลักฐาน ไม่มีคนใดไม่เชื่อหรอก ถึงแม้คนนอกอาจสงสัย แต่พวกจีหมิ่นจวินสามแม่ลูกต้องเก็บงำความสงสัยไว้ แล้วทำให้มันกลายเป็นเรื่องจริงแน่ เจ้าคิดว่าจีหมิ่นจวินไม่คิดทำร้ายเจ้าสำนักหรือ? มีโอกาสตบหน้าหัวชิงแบบนี้ กลบฝังศิษย์รักของเขาไป นางจะไม่ทำได้อย่างไรเล่า?”
เข่าทั้งสองของเหลียงชิวฉานอ่อนแรงจนตัวทรุดลงคุกเข่า ซบหน้าร้องไห้
แต่เสียงนางร้องไห้ยิ่งแหบแห้งขึ้นเรื่อยๆ เสียงดังตรงออกมาจากปอด เหมือนมีมีดทิ่มแทงทะลุคอแล้วคว้านอวัยวะตันทั้งห้า
“ทำไมเจ้าต้องทำกับข้าแบบนี้!”
ดวงตาเบิกกว้างทั้งสองของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ทั้งร่างสั่นไม่หยุดราวกับยอดใบไม้แห้งกลางลมหนาว
……………………………………………………………
[1] ต้นซานหู หรือ Sweet Viburnum เป็นต้นไม้ขนาดเล็กที่นิยมใช้จัดสวนในแถบทวีปเอเชีย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น