ลำนำบุปผาพิษ 1285-1288
บทที่ 1285 ช้าจนมิใช่แค่หนึ่งจังหวะครึ่งจังหวะ
เธอพลันแข็งทื่อไปทั้งตัว รู้สึกคล้ายว่าได้ยินเสียงของตี้ฝูอี รีบเงยหน้าขึ้นทันที ทว่าคนที่อยู่เบื้องหน้ากลับเป็นบุรุษคนหนึ่งที่ร่างกายกำยำกล้ามเป็นมัด เทียบได้กับเทรนเนอร์เพาะกาย สูงโปร่งหล่อเหลา ชายคนนั้นถือผลไม้หอมหวานกิ่งหนึ่งไว้ ยิ้มด้วยสีหน้าซื่อๆ แล้วกล่าวออกมา “ซีจิ่ว นี่ให้เจ้า!”
ระยะนี้กู้ซีจิ่วได้รับดอกไม้ใบหญ้าผลไม้แปลกๆ เหล่านี้อยู่เสมอ เหล่าชายโสดของที่นี่เพื่อที่จะเกี้ยวพากู้ซีจิ่วจึงใช้วิธีพิสดารสารพัดปานนกยูงรำแพนหาง
เมื่อก่อนกลุ่มบุรุษจะขึ้นต้นไม้ไปเก็บเกี่ยวขึ้นเขาไปล่าสัตว์ด้วยสภาพลวกๆ ทุกวัน เปื้อนดินเปื้อนโคลนไปทั้งตัวเป็นเรื่องปกติ พวกเขาเรียกลักษณะเช่นนั้นว่าความเป็นชาย แต่ละคนประหนึ่งยาจกก็มิปาน
แต่หลังจากกู้ซีจิ่วมาถึง พวกเขาก็แต่งตัวอย่างพิถีพิถัน รักการโกนหนวดโกนเครา หนึ่งวันล้างหน้าอยู่หลายรอบ แต่งเนื้อแต่งตัวให้มีมาดแล้วค่อยไปอวดโฉมอยู่เบื้องหน้ากู้ซีจิ่ว ไม่เพียงแต่แสดงฝีมือและความห้าวหาญสารพัดอย่างของตนต่อหน้ากู้ซีจิ่วเท่านั้น ยังมอบดอกไม้เอย เครื่องประดับเอย เสื้อผ้าอาภรณ์เอย ผลไม้สดใหม่ที่เพิ่งเก็บเกี่ยวมาเอย เครื่องเรือนที่พวกเขาทำขึ้นด้วยตัวเองให้ด้วย…
เจตนาดีของคนเหล่าซื่อตรงเปิดเผย ข้าวของทั้งหมดที่มอบให้ถึงแม้จะไม่มีราคาค่างวดอันใด ทว่าเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ
คนที่มอบผลไม้ให้เธอในยามนี้คือหัวหน้าของกลุ่มล่าสัตว์ นามว่าไป๋หลี่เช่อ นามที่มีวัฒนธรรมยิ่งนัก ซื่อตรงและใจกว้างกับผู้อื่น น้ำเสียงค่อนข้างคล้ายคลึงกับตี้ฝูอีอยู่บ้างจริงๆ โดยเฉพาะยามที่เขาเอ่ยด้วยเสียงต่ำ
ทุกครั้งที่กู้ซีจิ่วได้ยินเขาพูดหัวใจจะเต้นแรงขึ้นมา ปรารถนาจะให้เขากินยาอันใดสักอย่างเพื่อนเปลี่ยนเส้นเสียงของเขายิ่งนัก โชคดีที่ความคิดอันบ้าคลั่งนี้เพียงแล่นเข้ามาในสมองเธอแวบหนึ่งเท่านั้นไม่ได้นำไปปฏิบัติจริง
ผลไม้ที่เขามอบให้ยอดเยี่ยมมาก รสชาติหวานฉ่ำ เป็นของหายาก เมื่อก่อนกู้ซีจิ่วเคยกินผลไม้ชนิดนี้ไปครั้งหนึ่ง นับว่าเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่เธอค่อนข้างชื่นชอบ
ยามนี้ในปากของเธอขมเฝื่อนอยู่บ้าง อยากได้อะไรหวานๆ มาสะกดไว้ยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้เธอจึงเอ่ยขอบคุณ แล้วรับมา
ดวงตาของไป๋หลี่เช่อส่องประกายนิดๆ กู้ซีจิ่วน่าจะกริ่งเกรงเรื่องวุ่นวาย จึงไม่รับของจากผู้อื่นง่ายๆ ยากนักที่จะยอมรับของจากเขา…
อันที่จริงเขาอยากนั่งข้างๆ กู้ซีจิ่วยิ่งนัก อย่างไรก็ตามทั้งสองข้างของนางล้วนมีคนนั่งแล้ว คนที่นั่งด้านซ้ายคือหลัวจั่นอวี่ คนที่นั่งทางขวาคือเมียเหลิ่งเอ้อ ไม่มีที่ให้เขาเบียดเข้าไปได้เลย ทำได้เพียงเลือกจุดที่ค่อนข้างใกล้กับเธอ แล้วพยายามหาหัวข้อมาสนทนากับเธอ
แต่กู้ซีจิ่วคงจะดื่มมากไปแล้วจริงๆ เห็นได้ว่าจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่ ตอบสนองเชื่องช้า ช้าจนมิใช่แค่หนึ่งจังหวะครึ่งจังหวะ
ผลไม้ลูกนั้นมีสีแดงสด สีสันเสมือนของในพิธีสมรส กู้ซีจิ่วมองผลไม้นัยน์ตาพร่าแสบเคืองขึ้นมาอย่างประหลาด อยากร้องไห้อย่างที่ไม่อาจอธิบายได้…
ปกติแล้วเธอไม่ใช่คนที่มีอรมณ์อ่อนไหวสักเท่าไหร่ เหมือนที่ตัวเธอเคยบอกไว้ อารมณ์อ่อนไหวไร้วาสนากับเธอ เมื่อประสบเรื่องราวเลวร้ายจะสะบั้นให้ขาดทันที! เมื่อเจ้าไร้เยื่อใยข้าก็ปล่อยวาง ไม่ฝืนดึงดัน
แต่ความรู้สึกในครั้งนี้เธอตัดไม่ขาดจริงๆ ประหนึ่งตัดเข้าที่เส้นประสาทของตนก็มิปาน เจ็บลึกเข้าไปถึงกระดูก และค่อยๆ กัดเซาะให้ลึกลงไปตามกาลเวลาด้วย ต่อมน้ำตาก็ดูเหมือนจะพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษ แรงกระตุ้นเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่อาจอธิบายได้ก็ทำให้เธออยากร้องไห้ออกมาอย่างน่าประหลาด
เธอฝืนสูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง สะกดกลั้นน้ำตาไว้ บอกตัวเองว่าอาการอกหักก็เหมือนการปวดท้องคลอดนั้นแหละ จะสิ้นสุดลงในไม่ช้าก็เร็ว…
เธอกัดผลไม้คำหนึ่ง รสชาติหวานฉ่ำยิ่งนักชัดๆ ทว่าเธอยังคงรู้สึกขมขื่นมากเช่นเดิม
บนกิ่งนั้นมีผลไม้อยู่สิบกว่าลูก ห้อยระโยงระยางอยู่เต็มกิ่ง เสมือนโคมไฟสีแดงดวงน้อยหลายดวง กู้ซีจิ่วแบ่งปันให้ผู้คนที่อยู่รอบข้าง ให้ทุกคนได้ลิ้มลองความสดใหม่
ไป๋หลี่เช่อก็ได้รับส่วนแบ่งมาสองลูก เขามองผลไม้ในมืออย่างจะหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
————————————————————————————-
บทที่ 1286 ล้อเล่นอันใดกัน?
ไป๋หลี่เช่อก็ได้รับส่วนแบ่งมาสองลูก เขามองผลไม้ในมืออย่างจะหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แม่นางน้อยคนนี้ช่างปฏิเสธผู้อื่นได้หน้าตาเฉยเช่นนี้เชียว…
“ซีจิ่ว ไป๋หลี่เช่อไม่เลวเลยนะ ฝีมือเขาสูงส่ง ประวัติครอบครัวก็ยอดเยี่ยม เป็นทายาทของตระกูลไป๋ ที่หาได้ยากยิ่งกว่านั้นคือเขาพิถีพิถันต่อความรักยิ่งนัก เมื่อก่อนไม่เคยชมชอบผู้อื่นเลย เจ้าเป็นคนแรก…”
หลัวจั่นอวี่กระซิบคุยกับเธอ
กู้ซีจิ่วดื่มจนกรึ่มๆ บ้างแล้ว จึงพูดออกไปโดยไม่กลั่นกรอง “เขาไม่เลวเลย เป็นบุรุษที่ห้าวหาญ ข้ารู้สึกว่าสามารถนับถือเขาเป็นพี่ชายได้ กำลังใคร่ครวญอยู่ว่าจะร่วมสาบานเป็นพี่น้องกับเขาดีหรือไม่…”
สีหน้าหลัวจั่นอวี่ทะมึนแล้ว ยื่นมือไปทุบไหล่เธอเบาๆ หนึ่งที “เจ้ายังคิดจะรับพี่ชายเพิ่มอีกหรือ? ไม่อนุญาตให้ก่อเรื่องวุ่นวายแล้ว ข้าสิถึงจะเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเจ้า ผู้อื่นล้วนมิใช่ พี่ชายบุญธรรมก็ไม่ได้!” ความทรงจำของเขากลับคืนมาแล้ว เป็นผลงานของกู้ซีจิ่ว
บางทีอาจเป็นเพราะเวลาผ่านมาเนิ่นนานแล้ว และเขาเองก็เติบใหญ่ขึ้นแล้ว หลังจากความทรงจำฟื้นฟูกลับมาแล้ว เขาก็ไม่รู้สึกเป็นทุกข์อย่างยิ่งอีกแล้ว
โดยเฉพาะเมื่อทราบว่ากู้ซีจิ่วเป็นน้องสาวแท้ๆ ของตน เขาถึงขั้นที่ค่อนข้างยินดีปรีดาเลยด้วยซ้ำ มิน่าเล่าตอนที่เขาพบกู้ซีจิ่วก็รู้สึกค่อนข้างสนิทสนมชิดเชื้อ ที่แท้เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้!
ในเมื่อทราบแล้วว่ากู้ซีจิ่วเป็นน้องสาวแท้ๆ ของตน ภายใต้สภาวะที่ผสมปนเปกันไป โหมดพิทักษ์น้องสาวของเขาก็เปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์
ในอนาคตไม่ว่าจะออกไปได้หรือไม่ เขาก็หวังให้น้องสาวมีความสุข มีแหล่งพึ่งพิงที่ดี ดังนั้นเขาจึงแนะนำชายหนุ่มที่เปี่ยมควาสามารถในกลุ่มยอดฝีมือเหล่านี้อย่างตั้งใจบ้างไม่ได้ตั้งใจบ้างให้กู้ซีจิ่วอยู่บ่อยๆ ทำให้กู้ซีจิ่วปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก ค่อนข้างสำนึกเสียใจแล้วที่ฟื้นฟูความทรงจำให้เขา…
ท้ายที่สุดกู้ซีจิ่วก็ไม่กล้าดื่มจนเมามาย เธอเวียนศีรษะเล็กน้อย จึงปลีกตัวออกมาก่อน กลับไปยังเรือนของตน
ทั้งบ้านเงียบเชียบวังเวง
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าการตกแต่งภายในเรือนของเธอสดใสมีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง แต่เมื่อเธอเดินซัดโซเข้ามา ความรู้สึกแรกก็คือวังเวง
เมื่อกลับถึงเรือนตนแล้วเธอย่อมไม่ต้องทนฝืนอีกต่อไป ทิ้งตัวลงบนเตียงทันที เจตนาเดิมคือจะงีบสักตื่นหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าจะผล็อยหลับไปเช่นนี้เลย
….
มู่เฟิงรู้สึกว่าหลายวันมานี้เป็นวันคืนที่วังค้ำนภารันทดหม่นหมองเป็นที่สุด
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่ใช้อาคมโลหิตเช่นนั้นในป่าทมิฬก็ยังสืบไม่พบแม้แต่ชายชุดสักครึ่งผืนของกู้ซีจิ่วเลย ตัวคนดั่งมะเขือม่วงที่ฝ่อเพราะน้ำค้างแข็ง ทรุดโทรมลงไปครึ่งหนึ่ง
และหลังจากออกมาจากป่าทมิฬ หลังจากท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เรียกใช้องครักษ์เงาทั้งหมดแล้วก็ยังสืบหาร่องรอยของกู้ซีจิ่วไม่พบเลยสักนิด ความมั่นใจที่มีมาตลอดของเขาก็หดหายไปครึ่งหนึ่งเช่นกัน
หลายวันมานี้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ยุ่งวุ่นวายยิ่งนัก เคยใช้วิชาลับสืบเสาะวิญญาณ ถึงขั้นที่ไปเยือนยมโลกด้วยตัวเองมาแล้วรอบหนึ่ง สุดท้ายยังคงคว้าน้ำเหลวเช่นเดิม
มู่เฟิงเป็นทุกข์ยิ่งนัก เนื่องจากข่าวสารที่ส่งมาจากด้านนอกล้วนเป็นเขาที่ต้องไปถ่ายทอดต่อท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ และข่าวคราวเหล่านี้ก็ล้วนเป็นข่าวไม่ดีที่ทำคนหมดความหวังทั้งสิ้น ทุกวันยามที่มู่เฟิงต้องเข้าไปรายงานเรื่องราวจะไม่กล้าเงยหน้าขึ้นเลย เนื่องจากไม่อยากเห็นแววตาที่มืดมนขึ้นเรื่อยๆ ของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์…
พรุ่งนี้ก็เป็นวันวิวาห์แล้ว ในที่สุดมู่เฟิงก็ทนต่อไปไม่ไหว เอ่ยถามท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ “นายท่านขอรับ พิธีแต่งงานวันพรุ่งนี้จะทำอย่างไรดี?”
ตี้ฝูอีเงียบไปเป็นเวลาหนึ่งถ้วยชาเต็มๆ ในที่สุดก็เปิดปากเอ่ย “ยกเลิกเสีย”
หา?! มู่เฟิงเบิกตากว้าง
ล้อเล่นอันใดกัน?! ข่าวที่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจะแต่งงานป่าวประกาศไปทั่วแผ่นดินแล้ว หลายวันมานี้แขกเหรื่อมากมายจากสามคีรีห้าบรรพต[1]เข้าเมืองมาแล้ว เพียงรั้งรอให้ถึงวันพิธีแล้วค่อยมาร่วมอวยพรแสดงความยินดี
และยามที่ประชาชนได้ยินข่าวนี้ก็ยินดีปรีดากันถ้วนหน้า แต่ละคนสาดน้ำล้างถนนด้วยจิตสำนึกของตน แถมแต่ละบ้านยังแขวนโคมแดงไว้ที่ประตูใหญ่เพื่อแสดงความยินดี เพิ่มบรรยากาศคึกคักรื่นเริงให้แก่งานวิวาห์ครั้งนี้
————————————————————————————-
[1] สามคีรีห้าบรรพต สามคีรีได้แก่ จิ่งซาน หมิงซาน ตู๋ซาน ห้าบรรพตได้แก่ ไท้ซาน หวาซาน หัวซาน เหิงซาน ซงซาน ทั้งหมดเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่เลื่องชื่อของชาวจีน ในบริบทนี้อุปมาถึงดินแดนสำคัญต่างๆ
บทที่ 1287 เปิ่นจุนบอกแล้วไง ว่าไม่กลัวขายหน้าคน
จักรพรรดิของอาณาจักรต่างๆ หัวหน้าของพรรคต่างๆ ประมุขของตระกูลต่างๆ ก็มาถึงหมดแล้ว
แม้กระทั่งจักรพรรดิของอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยที่เคยมีบัญชีความแค้นกับอาณาจักรเฟยซิงก็นำขบวนมาด้วยตัวเอง ตอนนี้พักอยู่ที่จวนรับรองแล้ว!
หลายวันมานี้ทั่วสารทิศล้นพูดคุยถึงงานวิวาห์ที่ยิ่งใหญ่แห่งยุคงานนี้ สถานการณ์คึกคักแตกตื่นเหนือธรรมดา ผลคือท่านเทพศักดิ์สิทธิ์บอกว่ายกเลิกงั้นหรือ?!
หากยกเลิกไปแล้ว ไม่เพียงแต่เป็นการสาดน้ำเย็นใส่คนทั้งหลายเท่านั้น ยังทำให้วังค้ำนภาต้องกลายเป็นที่น่าขบขันอย่างยิ่งอีกด้วย! นี่เกี่ยวโยงจนทำให้ภาพลักษณ์ของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมีปัญหาเอาได้ วังค้ำนภาจะสูญเสียคนผู้นี้ไปไม่ได้!
อีกอย่างมิใช่ว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์คิดอยู่ตลอดหรอกหรือว่าจะแต่งกู้ซีจิ่วเข้าบ้าน? ซ้ำยังตกแต่งห้องหอและโถงพิธีเองกับมือด้วย…
ห้องหอท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มิให้ผู้ใดเข้าไปเลย ดังนั้นมู่เฟิงจึงไม่ทราบว่าด้านในตกแต่งอย่างไร แต่โถงพิธีเขาได้เห็น เขาเป็นคนที่ขาดแคลนถ้อยคำจึงบรรยายได้เพียงว่างดงามตระการตา มีข้าวของมากมายหลายอย่างที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์รังสรรค์จัดวางด้วยมือตน!
ถ้างานแต่งนี้เป็นโมฆะ เช่นนั้นสิ่งเหล่านี้จะไม่เป็นการยุ่งวุ่นวายไปอย่างเสียเปล่าหรอกหรือ?!
มู่เฟิงรู้สึกทนไม่ได้!
เขาใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วทำใจกล้าออกความเห็น “นายท่าน ข้าน้อยมีความคิดเห็นประการหนึ่ง บางทีอาจเป็นการดีสำหรับทั้งสองฝ่าย”
ตี้ฝูอีเอ่ยสั้นๆ “ว่ามา!”
มู่เฟิงพูดถึงส่วนที่จะขายหน้าถ้าหากยกเลิกงานวิวาห์ก่อน จากนั้นก็กล่าวต่อว่า “ถึงแม้จะหาตัวแม่นางกู้ไม่พบเลย แต่ร่างเดิมของนางก็ยังอยู่นี่ขอรับ การใช้วิชาหุ่นเชิดควบคุมไม่เหนือบ่ากว่าแรงท่านเลย เข้าพิธีกับร่างเดิมของนาง อย่างไรเสียขอเพียงวันนั้นนางปฏิบัติตามขั้นตอนได้ก็พอแล้ว และไม่จำเป็นต้องพูดอะไร ท่านก็เข้าพิธีไปเช่นนี้ก่อน ให้สถานการณ์นี้ผ่านพ้นไปแล้วค่อยว่ากัน เช่นนั้นต่อให้นางหลบหนีไปก็ยังขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาของท่านอย่างชอบธรรมแล้ว พวกเราค่อยสงบสจิตสงบใจตามหานางต่อก็พอ ในเมื่อนางยังมีชีวิตอยู่จะต้องปรากฏตัวขึ้นในไม่ช้าก็เร็วแน่ขอรับ ไม่อาจกบดานอยู่ที่ใดไปได้ชั่วชีวิต…”
ตี้ฝูอีเงียบไปอีกครั้ง ผ่านไปพักใหญ่ถึงเปิดปากเอ่ย “ข้าไม่อยากแต่งงานกับผู้ใดนอกจากนาง!”
มู่เฟิงเอ่ยเตือนอย่างหวังดี “นายท่าน ที่ท่านแต่งด้วยก็คือนางเหมือนกันนะขอรับ เพียงแต่ใช้วิชาหุ่นเชิดควบคุมนิดหน่อยเท่านั้น”
ตี้ฝูอีหลับตาลงเล็กน้อย “นั่นก็ไม่ใช่นางเหมือนกัน!” เขาไม่สนใจสังขารที่กลวงเปล่า
มู่เฟิงถูหน้าผาก “แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่อะไรแล้ว” ตี้ฝูอีตัดบทเขา “ยกเลิกงานแต่งซะ เปิ่นจุนไม่กลัวขายหน้าคน”
มู่เฟิงยังจะพูดอะไรได้อีกเล่า
ตี้ฝูอีกล่าวเรียบๆ ว่า “หนนี้นางหนีไปอย่างหมดจดยิ่งนัก พูดให้ชัดคือนางไม่อยากแต่งให้ข้าจริงๆ ในเมื่อนางไม่อยากแต่งจริงๆ ต่อให้ข้าฝืนบังคับใจนาง พอนางกลับมาไม่แน่ว่าอาจเป็นการยั่วยุให้นางชิงชังยิ่งกว่าเดิม แตงที่ฝืนเด็ดย่อมไม่หวาน เคารพต่อความคิดเห็นของนางเถอะ”
จากนั้นก็ยิ้มแวบหนึ่ง “บางทียกเลิกงานแต่งแล้ว นางอาจกลับมาเองก็ได้…” ถึงแม้เขาจะกล่าวยิ้มๆ ทว่าสุ้มเสียงเปล่าเปลี่ยวอยู่บ้าง “ถึงอย่างไรนางก็ซ่อนเร้นจากข้ามิใช่หรือ?”
มู่เฟิงปวดใจแปลบ ไม่พูดอะไร เอ่ยถามเพียงประโยคหนึ่ง “ในเมื่อจะยกเลิก ก็ต้องมีเหตุผลนะขอรับ ถ้าบอกว่านางหนีงานแต่งจะฉีกหน้าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเกินไป มิสู้บอกว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายพบว่าแม่นางกู้มิใช่คนที่พึงใจจะใช้ชีวิตร่วมกัน ดังนั้นจึงล้มเลิกงานวิวาห์”
ตี้ฝูอีมองเขาแวบหนึ่ง “ไม่ต้อง แค่บอกว่าแม่นางกู้พบว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมิใช่คนที่พึงใจจะใช้ชีวิตด้วย ดังนั้นจึงจึงพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อขอถอนหมั้น ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็ตอบรับคำขอนี้แล้ว ดังนั้นจึงล้มเลิกงานวิวาห์…”
“แต่ถ้ากล่าวเช่นนั้นวังค้ำนภาของพวกเราจะขายหน้าผู้อื่นเกินไป…”
ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้ยิ่งใหญ่ถูกศรีภรรยาที่กำลังจะแต่งเข้าประตูถอนหมั้น! ถ้าแพร่ออกไปจะขายหน้าผู้อื่นยิ่งนัก…
มือข้างหนึ่งของตี้ฝูอีเท้าศีรษะไว้ เอ่ยอย่างเฉยเมย “เปิ่นจุนบอกแล้วไง ว่าไม่กลัวขายหน้าคน” เรื่องภาพลักษณ์หน้าตาเหล่านี้เขาไม่ใส่ใจเสมอมา
————————————————————————————-
บทที่ 1288 ไปจัดการตามที่เปิ่นจุนบอก
ในใจของมู่เฟิงขุ่นเคืองต่อกู้ซีจิ่วเล็กน้อย “มิสู้บอกไปตามจริงเสีย บอกว่านางหนีงานแต่งไปแล้ว! มิเช่นนั้นกู้เซี่ยเทียนจะมาทวงคนจากเรานะขอรับ…”
ตี้ฝูอีหงุดหงิด “เปิ่นจุนต้องเกรงกลัวกู้เซี่ยเทียนมาทวงคนด้วยหรือ?”
พูดถึงโจโฉโจโฉก็มาจริงๆ ด้านนอกมีคนรายงานว่าแม่ทัพกู้เซี่ยเทียนมาอีกแล้ว…
หลายวันมานี้กู้เซี่ยเทียนวิ่งมาที่วังค้ำนภาวันละรอบ มาทวงตัวคน เห็นๆ กันอยู่ว่าวันพรุ่งเป็นวันวิวาห์แล้ว ยังไม่เห็นเงาของบุตรสาวเลย กู้เซี่ยเทียนย่อมข่มอารมณ์ไว้ไม่อยู่ นับตั้งแต่เมื่อวานก็เริ่มเปลี่ยนเป็นมาวันละสองรอบแล้ว
มู่เฟิงมองไปทางตี้ฝูอี ตี้ฝูอีกล่าวว่า “ไปจัดการตามที่เปิ่นจุนบอก ประกาศยกเลิกงานวิวาห์!”
มู่เฟิงไม่อาจพูดเป็นอื่นได้ “…ขอรับ!”
เกือบจะถึงวันวิวาห์แล้วจู่ๆ ก็ยกเลิกงานแต่ง ข่าวนี้ไม่ว่าสำหรับผู้ใด ล้วนมีอานุภาพทำลายล้างเทียบได้กับระเบิดปรมานู
ข่าวแพร่กระจายออกไปด้วยความไวแสง แทบจะในชั่วข้ามคืน ข่าวน็แพร่สะพัดไปทั่วทุกมุมของแผ่นดินนี้แล้ว
บ้างก็ไม่เชื่อ บ้างก็ประหลาดใจ บ้างก็ผิดหวัง บ้างก็ตกตะลึง และบ้างก็รู้สึกว่ามีเงื่อนงำแฝงอยู่ในเรื่องนี้…
คาดเดาเจี๊ยวจ๊าวกันไปต่างๆ นาๆ การซุบซิบนินทาสารพัดผุดออกมา
ฟ้ายังไม่ทันสว่าง วังค้ำนภาก็ได้ต้อนรับแขกเหรื่อที่มาสอบถามข่าวมากมายหลายท่านแล้ว เนื่องจากทุกคนล้วนไม่เชื่อ รู้สึกว่านี่คือข่าวลือ เมื่อตรงมาประตูวังค้ำนภาที่ประดับประดาด้วยบุปผาผ้าไหมแดงถูกถอดออกแล้ว วังค้ำนภากลับไปลึกลับน่าเกรงขามอีกครั้ง ทุกคนถึงทราบว่านี่เป็นความจริง!
งานวิวาห์ยิ่งใหญ่อลังการแห่งยุคที่ตระเตรียมกันมาอย่างดีต้องล้มเลิกลงเช่นนี้หรือ?!
ทุกคนล้วนรู้สึกว่ากำลังฝันอยู่มิใช่ความจริง
เนื่องจากมีผู้คนมาสอบถามมากมายเกินไป ทำให้มู่เฟิงที่เดิมทีก็หงุดหงิดมากอยู่แล้วรำคาญใจยิ่งนัก เขาจึงขึ้นไปบนแท่นเบิกสวรรค์แล้วป่าวประกาศเรื่องนี้เสียเลย ด้านล่างเป็นคลื่นมนุษย์ที่ได้ข่าวจึงหลั่งไหลมา เสียงของมู่เฟิงแว่วอยู่ท่ามกลางลมหนาวยามรุ่งอรุณค่อนข้างเยียบเย็นอย่างเห็นได้ชัด “ด้วยคำสั่งของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่ให้นำมาประกาศ ณ ที่นี้ พิธีวิวาห์ของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกับคุณหนูกู้กู้ซีจิ่วจะถูกยกเลิก ถึงแม้พิธีวิวาห์จะยกเลิกไปแล้ว แต่ภายหน้าทั้งสองยังคงคบหากันเป็นสหายอยู่ ผู้ใดก็ห้ามสร้างความลำบากให้แก่กู้ซีจิ่วด้วยมูลเหตุเรื่องนี้ หากมีผู้ฝ่าฝืน จะถือว่าตั้งตนเป็นศัตรูกับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายด้วย…”
ด้านล่างเงียบกริบก่อน จากนั้นก็ฮือฮา เสียงซักถามดังขึ้นไม่หยุดปานคลื่นสมุทร
แต่หลังจากมู่เฟิงประกาศจบก็จากไปเลย ไม่ตอบอีกเลยสักคำ
ฝูงชนสับสนงงงวยนัก และขุ่นเคืองมากจริงๆ
อย่างไรก็ตามปกติแล้วท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเป็นตัวตนที่สูงส่งอยู่เหนือปวงชนเหลือเกิน ยามนี้เมื่อเจียนจะถึงวันวิวาห์เขากลับมาประกาศล้มเลิกงานวิวาห์ เรื่องนี้ทุกคนล้วนรู้สึกขุ่นเคืองตี้ฝูอี ต้องเป็นเขาที่ทอดทิ้งคุณหนูกู้ของบ้านอื่นแน่นอน อย่างไรเสียตัวต้นเรื่องทั้งสองก็ไม่ได้ออกมาพูดอะไร แม้กระทั่งหน้าก็ไม่โผล่มาด้วยซ้ำ
แน่นอนว่ามีคนที่ออกหน้าทวงความเป็นธรรมให้ตี้ฝูอีอยู่เช่นกัน รู้สึกว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายทุ่มเทตระเตรียมงานวิวาห์อย่างหรูหราอลังการถึงเพียงนี้ และส่วนใหญ่ผู้คนทั้งหลายก็ต้องไว้หน้าตี้ฝูอีเดินทางมาร่วมงาน หากว่าเขาไม่ไยดีกู้ซีจิ่ว คงไม่จัดงานวิวาห์ให้ยิ่งใหญ่อลังการปานนี้หรอก ยามนี้จู่ๆ ก็มาประกาศยกเลิกงานวิวาห์ ฝ่ายที่เสียหน้าคือวังค้ำนภา หากไม่มีเรื่องใหญ่โตอันใดเกิดขึ้น คาดว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายคงไม่ทำเช่นนี้
หากว่าท่านทูตสวรรค์จะทอดทิ้ง ในเมื่อเขาตระเตรียมงานวิวาห์ไปแล้ว เพื่อหน้าของตนก็ต้องประกอบพิธีวิวาห์นี้ให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ ถึงแม้ภายหน้าเขาจะหย่าภรรยาแล้วแต่งงานใหม่ ก็ยังดีกว่าอย่างที่ทำอยู่ในตอนนี้ อย่างไรเสียบุรุษก็สามารถมีสามภรรยาสี่อนุได้ เมื่อไม่ไยดีค่อยโยนคนเข้าตำหนักเย็นไปก็จบเรื่องแล้วมิใช่หรือ?
ดังนั้นต้นเหตุต้องไม่ใช่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายแน่นอน น่าจะเป็นฝ่ายหญิงที่มีปัญหา
คนของทั้งสองฝั่งโต้เถียงปัญหาข้อนี้กันจนหน้าดำหน้าแดง ผู้ใดก็ไม่ยอมลงให้ผู้ใด
———————————————————————————–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น