ลำนำบุปผาพิษ 1289-1294
บทที่ 1289 ผลลัพธ์คืออีกฝ่ายตระบัดสัตย์!
คนบางพวกที่คลั่งไคล้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายถึงขั้นที่รู้สึกว่าควรจะมอบบทเรียนให้กู้ซีจิ่วสักหน่อย ให้นางกลืนไม่เข้าคายไม่ออกจากการกระทำเช่นนี้ บางคนถึงขั้นที่วางแผนไว้ว่าภายหน้าหากพบกู้ซีจิ่วจะลอบสังหารเสีย แต่ประโยคสุดท้ายของมู่เฟิงก็ทำให้พวกเขาล้มเลิกความคิดนี้ไป
เป็นศัตรูกับกู้ซีจิ่วเท่ากับเป็นศัตรูกับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ข้อหาเช่นนี้หล่นใส่หัวผู้ใดล้วนถึงแก่ชีวิตทั้งสิ้น ดังนั้นความคิดเช่นนี้เพิ่งจะแวบเข้ามาได้ครู่เดียวก็สลายไปทันที
ท่ามกลางคนเหล่านี้ผู้ที่เดือดดาลที่สุดก็คือกู้เซี่ยเทียน!
สามเดือนก่อนบุตรสาวเขาใช้ชีวิตอยู่ที่วังค้ำนภาตลอด เขาต่อสู้แย่งชิงอยู่เนิ่นนาน ถึงแย่งเวลาให้บุตรสาวกลับมาอยู่ที่บ้านได้ครึ่งเดือน ผลคือเพิ่งกลับบ้านได้ห้าวันบุตรสาวก็หายไปอีกแล้ว!
เขาไปทวงถามคนที่วังค้ำนภาก็บอกว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมีดุลพินิจของตัวเอง จะส่งคนกลับมาก่อนถึงงานวิวาห์
ผลลัพธ์น่ะหรือ?! ผลลัพธ์คืออีกฝ่ายตระบัดสัตย์!
ไม่เพียงแต่ไม่ส่งบุตรสาวกลับมาเท่านั้น วันนี้ยังประกาศยกเลิกงานวิวาห์อีกด้วย! ยิ่งไปกว่านั้นคือบุตรสาวของเขายังไร้วี่แววเช่นเดิม! นี่ทำให้ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว…
อารมณ์ของกู้เซี่ยเทียนปะทุเดือดดาลมากจริงๆ หลายวันมานี้เขามีความคิดเห็นต่อทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมานานแล้ว เพียงแต่เนื่องจากฐานะของอีกฝ่ายสูงส่งเกินไป และบุตรสาวก็กำลังจะออกเรือนกับผู้อื่น เขาจึงทำได้เพียงข่มเพลิงโทสะไว้ ไปขอร้องอย่างนอบน้อมทุกวัน
กลับนึกไม่ถึงว่าสุดท้ายผลลัพธ์จะกลายเป็นเช่นนี้ กู้เซี่ยเทียนโกรธจนสมองแทบจะโง่งมไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงตรงไปทวงคนที่วังค้ำนภา พูดจาอย่างไม่เกรงใจยิ่งนัก “ในเมื่อธิดาข้ากับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายถอนหมั้นกันแล้ว เช่นนั้นก็เป็นธิดาข้าที่ไร้วาสนา โปรดส่งตัวธิดาข้าคืนมาเถิด อย่าได้อาศัยอำนาจของวังค้ำนภามารังแกประชาชนอย่างพวกเราเลย…”
แต่ถ้อยคำเหล่านี้ของเขาก็ทำได้เพียงเอ่ยต่อยามเฝ้าประตูของวังค้ำนภาเท่านั้น ไม่ได้รับการอนุญาตจากตี้ฝูอี เขาก็เข้าไปในวังค้ำนภาไม่ได้ และตี้ฝูอีก็ไม่ออกมาพบเขาเลยจริงๆ
แน่นอนว่าไม่ปล่อยคนมาด้วย ไม่ให้เขาได้พบหน้าบุตรสาว
เขาตัดสินใจจะบุกเข้าไป ผลคือแม้แต่ยามเฝ้าประตูเขาก็สู้ไม่ได้…
วิธีที่ยามเฝ้าประตูใช้รับมือกับเขาเพียงสองกระบวนท่าเท่านั้น ยามที่เขาด่าทอยามเฝ้าประตูจะแสร้งทำเป็นหูหนวกเสีย ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น เมื่อเขาจะบุกเข้าไปก็สกัดเขาไว้ ทำให้แม้แต่เท้าข้างหนึ่งของเขาก็ยื่นเข้าไปไม่ได้
แน่นอน เห็นได้ชัดว่ายามเฝ้าประตูได้รับคำสั่งบางอย่างมา จึงไม่ได้ทำร้ายกู้เซี่ยเทียน เพียงควบคุมเขาด้วยการโยนออกไปให้ไกลหน่อยก็จบเรื่องแล้ว
กู้เซี่ยเทียนก็ทุ่มสุดตัวเหมือนกัน เดิมทีเขาก็มีฐานะเป็นนักเลงหัวไม้มาก่อนอยู่แล้ว ยามนี้เมื่อตกอยู่ภายใต้ความโกรธขึง จึงงัดฝีมืออาละวาดโวยวายในอดีตออกมา ถูกโยนออกไปก็กลับมาอีก ปะทะกันครั้งแล้วครั้งเล่า ถูกโยนออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า…
เขาเพียรพยามอย่างไร้ประโยชน์เช่นนี้อยู่จนถึงพลบค่ำ จากนั้นก็ได้พบกับหลงซือเย่ที่ได้ยินข่าวจึงเดินทางมา กู้เซี่ยเทียนมอมแมมเขรอะฝุ่นอยู่ เมื่อพบเขาก็ราวกับพบดาวนำโชค เล่าเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบออกมาอย่างโกรธเคือง จากนั้นก็พูดจุดประสงค์ของเขา ว่าเขาแค่อยากรับตัวบุตรสาวกลับบ้าน
หลงซือเย่ฟังอยู่เงียบๆ จนกู้เซี่ยเทียนเล่าจบ จากนั้นก็ให้ยามเฝ้าประตูเข้าไปรายงาน บอกว่าเจ้าสำนักถามสวรรค์มาขอพบ มีธุระที่เกี่ยวข้องกับกิจของสานุศิษย์สวรรค์ต้องหารือ
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเคยสั่งไว้นานแล้ว ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสานุศิษย์สวรรค์จะต้องรายงานให้ทราบทันที ไม่อาจมีความล่าช้าใดๆ ได้ ดังนั้นยามเฝ้าประตูจึงรีบวิ่งเข้าไปรายงานทันที สักพักก็ออกมา เชิญหลงซือเย่เข้าไป
กู้เซี่ยเทียนก็อยากตามเข้าไปด้วย แน่นอนว่าถูกยามเฝ้าประตูขวางเอาไว้
หลงซือเย่เอ่ยปลอบกู้เซี่ยเทียน บอกว่าหลังจากเขาเข้าไปแล้วจะซักถามเรื่องราวให้กระจ่างแจ้งชัดเจน ให้กู้เซี่ยเทียนสงบใจรอก่อน
กู้เซี่ยเทียนไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงรออยู่ด้านนอกต่อไป
เหมือนในอดีตที่ผ่านมา หลงซือเย่พบตี้ฝูอีรออยู่ในโถงรับรองแขก ทันทีที่เขาเห็นตี้ฝูอีก็ตะลึงไปเล็กน้อย ตี้ฝูอีดูซูบผอมลงไม่น้อย สวมอาภรณ์ขาวที่หลวมโพรกนั่งอยู่ตรงนั้น
————————————————————————————-
บทที่ 1290 เพราะข้ามีความสามารถมากกว่าเจ้า
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเสื้อผ้ายังคงเป็นระเบียบเรียบร้อย สีหน้าก็สงบนิ่งยิ่งนัก แต่กลับทำให้คนรู้สึกถึงความไร้ชีวิตไร้ชีวาอย่างหนึ่ง
ตี้ฝูอีไม่ได้ทักทายเขา พูดจาเข้าประเด็นเลย “เจ้าพบสานุศิษย์สวรรค์คนใหม่แล้วหรือ?”
หลงซือเย่ไม่ตอบซ้ำยังถามกลับ “สรุปแล้วเจ้าสองคนเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ซีจิ่วล่ะ?”
ใบหน้าหล่อเหลาของตี้ฝูอีขรึมลงเล็กน้อย “เจ้าใช้กิจของสานุศิษย์เป็นข้ออ้าง เพื่อมาถามคำถามไร้สาระไม่กี่ประโยคหรือ?”
เมื่อสีหน้าเขาเคร่งขรึม พลังอำนาจก็เพิ่มสูงขึ้นยิ่งนัก ทว่าหลงซือเย่กลับไม่เกรงกลัวเขา และยิ้มหยันพลางเอ่ยว่า “ข้ามีเรื่องของสานุศิษย์สวรรค์อยู่บ้างจริงๆ เพียงแต่ข้ากังวลเรื่องของซีจิ่วมากว่า หลายวันก่อนข้าเคยติดต่อกับนาง ติดต่อไม่ได้อยู่ตลอดเวลา นกสืบรอยก็หาร่องรอยของนางไม่พบ เจ้าบอกข้ามาตามจริง นางเกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่?”
น้ำเสียงตี้ฝูอีเฉยเมย ทว่าไม่ปิดบังเขา “นางหนีงานแต่งไปแล้ว”
หลงซือเย่ตัวแข็งทื่อทันที เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อ “จะเป็นไปได้ยังไง?! นางชอบเจ้าถึงเพียงนั้น ปักใจอยากออกเรือนกับเจ้า เป็นไปได้อย่างไรที่จะหนีงานแต่ง? ระหว่างพวกเจ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
จู่ๆ ก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ “สาเหตุมาจากเรื่องร่างเดิมของซีจิ่วใช่หรือไม่? อันที่จริงข้าไม่เข้าใจยิ่งนัก เพราะเหตุใดเจ้าถึงไม่สลับร่างคืนให้นาง? เจ้าน่าจะรู้ดีว่าตัวยาที่ข้าจะใช้กับนางในตอนนั้นสามารถช่วยให้นางคืนร่างได้จริงๆ สามารถขจัดอาคมที่หลงฟั่นลงไว้ในร่างนางให้นางได้ ทำให้ดวงวิญญาณของนางออกจากร่างโคลนนิ่งร่างนั้นอย่างปลอดภัยได้ ซีจิ่วมีเงามืดต่อร่างโคลนนิ่งเสมอมา อย่าว่าแต่เดิมทีร่างเดิมของนางก็เหนือล้ำกว่าร่างโคลนนิ่งอยู่แล้วเลย ต่อให้คุณสมบัติดั้งเดิมของร่างโคลนนิ่งมีพลังวิญญาณขั้นเก้า ส่วนร่างเดิมของนางมีพลังวิญญาณขั้นหก นางก็จะละทิ้งร่างโคลนนิ่งเสมือนสลัดรองเท้าขาดๆ ทิ้งไป นางถึงขั้นที่ค่อนข้างชิงชังร่างโคลนนิ่งด้วยซ้ำ นางคิดว่านั่นเป็นอาชญกรรมที่ต่อต้านมนุษยชาติ…”
ตี้ฝูอีไม่พูดอะไร บางเรื่องเขาก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายต่อหลงซือเย่
หลงซือเย่พูดไปมากมายถึงเพียงนี้ก็ยังไม่ได้รับการอธิบายกลับมาจากตี้ฝูอี จึงโมโหยิ่งขึ้น กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ตี้ฝูอี ข้าขอถามเจ้า วันนี้เจ้ายกเลิกพิธีวิวาห์กับนาง เพราะคิดจะทอดทิ้งนางแล้วใช่ไหม?”
ตี้ฝูอีเงยหน้าขึ้นตอบอย่างเยียบเย็น “ยกเลิกเพียงพิธีวิวาห์เท่านั้น!” เขาไม่ได้ยกเลิกสัญญาหมั้นหมาย ส่วนสัญญาหมั้นหมายจะยกเลิกหรือไม่นั้น เขารอให้ตามหานางพบแล้วค่อยว่ากัน
น้ำเสียงหลงซือเย่ก็เยียบเย็นเช่นกัน “ข้าไม่สนว่าสรุปแล้วระหว่างพวกเจ้าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ในเมื่อนางเลือกที่จะหนีงานแต่ง นั่นพิสูจน์ได้ว่านางไม่อยากออกเรือนกับเจ้าจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การถอนตัวของข้าก็ไม่มีความหมายแล้ว ข้าจะต่อสู้แย่งชิงนางอีกครั้ง!”
ตี้ฝูอีสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง เอ่ยเพียงสามคำ “ตามสบาย”
หลงซือเย่ถูกตอกกลับจนพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง “เรื่องนี้ละไว้ก่อน ถึงแม้นางจะหนีงานแต่งไป แต่ข้าไม่เชื่อว่าด้วยความสามารถในการหาตัวคนของเจ้าจะหาตัวนางไม่พบ ตอนนี้นางอยู่ที่ไหน? ข้าต้องการพบนางก่อน”
ตี้ฝูอีตอบอย่างเย็นชา “ถ้าหากข้ารู้ว่านางอยู่ที่ไหน ยังจะยกเลิกงานวิวาห์ครั้งนี้หรือ?”
หลงซือเย่นิ่งงัน
สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนแล้ว เขาทราบความสามารถในการหาตัวคนของตี้ฝูอีดี ขอเพียงเป็นคนที่เขาต้องการตามหาไม่มีทางหาไม่พบ หากว่าแม้แต่เขาเองก็อับจนหนทางเหมือนกัน…
“นางเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นหรือ?!? ถูกโม่เจ้าหรือไม่ก็หลงฟั่นจับตัวไปหรือเปล่า?!” หลงซือเย่คาดเดา
“นางยังมีชีวิตอยู่ ไม่ได้ถูกโม่เจ้ากับหลงฟั่นจับไป เนื่องจากยามนี้สองคนนั้นเป็นโพธิสัตว์ข้ามคงคา ยากจะปกปักษ์ตนได้[1] ไม่สามารถจับตัวนางได้”
หลงซือเย่คลางแคลง “เจ้ารู้ได้ยังไง?”
“เพราะข้ามีความสามารถมากกว่าเจ้า” ตี้ฝูอีตอบอย่างยั่วโมโหคนแล้วไม่ยอมชดใช้
เรื่องเหล่านี้ที่หลงซือเย่คิดได้เขากคิดได้ก่อนนานแล้ว ดังนั้นเขาจึงเคยไปพยาการณ์ดวงดาวมาก่อน มองเห็นว่าดาวดวงนั้นที่เป็นตัวแทนของกู้ซีจิ่วยังคงส่องสว่างอยู่ ไม่ได้ถูกดาวตัวแทนของโม่จ้าวหรือว่าหลงฟั่นห้อมล้อม…
————————————————————————————-
[1] โพธิสัตว์ข้ามคงคา ยากจะปกปักตนได้ หมายถึง เอาตัวเองยังไม่รอดแล้วจะไปยุ่งอะไรกับใครได้
บทที่ 1291 นางเข้าไปไม่ได้หรอก!
ต้องทราบก่อนว่าครั้งก่อนตอนที่กู้ซีจิ่วตกอยู่ในกำมือของพวกเขา ดาวดวงน้อยที่เป็นตัวแทนของนางถูกแสงของดาวสองดวงนั้นกลบไว้ มองปราดเดียวก็รู้ว่าถูกพวกเขาจับไว้
แต่หนนี้ดวงดาวที่เป็นตัวแทนของโม่เจ้ากับหลงฟั่นหม่นแสงยิ่งนัก ยืนยันได้ว่าครั้งนี้พวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสยิ่ง ไม่อาจฟื้นฟูได้ภายในสิบปียี่สิบปี ย่อมไม่ควรค่าให้กังวล
หลงซือเย่ถูกประโยคนี้ของเขาทำให้โมโหไม่น้อย มีความคิดว่าอยากจะขว้างก้อนอิฐใส่เขาสักครา!
เพียงแต่ในเมื่อเขากล่าวมาอย่างมั่นใจถึงเพียงนี้ ก็น่าจะมีความแน่ใจอยู่
ขอเพียงเธอยังมีชีวิตอยู่ดี ไม่ตกอยู่ในกำมือของหลงฟั่นหรือว่าโม่เจ้าก็ดีแล้ว…
จู่ๆ เขาก็นึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งขึ้นมา “หรือว่านางจะตกอยู่ในกำมือของผู้อื่น?! ถึงอย่างไรนางก็มีคู่แค้นอยู่ไม่น้อย ต่อให้มิใช่โม่เจ้ากับหลงฟั่นที่จับตัวนางไป แต่ยากจะรับประกันได้ว่าลูกน้องของพวกเจ้าจะไปจับนางไปเพื่อล้างแค้น…”
ตี้ฝูอีเม้มปากนิดๆ “ครั้งนี้ถึงแม้นางจะหายตัวไป แต่มิได้มีอันตราย ถมยังมีความเป็นอยู่ดียิ่ง ร่มเย็นนัก” เรื่องเหล่านี้สามารถมองเห็นผ่านดวงดาวได้
เมื่อหลงซือเย่ได้ยินวาจานี้ก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง ขอเพียงเธอมีชีวิตอยู่ดี แบบนั้นก็ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าสิ่งใดแล้ว
ทุกอย่างล้วนต้องหาเธอให้เจอก่อนแล้วค่อยว่ากัน
เขาซักถามอีกว่าตี้ฝูอีเคยไปค้นหาที่ไหนมาแล้วบ้าง ตี้ฝูอีก็ไม่ปิดบังเขา เล่าออกมารอบหนึ่ง
หลงซือเย่เงียบไปครู่หนึ่ง “เจ้าบอกว่าร่องรอยของนางหายไปในป่าทมิฬหรือ? ถ้ายอดเขาที่เจ็ดไล่ลงมาล้วนเคยค้นหาหมดแล้ว เหตุใดไม่ไปค้นหาที่ยอดเขาที่แปดดูล่ะ? ไม่แน่นางอาจจะจับผลัดจับผลูทะลุเข้าไปในนั้นก็ได้นะ?”
ตี้ฝูอีส่ายหน้า “นางเข้าไปไม่ได้หรอก!”
หลงซือเย่เลิกคิ้ว “หมายความว่ายังไง?”
ตี้ฝูอีมองเขาอย่างเยียบเย็น “หลงซือเย่ หลายปีมานี้เจ้าเคยบุกไปยังยอดเขาที่แปดเก้าครั้งแล้วใช่หรือไม่?”
หลงซือเย่ตะลึงงัน เอ่ยอย่างประหลาดใจ “เจ้ารู้ได้ยังไง?” เขาเคยสนใจใคร่รู้ในยอดเขาที่แปดมาก่อนจริงๆ คิดจะบุกเข้าไปดูเสียหน่อย แต่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์สั่งห้ามเอาไว้ ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าสู่ยอดเขาที่แปด ดังนั้นที่เขาบุกไปหลายครั้งนั้นล้วนเป็นการแอบไป แม้แต่ศิษย์ในสำนักยังไม่เคยรู้เลย
แล้วตี้ฝูอีไปรู้มาจากไหน? ซ้ำยังรู้แจ่มแจ้งถึงเพียงนี้ด้วย!
ตี้ฝูอีได้ตอบคำถามเขา ย้อนถามต่ออีก “การบุกเข้าไปเก้าครั้งนี้ของเจ้าบุกไปในทิศทางที่ต่างกันออกไป แล้วเข้าไปได้หรือไม่?”
หลงซือเย่เงียบงัน ยามนั้นเพื่อที่จะบุกเข้าไปแม้แต่ผังทิศทางแปดทิศเขาล้วนลองดูแล้ว แม้แต่ด้านบนเขาก็ไม่ปล่อยผ่านเช่นกัน ผลคือสถานที่แห่งนั้นยังคงเสมือนแผ่นเหล็ก แม้กระทั่งซอกหลือบสักซอกเขาก็แงะให้เปิดออกไม่ได้
ด้วยฝีมือเช่นนี้ของเขายังไม่อาจบุกเข้าไปได้ นับประสาอะไรกับกู้ซีจิ่วเล่า…
เขตแดนของยอดเขาที่แปดร่ำลือกันว่าในยุครุ่งเรืองเมื่อหลายพันปีก่อนท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ร่วมมือกับยอดฝีมือคนอื่นๆ ติดตั้งเอาไว้ กล่าวกันว่าได้ผนึกสัตว์มารที่ดุร้ายที่สุดของทวีปนี้ไว้บางส่วน หากปล่อยออกมาจะก่อภัยพิบัติแก่ทั้งใต้หล้าได้ ดังนั้นเขตแดนของที่นั่นจึงแข็งแกร่งยิ่งนัก ต่อให้เป้นยอดฝีมือที่ทรงพลังทำลายล้างโลกได้ก็ไม่อาจทลายที่นั่นให้แตกได้ นอกเสียจากท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะลงมือด้วยตัวเอง…
เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นข่าวลือที่เกี่ยวข้องกับยอดเขาที่แปด ยามนั้นหลงซือเย่ยังอายุน้อยเลือดร้อนจึงลอบบุกไปอยู่หลายครั้ง หลังจากบุกเข้าไปจากทุกทิศทางแล้วก็ยังล้มเหลวอยู่ในที่สุดจึงถอดใจไม่ไปอีกเลย
เขานึกว่าเขากระทำการได้อย่างเทพไม่รู้ผีไม่เห็นแล้ว บนโลกนี้ไม่มีผู้ใดทราบเรื่อง นึกไม่ถึงว่าตี้ฝูอีจะทราบแจ่มแจ้งถึงเพียงนี้!
เขามองตี้ฝูอีอย่างแคลงใจ น้ำเสียงของตี้ฝูเยือกเย็น “ไม่จำเป็นต้องสงสัย ผู้ใดบุกเข้าไปที่นั่นข้าล้วนสัมผัสได้ทั้งสิ้น”
กล่าวอีกนัยคือ หากว่ากู้ซีจิ่วพลัดหลงเข้าไปในยอดเขาที่แปด ตี้ฝูอีก็สามารถสัมผัสรับรู้ได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้แต่หลงซือเย่เองก็นึกไม่ออกแล้วว่าที่แท้กู้ซีจิ่วไปหลบอยู่ที่ไหนกันแน่
หรือว่ากู้ซีจิ่วจะพบสถานที่ที่เหมือนกับตำหนักใต้ลาวาเข้าโดยบังเอิญแล้วเข้าไปหลบซ่อน?
ยามที่หลงซือเย่จะจากไป ตี้ฝูอีได้เอ่ยกำชับเขาสองสามประโยค
————————————————————————————-
บทที่ 1292 แต่กลับโดนเธอเท…
ยามที่หลงซือเย่จะจากไป ตี้ฝูอีได้เอ่ยกำชับเขาสองสามประโยค ข้อหนึ่งคือห้ามเผยแพร่ข่าวที่กู้ซีจิ่วหายตัวไป กันไม่ให้คนมีจิตคิดไม่ซื่อได้ยินแล้วไปลอบปองร้ายนาง แม้แต่กู้เซี่ยเทียนก็ห้ามบอก
หลงซือเย่ปวดหัวยิ่งนัก “กู้เซี่ยเทียนยังคงรออยู่ข้างนอก เจ้าควรให้คำอธิบายสักอย่างแก่เขานะ”
ตี้ฝูอีกล่าวเรียบๆ ว่า “บอกไปว่าข้าอับอายที่ถูกถอนหมั้นจนโมโห ส่งนางไปฝึกฝน ณ สถานที่แห่งหนึ่ง วันหน้าพวกเขาสองพ่อลูกยังมีโอกาสได้พบกันอยู่ ให้เขาใช้ชีวิตดีๆ”
หลงซือเย่ตะลึง
เขารู้สึกได้ว่าในประโยคนี้ของตี้ฝูอีคล้ายจะแฝงความลับสวรรค์ไว้ ทว่านึกไม่ออกชั่วขณะว่าเป็นความลับอะไร นิ่งไปครู่หนึ่ง จู่ๆก็แอ่ยขึ้นมา “ซีจิ่วเป็นดวงวิญญาณจากยุคปัจจุบัน ร่างกายในยามนี้เป็นร่างโคลนนิ่ง ว่ากันตามเหตุผลแล้วไม่เกี่ยวข้องกับกู้เซี่ยเทียนสักนิดเลยมิใช่หรือ? เขาไม่สมควรได้เป็นบิดาของนาง…”
ตี้ฝูอีกล่าวตอบ “นางเป็นบุตรสาวของเขา ข้อนี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้”
หลงซือเย่ใจเต้นแวบหนึ่ง “ความหมายของเจ้าคือเดิมทีซีจิ่วก็เป็นบุตรสาวแม่ทัพที่ไร้ค่าคนนั้นอยู่แล้วงั้นหรือ? มิได้ง่ายดายเพียงยืมร่างคืนวิญญาณใช่หรือไม่? ไม่ถูกสิ นางเป็นคนยุคปัจจุบัน นางทะลุมิติมาเหมือนข้าชัดๆ…”
ตี้ฝูอีกลับไม่คิดจะพูดต่อแล้ว เอ่ยถามเพียงประโยคเดียว “เจ้ายังไม่ไสหัวไปอีกหรือ?”
….
ถึงแม้ว่าคืนนี้กู้ซีจิ่วจะดื่มจนเมามาย แต่เธอก็ไม่ได้เมาแล้วอาละวาด หลังจากกลับถึงเรือนตน ล้มตัวลงบนเตียง้ผล็อยหลับไป ตอนที่หลับไปนี้ก็ไม่ทราบว่าเป็นยามอะไรแล้ว
บางทีอาจเป็นเพราะคืนนี้สมควรเป็นคืนเข้าหอของตน ดังนั้นกลางวันคิดคำนึง กลางคืนจึงใฝ่ฝันหา เธอฝันว่าได้กลับไปที่วังค้ำนภาอีกครั้ง
เธอมองเห็นบ่าวไพร่เช่นที่ผ่านมา มอเห็นตำหนักที่ค่อนข้างเปลี่ยวร้างอยู่บ้าง
ตอนเธอจากไป ตำหนักพวกนี้เริ่มปรับปรุงตกแต่งแล้ว ประดับประดาผ้าไหมแดง มองปราดเดียวว่าจะจัดงานมงคลอย่างยิ่งใหญ่
แต่เมื่อเธอกลับมาหนนี้พบว่าข้าวของที่แสดงถึงความเป็นมงคลพวกนั้นหายไปแล้ว อาคารกลับสู่สภาพเดิมอย่างที่เคยเป็น
บ่าวไพร่ก็เดินเหินกันเบายิ่งนัก ราวกับเกรงว่าจะทำให้ผู้ใดตกใจหรือว่าไปยั่วยุผู้ใดเข้า พูดคุยกันก็กระซิบกระซาบเอาเช่นกัน
เนื่องจากคนเหล่านี้มองไม่เห็นเธอ ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงติดตามพวกเขาไปสักครู่หนึ่ง ได้ยินว่าพิธีวิวาห์ถูกยกเลิกอย่างที่คาดไว้จริงๆ…
คนเหล่านี้ย่อมรู้สึกไม่ยุติธรรมแทนเจ้านายของบ้านตน ถ้อยคำยามที่กล่าวถึงกู้ซีจิ่วจึงแฝงความคับข้องใจเอาไว้บางส่วน บอกว่าเป็นเพราะเธอจงใจหนีงานแต่ง ทำให้ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายต้องขายหน้า ส่วนท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็ยังคงปรารถนาดีต่อนาง ไม่ได้พูดเรื่องที่เธอหนีงานแต่งไป…
เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้ได้ยินถ้อยคำที่มู่เฟิงแถลงบนแท่นเบิกสวรรค์ และทราบความจริงบางส่วนมากกว่าคนนอก ในวาจาจึงแฝงความเป็นธรรมไว้ยิ่งนัก
จากนั้นก็กล่าวว่าหลายวันมานี้เพื่อตามหาเธอแล้วท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอดหลับอดนอนมาหลายคืนแล้ว ค้นหาจนแทบพลิกฟ้าพลิกดิน ผลคือยังคงคว้าน้ำเหลวเช่นเดิม ความกระทบกระเทือนเช่นนี้เห็นชัดว่าส่งผลต่อท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายยิ่งนัก ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่สง่างามอิสระเสรีเสมอมาซูบผอมลงไม่น้อยเลย…
คนเหล่านี้คุยกันอยู่ตรงนี้ ส่วนกู้ซีจิ่วก็ฟังอยู่ด้านข้าง ในที่สุดก็ทราบว่าตี้ฝูอีประกาศยกเลิกงานแต่งในวันวิวาห์…
ดูเหมือนเขาจะอับจนหนทางแล้วจริงๆ ถึงได้ประกาศเรื่องนี้
กู้ซีจิ่วขบเม้มริมฝีปากบางเบาๆ เธอรู้ว่าเขาจะตามหาเธอ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะหาจนถึงวันสุดท้ายถึงค่อยประกาศเรื่องนี้ ยิ่งคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะตามหาอย่าคลั่งถึงเพียงนี้
เธอรู้ว่าเขารักเธอ เพียงความรักนี้เสมือนการชดเชย ทำให้เธอทุกข์ใจเหมือนมีหนามยอกหลังอยู่
เขาจะเป็นทุกข์มากไหมนะ?
ถึงอย่างไรเขาก็จัดเตรียมงานวิวาห์อย่างยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ แต่กลับโดนเธอเท…
เธอหลับตาลงเล็กน้อย สะกดกลั้นอารมณ์ที่สับสนวุ่นวาย ได้ยินเสียงฝีเท้าแว่วขึ้นเบาๆ ที่ด้านหน้า เธอจึงเงยหน้าขึ้น ได้เห็นมู่เฟิงกับหลงซือเย่เดินออกมาจากโถงใหญ่
บทที่ 1293 ไม่รู้ว่าห้องหอนั้นจะยังอยู่หรือไม่?
กู้ซีจิ่วนึกไม่ถึงเลยว่าจะได้พบหลงซือเย่ที่นี่เธอเข้าไปแอบในพุ่มดอกไม้ตามสัญชาตญาณ
หลังจากแอบดีแล้วจู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าผู้คนที่นี่มองไม่เห็นเธอ…
พวกหลงซือเย่ทั้งสองมองไม่เห็นเธอจริงๆ เดินผ่านหน้าพุ่มดอกไม้ที่เธอซ่อนอยู่ไปเลย ไม่หันมามองเลยสักแวบ
เห็นได้ชัดว่าสองคนนี้มีเรื่องในใจ ระหว่างเดินก็ไม่คุยกันเท่าไหร่ เดินผ่านไปเช่นนี้เลย
บรรยากาศของทั้งวังค้ำนภาเงียบเหงาวังเวงยิ่ง แตกต่างจากความคึกคักตอนกู้ซีจิ่วมาเมื่อหลายวันก่อนลิบลับ
กู้ซีจิ่วยืนอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง ระหว่างนี้ก็มีคนอีกมากมายเดินผ่านเธอไปอย่างเร่งรีบ ยังคงไม่มีใครมองเธอเลยสักแวบ
นี่ตนอยู่ในความฝันหรือว่าถอดวิญญาณมากันแน่?
กู้ซีจิ่วเองก็ชักจะงุนงงขึ้นมาบ้างแล้ว เธอจำได้ว่าตนดื่มสุราอยู่ในหมู่บ้านแห่งนั้น ต่อมาก็กลับเรือนแล้วหลับไป แล้วทำไมจู่ๆ ถึงแล่นมาที่นี่ได้ล่ะ?
เธอมองไปรอบๆ ความคิดหนึ่งแวบขึ้นมาในใจ
โถงพิธีรื้อแล้ว แพรมงคลแกะแล้ว ไม่รู้ว่าห้องหอนั้นจะยังอยู่หรือไม่?
บางทีอาจกลับสู่สภาพเดิมแล้วกระมัง?
เสียดายแค่เธอยังไม่ได้เห็นการตกแต่งในนั้นก็…
ความคิดเธอเพิ่งจะแล่นมาถึงตรงนี้ ก็พบว่าร่างของตนอยู่ในห้องหอสีแดงชาดแล้ว
เธอตะลึงไปหลายวินาที เพ่งพินิจรอบข้างอย่างอดไม่ได้
การตกแต่งภายในห้องหอประณีตงดงาม เหนือล้ำกว่าจินตนาการของเธอ
มีเครื่องเรือนไม้ที่ดูเรียบง่ายงามสง่า ไม้ชนิดนั้นเธอไม่เคยพบเห็นในป่ามาก่อน มีลายสีดำที่งดงามยิ่ง ภายใต้แสงสะท้อนของมุกราตรีที่อยู่บนโต๊ะลวดลายดูราวกับคลื่นวารีรินไหล
ตรงทางเข้าเป็นฉากกั้นลมทิวทัศน์ขุนเขาสายธารบานหนึ่ง บนฉากกั้นลมเห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเป็นเพียงภาพวาด แต่กลับมีมิติยิ่ง แฝงไอวิญญาณคล้ายขุนเขาสายธารของจริง หมอกล่องลอยยู่ในอากาศ ทำให้คนมองแวบเดียวก็ดื่มด่ำลืมทุกข์ ราวกับอีกก้าวเดียวก็สามารถเข้าสู่ขุนเขาเขียวขจีธาราสีหยกได้แล้ว
ใต้เท้าปูพรมสีแดงเข้มผืนใหญ่ ทว่าสีแดงนั้นไม่ฉูดฉาด พรมอ่อนนุ่มดุจเมฆา เมื่อคนเหยียบย่างจะเสมือนย่ำอยู่บนเมฆาแดง
บนโต๊ะเล็กมีเปลือกหอยแก้วผลึกอยู่อันหนึ่ง ในเปลือกหอยมีมุกราตรีสีชมพูระเรื่อทอแสงสลัวๆ อยู่ เพิ่มบรรยากาศฟุ้งๆ เหมือนห้วงฝันให้แก่ทั้งห้อง
ในห้องนี้สิ่งที่สะดุดตาที่สุดยังคงเป็นเตียงมงคลหลังนั้น มีขนาดใหญ่กว่าเตียงคู่แบบปกติถึงสองเท่า ถึงแม้ม่านเตียงจะเป็นสีแดงเข้มเช่นกัน ก็พลิ้วบางล่องลอยสลัวเลือนราง บางครั้งเมื่อสายลมโชยผ่าน ม่านเตียงที่เสมือนเมฆาแดงนั้นก็จะโบกไสวขึ้นลง บนม่านเตียงที่เสมือนเมฆาแดงมีพู่ระย้าอยู่ พู่ระย้าใช้ไข่มุกที่มีขนาดเล็กเสมอกันมาร้อยเรียงเข้าด้วยกัน กลายเป็นลวดลายยวนยางเคล้าคลอ
กู้ซีจิ่วก้าวไปที่เตียงหลังนั้นช้าๆ เธอจำเตียงหลังนี้ได้ ตี้ฝูอีเคยวาดภาพตัวอย่างของเตียงหลังนี้ในอาณาจักรบาดาลของชาวเงือกเพื่อสั่งทำ ในที่สุดตอนนี้เธอก็ได้เห็นของจริงแล้ว
กระดานเตียงเป็นหยกสีแดงอมชมพูกึ่งโปร่งแสงชนิดหนึ่ง ด้านบนฉลุลายเมฆาอย่างประณีต ทั้งเตียงให้ความรู้สึกสบายอย่างยิ่งแก่ผู้คน
เธอยืนอย่างค่อนข้างเหม่อลอยอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง เพราะการสั่งทำเตียงหลังนี้ เธอกับเขาจึงถกเถียงกันอยู่นานสองนาน ตอนนั้นเธอบอกว่าอยากได้เตียงธารา ผลคือเขาบอกว่าเขาจะสั่งทำเตียงที่ใช้ประโยชน์ได้จริงที่สุด…
ยามนี้ดูแล้วงดงามมากจริงๆ…
หัวใจปานจมดิ่งลงไป เธอยื่นมือไปอย่างอดใจไม่อยู่อยากเลิกม่านเตียงออก อยากมองสภาพด้านใน แต่พอยื่นมือออกไปกลับพบเพียงความว่างเปล่า ฝ่ามือทะลุผานม่านเตียงไป ตัวเธอก็ถลาไปด้านหน้า ถลาลงบนเตียง พุ่งใส่ฟูกที่อ่อนนุ่ม ซ้ำยังกลิ้งอยู่ยนนั้นหลายตลบด้วย…
เธอทึ่มทื่ออยู่ครู่หนึ่ง ลุกขึ้นนั่ง ก้มหน้ามองเครื่องนอนใต้ร่างตน
ผ้าห่มใยเงือกลายยวนยางเริงธารา ฟูกผ้าไหมลายมัจฉาแหวกว่ายระหว่างใบบัว ลายเส้นละเอียด เนื้อผ้าอ่อนนุ่ม นุ่มนวลดั่งสายน้ำ อบอุ่นดุจปุยเมฆ
————————————————————————————-
บทที่ 1294 หาใช่หมกมุ่น แต่เป็นความคำนึงที่ซึมลึกถึงกระดูก
เธอเป็นผู้เชี่ยวชาญ ย่อมทราบว่าข้าวของในห้องนี้ล้วนเป็นของชั้นเลิศ ตี้ฝูอีผู้นี้ให้ความสำคัญกับความสมบูรณ์แบบ ข้าวของที่เขารังสรรค์เรียกได้ว่าไร้ที่ติ
เครื่องนอนปูไว้อย่างดี มีผ้านวมเพียงผืนเดียว ชัดเจนยิ่งนัก ในคืนวิวาห์ เดิมทีบ่าวสาวก็ต้องห่มผ้านวมผืนเดียวกันอยู่แล้ว
หากว่าเธอไม่ได้หนีงานแต่ง ยามนี้เธอคงนั่งอยู่หน้าเตียง รอเขามาเปิดผ้าคลุม คล้องแขนดื่มสุรา จากนั้น…
ยื่นมือไปหมายจะสัมผัสผ้านวมใต้ร่างอย่างห้ามใจไม่อยู่ วลีหนึ่งแวบผ่านเข้ามาในสมอง…ผ้านวมแดงพลิกตลบ
มือเธอยังสัมผัสไม่ถูกผ้านวม ก็ลอยขึ้นมาแล้ว ติดอยู่บนยอดม่าน มองเห็นทุกอย่างใต้ร่าง ในใจงุนงงบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร
ขณะที่เธอใจลอยอยู่ ทันใดนั้นบานประตูก็มีเสียงแว่วขึ้นเบาๆ คนผู้หนึ่งผลักประตูเข้ามา
เธอมองออกไปนอกม่านเตียงทันที หัวใจพลันเต้นกระหน่ำขึ้นมา
ผู้ที่เข้ามาคือตี้ฝูอี
เขาสวมชุดเจ้าบ่าวอย่างเป็นทางการ อาภรณ์สีแดงเข้มลากระพื้น ขับให้ดวงหน้าเขากระจ่างดั่งหยก
กู้ซีจิ่วเคยเห็นเขาใส่ชุดม่วงบ้าง ชุดขาวบ้าง น้อยนักที่จะได้เห็นเขาสวมชุดแดง หลงนึกว่าเขาไม่ค่อยเข้ากับสีนี้เท่าไหร่ ที่แท้เมื่อเขาสวมอาภรณ์แดงก็ดูสดใสทรงเสน่ห์ถึงเพียงนี้ สูงศักดิ์ไร้ใดเทียม
กู้ซีจิ่วมองเขาที่อยู่ในชุดเจ้าบ่าวเต็มยศ ประหลาดใจอยู่บ้าง งานแต่งยกเลิกไปแล้ว เขายังสวมชุดเจ้าบ่าวเช่นนี้อีกทำไม?
หลังจากตี้ฝูอีเข้าก็ไม่ได้พบเห็นเธอที่ซ่อนอยู่บนยอดม่าน เขานั่งลงบนเตียงทันที จ้องมองกาสุราชุดหนึ่งบนโต๊ะอย่างเหม่อยลอยสายตาของกู้ซีจิ่วร่อนลงบนกาสุราชุดนั้น นึกออกในทันใดว่ากาสุราชุดนี้เป็นสิ่งที่เมื่อก่อนเธอปรารถนา ยามนั้นตี้ฝูอียังอยู่ในฐานะของเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่ข้างๆ เธอ ยังหยอกเธอเล่นอยู่เลยว่าหากเธอชอบกาสุราชุดนี้ก็ให้หมั้นหมายกับตี้ฝูอี ให้เขาจะมอบกาสุราชุดนี้ให้เป็นของหมั้น
อดีตดั่งเมฆหมอกเลื่อนลอย วาบขึ้นมาในใจเธอ และทำให้หัวใจของเธอบีบรัดในทันใด
เธอแปะอยู่ตรงนั้นเหมือนกระดาษแผ่นหนึ่ง มองเขาอย่างเลื่อนลอย ในใจดั่งมีระลอกคลื่นซัดถาโถม
มีคนกล่าวไว้ว่าสิบปีพลัดพรากแยกจากเป็นตาย แต่เธอกับเขาแยกจากกันเพียงสิบวันเท่านั้น ทว่าความรู้สึกเธอกลับเสมือนแยกจากกันนานสิบปี…
หาใช่หมกมุ่น แต่เป็นความคำนึงที่ซึมลึกถึงกระดูก[1]
ทราบว่านี่คือความฝัน ทราบว่าเขามองไม่เห็นตน ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงเพ่งพิศพินิจเขาอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้ง
ความจริงแล้วเธอทราบว่าตนสมควรจะจากไป ในเมื่อชะตาลิขิตให้ไร้วาสนา ไยจะต้องต้องพัวพันยืดเยื้อไปให้มากความ ในเมื่อตัดขาดทุกอย่างกับเขาแล้ว ก็ไม่ควรจะละโมบในการมองเขาอีกต่อไป
แต่ทราบก็ส่วนทราบ จะทำได้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เธอแปะอยู่ตรงนั้นสองจิตสองใจอยู่พักใหญ่ ยังคงหักใจจากไปไม่ลง
สุดท้ายก็ได้ปลอบใจตัวเอง อย่างไรเสียนี่เป็นความฝัน เธอจะมองเขาให้มากหน่อยแล้วกัน!
เมื่อตื่นจากฝันเธอก็ต้องเผชิญหน้ากับทุกสิ่งในความเป็นจริงแล้ว
ตี้ฝูอีนั่งอยู่ตรงนั้นเนิ่นนานยิ่ง ทำให้กู้ซีจิ่วแทบจะนึกว่าเขานั่งจนกลายเป็นรูปปั้นไปเสียแล้ว นั่งไปตราบฟ้าสิ้นดินสลาย!
โชคดีที่ในที่สุดเขาก็ขยับแล้ว เขายื่นมือไปหยิบกาสุราใบนั้น ตั้งจอกสองใบให้ดี จากนั้นก็รินสุราใส่จอกจนเต็มเปี่ยม หยิบจอกใบหนึ่งขึ้นมา บอกไปที่ด้านตรงข้ามแล้วยิ้มบางๆ “กู้ซีจิ่ว เจ้าไม่มีทางรู้ ว่าข้าตั้งตารอคอยช่วงเวลานี้มาเนิ่นนานนัก…”
กู้ซีจิ่วเงียบงัน ตรงหัวใจคล้ายถูกสิ่งใดดึงทึ้ง ความเจ็บปวดเหลือคณาลุกลามอยู่ในทรวงอก
เธอก็เคยตั้งตารอช่วงเวลานี้ยิ่งนักเช่นกัน
คืนเข้าเรือนหอ มิใช่มีเพียงฝ่ายชายเท่านั้นที่ตั้งตารอ ฝ่ายหญิงก็ตั้งตารอเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อแต่งให้กับคนที่ตนชมชอบ ยิ่งตั้งตารอมากขึ้นไปอีก
อันที่จริงเธอไม่มีนิสัยเหนียมอาย เมื่อเล่นพลิกผ้าห่มกับคนรัก เช่นนั้นก็ควรจะดุเดือดบ้าคลั่งจนสุดขีดมิใช่หรือ?
————————————————————————————-
[1] เป็นท่อนหนึ่งจากบทกวีของมหากวีซูตงพัว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น