ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 1278-1285

 บทที่ 1278 วิกฤตการณ์ของหอยพิษ

 

ตามหลักแล้วอาหารเย็นของแม่ฉินสือโอวจะเป็นกับข้าวเจ็ดอย่างซุปสองอย่าง ที่ฟาร์มปลานั้นมีคนอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งบางครั้งพวกชาวประมงก็จะวิ่งเบียดกันมาเอาข้าว ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำไว้เยอะๆ


ส่วนฉินสือโอวที่อยากจะใช้เวลาอยู่กับพ่อและแม่ให้ได้มากที่สุด เขาไม่อยากที่จะให้แม่มาจัดเตรียมกับข้าวให้ เพราะปกติแล้วเขาก็ทำกับข้าวเองอยู่แล้ว และแน่นอนว่าเขาไม่ทำกับข้าวเยอะขนาดนี้ มากสุดก็แค่สี่อย่าง หรือทำข้าวหม้อใหญ่หรือไม่ก็เพิ่มเมนูเนื้อย่าง เพื่อจะได้สะดวกและประหยัดเวลา


แม่ของฉินสือโอวทำไก่ตุ๋นเห็ดหอม ผัดผักกาดขาวใส่พริก ไก่ผัดพริก ไก่เส้นผัดเห็ดหอม ผัดสามเซียน ฟักผัดกุ้งแห้ง เนื้อทอด ส่วนซุปก็เป็นซุปเต้าหู้หัวปลากับซุปเห็ดหอมเนื้อวัว


นอกจากนี้วินนี่ยังเอาไก่ย่างซอสฮาวายเอี้ยนหนึ่งตัวและสเต๊กเนื้อวัวจานใหญ่หนึ่งจานกลับมาจากในเมือง ซึ่งอาหารหลักนั้นคือพิซซ่าที่มีกลิ่นอายรสชาติหลากหลายสไตล์ ผสมผสานระหว่างจีนและยุโรปทำให้ดูเป็นอาหารจานหรูที่เข้ากันเป็นอย่างมาก


ตอนที่รับประทานอาหาร วินนี่ไม่รีบมานั่งที่โต๊ะ ฉินสือโอวจึงตะโกนเรียก “ที่รัก ทานข้าวได้แล้ว”


วินนี่จึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่ค่อยสบายใจว่า “พวกคุณทานกันไปก่อนเลย เดี๋ยวฉันขอชงนมให้เสี่ยวเถียนกวาก่อนนะคะ”


เห็นได้ชัดเลยว่าวินนี่มีเรื่องอยู่ภายในใจ และที่ชัดไปกว่านั้นก็คือเรื่องงาน


ฉินสือโอวนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อเช้านี้วินนี่ดูรีบร้อนออกไป ฉินสือโอวจึงเข้าไปถามว่า “บอกผมมาที่รัก เมื่อเช้าคุณเจอเรื่องอะไรที่ทำให้ไม่สบายใจหรือเปล่า?”


เขาเดาว่าสิ่งที่กวนใจวินนี่อยู่คือเรื่องเมื่อเช้านี้


วินนี่ทั้งชงนมให้ลูกไปพลางทั้งพูดไปพลางว่า “อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คุณไปกินข้าวก่อนเถอะค่ะ”


ฉินสือโอวดึงตัววินนี่มาตรงหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรที่ไม่สบายใจ คุณบอกสามีคนนี้ได้ สามีคนนี้จะช่วยคุณแก้ปัญหาเอง คุณไม่เชื่อใจสามีที่ทำได้ทุกอย่างคนนี้แล้วเหรอ?”


เมื่อเห็นท่าทางที่จริงจังของฉินสือโอว วินนี่จึงยิ้มอย่างอบอุ่นออกมาและพูดว่า “เกิดเรื่องขึ้นกับนักท่องเที่ยวนิดหน่อยค่ะ มีคนออกทะเลไปกับชาวประมงในตอนเช้าตรู่ สุดท้ายถูกหอยพิษทำร้ายเข้าให้”


เมื่อชงนมเสร็จวินนี่จึงลองเช็กอุณหภูมิก่อนจะส่งให้ลูกสาว เสี่ยวเถียนกวากอดขวดนมขวดใหญ่ไว้และทำแก้มป่องดื่มนมเข้าไป


เมื่อได้ยินว่ามีหอยพิษทำร้ายคน ฉินสือโอวก็รีบถามขึ้น “หอยพิษอะไรเหรอ? เหตุการณ์เป็นอย่างไรล่ะ?”


วินนี่กล่าว “เป็นหอยเต้าปูนชนิดหนึ่ง โชคดีที่หมอโอดอมที่เป็นหมอเฉพาะด้านนี้เห็นเข้าพอดี มิเช่นนั้นแล้วคงจะเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นในครั้งนี้เข้าให้จริงๆ ดูเหมือนว่าบริเวณรอบๆ ทะเลจะค่อนข้างอันตราย คุณกับพวกชาวประมงต้องระวังตัวกันด้วยนะ”


ในโลกตอนนี้ชนิดสายพันธุ์ของหอยที่จดขึ้นทะเบียนแล้วมีประมาณหนึ่งแสนสายพันธุ์ ไม่เพียงแต่มีหอยที่งดงามล้ำค่าและหอยเชลล์ที่รสชาติแสนอร่อย แต่ยังมีหอยพิษจำนวนหนึ่งที่สามารถหลั่งสารพิษออกมาได้ อีกทั้งสายพันธุ์มีอยู่ไม่น้อย มากกว่าพันสายพันธุ์เลยทีเดียว


และหอยพิษที่พบเจอได้บ่อยที่สุดก็คือหอยสังข์ หอยลิ้นจี่และหอยเต้าปูนที่วินนี่พูดถึง โดยเฉพาะหอยเต้าปูน แม้ภายนอกจะดูสวยงามอีกทั้งดูเหมือนหอยเต้าปูนจะมีพลังดึงดูดน่าหลงใหลเป็นอย่างมาก หากมีคนพบเห็นแล้วใช้มือจับขึ้นมาคงยุ่งยากเป็นแน่


สายพันธุ์ของหอยเต้าปูนเป็นหนึ่งในหอยพิษที่พบเจอมากที่สุด ซึ่งตอนนี้ที่มีการพบเจอมากกว่าห้าร้อยสายพันธุ์ ส่วนยอดปลายแหลมของพวกมันได้ซ่อนปากเล็กๆ อันหนึ่งไว้ ซึ่งด้านในนั้นมีเข็มพิษสามารถที่จะปล่อยพิษได้จากตรงนี้ ซึ่งเพียงแค่หนึ่งมิลลิกรัมก็สามารถทำให้คนตายได้


แต่เรื่องที่หอยเต้าปูนทำร้ายคนที่แคนาดายังมีค่อนข้างน้อย ฉินสือโอวเองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน เนื่องจากหอยเต้าปูนส่วนใหญ่แล้วจะอาศัยอยู่ที่ทะเลเขตร้อน ซึ่งพบเจออยู่บริเวณแถบมหาสมุทรอินเดียไปจนถึงบริเวณทะเลไห่ผิงเป็นจำนวนมาก ส่วนมหาสมุทรแอตแลนติกโดยเฉพาะทางตอนเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติกจะมีค่อนข้างน้อย


แต่มีน้อยก็ใช่ว่าจะไม่มี ครั้งนี้จึงได้มีคนโชคร้าย


ฉินสือโอวจึงถามวินนี่เกี่ยวกับลักษณะสายพันธุ์ของหอยเต้าปูนที่ทำร้ายคน วินนี่ส่ายหัวแล้วพูดขึ้นว่า “ตอนนี้คนเจ็บยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เลยยังบอกลักษณะรูปพรรณสัณฐานไม่ได้ อีกอย่างตอนนี้ก็ยังไม่ได้สติดี รู้แต่เพียงว่าพิษของหอยชนิดนี้ที่โดนพ่นเข้าไปเป็นสารพิษที่ส่งผลต่อระบบประสาท”


พ่อแม่ฉินสือโอวฟังที่ทั้งสองคนคุยกันก็รู้สึกกลัวขึ้นมา จึงพูดกำชับกับฉินสือโอวว่า “เสี่ยวโอว เวลาที่พวกลูกออกทะเลก็ต้องระวังให้มากขึ้นนะ อย่าให้โดนสิ่งนี้กัดเข้าให้ล่ะ”


วินนี่จึงพูดปลอบใจทั้งสองคนว่า “ไม่ต้องห่วงนะคะ หอยพิษชนิดนี้มีน้อยมาก ตอนเช้าหนูหาข้อมูลไปบ้างแล้ว จากบันทึกสถิติโลกเรื่องที่หอยพิษทำร้ายคน ตอนนี้ที่ถูกบันทึกไว้มีแค่ 38 รายเท่านั้น”


แต่เธอไม่ได้บอกคนแก่ทั้งสองคนว่า ใน 38 รายนี้เสียชีวิตไปเกือบครึ่ง แถมยังเป็นอัตราการเสียชีวิตที่สูงที่สุดอีกด้วย


ดังนั้นจะว่าไปแล้ว ดวงของนักท่องเที่ยวคนนี้ถือว่าดีมาก ที่สามารถรอดจากเงื้อมมือของหอยเต้าปูนมาได้ หรือจะพูดได้อีกอย่างก็คือพญายมราชใจดีที่ไว้ชีวิตเขาก็ว่าได้


เชอร์ลี่ย์พยักหน้าและพูดขึ้น “โรงเรียนของเราก็มีการประกาศเตือนออกมาว่า ช่วงนี้ไม่อนุญาตให้พวกเราเข้าใกล้ทะเล พี่วินนี่คะ ทางในเมืองมีการจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรเหรอคะ?”


วินนี่ที่กำลังทานซุปอยู่จึงพูดขึ้นว่า “ก็ต้องรายงานให้กับภาครัฐและกรมเจ้าท่า พี่ทำรายงานส่งไปแล้วล่ะ รอเพียงพวกเขาส่งผู้เชี่ยวชาญออกมาสำรวจและจัดการแก้ไข”


ฉินสือโอวจึงพูดขึ้น “รอรัฐบาลงั้นเหรอ? ฮ่า งั้นคงต้องรอไปอีกยาว ช่วงนี้คาดว่าชายหาดคงถูกปิดล้อมแล้วใช่ไหม? พวกคุณชี้แจงกับบริษัททัวร์และนักท่องเที่ยวว่าอย่างไรบ้างล่ะ?”


โครงการท่องเที่ยวของเหล่านักท่องเที่ยวถูกกำหนดเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว สาเหตุที่การท่องเที่ยวที่เกาะแฟร์เวลเป็นที่นิยมมากขนาดนี้ เป็นเพราะว่ามีจิตสำนึกทางการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก อย่างพ่อค้าแม่ขายที่จะเข้ามาบนเกาะก็ต้องได้รับการตรวจสอบและยอมรับจากรัฐบาล พร้อมทั้งยอมรับคำร้องเรียนของนักท่องเที่ยว


ดังนั้นการมาเที่ยวที่เกาะแฟร์เวลจึงไม่มีการหลอกลวง ไม่มีการบังคับขาย และไม่มีการซื้อขายของปลอม เพราะที่นักท่องเที่ยวจ่ายไปนั้นคือเงินทองจริงๆ จึงอยากได้ความสุขที่เป็นของจริงสมน้ำสมเนื้อ


อีกทั้งเส้นทางท่องเที่ยวเกาะแฟร์เวลก็เป็นเส้นท่องเที่ยวที่สำคัญมากของชายหาดทางตอนเหนือของประเทศที่สะอาด ซึ่งถ้าหากปิดล้อมชายหาด งั้นก็เท่ากับว่ารัฐบาลในเมืองเล็กทำผิดสัญญา จึงต้องดำเนินการชดเชยเงินให้กับนักท่องเที่ยว


ที่วินนี่กลัดกลุ้มก่อนหน้านี้ก็คือเรื่องนี้ ซึ่งรายการการชดเชยก็ใช่ว่าจะน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่ตามมายังมีนักท่องเที่ยวอีกเกือบสิบกลุ่มที่ยังรอขึ้นเกาะมาเที่ยว ซึ่งพวกเขาก็ได้เซ็นสัญญาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถ้าหากมีการชดเชยก็ต้องมีส่วนได้ด้วยเช่นกัน


“เมื่อไม่มีวิธีที่จะชี้แจงได้ ก็ทำได้เพียงชดเชยค่าเสียหายนั่นแหละค่ะ” วินนี่พูดขึ้นด้วยความรู้สึกหดหู่เศร้าใจ


ฉินสือโอวยิ้มออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็ได้ยื่นมือไปจับปอยผมที่อยู่ตรงหน้าผากของวินนี่ขึ้นแล้วพูดว่า “กินข้าวดีกว่า ส่วนเรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของผม พรุ่งนี้ผมจะพาคนไปเอาหอยพิษออกมาเอง”


ซึ่งที่จริงแล้วไม่จำเป็นต้องหาหอยพิษออกมาทั้งหมด ใครจะไปรู้ว่าริมชายหาดนั้นมีหอยพิษอยู่จำนวนเท่าไหร่? เพียงแค่หาได้ตัวเดียวก็สามารถบอกผลได้แล้ว สำหรับฉินสือโอวแล้วเรื่องนี้ง่ายนิดเดียว


แต่ทว่าวินนี่ก็ยังรู้สึกอดเป็นห่วงไม่ได้ จึงพูดขึ้นว่า “หรือว่าจะรอผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงดี? เพราะว่าสิ่งนี้มีพิษ”


ฉินสือโอวยิ้มอย่างมั่นใจ “คุณก็รู้ว่า หอยเต้าปูนจะไม่จู่โจมเองโดยธรรมชาติ สมรรถภาพทางกายของพวกมันแย่มาก ถึงผมหามันเจอ แต่แค่ไม่ไปจับมันด้วยมือเปล่าก็ถือว่าปลอดภัยแล้ว”


วินนี่ก็ยังไม่ยอมที่จะให้เขาไปเสี่ยงอันตรายอยู่ดี พ่อและแม่ของฉินสือโอวก็เช่นเดียวกัน แต่นี่ก็เป็นปัญหาเรื่องงานของวินนี่ จึงได้แต่สนับสนุนเธอ และทำได้เพียงแค่กำชับกับลูกอย่างกังวลว่าให้ระวัง


พอทานข้าวเย็นเสร็จ ฉินสือโอวออกไปเดินเล่นรอบหนึ่ง แต่คาดไม่ถึงว่าบริเวณเขตทะเลของฟาร์มปลาสาธารณะจะเจอหอยเต้าปูน ถ้างั้นน่านน้ำอื่นๆ เองก็คงไม่ปลอดภัย แต่ที่เขาไม่เข้าใจก็คือว่า หอยเต้าปูนเหล่านี้มาจากที่ไหนกัน?


นี่เป็นเรื่องด่วนที่ต้องจัดการในทันที เขาคิดไปไกลและซับซ้อนกว่าวินนี่มาก


แต่ในประวัติของเกาะแฟร์เวลไม่มีสถิติการค้นพบหอยเต้าปูนเลย อีกทั้งเหตุการณ์นี้ไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันได้  ซึ่งแน่นอนว่า หอยเต้าปูนที่อยู่ในช่วงวางไข่ ไข่ของมันที่พัดไปตามกระแสน้ำจะสามารถแพร่พันธุ์ไปได้ทั่วทุกสารทิศ


แต่ตัวอ่อนของพวกมันจำเป็นต้องอยู่ในทะเลเขตร้อนที่อบอุ่นจึงจะสามารถมีชีวิตรอด แต่อุณหภูมิของน้ำในมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือสำหรับตัวอ่อนแล้วค่อนข้างเย็น ทำให้ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้


ดังนั้นเขาจึงเดาไว้ในใจว่า หอยเต้าปูนเหล่านี้เป็นของคนงานที่นำมาปล่อยเอาไว้ใกล้กับเขตทะเลแฟร์เวล หรือจะมีผู้ไม่หวังดีต้องการทำลาย!


ขณะเดินอยู่บนชายหาด จิตสำนึกแห่งโพไซดอนก็ออกตระเวนไปทั่วทั้งสี่ทิศ ในขณะเดียวกันเขาได้ออกคำสั่งให้บอลหิมะ ไอซ์สเกตและบีนช่วยกันค้นหา

 

 

 


บทที่ 1279 ลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ

 

พอได้รับคำสั่งของฉินสือโอวแล้ว เหล่าลูกๆ ฉลามวาฬทั้งสามก็ดีใจและพร้อมปฏิบัติหน้าที่ในทันที


แต่บอลหิมะเข้าไปใกล้แถบชายฝั่งไม่ได้ เพราะจากลูกวาฬเบลูกามาถึงตอนนี้ได้กลายเป็นวาฬเบลูกาโตเต็มวัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ลำตัวมีความยาวถึงสี่เมตรครึ่ง และทั้งตัวก็มีแสงระยิบระยับแวววาว เปล่งประกายเผยถึงรูปโฉมงดงามเพียงหนึ่งเดียวในทะเล


นอกจากเหล่าเด็กๆ ฉลามวาฬทั้งสามแล้ว ฉินสือโอวยังส่งกองทัพนักฆ่าที่ไม่ได้ใช้งานมานานอย่างกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีออกไปด้วย


คำสั่งที่เขาได้ให้ไว้กับกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีคือ ให้เคลื่อนที่จากบริเวณริมชายฝั่งของฟาร์มปลาสาธารณะมุ่งสู่ส่วนที่ลึกลงไปของมหาสมุทร ระหว่างทางหากเจอหอยพวกนั้นก็ให้ทุบให้แตกและกินพวกมันให้สิ้นซาก!


ถ้าไม่ใช่ว่าที่เกาะประสบปัญหากับเรื่องหอยพิษ ฉินสือโอวก็คงจะคิดไม่ออกว่าเขาสามารถสั่งให้เหล่ากั้งตั๊กแตนเจ็ดสีไปจัดการได้ เพราะพวกมันชอบทุบหอยให้แตกจากนั้นก็จับกินจนหมด อย่างตอนที่อยู่ในฟาร์มปลาพวกมันก็คอยทำลายหอยที่ฉินสือโอวเลี้ยงอยู่ทุกๆ วัน


ในฟาร์มปลาต้าฉินไม่ว่าจะเป็นปลากุ้งปูต่างก็มีอยู่จำนวนมาก จะมีก็แต่หอยที่มีอยู่น้อยมาก ด้วยเพราะการอาศัยอยู่ในแหล่งธรรมชาติเพียงลำพังจะทำให้การสืบพันธุ์ลดลงและไม่สามารถขยายสายพันธุ์ให้แพร่กระจายออกไปได้


และหนึ่งในสาเหตุที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์นี้ ก็คือการที่เหล่ากั้งตั๊กแตนเจ็ดสีเจริญอาหาร เนื่องจากตลอดทั้งวันตั้งแต่เช้าจนค่ำพวกมันไม่ทำอะไร คอยแต่จะกวาดล้างบริเวณใต้ท้องทะเลที่อยู่แถบชายฝั่งของฟาร์มปลา คอยแต่จะทุบหอยและกินพวกมันจนหมด!


ไปจนถึงกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีที่เจริญอาหารเหล่านั้นสามารถที่จะขุดเอาหอยงวงช้างขึ้นมาจากโคลนทะเลได้ ฉินสือโอวก็จนปัญญาแล้วจริงๆ กินกันเก่งเสียเหลือเกิน


ในขณะที่ส่งให้ลูกน้องออกไปช่วยหา ฉินสือโอวการก็ได้ส่งจิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกไปค้นหาตามแนวเลียบชายฝั่งทั่วทั้งสี่ทิศ


จิตสำนึกแห่งโพไซดอนที่แผ่ขยายปกคลุมน่านน้ำใหญ่พอจนทำให้การเคลื่อนไหวรวดเร็วตามไปด้วย แต่บริเวณแถบชายฝั่งทะเลของเมืองเล็กๆ ยาวมาก หนึ่งชั่วโมงครึ่งผ่านไปเขาก็ยังไม่สามารถค้นหาจนทั่วได้


เวลาเช่นนี้ทำให้เห็นว่ายิ่งคนเยอะก็ยิ่งมีกำลังในการค้นหาเยอะตามไปด้วย อีกทั้งยังเป็นบีนที่เจอหอยเต้าปูนก่อนหนึ่งตัว จากนั้นพอเห็นจิตสำนึกแห่งโพไซดอนก็เลยพาเขาว่ายเข้าไปดู


โลมาปากขวดเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่ชอบออกกำลังกายเป็นอย่างมาก ในทุกๆ วันบีนจะว่ายเตร็ดเตร่อยู่บริเวณรอบๆ ทะเล ซึ่งตรงส่วนนี้ก็ถือเป็นอาณาเขตของมันอยู่แล้ว ดังนั้นสำหรับหอยเต้าปูนแล้วมันจึงสามารถหาพวกมันเจอได้ก่อนใครเพื่อน


แต่อย่าดูที่ไอคิวของโลมาปากขวด เพราะในบางด้านไอคิวของพวกมันก็สูงเทียบเท่าไอคิวระดับเด็กอายุสิบสองขวบ โดยเฉพาะบีนที่ดูดซับพลังโพไซดอนมามากขนาดนั้น นับว่ามีไอคิวค่อนข้างสูงทีเดียว


เมื่อตามบีนไป ฉินสือโอวจึงเจอหอยเต้าปูนตัวหนึ่งในทันที


หอยตัวนี้มีความยาวประมาณสิบเซนติเมตร กระดองแข็ง ใหญ่และหนัก กระดองหอยของมันเป็นรูปทรงกรวย ยอดเกลียวไม่สูง สีพื้นเป็นสีขาว ส่วนภายนอกของหอยมีลายจุดสีดำน้ำตาลกระจายเต็มไปหมด ประกอบกับมีลายเส้นตรงแนวดิ่งสั้นๆ


ฉินสือโอวจึงนำโทรศัพท์มือถือออกมาค้นหาในอินเทอร์เน็ต หลังจากนั้นจึงแน่ใจตัวตนของมันว่าเป็นหอยเต้าปูนลายเสือ หอยเต้าปูนลายเสือเป็นสายพันธุ์ที่พบเจอมากที่สุด ซึ่งพิษของมันอยู่ในระดับกลาง


ตอนที่เขาพบเจอหอยตัวนี้ มันกำลังจับเหยื่อที่เป็นปลาหมึกขนาดเท่าฝ่ามือตัวหนึ่งที่ค่อยๆ ว่ายเข้าไปใกล้หอยเต้าปูน เนื่องจากลวดลายของหอยชนิดนี้มีความซับซ้อน ทำให้สิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรจำนวนมากเข้าใจผิดนึกว่าเป็นหินโสโครกเลยจะมาหลบอาศัย


หลังจากปลาหมึกขนาดเล็กเข้าไปใกล้หอยเต้าปูนลายเสือ หอยเต้าปูนลายเสือตัวนั้นก็ค่อยๆ ยื่นอวัยวะที่เป็นเหมือนลูกศรอันหนึ่งออกมา ซึ่งก็คือแรดูลาที่มันใช้เวลาจู่โจม


ภายในตัวของหอยเต้าปูนมีพิษ ซึ่งสารพิษนั้นจะถูกลำเลียงผ่านหลอดพิษและส่งไปยังส่วนที่เป็นแรดูลาที่สามารถพ่นสารพิษเข้าไปในเหยื่อได้โดยตรง


แต่หอยเต้าปูนจะไม่จู่โจมไปทั่ว เนื่องจากแรดูลาของมันเมื่อใช้ไปหนึ่งครั้งพิษในครั้งนั้นก็จะหมดไป จึงจำเป็นต้องแน่ใจว่าจะต้องเอาชีวิตเหยื่อได้สำเร็จ พวกมันถึงจะลงมือ มิเช่นนั้นมันก็จะหิวอยู่ช่วงหนึ่ง


จึงไม่ต้องสงสัยเลย ปลาหมึกน้อยตัวนี้ถือเป็นอาหารชั้นยอด หอยเต้าปูนรอให้มันเข้ามาใกล้บริเวณแรดูลา จากนั้นแรดูลาที่อ่อนนุ่มก็จะยืดตรงออกมาทันที หลังจากที่ปลาหมึกน้อยโดนเข้าก็จะขาดออก แล้วแรดูลาก็จะไปฝังอยู่ในตัวของปลาหมึกน้อย


ปลาหมึกน้อยตกใจ มันกำลังจะว่ายน้ำหนีไปทางด้านหลัง แต่พิษก็ออกฤทธิ์แล้ว ทำให้มันขยับตัวไม่ได้หลังจากนั้นก็ตาย


พิษของหอยเต้าปูนเป็นสารพิษประเภทโปรตีน มีพิษต่อระบบประสาทคล้ายกับพิษของงูจงอาง


สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเมื่อถูกกัดและรับพิษเข้าไป จะทำให้มีอาการอักเสบบวมแดง บาดแผลจะมีอาการแสบร้อนก่อน ไปจนถึงมีอาการชา หลังจากนั้นถึงค่อยๆ แพร่กระจายไปทั่วร่างกาย ทำให้แขนขาไม่มีแรง กล้ามเนื้อปลายประสาทชา จิตใจอ่อนแรง จากนั้นก็จะค่อยๆ สลบไป แล้วตายในที่สุด ซึ่งสาเหตุนั้นก็มาจากกล้ามเนื้อหัวใจไม่มีแรง นี่จึงเป็นเหมือนกับพิษของงูจงอาง


แต่ปลาและกุ้งขนาดเล็กที่เป็นสัตว์ลำตัวอ่อนนุ่มเมื่อถูกกัดเข้าไป จะไม่แสดงอาการมากขนาดนี้ แต่จะชาและตายไปเลย เหมือนกับปลาหมึกน้อยตัวนี้!


หลังจากหอยเต้าปูนลายเสือจู่โจมสำเร็จ ฉินสือโอวใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนทำเครื่องหมายไว้บนตัวของมัน เพื่อที่ว่าพรุ่งนี้มาหาก็จะง่ายขึ้น


จากนั้นเขาก็ค้นหาต่อทันที โดยใช้หอยเต้าปูนลายเสือตัวนี้เป็นจุดศูนย์กลางในการมองไปรอบด้าน ไม่นานก็เจอหอยเต้าปูนลายเสืออีกสี่ห้าตัวอย่างรวดเร็ว


หอยเต้าปูนลายเสือเหล่านี้กระจายตัวอยู่ในบริเวณรัศมีประมาณสองร้อยกว่าตารางเมตร เป็นที่ดำรงชีวิตที่นับว่าเป็นจุดศูนย์รวมมากที่สุด


และพอเขาหาต่อไปข้างหน้าก็ค้นพบหอยเต้าปูนชนิดอื่นตัวหนึ่ง


หอยเต้าปูนชนิดนี้งดงามมาก ลักษณะคล้ายกับขวดแก้วเซรามิกเล็กๆ ขวดหนึ่ง สีของพื้นกระดองเป็นสีขาวบริสุทธิ์ แต่ภายนอกมีลายจุดสีน้ำตาลแดงที่ซับซ้อนมาก แถมผิวสัมผัสของกระดองยังลื่นเป็นเงางดงาม มองดูแล้วทำให้รู้สึกดึงดูดอย่างกับขวดที่งดงามประณีต


หอยเต้าปูนชนิดนี้ค่อนข้างเป็นที่รู้จักมาก มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่าหอยเต้าปูนขนนกแดง ความยาวสูงสุดสามารถยาวได้ถึงยี่สิบสี่เซนติเมตร แต่ถ้าหากความยาวเกินสิบเซนติเมตรจะมีมูลค่ามาก สามารถประมูลราคาได้ถึงหนึ่งแสนสองแสนหยวนได้เลยทีเดียว


สำหรับหอยเต้าปูนขนนกแดงที่มีความยาวถึงยี่สิบเซนติเมตร ราคาก็คงต่ำกว่าหอยนมสาวทะเลยักษ์ที่ฉินสือโอวเลี้ยงไว้ไม่เท่าไร


แต่หอยเต้าปูนขนนกแดงชนิดตัวนี้ไม่ได้มีมูลค่ามากมายขนาดนั้น เพราะมันมีความยาวเพียงห้าถึงหกเซนติเมตร หอยชนิดนี้สามารถพบเห็นได้ทั่วไป ในตลาดปลาสวยงามจ่ายเพียงไม่กี่ร้อยหยวนแคนาดาก็สามารถซื้อได้แล้ว


ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ราคาของหอยเต้าปูนขนนกแดงทั้งหลายตกต่ำ ก็คือพวกมันมีพิษ โดยปกติแล้วคนไม่ยินยอมที่จะเพาะเลี้ยงพวกมัน มิเช่นนั้นก็คงจะสามารถเพิ่มราคาขึ้นมาได้อีกระดับหนึ่งอยู่


หลังจากที่ค้นพบหอยเต้าปูนขนนกแดง ฉินสือโอวก็ยังคงค้นหาต่อไป แล้วเขาก็เจอเข้ากับหอยเต้าปูนลายเสืออีกจำนวนหนึ่ง เช่นนี้จึงทำให้เขาสันนิษฐานเบื้องต้นว่าหอยเต้าปูนเหล่านี้ต้องมีคนนำมาปล่อยไว้เป็นแน่


ถ้าพูดถึงว่าตัวอ่อนของหอยเต้าปูนขนนกแดงถ้าบังเอิญลอยตามกระแสน้ำมายังเขตทะเลของเกาะเล็กๆ นี้ ก็พอจะน่าเชื่ออยู่ แต่ขณะเดียวกันถ้าพูดว่ามีทั้งหอยเต้าปูนลายเสือและหอยเต้าปูนขนนกแดงลอยตามกระแสน้ำมาคงจะเป็นไปไม่ได้


นอกจากนี้ หากฉินสือโอวกระจายวางหอยแต่ละชนิดไว้เป็นจุดๆ โดยเมื่อสามจุดนั้นเชื่อมต่อกันก็เกือบจะเป็นเส้นตรง และเส้นตรงเส้นนี้ก็เชื่อมกันไปยังท่าเรือของเกาะพอดี!


เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเดาได้ไม่ยากจริงๆ น่าจะมีคนโดยสารเรือข้ามฟากหรือขับเรือมาเองเข้ามาใกล้บริเวณหมู่เกาะแล้วสาดหอยพิษเหล่านี้มาด้วยเจตนาร้าย ด้วยใจที่คิดอยากจะทำลายธุรกิจการท่องเที่ยวบนเกาะแฟร์เวล


ฉินสือโอวเดาถึงเพียงแค่นี้ ทั้งนี้อาจจะมีมือมืดที่คอยอยู่เบื้องหลังซึ่งหากพูดไปก็จะไม่เป็นการดี หรือจะเป็นตระกูลมอร์รี่ หรือคนที่เขาเคยผิดใจอย่างพ่อแม่ของลินตัน วอเทอเรนซ์ หรืออาจจะเป็นใครที่คิดอิจฉาเศรษฐกิจของเมืองแฟร์เวลก็เป็นได้


แต่ถ้าจะพึ่งการเดาก็คงเดาไม่ออกอยู่ดีว่าเป็นใคร ฉินสือโอวจึงทำการค้นหาอีกครั้ง จนสุดท้ายก็เจอหอยเต้าปูนขนนกแดงสองตัวและหอยเต้าปูนลายเสืออีกสิบสี่ตัว


เขาเลยนำหอยเต้าปูนขนนกแดงกลับมายังฟาร์มปลาในเขตแนวปะการัง พร้อมกับบอกเหล่าลูกๆ ฉลามวาฬทั้งสามว่า ไม่ให้ไปก่อกวนพวกมันอีก หลังจากนั้นหอยเต้าปูนลายเสือทั้งสิบสี่ตัวก็ม้วนตัวไปอยู่ตามริมทะเล โดยกระจายตัวแบ่งกันไปอยู่สองที่ ทำให้ง่ายต่อการค้นหาในวันพรุ่งนี้


หลังจากนั้นเขาก็ไปที่ลำธารแคบบนเขาสูงเพื่อไปดูปลาไส้ตันฟลอริดา ซึ่งตัวเมียออกไข่แล้วเป็นที่เรียบร้อย ภารกิจของปลาตัวผู้เป็นอันประสบผลสำเร็จ ซึ่งแต่ละตัวก็อยู่ดีกินดีจนอ้วนท้วมสมบูรณ์


เห็นเช่นนี้แล้วฉินสือโอวเลยพาพวกมันกลับไปยังมหาสมุทร แต่ปลาเล็กยังคงต้องรอเวลาอีกสองเดือนถึงจะสามารถฟักไข่ได้ ส่วนปลาตัวเมียจะอยู่ในน้ำจืดนานไม่ได้

 

 

 


บทที่ 1280 ชำระก้นทะเลครั้งใหญ่

 

หลังจากลากเอาฝูงปลาไส้ตันกลับมาที่ฟาร์มปลาเวลาก็ไม่เช้าแล้ว ฉินสือโอวจึงตัดสินใจจะกลับไปนอน


เขาเดินเลียบไปตามชายหาด ส่วนด้านหลังของเขาก็เป็นฉงต้า หู่จือ เป้าจือ พี่น้องเฟอเรท ราชาซิมบ้า หลัวปอ ที่พากันส่งเสียงเอะอะเจี๊ยวจ๊าวหยอกล้อกันไปมาอย่างสนิทสนม


หลังจากพวกเพื่อนตัวเล็กสงบลง ฉินสือโอวก็หอมเข้าให้คนละฟอด และพอกลับมาถึงห้องนอนเขาก็หยิบเอาตะไบมาถูกระดองแมลงยักษ์สีดำและนำผงกระดูกป้อนต้าป๋าย สุดท้ายถึงค่อยเข้านอนได้


ในขณะที่กินอาหารเช้า เออร์บักยื่นหนังสือพิมพ์ที่อ่านอยู่ให้วินนี่ดูและพูดว่า “ข่าวแพร่ไปเร็วขนาดนี้ได้ยังไงกัน?”


ฉินสือโอจึงเขยิบเข้าไปอ่านข่าวด้วย ซึ่งมันคือสำนักหนังสือพิมพ์ ‘ข่าวเช้าเมืองเซนต์จอห์น’ ในส่วนของการรายงานข่าวด้านการท่องเที่ยว ได้นำเสนอข่าวใหม่ว่าเจอหอยพิษทำร้ายคนบนเกาะแฟร์เวลและเนื้อหาด้านข้างกันนั้นก็มีรูปภาพของหอยเต้าปูนลายเสือติดอยู่หนึ่งรูป พร้อมพาดหัวข่าว ‘นักฆ่าเขตร้อนปรากฏตัวแล้ว พวกมันมาได้อย่างไร’


วินนี่พูดพร้อมขมวดคิ้ว “ซวยแล้ว มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้สิ ข่าวนี้ถูกปิดไว้อย่างดี พวกสื่อไปรู้กันมาจากไหน?”


เชอร์ลี่ย์พูดเสริม “นั่นสิคะ อาจารย์และเพื่อนๆ ของเราต่างก็พากันเดาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทางโรงเรียนแจ้งเรามาแค่ว่าห้ามเข้าใกล้ชายหาด หลายคนก็พูดกันไปว่ามีสัตว์ประหลาดทะเลบ้าง มีเรือผีบ้าง ไม่มีใครคิดไปถึงว่าจะมีหอยพิษหรอก”


คนยิ่งอายุเยอะก็จะยิ่งฉลาด ม้ายิ่งอายุมากก็จะยิ่งคล่องแคล่วว่องไว กระต่ายยิ่งแก่ก็จะยิ่งโดนเหยี่ยวจับกินยาก จากข่าวนี้ เออร์บักวิเคราะห์ออกมาว่า “มีพวกผู้มีอำนาจอยู่เบื้องหลังหอยพิษนี้ ระวังกันหน่อยนะ วินนี่ มีคนคอยจ้องจะจัดการพวกเราอยู่”


ฉินสือโอวตบบ่าพวกเขาทั้งสองคนเบาๆ แล้วพูด “เรื่องนี้ต้องค่อยๆ ตรวจสอบ หอยพิษนั้นยกให้เป็นหน้าที่ผม วันนี้ผมจะต้องจับคนผิดมารับสารภาพให้ได้”


เขาพูดแล้วก็ขยิบตาให้วินนี่ “อย่าลืมนะว่าผู้ชายของคุณกินอะไรเป็นอาหาร กับอีแค่ไปดำน้ำหาหอยพิษมันจะไปยากอะไรล่ะ?”


หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จ เขาก็รวบรวมชาวประมงชายที่สามารถดำน้ำได้ไปที่ท่าเรือในเมือง ชาร์คที่กำลังตะโกนผ่านทางวิทยุติดต่อ และผู้คนจำนวนหนึ่งก็มาถึงพร้อมอุปกรณ์ดำน้ำ


เมื่อรู้ว่าพวกเขาจะดำน้ำหาหอยพิษ ดอน แพตตันที่เป็นหัวหน้าดูแลรับผิดชอบด้านการเก็บซากฟอสซิลขึ้นจากน้ำก็ส่งนักดำน้ำมาช่วยสมทบ นักดำน้ำเหล่านี้มีประสบการณ์การดำน้ำสูงระดับประเทศ การที่มีพวกเขาอยู่น่าจะช่วยได้มากทีเดียว


เมื่อฉินสือโอวมาถึงท่าเรือ ก็มีคนไม่น้อยที่รวมตัวกันรออยู่บนชายหาดอย่างคึกคักอยู่ก่อนแล้ว เขาและประชาชนส่วนใหญ่ต่างรู้จักกันดี ถึงไม่รู้จักแต่ก็คุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่ จึงกล่าวทักทายทุกคนมาตามทาง


แต่ทว่าในตอนที่เขาเดินไปบนชายหาด เขาก็สังเกตเห็นว่ามีกลุ่มเล็กๆ ที่ดูต่างออกไป พวกเขามีผิวสีน้ำตาลอ่อน ผมสีดำตาสีดำ จมูกโด่ง ใบหน้าเรียว ซึ่งดูแตกต่างจากคนที่อยู่บนเกาะนี้อย่างสิ้นเชิง


พอเห็นแบบนั้น ฉินสือโอวก็มีความรู้สึกว่าต้องระวังคนพวกนี้ไว้ เขาจึงดึงฮิวจ์มาถาม “คนพวกนั้นเป็นใครกัน? ทำไมฉันไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลยล่ะ?”


ฮิวจ์เหลือบมองไปแวบหนึ่งแล้วตอบ “คนเม็กซิกันน่ะ เพิ่งมาที่เกาะนี้ได้ไม่นาน เห็นว่ามาขายพวกผลิตภัณฑ์ประจำท้องถิ่นของเม็กซิโกน่ะ ทำไมเหรอ?”


ฉินสือโอวส่ายหัวและบอกว่าเขาเพียงแค่รู้สึกแปลกๆ ครั้งนี้ชัดเจนเลยว่าเกาะแฟร์เวลถูกคนใส่ร้ายและที่ดูจะเป็นไปได้ก็คือพวกเม็กซิกันเป็นคนทำ


วินนี่และฮานี่ย์พาคนของพวกเขามาและแซนเดอร์สก็มาด้วย เขาถูกว่าจ้างให้มาช่วยค้นหาเบาะแสของหอยพิษ พร้อมกับชี้แนะในเรื่องความปลอดภัย


ศาสตราจารย์ที่มีความรู้เชิงลึกในด้านนี้พูดว่า “ผมเจอกับคุณหมอโอดอมโดยบังเอิญ เมื่อวานนี้เขาได้แยกเนื้อเยื่อบาดแผลของนักท่องเที่ยวที่ได้รับบาดเจ็บ และดึงเศษแรดูลาที่เหลือออกมา หลังจากที่ผมทำการวิเคราะห์แล้ว เลยคิดว่าหอยเต้าปูนยังอยู่ในทะเล”


“ในสถานการณ์ทั่วไป เมื่อมันออกล่ามันจะฝังตัวเข้าไปในทราย โผล่เพียงจมูกขึ้นมา ไม่เพียงเพื่อเป็นการรับออกซิเจน แต่ยังใช้ในการเฝ้าสังเกตการณ์การเคลื่อนไหวของเหยื่อ”


“ดังนั้นการจะหาตัวมันจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก พวกคุณจะต้องมีความอดทนและคอยระมัดระวังตัว แรดูลาของมันสามารถยืดยาวได้หลายเซนติเมตรและแหลมคมมาก และแน่นอนว่าอย่าให้ผิวหนังสัมผัสกับพวกมันโดยตรงโดยเด็ดขาด”


“แต่ทุกคนไม่ต้องกังวลจนเกินไป ในบรรดาหอยเต้าปูนหลายๆ ประเภท เช่นหอยเต้าปูนประเภทที่กินปลาเป็นอาหารจะมีพิษร้ายแรงที่สุด ประเภทที่ล่าสัตว์ลำตัวนิ่มพิษจะไม่ร้ายแรงเท่าไร ส่วนประเภทที่จับแมลงทะเลเป็นอาหารจะไม่ถึงกับทำให้คนเสียชีวิตได้”


“หอยเต้าปูนลายเสือที่ล่าสัตว์ที่มีลำตัวนิ่มเป็นอาหาร พิษของมันจึงไม่ถือว่ารุนแรงมาก ถ้าหากพวกคุณพบเจอพวกมันแล้วต้องดูให้ดี ถ้ามันมีปากแคบ พิษก็จะค่อนข้างน้อย แต่ถ้าปากยิ่งกว้าง พิษจะยิ่งรุนแรง พวกคุณต้องระวังให้ดี”


หลังจากแซนเดอร์สให้ข้อมูลความรู้พื้นฐานทั่วไปเสร็จ ฉินสือโอวก็เกิดคำถามสะกิดใจและถามขึ้น “ศาสตราจารย์ คุณบอกว่าพวกมันมักจะซ่อนอยู่ในทรายงั้นเหรอ? แต่เมื่อวานจากที่ผมสอบถามจากนักท่องเที่ยวมา เขาบอกว่าเห็นมันอยู่บนพื้นผิวก้นทะเล นี่มันยังไงกันแน่ล่ะ?”


“ง่ายมาก จากสภาพการณ์แล้ว ถ้าไม่ใช่ว่าพวกมันกำลังเตรียมพร้อมที่จะผสมพันธุ์และวางไข่ พวกมันก็เพิ่งจะมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน” แซนเดอร์สตอบ


ได้ฟังอย่างนี้แล้ว ฉินสือโอวก็แน่ใจในการคาดเดาของตัวเองแล้ว เกาะแฟร์เวลโดนคนวางแผนจัดฉากใส่ร้ายอย่างแน่นอน


หลังจากรอจนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้นและอุณหูภูมิน้ำทะเลสูงขึ้นเล็กน้อย ฉินสือโอวก็พาชาวประมงและนักดำน้ำลงไปใต้น้ำ โดยพวกเขาเริ่มสำรวจไปจากตำแหน่งที่นักท่องเที่ยวได้รับบาดเจ็บ


เมื่อวานตอนกลางคืนฉินสือโอวเอาหอยเต้าปูนสิบสี่ตัวมาปล่อยไว้บริเวณรอบๆ แถวนี้ ดังนั้นในการค้นหาพวกมันจึงไม่ใช่เรื่องยาก และที่ใกล้ๆ กันนั้นก็มีคนดำน้ำอยู่สามสิบคน ค้นหาไปได้ไม่นานก็พบกับข่าวดี


ส่วนเขาไม่ได้ไปตำแหน่งที่ที่ค้นพบหอย เขาแค่ลอยไปลอยมาอยู่ใต้ท้องทะเล ชมทัศนียภาพใต้ท้องทะเลลึก


เนื่องจากรอบๆ ฟาร์มปลามีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ ฟาร์มปลาสาธารณะในเมืองเล็กๆ ก็มีปลาจำนวนไม่น้อย แต่สภาพการเติบโตของสาหร่ายทะเลและวัชพืชในน้ำค่อนข้างแย่ จึงเป็นเหมือนแค่ทางผ่านของพวกปลาทะเล พวกมันจะไม่ค่อยมาอยู่กันนานนัก


ดังนั้น ใต้ท้องทะเลของฟาร์มปลาสาธารณะจึงสะอาดขึ้นมาก เบื้องหน้าของเขามีเศษหินและเม็ดทรายที่ละเอียดเกลี้ยงเกลา ฉินสือโอวยื่นมือออกไปกำมันขึ้นมา ทรายเม็ดละเอียดก็ค่อยๆ ลอยไปตามสายน้ำ ดูแล้วสวยงามมาก


หลังจากอยู่ใต้น้ำกว่าครึ่งชั่วโมง ฉินสือโอวก็ขึ้นมาพักหายใจ เห็นชาร์ค บลู และคนอื่นๆ นั่งอยู่บนเรือและกำลังพูดคุยหัวเราะกันเสียงดัง พอเห็นท่าทางอวดดีของพวกเขา ก็รู้ได้เลยว่าพวกเขาค้นพบหอยเต้าปูนแล้ว


ฉินสือโอวลอยขึ้นมาจากน้ำได้ไม่ถึงสิบนาที ก็มีคนโผล่ขึ้นมาจากน้ำ พร้อมกับชูตาข่ายและตะโกนขึ้นด้วยความตื่นเต้น “ดูนี่สิพวกว่าฉันเจออะไร? หอยเต้าปูนหกตัวเลยนะ!”


ชาร์คก็หัวเราะและพูดขึ้น “ส่วนพวกเราเจอตั้งแปดตัว!”


ฉินสือโอวขมวดคิ้วและพูด “ทำไมมีเยอะขนาดนี้เนี่ย?”


พอได้ยินแบบนั้น ชาร์คก็คิ้วขมวดขึ้น “ตอนที่พวกเราเจอหอยเต้าปูนแปดตัวนี้ พวกมันอยู่บนผืนทราย ไม่ได้ซ่อนตัวเลยด้วยซ้ำ แถมยังมาอยู่รวมตัวกันอีก ผมเลยคิดว่าพวกมันน่าจะถูกคนเอามาปล่อยไว้ตรงนี้”


นักดำน้ำที่ในมือถือตาข่ายอยู่ก็พยักหน้าและพูด “เหมือนกัน ตอนที่ผมเจอพวกมันก็เป็นแบบนั้นเลย พวกมันไม่ได้ซ่อนตัวในทรายเลยแม้แต่น้อย แถมยังออกมาล่าสัตว์แบบโต้งๆ แบบนั้นอีกเลยด้วย”


จากนั้นคนอื่นๆ ก็เริ่มทยอยขึ้นจากน้ำกัน จากที่ปกติพวกเขาไม่เคยหาหอยเต้าปูนเจอ แต่ตอนนี้กลับเห็นพวกมันตั้งสองชุด


ชาร์คและนักดำน้ำขึ้นไปยังริมฝั่งเพื่อส่งมอบหอยเต้าปูนให้แก่แซนเดอร์ส ฉินสือโอวยังคงค้นหาต่อไป ที่เขาก็รู้อยู่แล้วว่ามันไม่มีแล้ว แต่คนอื่นไม่รู้ แล้วรับประกันได้เลยว่าถ้าจะเจอได้อย่างน้อยๆ ก็ต้องอยู่ใกล้ทะเลในระยะสองร้อยเมตร


ซึ่งถึงจะหาไปยังไงก็คงจะไม่เจออย่างแน่นอน

 

 

 


บทที่ 1281 วันพักผ่อน

 

ในการเก็บกวาดหอยพิษใช้เวลาไปถึงสองวัน และนักดำน้ำที่มาเข้าร่วมทีมเพิ่มทีหลังก็มากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีนักดำน้ำมืออาชีพสองคนจากนครเซนต์จอห์นและอีกหลายทีมมาเข้าร่วม รวมไปถึงแฮมเล็ตก็ยังให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่สำหรับเหตุการณ์นี้


สื่อมวลชนของเซนต์จอห์นที่คอยติดตามและรายงานเหตุการณ์นี้อยู่ตลอด ข่าวบนอินเทอร์เน็ตก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งส่วนมากจะเป็นข่าวที่ทำให้ชื่อเสียงของเมืองแฟร์เวลแปดเปื้อน โดยบอกว่าบริเวณรอบๆ ทะเลนั้นอันตราย วอนให้เหล่านักท่องเที่ยวคอยระมัดระวัง


แต่ที่ฉินสือโอวคิดก็คือไม่ว่าสื่อมวลชนพวกนั้นจะพูดกันอย่างไร ทางฝั่งเมืองแฟร์เวลก็ไม่ต้องไปโต้ตอบ คอยสืบหาความจริงของเรื่องนี้อย่างลับๆ และหาผู้กระทำผิดให้ได้ เมื่อถึงตอนนั้นค่อยมาย้อนเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ยังไม่สาย


ส่วนตอนนี้เขามีเป้าหมายแล้ว นั่นก็คือคนเม็กซิกันพวกนั้น คนพวกนี้มาที่นี่ได้ยังไม่ถึงสัปดาห์ เกาะแฟร์เวลก็เกิดวิกฤตการณ์หอยพิษพอดิบพอดี จะบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่มันก็จะไม่บังเอิญไปหน่อยเหรอ?


แต่วินนี่ไม่มีทางที่จะนำเอาความคิดเห็นของเขามาใช้ ส่วนเออร์บักก็บอกว่าเช่นนี้มันจะส่งผลกระทบและสร้างความเสียหายกับเมืองนี้เป็นอย่างมาก สิ่งที่สำคัญในตอนนี้คือการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของเมือง ไม่อย่างนั้นก็พูดตรงๆ ไปเลยว่าเมืองเล็กๆ นี้ถูกใส่ร้าย และหอยพิษพวกนี้ก็ไม่ใช่สัตว์ในท้องถิ่นอย่างแน่นอน


เมืองแฟร์เวลจัดงานแถลงข่าวถึงเหตุการณ์ในครั้งนี้ จากนั้นก็แถลงต่อสื่อมวลชนว่า พวกเขาได้ลงมือจัดการตรวจสอบความจริงของเหตุการณ์นี้ ถ้าหากว่าพบผู้กระทำผิด ก็จะนำมาฟ้องร้องดำเนินคดีในข้อหาฆาตกรรม


เมื่อฉินสือโอวดูงานแถลงข่าว ก็ได้แต่ส่ายหัวไปมาพร้อมพูด “แบบนี้มันแหวกหญ้าให้งูตื่นชัดๆ การจะหาตัวคนทำผิดนี่มันยากยิ่งกว่าอะไร”


วินนี่ตอบกลับอย่างจนปัญญา “แต่เดิมก็ยากอยู่แล้ว เรื่องที่ไม่มีที่มาที่ไปแบบนี้ ใครมันจะสามารถหาความจริงได้? แต่ตอนนี้ความจริงจะเป็นยังไงก็ไม่สำคัญแล้วล่ะ สิ่งที่สำคัญก็คือพวกเราต้องขัดขวางทำลายแผนร้ายของพวกมันให้ได้”


ฝั่งตรงข้ามต้องการที่จะทำลายกิจการการท่องเที่ยวของเมืองแฟร์เวล ดังนั้นหลังจากที่วินนี่และเออร์บักปรึกษาหารือกัน ก็ตัดสินใจแถลงการณ์ประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ ขอเพียงแค่มูลค่ารวมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยังไม่ลดลง แผนร้ายของอีกฝ่ายก็เท่ากับล้มเหลว


หลังจากฟังการวิเคราะห์ของทั้งสองคน ฉินสือโอวก็เข้าใจแจ่มแจ้ง


ถ้าทำตามความคิดเห็นของเขา ก็จะสามารถสาวไปถึงพวกที่อยู่เบื้องหลังได้ แต่ถ้าเจอแล้วจะทำยังไงต่อล่ะ? หรือจะส่งพวกมันเข้าคุก ถ้าเป็นแบบนั้นพวกมันคงไม่ทุกข์ร้อนอะไร แต่กิจการการท่องเที่ยวของเมืองเล็กๆ นี้คงขาดทุนย่อยยับเป็นแน่


การประชาสัมพันธ์โดยตรงนั้นอาจจะทำให้เรื่องนี้ยังไม่สามารถปิดคดีได้ แต่มันส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจของเมืองน้อยที่สุด และยังเป็นสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามไม่อยากเห็นมากที่สุด


นี่เป็นปัญหาของสถานการณ์โดยรวม ฉินสือโอวมองจากมุมมองของเขา ในขณะที่วินนี่มองจากมุมมองของเมืองเล็กๆ จึงเป็นการตัดสินใจขั้นสูงระหว่างทั้งสองฝ่าย


ฉินสือโอวต้องการให้ความจริงของเรื่องนี้ถูกเปิดเผยขึ้นอีกครั้ง เขาจึงให้เบิร์ดและนีลเซ็นคอยจับตามองพวกคนเม็กซิกันไว้ให้ดี เพื่อคอยจับพิรุธของพวกเขา


เบิร์ดและนีลเซ็นกลับมาหลังจากคอยจับตาดูอยู่สองวัน และกลับมารายงานถึงสิ่งที่พบ ซึ่งเป็นไปตามการคาดคะเนของฉินสือโอว ที่ว่าคนพวกนี้ไม่ได้มาที่เกาะนี้เพียงเพื่อขายสินค้าท้องถิ่น


ฉินสือโอวรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาทันที แต่เบิร์ดก็พูดต่อว่า “พวกเขามาที่นี่เพื่อจะมาเปิดบ่อนพนัน! พอผมไปถึงที่ที่พวกเขาอยู่ ก็พบกับอุปกรณ์พนันเต็มไปหมด แต่ยังไม่ได้เปิดกิจการ”


ฉินสือโอวนิ่งไปหลังจากได้ยินเช่นนั้น “เปิดบ่อนพนันงั้นเหรอ?”


ถ้าเป็นเช่นนั้น ถ้าพวกเม็กซิกันทำเช่นนั้นก็คงเปิดบ่อนลำบาก เพราะการเปิดบ่อนพนันนั้นจะต้องอาศัยนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ไม่ต้องสงสัยเลยว่ายิ่งเศรษฐกิจของเมืองพัฒนามากขึ้นและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวก้าวหน้าทันสมัยมากขึ้นเท่าไหร่พวกเม็กซิกันก็จะมีกำไรมากขึ้นเท่านั้น


ถ้าเป็นแบบนี้แล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่คนเม็กซิกันเหล่านี้จะอยู่เบื้องหลังของการทำลายธุรกิจการท่องเที่ยวของเกาะแฟร์เวล กลับกันพวกเขาก็คงหวังให้ธุรกิจท่องเที่ยวของเกาะแฟร์เวลเติบโตขึ้นเสียมากกว่า เพราะมันคงจะดีมากถ้าสามารถเจริญได้อย่างเกาะฮาวาย


แล้ววันหยุดสุดสัปดาห์ก็มาถึง ในคืนวันศุกร์ วินนี่บิดขี้เกียจและบอกว่าวันหยุดนี้จะไม่ไปทำโอทีแล้ว อยากพักผ่อนอยู่บ้านสักหน่อย


แล้วฉินสือโอวก็นึกถึงคำเชิญของเหมาเหว่ยหลงขึ้นมา และไหนจะสัญญาที่ให้ไว้กับผู้กำกับคาเมรอนอีก สองเรื่องนี้ติดอยู่ในใจเขาซึ่งก็ชัดเจนเลยว่าเรื่องของผู้กำกับใหญ่คาเมรอนนั้นย่อมสำคัญมากกว่า


แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เลือกที่จะไปเที่ยวเล่นกับเหมาเว่ยหลง เนื่องจากวินนี่เดินทางไปนิวยอร์กและไมอามีไม่ไหว เพราะมันไกลเกินไป ตอนนี้ดูท่าว่าภรรยาของเขามีอำนาจสูงสุด


ฉินสือโอวโทรศัพท์หาเหมาเหว่ยหลง หลังจากนั้นก็นั่งเฮลิคอปเตอร์ไปยังสนามบินเซนต์จอห์น และนั่งเครื่องบินต่อไปยังแฮมิลตัน หลังจากเครื่องลงจอด ก็มีรถกระบะของเหมาเหว่ยหลงจอดรอรับอยู่ที่นั่นแล้ว


เหมาเหว่ยหลงขับรถกระบะพังๆ คันนั้นของเขามารับ ที่ไม่รู้ว่าเป็นเชฟโรเลตรุ่นไหน แม้แต่วินนี่ที่เชี่ยวชาญในด้านนี้ก็ยังดูไม่ออก ที่รถคันนี้ยังสามารถขับได้ก็นับว่ายอดเยี่ยมมากจริงๆ


ของที่ทำโดยคนอเมริกันช่างทนทานจริงๆ หลังจากนั่งรถมาตามทาง คาดไม่ถึงเลยว่ารถกระบะพังๆ คันนี้จะยังสามารถแล่นได้ฉิว ด้วยความเร็วนั้นสามารถขับได้ถึงแปดสิบไมล์หรือหนึ่งร้อยยี่สิบแปดกิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้ฉินสือโอวถึงกับร้องตกใจไม่หยุด “โอ้โห แกขับช้าๆ หน่อยก็ได้โคโกโร่! รถพังๆ คันนี้ของแกเป็นแค่เชฟโรเลตนะไม่ใช่ปอร์เช่! ยังมีครอบครัวฉันอีกสามชีวิตอยู่บนรถแกด้วยนะเว้ย!”


เหมาเหว่ยหลงชำเลืองมองเขาแวบหนึ่งก่อนจะพูดว่า “ไอ้ขี้ขลาดตาขาวเอ๊ย ฉันก็ขับหนึ่งร้อยไมล์เป็นปกตินะเว้ย!”


หลังจากมาถึงฟาร์มอย่างปลอดภัย ฉินสือโอวก็รีบกระโดดลงรถอย่างรวดเร็วและถามออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “ถามหน่อย ทำไมแกไม่เปลี่ยนรถนี่ซะทีว่ะ? รถคันนี้แม่งโคตรเก่าเลย”


เหมาเหว่ยหลงถอนหายใจและตอบ “แกคิดว่าทุกคนจะรวยแล้วไร้สาระแบบแกไปหมดหรือไง? จริงๆ แล้วฉันตั้งใจรวบรวมเงินไว้ซื้อรถใหม่ แต่สุดท้ายก็กลายมาเป็นม้าอเมริกันควอเตอร์สี่ตัวไปซะได้ ดังนั้นเรื่องที่จะเปลี่ยนรถใหม่ก็คงต้องรอไปก่อน”


ฉืนสือโอวโบกมือไปมาและพูด “ถ้าแกชอบคันไหนก็แค่บอกฉันมา ฉันจะส่งมาให้แกซักคัน”


เนื่องจากงานกู้เหมืองทองที่น่านน้ำโซมาเลียเสร็จสิ้นแล้ว ขอเพียงแค่เรือที่บรรทุกหินแร่ทองคำกลับมาถึงอเมริกา ฉินสือโอวก็จะได้รับเงินหลายร้อยล้านเลยในทันที


ดังนั้นถ้าจะให้พูดตามจริงแล้ว รถคันละหลายหมื่นหลายแสน สำหรับฉินสือโอวนั้นก็เหมือนของเล่น


เหมาเหว่ยหลงส่ายหัวและหัวเราะ “ไม่ล่ะ ฉันอยากจะเก็บเงินด้วยตัวเอง…เออใช่ รถจี๊ปที่แกเคยให้ฉันจอดไว้อยู่ในบ้านนะ ฉันนี่มันโง่จริงๆ เฮ้อ รู้งี้ก็โทรให้เพื่อนช่วยจัดการเอารถมาเปลี่ยนให้ที่นี่ไปแล้ว”


ฉินสือโอวตะลึง “รถคันนั้น แกจอดไว้ในโรงรถที่บ้านตลอดเลยเหรอ? แน่ใจเหรอว่ายังขับได้อยู่น่ะ?”


แล้วเหมาเหว่ยหลงก็หัวเราะขึ้นมา ฉินสือโอวที่เพิ่งอยากจะด่าเขา ตอนนี้เองตั๋วตั่วก็รวบกระโปรงเจ้าหญิงวิ่งออกมา และมีพวกสุนัขอเมริกันบูลลี่ตัวใหญ่วิ่งตามเธอออกมาเป็นแถว ท่าทางเหิมเกริมดุร้าย


ฉินสือโอวนั่งยองๆ และอ้าแขนออก ตั๋วตั่วก็วิ่งเข้ามาในอ้อมแขนของเขา และริมฝีปากนุ่มนิ่มก็หอมลงบนแก้มของเขา นั่นทำให้ฉินสือโอมีความสุข


หลังจากที่ตั๋วตั่วหอมเขาเสร็จก็มองไปที่เสี่ยวเถียนกวาอย่างอยากรู้อยากเห็น จากนั้นพอยื่นมือออกไปจิ้มแก้มนุ่มฟูของเสี่ยวเถียนกวาไปมา แล้วก็หัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ


เดิมทีเสี่ยวเถียนกวาก็มองตั๋วตั่วและหมาเจ้าถิ่นของเธอด้วยความสงสัยอยู่แล้ว สุดท้ายพอถูกจิ้มมากๆ เข้าเสี่ยวเถียนกวาก็เริ่มไม่ชอบใจ จึงเริ่มส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ “ปะป๊า ปะป๊า ปะป๊า…”


เหมาเหว่ยหลงถามอย่างประหลาดใจ “ลูกสาวแกพูดได้แล้วเหรอเนี่ย?”


ฉินสือโอวหัวเราะชอบใจ “ตอนนี้เรียกได้แค่ปะป๊ามะม๊า ดังนั้นอาอย่างแกก็อย่าได้ฝันเลย”


เหมาเหว่ยหลงกลับไม่ได้พูดเล่นกับเขาต่อ แต่มองไปที่ตั๋วตั่วด้วยสายตาอ่อนโยน และไม่พูดอะไรออกมา


ทักษะการฟังของตั๋วตั่วฟื้นคืนสู่สภาพเดิม แต่อาการป่วยที่สูญเสียความสามารถในการพูดนั้นยังรักษาไม่หาย จนวันนี้ก็ยังไม่สามารถพูดได้


ฉินสือโอวก็เลยหุบยิ้ม การที่ตั๋วตั่วพูดไม่ได้นั้นทำให้เขารู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก เขาอยากลองให้พลังแห่งโพไซดอนแก่เธอซึ่งก็ไม่รู้เลยว่ามันจะได้ผลกับอาการป่วยหรือไม่


เหมาเหว่ยหลงพาพวกเขาเข้าไปในฟาร์ม ฉินสือโอวจงใจเปิดหัวข้อสนทนาและถามด้วยความคึกคัก “ม้าแข่งของแกอยู่ตรงไหนล่ะ? อ้อ ฉันหมายถึงม้าตัวนั้นที่พูดเมื่อถึงตอนกลางวัน”


เหมาเว่ยหลง “…”

 

 

 


บทที่ 1282 ร้านขายอุปกรณ์ขี่ม้า

 

ฉินสือโอวไม่เคยขี่ม้ามาก่อน ที่ประเทศบ้านเกิดของเขา การขี่ม้าถือเป็นกิจกรรมสำหรับผู้ดีตระกูลสูงศักดิ์ หลังจากที่เขาย้ายมาอยู่ที่แคนาดาก็อาศัยอยู่ที่เกาะแฟร์เวล ยิ่งไปกว่านั้นบนเกาะก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตประเภทม้าเลยสักตัว


ดังนั้นเขาจึงรู้สึกตื่นเต้นกับลานม้าของเหมาเหว่ยหลงอย่างมาก หลังจากที่มาถึงเขาก็ทักทายหลิวซูเหยียนที่กำลังตั้งท้อง พูดคุยกันอยู่ไม่กี่ประโยค ก็รบเร้าเหมาเหว่ยหลงให้พาไปดูม้า


เหมาเหว่ยหลงหัวเราะ “อย่าตั้งความหวังไว้สูงเกินล่ะ มันก็แค่ม้าอเมริกันควอเตอร์ธรรมดาๆ ไม่ใช่ม้าสายพันธุ์แท้อะไรแบบนั้น และฉันก็ไม่มีแรงจะทำความสะอาดพวกมัน เพราะงั้นอาจจะไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่นะ”


ฉินสือโอวโบกมือและพูด “พี่ชายก็แค่อยากลองอะไรใหม่ๆ วางใจได้เลย ฉันไม่ได้ตั้งความหวังอะไรขนาดนั้น ฉันรู้แค่ว่าฉันจะมาขี่ม้า ไม่ใช่มาขี่เสือ”


ทั้งคู่พูดคุยหัวเราะกันไปและเดินลัดฟาร์มไปยังโรงม้า ในนั้นเลี้ยงม้าไว้สี่ตัว ฉินสือโอวเดินเข้าไปพินิจพิเคราะห์พวกมันใกล้ๆ เขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับประเภทของม้าเลย เหมาเหว่ยหลงจึงแนะนำให้เขาฟังว่า ม้าพวกนี้คือม้าอเมริกันควอเตอร์


โดยในม้าสี่ตัวแบ่งเป็นม้าโตสองตัวและม้าเล็กอีกสองตัว โดยตัวโตจะมีสีดำและน้ำตาล ส่วนตัวเล็กจะมีสีขาวแดง ซึ่งสีของม้าทั้งสี่ตัวนั้นแตกต่างกันออกไป พวกมันไม่ได้มีสีเดียวแบบเพียวๆ สีขนของมันค่อนข้างดูผสมปนเปกัน


ม้าตัวใหญ่สองตัวมีขนาดตัวที่ใหญ่พอๆ กัน ระดับความสูงของไหล่ฉินสือโอวกับม้าต่างกันไม่มาก พวกมันดูแข็งแรงดีมาก กล้ามเนื้อแน่น ยืนอยู่ในโรงม้าอย่างว่านอนสอนง่ายพร้อมดวงตากลมโตที่เปล่งแสงแวววับอย่างซื่อสัตย์ พอฉินสือโอวเข้าไปใกล้ มันก็ค่อยๆ ยื่นจมูกเข้ามาดม


ฉินสือโอวยื่นมือออกไปลูบหัวม้าตัวสีดำ ม้าตัวนั้นทำท่าทางต่อต้านและถอยไปด้านหลัง เหมาเหว่ยหลงจึงสอนเขา “อย่าเอามือไปจับหัวม้าตรงๆ แบบนั้นสิ นายต้องจับที่คอมันก่อน เพื่อให้มันได้คุ้นเคยกับกลิ่นของนายและยอมรับนาย”


ฉินสือโอวจึงยื่นมือไปสัมผัสที่คอมันอย่างระมัดระวัง ในช่วงแรกมันยังทำท่าทางขัดขืนเล็กน้อย แต่เมื่อเขาลูบขนที่คอมันอย่างแผ่วเบา จนม้าสีดำรู้สึกสบายใจและค่อยๆ หยุดต่อต้านการลูบคลำของเขา


หลังจากผ่านไปสักครู่ฉินสือโอวก็ยื่นมือไปลูบหัวของมัน ม้าดำก้มหัวลงต่ำอย่างซื่อสัตย์ ด้วยท่าทางเชื่องๆ


พอเห็นแบบนั้นฉินสือโอวก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก และถามขึ้น “แล้วตอนนี้ขี่ม้าได้แล้วหรือยัง?”


เหมาเหว่ยหลงกลอกตาแล้วตอบกลับ “รีบอะไรขนาดนั้น ม้าพวกนี้น่ะเป็นม้าเลี้ยงสัตว์ ก่อนหน้านี้ที่ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ คาวบอยจะขี่พวกมันเพื่อไล่ต้อนวัวและแพะเข้าคอก พวกมันถูกทำให้เชื่อง ว่านอนสอนง่าย ไม่ทำร้ายผู้คนง่ายๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะยอมถูกคนขี่ได้ง่ายๆ เหมือนกัน”


ฉินสือโอวกลอกตาแล้วพูด “งั้นไม่ใช่ว่าฉันจะต้องดูแลมันสักปีครึ่งเลยเหรอ? การจะขี่ม้าทำไมมันลำบากขนาดนี้เนี่ย?”


เหมาเหว่ยหลงหัวเราะขึ้นมา “ไม่จำเป็นหรอก วันนี้แกก็ทำความรู้จักกับมันให้คุ้นชินไปก่อน ม้าตัวนี้ชื่อฟรีดริช อายุมันก็เกือบจะสิบปีแล้ว มันเป็นม้าที่ฉลาดมาก งั้นเย็นนี้กับพรุ่งนี้เช้าแกก็ช่วยทำความสะอาดมันก่อน ก็ขึ้นขี่มันได้แล้ว”


ฉินสือโอวพยักหน้า และบ่นพึมพำว่ามันช่างยุ่งยากเสียจริง


และสุดท้ายก็เป็นอย่างที่เขาพูดไม่มีผิด มันยุ่งยากจริงๆ จะขี่ม้าก็ยังต้องมีอุปกรณ์อีก เหมาเหว่ยหลงไม่ได้จัดเตรียมรองเท้าและชุดขี่ม้าไว้ให้เขาและวินนี่ พวกเขาสวมชุดลำลองสำหรับฤดูร้อนมา ซึ่งไม่เหมาะกับการขี่ม้าเอาเสียเลย ถ้าเป็นแบบนี้ก็ต้องออกไปซื้อ


โชคดีที่ในเมืองมีร้านขายอุปกรณ์ขี่ม้า เหมาเหว่ยหลงจึงขับรถพามั้งสองคนไปที่นั่น ฉินสือโอวมองทางด้วยความสนใจ เขารู้สึกว่าบรรยากาศของที่นี่ค่อนข้างแตกต่างจากเกาะแฟร์เวลอย่างเห็นได้ชัด บนถนนมีรถยนต์และคนน้อยมาก นานๆ ครั้งถึงจะเห็นรถยนต์หนึ่งคัน และคนที่ท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางตะลอนๆ ก็เหมือนจะเป็นนักท่องเที่ยวที่ผ่านไปมา


ห้องของหมู่บ้านชนบทแคนาดามักจะมีสไตล์แบบใหญ่ๆ ซึ่งนี่ก็มีความเกี่ยวข้องกับสภาพลักษณะของประเทศ และที่ดินของหมู่บ้านในชนบทก็ถูกมาก ส่วนร้านขายอุปกรณ์ขี่ม้านี้เมื่อมองจากด้านนอกแล้วจะมีขนาดเท่าซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดกลาง แต่เมื่อเข้ามาด้านใน กลับพบว่าภายในมีของไม่เยอะ


ซึ่งเจ้าของร้านเป็นชายผิวดำอายุราวสี่สิบปี สวมหมวกคาวบอย ถือขวดเบียร์นั่งดูการแข่งขันอะไรสักอย่างอยู่บนเคาน์เตอร์ พอมีลูกค้าเข้ามาในร้าน เขาไม่แม้แต่จะกล่าวต้อนรับลูกค้า แค่พูดส่งๆ ไปว่า “สายบังเหียนไปทางซ้าย บู๊ตขี่ม้าอยู่ทางขวา จ่ายเงินมาที่ฉัน”


เหมาเหว่ยหลงให้ฉินสือโอวและวินนี่ไปดูของด้วยตัวเอง ส่วนเขาเดินไปที่เคาน์เตอร์ “ไง คาร์ริล ฉันเอง นายกำลังทำอะไรอยู่?”


ชายผิวดำเงยหน้าขึ้นมองเหมาเหว่ยหลงและหัวเราะออกมา แล้วยื่นกำปั้นมาชนกับเขา “อะอ้าว ไอ้น้องชายคนจีนเองหรอกเหรอ? ม้าสี่ตัวของนายเป็นไงบ้าง? มันไม่กลัวคนแปลกหน้าแล้วเหรอ? ครั้งนี้มาเลือกซื้ออะไรล่ะ? แต่ฉันคงไปเป็นเพื่อนไม่ได้หรอกนะ นายก็เห็น ทีมรักชาติกับทีมเหยี่ยวแดงกำลังสู้กันอย่างดุเดือดเลย ฉันไปไหนไม่ได้หรอก”


ชายผิวดำคนนี้พูดเร็วมาก เหมือนกำลังร้องแร็ปอยู่อย่างไรอย่างงั้น ฉินสือโอวเดาว่าเหมาเหว่ยหลงคงไม่เข้าใจที่ชายคนนั้นพูดเพราะเขาก็ฟังได้แค่คร่าวๆ…


ฉินสือโอวไม่จำเป็นต้องซื้อสายบังเหียน เพราะที่ฟาร์มมีอยู่ เขาเลือกซื้อชุดคาวบอย หมวกคาวบอย รองเท้าบู๊ตและตะปูที่ติดอยู่ที่ส้นรองเท้าบูตอย่างละชุดซึ่งแค่นี้ก็พอแล้ว


กางเกงยีนที่ขายที่ร้านนี้มีทั้งขนาดใหญ่ขนาดเล็ก แต่เป็นแบบเดียวกันหมด เป็นยีนธรรมดาทั่วๆ ไปที่ไม่ได้ประดับตกแต่งเพิ่มเติมอะไรแม้แต่น้อย  ฉินสือโอวลองจับดูก็รู้สึกว่ามันดูแข็งแรงและหนาดี มันถูกผลิตขึ้นสำหรับคาวบอยและสำหรับเกษตรกรที่ต้องทำงานในฟาร์ม


ซึ่งชุดประเภทนี้จะค่อนข้างราคาถูก ฉินสือโอวมองดูราคาก็พบว่าแค่เพียงไม่กี่สิบดอลลาร์แคนาดา เขาและวินนี่จึงเลือกมาคนละชุด


ส่วนหมวกคาวบอย เข็มขัด และรองเท้าบู๊ตมีหลายรูปแบบมาก เข็มขัดจะมีตั้งแต่เป็นรูปตัวยูธรรมดาไปจนถึงประดับด้วยทองที่ดูหรูหรา แม้แต่เข็มขัดลายผีเสื้อก็มี


หมวกคาวบอยก็เช่นเดียวกัน ฉินสือโอวเลือกหมวกคาวบอยใบเล็ก สีฟ้ามีแถบขาวด้านข้างสวมบนหัวให้ลูกสาวของเขา พอเขามองดูและก็รู้สึกว่าอยากเปลี่ยนให้ลองอีกใบ


แต่เสี่ยวเถียนกวาก็ดูจะถูกใจไม่น้อย มือเล็กๆ จับหมวกไว้แน่นไม่ยอมให้เขาถอดออก


วินนี่หัวเราะ “เอาล่ะ งั้นก็ซื้อใบนี้ให้เธอ ลูกสาวของเราอาจเป็นคาวบอยสาวในอนาคตก็ได้นะคะ”


ส่วนฉินสือโอวเลือกหมวกสีน้ำตาลหนึ่งใบ เข็มขัดและรองเท้าบูตยาวหนึ่งคู่ที่เหมือนทหารเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สองให้ตัวเอง


วินนี่หัวเราะและส่ายหัวไปมา พลางจับรองเท้าบูตยาววางลงและเปลี่ยนเป็นบูตสั้นให้เขาแทน พร้อมกับอธิบายว่า “จะใส่บูตยาวท่ามกลางอากาศแบบนี้น่ะเหรอ? ฉันพนันได้เลย เพียงแค่คุณอยู่ด้านนอกทั้งวัน จะต้องมีกลิ่นอับแน่ๆ”


ฉินสือโอวรู้สึกชอบรองเท้าบู๊ตยาวคู่นั้น เขาหยิบมันขึ้นมาใหม่แล้วพูดว่า “อย่าทำแบบนี้สิที่รัก ผมจะเอาคู่นี้แหละ คุณไม่คิดว่ามันเท่ดีเหรอ?”


และชายผิวดำที่อยู่เคาน์เตอร์ก็มองรองเท้าบู๊ตในมือเขาแล้วพูดออกมา “พ่อหนุ่ม นายตาถึงมาก รองเท้าคู่นั้นน่ะเป็นสมบัติของร้านฉันเลยนะ เป็นรองเท้าคู่สุดท้ายที่ทำโดยตาเฒ่าไวท์ เป็นของที่ทำด้วยมือ นอกจากร้านของฉันแล้ว อย่าคิดว่าจะได้เห็นมันที่ไหนอีก”


เหมาเหว่ยหลงเดินมาและพูดว่า “ตาเฒ่าไวท์คือช่างทำรองเท้าหนังที่เก่งที่สุดในเมืองของเรา ภายในหนึ่งปีเขาสามารถผลิตรองเท้าได้หนึ่งร้อยคู่ แต่ปีที่ผ่านมาขายออกไปกว่าสองร้อยคู่ และทุกคนต่างก็จะบอกว่ารองเท้าบูตของพวกเขาคือรองเท้าที่ทำโดยตาเฒ่าไวท์”


ชายผิวดำหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น “นายพูดถูกเพื่อน จริงๆ แล้วมีหลายคนที่ชอบพูดจาไร้สาระไปทั่ว แต่ฉันไม่ใช่ นายไม่สังเกตเหรอ ว่ารองเท้าคู่นั้นมันถูกฉันวางตรงจุดที่ดูสะดุดตาที่สุด? แสดงให้เห็นว่ามันเป็นสมบัติชิ้นหนึ่งของร้านฉันเลย! มีแต่คนมาขอซื้อมัน แต่ฉันจะขายให้แค่คนที่ถูกชะตาด้วยเท่านั้น!”


“นายจะบอกว่าเพื่อนของฉันเป็นคนที่นายถูกชะตา และรอมาตลอดเลยงั้นเหรอ?” เหมาเหว่ยหลงถามกลับ


ชายผิวดำทำท่านับธนบัตร แล้วหัวเราะและพูดขึ้น “ก็ขึ้นอยู่ที่ว่ากระเป๋าตังค์จะหนาขนาดไหน”

 

 

 


บทที่ 1283 กรมสรรพากรบุก

 

ฉินสือโอวและวินนี่ซื้ออุปกรณ์ขี่ม้ามาคนละเซต สุดท้ายตอนคิดเงิน เหมาเว่ยหลงก็ใช้บัตรตัวเองรูด บอกว่าอยากจะเลี้ยงแขก ฉินสือโอวพูดกับวินนี่ด้วยความปลื้มปริ่ม “โชคดีจัง ที่รัก โชคดีที่ผมหยิบรองเท้าบู๊ตคู่นี้มา!”


ชายผิวดำเจ้าของร้านจึงบอกให้พวกเขารอสักครู่ ก่อนเดินไปยังโซนขายหมวกและหยิบหมวกคาวบอยใบเล็กซึ่งด้านบนถูกประดับด้วยดวงดาวเล็กๆ ระยิบระยับแวววาว และสวยมากๆ มา


และเหมาเหว่ยหลงก็แสดงสีหน้าสิ้นหวังออกมา “แม่งเอ๊ย บัตรเครดิตฉัน!”


ชายผิวดำเจ้าของร้านก็หัวเราะด้วยเสียงดังลั่น “วันนี้ไม่ต้องใช้บัตรเครดิตของนายหรอก ฉันให้หมวกใบนี้กับสาวน้อยน่ารักคนนี้ เธอช่างงดงามจริงๆ”


พูดจบเขาก็สวมหมวกให้กับเถียนกวา ดวงตากลมๆ ของเด็กหญิงตัวน้อยกลอกกลิ้งไปมาดูให้ความสนใจกับหมวกบนหัวมาก เธอยื่นมือขึ้นเพื่ออยากจะถอดหมวกใบเก่าออก แต่แขนของเธออ้วนเกินไปทำให้ทำอย่างไรเธอก็ยื่นไม่ถึง เธอจึงส่งเสียงร้องออกมาอย่างร้อนใจ


ฉินสือโอวถอดหมวกใบสีฟ้าออกให้ลูกสาวและเด็กหญิงตัวน้อยก็โยนมันทิ้ง จากนั้นก็ส่งเสียงร้องอ้อแอ้อ้อแอ้ต่อ


วินนี่จึงหยิบหมวกใบนั้นขึ้นมาและพูดกับเขา “คุณดูสิ ในอนาคตลูกสาวของคุณจะต้องเป็นพวกได้ใหม่แล้วลืมเก่าแน่ๆ”


ฉินสือโอวจึงตอบกลับ “ถ้างั้นตอนพวกเรากลับก็เอาลูกไปไว้กับโคโกโร่ รอจนเบื่อเขาเมื่อไหร่ พวกเราค่อยกลับมารับ”


เมื่อกลับมาถึงฟาร์ม ฉินสือโอวก็เปลี่ยนเสื้อผ้าและรองเท้าบู๊ตหนัง และตามเหมาเหว่ยหลงไปอาบน้ำให้เจ้าม้าดำฟรีดริช


เหมาเหว่ยหลงลากรถล้อลากคันเล็กมาหนึ่งคัน ยื่นเสียมให้ฉินสือโอวในขณะที่เขาถือแปรงหวีขนอยู่ในมือ “บ้าอะไรเนี่ย ไม่ใช่ว่าใช้อันนี้อาบน้ำให้ม้าหรอกเหรอ? ทำไมต้องใช้เสียมล่ะ? ฉันกลัวจะกะแรงควบคุมมันไม่ได้ แล้วเดี๋ยวจะไปเสียบตัวมันเข้าน่ะสิ!”


เหมาเหว่ยหลงเข้าไปในโรงม้าตรงที่ม้าสีน้ำตาลยืนอยู่ก่อนจะใช้เสียมโกยมูลม้าบนพื้นขึ้นมา แล้วพูดว่า “แกอยากขี่ม้าไหม งั้นก็รีบทำ แล้วฉันก็จะมอบคำพูดหนึ่งประโยคให้แก การพูดไม่ได้ทำให้งานน้อยลง”


ฉินสือโอวชูนิ้วกลางให้เหมาเหว่ยหลง และเริ่มลงมือใช้เสียมโกยมูลม้าอยู่ด้านหลังก้นของฟรีดริชอย่างจำใจ สุดท้ายมันกลับตื่นตระหนกและยกกีบขึ้นมาถีบ


โชคดีที่ฉินสือโอวมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็ว ตอนที่กีบของม้าดำพุ่งมาเขาก็รีบถอยหลังหลบได้ทันที การหลบหลีกม้าควอเตอร์หวาดเสียวจนเกือบทำให้ตายได้เลย


เหมาเหว่ยหลงที่อยู่ด้านข้างถึงกับสะดุ้งตกใจแล้วรีบถาม “แกเป็นไงบ้าง? เจ็บตรงไหนไหม?”


ฉินสือโอวยังไม่หายตกใจ เขายังอกสั่นขวัญหายอยู่ “ฟัค ฉันเดินทางไปทั่วทั้งทิศเหนือทิศใต้ ทั้งจับวาฬในมหาสมุทรแปซิฟิก จับโจรที่ทารุณกรรมฉลามก็เคยมาแล้ว แต่เกือบมาตายอยู่ในโรงม้าของแกเนี่ยนะ!”


เหมาเหว่ยหลงบอกให้เขาระวังหน่อย ทุกๆ ปีจะมีคนในแคนาดากว่าสองร้อยคนที่เจออุบัติเหตุจากการโดนกีบม้าถีบ


ฉินสือโอวปลอบมันครู่หนึ่งก่อนที่ม้าดำจะสงบลง เขาจึงสามารถทำความสะอาดมันต่อได้อย่างปลอดภัย


โรงม้าค่อนข้างแคบ ม้าดำที่ยืนอยู่ด้านในมีพื้นที่ให้ขยับตัวน้อยมาก ดังนั้นถึงแม้จะมีพวกมูลสัตว์อยู่มากแต่ก็ทำความสะอาดง่ายมาก ใช้เวลาไม่นานด้านในก็สะอาด ฉินสือโอวจึงสวมถุงมือเพื่อเริ่มทำความสะอาดขนม้าดำ


เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการปรนนิบัติมัน แต่เจ้าม้าดำกลับไม่เต็มใจ คอยแต่จะเบี่ยงตัวหลบไปมา


เหมาเหว่ยหลงแนะนำให้ฉินสือโอวจับเชือกบังเหียนไว้ และพูดว่า “ทำแบบนี้มันก็จะยอมเชื่อฟังเอง”


ฉินสือโอวลองทำ และก็เป็นตามนั้นจริงๆ มันสงบลง เขาขัดไปพร้อมกับอุทานออกมา “เฮ้อ ทำไมมีแต่คนบอกว่าม้าเป็นสัตว์ฉลาดกันนะ? ฉันว่าเจ้านี่มันโง่กว่าฉงต้าของฉันอีก”


เหมาเหว่ยหลงจึงพูดอย่างสงสัย “นั่นสิ มันน่าจะเป็นเรื่องของกรรมพันธุ์รึเปล่า? ม้าพวกนี้จริงๆ อาจจะไม่ได้ไม่ฉลาด แต่ไอคิวของหมาอเมริกันบูลลี่ของบ้านฉันก็ปกตินะ แต่พวกมันดูฉลาดกว่าม้าพวกนี้เยอะเลยล่ะ”


ฉินสือโอวอยากจะบอกจริงๆ ว่าที่แกพูดมันไร้สาระ อเมริกันบูลลี่ของแกน่ะ ฉันใช้พลังโพไซดอน ก็แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องฉลาด


วินนี่ที่ผ่านมาได้ยินทั้งสองคนบ่น ก็พูดขึ้น “พวกม้ามันก็ฉลาดนะ ไอคิวสูง สามารถเข้าใจสิ่งที่มนุษย์คิดผ่านการกระทำที่แสดงออกมา พวกคุณอย่ามาพูดว่าร้ายพวกมันนะ ไม่งั้นพวกมันจะไม่มีความจริงใจในการตามพวกคุณนะคะ”


ฉินสือโอวแบะปากและพูดขึ้น “ไม่เอาน่า ม้าตัวนี้สามารถเข้าใจความรู้สึกผมได้จริงเหรอ? ในขณะที่ผมกำลังเก็บอุจจาระให้มัน มันกลับยกกีบเท้าของมันมาเพื่อจะถีบผมเลยนะ!”


พูดเสร็จเขาก็มองเหมาเหว่ยหลงแล้วก็พูดต่อ “แกรู้มั้ย ฉันเคยเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกสาวครั้งหนึ่ง ที่บ้านฉันทั้งเสือ สิงโต หมี และก็หมาป่า เวลาพวกมันถ่ายหรือฉี่ มันก็ล้วนจัดการเก็บกวาดด้วยตัวของพวกมันเอง ฉันแทบไม่เคยจะต้องมาดูแลมันตั้งแต่เล็กจนโต แกบอกฉันสิ ว่าฉันยังต้องทำดีกับม้านี่ขนาดนั้นใช่ไหม?”


เหมาเหว่ยหลงพยักหน้าให้วินนี่เพื่อขอความช่วยเหลือ วินนี่จึงพูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว “สมน้ำหน้า ก็แล้วใครบอกคุณกันล่ะว่าให้ล้างขี้ม้าในตอนที่มันยังอยู่ด้วย พวกคุณก็ควรจะจูงมันออกไปด้านนอกก่อนสิคะ!”


“เอ้า โคโกโร่ เป็นความผิดของแกไม่ใช่เหรอ? ก็ฉันเรียนรู้จากแกมาตลอด เห็นแกตรงเข้าไปในโรงม้า ก็เลยคิดว่าคงจะทำแบบนั้นน่ะสิ” ฉินสือโอวบ่นรัวอย่างรวดเร็ว


เหมาเหว่ยหลงเหลือบมองเขาแล้วพูดขึ้น “แรงดึงดูดใจของการเก็บอุจจาระมันไม่พอรึไง? ม้าของฉันปกติพวกมันว่านอนสอนง่ายมาก พวกมันเคยได้รับการฝึกฝนและสามารถอยู่ร่วมกับเจ้าของได้ ไม่รู้นะว่าแกมีปัญหาอะไร ม้าตัวนี้มันถึงไม่ชอบแก”


วินนี่พูดต่อ “ง่ายมาก บนตัวของฉินมีกลิ่นของหมีสีน้ำตาลและหมาป่าอยู่ เป็นธรรมดาที่พวกม้าจะรู้สึกกลัว แล้วพวกหมีสีน้ำตาลกับหมาป่าเนี่ยชอบมาโจมตีม้าจากด้านหลัง พอฉินไปยืนด้านหลังมัน มันเลยไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ก็เลยเลือกทำตามสัญชาตญาณ”


ฉินสือโอวเข้าใจแจ่มแจ้งในทันที เหมาเหว่ยหลงยิ้มแบบมีเลศนัยและพูด “ฉินโซ่ว ม้าตัวนั้นเป็นแม่ม้า แกบอกว่ามันเห็นแกยืนอยู่ด้านหลังมัน มันก็คงจะนึกว่าแกจะทำอะไรกับมันแบบนั้นหรือเปล่า?”


“ไสหัวไปเลยไป!” ฉินสือโอวตะคอกด่า “ทำไมแกคิดสกปรกได้ขนาดนี้กันฮะ?”


วินนี่หัวเราะพลางส่ายหัวและพูด ‘ฉันจะไม่ยุ่งกับปัญหาของพวกคุณสองคนละกัน’ จากนั้นก็เดินเข้าไปในโรงม้าของม้าตัวเล็กอีกสองตัว


ในตอนค่ำ เหมาเหว่ยหลงขับรถพาฉินสือโอวไปยังฟาร์มเลี้ยงสัตว์แห่งหนึ่งทางทิศตะวันตกของเมือง


ซึ่งทางเข้าของฟาร์มเลี้ยงสัตว์มีวัวและแกะที่ถูกถลกหนังแขวนไว้อยู่ สามีภรรยาคู่หนึ่งที่ดูท่าทางยุ่งๆ และที่ด้านข้างก็มีคนที่กำลังเลือกซื้ออยู่ ฉินสือโอวจึงเอ่ยถาม “เนื้อนี่ฆ่าสดขายสดเลยเหรอ? มีทุกวันไหม? นี่มันสดมากเลยนะเนี่ย”


เหมาเหว่ยหลงพยักหน้าและตอบ “สถานการณ์เศรษฐกิจของแคนาดาไม่ค่อยดีน่ะ เจ้าของฟาร์มเลี้ยงสัตว์จึงไม่สามารถขายสัตว์ที่พวกเขาเลี้ยงไว้ได้ในคราวเดียว ดังนั้นทุกๆ วันพวกเขาจึงต้องฆ่าพวกมันด้วยตัวเองและนำมาขายแทนซึ่งมันก็ทำให้พวกเขาพอมีรายได้ไปใช้จ่ายในครอบครัว”


เมืองที่มีขนาดใหญ่ขนาดนี้แต่ทุกคนล้วนรู้จักกันดี พอรถของเหมาเหว่ยหลงขับเข้าไป ชายผิวขาววัยกลางคนที่เป็นสามีก็ยิ้มและโบกมือให้ ก่อนเอ่ยถาม “คุณลูกค้า ผมเก็บกระดูกกับเนื้อสันในไว้ให้แล้ว คุณจะรับเลยหรือไม่ครับ?”


เหมาเหว่ยหลงลดกระจกรถลงและพูด “ไม่ล่ะ วันนี้ต้องการเยอะหน่อยคู่หูของผมมา เขาชอบกินเนื้อมาก ขอเป็นขาหลังแกะขาหนึ่ง แล้วก็เนื้อวัวกับเนื้อแพะสำหรับทำบาร์บีคิว เอาทั้งหมดสิบปอนด์”


ชายผิวขาวยิ้มและใช้ผ้าเช็ดมือ หยิบมีดขึ้นมาและวุ่นกับการหั่นเนื้อ ฉินสือโอวมองอย่างอยากรู้อยากเห็น ทันใดนั้นเสียงไซเรนก็ดังไปทั่วท้องถนน รถตำรวจสองคันที่ทาด้วยสีดำและขาว ขับมาเข้ามาอย่างรวดเร็ว


พอเห็นรถตำรวจ ชายผิวขาวที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่ก็หุบยิ้มและทำสีหน้ากังวล เขารีบเก็บกวาดของที่อยู่เบื้องหน้า ในขณะเดียวกันก็ตะโกนบอกเหมาเหว่ยหลงว่า “ไว้เดี๋ยวผมมาเป็นเจ้ามือให้ทีหลังนะ!”


รถตำรวจวิ่งมาด้วยความเร็ว และมาหยุดจอดขวางทั้งด้านหน้าและด้านหลังของร้านขายเนื้อ ตำรวจราวๆ เจ็ดแปดนายลงมาจากรถ ด้านหลังชุดของพวกเขามีตัวหนังสือเขียนไว้ว่า ‘ไออาร์เอส’ ซึ่งชัดเจนเลยว่าเป็นคนของกรมสรรพากรของแคนาดา


……………………………………………..

 

 

 


บทที่ 1284 เกือบได้ขึ้นโรงพักแล้ว

 

เมื่อเห็นพนักงานของกรมสรรพากร เหมาเหว่ยหลงก็รู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อยและพูด “แย่แล้ว คู่สามีภรรยาพอลลี่กำลังมีปัญหา แกรออยู่นี่ไม่ต้องพูดอะไร เดี๋ยวฉันไปจัดการเรื่องนี้ก่อน ฉันต้องช่วยครอบครัวพอลลี่”


หลังจากลงจากรถ ตำรวจพวกนี้ก็แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม โดยกลุ่มหลักคอยล้อมร้านขายเนื้อนี้ไว้ ส่วนอีกสองคนก็เดินตรงเข้ามาที่รถของเหมาเหว่ยหลง และเคาะกระจกรถเพื่อจะบอกให้คนบนรถลงมา


เหมาเหว่ยหลง ลงมาจากรถและถาม “มีอะไรให้ช่วยเหรอครับ?”


ชายที่สวมเสื้อไออาร์เอสมองเขาและเอ่ยถาม “ฟาร์มเลี้ยงสัตว์นี้ตั้งแผงลอยขายเนื้อมานานแค่ไหนแล้ว?”


เหมาเหว่ยหลงตอบ “แผงลอยขายเนื้อเหรอครับ? ตั้งแผงลอยขายเนื้ออะไร? ไม่ใช่ละ ผมว่าพวกคุณเข้าใจผิดแล้วล่ะ พวกเขาไม่ได้ทำธุรกิจอะไรนะ ไม่ได้ขายเนื้อด้วย”


ชายคนนั้นยิ้มเย็นชาและพูด “โอ้? เพื่อน นี่คุณคิดว่าผมตาบอดเหรอ? ถ้าไม่ได้ขายเนื้ออยู่ งั้นก็จัดปาร์ตี้กันอยู่หรือไง?”


เหมาเหว่ยหลงพยักหน้าและพูด “ใช่แล้วครับ พี่ผมมาจากเมืองเซนส์จอห์นเลยแวะมาเล่นกันน่ะ” เขาชี้ไปที่ฉินสือโอว “ผมกำลังจะเตรียมจัดปาร์ตี้กัน แล้วครอบครัวพอลลี่ก็บอกว่าพวกเขาจะให้เนื้อแพะและวัวกับผม ดังนั้นพวกเราจึงมาที่นี่กัน”


ฉินสือโอยักไหล่และหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและแสดงการจองตั๋วเครื่องบินให้ตำรวจดูเพื่อยืนยันสิ่งที่เหมาเหว่ยหลงพูดเป็นความจริง


ชายคนนั้นมองนิ่งและปัดโทรศัพท์มือถือออก แล้วโวยวายกับเหมาเหว่ยหลง “แม่งอย่ามาพูดไร้สาระกับฉัน! คุณก็รู้ดีนี่ว่าครอบครัวนี้กำลังหนีภาษีอยู่ ซึ่งมันผิดกฎหมาย! คุณแน่ใจไหมว่าคุณจะปกป้องพวกเขาน่ะ?”


เหมาเหว่ยหลงพูดเสียงนิ่งลง “พวกเขาจะหนีภาษีหรือไม่ผมก็ไม่รู้หรอกนะ ผมไม่ใช่กรมสรรพากร แต่ที่ผมพูดทั้งหมดนั้นเป็นความจริง ผมต้องการจัดปาร์ตี้แล้วมาหาเขาที่นี่เพื่อมาเอาเนื้อเท่านั้น”


พูดไปเหมาเหว่ยหลงก็ตะโกนไปหาครอบครัวพอลลี่ว่า “เฮ้ย พวก นายไปก่อเรื่องยุ่งยากอะไรมาหรือเปล่า? เอาเนื้อมาให้ฉันสักทีสิ ฉันต้องกลับไปจัดปาร์ตี้ต่อนะ มีหลายคนรออยู่ ฉันไม่อยากมาเสียเวลาอยู่นี่ทั้งวันหรอกนะ”


เมื่อเหตุการณ์มาถึงตรงนี้ฉินสือโอวก็เข้าใจแจ่มแจ้งว่าเกิดอะไรขึ้น ครอบครัวพอลลี่กำลังขายเนื้อที่หน้าประตูโดยไม่เสียภาษี และกรมสรรพากรคอยจับตามองพวกเขาอยู่ วันนี้ก็เลยเข้ามาจับกุมในตอนที่พวกเขาอยู่ที่นี่พอดี


ที่ยุโรปและอเมริกา การจ่ายภาษีเป็นเรื่องที่สำคัญมาก การหนีภาษีถ้าหากถูกจับได้ ไม่เพียงแค่โดนปรับเงินง่ายๆ แบบนั้น แต่อาจจะมีสิทธิ์ถูกจับเข้าคุกได้ ซึ่งนั่นจะส่งผลต่อการทำธุรกิจในอนาคต และส่งผลต่อการดำเนินการทำบัตรเครดิต


มีคำพูดที่คนอเมริกามักพูดกันว่า “บนโลกใบนี้มีแต่ความตายกับการเสียภาษีเท่านั้นที่จะคงอยู่ตลอดไปชั่วนิรันดร์” และคำพูดนี้ก็ถูกนำมาใช้ที่แคนาดาด้วยเช่นกัน


ที่แคนาดาแทบไม่มีใครเกรงกลัวรัฐบาลหรือตำรวจเลย ประชากรในประเทศนี้มีจำนวนมากเป็นอันดับแรกของทั่วโลก ในตอนที่รัฐบาลและตำรวจปฏิบัติตามหลักกฎหมายจึงต้องคอยระมัดระวังเพราะกลัวว่าจะเป็นการเหยียบกับระเบิดอย่างเช่น การเหยียดสีผิวหรือการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ


แต่ไม่มีผู้ใดไม่เกรงกลัวกรมสรรพากรไออาร์เอส นอกจากพวกคนจนที่ไม่มีอะไรเลย ขอเพียงแค่มีเงินที่พอจ่ายภาษีขั้นต่ำก็จะต้องถูกตรวจสอบโดยไออาร์เอส


และในตอนที่ไออาร์เอสตรวจสอบภาษี พวกเขาจะไม่สนใจว่าคุณจะมาจากที่ไหน นับถืออะไร ถ้าแน่นอนว่าหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษี งั้นก็ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เพราะแค่หนึ่งคำก็ผิด!


หากต้องการให้ยกตัวอย่างเปรียบเทียบ ไออาร์เอสก็คือระบบการปกครองของแคนาดา เหมือนการจัดการปัญหาเศรษฐกิจ เหมือนการบังคับให้ปฏิบัติตามหลักกฎหมาย เหมือนกับพนักงานกลุ่มหนึ่งที่มีความสามารถและชาญฉลาด…


อย่าคิดว่าพนักงานของไออาร์เอสนั้นจะอ่อนเรื่องการบัญชี พวกเขาทำงานหลายหน่วยมาก ซึ่งในนั้นมีหน่วยตรวจสอบ ซึ่งจะสามารถตรวจสอบผู้ที่หนีภาษีและจัดการได้อย่างทันที โดยพนักงานทุกคนจะพกอาวุธ พกปืนและกุญแจมือ!


นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ของรถคันนั้นก็ยึดมั่นในสิ่งถูกต้องเหมือนกับเหมาเหว่ยหลง และพอยืนยันว่าครอบครัวพอลลี่ไม่ได้ขายเนื้อ แต่สมองคนพวกนี้ไม่ค่อยฉลาดปราดเปรียวนัก คาดไม่ถึงว่าจะพูดว่าครอบครัวพอลลี่กำลังทำการบริจาคเนื้อให้แก่คนในเมือง


คนในหน่วยไออาร์เอสหน้าตาเต็มไปด้วยความรำคาญเบื่อหน่าย ฉินสือโอวยังคงพยักหน้าเออออตาม ไอ้พวกโง่เอ๊ย ได้เจอกับหลุมดำของกลุ่มแบบนี้ นับว่าเป็นโชคร้ายของครอบครัวพอลลี่


แต่ครอบครัวพอลลี่ก็ไม่กล้ายอมรับเรื่องที่พวกเขาขายเนื้ออยู่ เพราะฉินสือโอวคาดว่าพวกเขาก็คงไม่จ่ายภาษี และแน่นอนว่าการขายเนื้อนั้นไม่มีภาษีเนื่องจากราคาของเนื้อที่พวกเขาขายนั้นต่ำกว่าในตลาด คนในเมืองจึงชอบมาซื้อเนื้อที่นี่กัน


แต่ว่าเขาเคยถูกไออาร์เอสจับในข้อหาหนีภาษี ซึ่งมันสร้างความยากลำบากอย่างมากให้เขา อย่าพูดว่าเขาก็มีฟาร์มเป็นของตัวเอง ในความเป็นจริงแล้วเขานั้นไม่ได้ร่ำรวย ถ้าไม่เช่นนั้นเขาคงไม่มาขายเนื้อที่หน้าประตูบ้านแบบนี้หรอก


ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ฟาร์มทำเกษตรกรรม และฟาร์มเลี้ยงปลาของแคนาดานั้นล้วนต้องกู้เงินจากธนาคาร ถ้าครอบครัวพอลลี่ถูกไออาร์เอสกำหนดข้อหาว่าไม่จ่ายภาษีแล้วล่ะก็ หลังจากนี้มีหวังธนาคารคงไม่ยอมให้พวกเขากู้เงินอีกเป็นแน่


เพราะแบบนี้ทั้งสองฝ่ายจึงเริ่มการถกเถียงกัน โดยคนของไออาร์เอสไม่ได้ลงมือ ครั้งนี้พวกเขาได้วางแผนเตรียมรับมือมาก่อน โดยร่วมมือกับตำรวจของเมืองในการจับกุมครอบครัวพอลลี่และเหมาเหว่ยหลงและคนอื่นๆ โดยตรง โดยกะว่าจะกลับไปที่สถานีตำรวจแล้วทำการบุกอย่างช้าๆ


ฉินสือโอไม่อยากจะเสียเวลาอยู่นี่นานนัก เขามาใช้เวลาพักผ่อนกับวินนี่ แต่แทบไม่ได้ใช้เวลาร่วมกัน ถ้าหากเหมาเหว่ยหลงถูกลากเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้ คงกินเวลากว่าสามวันห้าวัน ซึ่งจะทำให้การมาครั้งนี้ของเขาเปล่าประโยชน์


ดังนั้นฉินสือโอวจึงโทรหาเออร์บักเพื่อขอคำแนะนำว่าควรทำอย่างไรกับสถานการณ์ในขณะนี้ดี


เออร์บักจึงให้คำแนะนำกับเขาว่า “ข้อเสนอแรก รับประกันเลยว่านายจะไม่ถูกทำให้เข้าไปพัวพัน เพียงแค่นายเอาหลักฐานใบจ่ายภาษีให้ไออาร์เอสตรวจสอบ ถ้าไม่มีปัญหาอะไร พวกเขาก็จะปล่อยเจ้าของฟาร์มนั้นไป”


ฉินสือโอวตอบรับ พอกำลังจะวางสาย เออร์บักก็พูดขึ้นมาอีก “แต่ต้องจำไว้ว่า ถ้าหากตรวจสอบแล้วคนพวกนี้ยังต้องการจับกุมเจ้าของฟาร์มอยู่ นายกับเหมาเหว่ยหลงก็หนีให้ห่างเลย!”


เขาเข้าใจในสิ่งที่เออร์บักต้องการจะสื่อ ฉินสือโอวลังเลครู่หนึ่ง เขากับเจ้าของฟาร์มก็ไม่ได้สนิทสนมหรือมีความเกี่ยวข้องกัน งั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวก็ได้นี่นา?


แต่เขาเห็นว่าเหมาเหว่ยหลงดูเหมือนจะคอยแก้ต่างให้กับเจ้าของฟาร์มตลอด จึงสะกิดเขาและถามเสียงเบา “นายสนิทกับเขาเหรอ?”


เหมาเหว่ยหลงก็กระซิบตอบ “พอลลี่เป็นคนดี เขาคอยช่วยเหลือฉันหลายครั้ง ครั้งนี้พวกเขาลำบากฉันจะไม่ช่วยได้ยังไงล่ะ”


ได้ยินดังนั้น ฉินสือโอวจึงเดินไปหาหัวหน้าของกรมสรรพากรไออาร์เอส พร้อมกับบอกหมายเลขใบจ่ายภาษีของตัวเองให้เขา “พวก ผมไม่กล้ารับประกันเท่าไร แต่ผมอยากจะบอกว่าทุกครั้งที่ผมมาที่นี่เพื่อมาหาพวกพี่ชาย เขามักจะมาเอาเนื้อที่นี่เสมอ”


“แล้วได้จ่ายเงินไหม?” คนพวกนั้นถามอย่างไม่ใส่ใจนักพลางตรวจสอบหมายเลขไปด้วย


ฉินสือโอวหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “อย่าทำแบบนี้สิพวก คุณก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าต้องใช้เงินเท่าไรในการซื้อเนื้อ?”


ชายคนนั้นกรอกหมายเลขลงบนคอมพิวเตอร์และข้อมูลก็ปรากฏ ก่อนมองไปที่ฉินสือโอวอย่างประหลาดใจหลังจากที่ตรวจสอบจนแน่ใจว่าภาพที่ปรากฏบนจอและคนตรงหน้าเป็นคนเดียวกัน และเขาก็ขมวดหัวคิ้วจนแทบเป็นปม


ฉินสือโอวรอดูปฏิกิริยาของเขา หลังจากนั้นประมาณสิบวินาที เขาก็โบกมือเพื่อเรียกลูกน้องให้กลับขึ้นรถ และหันไปพูดกับเจ้าของฟาร์มว่า “คราวนี้มันยังไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ดังนั้นพวกเราจะให้โอกาสอีกครั้ง แต่จำไว้ ครั้งหน้าคุณไม่โชคดีแบบนี้อีกแน่!”


แล้วรถตำรวจสองคันรีบเลี้ยวกลับออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าจะไปหาเรื่องใครต่อ

 

 

 


บทที่ 1285 สเต๊กเนื้อวัวย่าง

 

รถตำรวจสองคันนั้นมาไวไปไว จนทำให้ภรรยาเจ้าของฟาร์มงงงวย


แต่ว่าการที่ไออาร์เอสจากไปก็ถือว่าเป็นเรื่องดี จริงๆ ถ้าพวกเขาถูกลากไปสถานีตำรวจ สุดท้ายพวกเขาก็จะยอมรับโทษและสารภาพผิดแต่โดยดี หลังจากนั้นหลักฐานทางวินัยก็จะสมบูรณ์


อันที่จริงแล้วฉินสือโอวขี้เกียจจะยุ่งกับเรื่องพวกนี้ เพราะมันไม่ได้เกี่ยวกับเขา ที่เขาทำไปทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นเพราะเห็นแก่เหมาเหว่ยหลง


ที่จริงแล้วเขาก็คิดไม่ถึงว่ากลอุบายของเออร์บักจะใช้ได้ผลจริงๆ ไออาร์เอสนั้นขึ้นชื่อเรื่องไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น ไม่คิดเลยว่าพอได้เห็นบันทึกการจ่ายภาษีของเขาแล้วก็จากไปอย่างกะทันหัน นี่เป็นเรื่องที่คิดไม่ถึง


ไม่ว่าประเทศไหนก็ล้วนแล้วมีแต่ชนชั้นเอกสิทธิ์อยู่ แต่ฉินสือโอวไม่คิดว่าเจ้าของฟาร์มปลาอย่างตัวเขาเองจะทำให้ไออาร์เอสเห็นแก่หน้าเขาได้จริงๆ ทุกปีเขาต้องจ่ายภาษีเยอะมากแต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เขาต้องทำอยู่แล้ว และไออาร์เอสก็ไม่จำเป็นที่จะเห็นแก่หน้าด้วยเหตุผลนี้


โดยเฉพาะเลยคือเขาไม่ใช่คนท้องถิ่น อีกทั้งหลังจากนั้นผู้ปฏิบัติตามกฎหมายพวกนี้ก็ไม่ได้มีอารมณ์ปะทุอะไร และถ้าจะให้พูดว่าหัวหน้าพวกเขาอยากจะคบค้าสมาคมกับฉินสือโอว ก็ว่าไม่ได้


คิดไม่ออกก็ไม่คิดแล้ว ยังไงเรื่องนี้ก็จบลงแล้วล่ะ


จากนั้นเขาและเหมาเหว่ยหลงก็ได้เดินไปหยิบเนื้อ เจ้าของร้านเช็ดมือจนสะอาดแล้วจับมือกับเขาทั้งสองคนทีละคน และพูดด้วยความนอบน้อมและจริงใจ “ผมไม่รู้จะพูดยังไงเลย วันนี้พวกคุณช่วยชีวิตผมไว้ ขอบคุณมากๆ เลยครับ ขอบคุณมากจริงๆ ครับ”


ตรงส่วนนี้ต้องยกให้เหมาเว่ยหลงเลย ฉินสือโอวยืนยักไหล่ไม่พูดไม่จาอยู่หลังเขา เหมาเว่ยหลงพูดคุยพอเป็นพิธีประมาณสองสามประโยคของความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนบ้าน จากนั้นเขาก็เอาเนื้อและซี่โครงแล้วก็กลับบ้าน


แน่นอนว่า ครอบครัวพอลลี่ไม่รับเงินของพวกเขา และยังให้สเต๊กเนื้อทีโบนชั้นดีที่สุดสองชิ้นกับพวกเขาด้วย


ระหว่างทางตอนกลับเหมาเหว่ยหลงถามฉินสือโอวด้วยความสงสัยถึงว่าสิ่งที่เพิ่งให้ไออาร์เอสดูคืออะไร ฉินสือโอวก็ยังไม่อยากจะคิดเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ก็เลยไม่ได้พูดเล่นและพูดเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา


แต่เหมาเหว่ยหลงก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี กรมสรรพากรของแคนาดามีชื่อเสียงมากด้านการต่อรองกับเงินทุกหนึ่งเซนต์ ครั้งนี้ยอมปล่อยเนื้อก้อนใหญ่จากมือไป ซึ่งเป็นอะไรที่ค่อนข้างน้อยครั้งมากที่จะพบเจอเรื่องแบบนี้


ฉินสือโอวจึงทำได้แค่เดาไปว่า “หรือว่าเรื่องของพอลลี่จะไม่มีอะไรมาก? แคนาดามีกี่คนกันที่ไม่เคยหลบเลี่ยงการจ่ายภาษี? เอาเถอะ ถึงจะไม่นับว่าหนีภาษี แต่การหลีกเลี่ยงภาษีก็ต้องเคยใช่ไหมล่ะ?”


ปัญหาการหนีภาษีและการหลีกเลี่ยงภาษีของแคนาดาเป็นเรื่องปกติ ฉินสือโอวจำได้ว่าเขาเห็นรายงานข่าวใหม่ทุกวัน ดูเหมือนว่าเมื่อปีที่แล้ว ทั้งประเทศแคนาดาจะมีการหลีกหนีภาษีรวมกันแล้วมากกว่าสองหมื่นล้านดอลลาร์แคนาดา


เหมาเหว่ยหลงที่กำลังขับรถอยู่ถึงกับส่ายหัว “แคนาดาตอนนี้บ้าไปแล้ว ขอแค่ให้ได้เงินมาถึงมือ แม้แต่บาทเดียวก็ไม่ยอมปล่อยให้หลุดไปได้ แกไม่รู้ใช่มั้ย? ปีนี้รัฐบาลแคนาดาเพิ่งจะออกแผนภาษีใหม่ ครั้งนี้แม้กระทั่งทรัพย์สินต่างประเทศก็ถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด สำนักจัดเก็บภาษีแห่งชาติจะติดต่อไปยังประเทศต่างๆ เพื่อตรวจสอบทรัพย์สินในต่างประเทศของผู้อพยพและจะมีการเรียกเก็บภาษีด้วย!”


แน่นอนว่าฉินสือโอวรู้เรื่องนี้ เพราะสองปีมานี้เศรษฐกิจของแคนาดาไม่ดีมากๆ รัฐบาลสร้างหนี้ไว้เยอะ


เพื่อแก้ปัญหาการขาดทุน รัฐบาลแคนาดาจึงได้ออกนโยบายใหม่ขึ้นมาแบบไม่ไว้หน้าในการตรวจสอบทรัพย์สินในต่างประเทศของผู้อพยพ หากมากกว่าหนึ่งแสนหยวนจะต้องรายงานต่อกรมสรรพากร ส่วนผู้ที่จงใจปกปิดทรัพย์สินของตนจะถูกปรับเป็นเงินสูงสุดถึงหนึ่งหมื่นสองพันหยวนหรือห้าเปอร์เซ็นต์ของทรัพย์สิน ส่วนผู้ที่รายงานเรื่องของผู้ที่ปกปิดทรัพย์สินจะได้รับสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของภาษีที่ต้องจ่ายเป็นรางวัล ซึ่งประเทศใหญ่ๆ ในโลกนี่ก็ยังถือว่าเป็นเคสแรก


พอกลับมาถึงฟาร์ม หลิวซูเหยียนแปลกใจว่าทำไมพวกเขาถึงออกไปนานขนาดนี้ ฉินสือโอวจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้ฟัง


พอวินนี่ได้ฟังข้อสงสัยเกี่ยวกับไออาร์เอสของเขาก็ยิ้มออกมาแล้วอธิบาย “คุณบอกว่าพวกเขาส่งรถสองคันกับคนแปดคนมาใช่ไหมคะ? นั่นก็ชัดเจนแล้วว่าพวกเขาไม่ได้ตั้งใจมาที่ร้านขายเนื้อวัวเนื้อแกะนี้ แต่น่าจะแค่บังเอิญผ่านมาเจอพอดี ก็เลยมาตรวจสอบดูสักหน่อยไง”


“แบบนี้แสดงว่าพวกเขาต้องมีเรื่องที่สำคัญกว่าให้ทำแน่ ในตอนที่ตรวจสอบฟาร์มนั้นถึงแม้คุณจะไม่ได้แสดงใบบันทึกภาษีออกมา แต่ดูแล้วเริ่มเสียเวลาทั้งยังไม่ได้อะไรก็เลยไม่รอแล้ว”


“ยิ่งไปกว่านั้นไออาร์เอสจะไม่รุกรานผู้เสียภาษีสูง ที่มีประวัติการเสียภาษีที่ดี อันที่จริงพวกเขาก็ขายหน้าคุณนั่นแหละ หรือจะให้พูดก็คือขายหน้าคุณและตัวแทนของทรัพย์สินนั่นแหละ”


“หรือว่าคุณปู่เออร์บักจะหมายถึงแบบนี้ ที่เขาไม่สั่งให้คุณพูดเพราะถ้าหากไออาร์เอสเห็นการจ่ายภาษีของคุณแบบละเอียดแล้ว หลังจากนั้นก็ยังยืนยันที่จะจับสามีภรรยาพอลลี่แล้วก็จะปล่อยคุณไปใช่ไหม? นั่นก็เป็นเรื่องยืนยันได้ว่าไออาร์เอสตั้งใจมาโจมตีเจ้าของฟาร์มจริงๆ ถึงแม้จะเอานายกมาพูดขอร้องแทนก็คงไม่มีประโยชน์”


ฉินสือโอวก็เพิ่งจะรู้เดี๋ยวนั้น “ถ้าจะให้พูดนะ ผมว่าผมก็ไม่ได้มีหน้ามีตาอะไรขนาดนั้นสักหน่อย”


วินนี่เองก็ไม่ได้มองโลกในแง่ดี เธอพูดว่า “งั้นฟาร์มนั้นจะต้องเจอปัญหายุ่งยากแล้วล่ะ ไออาร์เอสไม่ได้ทำอะไรเขา แต่จากการคาดเดานะคะ พวกเขาคงจะไปแจ้งสำนักงานความปลอดภัยอาหารและอนามัยให้มาตรวจสอบ เว้นแต่ว่าพวกเขาจะเลิกทำตั้งแต่วันนี้ ไม่อย่างนั้นก็อาจจะโดนจ่ายค่าปรับ”


หลิวซูเหยียนจึงพูดพร้อมกับท้องโตๆ นั้น “ฉันจะไปบอกครอบครัวพอลลี่ พวกเขาเป็นคนดี ครั้งที่แล้วฉันไปตรวจในเมือง รถเสียกลางทางก็ได้พวกเขาที่ขับรถกลับมาส่งให้ และยังเป็นพอลลี่ที่มาช่วยซ่อมให้อีก”


ฉินสือโอวพยักหน้า งั้นนี่ก็เป็นสิ่งที่ควรจะช่วย เจ้าของฟาร์มชาวจีนที่อาศัยอยู่ต่างประเทศไม่ง่ายเลยจริงๆ เพราะยากที่จะเข้ากับชุมชนท้องถิ่นได้ การโดนดูถูกหรือโดนเหยียดนั้นมีอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่ง แต่การมีเพื่อนบ้านแบบนี้ นั่นถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก


เหมาเหว่ยหลงบอกว่าเขาจะไปโทรศัพท์ พอวางแล้วก็พูดยิ้มๆ “พวกเขาเก็บแผงปิดร้านแล้ว ฉันเลยเชิญพวกเขาให้มาเล่นด้วยกัน รอสักพักเดี๋ยวพวกเขาก็มาถึง”


เป็นอย่างที่คาดไว้ ผ่านไปไม่นาน เหมาเหว่ยหลงที่เพิ่งจะวอร์มเตาอบเสร็จ รถโตโยต้าไฮลักซ์ก็ขับเข้ามา


เหมาเหว่ยหลงไปต้อนรับครอบครัวพอลลี่และลูกๆ อีกสองคนของเขา ส่วนฉินสือโอวเตรียมย่างสเต๊กเนื้อ


ที่อเมริกาและแคนาดา สเต๊กเนื้อเป็นอาหารที่แสดงถึงความแข็งแกร่งของบุรุษ ผู้ชายไม่ต้องทำอาหารอย่างอื่นให้เป็นก็ได้ แต่ต้องทำสเต๊กเนื้อเป็น หุงผัดอุ่นต้มล้วนต้องทำเป็น ดูจากหนังของอเมริกาก็จะรู้ว่าในฉากการย่างบาร์บีคิวในครอบครัวนั้นปกติมักจะเป็นผู้ชายที่เป็นคนย่าง


เตาที่เหมาเหว่ยหลงนำออกมาย่างบาร์บีคิวก็เป็นเตาถ่านที่พบเห็นได้ทั่วไปในละครทีวีของอเมริกา ด้านในเป็นถ่านที่ถูกเผาด้วยเปลวไฟ มีตาข่ายเหล็กวางอยู่บนเตา แล้วเอาเนื้อวางไว้ด้านบน


พอลลี่เดินมาช่วย เขาพูดแบบยิ้มๆ “คุณคือฉินใช่ไหม? สวัสดีครับ ตอนที่เพิ่งรู้พวกเราค่อนข้างวุ่นวายกันอยู่ เลยยังไม่ได้แนะนำตัว ผมชื่อพอลลี่ พอลลี่ ซอร์ตัน เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นขอบคุณมากจริงๆ นะครับ”


จากนั้นฉินสือโอวและเขาก็จับมือเชคแฮนด์กันอีกครั้ง พลางตอบกลับว่า “ไม่เป็นไรครับ เหมาบอกว่าคุณมักจะช่วยเหลือเขา พอถึงครั้งเพื่อนมีปัญหา ทำไมพวกเราจะไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือกัน”


พอลลี่ไปเอาที่คีบมาแล้วช่วยเขาพลิกเนื้อ เห็นได้ชัดเลยว่าฝีมือของเขายิ่งกว่าระดับเต๋า จนฉินสือโอวต้องหลีกทางให้ กลายเป็นว่าเขาเป็นผู้ช่วยและเรียนย่างเนื้อกับเขาแทน


สเต๊กเนื้อพวกนี้มีคุณภาพดีและอุดมไปด้วยน้ำมัน ไม่จำเป็นต้องทาน้ำมัน เพียงแค่นำลงไปย่างก็ได้แล้ว และพอวางไว้ไม่นานน้ำมันก็จะออกมาเอง


พอลลี่ยังคงโรยพริกไทยไม่หยุดและเพิ่มรสด้วยหัวหอมหั่นหลังจากนั้นประมาณสองสามนาที เนื้อชิ้นนั้นก็ถูกย่างจนเป็นสีเหลืองทอง


ฉินสือโอวสูดดมกลิ่นแล้วเอ่ยชม “กลิ่นสุดยอดมากเลยเพื่อน กระเพาะของผมเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ครั้งนี้แล้ว”


พอลลี่ยิ้ม “บางทีตอนนี้ผมควรพูดถ่อมตัวใช่ไหม? แต่ว่าผมไม่ใช่คนแบบนั้น ฮ่าๆ ที่จริงแล้ว จริงๆ นะ ฉิน คุณภาพเนื้อวัวจากฟาร์มของผมสุดยอดมากจริงๆ แต่น่าเสียดายจริงๆ ให้ตายสิ ไม่รู้ว่าปัญหามาจากตรงไหน ตั้งแต่ปีที่แล้วเนื้อวัวเนื้อแกะขายไม่ออกเลย”


พูดจบ เขาก็ส่ายหน้าอย่างเศร้าๆ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)