พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1285-1294
บทที่ 1285 หายนะที่เกิดจากการฟ้อง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ดวงอาทิตย์ขึ้นสูง ภายในชั่วพริบตาเดียวรูปแบบของตลาดสวรรค์ก็เปลี่ยนกลับไปเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ทางการควบคุมสมาคมร้านค้าไว้ในมืออย่างแน่นหนาอีกครั้ง มีทั้งคนดีใจมีทั้งคนเสียใจ ผู้ที่ได้ผลประโยชน์ใหม่ย่อมดีใจอยู่แล้ว สวีถังหรานที่ได้โอกาสเงยหน้าอ้าปากอีกครั้งก็ดีใจเช่นกัน โจวหรานกับอูหันซานฆ่าตัวตายอยู่หน้าประตูตำหนักคุ้มเมือง ก็แสดงว่าผู้บัญชาการใหญ่ชนะแล้ว ความกังวลก่อนหน้านี้สลายหายไปราวกับเมฆหมอก มีผู้จัดการร้านกลุ่มหนึ่งต้องการจะจัดงานเลี้ยงและเชิญนายท่านผู้บัญชาการไปเข้าร่วมงาน
ถึงแม้ตัวเองจะมีอำนาจตัดสินใจที่เขตเมืองตะวันตก แต่กลิ่นคาวเลือดที่ตลาดสวรรค์ก็ยังไม่หายไป ถ้าจะไปเข้าร่วมงานเลี้ยงตอนนี้ก็ดูจะไม่ค่อยเหมาะสม สวีถังหรานย่อมต้องปฏิเสธ ทว่าตอนนี้เขาเป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ย่อมมีคนตอบสนองความต้องการอยู่แล้ว รู้ว่าเขาสนใจคนที่หอกลิ่นสวรรค์จนเกือบจะบังคับขืนใจ จึงบอกทันทีว่าเชิญเสวี่ยหลิงหลงมาแล้ว
ดังนั้นหลังจากตกกลางคืน สวีถังหรานเพิ่งจะไปเข้าร่วมงานเลี้ยงได้ไม่นานเท่าไร เป่าเหลียนก็วิ่งมาฟ้องตรงหน้าเหมียวอี้ “นายท่าน สวีถังหรานเหลวไหลเกินไปแล้ว เพิ่งจะเกิดเรื่องราวใหญ่โตขนาดนั้นได้ไม่นาน ชั่วพริบตาเดียวเขาก็ไปปะปนกินดื่มอยู่กับกลุ่มพ่อค้าอีกแล้ว”
เหมียวอี้ที่กำลังนอนเอนกายหลับตาอยู่บนเก้าอี้กล่าวเสียงเรียบว่า “สันดานเขาไม่ค่อยดีเท่าไร แต่เวลาทำอะไรก็ยังรู้จักบันยะบันยังนะ เขาย่อมจัดการเรื่องที่เขตเมืองตะวันตกได้ดีอยู่แล้ว บางครั้งไปพบปะเข้าสังคมบ้างก็ถือเป็นงานราชการ”
“นายท่าน นั่นเรียกว่างานราชการเสียที่ไหนล่ะ ร้านค้าพวกนั้นรู้ว่าเขาสนใจเสวี่ยหลิงหลง เลยจงใจจะตอบสนองความต้องการของเขาเฉยๆ นายท่านกำลังเปลืองสมองคิดงานเงียบๆ อยู่ที่นี่ แต่เขากลับกินดื่มดูเสวี่ยหลิงหลงร้องรำทำเพลงอย่างสำราญบานใจ มีเจตนาอะไรกันแน่”
“สนใจเสวี่ยหลิงหลง…” เหมียวอี้ลืมตาอย่างช้าๆ เรื่องนี้เขาย่อมรู้อยู่แล้ว เรื่องที่สวีถังหรานบังคับเสวี่ยหลิงหลงก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ปกติก็สรรเสริญเยินยอสุดๆ ได้ยินเรื่องนี้มานานแล้ว จึงสั่งเบาๆ ว่า “ให้เขามาพบข้า”
“ค่ะ!” เป่าเหลียนดีใจทันที นายท่านกำลังจะจัดการเจ้าคนขี้ประจบแล้ว จึงหันตัวไปด้านข้างแล้วหยิบระฆังดาราออกมาทันที
ผ่านไปไม่นาน สวีถังหรานก็ออกจากงานเลี้ยงมาถึงที่นี่ด้วยความเร็วที่สุด ไม่กล้าชักช้ากับการเรียกหาของที่นี่ พอเห็นเหมียวอี้ก็กุมหมัดคารวะทันที “นายท่าน!”
อยู่ข้างนอกมีหน้ามีตา แต่พอมาถึงที่นี่ก็อ่อนน้อมถ่อมตนทันที
เป่าเหลียนเหล่ตามมอง เตรียมจะดูละครสนุกๆ
เหมียวอี้ที่กำลังหลับตาพักผ่อนถามเสียงเรียบว่า “ไปหาเสวี่ยหลิงหลงอีกแล้วเหรอ?”
“เอ่อ…” รอยยิ้มบนใบหน้าสวีถังหรานค้างทันที รู้สึกเสียวสันหลังนิดหน่อย เห็นได้ชัดว่านายท่านรู้ว่าเขาไปร่วมงานเลี้ยงมาแล้ว เขาเองก็รู้ว่าเวลานี้ไม่เหมาะจะไปกินดื่มหาความสำคัญ แต่ก็อดไม่ได้ เขาแอบเหลือบมองเป่าเหลียนเงียบๆ สงสัยนิดหน่อยว่านางตัวแสบเป็นคนฟ้องนายท่าน แต่ตอนนี้ไม่มีเวลามาสนใจแล้ว ได้แต่ตอบอย่างค่อนข้างหวาดกลัวว่า “ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว ครั้งหน้าไม่กล้าแล้วขอรับ”
เหมียวอี้ที่กำลังนอนเอนกายยกมือชี้ “ข้ารู้ว่าเจ้าชอบเสวี่ยหลิงหลง แต่ถ้าหลงใหลจนเสียการเสียงานก็คงไม่ดีแล้ว ในเมื่อเจ้าชอบ งั้นก็จัดการซะสิ จะได้ไม่ต้องกระเหี้ยนกระหือรืออยู่อย่างนั้น”
จัดการ? จัดการใคร? สวีถังหรานยังอกสั่นขวัญแขวนอยู่เลย รู้สึกเหมือนเหงื่อกาฬไหลพราก กังวลว่าเรื่องฆ่าคนปิดปากจะมาโผล่ที่ตนหรือเปล่า แต่ใครจะคิดว่าจะได้ยินแบบนี้ เขาตกตะลึงพูดไม่ออกทันที ยังนึกว่าตัวเองฟังผิดไป
เป่าเหลียนที่เตรียมจะดูละครสนุกๆ งงทันที นึกว่าตัวเองฟังผิดไปเช่นกัน
สวีถังหรานที่กำลังก้มหน้าถ่อมตัวมองดูสีหน้าของเหมียวอี้ พลางถามหยั่งเชิงอย่างระมัดระวัง “นายท่าน ท่านให้ข้าจัดการใครนะ?”
เหมียวอี้กล่าวอย่างช้าๆ ว่า “ไม่ต้องแกล้งโง่แล้ว เจ้าชอบเสวี่ยหลิงหลงมาตลอดไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้ตามใจเจ้าแล้ว ถ้าเจ้าไม่อยากได้ งั้นก็ช่างเถอะ”
เป่าเหลียนฟังเข้าใจแล้ว ทำสีหน้าตกตะลึงทันที
สวีถังหรานก็ฟังเข้าใจแล้วเช่นกัน บนใบหน้าฉายแววปลาบปลื้มอย่างบ้าคลั่ง พยักหน้าซ้ำๆ พร้อมตอบว่า “ต้องการๆๆ เจตนาอันงดงามของนายท่าน ข้าน้อยจะกล้าฝืนได้ยังไง จะเอา ข้าจะเอา เพียงแต่ว่า…” ชั่วพริบตาเดียวก็ทำสีหน้ากังวล “นายท่านบอกว่าเบื้องหลังของนางมี…”
ตอนแรกที่เขาชิงตัวเสวี่ยหลิงหลงแล้วโดนเหมียวอี้ห้าม เหมียวอี้เคยบอกว่าเสวี่ยหลิงหลงมีภูมิหลังที่ปิดบังอยู่ ทำให้เขาตกใจมาก ตอนนี้เขาอดไม่ได้ที่จะกังวลว่าเหมียวอี้กำลังหลอกใช้ให้เขาทำอะไรหรือเปล่า
“ตอนนั้นข้าก็เข้าใจผิดเพราะหวงฝู่จวินโหรวเหมือนกัน ตอนหลังเพิ่งจะเข้าใจ ว่านั่นเป็นเพียงการแสดงละคร จะมีภูมิหลังอะไรกันล่ะ คนที่หนุนหลังนางไม่มีใครนอกจากหวงฝู่จวินโหรว” เหมียวอี้กล่าว
สวีถังหรานตื่นเต้นดีใจ แต่ยังคงถามอย่างรอบคอบระมัดระวัง “ถ้าผู้จัดการร้านหวงฝู่…”
เขายังกังวลเรื่องภูมิหลังของหวงฝู่จวินโหรวอยู่บ้าง ที่ตอนแรกกล้าบังคับเสวี่ยหลิงหลง ก็เป็นเพราะอาศัยแนวโน้มสถานการณ์ที่ทดสอบได้รางวัลจากราชันสวรรค์ ยามปปกติกล้าทำซี้ซั้วเสียที่ไหนกัน
“มีข้าคุ้มหัวอยู่ เจ้าจะกลัวอะไร?” เหมียวอี้ถามเสียงเรียบ
“ใช่ๆ!” สวีถังหรานดีใจเป็นบ้าเป็นหลังทันที
ในที่สุดเหมียวอี้ก็ลืมตาสองข้าง มองดูเขาแล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “ถ้าทำช่วงนี้ก็ไม่เลวนะ!”
สวีถังหรานเข้าใจทันที สงสัยนี่จะเป็นรางวัลสำหรับเรื่องที่ตัวเองทำอย่างต่อเนื่องในช่วงนี้ ไม่อย่างนั้นคงไม่ผิดใจกับหวงฝู่จวินโหรวเพื่อเขาแน่นอน เขารีบโค้งตัวกุมหมัดคารวะซ้ำๆ “ขอบคุณนายท่านที่ช่วยให้สมปรารถนา ! ข้าน้อยจะไม่ลืมบุญคุณอันใหญ่หลวงนี้แน่นอน”
เหมียวอี้บอกอีกว่า “ไปเอาตัวกลับมาได้เลย แต่ก็ต้องทำตามธรรมเนียมหน่อย ท่านแม่สวีเองก็เป็นคนสนิทสนมของข้า การปั้นให้เสวี่ยหลิงหลงเป็นดาวเด่นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน ถ้าเจ้าอุ้มดาวเด่นของอีฝ่ายกลับมา ก็เท่ากับเป็นการทุบหม้อข้าว ดังนั้นเงินที่ควรจะไถ่ตัวเจ้าก็จะขี้เหนียวไม่ได้ ถ้าอยากจะกินเนื้อก็ต้องจ่ายสิ่งแลกเปลี่ยนบ้าง ในเวลาแบบนี้อย่าให้เกิดจุดอ่อนอะไรได้”
“เข้าใจแล้วขอรับ เข้าใจแล้ว” สวีถังหรานพยักหน้าซ้ำๆ
“ไปเถอะ!” เหมียวอี้โบกมือ
“ข้าน้อยขอตัว!”
พอออกจากตำหนักคุ้มเมือง สวีถังหรานก็แทบจะลอยขึ้นมาแล้ว ปากก็ยิ่งยิ้มจนหุบไม่ลง เนื้อที่คนมากมายกินไม่ได้ ไม่น่าเชื่อว่าจะตกมาอยู่ในชามข้าวตนแล้ว ผู้บัญชาการใหญ่ช่างมีเมตตากรุณา!
พอสวีถังหรานไปแล้ว เป่าเหลียนกลับลนลานทำอะไรไม่ถูก เริ่มกระวนกระวายแล้ว นอกจากจะโค่นล้มสวีถังหรานไม่ได้ ยังดึงเสวี่ยหลิงหลงเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยอีก การกระทำอย่างตนเรียกว่าอะไรกัน
“นายท่าน! สวีถังหรานเป็นคนต่ำทราม ท่านส่งเสวี่ยหลิงหลงไปให้เขาได้ยังไง?” เป่าเหลียนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปาก
“คนเต้นกินรำกินคู่กับคนต่ำทราม เป็นบุเพสันนิวาสพอดีเลย ไม่ใช่หรอกเหรอ?” เหมียวอี้กล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“นายท่าน! ถ้าเรื่องแบบนี้แพร่ออกไป ก็จะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงอันดีงามของนายท่านนะ นายท่านได้โปรดคืนคำสั่ง!” เป่าเหลียนกุมหมัดคารวะเพื่อขอร้องให้เสวี่ยหลิงหลงอีกครั้ง
“เป่าเหลียน เจ้าไม่สังเกตเหรอว่ามันเงียบเกินไป? เคยได้ยินคำว่าโยนหินถามทางมั้ย? เสวี่ยหลิงหลงก็คือหินก้อนนั้นไง ถึงยังไงผู้บัญชาการสวีก็ชอบนางจริงๆ อยู่กับผู้บัญชาการสวีก็ไม่นับว่าทำให้เสียศักดิ์ศรีนางหรอก”
“นายท่าน…”
“พอแล้ว! ถ้าเจ้ารู้สึกทนไม่ได้ที่อยู่กับข้า เจ้าก็ดูเอาว่าที่เขตเมืองตะวันตกมีตำแหน่งไหนเหมาะสม แล้วบอกมาได้เลย”
“…” เป่าเหลียนเบิกตากว้าง ตอนนี้นางหุบปากแล้ว ค่อยๆ ก้มหน้าลง รู้ว่าการที่ตัวเองฝืนควบคุมการตัดสินใจของนายท่านจะทำให้นายท่านโมโห เพียงแต่ในใจรู้สึกผิดแทบแย่ ถ้าไม่ใช่เพราะการยุยงของตนในครั้งนี้ เสวี่ยหลิงหลงก็คงไม่เกิดปัญหาแบบนี้เหมือนกัน
งานเลี้ยงจบเร็วกว่าปกติ กลุ่มคนของหอกลิ่นสวรรค์เพิ่งจะกลับมาพักได้ประเดี๋ยวเดียว ขณะกำลังจะปิดประตู ก็มีคนเหาะลงมาจากฟ้าเพื่อขัดขวางแล้ว มาผลักประตูออกโดยตรง
พนักงานมองดูทหารสวรรค์กลุ่มใหญ่ด้านนอกอย่างตะลึงงัน แล้วรีบหันกลับมาตะโกนเรียกอย่างคับขัน “ท่านแม่สวี!”
สองคนที่เข้ามาผลักเขาออกไปด้านข้าง สวีถังหรานที่หัวเราะร่าอยู่ข้างหลังเดินข้าวยาวเข้ามา แล้วคนสิบกว่าคนที่ติดตามมาด้วยก็กระจายกำลังยืนทั่วทุกมุม
ท่านแม่สวีวิ่งลงมาจากชั้นบน พอเห็นสวีถังหราน นางก็อกสั่นขวัญแขวนนิดหน่อย ยังเป็นเพราะเรื่องชิงตัวในปีนั้น แต่ในตอนนี้กลับต้องฝืนยิ้มเหมือนมีความสุขให้เขา “เอ๋! ลมอะไรหอบผู้บัญชาการสวีมาที่นี่แล้วล่ะ?”
สวีถังหรานหันซ้ายหันขวา ความสนใจไม่ได้อยู่บนตัวนางเลย เอาแต่ถามว่า “เสวี่ยหลิงหลงล่ะ? ให้นางออกมาพบข้า”
ท่านแม่สวีเครียดทันที แต่ยังฝืนยิ้มสู้ “บังเอิญจริงๆ นางพักผ่อนไปแล้ว นายท่านผู้บัญชาการมีอะไรจะกำชับเหรอ?”
“เหลวไหล! เพิ่งจะกลับมาจะพักผ่อนได้ยังไง คิดว่าข้าจ่ายเงินไม่ไหวเหรอ? อย่ามาขวาง!” สวีถังหรานโบกมือผลักนางไปด้านข้าง แล้วบุกขึ้นไปข้างบนโดยตรง
“ผู้บัญชาการสวี ผู้บัญชาการสวี…” ท่านแม่สวีไล่ตะโกนตามหลัง ขณะเดียวกันก็ส่งสายตาให้ลูกน้อง ให้ไปตามคนมาช่วยเหลือ
แต่ช่วยไม่ได้ที่วันนี้สวีถังหรานเตรียมป้องกันไว้แล้ว ลูกน้องของนางโดนคนของสวีถังหรานควบคุมไว้ทันที อย่าได้คิดที่จะไปไหนทั้งนั้น
ขวางไม่ได้แล้ว! ในสุดสวีถังหรานก็บุกเข้าไปในห้องนอนของเสวี่ยหลิงหลงได้
พอเห็นเขา เสวี่ยหลิงหลงที่กำลังลบเครื่องประทินโฉมก็ตกใจจนลุกขึ้นยืน แล้วถอยหลังไปที่กำแพงอย่างช้าๆ
ส่วนสวีถังหรานนั้น พอได้เห็นนางก็เบิกบานทั้งกายและใจ ราวกับรูขุมขนทั้งร่างกายมีกลิ่นอายที่บริสุทธิ์สดชื่นแผ่ออกมา เขาคิดถึงสิ่งนี้มาหลายปีแล้ว เดิมทีคิดว่าทั้งชาตินี้ตัวเองจะไม่มีวาสนาแล้ว แต่ใครจะคาดคิดล่ะ! บนใบหน้ามีรอยยิ้มราวกับดอกไม้บาน โบกมือพร้อมบอกว่า “แม่นางหลิงหลง อย่ากลัวนะ อย่ากลัว เป็นเรื่องที่ดี” จากนั้นหันกลับไปตะโกนบอกว่า “ท่านแม่สวี สวีคนนี้ทนเห็นแม่นางหลิงหลงตกต่ำอยู่ที่แหล่งอบายมุขตลอดไปไม่ได้ วันนี้ข้าจะมาไถ่ตัวแม่นางหลิงหลง ราคาเท่าไร ท่านเสนอราคามาเลย?”
“หา!” ท่านแม่สวีโบกมือ “นายท่านผู้บัญชาการ ไม่ได้เด็ดขาด ไม่ได้!”
สวีถังหรานขี้คร้านจะพูดมากกับนาง เขาเองก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางตอบตกลง และก็ไม่ได้หวังว่าอีกฝ่ายจะตอบตกลงด้วย ถึงอย่างไรเขาก็ใช้กำลังก่อนเจรจาตามมารยาทไปแล้ว ยื่นมือไปข้างหลังเพื่อคว้ามือท่านแม่สวี แล้วตบกำไลเก็บสมบัติววงหนึ่งลงในฝ่ามือนาง “ราคาแบบนี้ ไม่ว่าจะไปพูดที่ไหนก็ฟังขึ้น!”
พูดจบก็หันกลับมา เดินก้าวยาวไปข้างกายเสวี่ยหลิงหลง เรียกได้ว่ามองนางด้วย ‘อารมณ์ลึกซึ้ง’
เสวี่ยหลิงหลงกลับเครียดจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว จะถอยก็ไม่มีทางให้ถอย แผ่นหลังติดกำแพงแล้ว
วูบ! สวีถังหรานที่ถอนหายใจยาวไม่พูดพร่ำทำเพลง พลันยื่นมือออกมาอุ้มเสวี่ยหลิงหลงในแนวนอน แล้วเดินก้าวยาวออกไป
“ปล่อยข้านะ!” เสวี่ยหลิงหลงดิ้นรนกระวนกระวาย
สวีถังหรานที่เคยโดนนางขู่ว่าจะฆ่าตัวตายรีบผนึกวรยุทธ์บนตัวนาง ควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ของนางไว้ แล้วหัวเราะลั่นเดินจากไป รู้สึกว่าความรื่นรมย์ชื่นมื่นในชีวิตคนมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
“ผู้บัญชาการสวี ไม่ได้นะ พวกเรา…” ท่านแม่สวียังคิดจะตามไป แต่กลับพบว่าจู่ๆ ก็มีอาวุธมาจ่อบนคอ ทำให้ต้องกลืนคำพูดที่จ่อมาถึงปากลงท้องไป
มีบางคนแสยะยิ้มพร้อมบอกว่า “ท่านแม่สวี อย่าอ่านสถานการณ์ไม่ออกเลย ผู้บัญชาการสวีเป็นคนดังข้างกายผู้บัญชาการใหญ่ การที่เขามาชอบดาวเด่นของท่านได้ก็นับว่าไว้หน้าท่านแล้ว เงินก็ไม่น้อยนะ อย่าไม่ไว้หน้ากันเลย กลิ่นคาวเลือดที่ตลาดสวรรค์ยังไม่สลายหายไป พวกเราไม่ถือสาที่จะตัดหัวผู้จัดการร้านเพิ่มอีกสักคนหรอกนะ!”
“…” ท่านแม่สวีหดคอทันที ในหัวปรากฎภาพเหตุการณ์ที่ศีรษะคนหลายพันร่วงลงพื้น
ไม่นานก็ถูกนำตัวมาไว้ชั้นล่างของตึก เดิมทีนางหวังจะให้ลูกน้องรายงานข่าวให้หวงฝู่จวินโหรวรู้ ปรากฏว่าพอลงมาดู ก็พบว่าทุกคนของหอกลิ่นสวรรค์ถูกจับมารวมอยู่ด้วยกันแล้ว นางมึนงงทันที ตอนนี้ถึงได้พบว่าครั้งนี้สวีถังหรานเตรียมตัวมาแล้วจริงๆ ตั้งปณิธานไว้แน่วแน่แล้วชัดๆ!
บทที่ 1286 ประเมินสวีถังหรานต่ำไปแล้ว
โดย
Ink Stone_Fantasy
“วันนี้เป็นวันมหามงคลของนายท่านผู้บัญชาการ นายท่านผู้บัญชาการเชิญพวกเราไปฟังดนตรีดูระบำ ท่านแม่สวี ท่านคงไม่ปฏิเสธแขกหรอกใช่มั้ย?”
ในหอกลิ่นสวรรค์ คนกลุ่มหนึ่งกล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูดออกมา ผู้ช่วยผู้บัญชากรบางคนเดินวนอยู่ท่ามกลางพวกเขา สุดท้ายก็ยื่นศีรษะมาตรงหน้าท่านแม่สวี แล้วกล่าวด้วยสีหน้าชั่วร้าย
สถานการณ์เป็นแบบนี้แล้ว ท่านแม่สวีจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร
ดังนั้นคนกลุ่มนี้จึงเปิดเวทีที่หอกลิ่นสวรรค์เสียเลย สรุปก็คือไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดว่าจะได้หลุดพ้นสายตาพวกเขาไปรบกวนเรื่องดีๆ ของนายท่านผู้บัญชาการ แบบนี้มาเพื่อฟังเพลงดูระบำเสียที่ไหนกัน มาจับตาดูกันชัดๆ
จนกระทั่งการแสดงจบ ฟ้าก็สว่างแล้ว
สุดท้ายกลุ่มทหารสวรรค์ก็ไปแล้ว มีพนักงานคนหนึ่งรีบบอกทันทีล่ะ “ท่านแม่ รีบไปหาผู้จัดการร้านหวงฝู่สิ!”
“ยังจะไปหาทำไมอีกล่ะ! ฟ้าสว่างแล้ว ลูกแทบจะคลอดออกมาแล้ว!” ท่านแม่สวีตวาดบอก และนั่งลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนปวกเปียก นางขวัญหนีดีฝ่อ พึมพำกับตัวเองว่า “หมดกัน! หมดกัน! ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกแล้ว ต้นไม้เงินต้นไม้ทองที่ข้าห่อหุ้มมาหลายปีมาหายไปแบบนี้แล้ว ครึ่งชีวิตหลังแม่ยังหวังจะได้อาศัยบารมีนางหนูนั่นอยู่เลย แต่ไม่เหลือแล้ว ไอ้สัตว์เดรัจฉานที่สมควรโดนสวรรค์ลงโทษพวกนี้…”
“ยินดีกับนายท่านผู้บัญชาการ!”
เวลาดีๆ ยามฟ้าสาง สวีถังหรานที่สีหน้าสดชื่นกระปรี้กระเปร่าและสวมชุดลำลองทั้งตัวเดินออกมาจากเรือนพักด้านใน พอออกมาก็เจอกับลูกน้องที่เรียงแถวกล่าวแสดงความยินดีทันที
“หึหึ! ฮ่าๆ! ฮ่าๆ…” สวีถังหรานเงยหน้าขึ้นฟ้าพลางหัวเราะลั่น ความอ่อนโยนละมุนละไมเมื่อคืนนี้ช่างเติมเต็มความปรารถนาจริงๆ เสื้อบางที่ถักทอถูกถอดออกหมด หยกที่เกลี้ยงเกลาตกอยู่ในมือ อบอุ่นนุ่มนวล ราวกับได้ดื่มน้ำฝนในหน้าแล้ง รักจนวางมือไม่ลง คนนอกไม่มีทางรับรู้รสชาติที่อยู่ในนั้นได้ เพียงพอที่จะทำให้สบายอกสบายใจไปทั้งชีวิต!
พอหัวเราะเสร็จ ก็ชี้ไปที่คนคนหนึ่งพร้อมบอกว่า “เอ่ออะไรนะ คนที่จะมาปรนนิบัติแม่นางหลิงหลงล่ะ? ไปซื้อมาสองคน…ไป ไปที่หอกลิ่นสวรรค์ เอาตัวสาวใช้ที่ยามปกติคอยปรนนิบัติแม่นางหลิงหลงมา ข้าจ่ายเงินไปแล้ว”
“ขอรับ! ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้!” มีคนเลี้ยววิ่งออกไปทันที
ทว่าผ่านไปครู่เดียว ก็มีคนวิ่งมาอีก รายงานอย่างกระวนกระวายว่า “นายท่าน แย่แล้ว หวงฝู่จวินโหรวพาคนมาขวางประตูไว้ ต้องการจะพบท่าน สีหน้าไม่เป็นมิตรเลย!”
สวีถังหรานที่กำลังแจกจ่ายงานให้ลูกน้องทำสีหน้าไม่ถูก เขามีเรื่องกับหวงฝู่จวินโหรวไม่ไหวจริงๆ เมื่อวานสุขสันต์ผ่อนคลาย แต่วันนี้ปัญหามาเยือนถึงที่แล้ว
แต่พอลองคิดดูอีกที มีอะไรน่ากลัวล่ะ ผู้บัญชาการใหญ่บอกแล้วว่าจะคุ้มกะลาหัวให้ ลักความรับผิดชอบไปที่ผู้บัญชาการใหญ่ก็สิ้นเรื่องแล้ว จึงโบกมือทันที “เชิญเข้ามา!”
ผ่านไปไม่นาน หวงฝู่จวินโหรวก็มาแล้ว มาพร้อมสีหน้าเย็นเยียบ ถึงขั้นนำคนเจ็ดแปดคนข้างหลังบุกเข้ามาด้วย น้อยมากที่จะเห็นนางบุกเข้าสถานที่ราชการของตำหนักสวรรค์ด้วยท่าทางดุดันแบบนี้
เมื่อเห็นนางมีท่าทางแบบนี้ ถ้าจะบอกว่าสวีถังหรานไม่กังวลเลยก็แปลว่าโกหกแล้ว แต่ภายนอกยังพยายามแสร้งทำใจเย็น สาเหตุที่ข่มอารมณ์ได้แบบนี้ก็เพราะมีคนหนุนหลัง ไม่อย่างนั้นเขาคงคุ้นชินกับการโค้งเอวพยักหน้าตั้งนานแล้ว เขากุมหมัดคารวะ “ผู้จัดการร้านหวงฝู่มาเยือน ไม่ทราบว่ามีธุระสำคัญอะไรหรือ!”
ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเขา สายตาของหวงฝู่จวินโหรวราวกับต้องการจะฆ่าคน กล่าวเน้นย้ำทีละคำว่า “สวีถังหราน เจ้านี่ใจกล้าไม่เบา ขนาดคนที่สมาคมวีรชนคุ้มครองอยู่ยังกล้าแตะต้อง!”
“ผู้จัดการร้านหวงฝู่หมายถึงแม่นางหลิงหลงเหรอ? เกรงว่าจะเข้าใจผิดแล้ว ข้าช่วยไถ่ตัวนางก็ถือเป็นเรื่องดีนะ เป็นเรื่องสมัครใจกันทั้งสองฝ่าย เงินค่าไถ่ตัวข้าก็ให้ท่านแม่สวีไปแล้ว”
“สมัครใจทั้งสองฝ่ายเหรอ? เอาดาบจ่อคออีกฝ่ายไว้เรียกว่าสมัครใจทั้งสองฝ่ายเหรอ?” หวงฝู่จวินโหรวกล่าวด้วยน้ำเสียงดุร้ายมาก
“เอาดาบจ่อคอเหรอ มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ?” สวีถังหรานหัวเราะเบาๆ พลางมองซ้ายมองขวา ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “สงสัยจะมีการเข้าใจผิดแล้วจริงๆ ผู้จัดการร้านหวงฝู่ เอาอย่างนี้มั้ยล่ะ ท่านเรียกท่านแม่สวีมาสิ เรามายืนยันกันต่อหน้าเลย ท่านถามนางดู ว่าข้ากดดันนางสักนิดหรือเปล่า?”
คนก็เป็นของเขาแล้ว เขาไม่เชื่อหรอกว่าท่านแม่สวีจะโง่ถึงขั้นนั้น ไม่กลายเป็นเรือแล้ว ยังจะมาขัดใจเขาได้อีกเหรอ? ต้องทราบไว้ว่าตอนนี้คนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาคือคนที่สามารถกดดันให้โจวหรานกับอูหันซานฆ่าตัวตายได้ ท่านแม่สวีอยู่ในแหล่งอบายมุข ต้องการแค่เงินเท่านั้น เป็นคนประเภทที่ยอมสละทุกอย่างเพื่อล้างแค้นเหรอ? ถึงอย่างไรตอนนี้เสวี่ยหลิงหลงก็ถูกเขาซดน้ำแกงถ้วยแรกไปแล้ว ต่อให้ส่งกลับหอกลิ่นสวรรค์ไปก็ไม่ได้ราคาเดิม ขอเพียงท่านแม่สวีไม่ใช่คนโง่ ก็ควรจะรู้ว่าต้องเลือกอย่างไร
หวงฝู่จวินโหรวย่อมรู้ว่คำพูดของเขาสื่อถึงอะไร ท่านแม่สวีวิ่งมาบอกนางก็เพื่อจะบอกข่าวให้รู้เท่านั้น ขนาดท่านแม่สวียังบอกเองว่าช่างเถอะเพราะมีเรื่องด้วยไม่ไหว นางได้แต่กัดฟันถามว่า “เสวี่ยหลิงหลงล่ะ? ข้าต้องการพบนาง!”
“เชิญ!” สวีถังหรานหันตัวหลีกทาง แล้วยื่นมือเชิญ
หวงฝู่จวินโหรวรีบก้าวเข้าไปที่เรือนพักด้านใน มุ่งตรงไปที่เรือนหลัก สวีถังหรานไม่ไปเป็นเพื่อนข้างในแล้ว ถ้าอยู่ในเหตุการณ์ด้วยจะอึดอัดเก้อเขิน
แก๊ก! หวงฝู่จวินโหรวผลักประตูเข้าไปโดยตรง พอกวาดสายตามองรอบๆ ก็เห็นเพียงเงาหลังซูบผอมที่คุ้นเคยกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง กำลังหวีผมยาวอย่างช้าๆ
นางมองคนในกระจก คนในกระจกก็มองนางอย่างเหม่อค้างเช่นกัน
บนเตียงผ้าแพรยุ่งเหยิงไร้ระเบียบ ในห้องมีกลิ่นอายแปลกๆ ในฐานะคนที่เคยผ่านเรื่องนี้มาก่อน นางรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น มาช้าเกินไปแล้ว ช้าจนไม่รู้จะช้าอย่างไรแล้ว
นางรีบก้าวขึ้นไปข้างหน้า ใช้มือทั้งคู่ประคองบ่าของเสวี่ยหลิงหลงเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าดวงตาทั้งคู่ในกระจกร้องไห้จนแดงก่ำ หวงฝู่จวินโหรวสีหน้าหน้าตำหนิตัวเองทันที กล่าวอย่างเศร้าโศกแสนสาหัสว่า “หลิงหลง ข้าขอโทษ ข้ามาช้าไปแล้ว เมื่อคืนพวกท่านแม่สวีโดนควบคุมไว้ ข้าเองก็เพิ่งรู้ข่าวตอนเช้า ขอโทษ! ข้าขอโทษ!” น้ำตาไหลออกมา นางก็ร้องไห้แล้วเช่นกัน รู้สึกเจ็บปวดทุกข์แทนกับเรื่องที่เสวี่ยหลิงหลงประสบ
เสวี่ยหลิงหลงกลับมีท่าทางสงบนิ่งมาก วางหวีลงเบาๆ ยกมือขึ้นกุมมือบนบ่าตัวเอง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “พี่สาว ท่านแม่สวีไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”
“นางไม่เป็นอะไร!” หวงฝู่จวินโหรวส่ายหน้าอย่างขื่นขม “เจ้าไม่ต้องห่วงนะ ข้าไม่ปล่อยไอ้สารเลวที่อยู่ข้างนอกนั่นไปแน่ ข้าจะล้างแค้นให้เจ้าแน่นอน ข้าจะไปหาหนิวโหย่วเต๋อหนิวโหย่วเต๋อ จะไปทวงความยุติธรรมจากเขา!”
“พี่สาว!” เสวี่ยหลิงหลงดึงมือนางไว้แล้วส่ายหน้าเบาๆ กล่าวด้วยสีหน้าขมขื่นว่า “ไม่มีประโยชน์หรอก! เมื่อวานตอนผู้บัญชาการสวีไปเข้าร่วมงานเลี้ยง ระหว่างทางถูกผู้บัญชาการใหญ่เรียกไป ตอนหลังก็เลยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ในเวลาแบบนี้ ถ้าไม่มีผู้บัญชาการใหญ่อนุญาต เขาก็ไม่กล้าทำเรื่องแบบนี้เช่นกัน ช่างมันเถอะ” นางกลับตื่นตัวได้สติเป็นพิเศษ
“หนิวโหย่วเต๋อ…” หวงฝู่จวินโหรวพลักเบิกตากว้าง อารมณ์เดือดดาลเปี่ยมล้นจนต้องระบายออกมาเป็นคำพูด นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด่าว่า “เดรัจฉาน!”
นางหันตัวเดินจากไป นางไม่เชื่อหรอก นางต้องไปถามให้กระจ่าง
เสวี่ยหลิงหลงดึงมือนางอีกครั้ง “พี่สาว ช่างเถอะ! ในเมื่อกลายเป็นแบบนี้แล้ว ข้าตอบตกลงผู้บัญชาการสวีแล้วว่าจะล้างมือในอ่างทองคำ ออกจากวงการบันเทิง มาเป็นอนุภรรยาของเขาอย่างสงบใจ”
“อนุภรรยา?” หวงฝู่จวินโหรวอึ้งไป ในแววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ “คนต่ำทรามไร้ยางอายแบบนี้ เจ้าไปตอบตกลงเป็นอนุภรรยาของเขาได้ยังไง?”
เสวี่ยหลิงหลงยิ้มอย่างขื่นขม “ท่านบอกว่าเขาเป็นคนต่ำทราม แต่ข้ากลับเรียกเขาว่านายท่าน นี่ไม่ใช่ชะตากรรมของข้าหรอกเหรอ? สุดท้ายจุดจบของข้าก็ต้องเป็นแบบนี้อยู่ดี แค่ดูว่าบ้านไหนมีกิ่งไม้สูงกว่าก็เท่านั้นเอง จะสูงขึ้นหน่อยหรือจะต่ำลงหน่อยแล้วยังไงล่ะ? ยิ่งกิ่งไม้สูง เกรงว่าคนเต้นกินรำกินอย่างข้าก็จะยิ่งต่ำต้อย ไม่มีใครไม่ดูถูก พี่สาวน้องสาวมากมายที่ทำอาชีพเดียวกัน จุดจบของคนส่วนใหญ่ยังสู้ข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ ช่างเถอะ! ในเมื่อเรื่องเป็นแบบนี้แล้ว ถ้าข้าไม่อยู่กับเขา จุดจบของข้าก็จะอนาถยิ่งกว่านี้ ทั้งหมดล้วนเป็นชะตากรรมของข้า”
หวงฝู่จวินโหรวได้ยินแล้วน้ำตาไหลพราก ไหล่งามสองข้างสั่นเทิ้ม จู่ๆ ก็โผเข้าไปกอดนางแล้วเริ่มร้องไห้อีก เสวี่ยหลิงหลงก็ร้องไห้เช่นกัน ทั้งสองกอดกันร้องไห้
“ไม่ได้!” ทันใดนั้น หวงฝู่จวินโหรวก็ผละออกจากนาง “เป็นความผิดพลาดของข้าเองที่ไม่ปกป้องเจ้า ข้าจะให้เจ้าเป็นอนุภรรยาอีกไม่ได้เด็ดขาด หลิงหลง เจ้ารอข้านะ!”
พูดจบก็หันหน้าเดินออกไป พอออกมาจากห้อง ก็เห็นสวีถังหรานเอามือไขว้หลังเดินช้าๆ อยู่ในลานบ้าน นางจึงชี้พร้อมตวาดทันที “สวีถังหราน เจ้ารอข้าก่อนเถอะ!”
เมื่อเห็นนางวิ่งออกไปพร้อมน้ำตาบนหน้า ก็ทำให้สวีถังหรานตกใจแล้ว ร้องไห้เลยเหรอ? ผู้จัดการร้านหวงฝู่ที่องอาจผ่าเผยร้องไห้เหรอ? นี่ตนทำให้นางไม่พอใจถึงขั้นไหนกัน!
เขาลุกลี้ลุกลนทันที ถ้าผู้หญิงคนนี้จะทุ่มสุดตัวจริงๆ เขาก็เล่นด้วยไม่ไหวหรอก! ผู้บัญชาการใหญ่จะต้านทานไหวเหรอ?
พอมองไปทางห้องที่มีเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังมาแว่วๆ เขาก็อดไม่ได้ที่จะตบหน้าตัวเอง ควบคุมของที่อยู่ในเป้ากางเกงไม่ดี ถ้าทำให้ต้องสูญเสียชีวิตมันคุ้มรึเปล่า?
ใช่ระฆังดาราติดต่อเหมียวอี้ แต่เหมียวอี้ก็ไม่สนใจ หวงฝู่จวินโหรวทำได้เพียงบุกได้นอกเมืองตำหนักคุ้มเมืองโดยตรง
ในตำหนักคุ้มเมือง นางยังไม่กล้าฝืนบุกเข้าไป ถ้านางมีฐานะเป็นขุนนางตำหนักสวรรค์แล้วบุกเข้าไปต่อว่าสักหน่อยก็ไม่เป็นอะไร แต่ถ้าใช้ฐานะพ่อค้าบุกเข้าไปสถานที่ราชการของตำหนักสวรรค์ นางก็รับผิดชอบข้อหานี้ไม่ไหว อย่าว่าแต่ตำหนักคุ้มเมือง ที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกนางก็ไม่กล้าบุกเช่นกัน
“ขอพบผู้บัญชาการใหญ่ รบกวนไปรายงานให้หน่อย”
“รอสักครู่!”
ไม่นานก็ได้คำตอบกลับมา ทหารยามตอบว่า “ผู้จัดการร้านหวงฝู่ เชิญท่านกลับไปเถอะ ผู้บัญชาการใหญ่มีงานต้องทำ ตอนนี้ไม่มีเวลามาพบท่าน”
หวงฝู่จวินโหรวแค้นจนกัดฟันกรอด จึงหยิบแผ่นหยกออกมา เขียนอะไรบางอย่างลงไป จากนั้นใส่ไว้ในแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งแล้วยื่นให้ “รบกวนนำสิ่งนี้ส่งให้ผู้บัญชาการใหญ่ของพวกเจ้าด้วย”
ถ้าเปลี่ยนเป็นคนทั่วไป ทหารยามก็ไม่สนใจหรอก แต่ถึงอย่างไรก็ฐานะภูมิหลังของผู้จัดการร้านหวงฝู่ก็เห็นๆ กันอยู่ ไม่สะดวกจะไปขัดใจ ทำได้เพียงส่งของต่อให้อีกครั้ง
ตอนนี้เหมียวอี้กำลังขี้เกียจมาก ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น ได้แต่เอนกายอยู่บนเก้าอี้ใต้เพิงเถาวัลย์ริมบ่อน้ำ หลับตาพักผ่อนทั้งวัน ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังครุ่นคิดการใหญ่อะไรอยู่ อย่างน้อยในสายตาเป่าเหลียนก็เป็นแบบนี้
หารู้ไม่ว่าใต้บ่อมีอุบายลับอีกอย่างหนึ่ง เหมียวอี้จะเป็นต้องเตรียมตัวให้ดี ถ้ามีบางคนยอมทุ่มสุดตัวบุกโจมตีเข้ามาสังหารเขาในตำหนักคุ้มเมือง เขาก็จะกระโดดลงในบ่อเพื่อหนีเอาชีวิตรอดทันที
“นายท่าน ผู้จัดการร้านหวงฝู่มีของส่งต่อมาให้ท่าน” เป่าเหลียนที่ออกไปรับของนำแหวนเก็บสมบัติมาส่งให้
เหมียวอี้รับมาอ่านดู พบว่าในแหวนเก็บสมบัติว่างเปล่า มีแค่แผ่นหยกแผ่นเดียว จึงเรียกแผ่นหยกออกมาอ่าน ตอนไม่อ่านก็ยังไม่รู้ แต่พอได้อ่านแล้วต้องตกใจ
ในแผ่นหยกไม่ได้เขียนอะไรอย่างอื่น เปิดมาก็ด่าเขาประมาณว่าเป็นสัตว์เดรัจฉาน ต่อมาก็บอกว่าในเมื่อเรื่องเป็นแบบนี้แล้ว นางก็จะไม่ขอร้องอย่างอื่น เสวี่ยหลิงหลงเป็นเพื่อนน้องสาวของนาง นางต้องทวงความยุติธรรมให้เสวี่ยหลิงหลง สวีถังหรานต้องแต่งงานกับเสวี่ยหลิงหลง แต่งงานอย่างมีหน้ามีตาสง่าผ่าเผย และต้องเป็นฮูหยินภรรยาเอกด้วย! ถ้าหนิวโหย่วเต๋อกล้าไม่ตอบตกลง นางก็จะยอมให้หยกศิลาล้วนลานแหลก[1] จะประกาศเรื่องระหว่างนางกับเขาให้ทุกคนรู้ นางจะรออยู่ข้างนอก จะออกมาพบหวงฝู่จวินโหรวหรือไม่ก็ให้หนิวโหย่วเต๋อตัดสินใจเอง!
นี่เป็นการทุ่มสุดตัวโดยไม่สนใจอะไรแล้ว! เหมียวอี้พบว่าผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้ว คำพูดประเภท ‘เรื่องระหว่างนางกับเขา’ นางเขียนไว้บนแผ่นหยกแล้วให้คนส่งต่อมาได้อย่างไร จะให้คนที่เห็นไม่สงสัยก็คงยาก โชคดีที่เก็บไว้ในแหวนเก็บสมบัติ ถ้าให้คนหยิบมาส่งต่อโดยตรง แค่ร่ายอิทธิฤทธิ์ดูนิดหน่อยก็แย่แล้ว
เหมียวอี้หันกลับมาถามทันที “เจ้าได้ดูของในแหวนเก็บสมบัติหรือเปล่า?”
“ไม่ได้ดูค่ะ มีอะไรหายไปหรือเปล่า?” เป่าเหลียนสงสัย
“คนที่ส่งต่อของได้หยิบของในนี้ออกมาดูหรือเปล่า?” เหมียวอี้ถามอีก
เป่าเหลียนตอบว่า “กลางวันแสกๆ แบบนี้ น่าจะไม่มีใครกล้าแอบอ่านของของผู้บัญชาการใหญ่กระมัง มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ?”
เหมียวอี้คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าใช่ โล่งใจขึ้นนิดหน่อย แต่ก็ยังนั่งไม่ติดที่แล้ว หยิบระฆังดาราออกมาถามสวีถังหรานว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่
หลังจากได้รับคำตอบจากสวีถังหราน เหมียวอี้ก็ค่อนข้างพูดไม่ออก พบว่าตัวเองประเมินวิธีการของสวีถังหรานต่ำไป
สาเหตุที่เขาบอกให้สวีถังหรานไปหาเสวี่ยหลิงหลง ก็เพราะอยากจะกดดันให้หวงฝู่จวินโหรวออกหน้า เขาย่อมไม่พบหวงฝู่จวินโหรวอยู่แล้ว สาเหตุหลักเป็นเพราะอยากกดดันให้หวงฝู่จวินโหรวใช้เส้นสายช่วยเหลือเสวี่ยหลิงหลง เสวี่ยหลิงหลงก็คือหินที่เขาใช้โยนถามทาง เขาอยากจะแน่ใจในเจตนาของเบื้องบนสักหน่อย
ใครจะคิดล่ะ! ไม่น่าเชื่อว่าสวีถังหรานจะควบคุมทุกคนของหอกลิ่นสวรรค์เอาไว้ ไม่ปล่อยให้ข่าวหลุดออกไปข้างนอก ต้มข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุกก่อนแล้วค่อยว่ากัน เขายังแปลกใจอยู่เลยว่าทำไมเมื่อคืนนี้หวงฝู่จวินโหรวถึงไม่มาหาเขา และไม่เห็นหวงฝู่จวินโหรวหาเส้นสายที่ไหนมากดดันเขาด้วย ทำให้เขาหลงนึกไปว่าคนของเบื้องบนไม่กล้าแตะต้องเขาจริงๆ แต่ที่ไหนได้ สงสัยปัญหาจะอยู่ที่สวีถังหราน เล่นพลาดเสียแล้ว!
…………………………
[1] หยกศิลาล้วนลานแหลก 玉石俱焚 อุปมาว่ายอมให้พังไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย
บทที่ 1287 สมหวังหนึ่งคู่ เลิกกันหนึ่งคู่
โดย
Ink Stone_Fantasy
เหมียวอี้รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
ในเมื่อเรื่องกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ตอนนี้หวงฝู่จวินโหรวก็คงไม่ไปหาเส้นสายอะไรมากดดันแล้ว แต่กลับกระโจนสุดแรงมาที่เขาโดยตรงราวกับสุนัขบ้า ทางนั้นเล่นพลาดไปแล้ว ถ้าหลบหลีกผู้หญิงคนนี้ต่อไปก็ไม่มีความหมายอะไร ตอนนี้อีกฝ่ายไม่ได้มาเพื่อช่วยคน แต่มาเพื่อกดดันให้แต่งงาน
“เอ่อคือ ก่อนหน้านี้เจ้าบอกเหรอว่านางร้องไห้มา?” เหมียวอี้หันกลับมาถาม
“ทหารยามด้านนอกพูดแบบนี้ค่ะ บอกว่าเห็ดนางเช็ดน้ำตาแล้ว” เป่าเหลียนตอบ
เหมียวอี้ปวดประสาท เขานึกว่าคนอย่างหวงฝู่จวินโหรวก็แค่สนิทกับเสวี่ยหลิงหลงเฉยๆ ถึงอย่างไรฐานะก็แตกต่างกันมาก เสวี่ยหลิงหลงเป็นแค่คนเต้นกินรำกิน นึกไม่ถึงว่าจะเสียน้ำตาอย่างเปิดเผยเพราะเสวี่ยหลิงหลง ไม่แปลกใจที่ทำตัวเหมือนสุนัขบ้า ขนาดเรื่องที่ไม่ควรพูดก็ยังกล้าเขียนออกมา ดูท่าแล้วถ้าครั้งนี้ไม่ให้ความยุติธรรมกับนางคงไม่ได้แล้ว เพียงแต่ถ้าต่อไปนี้นางเอาแต่นำเรื่องนี้มาขู่เขาจะไม่แน่หรอกเหรอ?
“ให้นางเข้ามาแล้วกัน” เหมียวอี้โบกมือสั่ง แล้วก็ยกมือห้ามอีก “เดี๋ยวก่อน ไปเรียกสวีถังหรานมาก่อนแล้วกัน แล้วค่อยให้พวกเขาเข้ามาด้วยกันเลย”
ต้องให้คนนอกมาอยู่ในสถานที่นี้ด้วย ผู้หญิงคนนั้นจะได้เก็บสำรวมอาการสักหน่อย ถึงอย่างไรเขาก็ยังไม่ค่อยคุ้นชินหากจะจัดการเสวี่ยหลิงหลง รู้สึกกินปูนร้อนท้องนิดหน่อย
สวีถังหรานที่ถูกเรียกตัวค่อนข้างลุกลี้ลุกลน รีบร้อนมาหา พอมาถึงนอกตำหนักคุ้มเมืองก็เจอหวงฝู่จวินโหรวที่ตาแดงก่ำ แล้วทั้งสองก็ถูกปล่อยตัวเข้าไปพร้อมกัน
พอเข้ามาเจอเหมียวอี้ในตำหนัก หวงฝู่จวินโหรวก็ตาแดงเป็นพิเศษราวกับเจอศัตรูคู่แค้น ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนนอกอยู่ที่นี่ด้วย นางก็คงกระโจนเข้าไปโดยตรง แต่ตอนนี้นางก็ไม่เกรงใจเช่นกัน พอเห็นหน้าก็ถ่ายทอดเสียงด่าทันที “ไอ้สัตว์เดรัจฉาน!”
“นายท่าน!” สวีถังหรานทำความเคารพด้วยสีหน้าอึดอัดใจ
“ตรงนี้ไม่มีเรื่องของเจ้าแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ถ้าข้าไม่อนุญาต ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้ามา” เหมียวอี้กันเป่าเหลียนออกไป จากนั้นก็เงยหน้ามองฟ้า
หวงฝู่จวินโหรวมองเขาด้วยแววตาโกรธแค้น ส่วนสวีถังหรานก็ได้แต่ก้มหน้า
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ก็พบว่าทำแบบนี้ต่อไปไม่ใช่วิธีการที่ดี เหมียวอี้ไอแห้งๆ แล้วบอกว่า “ในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้ว ข้าเองก็ไม่มีอะไรจะพูดเหมือนกัน เรื่องนี้พวกเจ้าปรึกษากันเอาเถอะ” เขาทำท่าเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
สวีถังหรานแอบมองหวงฝู่จวินโหรวแวบหนึ่ง
หวงฝู่จวินโหรวจะปล่อยเหมียวอี้ไปง่ายๆ ได้อย่างไร ถามเสียงดังว่า “ผู้บัญชาการใหญ่หนิว เจ้ากล้าพูดมั้ยว่าตัวเองไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ผู้บัญชาการสวีชิงตัวเสวี่ยหลิงหลง?”
เหมียวอี้มองไปที่สวีถังหรานพร้อมถามอย่างแปลกใจ “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับข้าได้ยังไง? ผู้บัญชาการสวี เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับข้าเหรอ?”
สวีถังหรานรีบยอมรับผิด “ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนายท่านเลยขอรับ ล้วนเป็นความวู่วามของข้าน้อย”
“เล่นละครให้มันน้อยๆ หน่อย!” หวงฝู่จวินโหรวมองข้ามการมีตัวตนของสวีถังหราน “ผู้บัญชาการใหญ่หนิว เสวี่ยหลิงหลงเป็นเหมือนน้องสาวของข้า ลูกน้องเจ้าทำเรื่องแบบนี้ ถ้าข้าไปหาผู้บังคับบัญชาเพื่อขอความยุติธรรมก็คงไม่เกินไปหรอกใช่มั้ย?”
เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ถ้าเจ้าอยากขอความยุติธรรม มาหาข้าแล้วจะมีประโยชน์อะไร? เจ้าควรไปหาผู้บัญชาการสวีสิ ถ้าผู้บัญชาการสวีตอบตกลง ข้าย่อมไม่คัดค้านอะไรอยู่แล้ว แต่ถ้าผู้บัญชาการสวีไม่ตอบตกลง ข้าก็คงกดดันเขาแต่งงานกับเสวี่ยหลิงหลงไม่ได้หรอกใช่มั้ย?”
ยังนึกว่าเรื่องอะไร ที่แท้ก็เรื่องแต่งงานกับเสวี่ยหลิงหลง สวีถังหรานรับคำทันที “นายท่าน ข้าตอบตกลงกับเสวี่ยหลิงหลงไปแล้วว่าจะแต่งงานกับนาง”
“…” เหมียวอี้งงงัน นึกไม่ถึงว่าสวีถังหรานจะไม่หัวโบราณแบบนี้ จึงยักไหล่ให้หวงฝู่จวินโหรวพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มทันที “เจ้าเห็นมั้ย เรื่องเป็นไปตามความปรารถนาของเจ้าแล้ว”
หวงฝู่จวินโหรวเอียงหน้าอย่างช้าๆ “ผู้บัญชาการสวี เจ้าฟังให้ดีนะ ไม่ใช่แต่งงานไปเป็นอนุภรรยา แต่ต้องแต่งงานไปเป็นภรรยาเอก!”
“หา!” สวีถังหรานร้องอุทาน “จะเป็นไปได้ยังไง! ใช่ ข้ายอมรับว่านางยังบริสุทธิ์ แต่นางก็เต้นกินรำกินอยู่ในแหล่งอบายมุข ไม่รู้ว่าถูกมือของผู้ชายมากมายเท่าไรลูบคลำมาบ้าง จะมาเป็นฮูหยินภรรยาเอกของข้าได้ยังไง ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไปสวีคนนี้คงโดนหัวเราะเยาะไปทั้งชาติ สวีคนนี้จะเอาหน้าที่ไหนไปเจอบรรพบุรุษ! ไม่ได้หรอก ไม่ได้แน่นอน อย่างมากก็รับนางเป็นอนุภรรยา!”
ที่เขาพูดนั้นไม่ผิด เสวี่ยหลิงหลงเป็นผู้หญิงในสถานบันเทิง ต่อให้ขายศิลปะไม่ได้ขายตัว แต่ตอนขายศิลปะก็ต้องมีสัมผัสกับชายบางคนที่มือไม่สะอาดบ้างอย่างเลี่ยงได้ โดยเฉพาะพวกผู้ชายที่มีเงิน หรือไม่ก็พวกที่มีฐานะภูมิหลังในระดับหนึ่ง ที่พวกเขาชอบทำที่สุดก็คือลงมือลูบคลำ ต่อให้ตอนนี้เสวี่ยหลิงหลงจะมีหวงฝู่จวินโหรวคุ้มครองอยู่ แต่ในปีแรกๆ ก็หลีกเลี่ยงเรื่องพวกนี้ไม่ได้ ในยุคนี้จะมีตระกูลผู้ดีสักกี่ตระกูลที่จะแต่งงานรับคนเต้นกินรำกินอย่างเสวี่ยหลิงหลงมาเป็นฮูหยินภรรยาเอก มิหนำซ้ำสวีถังหรานก็เป็นคนที่ค่อนข้างมีฐานะตำแหน่งด้วย อีกประเดี๋ยวถ้ามีคนมาบอกว่าข้าเคยลูบไล้เมียของผู้บัญชาการสวี แล้วจะให้สวีถังหรานทนความรู้สึกนี้ได้อย่างไร!
“เดรัจฉาน!” หวงฝู่จวินโหรวกล่าวอย่างโกรธแค้นปนเศร้าโศกว่า “เต้นกินรำกินแล้วยังไง? เจ้าคิดว่านางอยากเป็นคนเต้นกินรำกินเหรอ? ในเมื่อเจ้าดูถูกดูแคลนนาง แล้วไปทำลายความบริสุทธิ์ของนางได้ยังไง! ผู้บัญชาการสวี เจ้าเป็นขุนนางของตำหนักสวรรค์ ข้าไม่กล้าแตะต้องเจ้าจริงๆ แต่ข้าจะบอกเจ้าเอาไว้นะ คนที่เขาไม่กลัวตายก็มี ข้าเองก็อยากจะเห็นว่าเจ้าจะภูมิใจได้นานแค่ไหน!”
คำพูดนี้เปิดเผยชัดเจน ว่าไม่ช้าก็เร็วที่ข้าจะเอาชีวิตเจ้า! นางมีความสามารถนี้จริงๆ
“นายท่าน!” สวีถังหรานเครียดแล้ว กุมหมัดบอกว่า “นายท่าน นางกำลังขู่ขุนนางของตำหนักสวรรค์!” ความหมายที่จะสื่อก็คือ ท่านต้องช่วยทวงความบุติธรรมให้ข้า
หวงฝู่จวินโหรวพลันยกมือชี้จมูกเหมียวอี้ “ผู้บัญชาการใหญ่หนิว ข้าจะถามเจ้าคำเดียวเท่านั้น ลูกน้องเจ้าทำเรื่องต่ำช้าไร้ยางอายแบบนี้แล้ว เจ้าจะจัดการเรื่องนี้หรือไม่จัดการเรื่องนี้? ถ้าเจ้าไม่จัดการเรื่องนี้ ข้าก็จะไม่พูดอะไรมากอีก ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
เหมียวอี้เอามือลูบจมูก เขาเองก็ไม่มีเหตุผลจะแก้ตัวกับเรื่องนี้เหมือนกัน จึงเหลือบมองสวีถังหราน แล้วถามอย่างค่อนข้างเก้อเขินว่า “ผู้บัญชาการสวี เจ้าพิจารณาสักหน่อยดีมั้ย?”
“หา!” สวีถังหรานแทบจะร้องไห้แล้ว ทำท่าไม่ให้ความร่วมมือแบบที่พบเห็นได้ยาก “นายท่าน แบบนี้ไม่เหมาะกระมัง?”
เหมียวอี้เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “เจ้าชอบเสวี่ยหลิงหลงมากมใช่เหรอ? แถมอีกฝ่ายยังร่างกายบริสุทธิ์ด้วย ไม่มีจุดไหนที่ทำผิดต่อเจ้า ถูไถไปก่อนเถอะ”
“ข้าน้อยชอบนางเป็นเรื่องจริง แต่ถึงยังไงนางก็เป็นคนเต้นกินรำกินนะ!” สวีถังหรานถ่ายทอดเสียงตอบ
เหมียวอี้จึงบอกว่า “ข้าเองก็นึกไม่ถึงว่าเสวี่ยหลิงหลงกับหวงฝู่จวินโหรวจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันถึงขั้นนี้ เจ้าลองคิดดูนะ ถ้าเจ้าแต่งงานกับเสวี่ยหลิงหลงแล้ว ก็เท่ากับในภายหลังเจ้าจะได้อาศัยเส้นสายของสมาคมวีรชน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะไม่เคยได้ยินเบื้องหลังของสมาคมวีรชน สิ่งนี้มีประโยชน์ต่ออนาคตของเจ้านะ แล้วอีกอย่าง ในภายหลังถ้าอยู่ด้วยกันแล้วไม่ได้ดั่งใจ เจ้าก็เลิกกับนางแล้วแต่งงานใหม่ก็ได้นี่นา ไม่ว่าจะนับยังไงเจ้าก็ไม่ขาดทุนนะ?”
“เอ่อ…” สวีถังหรานทำสายตาล่อกแล่ก พอได้ยินว่ามีผลดีต่ออนาคตของตัวเอง คิดไปคิดว่าก็พบว่าไม่เลวเหมือนกัน ถ้าแต่งงานกับเสวี่ยหลิงหลงก็เท่ากับความสัมพันธ์ของตนกับหวงฝู่จวินโหรวก็ไม่ได้แย่ ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ นายท่านกำลังโน้มน้าวตนซ้ำไปซ้ำมา แสดงท่าทีชัดเจนแล้ว ถ้าตนไม่ไว้หน้านายท่าน…
พลังแขนงัดข้อกับพลังขาไม่ไหว ตัวเองมีเรื่องกับสองคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ไหว เพียงแต่เรื่องวุ่นวายไร้ระเบียบนี่มันอะไรกัน ข้าเป็นผู้บัญชาการตลาดสวรรค์ที่สง่าผ่าเผย แต่เล่นไปเล่นมากลับได้นางระบำมาเป็นฮูหยินภรรยาเอก นายท่านช่างไร้ความเมตตา ไหนบอกว่าจะช่วยคุ้มกะลาหัวให้ข้า แต่ตอนนี้กลับเข้าข้างคนนอกเสียแล้ว
สุดท้ายก็ถอนหายใจอย่างจนใจ แล้วกุมหมัดคารวะ “ในเมื่อเป็นเจตนาดีของนายท่าน ข้าน้อยจะกล้าขัดได้อย่างไร สวีคนนี้จะแต่งงานก็ได้!”
“เฮ้อ!” เหมียวอี้ก็ถอนหายใจเหมือนกัน รู้ว่าเจ้าคนขี้ประจบไม่เต็มใจมาก แค่ต้องไว้หน้าเขาเท่านั้นเอง เขายื่นมือไปตบบ่าอีกฝ่าย บอกเป็นนัยว่าเจ้าได้รับความไม่ยุติธรรมแล้ว
หวงฝู่จวินโหรวกลับไม่ผ่อนปรน นางยื่นมือออกมา “พูดแต่ปากไร้หลักฐาน เขียนหนังสือเชิญนางเป็นฮูหยินแล้วค่อยว่ากัน”
เหมียวอี้หันตัวไป ทำเหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
เมื่อครู่ตอนที่ตัดสินใจแบบนั้น ในใจก็แค่ดิ้นรนนิดหน่อย แต่ตอนนี้นึกเสียใจทีหลังแล้วจริงๆ คำพูดประโยคเดียวของตัวเองทำลายทั้งชีวิตขอเสวี่ยหลิงหลงไปแล้ว เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองทำเรื่องแบบนี้ได้ ตอนนี้ทำให้สวีถังหรานได้รับความไม่ยุติธรรมแล้ว แต่ก็นับว่าชดเชยให้เสวี่ยหลิงหลงก็แล้วกัน ขณะเดียวกันก็ได้ปลอบใจหวงฝู่จวินโหรวด้วย
เมื่อเห็นท่าทีแบบนั้นของนายท่าน ก็ชัดเจนว่ายินยอมแล้ว! สวีถังหรานทำได้เพียงยอมรับชะตากรรม แข็งใจหยิบแผ่นหยกออกมาเขียนหนังสือเชิญแต่งงานฉบับหนึ่งโยนให้หวงฝู่จวินโหรว
หลังจากหวงฝู่จวินโหรวได้อ่าน ในที่สุดสีหน้าที่เย็นเยียบก็ผ่อนคลายลงแล้ว การได้แต่งงานเป็นภรรยาเอกอาจจะไม่ได้ดีไปกว่าการแต่งงานเป็นอนุภรรยาของตระกูลผู้มีอำนาจสักเท่าไร แต่ถึงอย่างไรก็มีอิสระในการตัดสินใจเรื่องในบ้าน ถึงแม้สวีถังหรานจะไม่ใช่คนดีอะไรนัก แต่ก็ยังนับว่าทวงคงามยุติธรรมให้เสวี่ยหลิงหลงได้
เมื่อเก็บของเสร็จแล้ว นางก็บอกว่า “นายท่าน ข้ามีเรื่องจะขอคำชี้แนะนิดหน่อย เชิญให้ผู้บัญชาการสวีออกไปก่อนได้มั้ย?”
สวีถังหรานเงยหน้า ในใจรู้สึกไม่พอใจนางมาก เจ้าคิดว่าที่นี่เป็นร้านค้าของเจ้ารึไง เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาชี้นิ้วสั่งนั่นสั่งนี่?
แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะหันกลับมาพยักหน้า บอกใบ้ให้ออกไปจริงๆ สวีถังหรานพูดไม่ออก ทำได้เพียงถอยออกไปแต่โดยดี
รอจนกระทั่งไม่มีคนนอกแล้ว หวงฝู่จวินโหรวถึงได้เดินมาตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วด่าอย่างรุนแรง “หนิวโหย่วเต๋อ ข้านี่ตาถั่วจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะมาชอบคนต่ำทรามไร้ยางอายอย่างเจ้าได้ นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะทำเรื่องที่เลวยิ่งกว่าหมูกว่าหมา เจ้ามันสัตว์เดรัจฉาน!”
เหมียวอี้ตอบกลับอย่างใจเย็นว่า “ตาสว่างตอนนี้ก็ยังไม่สาย ในภายหลังเจ้าจะได้ไม่นึกเสียใจทีหลังอีก มาตัดขาดเรื่องระหว่างเราเสียแต่เนิ่นๆ ก็ดีเหมือนกัน ต่อไปนี้เจ้าเดินบนหนทางอันสดใสของเจ้า ส่วนข้าจะเดินบนสะพานไม้พาดของข้า เราไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกันอีก!”
หวงฝู่จวินโหรวเบิกตากว้าง กัดฟันจนฟันแทบแตก ชี้จมูกเขาพร้อมด่าว่า “คิดว่าเลิกกับเจ้าแล้วข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้รึไง? คิดว่าข้าเห็นคุณค่าคนต่ำช้าไร้ยางอายอย่างเจ้ารึไง!”
“จะบังอาจขอให้ผู้จัดการร้านหวงฝู่เห็นคุณค่าได้ยังไง!” เหมียวอี้หันตัวมายื่นมือไปทางด้านนอก “กลับดีๆ นะ ส่งตรงนี้!”
“นี่เจ้าพูดเองนะ อย่าเสียใจทีหลังแล้วกัน ต่อไปถึงแม้เจ้าจะขอร้อง แต่ก็อย่าหวังว่าข้าจะเปลี่ยนความคิด!”
“เสียใจทีหลังเหรอ? มีอะไรให้เสียใจทีหลัง คิดว่าข้าจะหาผู้หญิงที่สวยกว่าเจ้าไม่เจอรึไง? อาศัยตำแหน่งอย่างข้า ถ้าอยากได้ผู้หญิงแบบไหนแล้วไม่มีจัดให้บ้าง?”
“ตั้งแต่นี้ไปเจ้ากับข้าขาดกัน!” หวงฝู่จวินโหรวที่ใกล้จะประสาทเสียกล่าวอย่างดุร้าย ก่อนจะหันตัวเดินออกไป แต่พอเดินมาได้ครึ่งทางก็ผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง เมื่อเดินมาถึงนอกประตูแล้วยังไม่เห็นมีใครตามมา น้ำตาก็ไหลออกมาหยดหนึ่งแล้ว
เหมียวอี้ที่อยู่ในจุดลึกของลานบ้านกลับมานั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง แล้วเอนกายลงช้าๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉยไรอารมณ์ จากนั้นหลับตาลงเงียบๆ
เรื่องนี้วุ่นวายนิดหน่อย ขนาดเขาเองยังไม่รู้เลยว่าตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ตัวเองได้ทำอะไรไปบ้าง
ทว่าคลื่นระลอกแรกยังไม่สงบ คลื่นระลอกถัดไปก็ซัดขึ้นมาอีกแล้ว ตอนบ่ายของวันนั้น เหมียวอี้ได้รับข่าวจากโค่วเหวินหลาน หลังจากจัดระเบียบตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์จำนวนแปดพันกว่าไปได้ระยะหนึ่ง ในที่สุดก็ปรับจนเสร็จแล้ว รายชื่อสมาชิกทั้งหมดเป็นรูปธรรมแล้ว
เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาเลย เดิมทีคนที่ผ่านการทดสอบจนรักษาตำแหน่งตัวเองไว้ได้ก็มีสิทธิ์เลือกก่อนและไม่ต้องย้ายไปไหน ดังนั้นเดิมทีจึงไม่เกี่ยวข้องกับเหมียวอี้ แต่ที่โค่วเหวินหลานส่งข่าวมาก็เพราะอยากให้เขารู้ ว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงกับจ้านหรูอี้ใช้เส้นสายมาอยู่ที่จวนแม่ทัพภาคตงหัว ทั้งสองเบียดผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์อีกสองคนของจวนแม่ทัพภาคตงหัวให้ไปที่อื่นแล้ว นั่นก็คือจางฮั่นฟางกับหลิ่วกุ้ยผิง โค่วเหวินหลานกลัวว่าจ้านหรูอี้จะมาหาเรื่องเหมียวอี้ จึงบอกให้เหมียวอี้ระวังตัวไว้หน่อย
บทที่ 1288 ในที่สุดก็มาแล้ว
โดย
Ink Stone_Fantasy
เหมียวอี้พูดไม่ออก สองคนนี้ตั้งใจเบียดตำแหน่งคนอื่นเพื่อมาที่นี่ทำไม?
เซี่ยโห้วหลงเฉิงเขายังพอเข้าใจได้ เพราะอาจจะยังคิดถึงหวงฝู่จวินโหรวอยู่ มาที่จวนแม่ทัพภาคตงหัวก็จะได้อยู่ใกล้กับที่นี่แล้ว ไปมาก็สะดวกเหมือนกัน พอนึกขึ้นได้ว่าหมีควายนั่นจะมาตามจีบหวงฝู่จวินโหรว ในใจเหมียวอี้ก็มีความรู้สึกหลายอย่างปนกัน เขาเพิ่งจะตัดสัมพันธ์กับหวงฝู่ไป เหมือนว่าเขาจะไม่มีสิทธิ์ยุ่งแล้ว
ไม่ต้องคิดเรื่องนี้แล้ว คิดแล้ววุ่นวายใจ
แต่จ้านหรูอี้จะถ่อมาที่นี่ทำไม? คงไม่ได้ตั้งใจมาคิดบัญชีกับข้าจริงๆ หรอกใช่มั้ย? เหมียวอี้ยังคงจดจำคำพูดโหดร้ายที่จ้านหรูอี้เอ่ยออกมาในปีนั้น มีความเป็นไปได้สูงมาก
เรื่องที่นี่ยังไม่จบ ก็มีศัตรูเข้ามาประสมโรงอีกแล้ว เหมียวอี้ปวดหัวมาก
หารู้ไม่ว่าคนที่ปวดหัวจริงๆ คือปี้เยว่ฮูหยินที่ตัวอยู่ในแดนอเวจี ตอนนี้ราชินีสวรรค์ควบคุมระบบของตลาดสวรรค์ ถ้าเซี่ยโห้วหลงเฉิงจะมานางจะปฏิเสธได้เหรอ? ส่วนจ้านหรูอี้ก็เป็นหลานสาวของอ๋องสวรรค์อิ๋ง ไม่ว่ายังไงท่านโหวเทียนหยวนก็ต้องช่วยเตรียมการให้ฮูหยินของตัวเอง พอตระกูลอิ๋งมีคำสั่ง จางฮั่นฟางกับหลิ่วกุ้ยผิงก็เป็นฝ่ายหลีกทางให้เอง ปี้เยว่ฮูหยินจะอ้างเหตุผลอะไรไปหยุดยั้งได้
ก็ได้! คนหนึ่งก็มีอาหญิงเป็นราชินีสวรรค์ ส่วนอีกคนก็เป็นหลานนอกของอ๋องสวรรค์ ปี้เยว่ฮูหยินที่หลบอยู่ในถ้ำคิดไปคิดมาแล้วปวดหัว ตอนแรกไม่ง่ายเลยกว่าจะไล่โค่วเหวินหลานกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงไปได้ ตอนนี้มีมาอีกแล้ว ก่อนหน้านี้ราชินีสวรรค์ยังไม่ควบคุมอำนาจของตลาดสวรรค์ และถึงแม้โค่วเหวินหลานจะมีอำนาจที่ยิ่งใหญ่หนุนหลัง แต่กลับมายุ่งกับทางนี้ไม่ได้ ตอนนี้ราชินีสวรรค์ควบคุมตลาดสวรรค์แล้ว และท่านโหวเทียนหยวนก็เป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชาอ๋องสวรรค์อิ๋งอีก เซี่ยโห้วหลงเฉิงกับจ้านหรูอี้มาที่นี่แล้วจะให้นางจัดการอย่างไร ทั้งยังมีหนิวโหย่วเต๋อที่ใจกล้าขยันก่อเรื่องอีก
แต่พอลองเปลี่ยนมุมมองความคิด นางก็รู้สึกว่าตัวเองอาจจะกังวลโดยใช่เหตุ จะรอดชีวิตกลับไปได้รึเปล่าก็ยังไม่รู้เลย จะปกป้องตำแหน่งแม่ทัพภาคตลาดสวรรค์ได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย รักษาได้แล้วก็ยังต้องหาทางเปลี่ยนไปเป็นแม่ทัพภาคในอาณาเขตของท่านโหวเทียนหยวนอีก หลุดพ้นจากตัวซวยทั้งสามนี้ให้ได้…
ในห้องพักบนโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ชายวัยกลางคนไร้หนวดที่หน้าตาธรรมดาคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ริมหน้าต่าง เอามือไขว้หลังมองผู้คนที่สัญจรไปมาบนถนน
พอประตูห้องเปิดออก สตรีวัยกลางคนสวยเพริศพริ้งที่สวมชุดลายอวดเรือนร่างที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งก็เดินเข้ามา หลังจากปิดประตูแล้ว สีหน้าที่ผ่อนคลายก็เปลี่ยนเป็นเคารพยำเกรงทันที หลังจากเดินมาทำความเคารพด้านหลังชายวัยกลางคน ก็ถ่ายทอดเสียงบอกว่า “นายท่าน ด้านนอกตำหนักคุ้มเมืองมีคนแอบจับตาดูอยู่ไม่น้อยจริงๆ ผู้น้อยเดินอ้อมตำหนักคุ้มเมืองรอบหนึ่ง ก็พบว่ามีสายตาจับจ้องมาที่ข้าน้อยเงียบๆ ทันที เกรงว่าถ้าใครเข้าใกล้ตำหนักคุ้มเมือง ก็จะกลายเป็นเป้าหมายให้คนสงสัยทั้งหมด ไม่มีทางส่งข้อความไปข้างในได้เลย ต่อให้ฝืนลงมือพังเข้าไป แต่ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเขาอยู่ในตำหนักคุ้มเมืองหรือไม่ ต้องใช้แผนสองค่ะ”
“ไกลหรือไม่ไกล?” ชายวัยกลางคนถามเสียงเรียบ
“ไม่ไกล เดินไปถนนเดียวก็ถึงแล้วค่ะ คนที่เข้าไปสำรวจเส้นทางก่อนหน้านี้ยืนยันแล้วว่าเถ้าแก่เนี้ยอยู่ข้างใน” สตรีวัยกลางคนตอบ
ชายวัยกลางคนยื่นมือไปปิดหน้าต่าง แล้วหันตัวเดินออกไป สตรีวัยกลางคนเดินตามหลังออกไปทันที
พอออกจากประตูมา สีหน้าเคารพยำเกรงของฮูหยินก็เปลี่ยนเป็นผ่อนคลายอีกครั้ง อิงแอบข้างกายชายวัยกลางคน แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นสามีภรรยากัน
พอลงมาชั้นล่าง ตอนจะออกจากประตูโรงเตี๊ยม พนักงานในโรงเตี๊ยมก็ถามกลั้วหัวเราะว่า”คู่รักคู่นี้จะออกไปเดินเล่นหรือขอรับ?”
“ออกไปเดินเล่น!” สตรีวัยกลางคนหันกลับมาป้องปากหัวเราะ แล้วเดินออกจากประตูไปพร้อมกัน
ที่หัวถนนมีคนสัญจรไปมา มองไม่ออกเลยสักนิดว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนเพิ่งเกิดคดีนองเลือดตัดหัวคนแปดพันกว่าคน
พอเดินมาถึงถนนสายหนึ่ง สองสามีภรรยาก็หยุดอยู่หน้าร้านโฉมเมฆา แล้วเงยหน้ามองแผ่นป้ายบนไม้วงกบประตูพร้อมกัน สตรีวัยกลางคนดึงแขนเสื้อของชายวัยกลางคน พร้อมกล่าวออดอ้อดว่า “นายท่าน ได้ยินว่าเครื่องประดับที่นี่สวยมากเลย ข้าอยากได้ค่ะ”
พนักงานตรงประตูเข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้าทันที “ฮูหยิน ท่านช่างตามีแววจริงๆ เครื่องประดับร้านโฉมเมฆาของพวกเราล้วนเป็นที่กล่าวขาน ฮูหยินไม่ซื้อก็ไม่เป็นไร แต่เข้ามาดูก่อนได้ขอรับ”
ชายวัยกลางคนพยักหน้าเบาๆ แล้วสองสามีภรรยาก็เดินเข้าไปข้างในด้วยกัน
ด้วยการนำทางของพนักงาน พอสตรีวัยกลางคนชุดลายดอกเดินมาตรงหน้าตู้สินค้าหลังหนึ่ง นางก็ตาลุกวาวทันที ชี้ไปที่ปิ่นปักผมอันหนึ่งพร้อมบอกว่า “นายท่าน อันนี้สวยจัง ข้าอยากได้ค่ะ!”
ชายวัยกลางคนพยักหน้า “ซื้อสิ”
พอเลี้ยวมาที่หน้าตู้สินค้าอีกหลังหนึ่ง สตรีวัยกลางคนก็กล่าวอย่างตื่นเต้นประหลาดใจอีกว่า “นายท่าน อันนี้ดูดี ข้าอยากได้ค่ะ!”
“ซื้อ!”
“นายท่าน ข้าอยากได้อันนี้!”
“ซื้อ!”
เมื่อมีลูกค้าที่ร่ำรวยมาเยือน ก็มีพนักงานร้านสองคนมาคอยอยู่เป็นเพื่อนทันที ประจบประแจงเยินยอไม่หยุด กล่าวชมประมาณว่านางตาถึง
หลังจากช้อนเครื่องประดับไปหลายสิบชิ้นในชั่วอึดใจเดียว สตรีวัยกลางคนก็เหลียวซ้ายแลขวา จากนั้นส่ายหน้าเบาๆ เหมือนจะไม่ค่อยพอใจอันที่เหลือแล้ว นางหันกลับมาถามว่า “พนักงาน ข้าได้ยินว่าในมือเถ้าแก่เนี้ยของพวกเจ้ามีเครื่องประดับดีๆ ที่ยังไม่นำออกมาวางขาย ทำไมไม่เชิญให้เถ้าแก่เนี้ยของพวกเจ้านำออกมาดูล่ะ หรือ่วากลัวพวกเราจะจ่ายไม่ไหว?”
“ท่านรอก่อนนะ!” พนักงานพยักหน้าโค้งเอว แล้ววิ่งไปที่ลานบ้านด้านหลังทันที
เมื่อได้ยินว่ามีลูกค้าผู้ร่ำรวยมาเยือน เถ้าแก่เนี้ยก็ย่อมนำเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์โผล่หน้าออกมาอยู่แล้ว
พอเจอหน้ากัน สตรีวัยกลางคนก็กล่าวชมทันที “ช่างเป็นเถ้าแก่เนี้ยสวยจริงๆ”
ชายวัยกลางคนมองสำรวจเถ้าแก่เนี้ยศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไรมาก
“ฮูหยินต่างหากค่ะที่สวย!” เถ้าแก่เนี้ยยิ้มอย่างเป็นกันเอง แล้วหันตัวมายื่นมือเชิญ “เชิญลูกค้าทั้งสองท่านมานั่งในห้องสวนตัวค่ะ”
หลังจากนำลูกค้าเข้ามานั่งในห้องที่สะอาดหรูหรา เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ยกน้ำชาหอมมาวาง
“ไม่ดื่มน้ำชาแล้ว” สตรีวัยกลางคนโบกมือ แล้วกล่าวเหมือนอดใจรอไม่ไหว “ในยินว่าในมือเถ้าแก่เนี้ยยังมีเครื่องประดับที่สวยกว่า รีบนำออกมาดูเร็ว”
พอเถ้าแก่เนี้ยพยักหน้าเบาๆ เชียนเอ๋อร์ก็นำกล่องขนาดใหญ่ใบหนึ่งออกมาทันที นำมาวางไว้บนโต๊ะ พอกล่องใบแรกเปิดออก เครื่องประดับศีรษะอันงดงามประณีตที่แขวนอยู่บนนั้นก็เผยออกมาชิ้นแล้วชิ้นเล่าทันที
ชายวัยกลางคนลุกขึ้นแล้วเอามือข้างหนึ่งไขว้หลังยืนดูอยู่ข้างโต๊ะ
“เป็นงานที่เก็บรายละเอียดได้ดีมาก สวยจริงๆ!” สตรีวัยกลางคนที่พลิกดูสองรายการพลันยกแขนเสื้อขึ้นมา พอเช็ดตรงหว่างคิ้วตัวเอง ก็เผยสัญลักษณ์พลังอิทธิฤทธิ์รูปวิหครุ้งตัวหนึ่งออกมาออกมาทันที
เถ้าแก่เนี้ยที่อยู่ตรงข้ามหยุดชะงักสายตาทันที เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างหลังตกใจจนตาค้างอ้าปากกว้าง นักพรตบงกชกลายที่มีพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ!
“ถ้าพวกเจ้าสามคนไม่อยากตาย ก็ทำตัวดีๆ หน่อย” สตรีวัยกลางคนเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงแล้ว
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา เจตนาไม่เป็นมิตรของผู้ที่มาก็เปิดเผยอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเถ้าแก่เนี้ยที่กำลังตกใจเอียงหน้ามองไปทางชายวัยกลางคน ท่านั้นกำลังเอามือข้างเดียวไขว้หลังอยู่ข้างๆ มองไม่เห็นเบาะแสใดๆ จากสีหน้า
เถ้าแก่เนี้ยคิดไม่ตกนิดหน่อย ไม่รู้ว่าตัวเองไปยั่วโมโหยอดฝีมือระดับนี้ตั้งแต่เมื่อไร เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นยอดฝีมือระดับนี้ ก่อนหน้านี้แค่เคยได้ยินจากปากเหมียวอี้เท่านั้น และรู้ด้วยวว่าถ้าอีกฝ่ายต้องการจะฆ่าพวกนางสามคน ก็ง่ายเหมือนบี้มดตายตัวเดียวเท่านั้น นางย่อมไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
นอกม่านไข่มุกที่ห้อยอยู่ตรงประตู มีพนักงานที่เดินผ่านมองเข้ามาในนี้แวบหนึ่ง จุดประสงค์ก็เพราะกลัวว่าจะมีอะไรผิดพลาด แต่พวกเถ้าแก่เนี้ยไม่กล้าเปล่งเสียงซี้ซั้ว เพราะสำหรับพวกนาง วรยุทธ์ของสตรีวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าสูงจนน่ากลัวมากจริงๆ
“ไม่ทราบว่าทั้งสองท่านมาด้วยธุระอะไรคะ เหมือนผู้น้อยจะไม่ได้ล่วงเกินทั้งสองท่านหรอกใช่มั้ยคะ?” เถ้าแก่เนี้ยถ่ายทอดเสียงถาม
สตรีวัยกลางคนพลิกดูแผงรายการที่แขวนเครื่องประดับไว้เต็ม พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ได้ยนิว่าก่อนหน้านี้เถ้าแก่เนี้ยได้รับความโปรดปรานจากนายท่านหนิวโหย่วเต๋อ คาดว่าในมือเถ้าแก่เนี้ยคงจะมีระฆังดาราที่เอาไว้ใช้ติดต่อกับหนิวโหย่วเต๋อ ดังนั้นจึงอยากจะรบกวนให้เถ้าแก่เนี้ยติดต่อผู้บัญชาการใหญ่หนิวสักหน่อย เชิญเขามาสักรอบ”
เถ้าแก่เนี้ยหัวใจเต้นตึกตัก ที่แท้ก็พุ่งเป้ามาที่ผู้ชายของตัวเอง จึงส่ายหน้าเบาๆ พร้อมบอกว่า “ตอนนี้ไม่มีเสน่ห์แบบนั้นแล้วค่ะ ล้วนเป็นเรื่องสมัยที่ผู้บัญชาการใหญ่หนิวเป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกในปีนั้น พอตอนหลังได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ ก็ตัดขาดการติดต่อกับข้า คิดว่าคงกลัวผู้หญิงที่มีสามีแล้วอย่างข้าจะส่งผลกระทบต่ออนาคตของเขา เป็นเรื่องที่รู้กันทั้งตลาดสวรรค์ แล้วอีกอย่าง ข้าก็ไม่ได้ติดต่อกับเขานานแล้ว เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้เขาเพิ่งโดนลอบสังหาร จู่ๆ ถ้าข้าติดต่อเขาไป ก็เกรงว่าจะทำให้เขาสงสัย อาจจะเชิญเขาออกมาไม่ได้จริงๆ เออใช่ ทั้งสองท่านมาหาผู้บัญชาการใหญ่ด้วยธุระอะไรคะ?”
สตรีวัยกลางคนได้ยินแล้วขมวดคิ้ว ขณะกำลังจะพูด ใครจะคิดว่าจู่ๆ ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างกันจะบอกว่า “ช่างเป็นเถ้าแก่เนี้ยที่รอบคอบ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนทั่วไป ก็คงจะกลัวตายจนรีบติดต่อให้โดยไม่สนว่าจะเชิญออกมาได้หรือไม่ แต่เจ้ายังพร่ำบ่นพูดมากช่วยคิดแทนพวกเรา ช่วยให้เขาหลบเลี่ยง ดูออกเลยว่าเจ้ากับหนิวโหย่วเต๋อมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา สงสัยจะไม่ต้องไปหาคนอื่นให้ช่วยเหลือแล้วล่ะ เป็นเจ้านี่แหละ! แต่ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล ส่งของให้นาง!”
เถ้าแก่เนี้ยแอบตกใจ สังเกตได้ทันทีว่าผู้ที่มาไม่ธรรมดา ตัวเองพูดจาปกติมาก แต่อีกฝ่ายยังตัดสินได้ว่าตัวเองกับเหมียวอี้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา ผู้ที่มาไม่ได้หลอกตบตาได้ง่ายๆ ขนาดนั้น
สตรีวัยกลางคนทำสีหน้าเหมือนเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน มองไปที่ชายวัยกลางคนด้วยแววตานับถือแวบหนึ่ง แล้วหยิบระฆังดาราออกมาสองอัน แบ่งลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองไว้บนนั้น แล้วผลักไปตรงหน้าเถ้าแก่เนี้ย “ให้หนิวโหย่วเต๋อส่งคนมาเอาระฆังดาราสองอันนี้ไป ให้เขาลงตราอิทธิฤทธิ์ไว้แล้วส่งกลับมาหนึ่งอัน พวกเราจะติดต่อกับเขาเอง ไม่ได้วางแผนร้ายอะไรกับเขาหรอก และไม่ต้องให้เจ้าสิ้นเปลืองความคิดอะไรด้วย จำไว้ว่าอย่าเล่นตุกติกอะไรเด็ดขาด ถ้าข้าจะสังหารพวกเจ้าก็ง่ายก็เหมือนพลิกฝ่ามือ!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าวอย่างแปลกใจว่า “ข้าส่งคนไปโดยตรงก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่เหรอ? แบบนี้จะไม่ต้องต้องไปกลับหลายรอบ ชีวิตข้าอยู่ในมือพวกท่านแล้ว จะได้ไม่ต้องกังวลด้วยว่าข้าจะเล่นตุกติกอะไร”
“ไม่ต้อง! ให้เขาส่งคนมาเอาไป ” สตรีวัยกลางคนกล่าว
พวกเขาไม่มีทางบอกสาเหตุให้เถ้าแก่เนี้ยรู้ ตอนนี้ที่นอกตำหนักคุ้มเมืองมีคนจับตาดูเต็มไปหมด ไม่ว่าคนนอกที่ไหนเข้าไปก็ล้วนถูกจับจ้อง ดีไม่ดีอาจจะมีคนตามมาที่นี่ก็ได้ มีเพียงการให้คนในตำหนักคุ้มเมืองเข้าออกเท่านั้นถึงจะเป็นปกติที่สุด
เถ้าแก่เนี้ยเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบระฆังดาราออกมา ขณะกำลังจะติดต่อเหมียวอี้ สตรีวัยกลางคนก็เตือนอีกครั้ง “อย่าบอกสถานการณ์ของที่นี่ให้เขารู้ แค่บอกว่าเจ้ามีธุระ แค่ให้เขาส่งคนมาเอาระฆังดาราไปก็พอ! อย่าเล่นตุกติกอะไรเชียว ไม่อย่างนั้นเจ้าต้องรับผิดชอบผลที่ตามมา!”
ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างเถ้าแก่เนี้ยกับเหมียวอี้ พอเถ้าแก่เนี้ยติดต่อเหมียวอี้ได้ ก็บอกสถานการณ์ที่นี่ให้รู้ทันที แต่กลับไม่ได้บอกว่าตัวเองกำลังโดนขู่เอาชีวิต เพียงให้เหมียวอี้เตรียมใจไว้แต่เนิ่นๆ
ที่ตำหนักคุ้มเมือง เหมียวอี้ที่กำลังนอนเอนกายอยู่บนเก้าอี้ตกใจจนลุกขึ้นทันที เดินไปเดินมาอย่างร้อนใจอยู่ที่เดิม เถ้าแก่เนี้ยอาจจะยังไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร แต่เขาที่อยู่ใจกลางของอันตรายกลับรู้ดีอยู่แก่ใจ เพราะเขารอมาตลอด!
นักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ! สงสัยคนบงการหลังฉากจะปรากฏตัวแล้ว มือสังหารก่อนหน้านี้คงเป็นคนที่ผู้มีอำนาจบางคนของตำหนักสวรรค์ส่งมาจริงๆ ให้ตนส่งคนไปเอาระฆังดารา ท่าทางหยางชิ่งจะเดาถูกแล้วว่าอีกฝ่ายจะมาเจรจากับตน ในที่สุดก็มาแล้ว!
เขารู้ทันทีว่าเถ้าแก่เนี้ยอยู่ในอันตรายแล้ว ไม่ว่าจะเจรจาสำเร็จหรือไม่ อีกฝ่ายก็คงไม่ให้คนรู้เรื่องนี้เยอะเกินไป คาดว่าคงคิดหาทางสกัดหลังเรียบร้อยแล้ว!
เหมียวอี้เขย่าระฆังดาราตอบว่า : น้องชิว เจ้าทำให้พวกเขาสงบลงให้ได้ก่อน อย่าทำอะไรซี้ซั้วเด็ดขาด ข้าจะไปเดี๋ยวนี้
เถ้าแก่เนี้ยแอบกระวนกระวาย : เจ้าอย่ามาที่นี่ ถ้าเจ้าปรากฏตัว ทุกคนก็จะอยู่ในอันตราย ข้าสงสัยว่าพวกเขาจะเกี่ยวข้องกับเรื่องลอบสังหารครั้งก่อน
ที่แท้นางก็สงสัยเหมือนกัน! เหมียวอี้บอกว่า : เจ้าไม่ต้องห่วง ข้ารอพวกเขามาก่อน มีวิธีการรับมือตั้งนานแล้ว เจ้าคุมพวกเข้าไว้ก่อน…
หลังจากสั่งเสร็จแล้ว เขาก็กำระฆังดาราแล้วมองซ้ายมองขวา แล้วก็พลิกตัวกระโดลงบ่อน้ำข้างๆ ไปที่ร้านโฉมเมฆาผ่านทางใต้ดินโดยตรง
บทที่ 1289 คบหาเป็นสหาย
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในห้องส่วนตัว เถ้าแก่เนี้ยบอกกับทั้งสองว่า “เขาส่งคนมาแล้วค่ะ”
ชายวัยกลางคนไม่พูดอะไร ส่วนสตรีวัยกลางคนก็พลิกรายการเครื่องประดับดูพลางขอคำแนะนำจากเถ้าแก่เนี้ยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
รอเพียงประเดี๋ยวเดียว ระฆังดาราของเถ้าแก่เนี้ยที่วางอยู่บนโต๊ะก็มีการตอบสนองแล้ว หลังจากตั้งใจฟังแล้วรางก็หยิบเครื่องมือบางอย่างออกมา
สตรีวัยกลางคนที่อยู่ตรงข้ามถามเตือนทันที “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
“เขาส่งคนมาแล้ว ไม่ได้มาทางประตูหลัก ข้าต้องเปิดค่ายกลป้องกันปล่อยเขาเข้ามาค่ะ” เถ้าแก่เนี้ยตอบ
สตรีวัยกลางคนลังเลอยู่บ้าง แต่ชายวัยกลางคนกลับใจใหญ่ พยักหน้าเบาๆ ตกลง เถ้าแก่เนี้ยถึงได้ใช้เครื่องมือเปิดค่ายกลป้องกัน แล้วก็ปิดมันอีกครั้ง
ผ่านไปครู่เดียวก็ได้ยินเสียงฝีเท้า เหมียวอี้แหวกม่านไข่มุกเข้ามาแล้ว
สตรีวัยกลางคนหันกลับไปมอง พวกเถ้าแก่เนี้ยก็เอียงหน้ามองไปเช่นกัน ชายวัยกลางคนยังคงหันหลังให้ ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
เหมียวอี้ที่เดินเข้ามาหยุดฝีเท้า สายตากวาดมองภาพเหตุการณ์ในห้อง เมื่อเห็นว่าไม่มีปัญหาอะไร ก็โล่งอกราวกับหินที่อยู่ในใจร่วงลงพื้น เขากล่าวเสียงเรียบว่า “ให้ทั้งสองรอนานแล้ว หนิวโหย่วเต๋ออยู่นี่แล้ว!”
หนิวโหย่วเต๋อ? สตรีวัยกลางคนชุดลายตกใจทันที นางลุกขึ้นยืนแล้ว ชายวัยกลางคนก็ทำสีหน้าตกตะลึงเช่นกัน พลันหันตัวมามอง สายตามองสำรวจเหมียวอี้ศีรษะจดเท้า พลางถามอย่างเนิบนาบว่า “เจ้าเองเหรอหนิวโหย่วเต๋อ?”
เหมียวอี้ยิ้มบางๆ “ถ้าตัวปลอมก็ให้เปลี่ยนคืนเลย! หนิวรอด้วยความเคารพมานานแล้ว”
ชายวัยกลางคนเหล่ตามองเถ้าแก่เนี้ย สตรีวัยกลางคนก็เช่นกัน นางแสยะยิ้มพร้อมบอกว่า “ข้าบอกไม่ให้เจ้าเล่นตุกติก แต่เจ้าก็ยังกล้าทำ ใจกล้าไม่เบานี่ เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ สินะ”
เหมียวอี้รีบกล่าวห้าม “นั่นคือภรรยาข้าเอง ถ้าพวกนางเป็นอะไรไป ข้ารับรองว่าพวกท่านโดนฝังทั้งโคตรแน่นอน หมายความว่ายังไงคงไม่ต้องให้ข้าอธิบาย!”
“ฮูหยินของเจ้า?” สตรีวัยกลางคนชุดลายดอกถามอย่างงุนงง ในดวงตาชายวัยกลางคนฉายแววประหลาดใจ รายงานข่าวผิดพลาดเหรอ?
“ตรงนี้ไม่ใช่สถานที่คุยกัน ตามข้าไปเถอะ!” เหมียวอี้พูดทิ้งท้าย แล้วหันตัวแหวกม่านไข่มุกเดินออกไป
ชายวัยกลางคนเอามือไขว้หลังเดินตามไป ใจกล้ามากเหมือนกัน
กลับเป็นสตรีวัยกลางคนที่เอียงหน้าให้สัญญาณ บอกใบ้ให้พวกเถ้าแก่เนี้ยเดินนำหน้า ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรจะได้เอาชีวิตสามคนนี้ก่อน
พวกเขาเดินมาถึงลานบ้านด้านหลัง ขึ้นมาบนตึก แล้วเข้าไปในห้องนอนของเถ้าแก่เนี้ยโดยตรง ทั้งหมดเข้าไปในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ด้วยกัน
เหมียวอี้เข้ามานั่งลงในศาลาแล้วยื่นมือเชิญสองสามีภรรยาให้นั่งลง แล้วหันมากำชับว่า “แขกผู้มีเกียรติมาเยือนแล้ว เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ ยกน้ำชามา!”
ตอนนี้ชายวัยกลางคนนั่งลงแล้ว แต่สตรีวัยกลางคนกลับยืนอยู่ด้านข้างอย่างเคารพ แสดงฐานะนายบ่าวอย่างชัดเจน
ชายวัยกลางคนรีบกวาดสายตามองดูสภาพแวดล้อมภายในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ สิ่งนี้คลาดเคลื่อนกับแผนเดิม เดิมทีกะว่าหลังจากติดต่อกับเหมียวอี้ได้แล้ว จะให้เหมียวอี้ปิดใช้งานค่ายกลป้องกันที่ตำหนักคุ้มเมืองชั่วคราว แล้วเขาค่อยเข้าไปที่นั่นผ่านทางใต้ดิน เข้าไปเจรจากับเหมียวอี้ในตำหนักคุ้มเมือง
เหมียวอี้มองดูปฏิกิริยาของสองสามีภรรยา แล้วกล่าวกับชายวัยกลางคนด้วยรอยยิ้ม “ดูท่าแล้วท่านต่างหากที่เป็นตัวหลัก มา เชิญดื่มชา!” ขณะที่พูดก็ยื่นมือเชิญ
“ไม่ดื่มชาหรอก เจ้าคุ้นชินกับการวางยาพิษแล้ว!” ชายวัยกลางคนกล่าว
“เหอะๆ!” เหมียวอี้ส่ายหน้ายิ้ม “การปกป้องตัวเองภายใต้ความจนใจทำให้มีชื่อเสียงไม่ดีแล้ว ลำบากให้แขกผู้มีเกียรติต้องจดจำไว้”
ชายวัยกลางคนบอกว่า “ข้าก็อยากจะยืนยันให้แน่ใจสักหน่อย ว่าเจ้าใช่ตัวหลักหรือเปล่า”
“ไม่มีใครเคยอธิบายรูปลักษณ์ภายนอกของข้าให้ท่านรู้เชียวเหรอ?” เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม
ชายวัยกลางคนตอบว่า “กลอุบายเล่ห์เลี่ยมเยอะเกินไป จำเป็นต้องป้องกันไว้”
“เหอะๆ!” เหมียวอี้ดันแผ่นหยกประจำตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตัวเองออกไป แล้วหยิบแผ่นหยกที่ว่างเปล่าอีกแผ่นออกมาลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเอง จากนั้นดันออกไปให้อีกฝ่ายตรวจสอบพร้อมกัน “เชิญตรวจดู ไม่ใช่ตัวปลอมแน่นอน!”
แผ่นหยกประจำตำแหน่งของขุนนางตำหนักสวรรค์ปลอมแปลงได้ยาก เมื่อต้องใช้หนึ่งแผ่นถึงจะขอให้เบื้องบนทำลงมาให้ ทั้งยังต้องมีตราอิทธิฤทธิ์รับรองของผู้บังคับบัญชาทุกระดับ ยกตัวอย่างเช่นแผ่นหยกของเหมียวอี้ บนนั้นจะมีตราอิทธิฤทธิ์ของหัวหน้าภาคใหญ่ หัวหน้าภาค แม่ทัพภาคของตลาดสวรรค์ไล่ลงมา สุดท้ายถึงจะเป็นตราอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้เอง ถ้าเบื้องบนระงับไว้ แล้วลงตราอิทธิฤทธิ์เองตามอำเภอใจก็จะทำให้แผ่นหยกประจำตำแหน่งทำลายตัวเอง
หลังจากตรวจสอบแล้วว่าไม่ผิดพลาด ชายวัยกลางคนถึงได้ผลักของกลับคืนมา “เจ้าออกมาจากตำหนักแบบนี้ ไม่กลัวว่าจะมีคนจับตามองเหรอ?”
เหมียวอี้ยกน้ำชาขึ้นมาจิบคำหนึ่ง แล้วตอบว่า “ท่านพูดกลับกันแล้ว มีอะไรน่ากลัวล่ะ คนกลัวควรจะเป็นท่านต่างหาก ไม่ต้องห่วงหรอก ข้างนอกไม่มีใครรู้ว่าข้ามาที่นี่”
“ไม่มีใครรู้ว่าเจ้ามาที่นี่?” หลังจากจ้องประเมินเหมียวอี้ที่มีสีหน้าเรียบเฉยไม่หวาดหวั่นครู่หนึ่ง ชายวัยกลางคนก็แสยะยิ้ม “ใจกล้าไม่เบา ไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าเจ้าเหรอ?”
เหมียวอี้ตอบว่า “ชีวิตของข้าไม่สำคัญหรอก ชีวิตของท่านสำคัญกว่าข้า ไม่ต้องพูดสิ่งที่ไร้ประโยชน์เพื่อข่มขู่แล้ว ท่านเป็นใคร?”
ชายวัยกลางคนแววตาวูบไหว “เจ้าบอกว่ารอข้ามานานแล้วไม่ใช่เหรอ? อย่าบอกนะว่าไม่รู้ว่าข้ามาเพราะเรื่องอะไร?” เขากำลังสงสัยว่าในกำไลเก็บสมบัติวงนั้นมีหลักฐานหรือไม่
“รู้หรือไม่รู้ในใจข้าย่อมมีคำตอบ ข้าแค่อยากจะเจรจากับตัวหลัก คงไม่ได้หาใครสักคนมาลองเชิงหรอกใช่มั้ย ข้าคิดได้รอบด้านใช่มั้ยล่ะ?” เหมียวอี้ถาม
จนกระทั่งตอนนี้ ทั้งสองไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องลอบสังหารเลย และไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องสิ่งของที่มือสังหารทิ้งเอาไว้ด้วย ตอนที่ชายวัยกลางคนไม่แน่ใจว่าในกำไลเก็บสมบัติมีหลักฐานหรือไม่ ก็ไม่อยากเปิดเผยตัวตนให้รู้ ถ้าในมือเหมียวอี้ไม่มีหลักฐานเลยและเขาเปิดเผยตัวตน นั่นก็เท่ากับเขารับสารภาพออกมาเอง ส่วนเหมียวอี้เอง ถ้ายังไม่แน่ใจในตัวตนของอีกฝ่าย เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรส่งเดช ถ้ามีคนเจตนาไม่ดีปลอมเป็นคนบงการมาเอาหลักฐานไปจะทำอย่างไร? นี่คือของที่ใช้ปกป้องชีวิตเขา ถ้าประมาทมอบให้ก็เท่ากับรนหาที่ตาย
“รู้ตัวตนที่แท้จริงของข้าแล้วยังไง แล้วเจ้าจะแน่ใจได้ยังไงว่าข้าคือตัวจริง ไม่ได้มาเพื่อลองเชิงเจ้า?” ชายวัยกลางคนถาม
เหมียวอี้ตอบว่า “ของที่อยู่ในมือข้าย่อมพิสูจน์ได้ว่าท่านคือตัวจริงหรือไม่ ท่านเองก็พุ่งเป้ามาที่ของสิ่งนี้ไม่ใช่เหรอ?”
“ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ว่าของในมือเจ้าเกี่ยวข้องกับข้า เจ้าก็น่าจะรู้ว่าหลังจากที่ได้รู้ตัวตนของข้าแล้วจะมีผลที่ตามมาเป็นอย่างไร” ชายวัยกลางคนตอบ
“อย่าอ้อมค้อมเลย ข้าจะให้คำตอบที่น่าพอใจกับท่าน ข้าไม่เอาชีวิตของตัวเองมาล้อเล่นหรอก” เหมียวอี้กล่าว
พอชายวัยกลางคนพลิกฝ่ามือ ป้ายคำสั่งหยกสีรุ้งที่พบเห็นได้ยากแผ่นหนึ่งก็วางบนโต๊ะแล้ว จากนั้นก็หยิบแผ่นหยกอีกแผ่นออกมาลงตราอิทธิฤทธิ์ วางซ้อนกันแล้วผลักมาตรงหน้าเหมียวอี้ ให้เหมียวอี้ตรวจสอบ
เมื่อป้ายคำสั่งหยกสีรุ้งเผยออกมา เหมียวอี้กับพวกเถ้าแก่เนี้ยก็หนังตากระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ สิ่งนี้น่าจะเป็นแผ่นหยกประจำตำแหน่งที่ขุนนางใหญ่ในราชสำนักมีสิทธิ์ใช้ อย่างน้อยก็เป็นระดับท่านโหวขึ้นไปถึงจะมีได้ ไม่ต้องพูดก็รู้ถึงฐานะที่แท้จริงของอีกฝ่ายแล้ว
หลังจากหยิบป้ายประจำตำแหน่งกับแผ่นหยกแผ่นนั้นมาเทียบตรวจ เหมียวอี้ก็ยิ้มบางๆ แล้ววางของผลักกลับไป ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นท่านจริงๆ ด้วย!”
เถ้าแก่เนี้ย เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์สบตากันแวบหนึ่ง ในใจกำลังแปลกใจว่าอีกฝายเป็นใครกันแน่ แต่น่าเสียดายที่เหมียวอี้ไม่บอกให้ชัดเจน
ชายวัยกลางคนเก็บของ แล้วถามว่า “คำตอบที่ข้าต้องการล่ะ?”
เหมียวอี้ยกถ้วนน้ำชาขึ้นมาเป่าจนเกิดไอร้อน พร้อมตอบว่า “โจวเฝิงอาน! ตระกูลจา! คำตอบนี้เพียงพอที่จะยืนยันตัวตนของท่านรึยัง?”
ชายวัยกลางคนกระตุกมุมปากครู่หนึ่ง นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะจับจุดได้โดยตรงแล้ว สงสัยในบรรดาสิ่งของที่โจวเฝิงอานทิ้งไว้จะไม่ธรรมดาอย่างเช่นระฆังดารา ชายวัยกลางคนไม่กลัวเช่นกันว่าในน้ำชาจะมีพิษ ยื่นมือไปยกขึ้นมาจิบ แล้วถามว่า “ว่ามาสิ! เสนอเงื่อนไขของเจ้า เจ้าต้องการอะไรถึงจะยอมส่งของทั้งหมดออกมา?”
“หลังจากส่งของออกมาแล้วผลจะเป็นอย่างไร คาดว่าคงไม่ต้องให้ข้าน้อยพูดอะไรมาก ถ้าส่งของออกมา ข้าน้อยก็มีแต่จะถูกฆ่าปิดปากเท่านั้น!” เหมียวอี้ตอบ
ชายวัยกลางคนเหล่ตาถาม “อยากจะเก็บไว้ในมือตัวเองเพื่อบีบข้าเหรอ?”
เหมียวอี้ตอบว่า “ไม่ถือว่าบีบหรอก ข้าไม่เก็บของไว้ในมือเช่นกัน ไม่อย่างนั้นจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัว ขอเพียงเกิดเรื่องขึ้นกับข้า ของก็จะไปอยู่ในมือตำหนักสวรรค์ทันที ในเมื่อข้ากล้ามา ก็แสดงว่าเตรียมตัวไว้นานแล้ว!”
ชายวัยกลางคนจึงกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าออกหน้าด้วยตัวเอง เรื่องนี้จะต้องถูกแก้ไขให้จบ! ถ้าข้าไม่เป็นอิสระ รับรองว่าเจ้าได้ตายอยู่ตรงหน้าแน่!”
เหมียวอี้ “ก็เพราะข้ารู้ถึงจุดนี้ไง ก็เลยไม่กล้าบีบนายท่าน นายท่านมีอำนาจอิทธิพลมาก ต่อให้ดับสูญไปแล้ว แต่สัตว์ร้อยขาเช่นกิ้งกื้อ ต่อให้ตายแล้วแต่ร่างก็ไม่แน่นิ่งอยู่ดี เบื้องล่างจะตั้งมีคนทุ่มเททำงานให้นายท่านแน่นอน ถึงตอนนั้นคนที่จะมาเอาชีวิตข้าน้อยคงจะไม่ได้มีแค่โจวเฝิงอานแล้ว”
ชายวัยกลางคนพ่นเสียงทางจมูก “รู้ก็ดีแล้ว ว่ามาเถอะ ต้องการให้ข้าจ่ายเป็นอะไร เรื่องในครั้งนี้ถึงจะผ่านไป?”
เป็นคนฉลาดกันทั้งนั้น รู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางส่งของมาให้ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมแล้ว แก้ไขปัญหาโดยตรงไปเลย
เหมียวอี้ตอบว่า “นายท่านไม่ต้องจ่ายอะไรตอบแทนทั้งนั้น ข้าน้อยเพียงอยากจะคบหานายท่านเป็นสหาย ขอเพียงนายท่านไม่รังเกียจ ต่อให้ตำหนักสวรรค์สืบเรื่องนี้ลงมาแล้ว แต่ก็จะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนายท่าน”
คบหาเป็นสหาย? ชายวัยกลางคนจ้องเขาครู่หนึ่ง แล้วหยิบระฆังดาราออกมาสองอัน หลังจากลงตราอิทธิฤทธิ์แล้วก็วางไว้บนโต๊ะ
เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ ลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองลงไปบนระฆังดาราสองอันนั้นเช่นกัน จากนั้นก็หยิบอันที่ร่ายอิทธิฤทธิ์แล้วมาเขย่า เมื่อเห็นอีกอันหนึ่งมีปฏิกิริยา ถึงได้เก็บอันที่อยู่ในมือตัวเองเอาไว้
ชายวัยกลางคนหยิบระฆังดาราอีกอันมาไว้ในมือ แล้วเหลือบมองเถ้าแก่เนี้ย เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างหลังเหมียวอี้ “พวกนางไว้ใจได้มั้ย?”
เหมียวอี้ “ไว้ใจได้ยิ่งกว่าลูกน้องคนสนิทข้างกายนายท่าน นอกจากนี้ ยังมีจุดหนึ่งที่ข้าน้อยรู้สึกแปลกใจ นายท่านสามารถออกหน้ามาที่นี่เองได้ ก็แสดงว่ารู้ถึงความหนักเบาของเรื่องนี้ ดูไม่เหมือนคนที่จะส่งมือสังหารมาลอบสังหารข้าน้อยได้ ตระกูลจา อย่าบอกนะว่าเกี่ยวข้องกับฮูหยินของท่าน?”
ความในอย่านำออก! เห็นได้ชัดว่าชายวัยกลางคนไม่อยากพูดเรื่องนี้ เขาลุกขึ้นยืน เอามือไขว้หลังหันตัวเดินไป ขณะที่เดินก็พูดว่า “หนิวโหย่วเต๋อ จำสิ่งที่ตัวเองพูดเอาไว้แล้วกัน”
ได้แต่มองดูทั้งสองเดินออกไปจากชัยภูมิถ้ำสวรรค์เฉยๆ ถึงขั้นไม่บีบจุดอ่อนอะไรเหมียวอี้ด้วยซ้ำ ไปแบบนี้แล้วเหรอ? เถ้าแก่เนี้ยงุนงง “พวกเขาไม่มีอะไรรับประกันเลยสักนิด อย่าบอกนะว่าเชื่อคำพูดของเจ้าขนาดนี้ ไม่กลัวว่าของจะตกไปอยู่ในมือของตำหนักสวรรค์เหรอ? ข้ายังนึกว่าเขาจะจับข้าเป็นตัวประกันอยู่เลย”
เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน “คนที่ไม่จำเป็นต้องบีบจุดอ่อนอะไร นั่นต่างหากที่น่ากลัวที่สุด! ชัดเจนว่าไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาเลย การที่เขาออกหน้าเองก็คือคำขู่และคำเตือนที่ใหญ่ที่สุดแล้ว ถ้าข้าทรยศเขาก็ไม่มีผลดีอะไรเลย!”
เถ้าแก่เนี้ยเงียบไป ก่อนจะถามอีกว่า”ตระกูลจา? อย่าบอกนะว่าเขาคือเทพประจำดาวฟ้าเถาะผังก้วน?”
เหมียวอี้พยักหน้าช้าๆ “เป็นเขานั่นแหละ”
ทางนี้เพิ่งจะจัดการบุคคลลึกลับไปคนหนึ่ง ตอนเที่ยงตรงวันถัดมา ก็มีบุคคลที่เปิดเผยโผล่มาอีกแล้ว เกาก้วนทูตขวาตรวจการของตำหนักสวรรค์เหาะลงมาแล้ว
เกาก้วนยังคงมีท่าทางเย็นชาสูงส่งเคร่งขรึมเหมือนเดิม เดินลากชุดคลุมสีดำนำคนสองแถวเข้ามาในตำหนักโดยตรง
คนที่เฝ้าประตูติดต่อเหมียวอี้ทันที เมื่อได้รับรายงาน เหมียวอี้ก็รีบเปิดค่ายกลป้องกันที่ปิดไว้ แล้วนำคนมารอต้อนรับตรงตีนบันไดนอกประตูตำหนัก
“ข้าน้อยต้อนรับทูตขวาเกา!” เหมียวอี้เป็นคนนำทำความเคารพ
“ต้อนรับทูตขวาเกา!” จากนั้นทุกคนก็ส่งเสียงทำความเคารพพร้อมกัน แต่ละคนมีท่าทางระมัดระวังตัว มองไปที่เกาก้วนด้วยสายตาหวาดกลัว ราวกับว่าพอเกาก้วนมาถึง อุณหภูมิตอนเที่ยงตรงก็ลดลงไปแล้วไม่น้อย
เกาก้วนเพียงแหลือบมองเหมียวอี้อย่างเย็นเยียบแวบหนึ่ง จากนั้นก็มองข้ามไป นำคนบุกเข้าตำหนักคุ้มเมืองโดยตรง
บทที่ 1290 จบแบบไม่มีบทสรุป
โดย
Ink Stone_Fantasy
เหมียวอี้ทำได้เพียงรีบเดินตามอยู่ข้างหลัง
ตรงหน้าประตูตำหนักที่สร้างขึ้นใหม่ จู่ๆ เกาก้วนก็หยุดเดินและมองสำรวจอย่างละเอียด เห็นได้ชัดว่ารู้เรื่องที่ประตูพังถล่มแล้ว
ชื่อเสียงของผู้พิพากษาหน้าตายเกาก้วนไม่ใช่สิ่งที่ร่ำลือกันเฉยๆ คนที่ดูอยู่บนถนน ทหารสวรรค์ที่อยู่นอกตำหนัก เมื่อมองคล้อยหลังคนกลุ่มนี้เดินเข้าไปในตำหนักแล้ว พวกเขาก็เดาออกถึงจุดประสงค์ในการมาของเกาก้วน จุดประสงค์มีอยู่ไม่กี่อย่างเท่านั้น
ที่โถงหลักในตำหนัก เกาก้วนเข้ามาเองโดยไม่ต้องเชิญ เขาสะบัดชุดคลุมนั่งลงบนตำแหน่งหลัก มีคนสองคนก้าวขึ้นมายืนอยู่ข้างเขาทางซ้ายและขวา
ขณะที่เหมียวอี้กำลังจะถามว่ามีอะไรจะกำชับ เซียวไป่เจียน ผู้ติดตามที่ยืนอยู่ทางซ้ายของเกาก้วนก็บอกแล้วว่า “เรียกผู้บัญชาการ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทุกคนเข้ามาในตำหนัก”
ด้านนอกมีคนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวาแยกย้ายกันไปปฏิบัติตามคำสั่งทันที ไม่ต้องรอให้เหมียวอี้อนุญาต
พอพูดจบ เฉียวเสิ้ง ผู้ติดตามที่ยืนอยู่ทางขวาของเกาก้วนก็จ้องเหมียวอี้พร้อมถามว่า “ผู้บัญชาการใหญ่หนิว ได้ยินว่าห้าวันก่อนเจ้าโดนลอบสังหารที่นอกตำหนักคุ้มเมือง มีเรื่องนี้เกิดขึ้นหรือไม่?”
เหมียวอี้มองไปทางเกาก้วน เกาก้วนเองก็จ้องเขาอย่างเย็นชา ไม่มีความเห็นใดๆ กับคำถามนี้ รู้ว่านี้คือการเริ่มสอบสวนแล้ว ไม่ให้เวลาหายใจด้วยซ้ำ เขาตอบว่า “มีเรื่องนี้ขอรับ”
“เป็นพฤติกรรมของใคร?” น้ำเสียงของเฉียวเสิ้งค่อนข้างกดขี่กดดัน
“มิทราบขอรับ ข้าเองก็อยากจะรู้ว่าเป็นใคร” เหมียวอี้ตอบ
“เจ้ารู้สึกว่าใครที่อาจจะทำแบบนี้?” เฉียวเสิ้งถาม
“ข้ามีเรื่องกับคนอื่นเยอะเกินไป ไม่มีทางตัดสินได้ขอรับ” เหมียวอี้ตอบ
เฉียวเสิ้งจึงบอกว่า “เล่ารายละเอียดของเรื่องที่เกิดขึ้นอีกรอบ”
เหมียวอี้จะทำอย่างไรได้อีก ทำได้เพียงเล่าเรื่องที่โดนลอบสังหารให้ฟังคร่าวๆ รอบหนึ่ง เริ่มตั้งแต่งานเลี้ยงครั้งแรกที่ตำหนักคุ้มเมือง เขาเปิดเผยโดยตรงว่าต้องการจะลงมือกับร้านค้ากลุ่มนี้ เล่าจนถึงเรื่องวางยาพิษล้างเลือดที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท เล่าทั้งหมดโดยไม่ได้ปิดบัง สาเหตุหลักเป็นเพราะคนที่เห็นเหตุการณ์นี้มีเยอะเกินไป ทั้งยังปิดปากไม่ได้ ทำให้ปิดบังไม่ไหว จากนั้นก็เป็นเหตุการณ์ลอบสังหารตอนที่กลับมาถึงตำหนักคุ้มเมือง
หลังจากฟังจบ เฉียวเสิ้งก็ถามอีกว่า “ทำไมต้องลงมือกับกลุ่มผู้จัดการร้านค้า?”
เหมียวอี้ตอบว่า “พวกเขาอาศัยว่าตัวเองมีอิทธิพลหนุนหลัง จึงมองข้ามกฎระเบียบของตลาดสวรรค์ ดึงดันแก้ไขกฎระเบียบที่ตำหนักคุ้มเมืองประกาศออกมา เรื่องนี้ทุกคนต่างก็รู้กันทั่ว! ข้าเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ที่คุมอาณาเขตแทนตำหนักสวรรค์ ไม่ใช่สุนัขเฝ้าบ้านของข้าทาสในตระกูลผู้มีอำนาจ ข้าอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ย่อมต้องกำจัดข้าทาสน่ารังเกียจพวกนี้เพื่อทำให้ถูกระเบียบ ถ้าข้าทาสของตระกูลผู้มีอำนาจกลุ่มนี้มีอำนาจตัดสินใจทุกอย่าง แล้วยังจะมีผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์อย่างพวกเราไว้ทำอะไร ถ้าให้โอกาสอีกครั้งข้าก็จะยังฆ่าเหมือนเดิม!”
เกาก้วนเอียงหน้ามองคนที่กำลังถือแผ่นหยกจดบันทึกข้อความ คนคนนั้นพยักหน้าเบาๆ บอกเป็นนัยว่าบันทึกไปแล้ว
“จากที่ข้ารู้มา สมาคมร้านค้าแก้ไขกฎระเบียบที่ตำหนักคุ้มเมืองประกาศตั้งแต่หนึ่งร้อยปีก่อนแล้ว ทำไมไม่ทำโทษตั้งแต่หนึ่งร้อยปีก่อน ต้องรอมาทำโทษในเวลานี้?” เฉียวเสิ้งถาม
“เพราะหนึ่งร้อยปีก่อนหน้านี้ข้ากำลังจะไปเข้าร่วมการทดสอบ และไม่มีความสามารถที่จะลงโทษพวกเขา หาผู้ช่วยที่จะปกป้องชีวิตไม่เจอ จึงทำได้เพียงอดทนไว้ ดูจากกำลังคนที่พวกเขาดักซุ่มไว้ก็จะรู้” เหมียวอี้ตอบ
“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมไม่รายงานให้เบื้องบนตัดสินใจก่อนแล้วค่อยลงโทษ?” เฉียวเสิ้งถาม
เหมียวอี้ตอบว่า “ท่านกำลังล้อเล่นหรือ? เบื้องหลังของพวกเขาก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้าข้ารายงานขึ้นไปจะมีประโยชน์อะไร! ถ้าไม่ใช่เพราะข้าโดนกดดันจนไร้ทางเลือก ข้าจำเป็นจะต้องเสี่ยงทำแบบนี้เหรอ?”
“ผู้บัญชาการใหญ่หนิว ระวังน้ำเสียงการพูดจาของเจ้าหน่อย” เกาก้วนกล่าวเตือนเสียงเรียบ
เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ บอกใบ้ว่าทราบแล้ว
“ยาพิษที่ใช้วางยา เจ้าเอามาจากไหน?” เฉียวเสิ้งถาม
เหมียวอี้ตอบว่า “ได้มาจากตอนทดสอบในนรก ตอนนั้นฆ่าคนเยอะเกินไป ไม่แน่ใจด้วยว่าเอามาจากตัวใคร”
“ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท ยอดฝีมือสี่คนที่คอยปกป้องเจ้ามาจากไหน?” เฉียวเสิ้งถาม
“ข้าจ่ายเงินจ้างมาเอง” เหมียวอี้ตอบ
“จ่ายเงินไปเท่าไร จ้างมาจากไหน?” เฉียวเสิ้งถาม
“เฉียวเสิ้ง” เกาก้วนพลันเรียกขัดจังหวะ แต่ตอนหลังเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ไม่ต้องเสียงเวลากับเรื่องนี้แล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะถาม ก่อนจะมาฝ่าบาทมีคำสั่ง ว่าส่งเรื่องที่ตลาดสวรรค์ให้ราชินีสวรรค์ตัดสินชี้ขาด พวกเราสอบสวนเพียงเรื่องมือสังหารที่ตำหนักคุ้มเมือง็พอ!”
เฉียวเสิ้งถ่ายทอดเสียงตอบว่า “นายท่าน ถ้าไม่รู้สาเหตุชัดเจน แล้วจะตัดสินปัญหาอย่างละเอียดได้อย่างไร ถ้าพลาดรายละเอียดไปก็อาจจะพลาดเป้าหมายได้!”
เกาก้วนถ่ายทอดเสียงตอบว่า “ฝ่าบาทสั่งให้สืบ พวกเราก็สืบ ถ้าฝ่าบาทไม่ให้สืบ พวกเราก็ไม่ต้องไปแตะต้อง เข้าใจมั้ย?”
เฉียวเสิ้งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ แสดงออกว่าเข้าใจแล้ว จากนั้นเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “มือสังหารที่ลอบฆ่าเจ้าที่ตำหนักคุ้มเมืองมีวรยุทธ์เท่าไร?”
“คาดว่าบงกชรุ้งขั้นหนึ่งขอรับ” เหมียวอี้ตอบ
“ธนูที่เจ้าใช้ฆ่ามือสังหารเอามาจากไหน?” เฉียวเสิ้งถาม
เหมียวอี้สงสัยว่าเขารู้อยู่แก่ใจแต่ก็ยังถาม ได้แต่ตอบไปว่า “แย่งมาได้จากการทดสอบที่นรกขอรับ”
“นำธนูออกมาดูหน่อย” เฉียวเสิ้งตอบ
ไม่มีทางปฏิเสธสิ่งนี้ได้ เหมียวอี้ทำได้เพียงส่งธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์กับลูกธนูดาวตกออกมาแต่โดยดี เฉียวเสิ้งหยิบมาดูในมือ จากนั้นยื่นให้คนที่อยู่ข้างๆ พร้อมสั่งว่า “ทดสอบอานุภาพของวิเศษชิ้นนี้เดี๋ยวนี้”
เขาหันกลับมาถามเหมียวอี้อีกว่า “ได้ยินว่าของที่มือสังหารทิ้งไว้อยู่ในมือเจ้าเหรอ?”
“ขอรับ!” ขณะที่ตอบคำถาม เหมียวอี้ก็หยิบกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งออกมาแล้ว
เฉียวเสิ้งรับกำไลเก็บสมบัติมาดู พบว่าข้างในมีกระบี่วิเศษด้ามหนึ่ง สมุนไพรเซียนซิงหัวสองต้น ยาแก่นเซียนและเหรียญผลึกจำนวนหนึ่ง ที่เหลือก็ไม่มีอะไรแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าถาม “มีของแค่นี้น่ะเหรอ?”
เกาก้วนได้ยินแล้วยื่นมือออกมา เฉียวเสิ้งยื่นกำไลเก็บสมบัติให้เขา หลังจากดูเสร็จเกาก้วนก็ขมวดคิ้ว แล้วส่งให้คนที่ยืนอยู่ข้างๆ ตรวจดูให้ละเอียด
“มีอยู่เท่านี้ขอรับ เดิมทีข้าคิดจะหาเบาะแสของมือสังหารจากของที่มือสังหารทิ้งไว้ แต่มือสังหารนั่นเจ้าเล่ห์ ไม่ทิ้งเบาะแสอะไรไว้เลย” เหมียวอี้ตอบ
“เจ้าไม่ได้เก็บของอะไรไว้ส่วนตัวใช่มั้ย?” เฉียวเสิ้งถาม
“เปล่าขอรับ” เหมียวอี้ตอบ
“ไม่มีจริงเหรอ?” เฉียวเสิ้งถาม
“ไม่มีจริงๆ ขอรับ” เหมียวอี้ตอบ
เฉียวเสิ้งถามอีกว่า “เจ้าเห็นของข้างในหมดแล้วหรือยัง?”
“เห็นหมดแล้วขอรับ” เหมียวอี้ตอบ
“ข้างในมีของอะไรบ้าง?” เฉียวเสิ้งถาม
เหมียวอี้ตอบว่า “ของอยู่ในนี้หมดแล้ว ท่านดูเองก็จะรู้แล้ว”
“ข้าถามเจ้าว่าข้างในมีของอะไรบ้าง” เฉียวเสิ้งกล่าว
เหมียวอี้ตอบว่า “กระบี่หนึ่งด้าม สมุนไพรเซียนซิงหัวสองต้น แล้วก็มียาแก่นเซียนกับเหรียญผลึกจำนวนหนึ่ง”
“ยาแก่นเซียนกี่เม็ด เหรียญผลึกเท่าไร?” เฉียวเสิ้งถาม
“ไม่ได้ดูละเอียด ไม่ทราบจำนวนโดยละเอียดขอรับ” เหมียวอี้ตอบ
เฉียวเสิ้งจึงบอกว่า “เจ้าโกหก! จำนวนทรัพย์สินสามารถตัดสินที่มาที่ไปของมือสังหารได้ สิ่งของที่มือสังหารทิ้งเอาไว้ เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะไม่ตรวจดูให้ละเอียด! สาเหตุที่เจ้าไม่รู้ชัดเป็นเพราะเจ้าปรับจำนวนของที่อยู่ในนี้ ใส่ของเอาไว้นิดหน่อยตามอำเภอใจ ใช่หรือไม่? ของที่เหลืออยู่ไหน?”
เมื่อเผชิญหน้ากับวิธีสอบสวนที่ใส่ใจรายละเอียดของสถานการณ์มากเกินไป เหมียวอี้แทบจะลุกลี้ลุกลนจนทำอะไรไม่ถูก แต่เหมียวอี้ก็ยังยืนยันว่าไม่รู้
ในเมื่อยืนยันว่าไม่รู้ อีกฝ่ายจึงทำการตรวจค้นเขาทันที พอพลิกตรวจสิ่งของทุกอย่างที่อยู่บนตัวเหมียวอี้ ก็พบว่าเจ้าหมอนี่ร่ำรวยมาก ต้องให้เหมียวอี้อธิบายให้ชัดเจนว่าระฆังดาราแต่ละอันเอาไว้ใช้ติดต่อใครบ้าง แทบจะกดดันให้เหมียวอี้อธิบายที่มาที่ไปของสมบัติเหล่านั้นทุกอย่าง เมื่ออธิบายชิ้นไหนไม่ได้ก็เก็บยึดเอาไปเตรียมตรวจสอบเสียเลย!
เป่าเหลียนที่เป็นผู้ติดตามของเขาก็โดนค้นตัวเช่นกัน ได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกัน
ฝูชิงและผู้บัญชาการอีกสามคน รวมทั้งผู้ช่วยผู้บัญชาการของแต่ละคนล้วนถูกสืบสวนและค้นตัว ของที่มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจนล้วนถูกเก็บยึดหมด
ตำหนักคุ้มเมืองก็ถูกตรวจค้นทุกซอกทุกมุมเช่นกัน จุดอับเล็กน้อยก็ไม่ปล่อยไป รวมทั้งในบ่อน้ำนั้นด้วย
การกระทำนี้แทบจะทำให้เหมียวอี้ตกใจจนเหงื่อกาฬท่วมตัว โชคดีที่หลังจากที่เทพประจำดาวฟ้าเถาะไปแล้ว รู้ว่ามือมืดเบื้องหลังไม่มีทางลงมือกับตนอีกแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ทางใต้ดินเพื่อเอาชีวิตรอดอีก กอปรกับรู้ว่าคนของตำหนักสวรรค์จะมา เขาจึงรีบสั่งให้ผีจวินจื่อจัดการถมทางใต้ดินของตำหนักคุ้มเมืองสักหน่อย ไม่อย่างนั้นก็จะแก้ตัวลำบากแล้ว
และเหมียวอี้ก็สมคบคิดกับพวกฝูชิงไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ของที่ไม่ควรเก็บไว้กับตัวก็นำไปเก็บไว้ที่อื่น โชคดีที่เตรียมตัวไว้ล่วงหน้า ไม่อย่างนั้นในการตรวจสอบครั้งนี้ก็อาจจะตรวจเจอปัญหาใหญ่ก็ได้
การตรวจสอบครั้งนี้ใช้เวลาครึ่งเดือนเต็มๆ พวกเหมียวอี้ถูกจับแยกไปกักบริเวณแล้ว
หลังจากนั้นครึ่งเดือน พวกเขาก็ถูกปล่อยตัวออกมา หัวหอกฝ่ายเกาก้วนชี้ไปยังบรรดาร้านค้าขนาดใหญ่แทน ร้านค้าทุกร้านที่ถูกเหมียวอี้ค้นยึดสิ่งของและลงโทษประหารล้วนอยู่ในขอบเขตการตรวจสอบ หลังจากได้ข้อมูลจำนวนคนที่ถูกเหมียวอี้ประหารแล้ว เกาก้วนก็กดดันให้เจ้าของที่อยู่เบื้องหลังร้านค้าใหญ่ๆ เหล่านั้นส่งรายชื่อสมาชิกของร้านค้าทางนี้มาตรวจสอบ
จำนวนคนไม่สอดคล้องกัน มีมือสังหารเพิ่มมาอีกคน! เกาก้วนขยายขอบเขตการตรวจสอบให้กว้างขึ้นอีก ต้องการให้เจ้าของร้านที่อยู่เบื้องหลังส่งมอบรายชื่อของทุกคนในตระกูลตัวเองออกมา ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะนำกำลังคนไปตรวจสอบทีละตระกูล
หลังจากเหมียวอี้ได้ยินข่าว ก็นึกไม่ถึงว่าเกาก้วนจะทำแบบนี้ ทำได้เพียงขอให้เทพประจำดาวฟ้าเถาะภาวนาให้ตัวเอง หวังว่าทางตระกูลจาจะไม่มีช่องโหว่อย่างอื่นแล้ว หวังว่าเทพประจำดาวฟ้าเถาะจะจัดการให้เรียบร้อยได้ อย่าให้ตอนสุดท้ายต้องเปิดโปงสิ่งที่เขาปิดบังเอาไว้ไม่ยอมรายงานขึ้นไปออกมา
ที่จริงเหมียวอี้ก็รู้ดี ว่าการที่ตนช่วยเทพประจำดาวฟ้าเถาะครั้งนี้ ก็เท่ากับตนหลอกลวงตำหนักสวรรค์ ถึงแม้ในมือจะบีบจุดอ่อนของเทพประจำดาวฟ้าเถาะเอาไว้ แต่ถ้าไม่ถึงยามจนตรอก เขาก็ไม่กล้าทำออกมาใช้
แต่มีบางอย่างที่เหมียวอี้ยังไม่รู้ ว่าที่จริงเกาก้วนเสนอแนะราชันสวรรค์ ว่าให้ซือหม่าเวิ่นเทียนขอรายชื่อทุกคนในตระกูลของผู้มีอำนาจเอาไว้ฉบับหนึ่ง รายชื่อฉบับนี้ละเอียดกว่าฉบับที่ขอให้ตระกูลผู้มีอำนาจส่งมาให้เอง มีคนมากมายที่ไม่ปรากฏรายชื่ออยู่ในฉบับที่ตระกูลผู้มีอำนาจส่งมาให้ เกาก้วนไม่อยากทำให้เรื่องนี้ใหญ่โต จึงเน้นตรวจสอบเฉพาะนักพรตบงกชรุ้งขั้นหนึ่งที่ขาดหายไป แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ก็ยังทำให้ตระกูลผู้มีอำนาจมากมายตกใจเหมือนไก่บินเตลิดหมาวิ่งพล่านอยู่ดี เบื้องล่างของใครไม่มีตัวละครลับซ่อนอยู่บ้าง ถ้าจะฟื้นฝอยขึ้นมาจริงๆ ก็ยังไม่รู้ว่าจะสืบเรื่องอะไรออกมาได้อีก
พูดแบบไม่น่าฟังหน่อยก็คือ มีตระกูลไหนบ้างที่ไม่ทำเรื่องน่าอับอายลับหลังราชันสวรรค์
กลุ่มขุนนางใหญ่นั่งไม่ติดที่แล้ว รวมตัวกันคัดค้านในที่ประชุมราชสำนัก ดังนั้นเกาก้วนจึงถูกราชันสวรรค์เรียกตัวกลับมา ราชันสวรรค์เองก็เข้าใจเช่นกัน ดูจากแนวโน้มสถานการณ์แบบนี้ ถ้าสืบต่อไปใต้หล้าจะต้องวุ่นวายมาก เรื่องนี้ก็จะเท่ากับว่าจบแบบไม่มีบทสรุปแล้ว เพียงแต่ในวังสวรรค์หลังจากประชุมราชสำนึก ราชันสวรรค์โมโหเดือดดาลมาก ทุบทำลายข้าวของไปมากมาย นางสนมหลายคนที่ทำอะไรไม่เหมาะสมแม้เพียงนิดเดียว ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนราชันสวรรค์ประทานความตายให้แล้ว ทำให้คนในวังตกใจเหมือนเงียบกริบเหมือนจั๊กจั่นในฤดูหนาว
เมื่อข่าวแพร่ออกไป กลุ่มผู้มีอำนาจในราชสำนักก็ทำตัวว่าง่ายแล้วเช่นกัน ขณะเดียวกันก็สั่งให้ช่วงนี้ลูกน้องใต้สังกัดตัวเองทำตัวดีๆ หน่อย ในใจล้วนรู้ดี ว่านี่คือการร่วมมือกันกดดันราชันสวรรค์! ถ้าทำตัวไม่ดีนิดเดียวแล้วถูกจับได้ นั่นก็เท่ากับรนหาที่ตาย ดีไม่ดีท่านนั้นอาจจะประหารทั้งโคตรก็ได้ แต่การพุ่งเป้าไปที่ลูกน้องของคนอื่นก็ยังไม่มีปัญหา
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เอาไว้พูดตอนหลัง คนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวาตำหนักสวรรค์ไปแล้ว พวกเหมียวอี้ก็ถูกปล่อยออกมาแล้วเช่นกัน เพียงแต่ของที่กลับมาอยู่ในมือทุกคนหดหายไปไม่น้อย ของที่มีที่มาไม่ชัดเจนล้วนกลายเป็นวัตถุพยานไว้เตรียมตรวจสอบ ที่สำคัญคือของในที่เก็บสมบัติมีมากมายขนาดนั้น ใครจะไปจำที่มาที่ไปได้หมดทุกชิ้น?
สิ่งที่ยิ่งทำให้คนพวกนี้ข่มไฟโกรธไว้ก็คือ ของมากมายที่ได้จากการค้นยึดร้านค้า ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกคนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวานำไปเป็นวัตถุพยานไว้เตรียมตรวจสอบหมดแล้ว หลังจากตรวจนับเสร็จก็ม้วนเก็บกลับไปด้วยเลย เจ้าโมโหแต่ก็โวยวายไม่ได้!
“เฮ้อ! ยังนึกว่าหน่วยตรวจการฝ่ายขวาเป็นหน่วยงานที่รายได้น้อย ตอนนี้เพิ่งจะได้รู้ ว่านั่นที่เรียกว่าทรัพย์สินอุดมสมบูรณ์ของจริง!”
พวกเหมียวอี้ออกมาน้อมส่งพวกเกาก้วนที่นอกกำแพงเมือง ขณะมองตาม ‘แขกผู้มีเกียรติ’ จากไป สวีถังหรานที่อยู่ข้างกันอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
บทที่ 1291 กฎระเบียบในวงการ
โดย
Ink Stone_Fantasy
มู่หรงซิงหัวเอียงหน้าถามว่า “อาศัยวิธีการฉวยผลประโยชน์ของผู้บัญชาการสวี ไม่ได้แอบหักไว้ส่วนตัวสักนิดเลยเหรอ?”
“นี่เจ้าชมข้าหรือด่าข้า?” สวีถังหรานถาม จากนั้นก็ถอนหายใจอีก “หักอะไรได้ล่ะ ถ้าถูกตรวจเจอขึ้นมา ผู้พิพากษาหน้าตายจะสนใจใยดีศีรษะของข้าเหรอ? ไม่กล้าเก็บไว้เลยสักนิด ส่งให้ไปหมดแล้ว”
มู่หรงซิงหัวหัวเราะเบาๆ “เสียทรัพย์สินนิดหน่อยแต่ได้อุ้มสาวงามกลับมา ก็ยังคุ้มค่าอยู่นะ ถึงยังไงเรื่องมงคลของเจ้าก็ใกล้จะมาถึงแล้ว กำหนดวันแต่งงานหรือยัง?
สวีถังหรานเหลือบมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง ก่อนจะเอามือลูบจมูกพร้อมตอบว่า “กำหนดเป็นสิ้นดือนหน้า”
ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ได้ยินแล้วอดไม่ได้ที่จะกลั้นขำ เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอะไรอีกแล้ว สวีถังหรานบังคับซื้อตัวเสวี่ยหลิงหลง หลังจากนอนด้วยแล้วเดิมทีก็คิดจะรับเป็นอนุภรรยา แต่ปรากฏว่าโดนหวงฝู่จวินโหรวบังคับให้รับเป็นฮูหยินภรรยาเอก ทำเอาข้างนอกมีคนมากมายหัวเราะเยาะสวีถังหราน ไม่น่าเชื่อว่าจะแต่งงานกับคนเต้นกินรำกินมาเป็นภรรยาเอก
“เลิกห่อเหี่ยวได้แล้ว เสวี่ยหลิงหลงมีความสามารถทางศิลปะ ความงดงามก็ยิ่งไม่ธรรมดา ได้แต่งงานกับนางถือเป็นวาสนาของเจ้า นางเองก็ลำบากเหมือนกัน ดูแลนางดีๆ หน่อย…ไม่อย่างนั้นหวงฝู่จวินโหรวคงไม่ปล่อยเจ้าไป!” มู่หรงซิงหัวพูดหยอกล้อ แล้วหันกลับมาถามเหมียวอี้อีกว่า “นายท่าน เรื่องของทูตขวาเกาก้วนนับว่าผ่านไปรึยัง?”
“หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น!” เหมียวอี้มองดูเงาร่างที่หายลับไปจากขอบฟ้าพลางถอนหายใจ
“เออใช่!” จู่ๆ สวีถังหรานก็เข้ามาใกล้ตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วกล่าวอบย่างกังวลเกินเหตุว่า “นายท่าน ข้าเพิ่งได้ข่าวจากลูกน้องมา บอกว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงมาแล้ว ตอนนี้กำลังอยู่ที่ร้านค้าสมาคมวีรชน”
เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ เบื้องบนมีคนได้ข่าวไวจริงๆ ด้วย ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์แปดพันกว่าตำแหน่งเพิ่งจะถูกกำหนด รายชื่อเพิ่งจะประกาศได้ไม่นาน เจ้าหมีควายนั่นก็มาที่นี่แล้ว เห็นได้ชัดว่าได้ข่าวล่วงหน้า เพียงแต่แทนที่จะมาหาตนก่อน กลับไปหาหวงฝู่จวินโหรว ไปหาอดีตผู้หญิงของตน ในใจเหมียวอี้รู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไร ถามว่า “มาถึงเมื่อไร?”
สวีถังหรานตอบว่า “ได้ยินว่ามาถึงตั้งแต่เมื่อวานแล้ว หาโรงเตี๊ยมค้างแรม ระหว่างนั้นไปที่ร้านค้าสมาคมวีรชนหลายรอบ นายท่าน ได้ยินว่าตอนนี้ท่านกับเขาค่อนข้างสนิทกัน ท่านเองก็รู้ถึงความขัดแย้งระหว่างข้ากับเขาก่อนหน้านี้ ข้าน้อยกลัวว่าเขาจะมาหาเรื่อง ตอนนี้อาหญิงของเขากุมอำนาจของตลาดสวรรค์ ข้าไปมีเรื่องด้วยไม่ไหว!”
“จัดการเรื่องงานแต่งงานอย่างสงบใจเถอะ” เหมียวอี้พูดทิ้งท้ายแล้วหันหน้าเดินจากไป
ปรากฏว่าเรื่องบางเรื่องก็ค่อนข้างอธิบายยาก พอเข้าเมืองแล้วเหาะมาลงนอกตำหนักคุ้มเมือง ก็เห็นชายหนุ่มรูปร่างกำยำกำลังเอามือไขว้หลังเดินเนิบนาบ พอหันกลับมาก็แหกปากทักทายด้วยรอยยิ้มทันที “น้องหนิว เราเจอกันอีกแล้วนะ”
นอกจากเซี่ยโห้วหลงเฉิงแล้วจะเป็นใครไปได้ อีกฝ่ายวิ่งเข้ามากุมหมัดทักทายเหมียวอี้ แต่พอสายตาไปหยุดอยู่บนหน้าสวีถังหราน บนหน้าก็เปลี่ยนเป็นดุร้ายทันที โบกมือชี้ด่าว่า “โจรสุนัข! เจ้ายังไม่ตายอีกเหรอ?” พูดจบก็ช้อนดาบใหญ่ผลึกแดงออกมา เตรียมจะพุ่งไปข้างหน้า
สวีถังหรานตกใจจนหน้าซีด ในปีนั้นโดนเซี่ยโห้วหลงเฉิงฟันแขนขาดไปข้างหนึ่ง ตอนนี้รีบไปหลบข้างหลังเหมียวอี้แล้ว
เหมียวอี้ลงมือรวดเร็ว คว้าข้อมือที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงใช้ถือดาบเอาไว้ แล้วกล่าวเสียงเย็นว่า “พี่เซี่ยโห้ว เจ้าทำแบบนี้หมายความว่ายังไง? พอมาถึงบ้านข้าก็จะสังหารลูกน้องข้า รู้สึกว่าข้ารังแกง่ายขนาดนั้นเชียวเหรอ? เชื่อมั้ยว่าข้าจะเด็ดหัวเจ้าก่อน?”
เขาเองก็เริ่มเดือดดาลแล้วเหมือนกัน มีคนมาหาถึงประตูอย่างต่อเนื่อง ตอนแรกก็เทพประจำดาวฟ้าเถาะ แล้วก็เกาก้วน ตอนนี้แม้แต่หมีควายก็ยังมาพาลเกเรที่นี่
“…” เซี่ยโห้วหลงเฉิงงุนงงพูดไม่ออก ถูกคำพูดเหมียวอี้สยบแล้ว คนอื่นๆ ที่อยู่ตรงนี้อาจจะไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เขาเห็นเองกับตาว่าตอนเหมียวอี้ฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านนั้นเหี้ยมหาญขนาดไหน จ้านหรูอี้ก็เกือบจะตายเพราะทวนของเขาแล้ว ครั้งนี้ได้ยินว่าตัดหัวคนไปอีกแปดพันกว่าคน สิ่งที่เขาทำล้วนเป็นสิ่งที่ตนไม่กล้าทำ
ประการแรกเป็นเพราะเขานับถือเหมียวอี้มากจริงๆ ประการต่อมาเป็นเพราะไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะได้คบหาสหายที่มีอนาคตสักคน เขาเป็นคนที่ไม่มีสหาย แล้วสาเหตุอีกอย่างก็เป็นเพราะเจ้าหมอนี่เอะอะก็ลงดาบตัดหัวคนในตระกูลผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์ นับรวมทั้งตอนแรกทั้งตอนหลังก็เกรงว่าจะฆ่าไปเป็นหมื่นแล้ว ได้ยินว่าครั้งนี้แม้แต่ผู้จัดการร้านของตระกูลตนก็ยังโดนกดดันให้มาฆ่าตัวตายที่นี่แล้ว เขาไม่สงสงสัยเลยสักนิดว่าเหมียวอี้จะกล้าลงมือกับเขาหรือไม่
เซี่ยโห้วหลงเฉิงหดดาบกลับมาอย่างช้าๆ แล้วยิ้มแห้งพร้อมบอกว่า “น้องหนิว ทำไมต้องทำลายความรู้สึกระหว่างเราเพื่อโจรสุนัขตัวเดียวด้วย”
เหมียวอี้จึงบอกว่า “ในเมื่อไม่อยากทำลายความรู้สึก เช่นนั้นวันนี้ข้าก็จะเป็นคนกลาง ปล่อยให้เรื่องในอดีตมันผ่านไป ไม่ต้องไปหาเรื่องสวีถังหรานอีก ดีมั้ย?”
เซี่ยโห้วหลงเฉิงเม้มปากนิดหน่อย ทำสีหน้าเหมือนไม่สมัครใจ เก็บดาบใหญ่ในมือ แล้วบอกว่า “ในเมื่อน้องหนิวเอ่ยปากแล้ว ข้าก็จะไว้หน้าน้องหนิวสักครั้ง” แต่ก็ยังโบกมือชี้สวีถังหรานที่อยู่ข้างหลังพร้อมเตือนว่า “โจรสุนัข ถ้าครั้งหน้าล่วงเกินปู่คนนี้อีก ก็จะไม่ปล่อยไปง่ายๆ เด็ดขาด!”
เหมียวอี้จับข้อมือเขาแล้วพาเดินเข้าไปในตำหนักด้วยกัน “ได้ยินว่าพี่เซี่ยโห้วมาตั้งนานแล้ว แต่กลับหลบไม่ยอมมาพบข้า มัวไปหาผู้หญิง แบบนี้มีอย่างที่ไหนกัน?”
“เหอะๆ! ฟังน้องหนิวพูดเข้าสิ ทีแรกก็อยากจะมาหาเจ้าก่อนนั่นแหละ ได้ยินว่าผู้พิพากษาหน้าตายก็อยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน ข้าจะกล้ามาที่นี่ได้ยังไง เลยได้แต่ไปหาโรงเตี๊ยมพักก่อน เป็นเพราะได้ยินว่าผู้พิพากษาหน้าตายนั่นไปแล้ว ข้าถึงได้มาเยี่ยมน้องหนิวทันที”
“ไปร้านค้าสมาคมวีรชนแล้วได้เจอผู้จัดการร้านหวงฝู่หรือยัง นางเป็นยังไงบ้าง?”
“อาจจะตกใจเรื่องที่เกือบโดนน้องหนิวตัดหัวละมั้ง สีหน้าห่อเหี่ยวลงเยอะมาก เจ้าอารมณ์จนน่าตกใจ ข้าได้ยินว่าเจ้าจับนางมาสองรอบแล้ว ต่อไปนี้เห็นแก่หน้าข้าและอย่าทำให้นางลำบากได้มั้ย เอะอะเจ้าก็ตัดหัวคนร่วงลงพื้นเป็นกอง ฆ่าจนเลือดนองกลายเป็นแม่น้ำ ข้าเป็นชายอกสามศอกยังอกสั่นขวัญแขวน แล้วนับประสาอะไรกับผู้หญิงอย่างนาง”
เมื่อได้ยินว่าผู้หญิงที่สดใสมีสง่าราศีคนนั้นห่อเหี่ยวแล้ว ในใจเหมียวอี้ก็รู้สึกเศร้าอย่างประหลาด เขาเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ก่อนหน้านี้อยากจะสะบัดนางให้หลุด ไม่ได้คิดว่าตัวเองจริงใจกับนาง แต่ทำไมตอนนี้ในใจถึงรู้สึกไม่สงบล่ะ? จู่ๆ ก็กล่าวเสียงดังว่า “ในเมื่อพี่เซี่ยโห้วมาแล้ว วันนี้พวกเราไม่เมาไม่เลิก!”
“เหอะๆ! ต่อไปยังมีโอกาสไม่เมาไม่กลับอีก ตอนนี้อยู่ใกล้กันแล้ว ไปมาหาสู่กันสะดวก ครั้งหน้าน้องหนิวไปดื่มที่จวนข้าให้สะใจเลย ข้ายังไม่รู้เลยว่าที่นั่นหน้าตาเป็นยังไง…”
เกาก้วนไปแล้ว เซี่ยโห้วหลงเฉิงย่อมไม่พักที่โรงเตี๊ยมอีก แต่มาพักที่ตำหนักคุ้มเมืองโดยตรง แทบจะวิ่งไปที่ร้านค้าสมาคมวีรชนทุกวัน ส่วนเหมียวอี้ก็สืบข่าวหวงฝู่จวินโหรวจากปากเขาบ่อยๆ แต่เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ไม่ได้อยู่ที่นี่นานเช่นกัน อยู่ที่นี่แค่ครึ่งเดือนเท่านั้น เขายังต้องไปรับตำแหน่งอีก ก่อนไปรับตำแหน่งยังต้องไปรับคำสั่งที่จวนแม่ทัพภาคตงหัว เขาเฝ้าคอยการรับตำแหน่งครั้งนี้มาก นี่คือตำแหน่งสูงสุดของเขาในตอนนี้ และเป็นตำแหน่งที่เขาคิดว่าได้มาด้วยความสามารถตัวเองและไม่ต้องพึ่งพาอำนาจของตระกูล หารู้ไม่ว่าถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าตระกูลของเขา เหมียวอี้ก็ไม่ให้อันดับเก้ากับเขาเหมือนกัน!
แต่ความคิดแบบเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็เป็นปรากฏการณ์ที่ปกติมาก หลังจากลูกหลานผู้มีอำนาจพวกนั้นพยายามทำเรื่องอะไรบางอย่างแล้ว ต่างก็คิดว่าได้ความสำเร็จมาเพราะอาศัยความพยายามของตัวเอง รู้สึกว่าความสามารถของตัวเองก็ไม่เลวเลย
หลังจากการสังหารหมู่ที่สะเทือนขวัญทั้งเมือง ตอนนี้ก็ได้ต้อนรับงานมงคลที่อึกทึกครึกโครมไปทั้งเมืองแล้ว งานแต่งงานของสวีถังหรานผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกกับเสวี่ยหลิงหลงดาวเด่นแห่งหอกลิ่นสวรรค์มาถึงแล้ว
ผู้บัญชาการใหญ่หนิวโหย่วเต๋อออกคำสั่ง ให้ประดับประดาโคมไฟและผ้าหลากสีทั้งเมือง ร้านค้าสองข้างทางต่างก็โยนดอกไม้สดต้อนรับเกี้ยวเจ้าสาว
ทั้งตลาดสวรรค์ตกอยู่ในบรรยากาศมหามงคลทันที ร้านค้าไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ต่างก็ประดับตกแต่งอย่างมีจิตสำนึก ไม่กล้าฝ่าฝืน ความน่าหวาดกลัวยามศีรษะร่วงลงพื้นยังใช้ได้ผลดีมาก งานเฉลิมฉลองได้ชนปะทะให้กลิ่นคาวเลือดที่สะสมอยู่ในใจของผู้คนหายไปแล้ว
หอกลิ่นสวรรค์ย่อมถูกตกแต่งให้ดูคึกคักเป็นพิเศษ หวงฝู่จวินโหรวมาถึงหอกลิ่นสวรรค์ตั้งนานแล้ว กำลังมองดูเสวี่ยหลิงหลงล้างมือในอ่างทอง จากนั้นก็มองดูเสวี่ยหลิงหลงแต่งตัว นั่งอยู่หน้าโต๊ะข้างๆ แล้ววางแขนลงบนโต๊ะ ใช้สองมือเท้าคางเอาไว้ หรี่ตายิ้มมองอยู่อย่างนั้น มองอย่างไรก็มองไม่หนำใจ มองจนใบหน้างามของเสวี่ยหลิงหลงแดงเรื่อ รู้สึกเขินอายมาก
เดิมทีสวีถังหรานอยากจะหาสถานที่อื่นเพื่อเป็น ‘บ้านเจ้าสาว’ ให้เสวี่ยหลิงหลง รู้สึกว่าการรับเกี้ยวเจ้าสาวจากหอกลิ่นสวรรค์มันแปลกๆ แต่หวงฝู่จวินโหรวเป็นตัวแทนบ้านเจ้าสาวที่มีอำนาจมาก นางดึงดันไม่ยอมทำตาม ต้องการจะให้เสวี่ยหลิงหลงแต่งงานออกจากหอกลิ่นสวรรค์อย่างสง่าผ่าเผย ไม่มีอะไรต้องปิดบัง
สวีถังหรานอยากจะจัดให้เรียบง่ายหน่อยเพื่อปิดบังความน่าอับอาย แต่หวงฝู่จวินโหรวกลับต้องการให้เอิกเกริก ต้องการให้วนรอยเมืองหนึ่งรอบ ต้องการให้ทุกคนได้รู้ว่าเสวี่ยหลิงหลงเป็นฮูหยินภรรยาเอกของสวีถังหราน ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนปิดบัง
สวีถังหรานคาดคะเนว่านางขาใหญ่ ไม่งัดข้อกับนางไม่ไหว เขาพบว่าช่วงนี้ผู้จัดการร้านหวงฝู่ค่อนข้างอารมณ์ร้าย ดังนั้นจึงตามใจนางตั้งแต่ตอนที่คุยเรื่องการแต่งงานแล้ว
ในตอนนี้ ท่านแม่สวีเรียกคนกลุ่มใหญ่มาล้อมเสวี่ยหลิงหลงที่กำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
เสียงดนตรีด้านนอกดังเข้ามา ท่านแม่สวีวิ่งไปดูที่ริมหน้าต่าง แล้วหันกลับมาสะบัดผ้าเช็ดหน้าในมือพร้อมบ่นว่า “ขบวนรับเกี้ยวเจ้าสาวมาถึงแล้ว เร็วๆ หน่อย”
สวีถังหรานที่อยู่ใต้ตึกยิ้มทื่อนิดหน่อย ประดับผ้าสีแดงบนตัว บนศีรษะสวมมงกุฎ สวมชุดสีแดงทั้งตัว แต่สิ่งนี้ล้วนไม่สำคัญ ที่สำคัญคือรอบข้างมีคนมาดูเอาสนุกเยอะเป็นพิเศษ
ตอนนี้สวีถังหรานอยากจะบีบคอหวงฝู่จวินโหรวให้ตาย ไม่น่าเชื่อว่าจะกดดันให้เขามารับเกี้ยวเจ้าสาวที่สถานบันเทิง คาดว่าข้าคงเป็นคนแรกที่ทำแบบนี้!
ฝูชิง อิงอู๋ตี๋และมู่หรงซิงหัวก็มาเช่นกัน ต่างก็มารับเกี้ยวเจ้าสาวเป็นเพื่อนสวีถังหราน ไว้หน้าสวีถังหรานมาก
ปั้งๆ! มู่หรงซิงหัวเคาะเปิดประตูใหญ่ของหอกลิ่นสวรรค์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเบิกบาน คนอื่นล้วนรออยู่ข้างนอก นางเดินเข้าไปประสานงาน ตอนที่ออกมาอีกครั้ง ยามประตูใหญ่เปิดออก เสวี่ยหลิงหลงที่สวมมงกุฎหงส์และม่านไข่มุกปิดบังใบหน้างามก็ออกมาจากประตูใหญ่โดยมีพวกท่านแม่สวีคอยประคอง
พอส่งตัวให้สวีถังหรานแล้ว สวีถังหรานก็ใช้ผ้าสีแดง ‘มงคล’ เส้นหนึ่งจูงให้เสวี่ยหลิงหลงขึ้นไปนั่งบนเกี้ยว จากนั้นทหารสวรรค์สิบหกคนก็ยกเกี้ยวใหญ่เดินไปข้างหน้า ข้างหน้าเกี้ยวมีทหารสวรรค์คอยเบิกทาง ข้างหลังมีเสียงดนตรีบรรเลง ทุกที่ที่เกี้ยวไปถึง ร้านค้าใหญ่ๆ ก็จะพากันโปรยดอกไม้ มีดอกไม้ปลิวว่อนตลอดทาง ลอยเข้ามาในตู้เกี้ยว กลิ่นหอมสดชื่น ใบหน้างามที่อยู่หลังม่านไข่มุกเขินอายเล็กน้อย
ตอนที่ขบวนรับเกี้ยวเข้าสาวเดินไปได้ไม่ไกล ในถนนข้างๆ ก็มีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งออกมา แต่ละคนลบเครื่องประทินโฉมจนหมด ปักปิ่นจิงไชแบบหญิงชาวบ้าน ม้วนขนเสื้อขึ้น ถือไม้กวาดและยกถังน้ำสาดไปที่ถนน ล้างทำความสะอาดถนน
วันนี้สถานบันเทิงอย่างหอนางโลม คณะระบำของทั้งตลาดสวรรค์ล้วนหยุดดำเนินกิจการชั่วคราว พักกิจการเอง มารวมตัวกันเอง ทำความสะอาดถนนที่ขบวนรับเกี้ยวเจ้าสาวผ่านไป พวกนางหวังว่าจะช่วยเสวี่ยหลิงหลงล้างชื่อเสียงที่ไม่ดีก่อนหน้านี้ให้สะอาดหมดจดได้ นี่คือกฎระเบียบในวงการของพวกนาง เหมือนจะเป็นกฎระเบียบในวงการที่คนนอกวงการไม่เคยได้ยินมาก่อน ค่านิยมในสังคมก็เป็นแบบนี้ จะมีผู้หญิงจากสถานบันเทิงสักกี่คนที่ได้แต่งงานเป็นภรรยาเอก ถ้าจะเคยมีก็เป็นเรื่องที่นานมากแล้ว คนนอกย่อมไม่เคยได้ยินหรือไม่ก็ลืมเลือนไปแล้ว แต่พวกนางไม่ลืม เพราะนี่คือความฝันของพวกนาง ไม่มีทางลืมได้ หวังว่าตั้งแต่นี้ไปเสวี่ยหลิงหลงจะมีชีวิตที่ดี
บทที่ 1292 เวทีหลักของสวีถังหราน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในบรรดาผู้หญิงที่ทำความสะอาด มีบางคนเคยเป็นคู่แข่งที่ช่วงชิงมงกุฎเสวี่ยหลิงหลง แต่ตอนนี้ทุกอย่างผ่านไปแล้ว ต่อให้จะยังอิจฉาริษยาอยู่ แต่เสวี่ยหลิงหลงในวันนี้ควรได้รับคำอวยพรจากเพื่อนร่วมอาชีพทุกคนเป็นธรรมดา เป็นเพราะเสวี่ยหลิงหลงนำพาความหวังมาสู่พวกนางทุกคน
กลีบดอกไม้ไหลลงคลองสองข้างทางตามแรงฉีดล้างของกระแสน้ำ ลอยไปไกลตามกระแสน้ำ ทุกอย่างลอยไปไกล ถนนกลับกลายเป็นสะอาดเหมือนเดิม
ท่านแม่สวีปาดน้ำตาด้วยความประทับใจ ประสานมือแสดงความเคารพให้พวกนางอยู่ตรงประตูหอกลิ่นสวรรค์ แสดงความขอบคุณ!
เป็นไปไม่ได้ที่มู่หรงซิงหัวและคนอื่นๆ จะตามขบวนของสวีถังหรานวนไปจนทั่วทั้งเมือง ไปถึงจุดหมายปลายทางสุดท้ายก็พอแล้ว ตอนหยุดพักอยู่กับที่ครู่เดียว ใครจะคิดว่าจะได้เห็นฉากนี้ พวกเขาเข้าใจการกระทำของท่านแม่สวีในทันที ฝูชิงถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “ว่ากันว่าโสเภณีไร้ความรู้สึก นางคณิกาไร้คุณธรรม แต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป!”
ฉากนี้ทำให้ด้านหลังขบวนรับเกี้ยวเจ้าสาวมีเสียงดังเกรียวกราวเล็กน้อย จิตใต้สำนึกทำให้เสวี่ยหลิงหลงอยากจะหันกลับไปมอง แต่สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ รีบเตือนว่า “ฮูหยิน หันกลับไปไม่ได้เจ้าค่ะ อย่าหันกลับไปเด็ดขาด!”
เสวี่ยหลิงหลงนึกถึงคำที่ท่านแม่สวีย้ำเตือนทันที เมื่อแต่งงานออกจากประตูบานนี้ไปแล้วก็ห้ามหันกลับมา ‘เมื่อขึ้นเกี้ยวที่ใช้รับเจ้าสาว ต่อให้ฟ้าถล่มก็หันกลับมาไม่ได้เด็ดขาด จะกลับมาเดินเส้นทางเดิมอีกไม่ได้’
ดังนั้นนางจึงข่มอารมณ์ชั่ววูบที่จะหันกลับไปมองข้างหลัง
สวีถังหรานกลับหันไปมองแวบหนึ่ง ในใจรู้สึกสงสัยว่าใครจัดคนมากวาดถนน ถือว่าเอาใจใส่มากทีเดียว จึงถ่ายทอดเสียงสั่งลูกน้องที่เดินตามอยู่ข้างเกี้ยว “ไปถามหน่อยว่าเรื่องอะไรกันแน่?”
ลูกน้องวิ่งไปไม่นานแล้วก็กลับมาอีก ถ่ายทอดเสียงอธิบายเหตุผลให้รู้ สวีถังหรานงงงัน เอียงหน้ามองเสวี่ยหลิงหลงที่เมื่อครู่นี้เพิ่งถูกสั่งว่าไม่ให้หันกลับไป
ขบวนรับเกี้ยวเจ้าสาวเลี้ยวเข้ามาที่ถนนใหญ่แล้วเริ่มวนรอบเมือง ส่วนผู้หญิงกลุ่มใหญ่ที่เดินตามอยู่ไกลๆ ก็คอยเก็บกวาดตามหลังตลอด ไม่มีใครสร้างภาพตบตา นอกจากเวลาตักน้ำแล้ว ตอนเก็บกวาดก็ไม่มีใครร่ายอิทธิฤทธิ์ ล้วนใช้พลังกายของตัวเองทำอย่างจริงจัง
ยังดีที่มีคนเยอะ มีประมาณพันกว่าคน ระดับความกว้างของถนนมีจำกัด ทุกคนสามารถผลัดกันทำได้ ทว่าขอบเขตของตลาดสวรรค์ก็ไม่ใช่เล็กๆ ร้านค้าที่ค่อนข้างใหญ่ก็จะครองพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตำหนักคุ้มเมืองและจวนผู้บัญชาการสี่เขต สรุปก็คือถ้ารวมขอบเขตให้ครอบคลุมทั้งตลาดสวรรค์ก็ไม่ใช่เล็กๆ เลย แค่คิดก็รู้แล้วว่าการเดินเท้ารอบเมืองจะเป็นอย่างไร
ตอนเช้ายังมีคนมากมายมาดูเอาสนุก ตอนเที่ยงเรื่องปาฏิหาริย์นี้ก็แพร่ไปทั่วทั้งตลาดสวรรค์ พอตกบ่าย คนที่อยู่สองข้างทางล้วนอยู่ในความสงบเงียบขณะที่มองดูกลุ่มผู้หญิงที่เก็บกวาดถนนตั้งแต่เช้าจนถึงบ่าย ต่างก็ดูออกว่าไม่ได้ใช้พลังอิทธิฤทธิ์เก็บกวาด ไม่น่าเชื่อว่าจะอาศัยกายเนื้อเก็บกวาดถนนที่ไกลขนาดนี้ได้ เสียงหัวเราะเย้ยหยันจึงค่อยๆ เงียบลง
เมื่อใกล้จะถึงตอนค่ำ ขบวนรับเกี้ยวเจ้าสาวก็ถึงจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกที่ประดับประดาผ้าหลากสีและโคมไฟสวยงามแล้ว ตอนที่ลงจากเกี้ยว สุดท้ายสายตาของเสวี่ยหลิงหลงที่อยู่หลังม่านไข่มุกก็ไปหยุดอยู่ที่กลุ่มผู้หญิงแต่งตัวธรรมดาที่กำลังขยันขันแข็งเก็บกวาดอยู่ตรงจุดไกลๆ นางยืนค้างอยู่ตรงประตูทันที สุดท้ายก็เข้าใจแล้วว่าเสียงความเคลื่อนไหวที่ตามหลังอยู่ก่อนหน้านี้คืออะไร
สวีถังหรานที่กำลังจูงนางอึ้งไปชั่วขณะ มองตามนางไป
สาวใช้ทั้งสองของเสวี่ยหลิงหลงร้อนใจทันที กระซิบเรียกเบาๆ “ฮูหยิน…”
ความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติทางด้านนี้สะเทือนถึงกลุ่มผู้หญิงที่ออกแรงเก็บกวาดอยู่ข้างหลังแล้วเช่นกัน มีบางคนดึงให้คนอื่นมาทำงานด้วยกัน
ผ่านไปไม่นาน กลุ่มที่ผู้หญิงที่แต่งตัวเหมือนชาวบ้านก็ทยอยกันยืนขึ้น มีบางคนเหนื่อยจนเหงื่อไหล มีบางคนเหนื่อยจนหน้าซีด บางคนเหนื่อยจนลุกขึ้นยืนแล้วโซเซ มีคนไม่น้อยที่มือเสียดสีกันจนมีเลือดออก ใบหน้างามของแต่ละคนถอดสี สะบักสะบอมเกินทน
น้ำตาในดวงตาของเสวี่ยหลิงหลงเอ่อล้นออกมาทันที สาวใช้ทั้งสองรีบเตือนอีกครั้ง “ฮูหยิน วันมงคลแบบนี้ร้องไห้ไม่ได้เจ้าค่ะ ร้องไห้ไม่ได้!”
“ฮือๆ” เสวี่ยหลิงหลงเอามือปิดปาก พยายามควบคุมไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา
ทุกคนที่อยู่ตรงจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกพูดไม่ออกแล้ว เรื่องนี้วุ่นวาย ฝูชิง อิงอู๋ตี๋ มู่หรงซิงหัวที่รออยู่ที่นี่ก็พูดไม่ออกเหมือนกัน
กลุ่มผู้หญิงที่แต่งตัวเหมือนชาวบ้านกลับทำสีหน้าหวาดกลัว นึกไม่ถึงว่าความหวังดีของทุกคนกลับทำลายวันมงคลของเสวี่ยหลิงหลงแล้ว
“ฮูหยิน…” สาวใช้ทั้งสองร้อนใจจะตายอยู่แล้ว อยากจะจับตัวเสวี่ยหลิงหลงเข้าไปในประตูเสียเลย
ปรากฎว่ากลับเป็นสวีถังหรานที่ยกมือห้ามสาวใช้สองคนที่กำลังเร่งเร้า คนที่ประจบประแจงเก่งจะไม่เข้าใจเรื่องมนุษย์สัมพันธ์ได้อย่างไร เขาสามารถเข้าใจความรู้สึกของเสวี่ยหลิงหลงในตอนนี้ได้ เขาเข้ามาใกล้ตรงหน้าเสวี่ยหลิงหลง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ฮูหยิน ไปคารวะขอบคุณด้วยกันกับข้าเถอะ!”
ม่านไข่มุกสั่นไหว เสวี่ยหลิงหลงหันมามองเขา น้ำตาไหลพรากทันที ราวกับทำใจเชื่อได้ยากนิดหน่อย
ผลก็คือสวีถังหรานเป็นฝ่ายจูงมือนาง แทนที่จะเข้าประตูใหญ่ของจวนผู้บัญชาการ เขากลับจูงนางเดินไปหากลุ่มผู้หญิงเก็บกวาดถนนที่กำลังหวาดกลัว
ความคิดของเขาไม่ซับซ้อนเลย เรื่องที่ควรเสียหน้าก็เสียไปแล้ว จะไปอุดปากคนอื่นก็ไม่ได้เหมือนกัน ไม่สู้ข้าทำตัวเป็นคนฉลาดใจกว้างหน่อยดีกว่า ต้องเปลืองแรงสักหน่อยก็แล้วกัน อย่างน้อยก็ต้องโอ๋คนที่อยู่ข้างกายตัวเองให้มีความสุข จะปล่อยให้แย่ทั้งสองฝั่งไม่ได้
ทั้งสองเดินไปตรงหน้าผู้หญิงกลุ่มนั้นที่กำลังลังเลว่าจะเข้ามาหรือจะถอยไปดี สวีถังหรานบอกว่า “ทุกท่านคอยส่งมาตลอดทางจนถึงตรงนี้ สวีไม่รู้จะขอบคุณยังไง โปรดรับการคำนับจากพวกเราสองสามีภรรยาด้วย!” พูดจบก็โค้งกายก่อน
เสวี่ยหลิงหลงตกตะลึงแล้วจริงๆ นึกไม่ถึงว่าสวีถังหรานจะทำแบบนี้ได้ ในใจเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง จากนั้นก็โค้งกายคำนับตาม สองสามีภรรยาโค้งคำนับอย่างสุดซึ้ง
“มิบังอาจ มิบังอาจ”
“นายท่านผู้บัญชาการอย่าทำแบบนี้”
“นายท่านผู้บัญชาการรีบยืนขึ้นเถอะ”
กลุ่มผู้หญิงจากสถานบันเทิงที่ลบเครื่องประทินโฉมออกหมดรีบร้อนผายมือขึ้นทันที หลายปากแย่งกันพูดให้ยืนตรง จะบอกว่าผู้หญิงเป็นเพศที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกก็ไม่ผิด มีคนไม่น้อยเอามือปิดปากร้องไห้แล้ว อิจฉาเสวี่ยหลิงหลงจะตายอยู่แล้ว
กลุ่มคนที่ดูอยู่สองข้างทางงุนงง ถูกบรรยากาศในตอนนี้ย้อมความรู้สึกไปด้วย รู้สึกเคารพสวีถังหรานขึ้นมาอย่างประหลาด พบว่าการที่อีกฝ่ายสามารถเป็นผู้บัญชาการตลาดสวรรค์ได้ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกผู้สง่าผ่าเผย ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถค้อมกายคารวะผู้หญิงจากสถานบันเทิงต่อหน้าฝูงชนได้ ความใจกว้างนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะเทียบติด
“สวีถังหรานคนนี้ ข้าดูไม่ออกจริงๆ” มู่หรงซิงหัวที่อยู่ตรงประตูจวนผู้บัญชาการพึมพำอย่างแปลกใจ ในดวงตาฉายแววทึ่ง มองสวีถังหรานด้วยมุมมองใหม่แล้วจริงๆ
ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋มองหน้ากันเลิกลั่ก นี่ใช่เจ้าคนขี้ประจบจริงเหรอ? สงสัยการประจบประแจงคงจะเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ทุกที่
“น่ารำคาญ!” แม้แต่หวงฝู่จวินโหรวที่อยู่ตรงประตูก็ยังอดไม่ได้ที่จะกล่าวเหยียดหยาม แต่พอมองไปที่สายตาของสวีถังหราน สุดท้ายท่าทีของนางก็ดีขึ้นไม่น้อย รู้สึกดีใจแทนเสวี่ยหลิงหลง สงสัยสวีถังหรานจะชอบเสวี่ยหลิงหลงจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้หรอก คาดว่าต่อไปนี้คงจะปฏิบัติกับเสวี่ยหลิงหลงไม่แย่เท่าไรนัก
ข้างกายนางยังมีสตรีที่รูปร่างสูงสง่าอีกคนหนึ่ง ใบหน้างดงามดุจภาพวาด ลักษณะองอาจกล้าหาญ สวมชุดกระโปรงสีขาวทั้งตัว ไม่ใช่ใครที่ไหน นางคือจ้านหรูอี้ ศัตรูคู่แค้นของเหมียวอี้นั่นเอง เหตุผลเดียวที่นางมาปรากฏตัวที่นี่ในตอนนี้ได้ ก็เป็นเพราะนางคือสหายของหวงฝู่จวินโหรว แต่ตอนนี้ยังไม่เปิดเผยตัวตนของตัวเองให้คนรอบข้างรู้
ตอนนี้พอได้เห็นการกระทำแบบนี้ของสวีถังหราน จ้านหรูอี้ที่เงียบมาตลอดก็ถ่ายทอดเสียงถามว่า “คนนี้คือสวีถังหราน ผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกเหรอ?”
หวงฝู่จวินโหรวพยักหน้า จ้านหรูอี้กล่าวอย่างทึ่งเล็กน้อยว่า “นึกไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะมีลูกน้องเป็นผู้ชายที่หายากขนาดนี้! คนไม่ธรรมดามักจะมีลูกน้องไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย” คำพูดของนางเท่ากับเป็นการยอมรับว่าเหมียวอี้ไม่ธรรมดา ขณะที่พูดก็อดไม่ได้ที่จะมองมู่หรงซิงหัว ฝูชิงและอิงอู๋ตี๋ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ไม่รู้ว่าผู้บัญชาการสามคนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าหากค่อนข้างใช้ได้ ถ้ามีโอกาสนางก็จะดึงตัวสวีถังหรานรวมทั้งคนพวกนี้มาเป็นลูกน้องตัวเองพร้อมกันเลย
หวงฝู่จวินโหรวอดไม่ได้ที่จะกลอกตามองบน นางขี้เกียจประเมินค่าหนิวโหย่วเต๋อ แต่ยามปกติสวีถังหรานผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกคนนี้มีนิสัยเป็นอย่างไร นางรู้ดีที่สุดแล้ว เป็นแค่คนต่ำทรามไร้ยางอายคนหนึ่ง สาเหตุที่วันนี้รักบ้านและอีกาที่อยู่บนหลังคาบ้าน[1] ก็คงจะเป็นเพราะเสวี่ยหลิงหลงกระมัง จะเรียกว่าไม่ธรรมดาได้อย่างไรกัน ธรรมดาจะตายไป ธรรมดาจนถึงขั้นที่คนทั่วไปรับไม่ได้
ปฏิกิริยาของคนที่อยู่รอบข้างก็ไม่เลว สวีถังหรานได้ทำแล้วก็ต้องทำให้สุด พูดกับกลุ่มผู้หญิงของสถานบันเทิงอีกว่า “ผู้ที่มาล้วนเป็นแขก ในเมื่อให้เกียรติมาเยือนงานของสวี ก็ได้โปรดไว้หน้าดื่มสุรามงคลสักจอก ทหาร!”
“นายท่าน!” ลูกน้องคนหนึ่งถลันตัวเข้ามากุมหมัดคารวะ
สวีถังหรานกล่าวว่า “สั่งให้ทางสวนหยกเพิ่มโต๊ะ พวกนางล้วนเป็นแขกของสวี อย่าต้อนรับไม่ดี”
ลูกน้องทำสีหน้าลำบากใจทันที ในใจแอบร้องทุกข์ ตรงนี้เกรงว่าจะมีคนเป็นพัน ถ่ายทอดเสียงตอบทันทีว่า “นายท่าน มากันรวดเดียวเยอะขนาดนี้ ถ้าอยากจะต้อนรับย่างดีก็เกรงว่าจะไม่ทันแล้วขอรับ”
กลุ่มผู้หญิงที่เหนื่อยล้าอ่อนแรงซาบซึ้งมากแล้ว สังเกตจากสีหน้าและคำพูดก็พอจะเดาสาเหตุคร่าวๆ ได้ จู่ๆ ก็เพิ่มคนจำนวนมากขนาดนี้ จะเตรียมการทันได้อย่างไร กอปรกับพวกนางมีฐานะสกปรก ยามปกติจะได้ไปนั่งโต๊ะดื่มสุรามงคลที่บ้านคนอื่นเสียที่ไหนกัน นั่นไม่ใช่การไปพังงานคนอื่นหรอกเหรอ คงไม่ต่างอะไรกับการดื่มสุราในหอนางโล่ม ย่อมอยากจะหลีกเลี่ยงอยู่แล้ว พากันกล่าวปฏิเสธอย่างนุ่มนวลทันที “น้ำใจของนายท่านผู้บัญชาการ พวกเราซาบซึ้งแล้ว”
แต่ใครจะคิดว่าสวีถังหรานก็กล่าวเสียงดังว่า “จะไม่ทันได้ยังไง? ก็แค่เพิ่มอีกพันคนเองไม่ใช่เหรอ?” เขาหันกลับมาตะโกนถาม “พี่ฝู พี่อิง น้องมู่หรง ดึงคนจากเขตเมืองพวกเจ้าออกมาได้รึเปล่า?”
“ไม่มีปัญหา!” มู่หรงซิงหัวยิ้มตอบ
“เรื่องนี้สวีไม่ต้องเป็นห่วง” ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋กล่าวรับประกันพร้อมกัน
ทั้งสามหันไปสั่งให้ลูกน้องเตรียมการทันที
“พวกเจ้าได้ยินแล้วนะ” สวีถังหรานหันกลับมาบอกผู้หญิงกลุ่มนั้นอีกครั้ง แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะอย่างภาคภูมิใจ “ผู้ที่มาล้วนเป็นแขก อย่าให้ขาดไปแม้แต่คนเดียว สุรามงคลจอกนี้เราสองสามีภรรยาจะต้องดื่มคารวะให้ได้ ถ้าไม่มาแสดงว่าไม่ไว้หน้าพวกเราสองสามีภรรยา”
เมื่อเห็นสถานการณ์แบบนี้แล้ว อีกฝ่ายลดเกียรติของตัวเอง แสดงความจริงใจซ้ำแล้วซ้ำอีก ถ้ายังปฏิเสธอีกก็จะฟังไม่ขึ้นแล้ว ผู้หญิงกลุ่มนั้นพากันตอบตกลง ต่างก็แสดงออกว่าจะไปดื่มสุรามงคลจอกนี้ หลังจากก้าวเข้ามาในวงการบันเทิงอบายมุข นี่ก็เป็นครั้งแรกที่พวกนางได้ไปดื่มสุรามงคลบ้านคนอื่น มีคนไม่น้อยซาบซึ้งในจนร้องไห้ เอามือปิดปากร้องไห้สะอึกสะอื้น
เสวี่ยหลิงหลงซาบซึ้งใจสุดๆ แล้ว นางน้ำตาไหลเงียบๆ ร้องไห้ด้วยความรู้สึกสุขใจ คำพูดที่คับแค้นใจทุกอย่างหายไปในชั่วพริบตาเดียว รู้สึกว่าทุกอย่างล้วนคุ้มค่า ทำให้นางสงบใจมากกว่าเดิม อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลอีกว่าสวีถังหรานจะดูถูกพื้นเพอาชีพของนาง
ทักษะทางการแสดงของสวีถังหรานย่อมไม่ใช่เล่นๆ นึกถึงตอนแรกที่เข้าร่วมการทดสอบ เขาเป็นคนที่สามารถแสดงบทเศร้าจนโค่วเหวินหลานหลั่งน้ำตาได้ ตอนนี้พอเขาได้แสดงในเวทีหลักของตัวเองขึ้นมาก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
จ้านหรูอี้ส่ายหน้าถอนหาใจอีกครั้ง “โหรวโหรว เดี๋ยวเจ้าแนะนำผู้บัญชาการสวีคนนี้ให้ข้ารู้จักสักหน่อยนะ”
หวงฝู่จวินโหรวหันกลับมามองอย่างพูดไม่ออก ราวกับกำลังถามว่า พูดจริงหรือพูดเล่น?
ฝูชิง อิงอู๋ตี๋และมู่หรงซิงหัวกลับกำลังอึดอัดใจ วันนี้สวีถังหรานดวงขึ้นเรื่องการประจบเหรอ? เล่นบ้าอะไรของเจ้า?
สมกับเป็นคนที่คลุกคลีอยู่ด้วยกันบ่อยๆ สวีถังหรานมีการใคร่ครวญคิดการวางแผนจริงๆ ตรงนี้มีคนอยู่อย่างน้อยพันกว่าคน จะมาร่วมดื่มสุรามงคลโดยไม่มอบอั่งเปาให้ได้อย่างไร? วันนี้เป็นวันมหามงคล คาดว่าการดึงกำลังคนจากพวกฝูชิงมาช่วยงานเลี้ยงก็ไม่ต้องออกเงินเองด้วย หรือพูดได้อีกอย่างว่า อั่งเปาของคนพันกว่าคนนี้คือกำไรเน้นๆ ถึงอย่างไรก็เป็นแบบนี้ไปแล้ว เรื่องที่ควรเสียหน้าก็เสียหน้าไปแล้ว แล้วทำไมไม่ตักตวงเงินสักหน่อยล่ะ?
เขาเองก็อาจจะคาดคิดไม่ถึงเช่นกัน ว่าการกระทำในวันนี้ได้ทำให้เขามีชื่อเสียงไปทั่วหล้า ผู้หญิงในสถานบันเทิงพากันเอ่ยถึงสวีถังหรานอย่างเคารพเลื่อมใส พวกนางต่างก็เรียกเขาว่า ‘ผู้มีพระคุณ’ หวังจะให้เหตุการณ์ในครั้งนี้ปลุกเร้าให้ในใต้หล้ามีผู้ชายแบบสวีถังหรานเยอะๆ
…………………………
[1] รักบ้านและอีกาที่อยู่บนหลังคาบ้าน 爱屋及乌 หมายถึง รักใครก็รักคนหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับเขาด้วย
บทที่ 1293 เสียหน้าเกินไปแล้ว
โดย
Ink Stone_Fantasy
ส่วนกลุ่มผู้หญิงจากสถานบันเทิงก็รอจนพวกสวีถังหรานเข้าไปในจวนผู้บัญชาการ ถึงได้ก้าวขึ้นมาทำความสะอาดถนนส่วนที่เหลือให้เสร็จ จากนั้นก็แยกย้ายกันไป
“เชิญผู้หญิงจากหอโคมเขียวมาดื่มสุรามงคลพันกว่าคนเหรอ?”
เมื่อข่าวมาถึงตำหนักคุ้มเมือง เหมียวอี้ที่ได้รู้ถึงความเล่นใหญ่ของสวีถังหรานก็ค่อนข้างงงงัน ตั้งแต่โลกถือกำเนิดมานี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องแบบนี้ ไม่รู้ว่าสวีถังหรานใจกว้างจริงๆ หรือว่าหน้าด้านกันแน่ เขาย่อมรู้จักนิสัยของสวีถังหรานดี ทั้งสองมีจุดเริ่มต้นจากระดับผู้ช่วยผู้บัญชาการเหมือนกัน เลื่อนขึ้นตำแหน่งผู้บัญชาการเหมือนกัน เขารู้สึกว่านี่ไม่เหมือนเรื่องที่สวีถังหรานจะสามารถทำได้
ที่จริงเป่าเหลียนที่เป็น ‘คนฟ้อง’ ก็อึดอัดใจมากเหมือนกัน มองจากมุมของผู้หญิง บางครั้งนางก็รู้สึกว่าผู้หญิงพวกนั้นเป็นนางแพศยาที่เกิดมาล่อลวงผู้ชายโดยเฉพาะ แต่บางครั้งก็สงสารพวกนางมาก หลังจากได้รู้เรื่องกวาดถนนแล้ว จะบอกว่าไม่สะเทือนใจเลยก็แสดงว่าโกหก ที่แท้วงการอาชีพนี้ก็มีธรรมเนียมแบบนี้อยู่ พฤติกรรมของสวีถังหรานทำให้นางบอกไม่ถูกว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร
ข่าวแพร่ไปที่ตลาดสวรรค์อย่างบ้าคลั่ง มีบางคนใช้ระฆังดาราติดต่อกับภายนอกด้วย ตอนนี้ไม่มีใครหัวเราะเยาะที่สวีถังหรานแต่งงานรับผู้หญิงจากหอนางโลมมาเป็นภรรยาเอกแล้ว เรื่องกวาดถนนส่งขบวนเกี้ยวเจ้าสาวกลายเป็นเรื่องที่ดีงามของสวีถังหราน คนกล่าวขานกันว่า : ช่างเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลมากจริงๆ!
คู่บ่าวสาวไหว้ฟ้าดินอยู่ในจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก สถานที่หลักในการจัดงานเลี้ยงรับรองแขกอยู่ที่สวนหยก ทั้งยังจัดแยกที่ภัตตาคารอื่นด้วย นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลือก งานแต่งงานใหญ่ของผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก ไม่ใช่งานแต่งงานรับอนุภรรยา เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตคน หลังจากคลื่นลมที่เจือกลิ่นคาวเลือดผ่านพ้นไป ร้านค้าที่อยู่ในเขตเมืองตะวันตกก็ไม่มีใครที่กล้าไม่มาร่วมแสดงความยินดี แต่ถ้าจะให้พ่อค้าหลายหมื่นคนมาเบียดอยู่ด้วยกัน ก็อาจจะแออัดเกินไปหน่อย ย่อมต้องแบ่งแยกกันอยู่แล้ว แขกที่สำคัญบางส่วนมารวมตัวกันในสวนหยก ส่วนที่เหลือก็มีลูกน้องของสวีถังหรานที่เป็นตัวแทนแบ่งจัดงานเลี้ยงในเขตต่างๆ คอยรับรอง
แต่ก็มีข้อยกเว้นเหมือนกัน ที่สวนหยกยังเพิ่มโต๊ะใหญ่อีกเกือบสองร้อยโต๊ะ ก็ใครใช้ให้สวีถังหรานพูดไปแล้วว่าเชิญผู้หญิงจากหอนางโลมพวกนั้นมาดื่มสุรามงคลที่สวนหยกล่ะ
ดังนั้นตอนหลังจึงเกิดภาพที่ประหลาดมหัศจรรย์ขึ้น สวนหยกมีทะเลสาบ กลางทะเลสาบมีศาลา นอกศาลามีทางเดินยาวที่เชื่อมต่อถึงริมฝั่งโดยรอบ บนฝั่งครึ่งขวามีแต่ผู้หญิง บนฝั่งครึ่งซ้ายแทบจะมีแต่ผู้ชาย พ่อค้าที่อยู่ที่นี่มีทั้งหมดหนึ่งพันคน เนื่องจากผู้หญิงที่อยู่ฝั่งขวาเยอะกว่าผู้ชายที่อยู่ฝั่งซ้ายหลายร้อยคน สิ่งที่ทำให้คนพูดไม่ออกยิ่งกว่านั้นก็คือพื้นเพของผู้หญิงพวกนี้ บรรยากาศอัปมงคล!
รอจนกระทั่งแขกที่ควรจะมามากันครบแล้ว ทางสวนหยกถึงได้แจ้งให้ตำหนักคุ้มเมืองทราบ เชิญให้บุคคลที่คอยรั้งท้ายขึ้นเวที
ถนนด้านนอกถูกปิดชั่วคราว ทหารสวรรค์หลายสิบคนเฝ้าประตูสวนหยกและคอยระแวดระวังรอบด้าน ถึงอย่างไรเรื่องลอบสังหารที่ตำหนักคุ้มเมืองก็เพิ่งขึ้นได้ไม่นาน ฝูชิง อิงอู๋ตี๋และมู่หรงซิงหัวที่ไปเชิญด้วยกันเหาะลงจากฟ้าพร้อมกับเหมียวอี้ พอเหยียบลงตรงประตูแล้ว เป่าเหลียนก็คอยติดตามอยู่ข้างกาย
สวีถังหรานกับเสวี่ยหลิงหลงมารออยู่ที่ประตูล่วงหน้า เสวี่ยหลิงหลงถอดม่านไข่มุกบนมงกุฎหงส์ออกแล้ว วันนี้สวยสดใสเป็นพิเศษ เมื่อเห็นเหมียวอี้มาถึง สองสามีภรรยาก็คำนับพร้อมกัน “นายท่าน!”
เหมียวอี้มองดูทั้งสองพลางยิ้มบางๆ แต่เน้นจ้องที่เสวี่ยหลิงหลง เพราะทั้งสองรู้จักกันมานานแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้สนิทกันสักเท่าไร ถ้านับคำพูดที่เคยคุยกันก็นับได้ไม่กี่ประโยค น้อยจนนับนิ้วได้เลย แต่ถึงอย่างไรการตัดสินใจชั่ววูบของเขาก็ได้กำหนดทั้งชีวิตของผู้หญิงคนนี้ไปแล้ว หลังจากเกิดเรื่องนั้นในใจเขาก็รู้สึกผิดอยู่บ้าง
มองไม่เห็นความคับแค้นใดๆ บนใบหน้าของเสวี่ยหลิงหลง ในใจค่อนข้างสงบ การกดดันให้สวีถังหรานแต่งงานรับนางเป็นฮูหยินภรรยาเอกก็นับว่าปฏิบัติต่อนางอย่างถูกต้องเช่นกัน เขาจึงยิ้มพลางยื่นกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งให้สวีถังหราน “น้ำใจเล็กน้อยเพื่อแสดงความยินดีในงานมงคลของทั้งสอง หวังว่าจะไม่รังเกียจ!”
นายท่านผู้นี้เวลาควักแต่ละทีก็ใจกว้างมาตลอด เมื่อเจอกับเรื่องมงคลแบบนี้ก็ยิ่งควักน้อยไม่ได้ สวีถังหรานใช้สองมือรับอย่างหน้าชื่นตาบานทันที “นายท่านเกรงใจแล้ว นายท่านสามารถให้เกียรติมาร่วมงานเองได้ ก็นับเป็นเกียรติอย่างสูงแก่พวกเราสองสามีภรรยาแล้ว”
ในดวงตาเสวี่ยหลิงหลงฉายแววสื่ออารมณ์ที่ซับซ้อน ตอนแรกที่ท่านแม่สวีรับประกันซ้ำๆ นางก็นึกว่าตัวเองจะได้ฝากฝังทั้งชีวิตไว้กับท่านที่อยู่ตรงหน้าแล้ว โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ตอนที่ท่านแม่สวีไปเป็นแม่สื่อให้ นางก็ยังนึกว่าเรื่องดีๆ ใกล้จะมาถึงเสียอีก ความคิดของผู้หญิงมีมากมายต่างๆ นาๆ เพียงพอที่จะทำให้นอนพลิกตัวกลับไปกลับมาได้ทั้งวันทั้งคืน นางยังจำภาพเหตุการณ์เมื่อก่อนตอนที่ตัวเองเคยเต้นระบำด้วยอารมณ์ปฎิพัทธ์ต่อหน้าเขาได้ แต่กลับไม่คิดว่าจะกลายเป็นแบบนี้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่ในใจจะไม่เศร้าโศกเลย
ตอนนี้เมื่อได้เจอกันอีก ผู้บัญชาการใหญ่หนิวยังคงมีบุคลิกสง่างาม องอาจมีสง่าราศี โดดเด่นเหมือนนกกระเรียนในฝูงไก่ รอบข้างมีขุนนางตำแหน่งสูงของตลาดสวรรค์ก้มหัวให้ ฉากนี้เพียงพอที่จะทำให้ผู้หญิงใจเต้น ทว่าความคิดที่ฟุ้งซ่านกลับต้องเลือนหายไป ในเมื่อไม่มีทางรักและช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้ ก็ไม่สู้ปล่อยให้ความคิดนี้จมลงในใจดีกว่า ไม่ดึงดันในความรักนี้อีก ไม่คิดจดจำอีก
สองสามีภรรยาขอบคุณอีกครั้ง ตอนที่เงยหน้าขึ้นมามอง เหมียวอี้ก็เดินก้าวยาวไปข้างหน้าแล้ว
เหมียวอี้ที่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวชะงักไปชั่วขณะ สายตาไปหยุดอยู่บนใบหน้าผู้หญิงที่อยู่ข้างกายหวงฝู่จวินโหรวครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไปหยุดอยู่บนใบหน้าหวงฝู่จวินโหรว
หวงฝู่จวินโหรวเงยหน้าเล็กน้อยและมองไปอีกด้านเหมือนท้าทาย
เหมียวอี้กลัดกลุ้มในใจ เซี่ยโห้วหลงเฉิงบอกว่าผู้หญิงคนนี้ห่อเหี่ยวลงเยอะมากไม่ใช่เหรอ ทำไมยังดูสวยสดใสมากอยู่เลย
เลิกสนใจผู้หญิงคนนี้ชั่วคราว เหมียวอี้เดินไปอีกด้านหนึ่ง แล้วกุมหมัดคารวะด้วยรอยยิ้ม “ผู้บัญชาการใหญ่จ้านมาแล้วทำไมไม่บอกสักคำ” เขาหันกลับมาถาม “สวีถังหราน นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมไม่รายงานขึ้นมา?”
สวีถังหรานรีบก้าวขึ้นมาข้างหน้า แล้วถามด้วยสีหน้างุนงง “ผู้บัญชาการใหญ่จ้าน? ผู้บัญชาการใหญ่จ้านไหนขอรับ?”
“จ้านหรูอี้ หนึ่งในผู้บัญชาการใหญ่สองคนที่มาใหม่ของจวนแม่ทัพภาคตงหัวไง ไม่เคยได้ยินเหรอ?” เหมียวอี้ถาม
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา คนที่อยู่รอบข้างก็เริ่มวุ่นวายนิดหน่อยแล้ว
“หา! จ้านหรูอี้…” สวีถังหรานตกใจจนหน้าถอดสี อันดับหนึ่งของการทดสอบครั้งก่อน อันดับสองจากการทดสอบรอบที่ผ่านมา คนที่เกือบจะตายด้วยน้ำมือผู้บัญชาการใหญ่ มีประวัติความเป็นมาไม่ธรรมดา เขาย่อมเคยได้ยินชื่อมาก่อน เพียงแต่บุคคลที่มีภูมิหลังไม่ธรรมดาแบบนี้มาโผล่อยู่ในงานเลี้ยงมงคลสมรสของตนได้อย่างไร เขาลนลานทำตัวไม่ถูกนิดหน่อย “ข้าน้อยมิทราบ ข้าน้อยมิทราบจริงๆ…”
จ้านหรูอี้ยกมือกดลง แล้วจ้องเหมียวอี้พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้บัญชาการใหญ่หนิว เขาไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกจริงๆ ข้ากับผู้จัดการร้านหวงฝู่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก เมื่อมารับตำแหน่งที่นี่ก็เลยต้องมาเยี่ยมสักหน่อย นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอกับงานมงคลของผู้บัญชาการสวี ก็เลยมาดูความคึกครื้นสักหน่อย ไม่อยากจะทำให้ใครตื่นตกใจ คนไม่รู้ย่อมไม่ผิด วันมงคลของเจ้าตัวทั้งที ทำไมน้องหนิวต้องทำให้ลำบากใจล่ะ”
เหมียวอี้เหลือบมองหวงฝู่จวินโหรวที่จมูกเชิดขึ้นฟ้าแวบหนึ่ง ไม่เชื่อว่านางมาเพื่อหวงฝู่จวินโหรวเฉยๆ การมารับตำแหน่งที่ตงหัวก็ชัดเจนว่าพุ่งเป้ามาที่เขา มาเพื่อชำระแค้นล้างความอัปยศ มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ก็ยิ่งเป็นการโอ้อวดอานุภาพ แต่ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องนี้ จึงได้แต่หันตัวแล้วยื่นมือเชิญ “เชิญ!”
ในเมื่อตัวตนถูกเปิดเผยแล้ว จ้านหรูอี้ก็ไม่มีอะไรให้เสแสร้งอีก ยื่นมือเชิญเช่นกัน แล้วทั้งสองก็เดินเคียงคู่กันไป เดินเบิกทางอยู่ข้างหน้าด้วยกัน
“ผู้บัญชาการใหญ่!”
“ผู้บัญชาการใหญ่!”
กลุ่มคนที่ขนาบอยู่สองข้างทางส่งเสียงคำนับดังเป็นระลอก
ฝั่งหนึ่งคือพ่อค้า ไม่ว่าจะจริงใจหรือว่าเสแสร้ง แต่ภายนอกก็ดูกระตือรือล้นเต็มที่
ส่วนอีกฝั่งก็เป็นกลุ่มผู้หญิงจากหอนางโลม ถึงแม้จะไม่ได้แต่งตัวธรรมดาสามัญเหมือนตอนกลางวัน แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้แต่งหน้าเข้ม แต่งตัวฉูดฉาดหรูหรา กลัวคนอื่นจะคิดมาก ดังนั้นการแต่งตัวจึงค่อนข้างเรียบง่าย แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เสียงทำความเคารพก็ยังดูขาดความมั่นใจอยู่บ้าง นี่ไม่ใช่การต้อนรับแขกที่หอนางโลม ที่จะใช้ศิลปะออกมาทั้งร่างกาย นี่ไม่ใช่สถานที่ที่คนฐานะอย่างพวกนางควรจะมา
น้อยเนื้อต่ำใจ! ปกติตอนอยู่หอนางโล่มมีท่วงท่าสง่างาม พอมาอยู่ในงานที่เป็นทางการแบบนี้ก็เงยหน้าไม่ขึ้นนิดหน่อย ในตอนนี้คุณค่าและฐานะได้สะท้อนออกมาในใจทั้งหมดแล้ว อันดับแรกเลยคือพวกนางก็ดูถูกตัวเองเหมือนกัน
สงสัยสิ่งที่ลือกันจะเป็นเรื่องจริง! เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ ตลอดทาง ในดวงตาฉายแววประหลาดใจอยู่บ้าง
สวีถังหรานรีบก้าวไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ สำรวจปฏิกิริยาบนใบหน้าด้านข้างของเหมียวอี้ เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้โมโห ในใจก็รู้สึกโล่งขึ้นเยอะ ก่อนหน้านี้ยังกังวลว่านายท่านจะไม่พอใจ
ผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองเดินนำเข้ามาในศาลากลางทะเลสาบที่ผิวน้ำสะท้อนแสงของโคมไฟแวววาว แล้วขึ้นไปบนตึกสูง
เดิมทีตำแหน่งหลักมีที่นั่งเดียว แต่ตอนนี้เพิ่มมาอีกที่แล้ว หลังจากเหมียวอี้กับจ้านหรูอี้นั่งลงแถวเดียวกัน คนที่เหลือก็ทยอยกันนั่งประจำที่
ในตึกศาลาบนทะเลสาบล้วนเป็นโต๊ะยาวด้านเดียว คนที่นั่งตรงนั้นได้ล้วนเป็นบุคคลที่มีหน้ามีตาของตลาดสวรรค์ พวกผู้ช่วยผู้บัญชาการ พวกเจ้าของร้านที่ภูมิหลังค่อนข้างใหญ่ ส่วนริมทะเลสาบล้วนเป็นโต๊ะกลมแบบนั่งล้อม
หลังจากพิธีการที่คึกคักผ่านไปแล้ว ในฐานะที่เป็นบุคคลตำแหน่งสูงสุดของที่นี่ เหมียวอี้ยกจอกสุราขึ้นดื่มคำนับ จากนั้นคนทั้งชั้นบนชั้นล่างของตึกศาลาก็ยืนขึ้นชูจอกสุรา คนที่นั่งอยู่ริมทะเลสาบฝั่งหนึ่งก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน ส่วนกลุ่มผู้หญิงอีกฝั่งกลับนั่งโดยไม่กล้าขยับซี้ซั้ว ไม่กล้ารับการดื่มคารวะนี้
ใครจะคิดว่าสายตาของเหมียวอี้จะชำเลืองมา แล้วจงใจเดินไปริมระเบียงที่อยู่ทางนั้น จงใจชูจอกสุราให้พวกนางจากที่ไกลๆ แสดงมาดของผู้บัญชาการใหญ่ออกมาเต็มที่ ความหมายที่แสดงออกมาชัดเจนมาก ทำท่าทางเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับศีรษะคนนับหมื่นของตลาดสวรรค์ กลุ่มผู้หญิงจากหอนางโลมรีบชูจอกสุราและลุกขึ้นยืนทันที
จ้านหรูอี้ที่เอียงหน้ามองไปแอบชื่นชมในใจ เพราะมีผู้บังคับบัญชาแบบนี้ จึงไม่แปลกใจที่มีลูกน้องแบบนั้น
หวงฝู่จวินโหรวที่เหลือบมองบุคลิกอันน่านับถือของผู้บัญชาการใหญ่แอบกัดฟัน ในใจแอบด่าว่า สมควรตาย!
เหมียวอี้ยกจอกสุราดื่มก่อน แล้วทุกคนก็ดื่มพร้อมกัน ท่ามกลางกลุ่มผู้หญิงที่อยู่ริมทะเลสาบ มีบางคนที่วางจอกสุราเสร็จแล้วเอามือปิดปากร้องไห้สะอึกสะอื้น ความรู้สึกเวลามีคนมองเหมือนมนุษย์ช่างดีจริงๆ ตอนอยู่หอนางโลมเป็นของเล่นชั้นต่ำที่คนดูถูก ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีวันนี้
เมื่อวางจอกสุราลงแล้ว เสวี่ยหลิงหลงก็มองไปยังขุนนางระดับสูงในงาน นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าวันหนึ่งตัวเองจะได้กลายเป็นตัวละครหญิงหลักในงานแบบนี้ รู้สึกเหมือนฝันไป ในดวงตามีน้ำตาคลอเล็กน้อย หลังจากสวีถังหรานสังเกตเห็น ก็ยื่นมือไปตบหลังมือของนางใต้โต๊ะเบาๆ บอกใบ้ว่าขุนนางระดับสูงอยู่ที่นี่ จะเสียอาการไม่ได้…
ด้วยฐานะอย่างเหมียวอี้ไม่สามารถอยู่ด้วยตลอดทั้งงานได้ ถ้าเขาอยู่ที่นี่ทุกคนก็จะไม่สามารถสนุกกันได้เต็มที่ เท่ากับทำให้บรรยากาศในงานอึดอัด แค่มาพอเป็นพิธีก็พอแล้ว เขาออกจากงานไปกลางคัน
จ้านหรูอี้ก็อ่านสถานการณ์ออกเช่นกัน จึงออกจากงานไปพร้อมหวงฝู่จวินโหรว
เหมียวอี้ที่เดินผ่านย่อมเชิญผู้บัญชาการใหญ่จ้านไปดื่มน้ำชาที่ตำหนักคุ้มเมือง แสดงไมตรีของเจ้าบ้านเต็มที่ ไม่ว่าจะมีความขัดแย้งต่อกันหรือไม่ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายมาถึงอาณาเขตตัวเองแล้ว ภายนอกก็ยังต้องเล่นละครตบตาสักหน่อย
แต่ไม่เหมาะที่ชายหญิงจะอยู่ด้วยกันตามลำพัง ในฐานะที่เป็นสหายของจ้านหรูอี้ หวงฝู่จวินโหรวจึงได้อาศัยบารมีตามไปด้วย
ตอนที่มาถึงตำหนักคุ้มเมืองอีกครั้ง ตอนที่มาถึงสถานที่ที่ทั้งสองเคยเลิกกันอีกครั้ง สายตาของเหมียวอี้กับหวงฝู่จวินโหรวก็แทบจะมองไปคนละทาง
จ้านหรูอี้ที่อยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขาได้รับข่าว จึงหยิบระฆังดาราหลบไปคุยในลานบ้านด้านข้าง เหลือเพียง ‘ศัตรูคู่แค้น’ ไว้สองคน ทั้งสองไม่อยากเผชิญหน้ากันก็คงยาก
เหมียวอี้ยกน้ำชาแล้วเอียงหน้ามองไปนอกศาลา
หวงฝู่จวินโหรวที่แอบกัดฟันเหลือบมองเป่าเหลียนที่เฝ้าอยู่ด้านข้าง แต่สุดท้ายก็ยังอดไม่ได้ที่จะถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้สารเลวที่ไหน แอบสืบข่าวของข้าอย่างอ้อมๆ ผ่านปากเซี่ยโห้วหลงเฉิง จะเสแสร้งอะไรนักหนา!”
เมื่อนางกล่าวคำนี้ออกมา เหมียวอี้ก็หน้าดำคร่ำเครียดทันที เสียหน้าเกินไปแล้ว ทำไมไอ้เวรเซี่ยโห้วหลงเฉิงถึงบอกผู้หญิงคนนี้ได้แม้กระทั่งคำพูดแบบนี้!
บทที่ 1294 เบาะแสประตูดวงดาวสี่แห่ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
เขาไม่เข้าใจแล้ว ขนาดคำพูดไร้สาระระหว่างผู้ชายยังรายงานให้ฟังได้ แล้วยังจะมีอะไรที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงจะบอกกับผู้หญิงคนนี้ไม่ได้อีก แล้วต่อไปยังจะคุยอะไรกับเจ้าหมีควายนั่นได้อีก?
สรุปก็คือตอนนี้ในใจเหมียวอี้มีเพียงประโยคเดียว ทำไมเจ้าหมีควายนั่นไม่เอาหัวโขกกำแพงตายไปซะ?
“ที่สืบข่าวเจ้าก็เพราะกลัวว่าเจ้าจะเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างเราน่ะสิ กลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อเรื่องดีๆ ระหว่างเจ้ากับเซี่ยโห้วหลงเฉิง” เหมียวอี้ให้เหตุผลแบบดันทุรัง
หวงฝู่จวินโหรวทำสีหน้าเย้ยหยัน แล้วถามกลับว่า “ตอนนั้นข้ากำลังแกล้งแสดงละครให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงดู แต่ใครบางคนได้เห็นเองกับตาว่าข้าไม่เป็นอะไร ก็คงตกใจมากเลยสินะ?”
ที่จริงในตอนแรกนางก็ห่อเหี่ยวมากจริงๆ ตอนหลังบังเอิญสังเกตได้จากปากเซี่ยโห้วหลงเฉิงว่าเหมียวอี้กำลังสืบข่าวนาง นางจึงกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที ตอนหลังก็เลยแกล้งแสดงละครแล้วจริงๆ
“จะคิดยังไงก็แล้วแต่เจ้า” เหมียวอี้พูดทิ้งท้ายแล้วก็เงียบไป
จ้านหรูอี้ก็มาพอเป็นพิธีเท่านั้น แค่มาดูเฉยๆ ไม่ได้อยู่นาน ทั้งสองไม่ได้สนิทสนมอะไรกัน กลับมีความแค้นต่อกันด้วยซ้ำ ครั้งนี้แสดงออกชัดเจนมากว่า ‘ฝากเอาไว้ก่อน’
หลังจากผู้หญิงสองคนนั้นออกไปแล้ว เหมียวอี้ก็เข้ามาในทางใต้ดินในบ่อ เดิมทีมันถูกปิดไว้ แต่หลังจากรับมือกับเกาก้วนเสร็จก็ให้ผีจวินจื่อขุดใหม่
ก่อนหน้านี้ได้รับข้อความจากระฆังดาราของอวิ๋นจือชิว ว่าได้เบาะแสจากของที่เขานำกลับมาจากแดนอเวจีแล้ว แต่ติดที่งานแต่งงงานของสวีถังหราน ทำได้เพียงเลื่อนเวลาถึงตอนค่ำแล้วค่อยมา
ทั้งสองพบกันที่ชัยภูมิถ้ำสวรรค์แล้วนั่งลง อวิ๋นจือชิวรับน้ำชาที่เชียนเอ๋อร์ส่งมาแล้ววางตรงหน้าเหมียวอี้ ก่อนจะนั่งลงข้างๆ แล้วถามอย่างกังวลว่า “ได้ยินว่าจ้านหรูอี้มาเหรอ นางมีเจตนาอะไร?”
“ยังจะมีเจตนาอะไรได้ล่ะ นางเสียเปรียบด้วยน้ำมือข้า เลยอยากจะมากู้หน้าคืน ถ้าจะใช้กำลังนางก็รู้จักข้อบกพร่องของตัวเอง ข้ากลัวก็แต่นางจะลอบกัด” เหมียวอี้ตอบ
อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้ว “ท่านโหวเทียนหยวนเป็นลูกน้องเก่าแก่ของอ๋องสวรรค์อิ๋ง ถ้าไม่อยากให้ปี้เยว่ฮูหยินช่วยนางก็คงยาก”
“ทางนรกข้าให้คนควบคุมปี้เยว่ฮูหยินไว้แล้ว ดูท่าแล้วคงต้องหาทางทำอะไรบนตัวปี้เยว่สักหน่อย” เหมียวอี้กล่าว
“เอ๋…” อวิ๋นจือชิวพูดไม่ออก แม้แต่เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกันก็มองหน้ากันเลิกลั่ก ก่อนหน้านี้ยังไม่เคยได้ยินเหมียวอี้พูดถึง ตอนนี้เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเหมียวอี้เป็นหนึ่งในหัวโจกโจรกบฏในนรกแล้ว
“ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว ตอนหลังค่อยคิดหาวิธีการ” เหมียวอี้ถามทั้งสามด้วยรอยยิ้ม “มีเบาะแสอะไรของของที่ได้มาบ้าง?”
“ได้ที่อยู่ของเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคฟ้าแล้ว อยู่ที่แดนสุขาวดี!” อวิ๋นจือชิวตอบอย่างลังเล
เหมียวอี้ตกใจทันที “แดนสุขาวดี รังของประมุขพุทธะน่ะเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “เส้นทางเข้าออกของที่นั่นมีศิษย์ลัทธิพุทธเฝ้าอยู่ ถ้าคนนอกอยากจะเข้าไป เกรงว่าจะไม่ง่ายขนาดนั้น”
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง “การวางหมากของประมุขไป๋ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ ขนาดโจรกบฏในนรกก็ยังดึงมาเกี่ยวข้องได้ ไม่รู้จริงๆ ว่าตอนหลังยังจะดึงเรื่องอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องอีก ข้ารู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่ายิ่งทำต่อไปก็ยิ่งอันตราย อาศัยวรยุทธ์ของข้าในตอนนี้ก็ลำบากอุปสรรคเยอะจริงๆ ไม่มีทางควบคุมได้เลย ทุกวันนี้ข้ายังสับสนกับโจรกบฏในนรกอยู่เลย น้องชิว ต่อให้ข้าทางเข้าแดนสุขาวดีได้ แต่ข้าก็เตรียมจะเลื่อนเวลาออกไปก่อนแล้วค่อยไปเอา อยากจะรอให้วรยุทธ์เพิ่มขึ้นก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“ควรจะเป็นแบบนี้ตั้งนานแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าเคยโน้มน้าวเจ้า แต่เจ้าไม่เชื่อฟังเอง!” อวิ๋นจือชิวยิ้มเจื่อน
เหมียวอี้ส่ายหน้า “รังของโจรกบฏทำให้ข้าตกใจมากจริงๆ ที่นั่นน่ะ แม้แต่คนเฝ้าประตูก็สามารถเล่นงานให้ข้าตายได้ ไม่มีที่เหลือให้ข้าออกแรงโต้ตอบเลย จำเป็นต้องทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตนเหมือนหลานชายอยู่หลายปี มีหรือที่จะไม่ได้บทเรียน”
“ถ้าเบื้องหน้าอยากจะหยิ่งยโส เบื้องหลังก็ต้องทนรับความขื่นขมให้ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้หรอก” อวิ๋นจือชิวพลิกมือนำลูกโลหะกลมสีแดงที่ได้จากนรกออกมา แล้วบอกว่า “ประตูดวงดาวสี่แห่งที่อยู่ในนี้ ข้าได้ความพยายามไปเยอะมากกว่าจะหาเบาะแสพบ ตอนนี้แน่ใจแค่ประตูดวงดาวแห่งเดียว ยังมีตำแหน่งของอีกแห่งที่ยังสงสัย ส่วนอีกสองแห่งยังไม่รู้เลยว่าจะเริ่มหาจากตรงไหน ข้าสงสัยว่ามันจะไม่ได้อยู่ในขอบเขตแผนที่ดาวที่เรารู้จัก”
เหมียวอี้เริ่มสนใจแล้ว หยิบลูกโลหะกลมสีแดงมาร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูประตูดวงดาวสี่แห่งที่อยู่ในนั้น พร้อมทั้งบอกว่า “รีบบอกมาว่าตำแหน่งที่รู้แล้วอยู่ตรงไหน”
“แผนที่ดาวภาพแรกที่อยู่ด้านซ้ายสุด ถ้าพูดออกไปเกรงว่าเจ้าคงจะไม่เชื่อ เจ้ายังจำสถานที่ปล้นของพวกท่านปู่ได้มั้ย?” อวิ๋นจือชิวถาม
เหมียวดึงสมาธิออกจากลูกโลหะกลม แล้วถามอย่างแปลกใจ “อย่าบอกนะว่าอยู่ที่น่านฟ้าระกาติงดาวหนานจื่อ? ประตูดวงดาวที่นั่นคือทางเข้าแดนอเวจี”
อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า “เป็นทางเข้าแดนอเวจีนั่นไม่ผิดหรอก แต่ไม่ใช่บริเวณดาวหนานจื่อ มันอยู่ไกลจากดาวหนานจื่อมาก ออกจากน่านฟ้าระกาติงไปยังน่านฟ้ารกร้างผืนหนึ่งที่ไกลและลึกเข้าไป บนแผนที่ดาวไม่มีการทำเครื่องหมายไว้ ที่จริงก็เป็นประตูดวงดาวที่ท่านปู่ข้าหนีเข้าไปหลังจากที่ปล้นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์สามคนนั่นแล้ว”
“…” เหมียวอี้ถลึงตาพูดไม่ออก เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถามอย่างทำใจเชื่อได้ยากว่า “อย่าบอกนะว่าประตูดวงดาวสี่แห่งนี้ล้วนเป็นทางเข้าแดนอเวจี? ในเมื่อแม้แต่บนแผนที่ดาวยังไม่มีการทำเครื่องหมายไว้ แล้วเจ้าหาเจอได้ยังไง?”
“เป็นความบังเอิญล้วนๆ” อวิ๋นจือชิวตอบ
เชียนเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ยิ้มพร้อมอธิบายว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะไหวพพริบของฮูหยิน เกรงว่าคงจะพลาดและไม่รู้ว่าจะหาพบเมื่อไรเจ้าค่ะ ครั้งก่อนฮูหยินของผู้จัดการร้านค้าสำนักเมฆดารามาที่ตลาดสวรรค์ ได้ยินว่าร้านพวกเราโด่งดังเรื่องเครื่องประดับ ผู้จัดการร้านจึงมาเป็นเพื่อนฮูหยินตัวเองเพื่อดูเครื่องประดับที่นี่ ตอนที่คุยกันในห้องส่วนตัว ก็บังเอิญเอ่ยถึงเรื่องที่ร้านค้าของพวกเขาได้แผนที่ดาวฉบับใหม่ล่าสุดมาชุดหนึ่ง แล้วก็พูดถึงว่าในนั้นมีการเพิ่มประดูดวงดาวทางเข้าแดนอเวจีที่ค้นพบขึ้นใหม่ ตอนนั้นฮูหยินมีไหวพริบ นึกขึ้นได้ถึงแผนที่ที่นายท่านนำออกมาจากแดนอเวจี สงสัยว่าประตูดวงดาวแห่งนี้เกี่ยวข้องกับแดนอเวจีหรือเปล่า ตอนนั้นฮูหยินจึงแกล้งสนใจแผนที่ดาวมาก โพล่งถามไปว่าผู้จัดการร้านมีแผนที่ดาวของทางนั้นหรือเปล่า ผู้จัดการร้านเลยมอบให้ฮูหยินฉบับหนึ่ง เพื่อให้ฮูหยินลดราคาเครื่องประดับให้พวกเขาสักหน่อย”
อวิ๋นจือชิวถอนหายใจแล้วบอกว่า “ไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ หาจนทั่วแล้วก็ยังหาไม่พบ ตอนนั้นข้าลองทุกอย่างเหมือนรักษาม้าตายประหนึ่งม้าเป็น เลยหาข้ออ้างว่าจะเห็นแก่หน้าให้ผู้จัดการร้าน ใครจะคิดว่าจะได้แผนที่ดาวหลักที่อยู่ใกล้กันกลับมาเป็นชุด ไม่น่าเชื่อว่าจะสอดคล้องกับตำแหน่งด้านซ้ายของแผนที่ดาวฉบับแรก ก็เลยแน่ใจตำแหน่งของประตูดวงดาวแห่งนั้น”
เสวี่ยเอ๋อร์แย่งพูดต่อว่า “ตอนแรกพวกเราพบว่าแผนที่ดาวของดาวหลักที่อยู่แถวนั้นไม่ค่อยเหมือนกับที่นายท่านนำกลับมา ยังนึกว่าวินิจฉัยผิดไป แต่พอเทียบตรวจดูให้ละเอียดถึงได้ค้นพบ ว่าแผนที่ของประตูดวงดาวไม่เหมือนกับแผนที่ซ่อนสมบัติก่อนหน้านี้เลย ที่จริงแผนที่ของประตูดวงดาวเป็นภาพป้ายบอกทาง เพียงแค่ใช้วิธีการวนกลับมาเพื่อหดให้เป็นก้อนเดียวกัน ดูเผินๆ เหมือนเป็นแผนที่ดาวที่สมบูรณ์ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ คาดว่าในตอนนั้นคนที่สร้างแผนที่ดาวฉบับนี้คงจะไม่มีเวลาคำนึงถึงภาพดาวของทั้งอาณาเขต หรือไม่ก็เป็นเพราะแผนที่ดาวของที่นั่นยังไม่ถูกค้นพบ ต่อให้ทำเครื่องหมายแผนที่ดาวออกมาก็ไม่มีประโยชน์ ก็เลยทำเครื่องหมายเฉพาะทางที่ผ่านไปจนถึงเป้าหมายโดยตรง”
เชียนเอ๋อร์ยิ้มพร้อมบอกว่า “ดังนั้นพวกเราสองพี่น้องก็เลยใช้วิธีการอนุมานแบบย้อนกลับเพื่อย้อนกลับมาจากเป้าหมาย ถึงได้พบว่าจุดเริ่มต้นอยู่ที่มุมบนซ้ายของแผนที่เจ้าค่ะ จุดเริ่มต้นอยู่ที่น่านฟ้าระกาติง พอค้นพบแบบนี้แล้ว ก็เลยมีเบาะแส และง่ายขึ้นเยอะด้วย จากนั้นพวกก็เริ่มเทียบจากมุมบนซ้ายของแผนที่ประตูดวงดาวฉบับที่สอง สุดท้ายก็เจอว่าจุดเริ่มต้นของแผนที่ประตูดวงดาวฉบับที่สองอยู่ที่น่านฟ้าเกิงกุ่ย เมื่อหาต่อไปตามนี้เรื่อยๆ ก็แน่ใจทิศทางเดิมที่จะตามมาตอนหลัง เนื่องจากตอนหลังเข้าไปในน่านฟ้ารกร้างที่อยู่เกินขอบเขตอาณาเขตดาวเกิงกุ่ย เมื่อไม่มีแผนที่ดาวมาเทียบก็ไม่มีทางหาต่อไปได้ เกรงว่าจะต้องไปเทียบต่อที่สถานที่จริงถึงจะหาพบ”
เหมียวอี้เข้าใจกระจ่างในทันที “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ลำบากสาวสวยทั้งสามแล้ว”
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เม้มปากยิ้ม แต่อวิ๋นจือชิวกลับส่ายหน้าบอกว่า “หมดหนทางหาอีกสองฉบับแล้วจริงๆ พวกเราหาเจอเลยว่าจุดเริ่มต้นอยู่ตรงไหน มีเหตุผลเพียงพอที่จะทำให้สงสัยว่าจุดเริ่มต้นไม่ได้อยู่ในอาณาเขตดาวที่ถูกค้นพบแล้ว”
เหมียวอี้ใชฝ่ามือรองลูกโลหะกลมสีแดงพลางพึมพำว่า “แผนที่ประตูดวงดาวฉบับแรกคือทางเข้าแดนอเวจี ที่นี่ถูกตำหนักสวรรค์ค้นพบแล้ว ไม่มีความหมายแล้ว แล้วอีกสามแห่งที่เหลือจะพาไปที่ไหนกัน? ประมุขไป๋คนนี้เล่นบ้าอะไรกันแน่ อยากจะชักนำคนหาสมบัติไปที่ไหนกันแน่? เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ พวกเจ้าทำสำเนาแผนที่ดาวอีกสามฉบับให้ข้าหน่อย”
อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้ว “อย่ายอกนะว่าเจ้าอยากจะไปสำรวจอีก? เอาตามที่เจ้าเพิ่งบอกก่อนหน้านี้ รอให้วรยุทธ์สูงขึ้นก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ”
เหมียวอี้โบกมือบอกว่า “ข้าแค่อยากจะนำกลับไปศึกษายามว่าง จะดูว่าจะหาเบาะแสอะไรเจอมั้ย ฮูหยิน ดึกแล้วนะ!” เขาโยนลูกโลหะกลมสีแดงไปให้เชียนเอ๋อร์เสวี่ยเอ๋อร์ แล้วใช้มืออีกข้างจับมือที่ขาวงามของอวิ๋นจือชิวพลางหัวเราะคิกคัก
อวิ๋นจือชิวมองค้อนเขาอย่างดุร้ายทันที มีหรือที่จะไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร นางรีบชักมือกลับมา เพราะยังมีสาวใช้สองคนมองอยู่
แต่ใครจะคิดว่าท่านขุนนางเหมียวจะไม่เกรงกลัวอะไร “อ๊า!” อวิ๋นจือชิวร้องตกใจ นางโดนดึงเข้ามาและอุ้มพาดบ่าเดินไปแล้ว ได้แต่ทุบตีดิ้นรนอยู่พักหนึ่ง “หนิวเอ้อร์ ยิ่งนับวันเจ้าจะยิ่งไร้ยางอายนะ มีคนมองอยู่นะ”
“กลัวทำไมล่ะ เป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น เดี๋ยววันหลังข้าค่อยเรียกพวกนางสองคนไปจัดการที่ตำหนักคุ้มเมือง เจ้าไปร่วมด้วยดีมั้ยล่ะ?”
“ไปตายซะ!”
หลังจากเสร็จภารกิจในห้องแล้ว อวิ๋นจือชิวที่ผ่อนคลายก็เอียงหน้ามองคนที่นอนอยู่ข้างหมอน หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่งก็ถามว่า “หนิวเอ้อร์ ข้างนอกเขาลือกัน ว่าเรื่องที่สวีถังหรานชิงตัวเสวี่ยหลิงหลง เจ้าเป็นคนยุยงเขาใช่มั้ย?”
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า “สวีถังหรานชอบเสวี่ยหลิงหลงมาตลอด ข้าก็แค่ไม่คัดค้าน”
“แล้วเจ้าไม่ชอบเหรอ? พวกชายอย่างพวกเจ้ามีใครไม่ชอบคนสวยบ้าง? นี่ไม่ใช่เหตุผล” อวิ๋นจือชิวก็เงียบไปครู่หนึ่งเช่นกัน จากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ “ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน ต่อให้ข้าจะบังคับเจ้า แต่เจ้าก็ทำเรื่องแบบนี้ไม่ลงอยู่ดี หนิวเอ้อร์ เจ้าเปลี่ยนไปแล้ว หลังจากกลับมาจากแดนอเวจีเจ้าก็เปลี่ยนไปแล้ว” มีความหมายแฝงอยู่ในคำพูด
เหมียวอี้ลุกขึ้นนั่ง อวิ๋นจือชิวลุกขึ้นนั่งตามทันที หน้าอกที่อิ่มเอิบแนบชิดแขนของเขา แขนงามดุจหยกคล้องคอเขา แล้วกระซิบข้างหูว่า “เจ้าโมโหเหรอ?”
สีหน้ามืดครึ้มของเหมียวอี้ผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หัวเราะเจื่อนๆ ยกมือลูบผมงามที่ยุ่งเหยิงพันใบหน้านาง “ข้าเหมียวอี้เดิมทีเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง…ในปีนั้นเหล่าไป๋ถามว่าต้องการจะก้าวเข้าสู่เส้นทางนี้หรือไม่ เขาบอกว่าถ้าก้าวเข้าสู่เส้นทางนี้แล้วจะย้อนกลับไม่ได้ บนเส้นทางนี้เต็มไปด้วยการเข่นฆ่าและกลิ่นคาวเลือด เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและการทรยศหักหลัง เส้นทางนี้ยิ่งเดินยิ่งไกล บุญคุณความแค้นที่ต้องแบกรับก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าอยากจะหลุดพ้นก็มีแค่ทางเดียว เป็นทางที่ต้องเดินต่อไปข้างหน้าเท่านั้น หันกลับมาไม่ได้ มีเพียงการรอให้เจ้ายืนอยู่บนจุดสูงสุดเท่านั้น ถึงจะโยนทุกอย่างไว้ข้างหลังได้ ถึงตอนนั้นเจ้าอาจจะเหลือเพียงความโดดเดี่ยว…ตอนนี้ข้าสงสัยในคำพูดของเหล่าไป๋มาก”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น