ลำนำบุปผาพิษ 1281-1284
บทที่ 1281 โชคดีที่เป็นแค่ความฝัน!
มนุษย์เรายามกลางครุ่นคิดอยู่ตลอด ตกกลางคืนจึงเกิดความฝัน อันที่จริงหลายวันมานี้เธอก็เคยฝันถึงเขาอยู่บ้างเป็นครั้งคราว ฝันถึงช่วงเวลาในอดีตเหล่านั้น เพียงแต่ความฝันนั้นค่อนข้างสับสันวุ่นวาย ในความฝันบางทีเธอกับเขาก็ท่องเที่ยวไปด้วยกัน บางทีก็ออกผจญภัยด้วยกัน ถึงขั้นที่ฝันถึงเรื่องหวาบหวามอยู่บ้าง…
ความฝันเหล่านั้นเป็นเช่นเดียวกับความฝันของผู้คนมากมาย กระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง ไม่สมเหตุสมผลเลย และไม่ปะติดปะต่อกัน ส่วนมากพอเธอตื่นขึ้นมาก็จะหลงลืมไป
แต่ความฝันครั้งนี้แตกต่างออกไป ความฝันของเธอเป็นระเบียบแบบแผนยิ่งนัก ราวกับเป็นเหตุการณ์จริง
ในความฝันไม่รู้ว่าเธอกับเขาต่อสู้กับสิ่งใดอยู่ แถมยังสู้ชนะด้วย เธอดีใจมาก วนเวียนห้อมล้อมรอบตัวเขาอย่างภาคภูมิใจ เขาก็ยิ้มออกมาเช่นกัน แต่แววตาเขากลับคล้ายจะอัดแน่นไปด้วยความเศร้าหมอง เขากอดเธอไว้ในอ้อมอกแล้วจุมพิต จากนั้นก็ปล่อยตัวเธอออกกะทันหัน บอกว่าเขามีธุระต้องจัดการ ให้เธอจากไปก่อน
และในความฝันเธอก็จากไปจริงๆ ซ้ำยังกำชับกำชาเขาอีกสองสามประโยค ให้เขาระวังอะไรสักอย่าง
เขายิ้มละไมและโบกมือลาเธอ มีกลีบบุปผาเบ่งบานอยู่ด้านหลังเขา งดงามดั่งภาพวาด
เธอจากไปแล้ว และฝีเท้าของเขาก็เริ่มซวนเซ ทรุดตัวนั่งลงในพุ่มดอกไม้พุ่มหนึ่งทันที โลหิตบนร่างหลั่งไหลปานตาน้ำพุ เขาก็ไม่สนใจไยดีมัน เพียงหลุบตามองแหวนวงหนึ่งในมือ กำไว้แน่นอยู่พักใหญ่ สีหน้าซีดขาวขึ้นเรื่อยๆ โปร่งใสขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็กลายเป็นละอองแสงกระจายออกไปทุกทิศ
“ตี้ฝูอี!” เธอตะโกน!
น้ำเสียงโหยหวน จนทำให้ตัวเองสะดุ้งตื่นขึ้นมา เธอลืมตาขึ้นทันที แล้วถึงพบว่าน้ำตาของตนไหลอาบหน้าแล้ว ตรงทรวงอกเจ็บปวดจนต้องแยกเขี้ยวยิงฟัน ราวกับความเศร้าโศกนั้นพุ่งตรงเข้าสู่ส่วนลึกของจิตใจ กรีดเถือดวงใจ ทำให้เธอเจ็บจนเป็นตะคริว แทบจะขดตัวแล้ว
เธออ้าปากหายใจ มองดูตกแต่งอันคุ้นเคยโดยรอบ พยายามทำให้ตัวเองสงบใจลงอย่างสุดกำลัง ทำใหหัวใจเต้นเป็นปกติ
เป็นความฝัน! นี่เป็นความฝัน!
โชคดีที่เป็นแค่ความฝัน!
เธอหลับตาลงเล็กน้อย ยกมือเช็ดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผากตน ยิ้มขมขื่น ไม่น่าเชื่อว่าตนจะฝันเช่นนี้ น่าประหลาดแท้!
คนผู้นั้นเป็นเทพนะ เป็นเทพผู้ควบคุมโลกใบนี้ ชีวิตยืนยาวไร้ที่สิ้นสุด ไม่แน่ถึงแม้โลกนี้จะดับสูญไปเขาก็คงไม่ดับสูญไปด้วย แล้วเขาจะกลายเป็นละอองแสงกระจายหายไปได้อย่างไร? นี่เธอดูละครแนวเทพเซียนย้อนยุคมากไปใช่ไหม? ถึงฝันเรื่องที่โศกเศร้าและโอเว่อร์แบบนี้ออกมาได้…
ภาพที่เขานั่งหลุบตามองแหวนอยู่ตรงนั้นแวบเข้ามาในสมองเธออีกครั้ง แหวนวงนั้นดูเหมือนจะเป็นแหวนแต่งงานที่เขามอบให้เธอ ยามที่จะจากมาเธอได้ทิ้งไว้ให้เขาแล้ว
หัวใจเธอเต้นระส่ำขึ้นมาอีกครั้ง เขาคงจะไม่…
พลันส่ายหัวอีกครั้ง เป็นไปไม่ได้!
เขาไม่เกิดเรื่องขึ้นหรอก ถึงเธอตายเขาก็จะไม่ตาย…
เวรเอ้ย! ต้องเป็นเรื่องตรวนสลายวิญญาณครั้งก่อนที่ทิ้งเงามืดไว้ให้เธอแน่ๆ ดังนั้นในฝันถึงได้เห็นเขาเลือดไหลท่วมร่าง…
อย่างไรก็ตามวันหน้าหากมีโอกาสได้ออกไป เธอจะหาทางไปเอาแหวนวงนั้นกลับมา ถึงแม้จะไม่ใส่ก็ควรขายทิ้งหรือโยนทิ้งไปซะ ไม่อาจปล่อยไว้ในมือเขาได้
เธอตบหน้าตัวเองเบาๆ พอตบมือก็เปียก จากนั้นถึงพบว่าปลอกหมอนเปียกไปหมดเพราะน้ำตาของเธอ
ฝันแล้วร้องไห้จนกลายเป็นเช่นนี้ น่าอับอายจริงๆ…
เธอกระโดดลงจากเตียง ล้างหน้าเล็กน้อย แล้วส่องกระจกดู พบว่าตนร้องไห้จนตาปูดไปหมดแล้ว!
เธอนวดคลึงหว่างคิ้ว ขณะที่คิดจะใช้น้ำเย็นลูบอีกสักหน่อย บานประตูก็มีเสียงเคาะดังขึ้น
เมื่อเปิดประตู ก็พบหลัวจั่นอวี่นั่งบนรถเข็นคันเล็กอยู่นอกประตูเธอ เขามาคนเดียว ไม่มีผู้ใดเข็นรถให้
สายตาของหลัวจั่นอวี่มองตรงไปที่ดวงตาของกู้ซีจิ่ว “ฝันร้ายหรือ? เจ้าตะโกนโหยหวนมาก…”
ที่แท้เธอตะโกนออกไประหว่างที่ฝันอยู่ด้วยเหรอ?
กู้ซีจิ่วตอบรับเสียงอ้อมแอ้มคราหนึ่ง…
————————————————————————————-
บทที่ 1282 วาจานี้ของท่าน…เอามาจากไหนกัน?
กู้ซีจิ่วตอบรับเสียงอ้อมแอ้มคราหนึ่ง… ให้เขาเข้ามาในบ้าน เมื่อวานหลังจากหลอมโอสถเสร็จ ได้ให้หลัวจั่นอวี่กินเข้าไปแล้วหนึ่งเม็ด และฝังเข็มไปแล้วหนึ่งครั้ง
กู้ซีจิ่วซักถามสภาพการฟื้นตัวของเขา พลางจับชีพจรให้เขาด้วย
เป็นเช่นเดียวกับที่เธอคาดไว้ ขาของเขาฟื้นฟูจนมีความรู้สึกนิดหน่อยแล้ว ปวดชาอย่างรุนแรง
ถึงแม้ความปวดชานี้จะทนรับได้ยากอยู่บ้าง ทว่าเขากลับดีใจนัก เมื่อก่อนขาของเขาไม่มีความรู้สึกใดๆ เลย ตอนนี้รู้สึกเจ็บแล้ว ในที่สุดเขาก็รู้สึกแล้วว่าขาคู่นี้เป็นของเขาจริงๆ!
เพียงแต่ดีใจก็ส่วนดีใจ เขายังพะวงถึงความฝันของกู้ซีจิ่วอยู่ “ซีจิ่ว เจ้าฝันร้ายอันใดหรือ?”
กู้ซีจิ่วไม่อยากพูดถึง “ลืมไปแล้ว ข้าฝันแล้วก็ลืมมาโดยตลอด ความฝันเดียวไม่จำเป็นต้องให้ค่าหรอก…”
“ข้าได้ยินเจ้าตะโกนว่าตี้ฝูอี…” หลัวจั่นอวี่เอ่ยขัดเธอ
นิ้วมือกู้ซีจิ่วที่อยู่บนขาเขาพลันแข็งทื่อ ช้อนตามองเขา
“ซีจิ่ว คงไม่ใช่ว่าคนในใจของเจ้าก็คือเขากระมัง?”
กู้ซีจิ่วยิ้มขื่นๆ “พี่ ที่แท้ท่านก็เป็นคนชอบซุบซิบนินทาเช่นนี้ด้วย” ไม่ได้ยอมรับและไม่ได้ปฏิเสธ
หลัวจั่นอวี่ถอนหายใจ “เช่นนั้นก็น่าจะใช่แล้ว เฮ้อ พวกเจ้าเหล่าตรีนี้หนา มักจะชมชอบบุคคลที่เป็นดั่งทวยเทพบนยอดเมฆาที่แทบจะดูเลื่อนลอยเกินเอื้อมเช่นนั้นอยู่ร่ำไป ก่อเป็นรักข้างเดียว จะหาเรื่องกลุ้มอกกลุ้มใจเช่นนี้ไปทำไมกัน? ซีจิ่ว ฟังข้านะ เจ้าจะต้องเก็บความคำนึงที่มีอยู่ฝ่ายเดียวของเจ้ากลับมา! มิเช่นนั้นเจ้าจะเป็นเพียงแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ ไม่แน่อาจจะวอดวายยับเยินก็ได้”
กู้ซีจิ่วตะลึงเล็กน้อย “…วาจานี้ของท่าน…เอามาจากไหนกัน?”
หลัวจั่นอวี่ส่ายหน้า “ซีจิ่ว เจ้ารู้ไหมว่าเหล่าสตรีของที่นี่เข้ามาได้อย่างไร?”
“พวกนางมิใช่ว่าอ้างตัวเป็นสานุศิษย์สวรรค์แล้วถูกท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจับได้ แล้วโยนเข้ามาหรอกหรือ?”
หลัวจั่นอวี่ยิ้มขื่นๆ “แล้วเจ้ารู้ไหมว่าทำไมพวกนางถึงอ้างตัวว่าเป็นสานุศิษย์สวรรค์?”
กู้ซีจิ่วสังหรณ์ใจขึ้นมา “หรือว่าเป็นเพราะทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย?”
หลัวจั่นอวี่พยักหน้า “มิผิด! สตรีไม่กี่นางที่เข้ามาเหล่านี้นอกจากเมิ่งซู่เหยียนแล้ว ล้วนเป็นเพราะลุ่มหลงในความสง่างามของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ยอมเสี่ยงอันตรายต่อการถูกตรวจพบแล้วตายอย่างไร้หลุมฝังกลบ เพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายสักหน่อย…เจ้าเองก็รู้ สตรีเหล่านี้ล้วนเป็นอัจฉริยะจากที่ต่างๆ แต่ละคนสูงส่งเย่อหยิ่ง ทว่าลุ่มหลงคลั่งไคล้ในตัวทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ล้วนคิดว่าตนจะเป็นข้อยกเว้นของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย จะกลายเป็นหนึ่งเดียวในดวงใจของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ส่วนผลลัพธ์…เจ้าก็เห็นแล้วนี่ ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไม่เกรงอกเกรงใจพวกนางเลย พอพบว่าเป็นตัวปลอม ก็จับโยนเข้ามาในป่าทมิฬทันที…ด้วยเหตุนี้ถึงได้ถูกขังไว้ที่นี่ออกไปไหนไม่ได้ ตอนที่พวกนางเพิ่งเข้ามาก็ฝันร้ายเหมือนกัน ระหว่างที่ฝันจะตะโกนว่า ‘ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย’ สี่คำนี้ ซีจิ่ว บอกข้ามาตามจริง เจ้าเข้ามาเพราะอ้างตัวว่าเป็นสานุศิษย์สวรรค์ใช่ไหม?”
กู้ซีจิ่วชะงักไปครู่หนึ่ง ส่ายหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่ใช่!”
ถึงเธอจะเคยอ้างตัวว่าเป็นสานุศิษย์สวรรค์ และเคยถูกโยนเข้าป่าทมิฬ แต่การเข้ามาในครั้งนี้เป็นความผิดพลาดจับผลัดจับผลูอย่างแท้จริง ไม่เกี่ยวข้องกับการอ้างตัวเป็นสานุศิษย์สวรรค์เลย…
หลัวจั่นอวี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ลูบผมนางอย่างไม่อาจห้ามตัวเองได้ “ซีจิ่ว ข้าชอบความยอดเยี่ยมของเจ้า อย่าได้ฝันถึงเรื่องจอมปลอมเช่นนั้นอีกเลย ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นั้นมิใช่คนที่สตรีธรรมดาจะสยบได้ เจ้าลืมเขาเสียเถิด!” เด็กสาวทุกคนล้วนฝันถึงเจ้าชายขี่ม้าขาว แต่จะมีเด็กสาวสักกี่คนที่พิชิตใจเจ้าชายขี่ม้าขาวได้?
กู้ซีจิ่วเงียบงัน เธอไม่พุดอะไร มันเป็นเรื่องจริงเธอจึงไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
หลัวจั่นอวี่เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ใช่แล้ว ซีจิ่ว เจ้าก็รู้ใช่ไหมว่าผู้คนที่ถูกขังไว้ที่นี่ส่วนใหญ่ล้วนเกี่ยวข้องกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอีทั้งสิ้น”
บทที่ 1283 ความหวังที่จะออกไป
หลัวจั่นอวี่เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ใช่แล้ว ซีจิ่ว เจ้าก็รู้ใช่ไหมว่าผู้คนที่ถูกขังไว้ที่นี่ส่วนใหญ่ล้วนเกี่ยวข้องกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอีทั้งสิ้น ดังนั้นบุคคลนี้นามนี้เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับที่นี่ ทุกคนล้วนไม่เอ่ยถึง พวกบุรุษชิงชังเขา เหล่าสตรีทั้งรักทั้งชังเขา…ข้าเดาว่าถูกขังมานานหลายปีเช่นนี้ ต่อให้เป็นเหล่าสตรีความรู้สึกที่มีต่อเขาก็น่าจะเปลี่ยนเป็นชังมากกว่ารักแล้วกระมัง ดังนั้นต่อไปนี้อยู่ที่นี่ห้ามเอ่ยถึงเขาอีก เลี่ยงไม่ให้เกิดความไม่พอใจใดๆ ขึ้น”
กู้ซีจิ่วพยักหน้ารับ เธอไม่ใช่คนที่ชอบแบ่งปันเรื่องราวในใจกับคนอื่น ดังนั้นเรื่องราวที่เกี่ยวกับเธอและเขาเธอจะทำให้มันเน่าอยู่ในท้องซะ ไม่เอ่ยถึงกับผู้ใด
เธอเริ่มฝังเข็มให้หลัวจั่นอวี่เป็นครั้งที่สอง..
วิธีของเธอยังมีประสิทธิภาพยิ่งนัก หลังจากฝังเข็มครั้งสองเสร็จ พอตกเย็น ขาของหลัวจั่นอวี่ก็สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวได้ดั่งใจนึกแล้ว ถึงแม้จะยังยืนไม่ได้ แต่สามารถขยับเขยื้อนได้แล้ว
….
ตกดึก ใต้ต้นไม้ยักษ์มีกองไฟลุกโชน
บนกองไฟย่างสัตว์ชนิดต่างๆ ไว้ หญิงชายในหมู่บ้านร้องเล่นเต้นระบำอยู่รอบกองไฟ
นี่เป็นความรื่นเริงเพียงอย่างเดียวของที่นี่ โดยใหญ่จะจัดขึ้นทุกครึ่งเดือน หนึ่งคือเพื่อปลุกเร้าอารมณ์เชิงบวกของผู้คน สองคือเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์กัน
แต่ครั้งนี้กลับทำลายธรรมเนียมเดิม จัดขึ้นในวันที่สิบ เนื่องจากนี้เป็นงานเฉลิมฉลอง ฉลองให้แก่หลัวจั่นอวี่หัวหน้าของพวกเขาที่ในที่สุดก็ลุกขึ้นยืนได้แล้ว!
เป็นอย่างที่กู้ซีจิ่วได้ให้คำมั่นไว้ หลังจากหลัวจั่นอวี่ฝังเข็มครั้งที่สามเสร็จ ขาทั้งสองก็มีความรู้สึกกลับคืนมาโดยสมบูรณ์ ยามที่เขาสละรถเข็นคันน้อยทิ้ง แล้วอาศัยกำลังขาทั้งสองค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เสียงปรบมือดังสนั่นหวั่นไหวก็ดังขึ้นจากรอบข้าง แทบทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนเริ่มไชโยโห่ร้อง
ปาฏิหาริย์! กู้ซีจิ่วสร้างปาฏิหาริย์แล้ว!
สำครับผู้คนที่ถูกขังไว้ ปาฏิหาริย์ที่กู้ซีจิ่วสร้างขึ้นมิได้ง่ายดายเพียงรักษาคนผู้หนึ่งให้หายดีเท่านั้น
นางยังทำให้ทุกคนมองเห็นความหวังที่จะออกไปได้ด้วย
ใช่แล้ว ความหวังที่จะออกไป
ถึงแม้ที่นี่จะเป็นสถานที่ปิดตาย แต่ไอวิญญาณของที่นี่ก็หนาแน่นยิ่งนัก ประกอบกับผลไม้พิเศษของต้นไม้ยักษ์ ไม่เพียงกินให้อิ่มท้องได้เท่านั้น ยังปรับปรุงสมรรถภาพร่างกายได้ด้วย ทำให้ผู้คนฝึกฝนได้ง่ายขึ้น ผนวกกับบางครั้งก็มีสัตว์ร้ายบุกเข้ามาบ้างเป็นครั้งคราว ทำให้ผู้คนได้ต่อสู้ในสถานการณ์จริงอยู่บ้าง ต่อสู้สุดชีวิตอยู่หลายครั้ง ทำให้ฝูงชนตระหนักถึงความทุกข์ยากอยู่เสมอ พลังวิญญาณและพลังยุทธ์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ฝึกฝนอยู่ที่นี่หนึ่งปีเทียบได้กับการฝึกฝนอยู่ด้านนอกสองสามปี นี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ที่นี่มียอดฝีมืออยู่มากมายถึงเพียงนี้ พลังวิญญาณขั้นเจ็ดขั้นแปดเป็นมาตรฐานทั่วไป
อันที่จริงแล้วหลายปีมานี้ฝูงชนไม่เคยหยุดค้นหาทางออกเลย ติดอยู่เพียงว่าหาความหวังที่จะออกไปไม่พบเลยสักน้อย
และเมื่อสามปีก่อน ตอนที่บางคนขึ้นไปเก็บเกี่ยวผลไม้บนต้นไม้ยักษ์ บังเอิญมองเห็นอักษรทองแถวหนึ่งจารึกอยู่บนต้นไม้ว่า ‘เก้าเก้าเป็นหนึ่งจึ่งเห็นทิวากร’
อักษรแถวนี้เสมือนปริศนาธรรม ฝูงชนใคร่ครวญหารือกันอยู่หลายวัน สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปที่ค่อนข้างเป็นเอกฉันท์ นั่นก็คือคนที่ถูกขังไว้ที่นี่ น่าจะต้องฝึกฝนจนบรรลุขั้นเก้าถึงจะทำลายเขตคุมขังได้ แล้วออกไปพบเห็นดวงตะวันได้อีกครั้ง
ทุกคนล้วนทราบกันดี พลังวิญญาณขั้นเก้ายากจะฝึกฝนบ่มเพาะออกมาได้ ทั่วทั้งแผ่นดินคนที่บรรลุพลังวิญญาณขั้นเก้านั้นนับนิ้วเอาได้เลย เพียงสิบนิ้วก็สามารถนับได้ครบแล้ว
อีกทั้งต้องมีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยม เงื่อนไขการฝึกฝนที่เหมาะสม ประกอบกับต้องใช้ยาลูกกลอนควบคู่ไปด้วย ถึงจะมีความเป็นไปได้ว่าจะฝึกฝนถึงขั้นนั้นได้
สองเงื่อนไขแรกสำหรับผู้คนที่นี่นับว่าเข้าขั้นแล้ว มีเพียงยาลูกกลอนเท่านั้นที่พวกเขาไม่อาจแสวงหาได้
ตอนที่พวกเขาเพิ่งเข้ามาย่อมพกยาลูกกลอนสารพัดอย่างติดตัวมาด้วยอยู่แล้ว แต่เมื่ออยู่ที่นี่มีแต่จะลดไม่มีเพิ่ม ระยะเวลาไม่กี่ปีก็บริโภคจนหมดสิ้นไปแล้ว!
————————————————————————————-
บทที่ 1284 เขาทำอะไรอยู่นะ?
ความจริงแล้วป่วยไข้บาดเจ็บยังพอว่า อย่างไรเสียสมรรถภาพร่างกายของคนที่นี่ล้วนไม่เลวเลย ประกอบกับมีหลัวจั่นอวี่เป็นหมอคอยดูแล ทุกคนล้วนผ่านพ้นไปได้อย่างไร้ความเสี่ยง ต่ยามที่พลังวิญญาณขั้นแปดจะฝ่าทะลวงไปสู่ขั้นเก้าจะต้องใช้ยาลูกกลอนระดับเจ็ดชนิดหนึ่ง ยาลูกกลอนชนิดนั้นเรียกว่าลูกกลอนคุ้มวิญญาณ
อย่าได้ดูแคลนการทะลวงจากขั้นแปดไปสู่ขั้นเก้า เรื่องนี้สำหรับผู้ฝึกฝนทุกคนแล้วเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงอย่างหนึ่ง เมื่อบรรลุขั้นเก้าจึงถือว่าเข้าใกล้การเป็นเซียนแล้ว ร่างกายจะเกิดความเปลี่ยงแปลงอย่างมหาศาล ระหว่างที่ฝ่าทะลวงอยู่ ความเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้ร่างกายคนทนรับไม่ไหว จะเปรียบเสมือนหายนะในตำนานที่เล่าขานกัน หากผ่านไปได้จะกลายเป็นเซียนอย่างแท้จริง แต่ถ้าล้มเหลวจะเกิดผลกระทบเนื่องจากทนรับพลังวิญญาณพลุ่งพล่านไม่ไหว ตัวคนจะระเบิด แม้กระทั่งดวงวิญญาณจะก็ระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ไม่อาจรวมตัวได้อีก
และลูกกลอนคุ้มวิญญาณจะถูกนำมาใช้ในช่วงเวลาเช่นนี้ ลุกกลอนคุ้มวิญญาณสามารถป้องกันร่างกายจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของเส้นเลือด บรรเทาความรุนแรงได้ คุ้มกันการฝ่าทะลวงขั้นให้ราบลื่น หากไม่มีการปกป้องจากลูกกลอนคุ้มวิญญาณ ในหนึ่งร้อยคนที่ฝ่าทะลวงสู่ขั้นเก้า จะมีเก้าสิบเก้าคนที่ระเบิดเป็นจุณ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของโอสถคุ้มวิญญาณนี้
ส่วนหลัวจั่นอวี่เพิ่งพบอักษรทองแถวนี้ได้ไม่นานก็ฝ่าทะลวงสู่ขั้นเก้า เขาไม่มีลูกกลอนคุ้มวิญญาณติดตัว เคราะห์ดีที่เมิ่งซู่เหยียนมีอยู่เม็ดหนึ่ง นางอนุเคราะห์ให้ ถึงทำให้หลัวจั่นอวี่ทะลวงขั้นอย่างปลอดภัยได้
แต่ก็มีแค่เม็ดนั้นเม็ดเดียว ไม่มีเม็ดอื่นแล้ว
ดังนั้นผู้คนที่บรรลุระดับแปดแล้วของที่นี่จึงไม่กล้าทวงขั้นขึ้นไปอีก ไม่กล้าทุ่มเทฝึกฝนอย่างสุดชีวิต…
แต่ยามนี้กู้ซีจิ่วกลับเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถระดับสูง อายุยังน้อยก็สามารถหลอมกลั่นโอสถระดับหกได้แล้ว เช่นนั้นถ้านางฝึกฝนวิชาหลอมกลั่นต่อไปให้ดีๆ การหลอมโอสถระดับเจ็ดก็ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว! เมื่อมีลูกกลอนคุ้มวิญญาณระดับเจ็ด พวกเขาก็สามารถทะลวงขั้นได้อย่างปลอดภัย วันคืนที่จะได้ออกไปพบเห็นดวงตะวันอีกครั้งก็อยู่แค่เอื้อมแล้ว
กู้ซีจิ่วคือความหวังของพวกเขา! พวกเขาย่อมดีอกดีใจ อยากจัดงานฉลองเป็นธรรมดา
นำสุราที่ดีที่สุดออกมา นำเนื้อที่ที่สุดออกมาด้วย พวกผู้หญิงก็งัดฝีมือการครัวที่ยอดเยี่ยมที่สุดออกมาปรุงอาหารจำนวนหนึ่ง ส่วนพวกผู้ชายก็คอยช่วยเก็บกวาด สุขสันต์เบิกบานกันถ้วนหน้า
เหล่าบุรุษของที่นี่ยินดีปรีดาเป็นที่สุด เมื่ออกไปจากที่นี่ได้พวกเขาจะเป็นยอดฝีมือผู้เลิศล้ำ และไม่ต้องกังวลเรื่องการหาศรีภรรยาอีกแล้ว!
แทบทุกคนล้วนมาคารวะสุรากู้ซีจิ่ว แน่นอนว่าคนกว่าสี่สิบคนแห่แหนกันมาคารวะคนเพียงคนเดียวย่อมน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก โชคดีที่ในใจของคนเหล่านี้เลื่อใสในตัวเธอ ในใจของพวกเขากู้ซีจิ่วล้ำค่ายิ่งกว่าหมีแพนด้าพันตัวเสียอีก ไม่กล้าทำให้เธอบาดเจ็บหรืออึดอัดเลยสักนิด ดังนั้นตอนที่ทุกคนคารวะสุราเธอ ล้วนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ข้าหมดจอก ส่วนเจ้าจิบนิดเดียวก็พอ’
ด้วยเหตุนี้กู้ซีจิ่วจึงจิบเพียงเล็กน้อย
กู้ซีจิ่วไม่อยากดื่มจนเมา เนื่องจากเธอรู้ว่าระดับความเมามายของตน กล่าวได้ว่าน่าสะพรึงยิ่งนัก เธอไม่อยากเมาแล้วคลั่งในฝูงบุรุษเช่นนี้!
ดังนั้นตอนที่ดื่มสุราช่วงแรกเธอจึงจิบเอาจริงๆ แต่บางทีอาจเป็นเพราะกองไฟเร่าร้อนเกินไป อารมณ์ของฝูงชนก็คึกคักฮึกเหิมเกินไป และบางทีอาจเป็นเพราะผู้คนที่มาคารวะสุราเธอมีมากมายเกินไป การดื่มช่วงหลังๆ กู้ซีจิ่วจึงค่อนข้างปล่อยตัว ดื่มจอกแล้วจอกเล่า ในดวงตาที่ฉ่ำเยิ้มด้วยฤทธิ์สุรา มีเงาร่างของตี้ฝูอีวูบไหวอยู่
หากว่าเธอไม่ได้หนีมา วันนี้จะเป็นพิธีมงคลสมรสของเธอกับตี้ฝูอี คืนนี้ควรจะเป็นคืนที่เธอกับขาดับเทียนอยู่ร่วมหอ…
เคยเป็นวันที่เธอกับเขาตั้งตารอคอย ตอนนี้…
เขาทำอะไรอยู่นะ?
งานแต่งนั้นคงจะล้มเลิกไปแล้วกระมัง?
ท้ายที่สุดแล้วเธอกับเขาก็ไร้สาสนาต่อกัน…
“ซีจิ่ว ซีจิ่ว…” มีคนกำลังเรียกเธออยู่ น้ำเสียงดึงดูด สุ้มเสียงทุ้มต่ำ
เธอพลันแข็งทื่อไปทั้งตัว รู้สึกคล้ายว่าได้ยินเสียงของตี้ฝูอี
————————————————————————————
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น