ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 1286-1293

 บทที่ 1286 คาวบอยสุดหล่อ

 

ลูกชายคนโตของพอลลี่อายุราวๆ สิบสี่สิบห้าปี ยืนอยู่ด้านข้างเขาและคอยเป็นผู้ช่วยฉินสือโอวย่างเนื้อสเต๊ก


มองดูใบหน้าเศร้าสร้อยของคนเป็นพ่อ เขาก็กัดฟันกรอดแล้วพูด “แม่งเอ๊ย! ขอสาปแช่งให้ไอ้พวกระยำไออาร์เอสโดนพระเจ้าลงโทษ!”


ถึงอย่างไรเจ้าของฟาร์มก็ถือว่าเป็นชนชั้นนายทุน มีเงินมีการศึกษา ในด้านการสอนลูกชายจึงค่อนข้างเข้มงวด พอได้ยินที่ลูกชายของตนพูด พอลลี่ก็พูดปลอบประโลมให้ลูกชายใจเย็นลงด้วยสีหน้าหนักแน่น “เวนเดลล์ ใครสอนให้ลูกพูดคำสบถหยาบคายแบบนั้น? ลูกไม่ควรพูดคำหยาบนะเข้าใจมั้ย?”


ชายหนุ่มพูดอย่างไม่ยอมแพ้ “ไม่มีใครสอนผมทั้งนั้นแหละ ก็มาจาก SHIT นั่นแหละ ก็พ่อไม่ใช่เหรอที่เป็นคนบอกว่าตอนใช้คำนี้ผมต้องอิงจากกฎ SHIT นะ”


ซึ่งถ้านำ SHIT มาแยกเป็นคำเดี่ยวๆ จะใช้ในการด่าทอผู้คน มีความหมายว่า ‘ขี้หมา’ ‘อุจจาระ’ ‘ขยะ’ ซึ่งคำพวกนี้มักจะได้ยินในทีวี รายการโชว์อเมริกาและภาพยนตร์ฮอลลีวูดอยู่บ่อยๆ


ที่ลูกชายของพอลลี่กำลังพูดถึงอยู่นี้คือการย่อคำ ซึ่งมีที่มาจากอเมริกาเหนือ ที่มาจากคำว่า ‘Society-to-Highlight-Ingrate-Terms’ และนำมาย่อเป็น SHIT


เป้าหมายของการสมาคมนี้คือการวิเคราะห์ความหมายของศัพท์ ศึกษาการใช้คำสบถ ดังนั้นที่อเมริกาและแคนาดาพ่อแม่ต่างรู้ว่าลูกๆ ของตนจะใช้คำสบถที่หยาบคายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงสอนการใช้และความหมายของคำว่า SHIT เพื่อให้สามารถนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง


ฉินสือโอวเข้าใจความหมายของสิ่งที่ลูกชายพอลลี่พูดเมื่อครู่ และรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าสนใจ หากอธิบายความต่างของการใช้คำว่า shit และ fuck อย่างเช่นมีคนสอบตก หรือมองดูทีมที่เขาสนับสนุนกำลังพ่ายแพ้ก็สามารถใช้คำว่า shit ในการสบถเพื่อแสดงความโกรธ ไม่พอใจของตนได้


แต่ถ้าประสบกับโชคร้ายหรือเรื่องไม่ดี ในตอนนั้นก็สามารถใช้คำว่า “fuck” ได้


แต่อย่างไรก็ตามยังมีข้อยกเว้นประการหนึ่งนั่นก็คือเมื่อเผชิญหน้ากับไออาร์เอส สามารถอธิบายกลุ่มคำ SHIT ได้ว่า “ในตอนที่เจอกับพวกกรมสรรพากรแคนาดา ใช้ได้ทั้ง ‘shit’ และ ‘fuck’ ซึ่งคำด่าไหนที่ใช้แล้วทำให้รู้สึกว่าแสดงอารมณ์โกรธออกมาได้มากกว่า ก็เลือกใช้ไปได้เลย”


ฟังจากนี้ก็พอจะรู้แล้วว่ากรมสรรพากรที่แคนาดาไม่เป็นที่พึงพอใจขนาดไหน และแน่นอนว่า ไม่ว่าประเทศไหนก็คงไม่ต่างกัน


สเต๊ก ไส้กรอก เบคอน ขนมปังที่ย่างจนกรอบ และอาหารหลากหลายจานของเหมาเหว่ยหลงวางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อย เขายังทำสลัดผลไม้และผักจานยักษ์ด้วย และทุกคนก็พากันมาล้อมวงกินข้าวอยู่บนพื้นหญ้า


พอลลี่หยิบขวดเบียร์หนึ่งลังลงมาจากรถ แล้วพูดแบบยิ้มๆ “นี่คือเบียร์ที่ผมที่ได้ตอนมาจากฟาร์มนาของโลฮ่าที่เพิ่งจะหมักเสร็จวันนี้ รสชาติมันต้องดีมากแน่”


เหมาเหว่ยหลงชูกำปั้นแล้วส่งเสียงร้องดีใจ จากนั้นจึงหันมาแนะนำให้ฉินสือโอวฟัง “โลฮ่าก็คือเจ้าของฟาร์มคนหนึ่ง เขามีฟาร์มเล็กๆ แห่งหนึ่งที่เน้นการผลิตเบียร์ และนี่ก็เป็นเบียร์ที่เขาทำขึ้นมาเอง เขาเป็นนักผลิตเบียร์ที่เก่งมากคนหนึ่งเลยล่ะ”


“แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถได้รับเบียร์จากโลฮ่ามาไว้ในครอบครองนะ” ลูกชายคนโตของพอลลี่พูดอย่างภาคภูมิใจ “เขาชอบกินเนื้อแกะย่างของพ่อผมมาก ดังนั้นทุกครั้งที่พวกเราไปหาเขา ไม่เคยมีครั้งไหนที่จะได้กลับบ้านมือเปล่าเลย”


พอลลี่ยื่นแก้วใบโตให้ฉินสือโอว ฉินสือโอวมองสีและฟองของมันก่อนพูดชมเชยว่า “ว้าว เป็นเบียร์ขาวที่สุดยอดมากเลยนะเนี่ย”


เบียร์ขาวเป็นเครื่องดื่มที่เป็นที่นิยมในทวีปยุโรป มันทำมาจากข้าวมอลต์และวัถุดิบจากข้าวมอลต์ ในบางครั้งก็มีเพิ่มข้าวโอ๊ตไปด้วย และสุดท้ายนำไปหมักด้วยยีสต์และกรดแลคติก


เบียร์ที่ฉินสือโอวเคยดื่มตอนอยู่เกาะแฟร์เวลก็มีหลากหลายชนิดมาก แต่จุดเด่นของเบียร์ประเภทนี้จะผสมแอลกอฮอล์เข้าไปเพียงเล็กน้อย แต่เนื้อเบียร์มีความเข้ม ชุ่มคอ และมีสารอาหารมากมาย และยังสามารถดื่มได้ทุกฤดูกาล


“กินกับสเต๊กของผม คุณจะรู้สึกว่ามันสุดยอดกว่าเดิมอีกล่ะ” พอลลี่หัวเราะและพูด “แน่นอน คุณจะว่าผมพูดขี้โม้ก็ได้นะ แต่แนะนำให้คุณลองชิมดู”


ฉินสือโอเลือกสเต๊กชิ้นหนาที่สุกระดับกลางให้วินนี่ และเลือกชิ้นที่บางกว่าให้ตนเอง หลังจากตัดเป็นชิ้นและเอาเข้าปาก น้ำในเนื้อช่างชุ่มฉ่ำ เนื้อสัมผัสนุ่ม ส่งกลิ่นหอมกระจายไปทั่วโพรงปาก


ในตอนที่ผสมกับความหวานของเบียร์ขาวเข้าไป ฉินสือโอวไม่สามารถสรรหาคำพูดมาบรรยายได้ เขารู้สึกว่ามันสุดยอดมาก!


ทานข้าวพร้อมพูดคุยเล่นกันไปเรื่อยเปื่อย เหมาเหว่ยหลงพูดเตือนเรื่องที่ฉินสือโอวจะขี่ม้าขึ้นมากลางโต๊ะอาหาร ฉินสือโอวฟังด้วยความเบื่อหน่าย และบอกว่ามันก็คงไม่ต่างจากการขับรถหรอก ที่ต้องพึ่งการปฏิบัติ แกจะมาพูดให้ได้อะไรตอนนี้?


พอพอลลี่ได้ยินก็ถามขึ้น “พวกคุณจะไปขี่ม้าเล่นกันพรุ่งนี้เหรอ?”


ฉินสือโอวตอบ “ใช่แล้ว ที่พวกเรามาครั้งนี้ก็เพื่อจะมาขี่ม้า คุณรู้มั้ย ที่เซนต์จอห์นเป็นเมืองติดทะเล ที่นั่นมีแต่เรือหาปลา ไม่มีม้าเลยสักตัว”


พอลลี่จึงพูดว่า “ถ้าอย่างงั้นพรุ่งนี้เช้าผมจะเอาม้าไปด้วยสองตัว ที่โรงม้าของผมมีม้าอยู่เยอะมาก ที่ฟาร์มของเหมามีม้าโตอยู่แค่สองตัวเองใช่ไหม? แต่พวกคุณมีกันสามคน คงไม่พอแน่ๆ”


ตั๋วตั่วจึงดึงมือฉินสือโอวและชี้ไปที่โรงม้าของม้าตัวเล็ก ซึ่งหมายความว่าเธออนุญาตให้ฉินสือโอวยืมม้าตัวเล็กของเธอได้


ฉินสือโอวดึงเธอมากอดและหัวเราะยกใหญ่ ลูกม้าสองตัวเล็กนั้น เดาว่าถ้าเขาขึ้นขี่หลังมันคงต้องหักก่อนเป็นแน่


เหมาเหว่ยหลงและพอลลี่เกรงใจกันอยู่สักพักก็ตกลงกันเรียบร้อย เพราะคราวแรกเขาก็กังวลเรื่องพรุ่งนี้ที่มีม้าแค่สองตัวแต่พวกเขามีกันถึงสามคน ซึ่งจำนวนไม่พอ


หลังจากทานข้าวและเก็บของเสร็จ ฉินสือโอวก็พูดคุยกับคนอื่นๆ ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นครอบครัวพอลลี่ก็กลับไป วินนี่ก็อุ้มลูกสาวเข้าไปพักผ่อนในห้องพัก


ฉินสือโอวกำลังจะขอตัวแต่เหมาเหว่ยหลงก็เรียกเขาไว้ เขานั่งลงบนพื้นหญ้าแหงนมองดาวบนท้องฟ้า และพูดว่า “แกดูสิ ที่ของฉันพอมองดูดาวบนฟ้าตอนกลางคืนสวยมากเลยใช่มั้ย”


แฮมิลตันดูแลสภาพแวดล้อมได้ดีเลยทีเดียว แต่ก็เทียบกับเกาะแฟร์เวลไม่ได้ ฉินสือโอวนอนลงกับพื้นหญ้าและอิงแขนแทนหมอน ก่อนมองดวงดาวที่สว่างไสวบนฟ้าแล้วเอ่ยขึ้น “ถ้าเทียบกับในเมืองแล้ว มันช่างสวยงามจริงๆ แต่ก็เทียบไม่ได้กับที่ที่ฉันอยู่”


ครั้งสุดท้ายที่ทั้งคู่นั่งชมดาวด้วยกันก็ราวสองปีก่อนได้ ในตอนนั้นฉินสือโอวยังตามจีบวินนี่อยู่ พวกเขาทั้งคู่นั่งนับดาวอยู่บนเขาเคอร์บัลด้วยกัน


ในตอนนี้พวกเขาทั้งคู่ต่างแต่งงานและเป็นพ่อคนแล้ว ฉินสือโอวอุทานออกมาในขณะที่ยังมองดูดาว “แม่ง อย่าได้พูดเลยนะว่าเวลาผ่านไปเร็วขนาดไหนแล้วน่ะ? ดาวบนท้องฟ้าก็ยังเป็นดาวบนท้องฟ้า แต่ตอนนี้พวกเราไม่ใช่คนเดินกันอีกต่อไปแล้ว”


ดาวที่ส่องประกายท่ามกลางความมืดบนท้องฟ้าช่างน่าค้นหา ในฤดูร้อนท้องฟ้าจะโล่ง และรู้สึกได้ว่าดวงดาวใกล้กับเราเพียงแค่เอื้อม


พวกเขาทั้งคู่ไม่ได้เจอกันมาระยะหนึ่ง จึงนอนพูดคุยกันบนพื้นหญ้าพักใหญ่จนกระทั่งน้ำค้างเริ่มเกาะตัว แล้วค่อยแยกย้ายกันเข้าไปพักผ่อน


วันที่สองตอนรุ่งเช้า ในตอนที่ฉินสือโอววิ่งออกกำลังกายอยู่ พอลลี่ก็มาถึงโดยขี่ม้าตัวหนึ่งมา และพาม้าอีกสองตัวมาด้วย เขาแต่งตัวเหมือนคาวบอย คาดปืนลูกโม่ไว้ที่สะโพก ซึ่งทำให้เขาดูเหมือนคาวบอยที่กล้าหาญมากขึ้นไปอีก


เมื่อพอลลี่มาถึงแล้ว ฉินสือโอวจึงหยุดออกกำลังกายและกลับเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า


เขาสวมหมวกคาวบอยและสวมรองเท้าบู๊ต และติดตะปูไว้ที่ด้านหลังบู๊ต เลือกใส่หัวเข็มขัดลายหัวเสือ และพันผ้าพันคอแบบคาวบอยไว้ที่หน้าอก ฉินสือโอวก็รู้สึกว่ามันไม่เลวเลย วินนี่เข้ามาช่วยเขาจัดชุดให้เรียบร้อย และทั้งยิ้มทั้งพูดว่า “อืม เป็นคาวบอยที่หล่อมากเลย สาวๆ ในเท็กซัสเห็นแล้วคงต้องหลงเสน่ห์คุณแน่”

 

 

 


บทที่ 1287 ในที่สุดก็วิ่งสักที

 

หลังจากฉินสือโอวกับวินนี่ออกมา เหมาเหว่ยหลงก็พาพวกเขาไปทำความสะอาดโรงม้าต่อ ในเวลาเดียวกันก็ไปอาบน้ำแปรงขนให้ม้าดำฟรีดริชด้วย


แล้วฉินสือโอวก็หันไปพูดกับพอลลี่ “เฮ้ ผมไม่ต้องไปทำความสะอาดฟรีดริชต่อแล้วใช่ไหม? ก็วันนี้ผมคงไม่ได้ขี่มัน อีกอย่างตรงนั้นก็มีม้าอีกสองตัว พอสำหรับผมกับวินนี่แล้ว”


เหมาเหว่ยหลงจึงตอบกลับ “แกคิดให้ดีนะ ถ้าแกรับมือกับฟรีดริชได้ ต่อไปแกก็จะมีม้าคู่ใจขี่ได้ตลอด แต่ถ้าวันนี้แกขี่ม้าของพอลลี่ งั้นถ้าครั้งหน้าแกมาเล่นที่นี่อีก แกก็จะไปยืมม้าบ้านพอลลี่ทุกครั้งเลยงั้นเหรอ?”


“เหนื่อยครั้งเดียวสบายไปทั้งชาติ โอเค แกพูดถูก” แล้วฉินสือโอวก็ยักไหล่และเดินไปในโรงม้ากับเหมาเหว่ยหลง


เมื่อวานเขาได้เรียนรู้วิธีการจัดการม้า การเรียนรู้ของฉินสือโอวนั้นยอดเยี่ยมมาก วันนี้เขาจัดการทำได้อย่างเรียบร้อยเป็นระเบียบแบบแผน และในตอนที่แปรงขนแผงคอให้ฟรีดริช เขายังใช้ฝ่ามือขยี้ขนคอมันอย่างแรง


เหมาเหว่ยหลงประหลาดใจเล็กน้อย จึงถามเขาว่า “แกเคยเรียนวิธีการปรนนิบัติม้ามาก่อนเหรอ?”


ฉินสือโอวตอบ “แกไม่รู้จักฉันรึไง? ฉันจะไปเรียนวิธีปรนนิบัติม้ามาจากที่ไหน?”


เหมาเหว่ยหลงจึงพูดเล่นว่า “ถ้าอย่างนั้นก็คงจะเป็นพรสวรรค์แล้วล่ะ คาดไม่ถึงเลยว่าจะอุ่นร่างกายให้ม้าเป็นด้วย”


ฉินสือโอวที่เพิ่งใช้มือลูบขนแผงคอม้าด้วยแรงที่เสมอกันอย่างทั่วถึง นี่ก็เป็นวิธีที่ช่วยวอร์มร่างกายก่อน จริงๆ แล้วนี่เป็นวิธีสำหรับม้าแข่ง เป้าหมายคือเพื่อให้เลือดของมันไหลเวียนได้อย่างรวดเร็ว


วิธีพวกนี้แน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดเอง แต่แค่มีโทรศัพท์มือถือ เขาแกว่งโทรศัพท์มือถือไปมา เมื่อคืนเขาโหลดแอปพลิเคชันอันหนึ่งเอาไว้ เป็นแอปพลิเคชันที่แนะนำและสอนโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเรื่องการขี่ม้า


ฟรีดริชถูกเขาปรนนิบัติอย่างสบายแล้ว ด้านหลังก็ต้องทำแบบเดียวกันฉินสือโอวเดินลากบังเหียนม้าอยู่ด้านหน้า ด้านหลังเป็นฟรีดริชที่ส่งเสียงร้องออกมาทางจมูกพอฉินสือโอวหยุดเดิน มันก็เอาหน้ามาดันหลังเขา


เหมาเหว่ยหลงยิ้ม “นั่งไง ฉันบอกแล้วว่าม้าฉลาดกว่าหมา ครั้งนี้แกเชื่อหรือยังล่ะ?”


ฉินสือโอวเบะปากแล้วหันกลับมาพูดกับฟรีดริชว่า “นั่งลง! กลิ้ง! ขอมือ! ลาก่อน!”


ม้าดำมองมาที่เขาอย่างงงๆ ใบหน้าของมันไม่มีอารมณ์ร่วมเลยแม้แต่น้อย


ฉินสือโอวจึงพูดกับเหมาเหว่ยหลงว่า “ครั้งหน้าถ้าแกไปหาฉัน ฉันจะให้หู่จือเป้าจือแสดงท่าทางพวกนี้ให้แกดูสักหน่อย พวกมันชำนาญมาก มองแล้วเบิกบานหัวใจสุดๆ”


เหมาเหว่ยหลงยิ้มออกมาแล้วทำได้แค่พูดว่า “เรื่องของแก เอาจริงเอาจังกันจริงว่ะๆ!”


ต่อไปก็ต้องขี่ม้าแล้ว เหมาเหว่ยหลงเอาบังเหียนมาใส่ให้กับฟรีดริช หลังจากนั้นก็จัดให้รู้สึกมั่นคงมากขึ้น แล้วเขาก็พยักหน้าและพูดว่า “อืม แค่นี้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว ใช่ไหมพอลลี่?”


จากนั้นพอฉินสือโอวกำลังจะพลิกตัวขึ้นบนม้า เหมาเหว่ยหลงก็ถามขึ้นจนทำให้เขาตกใจ “ซวยล่ะ แกยังไม่ใส่บังเหียนให้ม้าหรอกเหรอวะ?”


บังเหียนม้าก็คือที่บังคับม้าของจีน เป็นอุปกรณ์หลักสำหรับคนขี่ม้า ก็เหมือนกับพวงมาลัยและเกียร์ของรถยนต์ ดังนั้นบังเหียนสำหรับม้าจึงถือว่าสำคัญมาก


ซึ่งฉินสือโอวจำเป็นต้องเข้าใจวิธีใช้มัน ก็เหมือนกับตอนขับรถแต่ยังติดตั้งพวงมาลัยไม่เสร็จดี ก่อนขับรถก็จะยังไม่มีอะไร แต่พอรถออกตัวเร่งความเร็ว สุดท้ายพอออกแรงพวงมาลัยก็หลุดออกมา ในตอนนั้นก็คงทำได้แค่สวดภาวนาต่อพระเจ้าให้ลงมาช่วยชีวิตเขา


พอลลี่ยิ้มแล้วเดินเข้ามาช่วยจัดการ ฉินสือโอวจึงลากเหมาเหว่ยหลงมาคุยด้วย “แกล้อเล่นอะไร แกทำไม่เป็นเหรอวะ?”


เหมาเว่ยหลงพูดอย่างคนไร้ความผิด “ก็ปกติฉันไม่ขี่ม้านี่น่า อีกอย่างใส่บังเหียนมันก็ยุ่งยากออกขนาดนั้น แกว่าฉันจะทำมันเป็นได้ยังไงล่ะ?”


พอลลี่เป็นคนดีอย่างที่สุด เขาช่วยเอาอานม้ามาติดตั้งให้เรียบร้อย ฉินสือโอวถือโอกาสนี้นับถือเขาเป็นอาจารย์ คอยชี้แนะวิธีขี่ม้าให้เขา ชัดเจนเลยว่าเหมาเหว่ยหลงคือคนไร้ประโยชน์ไปเลยจริงๆ


ไม่แปลกใจเลยที่เหมาเหว่ยหลงถึงช่วยพอลลี่ เขาเป็นคนจริงใจคนหนึ่งเลย ในตอนที่ช่วยสอนฉินสือโอวก็สอนด้วยใจ และยังสาธิตท่าทางให้เขาได้เรียนรู้ด้วย


วินนี่หัวเราะอยู่ด้านข้าง ฉินสือโอวเลยถามขึ้น “คุณขี่เป็นหรือยัง? ให้อาจารย์พอลลี่สอนอีกสักครั้งไหม”


วินนี่พูดยิ้มๆ “ก็ไม่เชิงค่ะ ฉันแค่ขี่เร็วๆ ไม่ค่อยได้ แต่ก่อนก็เคยเรียนมาบ้าง คิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไรนะคะ”


ฉินสือโอวเลยพูดอย่างเป็นห่วงว่า “งั้นเดี๋ยวผมลองก่อน คุณรอดูว่าถ้าไม่มีปัญหาอะไรค่อยขี่มันแล้วกันนะ”


พูดจบ เขาก็เอาเท้าข้างหนึ่งเหยียบไปบนโกลนม้าอย่างมั่นคง สองมือตบลงบนหลังม้าฟรีดริชอย่างแรง เพื่ออยากที่จะใช้ท่วงท่าที่สง่างามผ่าเผยเหมือนนกนางแอ่นขึ้นขี่ม้า


สุดท้ายตอนที่เขากำลังจะกระโดดขึ้นมา ฟรีดริชก็ออกแรงวิ่งอย่างรวดเร็วไปด้านหน้าสองสามก้าวในทันที!


เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ฉินสือโอวรู้สึกน่าเวทนามาก เขายังไม่ทันขึ้นขี่ม้าเลย และตอนนั้นเท้าของเขาก็เหยียบอยู่ในโกลนม้าแน่นมาก แล้วในตอนนั้นก็ดึงเท้าออกมาไม่ได้ด้วย มองดูแล้วอันตรายมาก ถ้าหากเขาจับไว้ไม่แน่นพอก็จะถูกม้าลากไปตามทางได้เลย


แบบนี้เท้าของฉินสือโอวจึงถูกตรึงไว้ในโกลนม้า ถ้าแค่ข้อเท้าหักนี่ก็ถือว่าเบาแล้ว!


โชคดีที่ฉินสือโอวถูกจิตสำนึกแห่งโพไซดอนปรับเปลี่ยนให้สมรรถภาพทางกายดีขึ้น ความยืดหยุ่นและการตอบสนองของเขานั้นแข็งแกร่งมาก ฟรีดริชที่วิ่งตรงไปข้างหน้า เอวของเขาแข็งราวกับรากต้นไม้เก่า สองมือของเขายึดบังเหียนม้าไว้อย่างมั่นคง เท้าซ้ายติดอยู่ในโกลน เท้าขวาวางแนบไปกับท้องม้า…


ฟรีดริชวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุด ฉินสือโอวเกาะอยู่ด้านข้างตัวม้าเหมือนกับจิ้งจกตุ๊กแก คนอื่นๆ เห็นก็ล้วนแต่อ้าปากค้าง


“เฮ้ย ฉินโซ่ว ทักษะกังฟูแกนี่สุดยอดจริงๆ เลยว่ะ” เหมาเหว่ยหลงอุทานอย่างตกตะลึงออกมา “ปกติเวลาไม่มีอะไรทำแกแอบฝึกโยคะอยู่ฟาร์มปลาหรือว่ายังไงกันวะ?”


ฉินสือโอวเหงื่อท่วมตัว เขาจ้องเหมาเหว่ยหลงด้วยความโกรธแค้น แล้วพูด “หยุดพล่ามซะทีไอ้บ้าเอ๊ย ไหนแกบอกว่าม้าถูกฝึกมาอย่างดีแล้วไม่ใช่เหรอวะ? แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น?”


พอลลี่จึงพูดอย่างเป็นกลางขึ้นมา “มันไม่เกี่ยวอะไรกับม้าหรอกนะ ฉิน เมื่อกี้นี้ทำไมคุณถึงตบที่อานม้าแรงอย่างนั้นล่ะ? ในตอนที่ฝึกซ้อม นี่มันเป็นการทำให้ม้าเพิ่มความเร็วไม่ใช่เหรอ แต่โชคยังดีนะที่ฟรีดริชได้รับการฝึกมาก่อน ถ้าทำรุนแรงกับม้าแบบนั้นก็จะทำให้มันตกใจ มันจะไม่ใช่แค่วิ่งไม่กี่ก้าวแบบนั้นน่ะ!”


ฉินสือโอวยิ้มกลืนไม่เข้าคายไม่ออก พอลลี่ช่วยเขาลงมาจากฟรีดริช และแนะนำให้เขาขึ้นขี่ม้าด้วยท่าทางที่อ่อนโยน “ให้ม้ารับรู้ถึงคุณ หลังจากนั้นทั้งสองก็จะรวมเข้าด้วยกัน นี่ถึงจะเป็นเทคนิคการขี่ม้าอย่างแท้จริง!”


วินนี่พูดเสริม “แล้วก็ที่รัก อย่าเหยียบโกลนม้าด้วยเท้าสองข้างสิคะ ถ้าเกิดอุบัติเหตุแบบกะทันหันก็จะได้กระโดดออกมาได้ ไม่อย่างนั้นก็จะถูกม้าหนีบเท้าไว้อย่างน่าเวทนา”


ฉินสือโอวลองยื่นเท้าไปเหยียบบนโกลนม้า พอลลี่แสดงวิธีควบคุมม้าโดยใช้บังเหียนม้าให้เขา แต่ว่าดูคนอื่นควบคุมกับตัวเองควบคุมเองมันไม่เหมือนกัน ฉินสะบัดบังเหียนม้าไปมา ฟรีดริชไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ยังคงใจจดใจจ่ออยู่กับการพ่นลมออกมาทางจมูก


“แม่งเอ๊ย โคตรโง่เลย” ฉินสือโอวถอนหายใจอย่างน่าเสียดาย เทียบกับเจ้าพวกนั้นไม่ได้เอาซะเลย ก็เหมือนความแตกต่างของเครื่องซักผ้ารุ่นเก่ากับเครื่องซักผ้าแบบหมุนรุ่นใหม่ล่ะนะ


ไม่ว่าเขาจะลองอีกกี่ครั้ง ฟรีดริชก็ไม่ขยับเลย ฉินสือโอวร้อนใจ จึงสะบัดบังเหียนม้าพลางร้องตะโกน “ไป!”


ครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ฟรีดริชที่งง พอลลี่เองก็งงไปด้วย เขาถามเหมาเหว่ยหลงด้วยความงงงัน “เมื่อกี้นี้ฉินตะโกนอะไรเหรอ?”


เหมาเหว่ยหลงหัวเราะจนตัวงอ เขาอธิบายให้กับพอลลี่ พอลลี่มีสีหน้าเงิบไปหนึ่งทีแล้วพูดว่า “ฉิน ฟรีดริชไม่เคยเรียนภาษาจีน ฉันว่ามันน่าจะฟังคำสั่งนายไม่ออกนะ”


ในตอนนั้นมีม้าหนึ่งตัววิ่งมาอย่างนุ่มนวลดังสายลม ฟรีดริชค่อนข้างตกใจจึงก้าวถอยหลังอยู่กับที่ แต่พอฉินสือโอวใช้บังเหียนบังคับได้ ม้าดำก็ก้าวตามไปทีละก้าวเล็กๆ โดยทันที

 

 

 


บทที่ 1288 ม้าบิน

 

ม้าสองตัวจากทางด้านหน้าและด้านหลังวิ่งตรงไปยังทิศตะวันออก ฉินสือโอวเงยหน้าขึ้นมามอง แสงอาทิตย์ที่ส่องสว่างสาดแสงอาบลงบนร่างอันสง่างามนั้นราวกับเทวทูต


คนที่ขี่ม้าตัวด้านหน้าคือวินนี่ ผมสีดำของเธอมัดรวบเป็นหางม้า ดังนั้นตอนที่เธอควบม้า ผมหางม้าของเธอจะส่ายไปมาเหมือนกับหางม้า ราวกับว่ามีกระแสจิตสื่อถึงกัน


ร่างกายของวินนี่ตอนอยู่บนหลังม้าตรงดิ่งเป็นแนวตั้ง แต่ก็ไม่ได้แข็งทื่อจนเกินไป ร่างกายขยับตามม้าอย่างนุ่มนวลและสะเทือนขึ้นลงตามจังหวะการวิ่ง ช่างดูเข้ากันได้ดีเป็นพิเศษ


ฉินสือโอวสะดุ้งตกใจ หลังจากขึ้นไปบนหลังฟรีดริชได้เขาก็ถามอย่างตกตะลึง “คุณขี่ม้าเป็นด้วยเหรอ?”


วินนี่ยิ้มบาง “ไม่ใช่ว่าฉันเคยพูดกับคุณแล้วเหรอ ตอนเรียนมหาวิทยาลัยสตรีเบรชชา ตอนปีสองกับปีสามพวกเรามีวิชาขี่ม้าด้วย แน่นอนว่าก็ต้องขี่เป็นสิคะ”


ฉินสือโอวนึกถึงตัวเองที่เพิ่งบอกว่าจะโชว์ให้วินนี่ดู ตอนนี้เห็นภรรยาของเขาขี่ม้าอย่างกล้าหาญแล้ว เขาก็รู้สึกว่าหน้าตัวเองถูกเบิร์นไปแล้ว


โชคดีที่ตอนนี้เขาเป็นพ่อของลูกสาววินนี่ ไม่ใช่ใครก็ไม่รู้ ไม่อย่างนั้นหน้าของเขาคงจะถูกตีจนแตกไปแล้วจริงๆ


วินนี่เดาได้ถึงความคิดของเขา เธอจึงพูดขึ้นอย่างจนปัญญา “ที่จริงแล้วฉันอยากจะให้คุณคุ้นเคยกับการเรียนขี่ม้าก่อน แล้วค่อยขี่ม้าตามมา แต่เมื่อกี้คุณจับบังเหียนไม่ถูกต้องฟรีดริชเลยไม่ยอมวิ่ง ฉันเลยต้องขี่นำสักหน่อย”


ปกตินั้นม้าพันธุ์ดีจะมีความคิดและทำแบบเดียวกันเป็นฝูง เมื่อดูรายการสัตว์โลกก็จะรู้ว่า ราชาม้าจะวิ่งอยู่ด้านหน้า ส่วนม้าตัวอื่นๆ ก็วิ่งตามอยู่ด้านหลัง


การวิ่งนำไปก่อนก็คือการนำจิตวิทยาของม้ามาใช้ ในตอนที่ม้าอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่ม พอม้าหนึ่งตัววิ่ง ม้าตัวอื่นก็จะวิ่งตาม และนี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ม้าทุกตัววิ่งไล่ตามกันระหว่างการแข่งม้า


การแข่งม้าที่ดีที่สุด ไม่จำเป็นจะต้องให้คนขี่ม้าใช้ตะปูที่ติดอยู่ที่ส้นรองเท้าบูทเร่งให้ม้าวิ่งโดยสะกิดที่ท้องม้าหรือบังคับบังเหียนม้าเพื่อเพิ่มความเร็ว มันสามารถวิ่งได้เอง ถ้าหากม้าตัวอื่นอยู่ในสนามเดียวกัน มันก็จะพยายามวิ่งให้เร็วที่สุด


วินนี่คุมความเร็วค่อนข้างช้า เธอจึงถามฉินสือโอวว่า “เป็นไงบ้าง คุณคิดว่าตัวเองสามารถเพิ่มความเร็วขึ้นอีกได้ไหมคะ?”


ฉินสือโอวตอบอย่างห้าวหาญ “ไม่มีปัญหา ทั้งหมดเรียบร้อยดี แต่แค่เจ็บก้นน่ะ”


ถึงแม้จะมีอานม้าช่วยรองก้นอีกชั้นนึง แต่พื้นผิวของมันก็แข็ง ทำให้ตอนที่ฟรีดริชวิ่งเกิดการสะเทือนขึ้นลง อานม้าก็กระแทกกับก้นของฉินสือโอวไม่หยุด อย่างนี้ไม่เจ็บสิถึงจะแปลก


วินนี่หุบยิ้มแล้วพูดขึ้น “ที่รัก คุณผ่อนคลายลงหน่อยก็ได้ อย่าเกร็งนักสิ”


ฉินสือโอวพูดอย่างกล้ำกลืน “ผมเกร็งตรงไหน? ผมผ่อนคลายอยู่ชัดๆ เลยเนี่ย?”


วินนี่พูด “ไม่ใช่ให้คุณผ่อนคลายแค่จิตใจนะคะ แต่ให้ผ่อนคลายร่างกายด้วย ดูฉันสิ ไม่ต้องเอาสะโพกกดแน่นกับอานม้าเกินไป ออกแรงที่สองขามันจะช่วยประคองร่างกายได้ดี และออกแรงที่สะโพกเล็กน้อยก็พอแล้ว”


ฉินสือโอวมองวินนี่ ก็เห็นว่าสะโพกของเธอกับอานม้ามีช่องว่างอยู่เล็กน้อย แบบนี้ร่างกายของเธอจึงตรงมาก จริงๆ แล้วก็ถือว่าอยู่ในตำแหน่งที่สมดุลมั่นคง เพื่อคอยปรับให้พอเหมาะพอดีอย่างต่อเนื่อง


วินนี่พาเขาวิ่งเป็นวงกลมเล็กๆ หลังจากนั้นจึงพากลับไปที่ที่พอลลี่และเหมาเหว่ยหลงอยู่ ขาเรียวสองข้างขนาบเบาๆ อยู่ที่ท้องม้าทั้งสองข้าง และขณะดึงบังเหียนเบาๆ และม้าก็เริ่มลดความเร็วลง


ฉินสือโอวเลียนแบบท่าทางของเธอ แต่แรงที่ใช้ดึงบังเหียนมากหน่อย ม้าดำฟรีดริชจึงหยุดวิ่งในทันที


ด้วยความที่ยังคงเคยชิน จากการที่ท่านชายฉินเกือบจะบินตกลงจากหลังม้า แต่โชคดีที่แรงหนีบม้าฟรีดรีชของขาทั้งสองข้างมั่นคงมากทำให้รักษาสมดุลของร่างกายเอาไว้ได้


แต่แล้วปัญหาก็มาเยือนอีกครั้ง ฟรีดรีชรับรู้ได้ถึงแรงของขาทั้งสองข้าง คิดว่าเขาให้มันออกวิ่ง ดังนั้นมันเลยพ่นลมจมูกออกมาอย่างไม่พอใจ แล้วมันก็ก้าวเท้าออกวิ่งอีกครั้ง


วินนี่จึงให้ฉินสือโอวถอยกลับมา แต่ฉินสือโอวก็ถามอย่างไร้สติ “เชี่ย! ทำยังไงให้ม้าถอยกลับล่ะ? เกียร์ถอยหลังอยู่ไหนล่ะเนี่ย?!”


เหมาเหว่ยหลงที่อยู่บนม้าควอเตอร์สีน้ำตาลหัวเราะไม่หยุด แล้วตะโกนว่า “แกอย่าเพิ่งรีบเปลี่ยนเกียร์สิ รีบเหยียบเบรกก่อน ไม่อย่างนั้นแกก็หมุนพวงมาลัยก็ได้ แกเป็นคนขับรถที่เก่งกาจไม่ใช่หรือไง?”


ฉินสือโอวรีบใช้มือดึงบังเหียน ฟรีดริชไม่มีทางเลือก นี่คือคำสั่งบ้าอะไรกันล่ะเนี่ย? ข้าก็เป็นแค่ม้าตัวหนึ่งนะไม่ใช่คน นายสั่งแบบนี้จะไปเข้าใจได้อย่างไร


ในตอนนั้นความเร็วในการวิ่งของฟรีดรีชก็ช้าลง พอลลี่เข้ามาดึงบังเหียนม้าไว้ให้มันหยุดเดิน หลังจากนั้นก็ดึงกลับ เขายิ้มและพูดว่า “ที่จริงแล้วคุณทำได้ดีเลยทีเดียวนะฉิน”


ฉินสือโอวพูดอย่างท้อใจ “พอเถอะ ผมไม่ใช่เด็กนะครับ ผมรับได้ ไม่ต้องปลอบผมหรอก”


พอลลี่พูดอย่างจริงจัง “จริงๆ นะฉิน ก็นี่เป็นครั้งแรกที่คุณขี่ม้า ขี่ม้าครั้งแรกก็ยังไม่รู้แรงควบคุมม้าเป็นธรรมดา อย่างตอนที่เหมาขี่ม้าครั้งแรกก็…”


“อย่าพูดนะ พอลลี่!” เหมาเหว่ยหลงรีบพูดขึ้นมาเสียงดัง


ฉินสือโอวจึงถามอย่างสนอกสนใจ “พอลลี่ พูดเลย การขี่ม้าครั้งแรกของเสี่ยวเหมาเป็นยังไงเหรอ? จะกลัวจนฉี่ราดกางเกงเลยไหมนะ?”


พอลลี่ยักไหล่ “เรื่องนี้พวกคุณไปคุยกันส่วนตัวเถอะนะ มาฉิน ผมจะสอนวิธีทำให้ม้าถอยกลับ ฝึกทักษะพื้นฐานนี้ได้ ท่าทางอื่นๆ ก็ง่ายแล้ว”


พอลลี่จึงสอนความรู้เชิงทฤษฎีเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวพื้นฐานให้แก่ฉินสือโอว ส่วนวินนี่ที่ขี่ม้าอยู่ด้านหน้าก็แสดงการที่ขี่ม้าแบบเร็วและช้า หรือจะเป็นเดินหน้าถอยหลังให้ดู การดูแลแบบนี้ทำให้เหมาเหว่ยหลงอิจฉาและเอาแต่บ่นว่า “ตอนผมเรียนขี่ม้าทำไมไม่เห็นมาดูแลกันแบบนี้บ้างเลย?”


ฉินสือโอวยิ้มเยาะ “ผู้ที่ตั้งตนอยู่ในธรรมย่อมจะมีแต่ผู้ให้การช่วยเหลือ แกไม่เข้าใจหลักการนี้เหรอวะ?”


วินนี่ทำท่าทางพื้นฐานอยู่พักหนึ่ง หลังจากคุ้นเคยกับม้าแล้ว เธอก็ใช้ผ้าพันคอยีนเช็ดเหงื่อที่คอม้า ให้มันได้พักผ่อน


ฉินสือโอวก็ถอดผ้าพันคอออกมา ฟรีดริชรอให้เขาเข้าไปเช็ดให้มัน แต่สุดท้ายฉินสือโอวก็หยิบมาเช็ดเหงื่อให้ตัวเอง เช็ดหน้าเสร็จก็เอาไปเช็ดตัวต่อ พลางถอนหายใจออกมา “ขี่ม้าก็เหนื่อยมากเลยนะเนี่ย”


ฟรีดริชก็อยากจะบอกเขาเหมือนกันว่า มันที่ต้องแบกเขาเนี่ยเหนื่อยกว่าไหม!


วินนี่พักสิบนาทีกว่า หลังจากนั้นก็พลิกตัวขึ้นขี่ม้า แล้วใช้เท้าด้านหลังแตะที่ท้องม้า มือก็บังคับบังเหียนแล้วร้องขึ้นมา จากนั้นม้าที่เธอนั่งอยู่ก็เริ่มเร่งความเร็ว


ร่างกายของวินนี่ก็ยังคงเหยียดตรงอยู่บนม้า มีแค่จังหวะการสะเทือนของร่างกายที่เร็วขึ้น แต่ก็ให้ความรู้สึกที่สวยงาม เหมือนกับม้าที่อยู่ใต้สะโพกของเธอเป็นคู่เต้นรำ เธอเหมือนไม่ได้กำลังขี่ม้าแต่กำลังเต้นอยู่อย่างไรอย่างนั้น


พอลลี่มองตาค้างแล้วอุทานออกมาอย่างตกตะลึง “พระเจ้า ฉิน ภรรยาของคุณต้องเคยเรียนการขี่ม้าของพระราชวังมาแน่เลย และอาจารย์ของเธอต้องมีฝีมือระดับเทพ! ผมเคยเห็นแบบนี้แค่ที่การแสดงขี่ม้าที่แฮมิลตันเท่านั้น!”


เหมาเหว่ยหลงมองอยู่พักหนึ่งแล้วก็มองไปยังฉินสือโอว สายตาซึ่งเต็มไปด้วยความแปลกใจ


ฉินสือโอวจึงมองเขาด้วยสายตาไม่พอใจ “แกมองอะไรวะ?”


เหมาเหว่ยหลงพูดด้วยความประหลาดใจ “ฉันก็ไม่เข้าใจเลย วินนี่เป็นราชินีคู่กับเจ้าชายก็ยังได้ แต่ทำไมถึงได้มามองคนโง่อย่างแกกันนะ?”


“โอ้โห ฉันจะตีแกให้ตาย อย่าหนีนะ!” ฉินสือโอวยกบังเหียนม้าจะเฆี่ยนเหมาเหว่ยหลง เขารีบขึ้นขี่ม้า แล้วสะบัดบังเหียนควบคุมม้าให้วิ่ง


ฉินสือโอวก็ขึ้นขี่ม้า ครั้งนี้เขาควบคุมการวิ่งของม้าได้แล้ว ตะปูที่ติดอยู่ที่ส้นรองเท้าบูทแตะท้องม้าเบาๆ ที่ด้านหลังตะปูมีลูกล้อกลิ้งอยู่ ฟรีดริชรู้สึกถึงมันจึงได้เร่งความเร็วขึ้นไปอีก


ครั้งนี้ ในที่สุดความเร็วมันก็เพิ่มขึ้น และความเร็วปานลมกรดและสายฟ้าแลบก็ปรากฏออกมา!

 

 

 


บทที่ 1289 เมืองเล็กกับรถม้า

 

การวิ่งระยะสั้นของม้าควอเตอร์นั้นดีมาก แต่ถ้าเป็นระยะไกลจัดว่าอยู่ในระดับธรรมดา เวลาขี่ม้าประเภทนี้จะต้องให้พวกมันพักผ่อนอย่างเพียงพอ


แน่นอนว่าถ้าอยากได้แค่ความสนุกในการแข่งขันวิ่งเร็วเข้าเส้นชัยเฉยๆ ม้าควอเตอร์ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม


ขี่ม้ามาตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงเก้าโมง ดวงอาทิตย์ก็เริ่มสาดแสงร้อนรุนแรง พอลลี่เช็ดเหงื่อแล้วพูดว่า “เอาล่ะ เพื่อนๆ วันนี้พวกเราพักกันถึงตรงนี้แล้วกัน ม้าก็เริ่มเหนื่อยแล้ว ให้พวกมันไปพักสักหน่อยเถอะ”


ตั้งแต่หกโมงจนถึงตอนนี้ นอกจากเวลาพักกลางทางแล้ว ม้าควอเตอร์ก็วิ่งมาสองชั่วโมงครึ่งแล้ว ทั้งตัวโชกไปด้วยเหงื่อ พอใช้มือลูบ เหงื่อก็เต็มไปทั้งฝ่ามือ


ฉินสือโอวกระโดดลงจากม้า แล้วยื่นมือออกไปตบก้นม้า ให้มันได้ไปวิ่งเหยาะๆ เพื่อผ่อนคลาย


เหมาเหว่ยหลงก็ปล่อยม้าพันธุ์ดีขนแดงของเขา แล้วเดินมาถามว่า “เป็นยังไงบ้าง ขี่ม้าฟินไหม?”


ฉินสือโอวยักไหล่แล้วตอบ “ก็โอเค แต่ขี่ม้าแล้วปวดก้นจริงๆ”


เหมาเหว่ยหลงมองไปที่ขาสองข้างของเขาด้วยสายตาแปลกๆ ทั้งแสดงสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้ก้นของแกก็จะไม่เจ็บแล้วล่ะ”


ฉินสือโอวไม่เข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อ เลยพูดอย่างภูมิใจว่า “นั่นมันแน่นอน การฟื้นฟูสมรรถนะของฉันนั้นดีสุดยอด ไม่ต้องให้ถึงพรุ่งนี้หรอก เย็นวันนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”


สองคนคุยกันไปมา ม้าพวกนั้นก็เดินเล่นอย่างอิสระอยู่ในฟาร์ม ตอนที่พวกมันเจอต้นอ่อนข้าวสาลี ก็มุดหน้าลงไปในต้นข้าวสาลีสีเขียวขจีเพื่อกินต้นอ่อน


เหมาเหว่ยหลงกระวนกระวายใจ รีบวิ่งไปหาม้าพวกนั้น ฉินสือโอวเลยถามขึ้น “แกให้มันกัดสักคำสิ ทำไมถึงขี้งกอย่างนี้ล่ะ? ม้าพวกนี้จะกินข้าวสาลีได้เท่าไรกันเชียว?”


“แกจะไปรู้อะไร สองวันก่อนฉันเพิ่งพ่นยาฆ่าหญ้า และไม่ว่าพวกมันจะกินไปเท่าไร วันนี้ก็ต้องเอาออกมาล่ะ” เหมาเหว่ยหลงพูดด้วยท่าทางที่ไม่สบอารมณ์


พอลลี่ช่วยจูงพวกม้ามา หลังจากนั้นก็สอนวิธีเช็ดเหงื่อม้าให้ฉินสือโอว “ตอนที่เจ้าพวกนี้เหงื่อออกไปทั่วทั้งตัว คุณอย่าลืมช่วยมันเช็ดเหงื่อออกด้วยนะ ไม่อย่างนั้นพวกมันก็จะป่วยง่าย แน่นอนว่าหน้าร้อนก็จะดีหน่อย แต่ว่าถ้าจะให้ติดเป็นความเคยชินก็ต้องได้ฝึกเรียนรู้ไปบ่อยๆ ใช่ไหมล่ะ?”


ฉินสือโอวพยักหน้าเห็นด้วย แล้วหยิบเอาผ้าขนหนูมาเช็ดบนตัวให้ฟรีดริช สักพักผ้าขนหนูก็ชุ่มเปียก แต่ถ้ามองด้วยตาเปล่าจะมองไม่ออกเลยว่ามันมีเหงื่อเยอะขนาดนี้


วินนี่ที่กำลังเช็ดเหงื่อให้ม้าของตัวเองไปแล้วก็พูดคุยหัวเราะกับพอลลี่ไป “ดูออกเลยว่าคุณเป็นคนที่รักม้ามาก คุณดูแลไข่มุกดำได้ดีมากเลย ฉันที่ขี่มันยังรู้สึกได้ถึงพละกำลังมหาศาลของมันเลยล่ะค่ะ”


พอลลี่หัวเราะ “ใช่แล้ว ผมชอบม้ามาก ที่จริงแล้วงานแรกของผมตอนหลังจากบรรลุนิติภาวะคือเป็นครูฝึกม้า หลังจากเปิดฟาร์มมาได้ระยะหนึ่ง เสียดายที่แรงกดดันของเงินลงทุนค่อนข้างมาก สุดท้ายก็ต้องปิดตัวไป”


เหมาเหว่ยหลงพูดเสริม “ฟาร์มของพอลลี่มีม้ามากที่สุดในเมือง เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงม้า ฉันซื้อม้าสี่ตัวนี้ก็ได้เขาเป็นคนช่วยเลือก ทั้งหมดเป็นม้าที่ดีเห็นไหมล่ะ?”


ได้ฟังแล้ว พอลลี่ก็รู้สึกเศร้านิดหน่อย เขาพูดว่า “ผมกลัวก็เลยต้องเรียนรู้จากตาเฒ่าเวเบอร์ไว้ จำนวนม้าในฟาร์มมีค่อนข้างเยอะ ทางเลือกที่ดีที่สุดคือขายม้าบางตัวออกไป ไม่อย่างนั้นบัตรเครดิตของผมคงจะรับไม่ไหว”


ที่แคนาดาการเลี้ยงม้าหนึ่งตัวต้องเอาใจใส่มากกว่าดูแลรถซะอีกและยังยุ่งยากมากด้วย  เพราะม้าต้องการการดูแล ถ้าดูแลไม่ดีพวกมันก็จะป่วยง่าย และการจ้างสัตวแพทย์เพื่อดูม้านั้น ก็มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง


นอกจากนี้ ทุกๆ วันม้าจะกินหญ้าเป็นอาหาร และในบางช่วงยังต้องให้อาหารพวกถั่วเหลือง แครอทและผักต่างๆ เพื่อเป็นการเสริมโภชนาการบำรุงร่างกายให้แก่พวกมัน ซึ่งนี่ก็มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงอีกเช่นเดียวกัน


โดยเฉพาะปีนี้ที่แคนาดาราคาหญ้าสำหรับสัตว์เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากภัยพิบัติจากหิมะเมื่อฤดูหนาวที่ผ่านมา หญ้ามากมายล้วนแข็งจนตายจากอากาศเย็นจัด ยิ่งทำให้การเจริญเติบโตของหญ้าที่อยู่ใต้ดินไม่ดี ตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิหลายพื้นที่ก็เริ่มพบปัญหาเรื่องการเก็บเกี่ยว


ฉินสือโอวอยากจะปลอบพอลลี่สักหน่อย แต่ก็เหมือนจะไม่มีคำพูดใดที่เหมาะสมเลย เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์เศรษฐกิจของพอลลี่ไม่ค่อยดีเท่าไร ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ต้องฆ่าวัวและแกะขายเพื่อให้เสี่ยงต่อการถูกไออาร์เอสและองค์กรอนามัยลงโทษด้วยการปรับเงินเล็กๆ น้อยๆ นั่น


วินนี่ถามด้วยอาการสนใจขึ้นว่า “พอลลี่ คุณอยากขายม้าเหรอคะ? อยากขายออกสักกี่ตัวล่ะคะ?”


พอลลี่อุทานออกมา “ตอนนี้ม้าที่ผมเลี้ยงอยู่มียี่สิบสองตัว และตอนนี้ด้วยเศรษฐกิจของฟาร์มสามารถแบกรับได้มากที่สุดน่าจะประมาณสิบสี่ถึงสิบห้าตัว ดังนั้นผมต้องขายม้าออกไปประมาณเจ็ดถึงแปดตัว”


เหมาเหว่ยหลงกระซิบถามฉินสือโอว “แกไม่อยากได้เอาไปไว้ขี่เล่นเหรอ? เลี้ยงสักสองสามตัวสิ ยิ่งตอนนี้เป็นช่วงเวลาดีที่สุดที่จะซื้อม้า ปีนี้การเก็บเกี่ยวหญ้าไม่ดี เศรษฐกิจก็แย่ ราคาของม้าลดลงถึงจุดราคาต่ำสุดในช่วงห้าปีที่ผ่านมาเลยนะ”


ฉินสือโอวไม่ได้สนใจเรื่องราคา แต่เขาไม่ค่อยชอบขี่ม้า อาจจะเป็นเพราะว่าเขาได้สัมผัสและใกล้ชิดกับทะเลนานเกินไป เขาชอบการล่องเรือและไปมาหาสู่ทางทะเลมากกว่า บนบกก็มีรถแล้ว การขี่ม้านั้นนับว่าเป็นการฆ่าเวลาเพื่อผ่อนคลายเฉยๆ


เพื่อไม่ให้เป็นการฆ่าเวลาที่เปล่าประโยชน์เขาต้องซื้อม้าสักสองตัวไหม? ฉินสือโอวก็ยังคงคิดคำนวณอยู่ เขาสามารถซื้อรถได้ แต่ไม่อยากซื้อม้า ชีวิตของม้าต้องได้รับการดูแลตลอดเวลา แต่เขาก็ไม่ได้มีเวลาว่างขนาดนั้น


และเมื่อสักครู่เขาเพิ่งจะขี่มาไป ก่อนขี่ม้าก็รู้สึกตื่นเต้นและตั้งตาอยู่หรอก แต่พอผ่านไปจากความรู้สึกแปลกใหม่ก็รู้สึกไม่มีอะไรแบบนั้นเลย


แบบนี้เขาเลยส่ายหัว เป็นการบอกใบ้ให้เหมาเหว่ยหลงรู้ว่าตัวเองไม่สนใจ


แต่วินนี่ดูท่าจะสนใจมาก เธอถามพอลลี่ว่า “เจ็ดแปดตัวเลยเหรอคะ? ทั้งหมดนั่นอายุเท่าไหร่แล้ว? พันธุ์อะไร? แล้วขายประมาณเท่าไรคะ?”


ได้ฟังที่วินนี่ถาม พอลลี่ก็เข้าใจความหมายของเธอ เขาเลยตอบอย่างดีใจ “คุณนายฉินสนใจเหรอครับ? เป็นม้าควอเตอร์ทั้งหมดเลย อายุจะอยู่ที่ประมาณสี่ถึงสิบสองปี ถึงแม้จะไม่มีการรับรองว่าเป็นสายเลือดเดียวกัน แต่ดูแค่ขนก็จะรู้ ทั้งหมดเป็นม้าดี ราคาก็คุยกันได้ครับ”


ตอนนี้ตลาดม้าและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของแคนาดาโดยรวมมีความคล้ายคลึงกัน มันค่อนข้างซบเซาและอาจซบเซาต่อไป ดังนั้นดีที่สุดจึงควรรีบจัดการกับม้าตั้งแต่เนิ่นๆ


เหมาเหว่ยหลงมองไปที่ฉินสือโอว ส่วนเขาทำได้แค่ยักไหล่ แล้วพูดขึ้น “แค่วินนี่แฮปปี้ก็โอเค ถ้าเธออยากซื้อก็ซื้อแหละ”


วินนี่ได้ฟังคำพูดเขาก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่ๆ ไม่ใช่ฉันที่จะซื้อ แต่เมืองเราต้องการมันต่างหาก การท่องเที่ยวของเราเจอกับปัญหาอยู่ไม่ใช่เหรอคะ? สัปดาห์ก่อนฉันไปประชุมมา แล้วต้องการขยายเส้นทางการท่องเที่ยว และเพิ่มโครงการรถม้าแบบโบราณของยุคกลางนี่ก็น่าจะไม่เลว”


ฉินสือโอวเพิ่งนึกขึ้นได้ เมืองแฟร์เวลจริงๆ แล้วสามารถเพิ่มโครงการเยี่ยมชมเมืองโดยรถม้าได้ พื้นที่ของเมืองค่อนข้างใหญ่ และรถม้าสามารถวิ่งได้ และตอนนี้จุดขายของเมืองคือความโบราณและความเรียบง่าย อีกทั้งที่นี่ยังรักษาสิ่งปลูกสร้างของศตวรรษที่สิบแปดสิบเก้าไว้มากมาย ซึ่งเข้ากันได้กับรถม้าสไตล์โบราณมาก


การเยี่ยมชมเมืองโดยรถม้าเป็นวัฒนธรรมการท่องเที่ยวของแคนาดา แต่เมืองเซนต์จอห์นไม่ได้พัฒนาต่อ เพราะนี่เป็นเมืองท่าเรือ ภูมิประเทศราบเรียบไม่พอ สภาพการจราจรก็ปานกลาง หากเพิ่มรถม้าเข้าไป นั่นจะต้องแย่มากแน่ๆ


แต่เมืองอื่นล้วนมีโครงการที่เกี่ยวข้องกัน เช่นที่เมืองมอนทรีออล สถานที่ท่องเที่ยวที่ฮิตก็คือ “เมืองเก่า” การนั่งรถม้าชมเมืองเป็นโปรแกรมคลาสสิคที่มีมานานหลายปีแล้ว นักท่องเที่ยวบางคนก็ถ่ายรูปกับม้าตัวใหญ่ บางคนก็นั่งรถม้าเล่นอยู่ในเมืองเก่ากว่าสิบนาทีพลางฟังคนขับรถม้าเล่าถึงประวัติของเมือง ซึ่งเป็นที่นิยมมาก

 

 

 


บทที่ 1290 การเจรจาธุรกิจประสบผลสำเร็จ

 

วินนี่พูดความคิดของเธอออกมา ฉินสือโอวฉุกคิดขึ้นมาได้ในฉับพลัน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาแล้ว มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความต้องการในการขยายตัวของธุรกิจการท่องเที่ยวในเมือง


หลังฟังคำพูดของวินนี่แล้ว พอลลี่กลับไม่ได้แปลกใจมากนัก เขาหัวเราะขืนๆ ออกมาทีหนึ่ง แล้วถามว่า “คุณนายฉิน คุณแน่ใจว่าเรื่องนี้สามารถทำได้ไหมครับ? ผมไม่ได้อยากจะกดดันคุณนะครับ แต่ผมหวังว่าคุณควรเช็กดูก่อนว่าเซนต์จอห์นอนุญาตให้ใช้รถม้านำเที่ยวในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวหรือเปล่านะครับ”


เมื่อเห็นว่าฉินสือโอวดูเหมือนไม่ค่อยเข้าใจ พอลลี่จึงอธิบายว่า “ก่อนหน้านี้ผมเคยติดต่อกับบริษัทท่องเที่ยวมาบ้าง เพื่อจะถามพวกเขาว่าต้องการที่จะใช้ม้าในการท่องเที่ยวบ้างไหม แต่พวกเขาล้วนไม่ต้องการ ตอนนี้มีหลายเมืองที่ได้ยกเลิกโปรแกรมรถม้าชมเมืองไปแล้วครับ”


“เพราะอะไรครับ?” ฉินสือโอวถามด้วยความสงสัย


พอลลี่ตอบอย่างลำบากใจว่า “เพราะสมาคมคุ้มครองและป้องกันการทุณสัตว์ของแต่ละเมืองเห็นว่า การบังคับให้ม้าลากคนเพื่อการท่องเที่ยวนั้นไร้มนุษยธรรม การกระทำแบบนี้ควรที่จะถูกยกเลิกไป!”


เหมาเหว่ยหลงตาโตขึ้นมาแล้วพูดว่า “ชิท มีเรื่องอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ? งั้นแล้วทำไมไม่ยกเลิกโปรแกรมแข่งม้าล่ะครับ อัตราการตายของม้าพันธุ์เธอร์รัพเบรตในแต่ละปีไม่น่าจะต่ำกว่าหนึ่งร้อยตัวใช่ไหม?”


พอลลี่ปัดมือ แล้วบอกว่าจะมีใครสนใจกัน? อย่างไรเสียตอนนี้ในทุกๆ ที่ต่างก็พากันยกเลิกโปรแกรมรถม้าชมเมืองกันหมดแล้ว


ฉินสือโอวลองค้นดูในอินเทอร์เน็ต ก็พบว่ามีเรื่องนี้จริงๆ ด้วย และปีที่แล้วนี่เองก็มีเรื่องการคัดค้านแนวนี้เกิดขึ้นมา เรื่องเกิดจากเหตุการณ์สองเรื่องที่เกิดในฤดูร้อนของปีที่แล้ว มอนทรีออลและแวนคูเวอร์ต่างก็มีม้าตัวหนึ่งที่เกิดล้มเสียชีวิตขณะกำลังลากผู้โดยสารอยู่ หลังจากสัตวแพทย์มาตรวจแล้วคาดว่าสาเหตุเกิดจากความเหนื่อยล้า


จากนั้นทางสมาคมป้องกันการทารุณสัตว์ของมอนทรีออลจึงทำการสืบสวนเรื่องนี้ แล้วพบว่าม้าที่ใช้ในโปรแกรมการท่องเที่ยวนั้นมักจะทำการลากผู้โดยสารอาทิตย์ละเจ็ดวัน และทำงาน 9 ชั่วโมงต่อวันทุกวัน ในฤดูร้อนต้องทนกับอุณหภูมิที่ร้อนอบอ้าว ฤดูหนาวก็ต้องทนกับความหนาวเย็น แล้วยังต้องเผชิญกับไอเสียและเสียงรบกวนจากเครื่องยนต์อีก


เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ทางสมาคมคุ้มครองและปกป้องการทารุณสัตว์ของทุกที่จึงเริ่มออกโรงกัน พวกเขาคิดว่าม้าพวกนี้ถูกบังคับให้ใช้แรงงานในสภาพแวดล้อมที่ตึงเครียด อยู่กับเสียงดังเอะอะตลอด และเพราะพวกมันเดินอยู่บนถนนพื้นยางมะตอยเป็นเวลานาน ทำให้กีบเท้าได้รับความเสียหาย และหลังจากเหนื่อยล้ามาทั้งวันแล้วก็ยังถูกล่ามไว้กับที่ จนแทบไม่สามารถขยับตัวได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไร้มนุษยธรรมเป็นอย่างมาก


ในอเมริกาเหนือ มีสมาคมท้องถิ่นอยู่สองแห่งที่เก่งกาจเอามากๆ หนึ่งก็คือสมาคมปกป้องเยาวชนและสตรี ส่วนอีกหนึ่งสมาคมก็คือสมาคมปกป้องสัตว์


การต่อต้านโปรแกรมรถม้าชมเมืองนี้ได้เข้าไปถึงหูของนายกเทศมนตรีของมอนทรีออล เดนนิส เคอร์เดลล์ เขาให้สัญญาว่าจะทำการออกข้อบังคับใช้ให้กับอุตสาหกรรมรถม้าโดยเฉพาะ ก็คือจะทำการเชิญผู้เชี่ยวชาญจากองค์การไม่แสวงหาผลกำไรมาให้คำแนะนำว่าจะปรับปรุงสภาพแวดล้อมของม้าให้ดีขึ้นอย่างไร เพื่อที่ทางสภานายกเทศมนตรีจะนำไปใช้ในการเพิ่มข้อบังคับนี้


อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวคือหนึ่งในรายได้หลักของมอนทรีออล จุดขายของพวกเขาก็คือการมาสัมผัสกับกลิ่นอายเมืองเก่า และแต่ไหนแต่ไรรถม้าชมเมืองก็เป็นโปรแกรมหลักของที่นี่มาโดยตลอด ทางรัฐบาลไม่สามารถยกเลิกอย่างง่ายดายได้ จึงทำการปรับปรุงเรื่องนี้แทน


สำหรับเมืองอื่นๆ แล้ว รถม้าชมเมืองนั้นไม่ได้มีบทบาทสำคัญอะไร ดังนั้นจึงทำการยกเลิกโปรแกรมนี้ไปในทันที ทำเอาม้าจำนวนมากถูกส่งเข้าไปในตลาดรอง


ตอนที่รัฐบาลของเมืองแฟร์เวลตัดสินใจแบบนี้ไม่ได้มีการตรวจเช็กกฎข้อบังคับต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง การตัดสินใจของพวกเขาในเรื่องนี้ไม่ได้ผ่านการคิดจากสมองเลย พวกเขาคิดเพียงแค่ว่าโปรแกรมนี้สามารถทำกำไรได้แค่นั้น


ตอนนี้พอได้พอลลี่พูดเตือนแล้ว วินนี่จึงรีบโทรศัพท์หากรมการท่องเที่ยวของเมืองเซนต์จอห์น เพื่อสอบถามเกี่ยวกับข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง


จากจุดนี้แล้ว มองออกว่าพอลลี่เป็นคนซื่อสัตย์คนหนึ่ง เขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพูดเรื่องพวกนี้เลย เพราะพูดออกมาแล้วอาจส่งผลให้การมาเจรจาในครั้งนี้ไม่สำเร็จก็ได้ แต่ว่าเขาก็ยังคงพูดออกมา การประพฤติตัวดีแบบนี้ทำให้ฉินสือโอวรู้สึกชื่นชมมาก


วินนี่วางสายแล้วก็พูดว่า “ไม่มีปัญหาค่ะ กรมการท่องเที่ยวของเซนต์จอห์นไม่ได้มีการวางแผนพัฒนาโปรแกรมม้าลาก ทำให้ไม่มีข้อบังคับในด้านนี้ เมืองแฟร์เวลสามารถทำได้ค่ะ”


พอลลี่ดีใจสุดขีด พูดว่า “งั้นนี่ก็หมายความว่าพวกคุณสามารถทำการซื้อม้าของผมได้แล้ว ใช่ไหมครับ?”


วินนี่ยิ้มอย่างเป็นมิตรแล้วพูดว่า “ใช่ค่ะ และจำนวนที่พวกเราต้องการก็ค่อนข้างมากด้วย หากคุณเตรียมที่จะมาขายม้า 8 ตัวแล้วล่ะก็ งั้นเมืองของเราก็รับไว้ได้ทั้งหมดค่ะ”


เพราะอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ทำให้รายรับของการคลังของเมืองแฟร์เวลเพิ่มขึ้นอย่างมาก การจะซื้อม้าไม่กี่ตัวนั้นไม่ใช่ปัญหาเลย


พอลลี่พาวินนี่กลับไปดูม้าเลยในทันที เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับฉินสือโอว ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องไปด้วย จึงรออยู่ที่นี่กับเหมาเหว่ยหลง ดื่มเครื่องดื่มและคุยกับเขาแทน


ตอนวินนี่กลับมาได้นำผ้าพันคอคาวบอยมาด้วยสองผืน เหมาเหว่ยหลงยิ้มแล้วพูดว่า “ตกลงธุรกิจกันได้แล้วเหรอครับ?”


ฉินสือโอวถามว่า “ทำไมแกถึงคิดแบบนั้นล่ะ?”


เหมาเหว่ยหลงชี้ไปที่ผ้าพันคอคาวบอยในมือของวินนี่แล้วพูดว่า “ดูนั่นสิ นี่เป็นของที่พอลลี่ให้เธอมา ในการเจรจาธุรกิจของฟาร์มม้าในชนบท หากว่าทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะร่วมงานกันแล้ว ผู้ขายก็จะมอบผ้าพันคอคาวบอยให้เป็นของขวัญ”


อย่านึกว่าผ้าพันคอคาวบอยเป็นแค่ของธรรมดาเชียว ความจริงแล้วเจ้าสิ่งนี้เป็นถึงหนึ่งในเอกลักษณ์ของการแต่งตัวแบบคาวบอยเลย สามารถใช้ประโยชน์ได้มากมาย และยังเป็นตัวแทนของหลายๆ ความหมายอีกด้วย


อย่างเช่น ผ้าพันคอคาวบอยสามารถนำมาเช็ดเหงื่อได้ สามารถนำมากรองน้ำเพื่อดื่มได้ และยังสามารถใช้มาปิดจมูกเพื่อกันฝุ่นละออง แถมยังสามารถนำมาใช้เป็นผ้าพันแผลในการปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้อีกด้วย


เมื่อก่อนพวกคาวบอยจะต้องต้อนสัตว์ไปกินหญ้าต่างถิ่นบ่อยๆ ผ้าพันคอคาวบอยสามารถช่วยเหลือในการใช้ชีวิตได้มากมาย เป็นผู้ช่วยในการดำเนินชีวิตของคาวบอย มีคาวบอยหลายคนที่หลังจากเสียชีวิตแล้วผู้คนจะนำผ้าพันคอที่เขาชอบมากขณะยังมีชีวิตไปคลุมไว้บนหน้า เพื่อให้การเดินทางในดินแดนที่เปล่าเปลี่ยวของเขานั้นยังคงมีเพื่อนที่ซื่อสัตย์คนหนึ่งอยู่ด้วย


วินนี่ให้ฉินสือโอวผืนหนึ่ง บอกว่านี่เป็นของขวัญเล็กน้อยที่พอลลี่ให้พวกเขา ฉินสือโอวถามว่า “ตกลงธุรกิจกันได้แล้วเหรอ? คุณไม่ต้องกลับไปหารือกับพวกฮานี่ย์ก่อนเหรอ?”


วินนี่บอกว่า “ฉันเป็นนายกเทศมนตรี อำนาจเล็กน้อยแบบนี้ฉันยังมีอยู่ค่ะ แน่นอนว่า ความจริงการเจรจาของเราครั้งนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น ตอนนี้ก็แค่เลือกม้าให้เสร็จ ตกลงราคากัน กลับไปก็ยังต้องหาสัตวแพทย์มาตรวจเช็กอีก หลังจากแน่ใจแล้วว่าม้าพวกนี้ไม่มีปัญหาสุขภาพจึงจะถือว่าการเจรจาธุรกิจเสร็จสิ้นค่ะ”


ฉินสือโอวถามด้วยความสงสัยว่า “ม้าตัวละเท่าไรครับ?”


วินนี่ยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นราคาส่งค่ะ ม้าทั้งแปดตัวราคาประมาณสองหมื่นห้าพันเหรียญค่ะ”


เหมาเหว่ยหลงพยักหน้า แล้วพูดว่า “ราคานี้ค่อนข้างสมเหตุสมผล ปีก่อนฉันไปสืบมาแล้ว ม้าควอเตอร์ชั้นดีตัวหนึ่งราคาอยู่ที่ระหว่างสามพันสี่ร้อยถึงสี่พันดอลลาร์แคนาดา แค่เวลาครึ่งปีกว่าราคาลดลงไปขนาดนี้เลย”


ตกดึกพอลลี่ได้เชิญพวกฉินสือโอวกับเหมาเหว่ยหลงไปที่เป็นแขกที่ฟาร์มของตัวเอง บอกว่าเขาได้ฆ่าวัวตัวเล็กตัวหนึ่งเพื่อต้อนรับพวกเขาโดยเฉพาะ จึงเชิญให้ฉินสือโอวและวินนี่ไปลิ้มรสเนื้อวัวตัวเล็กแฮมิลตันแบบต้นตำรับที่สุด


จริงตามนั้น เนื้อวัวที่พอลลี่เลี้ยงเองนั้นดีจริงๆ ด้วย เนื้อนุ่มลื่นน้ำก็เยอะ ปกติฉินสือโอวกินสเต๊กเนื้อวัวได้มากสุดแค่ครึ่งชั่งเท่านั้นก็เลี่ยนแล้ว แต่ครั้งนี้ทั้งสเต๊กทั้งเนื้อตุ๋น ถึงกับกินไปสองจานใหญ่ คาดว่าน่าจะเกินกว่าหนึ่งชั่งครึ่งเสียด้วย


เสี่ยวเถียนกวาก็เริ่มกินเนื้อได้แล้ว คุณนายพอลลี่ทำเนื้อตุ๋นให้เธอ ข้างในใส่น้ำผึ้งลงไป หอมหวานอบอวลมาก


ฉินสือโอวรู้สึกว่าลูกสาวอายุยังน้อย เริ่มกินเนื้อเร็วเกินไป ควรกินพวกผักผลไม้จะดีกว่า คุณนายพอลลี่บอกว่าไม่มีปัญหา เนื้อตุ๋นของพวกเขาย่อยง่าย เด็กอายุสี่เดือนก็สามารถกินได้แล้ว


จริงตามนั้น วินนี่ป้อนให้เสี่ยวเถียนกวาลองชิมก่อน ยัยตัวน้อยแจ๊บปากไปมาทานอย่างเอร็ดอร่อย เห็นได้ชัดเลยว่าตอนนี้ได้เข้าสู่วัยที่กินเนื้อได้แล้ว


พวกเขาอยู่เที่ยวกันที่ฟาร์มของเหมาเหว่ยหลงต่ออีกสองวัน เช้าวันจันทร์จึงจะนั่งเครื่องบินกลับกัน เหมาเหว่ยหลงรู้สึกยังไม่พอใจ เขาบอกว่าการมาหาครั้งนี้ยังไม่ค่อยเต็มที่ ครั้งหน้าต้องหาวันหยุดมาเที่ยวกันให้เต็มที่กว่านี้


การมาเที่ยวในครั้งนี้เป็นการตัดสินใจแบบปุบปับของฉินสือโอว วินนี่ต้องทำงาน เขาเองก็มีงานต้องทำ เรือของบัตเลอร์ได้เข้าสู่น่านน้ำแคนาดาแล้ว อีกไม่นานโลมาพิการสี่สิบกว่าตัวนั้นก็จะมาถึงแล้ว

 

 

 


บทที่ 1291 พี่เลี้ยงบีน

 

เรือบรรทุกสินค้าขนาดหนึ่งพันตันขับเข้ามาในเมือง ฉินสือโอวยืนอยู่บนท่าเรือของเมือง บัตเลอร์ยืนอยู่บนหัวเรือ ทั้งสองคนมองหน้ากันแต่ไกล จากนั้นก็โบกมือเพื่อทักทายกัน


เมื่อเห็นแบบนี้ บูลที่อยู่ข้างๆ ก็พูดพึมพำออกมาว่า “มองไปแล้วอย่างกับการพบกันของสตาลินและโรสเวลต์เลย พวกคุณสังเกตเห็นไหมว่ากัปตันยิ่งอยู่ยิ่งมีราศีขึ้นทุกวัน?”


ชาร์คแจกถุงมือให้กับพวกชาวประมง พูดว่า “โอเคทุกคน เตรียมทำงานกันเถอะ คำพูดพวกนี้เก็บไว้พูดกับบอสตอนกินข้าวด้วยกันแล้วกัน เขาชอบฟังคำพูดแนวนี้ที่สุดแล้ว”


พวกชาวประมงจงใจพูดเสียงดังให้ฉินสือโอวได้ยิน ฉินสือโอวรู้ว่าพวกเขาจงใจพูดหยอก เขาไม่ได้ใส่ใจ เพียงยื่นมือไปข้างหลังชูนิ้วกลางให้พวกชาวประมงโดยไม่หันหน้ามอง


เรือบรรทุกสินค้าเทียบท่า ฉินสือโอวปีนขึ้นเรือไปถามว่า “เพื่อน นายเดินทางลำบากเลย พวกโลมาปลอดภัยดีใช่ไหม?”


บัตเลอร์พูดด้วยน้ำเสียงทอดถอนใจว่า “การเดินทางลำบากจริงๆ นายรู้ไหม การขนโลมาเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายในหลายๆ ประเทศ ฉันพาพวกมันมาจากมหาสมุทรแปซิฟิกจนถึงแอตแลนติกเหนือยากพอๆ กับกองทหารของแมกอาเธอร์ถอนกำลังออกจากฟิลิปปินส์กลับไปฮาวายเลย ”


นีลเซ็นที่ตามขึ้นมาทีหลังถามขึ้นมาด้วยความสงสัยว่า “กองทหารของแมกอาเธอร์ถอยทัพกลับฮาวายในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเหรอครับ? ไม่ใช่ว่าถอยทัพไปที่บาตานกับเกาะกอร์เรฮีดอร์เหรอครับ?”


บัตเลอร์กลอกตาแล้วพูดว่า “เฮ้ เพื่อน จริงจังทำไมกัน? ใครจะไปสนใจว่าเขาถอยทัพกลับไปที่ไหน? จะมีใครรู้จักเกาะอะไรของนายนั่นล่ะ? แต่ฮาวายกลับเป็นที่ที่ทุกคนรู้จัก”


ในคลังเรือเรียงรายไปด้วยกล่องเหล็กขนาดยาวสี่เมตร กว้างสี่เมตร สูงสองเมตร ในนั้นบรรจุน้ำทะเลไว้ มีเครื่องผลิตออกซิเจนต่อไว้กับกล่อง ปลาโลมาหางขาดอาศัยอยู่ในนี้นั่นเอง


ฉินสือโอวเดินดูทีละกล่อง ปลาโลมาพวกนี้ถือว่ามีเรี่ยวแรงไม่เบาเลย นี่เป็นเพราะพลังโพไซดอน เขาถ่ายพลังให้ปลาโลมาพวกนี้หลายครั้ง ทำให้พลังชีวิตแข็งแกร่งมากพอ


บัตเลอร์ตบอกแล้วพูดอย่างมั่นใจว่า “ฉันทำงานเองนายวางใจได้เลย เพื่อน วางใจได้! ปลาโลมาสี่สิบสองตัว ตอนขึ้นเรือมีสี่สิบสองตัว ตอนนี้ก็ยังมีสี่สิบสองตัว ระหว่างทางฉันดูแลพวกมันอย่างดี พวกมันอยู่สบายมากกว่าฉันเสียอีก!”


ฉินสือโอวพอใจจนหัวเราะออกมา เขาตบไปที่บ่าของบัตเลอร์ แล้วพูดว่า “ทำได้ดี พี่ชาย ครั้งนี้ฉันต้องพูดจริงๆ ฉันต้องรับความดีของนายไว้ ถือว่าฉันติดหนี้นายครั้งหนึ่งนะ”


บัตเลอร์ปัดมือออกด้วยท่าทีโอเวอร์แล้วพูดว่า “โอ้ นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะเนี่ย!”


ไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ การที่บัตเลอร์พาโลมาพวกนี้ข้ามด่านศุลกากรของญี่ปุ่นกับแคนาดามาที่เกาะแฟร์เวล นี้เป็นเรื่องที่ยากมาก อย่างน้อยๆ ก็เป็นเรื่องที่ฉินสือโอวทำไม่ได้ เพราะไม่ได้มีเส้นสายมากถึงขนาดนี้


บัตเลอร์ให้คนงานบนเรือเปิดดาดฟ้าเรือออก ฉินสือโอวสั่งการให้พวกชาวประมงใช้เครื่องยกยกกล่องเหล็กพวกนี้ขึ้นมาทีละใบ


ตอนนี้นี่เองที่รถของวินนี่และฮานี่ย์มาถึง หลังวินนี่ขึ้นเรือแล้วก็เข้าไปกอดบัตเลอร์ ยิ้มแล้วพูดว่า “ขอบคุณคุณจริงๆ บัตเลอร์ คุณเป็นคนที่จิตใจเต็มไปด้วยความรักคนหนึ่ง เกาะแฟร์เวลยินดีต้อนรับคุณตลอดไปค่ะ”


บัตเลอร์มองตาค้อนไปที่ฉินสือโอวทีหนึ่ง แล้วพูดว่า “ดูสิ อย่างไรเสียคำพูดของภรรยานายก็ทำให้คนรู้สึกดีกว่า ไม่เหมือนนายที่เห็นฉันแล้วกลับเป็นห่วงแต่โลมาพวกนี้ นายต้องรู้ไว้นะ ว่าฉันเป็นเพื่อนร่วมรบคนสนิทของนาย เป็นหุ้นส่วนที่ไม่เห็นแก่ตัว ทำไมนายถึงลืมถามไถ่ฉันได้ล่ะ?”


ฉินสือโอวพูดอย่างเลือกไม่ได้ว่า “ไม่นะ เพื่อน ฉันถามไถ่นายแล้วนี่ ฉันพูดว่าเดินทางลำบากเลย!”


“อื้ม ใช่ เดินทางลำบาก ก็แต่นี่มันไม่ต่างอะไรกับไม่ได้พูดเลยไม่ใช่เหรอ?” บัตเลอร์จงใจพูดหาเรื่อง ราวกับกำลังร้องเพลงแร็ปอยู่อย่างไรอย่างนั้น


เมื่อเห็นแบบนี้แล้วฉินสือโอวก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคนผิวดำเจ้าของร้านขายอุปกรณ์ม้าในเมืองที่เหมาเหว่ยหลงอยู่ขึ้นมา หรือว่าคนดำทุกคนจะมีความสามารถในการร้องเพลงแร็ปตั้งแต่กำเนิดเหรอ? บัตเลอร์กับเจ้าของร้านผิวดำคนนั้นถือว่าเป็นระดับเทพในด้านนี้จริงๆ


หลังยกกล่องใส่โลมาขึ้นมาแล้วก็เทลงไปในทะเล แบบนี้โลมาแต่ละตัวจึงส่ายหางไปมาอย่างดีใจแล้วกลับไปสู่ทะเล หลายวันมานี้พวกมันอยู่ในกล่องเล็กๆ พวกนี้คงจะอุดอู้น่าดู


มีชาวเมืองและนักท่องเที่ยวที่มาตกปลารอบๆ ท่าเรือสังเกตเห็นโลมาพวกนี้ลงไปในน้ำ พวกเขาเดินเข้ามาดูที่ท่าเรืออย่างแปลกใจ มีคนถึงกับถามฉินสือโอวออกมาด้วยว่า “เฮ้ ฉิน ปลาโลมาพวกนี้คือยังไงกัน?”


ฉินสือโอวถอนหายใจแล้วพูดว่า “ผมให้เพื่อนพามาจากญี่ปุ่นน่ะ มือเพชฌฆาตที่สมควรตายพวกนั้น เพียงเพราะพวกเขาอยากจะฉลองงานล่าปลาโลมาอะไรนั่น เลยล่าโลมาแล้วตัดหางพวกมันออกไปครึ่งหนึ่ง!”


วินนี่ที่ไม่พูดอะไรมาตลอด ตอนนี้เริ่มทนไม่ได้แล้วพูดว่า “พวกเขาโหดร้ายขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?! โลมาพวกนี้ไม่ได้ทำผิดอะไรเลย ทำไมต้องทารุณพวกมันแบบนี้ด้วย?”


ฉินสือโอวพูดว่า “สำหรับคนบ้าแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่มีเหตุผลทั้งนั้น ”


หลังจากคนบนท่าเรือเห็นโลมาพิการพวกนี้แล้วก็พากันก่นด่าขึ้นมา สำหรับประเทศที่สามารถโยงเรื่องรถม้าลากกับการทารุณสัตว์เข้ามาด้วยกันได้นั้น แน่นอนว่าการตัดหางโลมาต้องเป็นเรื่องที่ไม่สามารถให้อภัยได้อยู่แล้ว


แม้ว่าจะได้กลับสู่ทะเลแล้วโลมาพวกนี้จะรู้สึกดีใจ แต่ว่าพวกมันกลับไม่สามารถว่ายน้ำได้อย่างอิสระเหมือนเมื่อก่อน ไม่ว่าจะสะบัดหางแรงแค่ไหน ก็สามารถว่ายออกไปได้เพียงช้าๆ เท่านั้น มีโลมาบางตัวที่ถึงขั้นไม่สามารถควบคุมสมดุลร่างกายได้


บีนที่กำลังว่ายหาพวกหอยอยู่บริเวณน่านน้ำตื้น ก็สังเกตเห็นพวกเดียวกันอย่างรวดเร็ว จึงรีบว่ายเข้ามาหาอย่างดีใจ โดยการโหม่งหัวเข้าไปในน้ำราวกับระเบิดน้ำอย่างไรอย่างนั้น


ฟาร์มปลาไม่มีโลมามาตั้งถิ่นฐาน แม้ว่าเมื่อก่อนจะมีบ้าง แต่ตอนที่บีนเกยตื้นอยู่นั้นพวกมันไม่ได้มาช่วยเหลือ ทำให้บีนจอมใจแคบจำฝังใจ จึงไม่ได้ตามพวกมันไป


ปกติแล้ว ที่ฟาร์มปลาบีนจะเล่นกับไอซ์สเกตและบอลหิมะได้เท่านั้น และเมื่อถึงฤดูอย่างว่าแล้วมันก็ถึงขั้นต้องขี่ไอซ์สเกตเพื่อปลดปล่อยความใคร่อีกด้วย ตอนนี้เมื่อได้พบกับเพื่อนแปลกหน้าที่สายพันธุ์เดียวกันแถมยังเป็นมิตรอีกถึงสี่สิบกว่าตัว จะไม่ดีใจได้อย่างไร?


ฉินสือโอวได้ใช้พลังโพไซดอนเสริมสร้างร่างกายของบีนมาตลอด มันจึงมีชีวิตชีวาตลอดเวลา และตอนนี้เมื่อได้เห็นเพื่อนสายพันธุ์เดียวกันทำให้มันเกิดนึกสนุก ใช้ปากและหัวชนไปที่โลมาพวกนี้เพื่อหยอกเล่น


ตอนนี้แหละที่พวกโลมาพิการพากันปวดสมองขึ้นมา พวกมันเองก็อยากหยอกเล่นเหมือนกัน แต่ว่าพวกมันไม่สามารถทำแบบนั้นได้ จึงทำได้แต่ยอมให้บีนชนไปมาราวกับกำลังเดาะบอลอยู่


ในที่สุดบีนก็รับรู้ได้ถึงความไม่ชอบมาพากลนี้ ตาดวงโตที่ส่องประกายแวววาวของมันจ้องไปที่พวกเดียวกัน แล้วว่ายวนรอบตัวพวกมันอย่างรวดเร็วหลายๆ รอบ จึงพบว่าพวกมันไม่สามารถว่ายน้ำได้อย่างอิสระเหมือนกับตัวเอง


บีนโผล่หัวออกมาจากน้ำทะเลมองไปที่ฉินสือโอวอย่างร้อนรน จากนั้นก็อ้าปากในน้ำและว่ายวนเป็นวงกลม


นี่คือมันกำลังส่งเสียงร้องอยู่ แต่ว่าเสียงของโลมานั้นเป็นคลื่นความถี่ต่ำ หูของคนไม่ได้ยิน ฉินสือโอวจึงจำเป็นต้องลงจากท่าเรือไปลูบหัวเพื่อปลอบใจมัน ให้มันรู้ว่าเขาเข้าใจความรู้สึกของมันดี


บีนโผล่หัวออกมาจากน้ำแล้วว่ายวนอยู่หลายรอบ จากนั้นก็ดำลงไปในน้ำแล้วหายไปเลย


ไม่นานนัก ร่างกายที่เรียวยาวแข็งแรงของมันก็ปรากฏมาให้เห็นอีกครั้ง ปากยาวของมันคาบปลาหิมะเงินไว้ตัวหนึ่ง พุ่งตัวเข้าไปทิ้งไว้ด้านหน้าโลมาพิการตัวหนึ่ง แล้วก็ใช้ปากดันปลาไปตรงหน้าโลมาตัวนั้น


โลมาตัวนั้นกินปลาตายมาหลายวันแล้ว ในที่สุดตอนนี้ก็ได้เจอกับอาหารสดสักที จึงรีบอ้าปากแล้วกลืนลงไป


เมื่อเห็นมันกินลงไป บีนก็ยิ้มอย่างดีใจ เผยให้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มอันใหญ่โต จากนั้นก็ดำหายไปอีก


พอปรากฏตัวอีกครั้ง ปากของมันก็คาบปลากะพงญี่ปุ่นไว้อีกหนึ่งตัว จากนั้นก็ไปหาโลมาพิการอีกตัวแล้วส่งปลาให้


ฉากความรักนี้ทำเอาชาวเมืองและนักท่องเที่ยวบนท่าเรือมองดูอย่างไม่เชื่อสายตา จึงพากันหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายวิดีโอไว้

 

 

 


บทที่ 1292 ขยายพันธุ์กุ้ง

 

โลมาเป็นสัตว์ที่อยู่ร่วมกันเป็นฝูง ในทะเลจึงมักเห็นพวกมันอยู่กันเป็นฝูง ออกล่าเป็นฝูง หยอกเล่นกันเป็นฝูง ต่อสู้กับฉลามเป็นฝูง สืบพันธุ์กันเป็นฝูง…


จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า การอยู่กันเป็นฝูงของโลมาไม่เหมือนกับฝูงหมาป่าและฝูงปลาค็อด พวกมันไม่ได้รวมกลุ่มกันเพื่อชีวิตที่ดีกว่า แต่ว่าเหมือนกับคน คือเพราะอยากมีสังคมแค่นั้น


ระหว่างโลมาด้วยกันสามารถสื่อสารกันง่ายๆ ได้ หากว่าโลมาอยู่ตัวเดียวนานเกินไปจะทำให้สามารถเป็นโรคซึมเศร้าได้ด้วย นอกเหนือจากนี้ สุนัขพันธุ์ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ตัวผู้ที่หาคู่ไม่ได้ในฤดูผสมพันธุ์ ก็สามารถเป็นโรคซึมเศร้าได้เหมือนกัน


และนอกเหนือจากนี้ ในด้านนี้ที่ฟาร์มปลาต้าฉินยังมีที่สุดยอดยิ่งกว่าอีก


เท่าที่ฉินสือโอวรู้ เรื่องแบบนี้เฟอเรทแบลคฟุตสุดยอดกว่ามาก เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์หากเฟอเรทแบลคฟุตตัวผู้หาตัวเมียไม่ได้ พวกมันถึงขั้นสามารถตายได้เลย


นั่นก็เพราะเฟอเรทตัวเมียเป็นสัตว์ที่ไข่จะตกก็ต่อเมื่อได้รับการกระตุ้น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องพึ่งการผสมพันธุ์เพื่อให้เฟอเรทตัวเมียไม่ติดสัดต่อไป หากว่าไม่สามารถผสมพันธุ์ได้ เฟอเรทตัวเมียจะติดสัดต่อไปเรื่อยๆ ทำให้ร่างกายมีฮอร์โมนเอสโทรเจนที่สูง และหากปล่อยไว้อย่างนี้สักพัก จะทำให้ไขกระดูกของมันหยุดการผลิตเม็ดเลือดแดง และทำให้เสียชีวิตในที่สุด


พูดนอกประเด็นไปไกล สรุปก็คือปกติบีนจะเหงามาก มันไม่มีเพื่อนโลมาให้เล่นด้วย ทำได้แต่ขลุกอยู่กับไอซ์สเกตและบอลหิมะ พวกมันไม่สามารถทำการสื่อสารกันได้ แม้ว่าร่างกายจะไม่เหงา แต่ทางด้านจิตใจกลับเดินอยู่บนทางอันโดดเดี่ยวมาตลอด


ตอนนี้ดีแล้ว การมาถึงของโลมาหลายตัว แถมยังเป็นโลมาที่ไม่สามารถออกไปจากน่านน้ำนี้ได้เหมือนกับมันด้วย บีนมีเพื่อนที่สามารถคุยกันได้เพิ่มขึ้นแบบนี้ เรียกได้ว่ามันได้ตามดูแลอย่างเอาจริงเอาจังเลยล่ะ


เหล่าปลาโลมาลงทะเลยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลย แต่ละตัวกลับกินอิ่มกันเสียจนตัวอ้วนกลม การที่บีนออกไปจับปลาจากทุกที่เพื่อมาเลี้ยงพวกเดียวกัน ทำเอาชาวเมืองและนักท่องเที่ยวที่มองดูอยู่รู้สึกตกตะลึงไม่น้อย


เมื่อมีบีนคอยดูแลพวกโลมาแบบนี้ ฉินสือโอวก็วางใจแล้ว จึงพาบัตเลอร์กลับฟาร์มปลาไป


แม้ว่าเมื่อกี้เขาจะเถียงกับบัตเลอร์ก็จริง แต่ความจริงในใจเขารู้สึกขอบคุณเขามาก ตอนทานอาหารค่ำกันจึงตั้งใจหยิบไอซ์ไวน์ที่คุณลุงฮิคสันหมักเองกับมือที่เหลืออยู่ไม่มากแล้วมาต้อนรับเขา


หลังทานข้าวเสร็จ ฉินสือโอวถามบัตเลอร์ว่ามาครั้งนี้จะเอาผลิตภัณฑ์ทะเลอะไรกลับไปบ้าง หากว่าอยากได้ปลาทูน่าครีบน้ำเงินเขาก็สามารถจับให้ได้ ขอแค่ออกคำสั่งมาก็พอ


บัตเลอร์ที่ใช้ไม้จิ้มฟันแทะฟันอยู่พูดด้วยน้ำเสียงเสียดายว่า “ปลาทูน่าครีบน้ำเงินยังไม่เอาก่อน นายไปอบปลาโอแถบต่อเถอะ แล้วก็นะ น้ำปลาที่กรองได้จากกระบวนการอบยังไม่ต้องทิ้งนะ ถ้าเอาไปปิดผนึกเก็บไว้ก็ยังสามารถเอาไปขายได้อีก”


ฉินสือโอวพูดอย่างตกใจว่า “ไอ้นั่นก็ขายได้เหรอ?”


บัตเลอร์พูดว่า “อะไรคือขายได้ ขายได้ราคาสูงเลยล่ะ! ”


เขาเห็นว่าฉินสือโอวไม่เชื่อ จึงหยิบไอแพดออกมาให้เขาดูรูปที่ถ่ายไว้ “นายรู้ใช่ไหมว่าคนญี่ปุ่นชอบใช้น้ำซุปที่เคี่ยวมาจากปลาโอแถบเป็นน้ำสต๊อก ความจริงแล้วพวกเขาก็ชอบใช้น้ำสกัดจากปลาโอแถบมาเป็นเครื่องปรุงอาหารด้วย แน่นอนว่า น้ำซุปพวกนี้จำเป็นจะต้องนำไปกลั่นให้เข้มข้นก่อน แต่ว่าเรื่องขายได้เงินนั้นเป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว”


ฉินสือโอวพูดว่า “เรื่องนั้นง่ายมาก เริ่มจากพรุ่งนี้เป็นต้นไปฉันจะให้พวกชาร์คเก็บน้ำที่กรองออกมาไว้ก็ได้แล้ว ”


บัตเลอร์พูดด้วยน้ำเสียงเสียดายว่า “ความจริงตอนนี้เป็นฤดูกาลที่ดีในการจับปลาโอแถบ ฉิน หากว่านายออกทะเลได้ก็ดีสิ ออกไปที่ทะเลแถบมหาสมุทรแปซิฟิกแล้วไปกว้านมาสักล็อตใหญ่ๆ ปลาโอแถบที่เอามาทำเป็นปลาแห้งเก็บรักษาง่าย พวกเราสามารถขายได้ไปอีกหลายปีไม่มีปัญหา!”


ฉินสือโอวเข้าใจความหมายของบัตเลอร์ แต่ว่าเขาก็ยังคงส่ายหัวอย่างแน่วแน่แล้วพูดว่า “ปีนี้ไม่ได้ ปีหน้าแล้วกัน ตอนนี้เถียนกวายังเด็กเกินไป ฉันไม่สามารถทิ้งลูกไว้ให้วินนี่ดูแลคนเดียวได้”


จากนั้นฉินสือโอวก็ถามบัตเลอร์ต่อว่าตอนนี้ตลาดอาหารทะเลมีอะไรที่กำลังขายดีบ้าง เพื่อที่ฟาร์มปลาจะได้ทำการเพาะเลี้ยง พอพูดถึงตรงนี้เขาก็นึกถึงเรื่องที่บิลแนะนำให้เขาทำหอยเม่นเอ็กไคโนคอคคัสขึ้นมา จึงถามออกไป


เมื่อได้ยินชื่อหอยเม่นเอ็กไคโนคอคคัสแล้ว บัตเลอร์ก็ถามอย่างแปลกใจว่า “นายสามารถหาเม่นชนิดนี้ได้เหรอ? ชิท งั้นก็รีบเพาะเลี้ยงเลยสิ นี่น่ะเป็นสมบัติทางทะเลที่ขายดีมากๆ ในแถบทวีปเอเชียเลยนะ นายไม่รู้จริงเหรอ?”


ฉินสือโอวยักไหล่แล้วพูดว่า “ก็ไม่เชิงว่าไม่รู้ แค่ว่าช่วงนี้ค่อนข้างยุ่ง เลยลืมเรื่องนี้ไป”


บัตเลอร์ลูบเคราใต้คางทีหนึ่ง แล้วพูดว่า “ให้ตายสิ นายนี่ทำงานไม่มืออาชีพเลยจริงๆ! ผลิตภัณฑ์ทะเลที่สำคัญอย่างหอยเม่นเอ็กไคโนคอคคัสนายยังกล้าที่จะไม่ใส่ใจอีก! รีบไปเพราะเลี้ยงไป เจ้าสิ่งนี้สามารถขายในเอเชียตะวันออกได้ในราคาสูงเลย!”


ระหว่างพูดอยู่ เจ้าหมอนี่ก็ตื่นตัวขึ้นมา ดึงแขนฉินสือโอวไว้ แล้วพูดว่า “ฟังนะ น้องชาย ที่ฉันจะพูดก็คือ ให้นายรีบไปเพาะเลี้ยงเม่นทะเลแบบว่าตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลย! เพราะอุณหภูมิน้ำที่เหมาะที่สุดสำหรับการเพาะเลี้ยงลูกพันธุ์หอยเม่นเอ็กไคโนคอคคัสคือ 10 ถึง 20 องศาเซลเซียส หากอุณหภูมิน้ำต่ำกว่า 5 องศาเซลเซียสพวกมันจะไม่กินอาหาร จึงจำเป็นต้องให้พวกมันลงหลักปักฐานในฟาร์มปลาช่วงฤดูร้อนให้ได้”


ฉินสือโอวโทรศัพท์หาบิลในทันที แล้วถามว่า “คุณจำเรื่องหอยเม่นเอ็กไคโนคอคคัสได้ไหมเพื่อน?”


บิลพูดว่า “แน่นอน ผมจะลืมได้อย่างไร นั่นน่ะเป็นไพ่ตายในมือของผมเลยนะ! ว่าอย่างไร คุณตัดสินใจจะเลี้ยงแล้วเหรอครับ?”


ฉินสือโอวพูดว่า “ใช่แล้ว ผมจะเลี้ยง ในมือคุณมีลูกพันธุ์หอยเม่นทะเลเท่าไร? ส่งมาให้ผมหมดเลยแล้วกัน”


หลังวางสาย เขามองไปที่บัตเลอร์ทีหนึ่ง แล้วพูดว่า “ตอนนี้นายวางใจได้แล้วใช่ไหม?”


บัตเลอร์ตบเบาๆ ไปที่กระเป๋าเงินแล้วพูดว่า “ไม่ ตราบใดที่เงินยังไม่เข้ามาในนี้ ฉันก็ยังไม่วางใจ ”


ฉินสือโอว “…”


เขาไม่มีวันเข้าใจคนแบบบัตเลอร์เลย กับการที่โหยหาเงินทองมากเกินเหตุแบบนี้ เขาเองก็ชอบเงิน แต่รู้สึกว่าของอย่างเงินนั้นมีไว้เพื่อบริการชีวิตเท่านั้น ขอแค่ชีวิตไม่มีปัญหา งั้นก็ไม่จำเป็นต้องหาเงินมากมายก็ได้


ดังนั้น แม้ว่าตอนนี้ฉินสือโอวจะมีความสามารถมากแค่ไหน ก็ยังไม่เคยตระหนี่เลยแม้แต่ครั้งเดียว เงินที่สามารถโยกย้ายได้ในบัญชีจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เกินสองร้อยล้านดอลลาร์แคนาดาเลย


หลังกินข้าวเสร็จฉินสือโอวส่งบัตเลอร์กลับไป ตัวเองก็ไปแกล้งเสี่ยวเถียนกวาอีกสักพัก แล้วจึงปล่อยพลังโพไซดอนลงไปในฟาร์มปลา เพื่อตรวจดูสถานะความเป็นอยู่ของเหล่าสมาชิกใหม่


ครั้งนี้ฟาร์มปลามีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นมาค่อนข้างมาก อย่างเช่นกุ้งกุลาดำ ปลาลิ้นหมามินิ หอยเชลล์ และหอยนางรมเป็นต้น พวกอย่างหลังถือว่ายังไม่เท่าไร แต่ว่าพวกกุ้งกุลาดำกับปลาลิ้นหมามินิต้องระมัดระวังเสียหน่อย ไม่อย่างนั้นคงถูกปลาค็อดกินหมดเป็นแน่


ลูกกุ้งถูกเลี้ยงไว้ในน้ำที่ผ่านการดัดแปลงเพื่อการเพาะเลี้ยงโดยเฉพาะ ใต้น้ำมีใบสาหร่ายเป็นชิ้นๆ และแมงกะพรุนผงมากมาย ซึ่งสามารถให้โปรตีนที่สูงแก่ลูกกุ้งได้ ทำให้พวกมันเติบโตได้เร็วขึ้น


นิโค ตู้เป็นนักธุรกิจที่ไม่เลวคนหนึ่ง ลูกกุ้งที่เขาขายให้ฉินสือโอว ไม่ได้มีเพียงแค่ลูกกุ้งเท่านั้น ยังมีกุ้งโตเต็มตัวอีกห้าพันตัวด้วย


ฤดูร้อนเป็นฤดูผสมพันธุ์ของกุ้งกุลาดำ กุ้งตัวเมียที่โตเต็มตัวพวกนี้ล้วนผ่านขั้นตอนนี้ไปแล้ว จึงทำให้มีลูกกุ้งติดมาด้วย ตอนนี้จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะเริ่มทำการผสมพันธุ์ได้แล้ว


ฉินสือโอวพบว่ากุ้งกุลาดำไม่เหมือนกับกุ้งล็อบสเตอร์ กระบวนการผสมพันธุ์ของพวกมันเริ่มจากการปล่อยไข่ที่ผ่านการปฏิสนธิแล้วออกไป ไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิพวกนี้จะลอยอยู่บนทะเล จากนั้นค่อยแตกออกมาเป็นลูกกุ้ง


ลูกกุ้งจะไม่เหมือนกับพ่อแม่ หน้าตาออกจะคล้ายกับแมงมุมตัวเล็ก ตอนแรกฉินสือโอวไม่รู้ เมื่อเห็นว่าในฟาร์มเพาะเลี้ยงมีแมงมุมตัวเล็กอยู่เป็นกลุ่มๆ ยังนึกว่ากำลังเจอกับภาวะปรสิตคุกคามเสียอีก หลังจากหาข้อมูลแล้วถึงได้เข้าใจความเป็นมา


กุ้งกุลาดำเหมือนกับกุ้งล็อบสเตอร์ ตลอดชีวิตของพวกมันจะต้องผ่านการลอกคราบสิบยี่สิบกว่าครั้ง ในตอนนี้ชื่อทางการของกุ้งแมงมุมพวกนี้คืออาร์โทรโปดา พวกมันจะต้องผ่านการลอกคราบหกครั้งเพื่อให้ขาและตายื่นออกมา จากนั้นก็ต้องลอกคราบอีกหกครั้งเพื่อกลายเป็นลูกกุ้งเต็มตัว

 

 

 


บทที่ 1293 ความโหดร้ายที่รุกล้ำเข้ามา

 

เทียบกับกุ้งกุลาดำที่ได้รับการปกป้องเป็นพิเศษแล้ว สถานการณ์ของปลาลิ้นหมามินิออกจะเสี่ยงกว่าเสียด้วยซ้ำ


ตอนนี้พวกมันเข้าไปอยู่ในฟาร์มปลาแล้ว รอบตัวก็คือพวกปลาค็อดกับปลาอีโต้มอญที่อันตราย ลูกปลาลิ้นหมาที่ขนาดใหญ่แค่ฝ่ามืออย่างนี้ สำหรับพวกมันแล้วก็เป็นได้แค่อาหารเท่านั้น


แต่ทว่าปลาลิ้นหมามินิกลับอาศัยอยู่แต่น่านน้ำทะเลใกล้ๆ อย่างว่าง่าย ฉินสือโอวเห็นพวกมันว่ายลอยตัวช้าๆ อยู่ใต้ทะเล มีบางกลุ่มที่รู้จักการซ่อนตัวในสาหร่ายทะเลอีกด้วย สีน้ำตาลของลำตัวของพวกมันบวกกับการซ่อนตัวจากสาหร่ายทะเล ทำให้พวกมันมีโอกาสรอดชีวิต


จิตสำนึกแห่งโพไซดอนทั้งสี่ทิศแผ่ออกไปรอบฟาร์มปลารอบหนึ่งอย่างรวดเร็ว ฉินสือโอวไล่พวกปลาตัวใหญ่ไปยังทะเลน้ำลึก เพื่อพยายามลดโอกาสที่พวกมันจะเจอตัวปลาลิ้นหมามินิให้ได้มากที่สุด


นอกจากกุ้งปลาแล้ว ใต้ทะเลของฟาร์มปลายังมีพวกหอยเชลล์อย่างหอยเชลล์มินิเพิ่มขึ้นมามากมาย แต่ถ้าเทียบกับกุ้งกุลาดำแล้ว พวกหอยเชลล์ดูจะกระตือรือร้นมากกว่ามาก


เมื่อก่อนฉินสือโอวคิดว่าหอยเชลล์จะเหมือนกับหอยนางรมลอย คืออาศัยอยู่ใต้ทะเล ไม่ค่อยขยับไปไหน และใช้ชีวิตอย่างสงบ แต่หลังจากมาเลี้ยงเองแล้วจึงพบว่าไม่ใช่อย่างนั้นเลย พลังการเคลื่อนไหวของพวกหอยเชลล์นั้นแข็งแกร่งมาก


หอยเชลล์พวกนี้สามารถใช้กล้ามเนื้ออ้าเปลือกออก หลังจากดูดน้ำทะเลเข้าไปแล้วปิดปากลงอย่างรวดเร็วแล้วจะเกิดปฏิกิริยาแรงผลักในน้ำทำให้สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว


ตอนนี้ใต้ทะเลใกล้ฝั่งจึงมีหอยเชลล์เปิดปิดเปลือกหอยเพื่อเคลื่อนที่อยู่ไม่ขาดสาย หนำซ้ำบางครั้งยังสามารถกระโดดโลดเต้นในน้ำได้อีกด้วย โดยการใช้การเปิดปิดอย่างแรงพุ่งตัวไปข้างหลัง แถมความเร็วในการเคลื่อนที่ยังไม่ช้าเสียด้วย


หลังจากที่พวกมันเคลื่อนตัวไปเจอกับสถานที่ที่เหมาะแก่การอยู่อาศัยแล้ว ก็จะยื่นขาออกมาเกาะไว้ที่โขดหินในทะเลน้ำตื้นหรือไม่ก็หาดทรายใต้ทะเลเพื่อเป็นการหยุดอยู่กับที่ รอจนที่แห่งนั้นไม่มีอาหารเพียงพอแล้ว ก็จะเก็บขาเข้ามาแล้วเปลี่ยนที่อยู่อาศัยใหม่


หอยเชลล์ชอบอาศัยอยู่ในน่านน้ำที่ไหลเชี่ยว มีความเค็มค่อนข้างสูง และค่อนข้างสว่าง เพราะว่าพวกมันเป็นสัตว์จำพวก Filter Feeder (พวกที่กรองกินอนุภาคของอาหารที่มีขนาดเล็กที่แขวนลอยอยู่ในน้ำ) คือเป็นพวกที่สามารถเลือกขนาดของอาหารได้ แต่ไม่สามารถเลือกประเภทของอาหารได้ ดังนั้นจึงต้องพึ่งกระแสน้ำในการส่งอาหารมาให้


ดังนั้น ตอนนั้นที่ฉินสือโอวปล่อยพวกมันไว้ตรงน่านน้ำของฟาร์มปลาแกธเธอริงที่อยู่ทิศเหนือของเกาะ ก็เพราะเกาะแฟร์เวลมีลมเหนือมากก็จริง แต่ทางตอนเหนือมีกระแสน้ำลึกที่มาจากขั้วโลกเหนือนั่นเอง


หลังจากพวกหอยเชลล์หาที่เหมาะสมสำหรับอยู่อาศัยได้แล้วก็จะหยุด แล้วทำการต่อตัวเรียงกันเป็นแถว ราวกับกำลังทำเส้นแนวป้องกันใต้ทะเลอยู่ เพื่อเป็นการใช้ประโยชน์ของกระแสน้ำลึกและคลื่นทะเลในการหาอาหารให้ได้มากที่สุด


คลื่นทะเลพัดเกลียวเข้ามา เหล่าหอยเชลล์พากันเปิดเปลือกออก ขอแค่ขนาดใช้ได้ ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ใช่อาหารก็ล้วนถูกสายระยางดึงเข้าไปในปากทั้งหมด การทำแบบนี้ของพวกมันมีประโยชน์ต่อการทำความสะอาดน้ำทะเลเป็นอย่างมาก


อาหารหลักของหอยเชลล์คือเศษอินทรีย์สาร และแพลงก์ตอนที่แขวนลอยอยู่ในน้ำทะเล อย่างเช่นสปอร์ของสาหร่ายหรือใบสาหร่ายที่หลุดร่วงลงมา นอกเหนือจากนี้ยังสามารถกินแบคทีเรียทุกชนิดที่อยู่ในน้ำได้อีกด้วย


ฉินสือโอวหาต้นตอของกระแสน้ำลึกจนเจอ จึงใช้พลังโพไซดอนพัดคลื่นลูกใหญ่เพื่อพาบรรดาหอยเชลล์ไปที่นั่น เพียงเท่านี้หอยเชลล์ก็มีที่อยู่อาศัย และสามารถเปิดเปลือกเพื่อตั้งหน้าตั้งตารอให้กระแสน้ำพัดอาหารมาให้ได้แล้ว


หลังจากเตร็ดเตร่อยู่แถวทะเลใกล้ฝั่งเสร็จ เขาก็มุ่งหน้าเข้าไปยังน่านน้ำที่ไกลออกไปอีก


จิตสำนึกแห่งโพไซดอนส่วนหนึ่งยึดไว้กับตัวฉลามยักษ์เฮยป้าหวัง เพราะฉินสือโอวอยากจะบังคับฉลามเพื่อวางมาดเสียหน่อย แต่พอมองไปข้างหน้าเท่านั้นก็กลับเห็นภาพอันน่าประหลาดใจเข้า


ราวกับว่ามีระเบิดนิวเคลียร์มาระเบิดลงในทะเลอย่างไรอย่างนั้น เพราะมีควันที่รูปร่างคล้ายดอกเห็ดลอยล่องอยู่ในน้ำหลายดอกเลย!


เมื่อกี้เฮยป้าหวังเองก็กำลังจ้องมองภาพเหตุการณ์นี้อยู่เช่นกัน หรือว่าสิ่งมีชีวิตตัวนี้


มองแค่ปราดเดียวฉินสือโอวก็รู้ทันทีว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอะไร นี่ก็คือหัวหน้าใหญ่อีกตัวของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ แมงกะพรุนขนสิงโตขั้วโลกเหนือ!


เขาคาดการณ์ไว้แต่แรกแล้วว่าแมงกะพรุนขนสิงโตขั้วโลกเหนือต้องมาที่ฟาร์มปลา แค่ไม่รู้เวลาที่แน่ชัดเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าจะปุบปับ ให้เขาได้เจอสิ่งมีชีวิตนี้ในคืนนี้


แมงกะพรุนขนสิงโตเหนือเป็นสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก อย่างเช่นตัวที่เขาเจอตัวนี้ มันมีเส้นผ่าศูนย์กลางของร่มยาวถึงสองเมตรกว่า แน่นอนว่านี่ไม่ถือว่าใหญ่ แต่ว่าหนวดของมันนั้นกลับถือว่าใหญ่มาก หนวดเพียงเส้นเดียวก็ยาวถึงสี่ห้าสิบเมตรเลยทีเดียว


และตอนที่แมงกะพรุนชนิดนี้ลอยอยู่ในน้ำ มักจะเคยชินกับการใช้ร่มคลุมหนวดที่ยื่นออกไปรอบด้าน เท่ากับว่าหนวดสองข้างที่ลอยอยู่ในน้ำ สามารถมีระยะทางไกลได้อีกร้อยเมตรเลย!


ร่มที่ลอยอยู่ในน้ำของแมงกะพรุนขนสิงโตขั้วโลกเหนือชนิดนี้ จะยื่นหนวดที่มีมากมายลงไปด้านข้าง ยิ่งยื่นลงไปได้เท่าไร มองไปก็ยิ่งเหมือนควันรูปดอกเห็ดที่ระเบิดออกอย่างไรอย่างนั้น


แต่มองไปแล้วมันสวยกว่าควันดอกเห็ดมากเลยทีเดียว ในตัวของแมงกะพรุนขนสิงโตขั้วโลกเหนือมีโปรตีนที่มหัศจรรย์ชนิดหนึ่งที่ชื่อว่าเอควาริน เมื่อโปรตีนชนิดนี้รวมตัวกับแคลเซียมไออนเมื่อไร ก็จะเปล่งแสงสีฟ้าที่สว่างจ้าออกมา


ยิ่งมีปริมาณเอควารินในตัวแมงกะพรุนมากเท่าไร แสงที่เปล่งออกมาก็จะยิ่งสว่าง อย่างเช่นแมงกะพรุนขนสิงโตขั้วโลกเหนือตัวนี้ที่มีปริมาณเอควารินในตัวอยู่ไม่น้อย ตอนที่มันกำลังเคลื่อนที่อยู่ในน้ำ ท่อลำเลียงอาหารทั้งแปดท่อของมันสามารถเปล่งแสงสีฟ้าออกมาได้ ทำให้มองไปแล้วดูเหมือนเป็นลูกบอลหลากสีที่มีสีสวยสะดุดตาลูกหนึ่ง


ไม่เหมือนกับแมงกะพรุนเวเลลลา แสงของแมงกะพรุนขนสิงโตจะสามารถสว่างได้นานกว่า หนวดของพวกมันเป็นราวกับเส้นแสงหลายๆ เส้น ทำให้ตอนที่พวกมันว่ายน้ำอยู่ เส้นแสงก็จะสะบัดไปมาตามแรงคลื่น สวยตระการตามาก


ฉินสือโอวมองดูแมงกะพรุนขนสิงโตตัวใหญ่ยักษ์นี้ ในใจไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกดีใจหรือกังวลดี


เหตุผลที่มันได้ชื่อว่าแมงกะพรุนขนสิงโตขั้วโลกเหนือ ก็เพราะในปัจจุบันจะสามารถพบได้มากในน่านน้ำเขตขั้วโลกเหนือ พวกมันมีความพิถีพิถันในการเลือกคุณภาพน้ำที่อยู่อาศัยเป็นอย่างมาก ขอแค่น้ำทะเลมีการปนเปื้อนเพียงนิดเดียว ก็สามารถตายได้เลย ดังนั้นจึงมีแต่น่านน้ำที่มีคุณภาพน้ำที่ดีเท่านั้น ที่จะมีแมงกะพรุนขนสิงโตปรากฏตัวออกมาให้เห็น


การมาถึงของแมงกะพรุนสิงโตตัวนี้ หมายความได้ว่าคุณภาพน้ำของฟาร์มปลาต้าฉินนั้นอยู่ในระดับแนวหน้าของมหาสมุทรแล้ว


แต่ทว่า แม้แมงกะพรุนขนสิงโตจะมีรูปร่างที่สวยงามก็ตาม แต่ความจริงแล้วดุดันน่ากลัวเป็นอย่างมาก อย่างเช่นปลาทะเลที่แข็งแกร่งอย่างปลาค็อดแอตแลนติกเหนือ หากว่าถูกหนวดของมันจับได้แล้วล่ะก็ ใช้เวลาไม่นานก็ตายกลายเป็นอาหารไปได้ในทันที


ตอนนี้หนวดของแมงกะพรุนขนสิงโตขั้วโลกเหนือตัวนี้กำลังลอยล่องอยู่ในน้ำทะเล สิ่งนี้เป็นทั้งอวัยวะในการย่อยอาหาร และยังเป็นอาวุธของพวกมันด้วย


บนหนวดของมันเต็มไปด้วยไนโดไซต์ ซึ่งเหมือนกับใยพิษ สามารถปล่อยสารพิษออกมาได้ ไม่ว่ากุ้งปลาตัวไหนถูกอวัยวะนี้จับตัวไว้ได้ก็จะต้องเป็นอัมพาตแล้วตายทั้งนั้น


ฉินสือโอวมองดูปลาทะเลเล็กใหญ่ที่ว่ายน้ำผ่านมา ตัวที่ฉลาดหน่อยจะพากันว่ายหลบเจ้าแมงกะพรุนขนสิงโตตัวนี้ แต่ก็มีบางตัวที่ว่ายพุ่งเข้าไปหาทันที


เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว หนวดของแมงกะพรุนหนวดสิงโตจึงพันรัดตัวพวกมันเอาไว้ ปลาตัวที่เล็กหน่อยอย่างปลาแฮร์ริ่ง ปลาซาบะ ใช้เวลาแค่สองสามนาทีก็เป็นอัมพาตจนเสียชีวิต ส่วนปลาค็อดที่ตัวใหญ่หน่อยก็สามารถทนได้แค่หกเจ็ดนาทีเท่านั้น


เมื่อรอจนเหยื่อตายแล้ว แมงกะพรุนขนสิงโตขั้วโลกเหนือจะเก็บหนวดกลับมา ใช้ติ่งเนื้อเมือกด้านล่างร่มดูดไว้ ติ่งเนื้อเมือกของพวกมันสามารถสกัดเอนไซม์ออกมา เมื่อทำการย่อยโปรตีนจากร่างกายของเหยื่อออกมาอย่างรวดเร็วแล้วก็จะกินเข้าไป


ส่วนที่น่ากลัวอยู่ที่แมงกะพรุนขนสิงโตขั้วโลกเหนือเป็นสัตว์ชั้นต่ำ พวกมันไม่มีจิตสำนึก ไม่รู้จักอิ่มหรือหิว ขอแค่มีเหยื่อเข้าใกล้ พวกมันก็จะไม่หยุดที่ล่าอาหาร


และเริ่มตั้งแต่ฉินสือโอวส่งจิตสำนึกเข้าไปที่เฮยป้าหวังจนถึงตอนนี้ ก็เห็นว่ามีปลาทะเลไม่น้อยเลยที่ว่ายเข้าไปในบริเวณที่หนวดเอื้อมถึงได้


ตอนแรกฉินสือโอวนึกว่าปลาทะเลพวกนี้ถูกหนวดที่เรืองแสงของแมงกะพรุนขนสิงโตดึงดูดเข้าไป แต่ปลาที่ว่ายเข้ามานั้นมีเยอะมากจนเขาเองก็ตกใจเล็กน้อย เมื่อไรกันที่ปลาของฟาร์มปลาไวต่อแสงขนาดนี้?


เขายังสังเกตได้ถึงอีกจุดหนึ่งด้วยว่า ปลาพวกนี้ว่ายมาจากทิศทางเดียวกัน แล้วยังว่ายมาด้วยท่าทีตื่นตระหนกด้วย ดังนั้นเขาจึงทวนกระแสน้ำเข้าไปดู แต่สิ่งที่เขาเห็นตามมานั้นกลับทำให้เขาโกรธจนแทบจะระเบิดเลย


สิ่งที่เขาเห็นด้านหลังฝูงปลาพวกนี้ ก็คือภาพฉลามแมวเจ็ดพี่น้องที่กำลังเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่ พวกมันก็เหมือนกับคนเลี้ยงแกะ ที่กำลังไล่ต้อนปลาไปทางแมงกะพรุนขนสิงโตตัวนี้!


ให้ตายสิ! ฉินสือโอวควบคุมเฮยป้าหวังแล้วรีบพุ่งเข้าไปทันที!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)