พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1279-1280

 บทที่ 1279 แม่เจ้ามาหาเจ้าแล้ว

โดย

Ink Stone_Fantasy

ที่คุกใต้ดินของตำหนักคุ้มเมือง โจวหราน อูหันซาน อวี้ซวีเจินเหริน หวงฝู่จวินโหรวถูกขังอยู่คนละห้อง ย่อมหวังไม่ได้อยู่แล้วว่าสภาพแวดล้องของคุกใต้ดินจะสะอาดสักเท่าไร ที่จริงการถูกจับขังที่คุกใต้ดินของตำหนักคุ้มเมืองก็นับเป็นเป็นเกียรติและความโชคดีอย่างหนึ่งเหมือนกัน คนทั่วไปโดนจับขังที่คุกใต้ดินของสี่เขตเมืองก็สิ้นเรื่องแล้ว จะมีสิทธิ์มาโดนขังอยู่ที่นี่เสียที่ไหนกัน


หวงฝู่จวินโหรวอยู่ห่างจากคนอื่นค่อนข้างไกล โดนจับไว้ในคุกข้างในสุด กำลังนั่งยองๆ อยู่ในมุม สองมือกอดเข่า สีหน้าเศร้าสลด สภาพร่างกายก็ดูห่อเหี่ยวแบบที่พบเห็นได้ยาก ดวงตาสองข้างไร้แวว บนปากยังมีคราบน้ำมันที่เกิดจากการโดนเหมียวอี้จับน่องไก่ยัด หวงฝู่สุดสวยที่คนอื่นเคยเห็นว่าสดใสมีสง่าราศีมาตลอด? เป็นเทพธิดาที่ผู้ชายคนไหนเห็นแล้วไม่ตกตะลึงบ้าง? เวลาเดินทางก็ยังต้องนั่งในเกี้ยว ไม่อย่างนั้นถ้ามีคนหันมองถี่ๆ ก็จะทำให้เป็นจุดดึงดูดความสนใจได้ง่ายๆ


เดิมทีใจข้าฝักใฝ่หาแสงจันทร์ แต่จนใจที่แสงจันทร์ส่องสว่างคูน้ำ ครั้งนี้นางถูกเหมียวอี้ทำให้เจ็บช้ำใจอย่างแท้จริงแล้ว เหมียวอี้ใช้ความเชื่อใจของนางมาหลอกใช้นางได้อย่างโหดร้าย ถ้าจะพูดแบบไม่น่าฟังหน่อยก็คือ ไม่สนใจความเป็นความตายของนาง นางพูดหลอกล่อให้กลุ่มคนของสมาคมร้านค้าเชิญเหมียวอี้มาร่วมงานเลี้ยง ทำเอากลุ่มคนของสมาคมร้านค้าติดกับดักจนหัวร่วงลงพื้น จะให้นางทนความรู้สึกนี้ได้อย่างไร หลังจากนี้นางยังจะมีหน้าไปพบใครได้อีก?


แกร๊ก! ประตูคุกเปิดออก หลังจากคำสั่งของผู้บัญชาการใหญ่ เป่าเหลียนก็เข้ามาในคุกใต้ดิน


โจวหราน อูหันซานและอวี้ซวีเจินเหรินได้ยินเสียงแล้วเดินไปที่ริมห้องขังเพื่อมองดูทางเดินข้างนอก แต่หวงฝู่จวินโหรวไม่ขยับไปไหน นั่งโง่ๆ อยู่ที่เดิมอย่างเหม่อลอย ราวกับไม่เห็นอะไรสักอย่าง


มองข้ามสายตาที่เต็มไปด้วยความหวังของโจวหรานและอูหันซาน เป่าเหลียนเดินมาถึงห้องที่ขังอวี้ซวีเจินเหรินไว้ พอโบกมือให้สัญญาณเล็กน้อย ผู้คุมก็ก้าวขึ้นมาเปิดประตูคุกทันที


อวี้ซวีเจินเหรินก้าวออกมาจากประตูคุก แล้วมองเป่าเหลียนอย่างสงสัยพร้อมถามว่า “นี่คือ?”


“หลังจากเป่าเหลียนร้องขอความเมตตาต่อผู้บัญชาการใหญ่ ผู้บัญชาการใหญ่ก็ตอบตกลงที่จะปล่อยอาจารย์ปู่ไป เพียงแต่ว่า ตอนนี้ยังคลายผนึกวรยุทธ์ให้อาจารย์ปู่ไม่ได้ ศิษย์แจ้งให้ศิษย์พี่ที่สำนักมารอรับอยู่ข้างนอกแล้วเจ้าค่ะ หลังจากออกไปแล้วค่อยคลายผลึกก็ยังไม่สาย” เป่าเหลียนตอบ


“อ้อ!” อวี้ซวีเจินเหรินขานตอบ ในใจเขาเข้าใจดี ว่าผู้บัญชาการใหญ่เห็นแก่ไมตรีเก่า บวกกับที่ตัวเองเป็นเพียงตัวประกอบของสมาคมร้านค้า ไม่เคยทำเรื่องผิดใดๆ ต่อผู้บัญชาการใหญ่หนิว ไม่อย่างนั้นแล้ว ถ้าดูจากเหตุการณ์ที่หัวคนมากมายร่วงลงพื้น เกรงว่านั่นคงจะไม่ใช่สิ่งที่เป่าเหลียนขอร้องแล้วจะปล่อยผ่านไปได้ เขาจึงพยักหน้าแล้วออกไปทันที


เมื่อเห็นเป่าเหลียนเดินผ่านหน้าไป โจวหรานก็รีบโบกมือตะโกน “แม่นางเป่าเหลียน ไม่ทราบว่าผู้บัญชาการใหญ่คิดจะลงโทษพวกเราอย่างไร?”


เป่าเหลียนส่ายหน้า อูหันซานจึงตะโกนถามอีกว่า “แม่นางเป่าเหลียน รบกวนบอกผู้บัญชาการใหญ่ด้วย ว่าข้าอูหันซานไม่เคยล่วงเกินผู้บัญชาการใหญ่เลยตั้งแต่ต้นจนจบ! ผู้บัญชาการใหญ่ได้โปรดเมตตาปราณีเพื่อเห็นแก่หน้าแม่ทัพภาคโค่วเหวินหลานด้วย!”


เป่าเหลียนพยักหน้า บอกใบ้ว่าจะช่วยพูดให้ แล้วไม่ได้พูดอะไรมากอีก


เดินจากทางเล็กๆ มาจนถึงประตูใหญ่ของตำหนักคุ้มเมือง เมื่อเห็นทหารสวรรค์กำลังสร้างประตูตำหนักที่พังทลายใหม่ อวี้ซวีเจินเหรินก็ถามอย่างแปลกใจว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”


“ก่อนหน้านี้ผู้บัญชาการใหญ่เพิ่งจะโดนนักพรตบงกชรุ้งลอบสังหารที่ประตู” เป่าเหลียนตอบ


นักพรตบงกชรุ้ง? อวี้ซวีเจินเหรินตกใจทันที “ผู้บัญชาการใหญ่ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”


“ผู้บัญชาการใหญ่ไม่เป็นอะไร ส่วนมือสังหารโดนผู้บัญชาการใหญ่ยิงตายแล้ว สถานการณ์โดยละเอียดเป็นยังไง อาจารย์ปู่กลับไปถามศิษย์พี่ก็จะรู้เอง ตอนนี้ศิษย์ยังไม่สะดวกจะพูดอะไร!” ขณะที่พูดเป่าเหลียนก็หยิบเครื่องมือออกมาเปิดใช้งานค่ายกล พอเปิดทางออกแล้ว ก็เชิญอาจารย์ปู่ออกไป


ตอนที่อวี้ซวีเจินเหรินเดินออกมาจากประตูตำหนัก ก็ย่อมมองเห็นสภาพเหตุการณ์ที่มีเลือดนองอยู่เต็มพื้น ถึงแม้ตอนที่เขาถูกจับมาก่อนหน้านี้จะได้เห็นภาพศพเกลื่อนพื้น ภาพเลือดไหลนองเป็นแม่น้ำกับตาตัวเองแล้ว ถึงแม้ตอนนี้จะไม่เห็นศพ แต่กลับยังทำให้เขาอกสั่นขวัญแขวนอยู่ดี อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้น


พอเดินลงจากบันไดสูงของตำหนักคุ้มเมืองมาแล้ว ก็มีศิษย์ของสำนักลมปราณวิ่งเข้ามาทันที มองสำรวจศีรษะจรดเท้าพร้อมถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ แล้วช่วยเขาคลายผนึกวรยุทธ์บนร่างกายออก


“รีบไป ไม่อนุญาตให้อยู่ตรงนี้นาน!” ทหารยามตรงหน้าประตูตะโกนบอก


พอพวกเขาเดินไปที่อีกด้านหนึ่งของถนน อวี้ซวีเจินเหรินถึงได้ถามกลุ่มลูกศิษย์ว่า “ได้ยินว่าผู้บัญชาการใหญ่โดนลอบสังหารเหรอ เรื่องเป็นยังไงกันแน่?”


“เฮ้อ! ท่านอาจารย์ ตอนนั้นน่าหวาดเสียวเกินไปจริงๆ…” ลูกศิษย์หลายคนผลัดกันเล่าภาพเหตุการณ์ในตอนนั้นให้ฟังทันที


“เฮ้อ!” หลังจากฟังจบ อวี้ซวีเจินเหรินก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ในที่สุดก็เข้าใจเจตนาของเป่าเหลียนแล้ว รู้แล้วว่าทำไมถึงไม่ให้เขาคลายผนึกวรยุทธ์ตอนอยู่ที่ตำหนักคุ้มเมือง เพราะกำลังกังวลว่าจะมีคนลอบสังหารผู้บัญชาการใหญ่อีก เขาหันกลับไปมองที่ตำหนักคุ้มเมืองอีกครั้ง นึกถึงในปีที่เหมียวอี้ยังอยู่ที่สำนักลมปราณ ตอนนั้นเหมียวอี้บริสุทธิ์ไร้เดียงสามากในสายตาเขา พอมาคิดดูตอนนี้ ขนาดวิธีการต่ำช้าอย่างการวางยาพิษยังทำได้ แล้วยิ่งฆ่าคนแบบไม่กะพริบตา ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า “ผู้บัญชาการใหญ่เปลี่ยนไปแล้ว วงการขุนนางเหมือนถังย้อมผ้าขนาดใหญ่จริงๆ ด้วย! ไปกันเถอะ!” พูดจบก็กวักมือเรียกกลุ่มลูกศิษย์กลับไป


หลังจากกลับไปแล้ว เป่าเหลียนก็ถ่ายทอดคำพูดของอูหันซานให้เหมียวอี้รู้


เหมียวอี้ที่อาบน้ำหวีผมเสร็จแล้วสดชื่นไปทั้งตัว กำลังเอนกายเงียบๆ อยู่บนเก้าอี้โยกใต้เพิงเถาวัลย์ พอได้ยินดังนั้นก็ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วสุดท้ายก็โบกมือบอกว่า “ปล่อยให้หมดก็ได้! ปล่อยไปให้หมดสามคน”


เดิมทีเขาอยากจะกดดันให้โจวหรานกับอูหันซานเขียนจดหมายยอมรับผิด พอมาคิดดูตอนนี้ก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นแล้ว


ไม่นานเป่าเหลียนก็กลับมาที่คุกใต้ดิน นำคำสั่งถ่ายทอดลงมา


โจวหรานกับอูหันซานรีบออกไป หัวของกลุ่มผู้จัดการร้านค้าตกลงพื้นที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท ตอนถูกจับมาถึงตำหนักคุ้มเมืองก็เห็นภาพอันโหดร้ายน่าสังเวชใจ แค่คิดก็กลัวแล้ว ใครจะกล้าอยู่นาน กลัวว่าเหมียวอี้จะเปลี่ยนใจ


หลังจากประตูคุกห้องที่อยู่ข้างในสุดเปิดออก หวงฝู่จวินโหรวกลับคุกเข่าอยู่นิ่งๆ ในมุม ไม่มีท่าทีว่าจะออกไปเลยสักนิด แม้แต่หน้าก็ไม่เงยขึ้นมา


เป่าเหลียนจำเป็นต้องเตือนอีกครั้งว่า “ผู้จัดการร้านหวงฝู่ ผู้บัญชาการใหญ่เมตตาปล่อยท่านไปเป็นกรณีพิเศษ”


“ข้าไม่ไป!” หวงฝู่จวินโหรวเหลือบตาที่แดงก่ำขึ้นมา พร้อมกัดฟันบอกว่า “ให้หนิวโหย่วเต๋อมาพบข้า!”


เป่าเหลียนจึงขมวดคิ้วบอกว่า “ผู้จัดการร้านหวงฝู่ ท่านอย่าได้คืบจะเอาศอก ถ้ายั่วโมโหผู้บัญชาการใหญ่จริงๆ เกรงว่าต่อให้ท่านอยากจะออกก็คงออกไปไม่ได้แล้ว ผู้บัญชาการใหญ่คงไม่ถือสาที่จะตัดหัวคนเพิ่มอีกสักคน”


หวงฝู่จวินโหรวไม่พูดอะไรแล้ว


จะไปหรือไม่ไปก็ตามใจ! เป่าเหลียนก็เริ่มหงุดหงิดแล้วเหมือนกัน ยังจะต้องให้ข้าคุกเข่าขอร้องเจ้าเชียวเหรอ นางโบกมือทันที บอกใบ้ให้ผู้คุมปิดประตูคุกอีกครั้ง แล้วหันตัวเดินออกไป


เพียงแต่เมื่อผ่านไปไม่นาน เหมียวอี้ที่ได้รับข่าวจากเป่าเหลียนก็มาด้วยตัวเองจริงๆ หลังจากยืนเงียบๆ อยู่หน้าประตูคุกใต้ดินครู่หนึ่ง ก็หันซ้ายหันขวาแล้วสั่งว่า “ออกไปให้หมด ถ้าข้าไม่อนุญาติก็ห้ามใครเข้ามาใกล้ตรงนี้”


“ขอรับ!” กลุ่มทหารยามเอ่ยรับคำสั่งแล้วถอยออกไป


เหมียวอี้ถือกุญแจเดินเข้ามาในคุกใต้ดินด้วยตัวเอง พอมาสุดทางเดินก็หยุดฝีเท้า เมื่อเห็นหวงฝู่คนสวยโดนขังอยู่ในคุกสกปรก เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอามือลูบจมูก อย่างไรเสียนี่ก็เป็นฝีมือของเขา


เห็นได้ชัดว่าหวงฝู่จวินโหรวคุ้นเคยกับเสียงฝีเท้านี้ นางเงยหน้าอย่างช้าๆ หลังจากแน่ใจแล้วว่าเป็นไอ้สารเลวนั่น นางก็ดวงตาแดงเป็นพิเศษราวกับได้เจอศัตรูคู่แค้น นางลุกพรวด เดินสองสามก้าวขึ้นมาข้างหน้า ใช้สองมือจับรั้ว แล้วสบตาอย่างโกรธแค้นเดือดดาล ถ้าไม่ใช่เพราะพลังอิทธิฤทธิ์โดนผนึกไว้และออกจากคุกไม่ได้ นางจะต้องพุ่งออกไปสู้ตายสักตั้งแน่นอน


เหมียวอี้เดินมาตรงหน้าประตูเล็กที่อยู่ข้างๆ เสียบกุญแจเข้าไปเปิดประตูคุก แล้วยื่นมือเชิญ “ผู้จัดการร้านหวงฝู่ได้รับความไม่เป็นธรรมแล้ว เชิญเถอะ!”


หวงฝู่จวินโหรวพุ่งออกมาทันที ใช้มือดึงคอเสื้อเหมียวอี้ พร้อมตะคอกอย่างโมโห “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้ากล้าหลอกใช้ข้าขนาดนี้เลยเหรอ!”


เหมียวอี้ย่อมรู้ว่านางหมายถึงอะไร เขาไม่กล้าขัดขืน เพียงกล่าวเสียงเรียบว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าจะหลอกใช้เจ้าได้ยังไง ใครก็รู้ว่าผู้จัดการร้านหวงฝู่ไม่ใช่คนโง่ จะทำเรื่องที่ล่วงเกินคนหมู่มากอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ได้ยังไง นอกเสียจากจะไม่อยากเป็นคนแล้วเท่านั้นแหละ ไม่ว่าใครก็ต้องคิดว่าข้าถือโอกาสใช้ประโยชน์จากคำแนะนำของเจ้า พอเป็นแบบนี้กลับเป็นข้าที่ช่วยเจ้าขีดเส้นความสัมพันธ์ของข้ากับเจ้าให้ชัดเจน อย่าโมโหไปเลย ไม่ว่าจะไปไหนก็อธิบายได้กระจ่างอยู่แล้ว”


ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น หวงฝู่จวินโหรวอึ้งทันที มีเรื่องแบบนี้อยู่จริงๆ ด้วย กลับเป็นตัวเองที่ถูกความโมโหทำให้เลอะเลือนจนเสียเวลาดื้อดึง แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าไม่ถูก ถ้าจะช่วยตนจริงๆ ทำไมไม่บอกเรื่องนี้ก่อนล่วงหน้า ถึงจะพูดชัดก็ยังเป็นการหลอกใช้ประโยชน์ นางประสาทเสียทันที สาดหมัดพุ่งเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง “สารเลว ยังกล้าพูดอีกว่าไม่ได้หลอกใช้ข้า ยังกล้ามาตบตาข้าอีก ข้าจะสู้ตายกับเจ้า!”


เหมียวอี้รีบคว้าข้อมือสองข้างขอนางไว้ “เลิกพาลหาเรื่องได้แล้ว”


“เจ้ากล้ารำคาญที่ข้าโวยวายเหรอ? ตอนที่นอนกับข้าไม่เห็นรำคาญแบบนี้บ้างล่ะ? พอทำเรื่องแบบนั้นเสร็จแล้วเจ้าก็แปรพักตร์ไม่รู้จักกัน หนิวโหย่วเต๋อ เจ้ามันเป็นสัตว์เดรัจฉาน!”


“ถ้าเทียบกับตอนนั้น ตอนที่เจ้านอนกับข้าเสร็จแล้วร่วมมือกับปีศาจโลหิตจะเอาชีวิตข้า ข้ากับเจ้าก็ยังห่างชั้นกันมากจริงๆ อย่างน้อยข้าก็ไม่เคยคิดที่จะเอาชีวิตเจ้าไม่ใช่เหรอ?”


หวงฝู่จวินโหรวรู้สึกผิดสามส่วนทันที ที่จริงตอนแรกที่ทั้งสองเกิดความสัมพันธ์ต่อกันนั้นกะทันหันเกินไป ระหว่างทั้งสองไม่ได้มีความผูกพันอะไรกันจริงๆ ตอนแรกนางก็ดูออกเช่นกัน ว่าไอ้สารเลวนี่มันนอนกับนางเพื่อความสนุกเฉยๆ ไม่ได้เห็นว่านางสำคัญเลย แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว เวลาผ่านไปนานจึงเกิดความผูกพัน มองอีกฝ่ายเป็นผู้ชายของตัวเองแล้วจริงๆ ใครจะคิดว่าเขายังจะจัดการกับตนแบบนี้


แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ออกแรงดิ้นรนมือสองข้างที่โดนเขาจับไว้ “สารเลว เจ้าไม่เคยมีข้าอยู่ในหัวใจเลย เจ้าเห็นข้าเป็นของเล่นที่จะมีหรือไม่มีก็ได้”


เหมียวอี้สะบัดแขนสองข้างของนางออกไป สะบัดจนนางเซถอยไปข้างหลังหลายก้าว แล้วชี้ไปข้างนอกพร้อมแสยะยิ้ม “ข้าไม่เห็นเจ้าสำคัญเหรอ? เจ้าเองก็เห็นภาพเหตุการณ์ที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท วิธีการที่เหมาะสมที่สุดของข้าก็คือฆ่าปิดปากพวกเจ้าไปให้หมด! แต่เพื่อเจ้าแล้ว เจ้ารู้รึเปล่าว่าข้าได้สร้างปัญหาให้กับตัวเองมากขนาดไหน? เพื่อที่จะปกป้องเจ้า ข้าถึงขนาดต้องปล่อยพวกโจวหรานไปเพื่อเป็นข้ออ้าง ที่ปล่อยพวกเขาไปเป็นเพราะกลัวว่าจะได้ปล่อยเจ้ากลับไปคนเดียว  กลัวว่ากลับไปแล้วเจ้าอาจจะอธิบายลำบาก เพื่อที่จะปกป้องเจ้า ข้ายอมแบกรับปัญหาใหญ่โตมาก เจ้ายังกล้าบอกอีกเหรอว่าข้าไม่เก็บเจ้าไว้ในหัวใจ? ต้องให้ข้าตัดหัวเจ้าก่อนใช่มั้ยเจ้าถึงจะพอใจ?”


หวงฝู่จวินโหรวอ้าปากค้าง ตะลึงเหม่ออยู่อย่างนั้น นางเองไม่ใช่คนโง่ สถานการณ์ของภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทเป็นอย่างที่เหมียวอี้บอกจริงๆ วิธีการที่ดีที่สุดคือฆ่าปิดปากทุกคน ถ้าปล่อยยนางกลับไปแค่คนเดียว นางกลับไปแล้วจะอธิบายได้ลำบากจริงๆ จะทำให้คนสงสัยได้ง่าย


สีหน้าโกรธแค้นบนใบหน้าหายไปในชั่วพริบตา ความรู้สึกอยุติธรรมในใจก็หายไปแล้วเช่นกัน ในใจกลับรู้สึกหวานชื่นอยู่บ้าง แต่ปากนางจะยอมพูดดีๆ ได้อย่างไร นางสะบัดแขนเสื้อและเดินกลับไปอยู่ในคุกเหมือนเดิม กลอกตามองบน ทำเสียงฮึดฮัด แล้วบอกว่า “เจ้าเห็นข้าเป็นอะไรไปแล้ว คิดจะจับก็จับ คิดจะปล่อยก็ปล่อยเหรอ? ถ้าวันนี้ข้าไม่ได้ระบายอารมณ์โกรธ ก็อย่าได้คิดว่าข้าจะออกไปจากที่นี่ง่ายๆ เจ้าตัดสินใจเอาเองแล้วกัน!”


เหมียวอี้เลิกคิ้วทันที “เจ้าจะไม่ออกไปจริงเหรอ?”


“ไม่ออก!”


“ข้าจะบอกเจ้าให้นะ แม่เจ้ามาหาเจ้า หวงฝู่ตวนหรงมารดาเจ้ามาด้วยตัวเองแล้ว กำลังรออยู่นอกตำหนักคุ้มเมือง เจ้าอยากจะให้นางเข้ามาถามด้วยตัวเองใช่มั้ยว่าทำไมเจ้าไม่ยอมออกไป?”


“หา!” หวงฝู่จวินโหรวที่ทำตัวเหมือนคนหน้าด้านลนลานทันที มารดาของนางคือตัวละครที่ร้ายกาจ ขนาดเขาเห็นแล้วยังต้องยอมจำนน ส่วนนางก็ทำตัวเหมือนหนูเจอแมวมาจนชินแล้ว รีบก้าวออกมาทันที แล้วถามอย่างกังวลว่า “แม่ข้ามาได้ยังไง?”


บทที่ 1280 น่ารังเกียจยิ่งกว่าโจรกบฎ!

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ข้าจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ? เจ้าถามข้า แล้วจะให้ข้าไปถามใคร?”


“เดี๋ยวกลับไปแม่ข้าต้องถามเรื่องที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทแน่นอน ข้าจะพูดยังไงดี?”


“เจ้าพูดไปตามความจริงก็พอแล้ว คนเห็นเยอะขนาดนั้นปิดบังไม่ไหวหรอก แต่ไม่ต้องบอกเรื่องที่เจ้าสมคบทำเรื่องไม่ดีกับข้าก็พอแล้ว”


“เชอะ! ผีน่ะสิที่สมคบทำเรื่องไม่ดีกับเจ้า” หวงฝู่จวินโหรวสบถด่า นางไม่กล้าให้มารดารอนาน ทิ้งเหมียวอี้เอาไปและออกไปแล้ว


พอออกจากคุกใต้ดิน เหมียวอี้ก็เรียกเป่าเหลียนให้ไปส่งนาง ขณะมองเงาหลังนางเดินออกไป เหมียวอี้ก็ยิ้มบางๆ ในปีนั้นตอนเจอหวงฝู่ตวนหรง ผู้จัดการใหญ่ร้านค้าสมาคมวีรชน เขาก็มองออกแล้วว่าหวงฝู่จวินโหรวกลัวมารดาที่สุด ดังนั้น…ยังคิดจะไม่ออกไปอีกเหรอ?


ร้านค้าสมาคมวีรชนเองก็มีคนรอข่าวอยู่นอกตำหนักคุ้มเมืองตลอด พอเห็นหวงฝู่จวินโหรวออกมา คนสองสามคนก็เข้ามาถามทันที “ผู้จัดการ ท่านไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”


“ไม่เป็นอะไร!” หวงฝู่จวินโหรวเหลียวซ้ายแลขวา แล้วถามอย่างกังวลเล็กน้อยว่า “แม่ข้าล่ะ? นางมาด้วยไม่ใช่เหรอ?”


“ผู้จัดการใหญ่?” คนงานคนหนึ่งงุนงง แล้วถามกลับว่า “ผู้จัดการใหญ่มาเหรอ?”


หวงฝู่จวินโหรวงงไปชั่วขณะ จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนอย่างฉับพลัน เข้าใจอะไรบางอย่างทันที หันขวับมองไปทางตำหนักคุ้มเมือง แล้วขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพึมพำว่า “สารเลว!”


นางยกกระโปรงเตรียมจะกลับไปคิดบัญชี แต่ใครจะคิดว่าทหารยามที่เฝ้าอยู่ตรงตีนบันไดจะยกอาวุธมาขวางตรงหน้านาง พร้อมเตือนว่า “ผู้จัดการร้านหวงฝู่ อย่าทำให้พวกเราลำบากใจเลย!”


“…” ใบหน้างามของหวงฝู่จวินโหรวค่ำเครียดลงในชั่วพริบตาเดียว ตอนนี้รู้ตัวแล้ว ไม่ว่าใครก็เข้ามาที่ตำหนักคุ้มเมืองไม่ได้ง่ายๆ อีก เมื่อออกมาแล้วอยากจะเข้าไปอีกก็เป็นเรื่องยากแล้ว สุดท้ายก็ยังตกหลุมพรางไอ้สารเลวนั่น!


สิ่งที่ทำให้นางเดือดดาลยิ่งกว่านั้นก็คือ ขนาดมุขที่เอาไว้หลอกเด็กสามขวบก็ยังเอามาหลอกนางได้ หรือว่าชาตินี้ตนจะตกอยู่ในกำมือไอ้สารเลวนั่นแล้ว…


ตำหนักสวรรค์ วังสวรรค์


ในศาลาที่อยู่ท่ามกลางเมฆหมอกไกลๆ มีเสียงระฆังทองที่บางครั้งก็ต่ำบางครั้งก็สูงแผ่วดังมาเป็นระยะ ได้ยินแล้วเหมือนได้ชำระล้างจิตใจ


ตำหนักดาราจักร สถานที่ควบคุมตะวันจันทราและฟ้าดิน เป็นจุดศูนย์กลางของตำหนักสวรรค์ บรรยากาศมงคลล่องลอยอยู่ด้านบน


บนหลังคาโค้งที่งดงามมีหงส์สีรุ้งบินวนคู่กัน ใต้เสาสูงของชายคาใต้ตำหนักอันงดงามประณีตมีมังกรพันอยู่


ในตำหนัก บนชั้นวางของที่ประณีตงดงามรอบด้าน หนังสือประหลาดโบราณซ่อนอยู่ที่นี่เป็นจำนวนเก้าในสิบ ฟ้าดินที่หมุนวนโผล่บนเพดานหลังคาในตำหนักราวกับภาพฝันมายา ตรงกลางระหว่างท้องฟ้าและผืนดินมีเก้าอี้ยาวโบราณตัวหนึ่ง ประมุขชิงที่สวมเครื่องแบบและมงกุฎนั่งอยู่ด้านหลัง ในมือกำลังอ่านแผ่นหยกแผ่นหนึ่ง


ตรงข้ามกัน ซือหม่าเวิ่นเทียนและเกาก้วนกำลังยืนอยู่เงียบๆ


“มีเท่านี้น่ะเหรอ?” ประมุขชิงที่เงียบอยู่นานเงยหน้าขึ้นถามซือหม่าเวิ่นเทียน


ซือหม่าเวิ่นเทียนพยักหน้า ” ตอนนี้ยังมีเท่านี้ขอรับ ร้านค้าสมาคมวีรชนของดาวเทียนหยวนส่งข่าวมาหนึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้ ตอนเพิ่งจะมาถึงตำหนักดาราจักรก็ได้ข่าวล่าสุดมา หวงฝู่จวินโหรว โจวหราน อูหันซานและอวี้ซวีนั้นถูกหนิวโหย่วเต๋อปล่อยตัวแล้ว ไม่ได้ประหารขอรับ!”


ประมุขชิงที่มีผมขาวและผมดำแซมกันทำสายตาเย็นเยียบ แล้วกล่าวช้าๆ ว่า “ข้าไม่ได้ถามเรื่องไร้สาระแบบนี้ กลุ่มข้าทาสที่โลภมากไม่รู้จักพอจนทำลายชื่อเสียงอันดีงามของตำหนักสวรรค์พวกนั้น จะตายก็ตายไปสิ ข้าถามว่ามือสังหารที่ลอบฆ่าผู้บัญชาการใหญ่ตัวแทนตำหนักสวรรค์คือใคร!”


ซือหม่าเวิ่นเทียนส่ายหน้า “หลังจากมือสังหารถูกหนิวโหย่วเต๋อฆ่าตาย ก็ถูกลูกน้องของเขาสับจนเละเป็นเนื้อบด ถ้าอยากจะรู้ว่าเป็นใครก็ค่อนข้างยากขอรับ มีความเป็นไปได้สูงว่าเบาะแสเดียวที่มีในตอนนี้จะเป็นสมบัติของมือสังหารที่อยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อ บางทีอาจจะพบเบาะแสอะไรได้นิดหน่อยขอรับ”


ประมุขชิงเงยหน้ามองเพดานที่เป็นดาราจักร “นอกตำหนักคุ้มเมือง ภายใต้การจับตาดูของคนมากมาย แต่ลอบสังหารผู้บัญชาการใหญ่ที่คุมอาณาเขตแทนตำหนักสวรรค์อย่างโจ่งแจ้ง ใจกล้าไม่เบาจริงๆ! เจ้าคิดว่าเป็นฝีมือใคร?”


“ตอบยากขอรับ มีความเป็นไปได้หลายอย่าง” ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบ


ประมุขชิงจ้องท้องฟ้าด้านบนพลางถามอย่างแปลกใจ “หนิวโหย่วเต๋อเพิ่งจะค้นยึดร้านค้าของผู้มีอำนาจไปหลายร้อยร้าน ทั้งยังสังหารข้าทาสของผู้มีอำนาจไปหลายร้อย เจ้าว่าจะเกี่ยวข้องกับขุนนางคนไหนในราชสำนักหรือไม่?”


“ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ก่อนที่ความจริงจะกระจ่าง ก็ไม่สะดวกจะตัดสินจริงๆ ขอรับ” ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบ


ประมุขชิงก้มหน้าอีกครั้ง แล้วกล่าวด้วยสายตาเย็นเยียบกดดัน “เจ้ามีหน้าที่สนใจทิศทางการเคลื่อนไหวของผู้มีอำนาจในราชสำนัก อย่าบอกนะว่าไม่พบความผิดปกติอะไรเลย?”


ซือหม่าเวิ่นเทียนกุมหมัดคารวะ “ตอนนี้ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีทิศทางการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติขอรับ”


ประมุขชิงเอียงหน้ามองเกาก้วน “เกาก้วน เจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องนี้?”


เกาก้วน “เพิ่งได้รู้เรื่องนี้จากซือหม่าเช่นกันขอรับ ข้าน้อยยังไม่รู้รายละเอียดแน่ชัด ไม่อาจตัดสินได้”


ซือหม่าเวิ่นเทียนบอกอีกว่า “ฝ่าบาท ข้าน้อยกลับรู้สึกว่าไม่น่าเป็นไปได้ที่ขุนนางใหญ่ๆ ในราชสำนักจะทำเรื่องแบบนี้ เรื่องนี้หนิวโหย่วเต๋อสร้างสถานการณ์ขึ้นเองรึเปล่า จะได้ทำให้ตัวเองพ้นจากภาวะลำบากที่ล้างเลือดตลาดสวรรค์ได้ง่ายๆ?”


ประมุขชิงเหล่ตาถาม “เจ้ากำลังหมายความว่า เขากำลังจงใจหาเรื่องตัวเอง จากนั้นก็หาตัวนักพรตบงกชรุ้งสักคนมาตายแทนเขาเพื่อกำจัดปัญหา? ทำให้สุดท้ายต้องล่วงเกินผู้มีอำนาจทั้งราชสำนักอีก จากนั้นอนาคตตัวเองก็ถูกทำลาย เวิ่นเทียน เจ้าว่าแบบนี้จะยุ่งยากหรือไม่ยุ่งยาก?”


“…” ซือหม่าเวิ่นเทียนพูดไม่ออก คิดในใจว่า ในเมื่อท่านดึงดันจะพูดแบบนี้ให้ได้ คิดไปในทางอื่น จะสงสัยทั้งคนในคนนอกให้ได้ เช่นนั้นข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว


“มีคนบอกว่าเขาสร้างคุณูปการ ข้าก็ชมว่าเขาสร้างวีรกรรมในการสู้รบภายใต้การเข่นฆ่าที่นองเลือด พอมีคนบอกว่าเขาทำงานอย่างยากลำบาก ข้าก็ชมว่าคนที่ติดตามข้าบุกยึดใต้หล้าก็ลำบากทำงานเหมือนกัน เมื่อมีคนต้องการความร่ำรวย ข้าก็ให้ความร่ำรวยกับพวกเขา เมื่อมีคนต้องการอำนาจ ข้าก็ให้อำนาจพวกเขา! ข้า หวังว่าพวกเขาจะสามารถพร้อมใจกันทำงานร่วมกับข้า ร่วมกันสร้างอาณาจักรที่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงตลอดกาล แต่ความเมตตาของข้าแลกได้อะไรกลับมาล่ะ? อ่อนแอไร้ความสามารถยังไม่เท่าไร ยังสามารถทุ่มเทกำลังความคิดบำรุงซ่อมแซมได้ แต่ตอนนี้เกรงว่าแม้แต่กติกาพื้นฐานก็มีบางคนรักษาไม่ได้แล้ว เหยียบย่ำกฎสวรรค์อย่างโจ่งแจ้ง ไม่รู้เชียวหรือว่านี่คือการทำลายรากฐานของตัวเอง? ไม่รู้เชียวหรือว่ากฎสวรรค์ที่สร้างไว้ก็เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของพวกเขา? คนประเภทนี้น่ารังเกียจยิ่งกว่าโจรกบฎเสียอีก!”


ปั้ง! ประมุขชิงตบโต๊ะลุกขึ้นยืน เดินวนรอบโต๊ะยาวออกมา เดินมาตรงหน้าเกาก้วน เอามือไขว้หลังสองข้าง เอนตัวมาข้างหน้าช้าๆ ใบหน้าแทบจะติดกับหน้าของเกาก้วน แล้วกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ทูตขวาเกา ถ้าไม่รู้ชัดก็ไปสืบ! เจ้าไปสืบด้วยตัวเอง ถ้าสืบเจอจริงๆ ว่าเกี่ยวข้องกับขุนนางใหญ่คนไหน ข้าก็ไม่อยากเห็นเขาอยู่ในราชสำนักอีก และยิ่งไม่อยากได้ยินคำพูดร้องขอความเมตตาไร้สาระด้วย ถือคำสั่งของข้าไประดมพลจับกุมได้เลยประหารเก้าชั่วโคตร! ข้าต้องการให้กำจัดทั้งร่างกายทั้งวิญญาณไปเก้าชั่วโคตร อย่าได้ผุดได้เกิดอีกตลอดไป!”


“น้อมรับคำสั่ง!” หลังจากเกาก้วนกุมหมัดรับคำสั่ง ก็ถามอีกว่า “ฝ่าบาท! เรื่องร้านค้าหลายร้อยถูกค้นยึด ต้องสืบด้วยหรือไม่ขอรับ?”


“เรื่องที่แบ่งให้อยู่ใต้อำนาจราชินีสวรรค์ ก็ให้ราชินีสวรรค์จัดการเอง!”


ตำหนักนารีสวรรค์ บนตึกศาลา ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กำลังยืนพิงระเบียงชมทิวทัศน์อันงดงามในสวน


เอ๋อเหมย หญิงรับใช้ประจำตัวรีบขึ้นมาบนตึก เข้ามาใกล้แล้วกระซิบบอกด้วยเสียงต่ำ “พระนาง เป็นอย่างที่คาดไว้เพคะ ฝ่าบาทรีบเรียกทูตซ้ายทูตขวาเข้าไปในตำหนักดาราจักร จากนั้นทูตขวาเกาก็รีบร้อนออกไป”


“เกาก้วน…” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้ยินแล้วใช้สมาธิครุ่นคิดพักหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจแล้วบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ช่างไม่เกรงกลัวปัญหาความยุ่งยาก ทำไมไม่ได้รับบทเรียนยาวๆ เสียบ้าง หรือคิดว่าตัวเองเป็นอมตะฆ่าไม่ตายหรือไง? จบเรื่องหนึ่งก็สร้างอีกเรื่องหนึ่ง ทั้งยังก่อเรื่องใหญ่ขึ้นด้วย เหมือนกลัวว่าฝ่าบาทจะไม่รู้ว่าเขาชื่อเสียงโด่งดังอย่างนั้นแหละ เขาไม่กลัวความยุ่งยาก แต่ข้ากลัวความยุ่งยาก เฮ้อ! มีอนาคตที่ดีรออยู่แล้วแท้ๆ แต่กลับไม่เห็นคุณค่า เป็นจอมก่อเรื่องแบบนี้แล้วใครจะกล้าใช้งานเขาล่ะ? ถ้ารู้แต่แรกคงปล่อยเขาไปให้สิ้นเรื่อง แค่นักพรตบงกชทองเล็กๆ คนเดียว ข้าจะเก็บเขาไว้ทำไมกัน”


“ตอนนี้กลายเป็นเผือกที่ร้อนลวกมือแล้ว ทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ให้ตกเป็นที่ต้องสงสัยแทบไม่ทัน เกรงว่าส่งให้ใครก็คงไม่มีใครกล้ารับแล้ว” เอ๋อเหมยกล่าว


“ตอนนี้ยังไม่ต้องสนใจเขา กลับไปถามเจตนาฝ่าบาทก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ขณะที่พูดเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็มองไปรอบๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “ไปบอกท่านพ่อว่าเรื่องนี้ฝ่าฝืนข้อห้ามแล้ว ฝ่าบาทให้เกาก้วนเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้แล้ว! รีบให้เขาไปถามพวกลูกน้อง ดูว่าในบ้านมีใครทำมั้ย ถ้าเกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยโห้วจริงๆ ก็ต้องรีบแก้ไขเรื่องนี้ให้สะอาดแซงหน้าทูตขวาเกา ส่วนเรื่องลอบสังหารที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทอะไรนั่นก็ลือออกไปจนทั่วแล้ว ตรงกับช่องโหว่นี้พอดี ตระกูลเซี่ยโห้วต้องแสดงท่าทีและจุดยืนให้ชัดเจน!”


“เพคะ!”


“แล้วอีกอย่าง นางตัวดีที่มาใหม่นั่น อาศัยว่าหน้าตาสวยเข้าหน่อยก็ได้ค้างอยู่กับฝ่าบาทหลายคืน ไม่รู้จักฝ่าสูงแผ่นดินต่ำ ได้ยินสนมหลี่บอกมา ว่านางอยากจะคลอดโอรสสวรรค์ให้ฝ่าบาท เชอะ! ได้ยินว่าตระกูลของนางตัวดีนั่นได้หน้าได้ตามาก งั้นก็บอกให้ท่านพ่อช่วยดูแลสักหน่อยแล้วกัน ข้าก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าลูกสาวที่มีความผิดจะคลอดโอรสสวรรค์ให้ฝ่าบาทได้ยังไง!”


“จะจำไว้เพคะ!”


ดาวหยกงาม จวนอ๋องสวรรค์ หอสามรากฐาน ที่ด้านหลังโต๊ะยาวตัวหนึ่ง อ๋องสวรรค์โค่วหลิงซวีที่เป็นหนึ่งในสี่อ๋องสวรรค์กำลังพิงเก้าอี้หลับตาพักผ่อน


โค่วเจิง โค่วฉิน โค่วเหมี่ยนสามพี่น้องยืนก้มหน้าด้วยท่าทางจริงจัง ไม่รู้ว่าการที่ท่านพ่อมายังหอสามรากฐานกะทันหัน แถมหลังจากเรียกพวกเขาสามพี่น้องมาแล้วก็หลับตาพักผ่อนแบบนี้หมายความว่าอย่างไร


หลังจากศึกษาเจตนาของบิดาอย่างละเอียดแล้ว โค่วเจิงที่เป็นพี่ใหญ่ก็ถามหยั่งเชิงว่า “ท่านพ่อมาที่นี่เพราะเรื่องที่หนิวโหย่วเต๋อโดนลอบสังหารหรือขอรับ?”


อ๋องสวรรค์โค่วยังคงหลับตาไม่พูดอะไร สามพี่น้องมองหน้ากันเลิกลั่ก ทำได้เพียงเงียบงัน


ผ่านไปไม่นาน ผู้เฒ่าถังพ่อบ้านที่ติดตามรับใช้อ๋องสวรรค์โค่วมาตลอดก็มาถึง เดินตรงมาข้างกายอ๋องสวรรค์โค่วที่กำลังหลับตา แล้วรายงานเบาๆ ว่า “นายท่าน ทางวังสวรรค์ส่งข่าวกลับมา ว่าทูตซ้ายทูตขวาเข้าไปที่ตำหนักดาราจักร จากนั้นเกาก้วนก็รีบร้อนออกไปแล้วขอรับ”


“ฝ่าฝืนข้อห้ามแล้วล่ะสิ!” ในที่สุดอ๋องสวรรค์โค่วก็ลืมตาขึ้น นั่งตัวตรงแล้วถามว่า “เรื่องลอบสังหารไม่เกี่ยวกับตระกูลโค่วของพวกเราใช่มั้ย?”


ลูกชายทั้งสามคนสบตากันแวบหนึ่ง แล้วโค่วเจิงที่เป็นพี่ใหญ่ก็ตอบว่า “ท่านพ่อ ความสัมพันธ์ของเรากับหนิวโหย่วเต๋อดีมาตลอด เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ถึงแม้หนิวโหย่วเต๋อจะจับคนของร้านเราไป แต่ก็เป็นแค่ฟ้าร้องเสียงดังที่เกิดฝนตกนิดเดียว เรียกได้ว่าตระกูลโค่วไม่ได้เสียหายอะไรเลยสักนิด พวกเราจำเป็นต้องลงมือกับเขาด้วยเหรอ?”


อ๋องสวรรค์โค่วพยักหน้า “ข้าเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน กลัวก็แต่ลูกน้องเบื้องล่างที่โลกทัศน์แคบจะอยากแสดงความจงรักภักดี ต้องตรวจสอบไว้สักหน่อย ถ้ามีเรื่องอะไรจะได้อุดรูรั่วได้สะดวก ต้องรีบทำเรื่องนี้ให้เหมาะสมนำหน้าเกาก้วน ไอ้สารเลวเกาก้วนนั่นมันไม่ไว้หน้าข้าหรอก ไม่คุ้มที่จะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่”


โค่วเจิงกล่าวว่า “พอเกิดเรื่องขึ้น ข้าก็ถามทุกคนที่อยู่ในจวนทันที ตระกูลเราไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริงๆ ตราบใดที่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับจวนตระกูลโค่ว ส่วนขุนนางระดับล่างลงไป ต่อให้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริงๆ แต่ก็สาวมาไม่ถึงตระกูลโค่วอยู่ดี เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด เดี่ยวกลับไปลูกจะตรวจสอบทั้งจวนซ้ำให้แน่ใจอีกรอบ”


จู่ๆ โค่วฉินที่เป็นลูกชายคนรองก็ถามว่า “ท่านพ่อ ท่านว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะหนิวโหย่วเต๋อจงใจเตรียมการลอบสังหารไว้เองรึเปล่า จะได้หลุดพ้นจากปัญหานี้?”


โค่วเจิงที่เป็นพี่ใหญ่บอกว่า “เรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าเตรียมการลอบสังหารไว้จริงๆ คงไม่เกิดเหตุการณ์ที่มือสังหารทิ้งกำไลเก็บสมบัติเอาไว้หรอก ทำให้ตายแบบไม่มีหลักฐานอะไรเลยถึงจะปลอดภัยที่สุด ตอนนี้ทุกคนกำลังจับจ้องไปที่กำไลเก็บสมบัติวงนั้น นี่ไม่ใช่การจงใจสร้างปัญหาให้ตัวเองหรอกเหรอ คงไม่ใช่เขาที่เตรียมเรื่องนี้เอง”


โค่วฉินพยักหน้าเบาๆ เขาเข้าใจแล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)