ลำนำบุปผาพิษ 1275-1280
บทที่ 1275 พี่ชาย
แม่นางกู้ผู้นี้ไม่เพียงแต่วรยุทธ์เลิศล้ำเท่านั้น ยังเป็นหมอมากฝีมือคนหนึ่งด้วยหรือ?! เป็นไปไม่ได้กระมัง? ท้าทายสวรรค์ถึงเพียงนี้เชียวหรือ?!
ฝูงชนเบิกตามองกู้ซีจิ่ว คล้ายเชื่อและมิเชื่อ
ขาที่เป็นง่อยว่ากว่าสิบปีสามารถรักษาให้หายดีได้หรือ?
นัยน์ตาของหลัวจั่นอวี่ที่ราบเรียบมองอารมณ์ไม่ออกเสมอมาก็เจิดจ้าแล้วเช่นกัน ฝืนข่มความตื่นเต้นในใจเอาไว้ “แม่นางกู้ ขานี้ของข้า…”
“ระบบไหลเวียนของโลหิตในขาท่านยังใช้ได้ เส้นเอ็นและเส้นประสาทในส่วนการโคจรการเคลื่อนไหวได้รับความกระทบกระเทือน เกิดการอุดตันในจุดสำคัญ จึงไหลเวียนไม่ได้ ขาของท่านหากข้าเดาไม่ผิด เป็นเพราะขาของท่านเคยได้รับความเย็นยิ่งนักมาก่อน…ปกติแล้วจะไร้ความรู้สึก เอาเข็มแทงก็ไม่เจ็บไม่คัน มีเพียงยามจื่อของทุกวันที่จะเจ็บปวดรวดร้าวเข้าไปถึงกระดูก…”
กู้ซีจิ่วเริ่มกล่าวอาการเฉพาะของขาเขาออกมา ยิ่งพูดยิ่งตรงจุด มือของหลัวจั่นอวี่เริ่มสั่นสะท้านแล้ว พยักหน้าไม่หยุด “ถูกต้อง! ที่แม่นางกู้กล่าวมาไม่ผิดเลยสักนิด!”
เขาสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง “รักษาตามที่แม่นางกู้พูดเถอะ! จะเริ่มได้เมื่อไหร่?” ไม่มีผู้ใดยินดีจะเป็นคนง่อย เขาปรารถนาที่จะลุกขึ้นยืนมานานแล้ว ปรารถนาจนหัวใจเจ็บปวดไปหมดแล้ว!
กู้ซีจิ่วยิ้มน้อยๆ แวบหนึ่ง “ข้าต้องไปเก็บสมุนไพรสองสามอย่างก่อน ถึงจะหลอมโอสถที่ต้องการได้”
“แม่นางยังหลอมโอสถเป็นอีกหรือ?!” ในหมู่ชายฉกรรจ์ที่มุงดูอยู่มีคนถามขึ้นมา
“อืม สามารถหลอมโอสถประมาณระดับหกได้” กู้ซีจิ่วก็ไม่ถ่อมตัวเช่นกัน บอกไปตามตรง
ฝูงชนทึ่มทื่อกันหมดแล้ว
เรื่องนี้ทำให้ทุกคนแตกตื่นคึกคักขึ้นมา!
คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนมาจากครอบครัวที่ฝึกฝนวรยุทธ์ ระหกระเหินอยู่ในโลกภายนอกมานานหลายปี ย่อมทราบถึงความสำคัญและความล้ำค่าของยาลูกกลอนดี
ยาลูกกลอนไม่เพียงแต่รักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วยเท่านั้น ยังยกระดับพลังยุทธ์ของผู้คนได้ด้วย ปรับปรุงสมรรถภาพร่างกายคน ถึงขั้นที่ลดอันตรายจากการฝ่าทะลวงขั้นลงได้มากนัก ทำให้ฝึกวรยุทธ์อย่างสบายใจหายห่วงได้
และคนเหล่านี้ล้วนเป็นสายฝึกยุทธ์ทั้งสิ้น เชี่ยวชาญการฝึกวรยุทธ์ หลอมโอสถไม่เป็น ในบรรดาสี่สิบกว่าคนนี้มีหลัวจั่นอวี่คนเดียวที่เป็นหมอ ถึงวิชาแพทย์ของเขาจะล้ำเลิศ แต่กลับหลอมโอสถไม่เป็น ปกติแล้วเมื่อทุกคนป่วยไข้หรือได้รับบาดเจ็บส่วนใหญ่ล้วนนำสมุนไพรมาต้มหรือไม่ก็ทำเป็นยาพอก ไม่ได้ลิ้มรสยาลูกกลอนอันใดมาเนิ่นนานปีแล้ว
ยามนี้ไม่น่าเชื่อว่าแม่นางผู้นี้จะหลอมโอสถเป็น?! ซ้ำยังเป็นยาลูกกลอนระดับหกด้วย!
โอ้สวรรค์ เรื่องนี้ต่อให้เป็นที่โลกภายนอก วิชาหลอมโอสถเช่นนี้ก็คงท้าทายสวรรค์มากเช่นกันกระมัง?!
แม่นางผู้นี้อ่อนเยาว์ปานนี้ อายุน้อยขนาดนี้ นางเชี่ยวชาญรอบด้านถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน?!
“แม่นางกู้ ขอถามอย่างละลาบละล้วงสักประโยคเถิด เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว?”บางคนเริ่มสงสัยแล้วว่ากู้ซีจิ่วจะมีวิชาคงโฉม อายุขัยที่แท้จริงน่าจะไม่น้อยแล้ว
มีคนถามอีกว่า “แม่นางกู้ ก่อนข้าจะเข้ามาที่นี่ เคยได้ยินว่ามีสตรีศักดิ์สิทธิ์นางหนึ่งวิชาแพทย์เลิศล้ำ วิชาหลอมโอสถเก่งกาจ นางมีนามว่ากู่ซีซี เจ้ากับนาง…”
กู้ซีจิ่วตอบกลับอย่างราบเรียบ “ข้าเป็นบุตรีของแม่ทัพกู้เซี่ยเทียนแห่งอาณาจักรเฟยซิง อายุสิบเจ็ดปี ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับกู่ซีซีแห่งสำนักถามสวรรค์”
ในบรรดาคนที่อยู่ที่นี่มีคนหนึ่งที่เข้ามาเมื่อเก้าปีก่อน เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของกู้ซีจิ่วมาบ้าง เอ่ยโพล่งออกมา “ข้าจำได้ว่าแม่ทัพกู้ให้กำเนิดบุตรสาวที่เป็นสวะไร้พลังอยู่คนหนึ่ง ซ้ำยังมีปานเต็มหน้า นามว่ากู้ซีจิ่วเช่นกัน…”
เมื่อมองเห็นผิวพรรณขาวผ่องเป็นยองใยของกู้ซีจิ่ว เขาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง “หรือว่าจวนแม่ทัพจะมีคุณหนูกู้ซีจิ่วสองคน?”
เรื่องนี้จะเล่าไปก็ยืดยาว
กู้ซีจิ่วไม่คิดจะป่าวประกาศอดีตของตนให้ผู้อื่นทราบ ตอบไปเพียงว่า “ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันคุณหนูกู้ซีจิ่วมีเพียงคนเดียวเท่านั้น อดีตผ่านพ้นไปแล้ว จงดูกันที่ปัจจุบัน ถือเสียว่าข้าถือกำเนิดใหม่แล้ว”
วาจาสั้นๆ ไม่กี่ประโยค คล้ายว่าจะแฝงอดีตที่โหดร้ายคาวโลหิตมากมายเอาไว้
ทุกคนล้วนมีอดีตที่ไม่อากกล่าวถึงด้วยกันทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงเลือกที่จะไม่ซักถามต่ออีกอย่างเฉลียวฉลาด
————————————————————————————-
บทที่ 1276 สุนัขมากเนื้อน้อย
ความสนใจของทุกคนกลับมาอยู่ที่การหลอมโอสถของกู้ซีจิ่วอีกครั้ง พากันสอบถามว่าเธอต้องการสมุนไพรอะไรบ้าง คนเหล่านี้ขึ้นเขาไปล่าสัตว์เป็นประจำ ตรงไหมีสมุนไพนิดใดพวกเขาทราบแจ่มแจ้งยิ่งนัก
กู้ซีจิ่วจดรายการสมุนไพรทั้งหมดที่ต้องการออกมาหนึ่งแผ่น หลัวจั่นอวี่รับไปอ่านดูก่อน มอบหมายให้คนแยกกันไปเก็บทันที
ในนั้นมีตัวยาชนิดหนึ่งที่ไม่ใช่สมุนไพร แต่เป็นกระดูกของสัตว์ชนิดหนึ่ง และสัตว์ชนิดนี้ก็เป็นสัตว์ร้ายขั้นเจ็ด อาศัยอยู่ในส่วนลึกที่สุดของภูเขา
หลัวจั่นอวี่เอ่ยขึ้นว่า “ชนิดนี้ข้าจะไปเก็บด้วยตัวเอง แม่นางกู้ เจ้าไปกับข้าไหม?”
กู้ซีจิ่วตอบทันที “ได้!”
ฝูงชนมองหน้ากันเหลอหลา
เป็นครั้งแรกที่หัวหน้าหลัวเชื้อเชิญสตรีให้ร่วมทางไปกับเขา หรือว่าในที่สุดหัวหน้าหลัวก็หวั่นไหวแล้ว?
ใช่แล้ว เด็กสาวนางนี้เฉลียวฉลาด สวยสดงดงาม ฝีมือสูงส่ง ซ้ำยังมีความสามารถมากถึงเพียงนี้ บุรุษคนใดบ้างเล่าไม่ชมชอบ? อันที่จริงเหล่าชายโสดที่อยู่ที่นี่ไม่รู้ว่าตกเป็นจำเลยรักของแม่นางกู้ไปสักกี่มากน้อยแล้ว ในใจครุ่นคิดว่าจะไล่ตามโฉมงามอย่างไรดี กลยุทธ์ที่แต่ละคนคิดขึ้นในใจสามารถเขียนเป็นตำราสามสิบหกกลยุทธ์พิชิตใจนารีเล่มหนึ่งได้แล้ว!
แต่ถ้าหากหัวหน้าหลัวก็มาร่วมการแข่งขันด้วย…
หวา ความกดดันในการแข่งขันสูงนัก!
ที่นี่มีบุรุษมาก แถมยังเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายเช่นนี้ด้วย ดังนั้นบุรุษเหล่านี้จึงมีนิสัยห่ามๆ เป็นธรรมดา กระทำการใดก็ผ่าเผยใจกว้าง การพิชิตใจสตรีก็พิชิตกันอย่างซื่อตรงเป็นธรรม ถ้ามีเหตุผลก็กระทำได้เต็มที่
ดังนั้นบุรุษจึงมีคนอื่นๆ ก้าวออกมาขันอาสา “อสรพิษหุ้มเกราะตัวนั้นเป็นสัตว์ร้ายระดับเจ็ด! รับมือได้ยาก ข้าจะไปกับพวกท่านด้วย!”
“หัวหน้าหลัว ข้าก็จะไปด้วย! นับข้าอีกคน!”
คิดจะไล่ตามสตรีก็ต้องลงทุนลงแรงกันหน่อย โดยเฉพาะสตรีที่งดงามและมีความสามารถมากถึงเพียงนี้ยิ่งต้องทุ่มเทสุดกำลัง!
ชายโสดเหล่านี้ล้วนอยากแสดงความมีตัวตนต่อหน้ากู้ซีจิ่ว ดังนั้นจึงพากันลงสมัคร
แต่หลัวจั่นอวี่กล่าวประโยคหนึ่งที่เปรียบเสมือนการราดน้ำเย็นลงบนศีรษะพวกเขา ยับยั้งฮอร์โมนเพศชายที่พลุ่งพล่านอย่างยิ่งของพวกเขา “ไม่ต้อง พวกเราไปกันสองคนก็พอแล้ว พวกเจ้าควรทำอะไรก็ไปทำเถอะ”
อย่าทำแบบนี้น่า ลูกพี่ท่านคิดจะเป็นนกยูงที่รำแพนหางต่อหน้าโฉมงาม ก็ควรอนุญาตให้นกยูงตัวอื่นร่วมประลองด้วยสิ ดีร้ายอย่างไรก็ให้พวกเขาได้รำแพนหางต่อหน้าโฉมงามบ้างสิ!
ด้วยเหตุนี้ จึงมีบางคนที่โต้แย้งอย่างไม่ถอดใจอยู่ ถึงขั้นยกประเด็นเรื่องขาที่เคลื่อนไหวไม่สะดวกของหลัวจั่นอวี่มา บอกว่าไม่เหมาะกับการขึ้นเขาล่าสัตว์
หลัวจั่นอวี่ไม่พูดจาไร้สาระกับเขา จัดการทุบตีคนผู้นั้นจนแข้งขาเคลื่อนไหวไม่สะดวกทันที คาดว่าเขาน่าจะลุกไม่ขึ้นไปอีกสามวันห้าวัน
เมื่อจัดการคนเสร็จ หลัวจั่นอวี่หน้าไม่แดงไม่หอบหายใจ กวาดตามองเหล่า ‘นกยูงตัวผู้’ ที่อยู่รอบๆ อย่างดุดันแวบหนึ่ง “ยังมีใครคิดจะพูดเหลวไหลอยู่หรือไม่?”
เหล่า ‘นกยูงตัวผู้’ ทั้งหลายแตกฮือออกไปปานวิหคตื่นสัตว์ตระหนก
สุนัขมากเนื้อน้อย สตรีน้อยเกินไป ทำให้เหล่าบุรุษของที่นี่ไม่มีแหล่งระบายปราณหยางที่อัดแน่นอยู่เต็มกาย ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเปลี่ยนความเศร้าหมองให้เป็นพลัง ร้องตะโกนโอ้วๆ แล้วจับกลุ่มกันขึ้นเขาไปสู้ตายกับสัตว์ร้าย
….
“พี่ เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่ สตรีมีน้อยเกินไป” ระหว่างที่เดินทางไปยังภูเขาด้านหลัง กู้ซีจิ่วมองดูชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งที่กำลังย่ำยีดอกเบญจมาศของสัตว์ร้ายตัวหนึ่งอยู่ อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
ตามปกติแล้วผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่แล้วจะมีความต้องการสูง โดยเฉพาะผู้ชายวัยหนุ่ม ยิ่งมีฮอร์โมนเพศชายที่เปี่ยมล้วนอยู่ทุกวัน หากไม่รับการปลดปล่อยเป็นเวลานาน จะเก็บกดจนวิปริตได้!
ตอนที่กู้ซีจิ่วอยู่ในยุคปัจจุบัน เคยเห็นข่าวหนึ่ง บอกว่าพวกผู้ชายที่ทำงานอยู่ในภูเขาอะไรสักอย่างเก็บกดจนเลือดขึ้นหน้า จับแม่หมูตัวหนึ่งมาย่ำยี แถมยังข่มขืนแม่วัวด้วย…มีเรื่องพิสดารเกิดขึ้นนับไม่ถ้วนจากเหตุผลสารพัด
และที่นี่มีผู้หญิงทั้งหมดแปดคน แถมยังออกเรือนไปแล้วหกคนด้วย…
บทที่ 1277 ข้ารู้สึกว่าท่านเหมือนพี่ชายของข้าเลย!
หลัวจั่นอวี่ส่ายหน้าถอนหายใจเบาๆ “นี่ก็ช่วยไม่ได้เช่นกัน สตรีที่เข้ามามีน้อยเกินไป และพวกเราก็ฝ่าออกไปไม่ได้ ใช่แล้ว เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?”
“พี่ไง” กู้ซีจิ่วยิ้มน้อยๆ “ข้ารู้สึกว่าท่านเหมือนพี่ชายของข้าเลย!”
สายตาที่หลัวจั่นอวี่มองเธอทอแววซับซ้อนเล็กน้อย “แปลก…”
“แปลกอะไร?”
หลัวจั่นอวี่มองเธออยู่พักหนึ่ง เม้มริมฝีปากบางนิดๆ “ตอนที่เจ้าพูดถึงแม่ทัพกู้ ไม่รู้เหตุใดข้าถึงรู้สึกต่อต้านอยู่บ้าง จิตใต้สำนักไม่ต้องการได้ยินชื่อของคนผู้นี้ แต่กับเจ้าแล้วกลับมีความรู้สึกใกล้ชิดอย่างน่าประหลาด คล้ายกับว่าตอนเจ้ายังเล็กข้าเคยโอ๋เคยกล่อมเจ้า…”
ในใจของกู้ซีจิ่วเศร้าหมอง ตอนที่กู้เทียนนั่วหายไปกู้ซีจิ่วเพิ่งอายุขวบกว่าๆ เท่านั้น บางทีพี่ชายอย่างเขาอาจจะเคยกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูน้องสาวตัวน้อยจริงๆ
ทันใดนั้นในสมองเธอพลันมีภาพหนึ่งแวบขึ้นมา ทารกน้อยคนหนึ่งนอนอยู่ในเปลหัดพูดอ้อๆ แอ้ๆ เด็กชายตัวน้อยที่อายุประมาณสิบขวบคนหนึ่งวิ่งมาที่ข้างเปล ใช้มือน้อยๆ สัมผัสใบหน้านุ่มนิ่มของทารกน้อย “น้องสาว อย่ากลัวนะ พี่ชายจะปกป้องเจ้าเอง จะไม่ปล่อยให้เจ้าถูกคนอื่นรังแก”
ทารกน้อยถูกเขาหยอกจนหัวเราะคิกๆ เด็กชายตัวน้อยอุ้มนางขึ้นมาอย่างกินแรงอยู่บ้าง “น้องสาว เรียกพี่ชายสิ มา เรียกพี่ชายนะ เรียกพี่ชาย แล้วพี่ชายจะพาเจ้าออกไปเล่น”
ด้วยเหตุนี้ทารกน้อยจึงเรียกออกมาจริงๆ “พี่ชาย!” ด้วยออกเสียงไม่ชัด จึงฟังดูคล้ายคำว่า ‘จิ้งหรีด’[1] แทน
แต่เด็กชายคนนั้นยังคงยินดีปรีดาขึ้นมา อุ้มทารกน้อยออกไปข้างนอก “เด็กดี พี่ชายจะพาเจ้าไปดูดอกไม้!”
เด็กชายวางทารกน้อยลงบนสนามหญ้า เขาอยู่ที่นั่นออกหมัดฝึกฝนให้นางดู
เด็กชายตัวน้อยน่าจะปวดเบาขึ้นมา จึงเข้ามาเจรจากับน้องสาว “น้องสาว เจ้านั่งอยู่ตรงนี้ก่อนนะ ห้ามคลานซุกซน เดี๋ยวพี่ชายจะรีบกลับมา เจ้าเป็นเด็กดีว่าง่ายเถอะนะ”
จากนั้นเด็กชายก็รีบวิ่งออกไป เขาเพิ่งจะวิ่งจากไป ก็มีเด็กชายอายุประมาณเจ็ดแปดขวบคนหนึ่งกับเด็กผู้หญิงอีกไม่กี่คนวิ่งมาเล่นที่สนามหญ้าแห่งนี้ มองเห็นทารกน้อยที่กำลังนั่งรออยู่บนสนามหญ้าอย่างเชื่อฟังอยู่ ในใจเกิดความคิดพิเรนท์ขึ้นมา ภายใต้การนำของเด็กชายวัยเจ็ดแปดขวบคนนั้น เด็กๆ สองสามคนจึงพากันปาดินใส่ทารกน้อย ดึงเปียน้อยๆ ของนาง ทึ้งเสื้อผ้าของนาง หนูน้อยที่เดิมทีขาวผ่องดั่งก้อนแป้งถูกปาดินใส่ทั่วหัวทั่วหน้า นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ตรงนั้น
เด็กชายวัยสิบกว่าขวบคนเดิมวิ่งฉิวกลับมาปานกระสุนปืนใหญ่ พอเห็นน้องสาวสุดที่รักถูกกลั่นแกล้งจนกลายเป็นเช่นนี้ ก็โกรธเกรี้ยวยิ่งนัก พุ่งหลาวเอาหัวชนเด็กชายวัยเจ็ดแปดขวบคนนั้นจนล้มลงพื้นไปก่อน จากนั้นก็ผลักศีรษะเด็กคนอื่นๆ แต่ละคนล้มกลิ้งเปื้อนดินโคลนไปทั้งร่าง…
จากนั้นก็อุ้มทารกน้อยขึ้นมา ตักเตือนเหล่าผีน้อยที่อยู่รอบๆ ด้วยน้ำเสียงขึงขัง “ผู้ใดกล้ารังแกน้องสาวของข้า ผู้นั้นจะได้เห็นดีกับข้าแน่!”
ด้วยเหตุนี้ ทารกน้อยที่ถูกเขาปลอบโอ๋จึงยิ้มออกมาทั้งน้ำตา ส่วนผีน้อยไม่กี่คนก็ผนึกกำลังกันร้องไห้จ้า!
เสียงร้องไห้เรียกให้ผู้ใหญ่มา ในนั้นมีกู้เซี่ยเทียนอยู่ด้วย เหล่าเด็กน้อยพากันเข้าไปฟ้อง กู้เซี่ยเทียนรู้สึกปวดหัวแล้ว ตำหนิเด็กชายวัยสิบขวบ “เทียนนั่ว ทำไมเจ้าถึงรังแกพวกน้องชายน้องสาวล่ะ? พี่น้องต้องมีน้ำใจไมตรีต่อกัน ไม่อาจทะเลาะเบาะแว้ง…”
กู้เทียนนั่วคอแข็งใส่ “เป็นพวกเขาที่รังแกน้องสาวข้าก่อน! น้องสาวของข้าใครหน้าไหนก็ห้ามรังแก!”
กู้เซี่ยเทียนนวดหว่างคิ้ว “เทียนนั่ว พวกเขาก็เป็นน้องๆ ของเจ้าเหมือนกันนะ…”
กู้เทียนนั่วสะบัดหน้าทันที “ไม่ใช่! เทียนนั่วมีน้องสาวแค่คนเดียว คนอื่นล้วนไม่ใช่! ถ้าพวกเขากล้ามาหาเรื่องข้าอีก! ข้าจะทำให้พวกเขาเจอบทเรียนที่น่าดูชม!”
เห็นได้ชัดว่าประโยคนี้กระตุ้นอารมณ์ของกู้เซี่ยเทียนเข้า…
————————————————————————————-
บทที่ 1278 ต่อไปข้าเรียกท่านว่าพี่ได้ไหม
เห็นได้ชัดว่าประโยคนี้กระตุ้นอารมณ์ของกู้เซี่ยเทียนเข้า เขาเดือดดาลขึ้นมา “เจ้าสารเลวน้อย! พอกันที! ใครก็ได้มานี่สิ ส่งตัวสารเลวน้อยผู้นี้ไปคุกเข่าที่ศาลบรรพชน ถ้าไม่ยอมรับความผิดของตน ก็ไม่อนุญาตให้เขาลุกขึ้น!”
บางทีความเดือดดาลของกู้เซี่ยเทียนอาจทำให้ทารกตกใจเข้า ทารกน้อยที่เพิ่งหยุดร้องไห้ไปเมื่อครู่จึงร้องเสียงดังขึ้นมาอีก ร้องไปพลางกล่าวไปพลาง “ท่านพ่อไม่ดี…พี่ชาย เอาพี่ชาย…”
ภาพเหตุการณ์สิ้นสุดลงตรงนี้อย่างกะทันหัน
กู้ซีจิ่วตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง หลังจากเธอทะลุมิติมาเข้าร่าง ความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมก็ถูกเธอดูดซับมาจริงๆ แต่นั่นอยู่บนพื้นฐานที่เธออยู่ในร่างเดิมเท่านั้น ร่างที่เธออยู่ในยามนี้เป็นร่างโคลนนิ่งที่หลังฟั่นสร้างขึ้น แล้วมีความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมผุดขึ้นมาอีกได้อย่างไร?
หรือว่าดวงวิญญาณเจ้าของร่างเดิมได้หลอมรวมเข้ากับเธออย่างสมบูรณ์แล้ว?
เธอใจลอยไปชั่วขณะ แม้กระทั่งหลัวจั่นอวี่จะพูดอะไรบางอย่างด้วยเธอก็ได้ฟังเลย
หลัวจั่นอวี่เอ่ยถามอีกครั้งหนึ่ง “ซีจิ่ว วรยุทธ์กับวิชาแพทย์ของเจ้าร่ำเรียนมาจากผู้ใดหรือ?”
เรื่องนี้…
อันที่จริงตราบจนยามนี้ วรยุทธ์และวิชาแพทย์ของกู้ซีจิ่วผสมปนเปกันยิ่งนัก ชาติก่อนหลักๆ แล้วเรียนมาจากหลงซี ในสนามรบจริงก็แอบครูพักลักจำจากยอดฝีมือคนอื่นๆ แถมยังเคยเรียนเพิ่มเติมกับหมอคนอื่นๆ ด้วยหลังจากทะลุมิติมา ความรู้ส่วนมากก็เป็นตี้ฝูอีที่สอนเธอ ในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ก็ได้ร่ำเรียนมาไม่น้อย…เพียงแต่หลักๆ แล้วยังคงเป็นการเรียนรู้มาจากตี้ฝูอี..
เมื่อนึกถึง ‘ตี้ฝูอี’ สามคำนี้ หัวใจเหมือนถูกทิ่มแทงเล็กน้อย รีบฝืนกดนามนี้ลงไปในส่วนลึกของความทรงจำทันที
แย้มยิ้มแวบหนึ่งแล้วเอ่ยตอบ “เคยเรียนรู้จากผู้คนมากมายนัก ค่อนข้างซับซ้อน ใช่แล้ว ต่อไปข้าเรียกท่านว่าพี่ได้ไหม?”
หลัวจั่นอวี่พยักหน้า “ได้ เช่นนั้นข้าก็จะเปลี่ยนไปเรียกชื่อเจ้าตรงๆ เลย”
กู้ซีจิ่วมองเขาแล้วกล่าวขึ้นว่า “พี่ ข้าได้ยินคนอื่นบอกว่าท่านไม่มีความจำก่อนที่จะมาที่นี่เลย จริงหรือเปล่า?”
หลั่วจั่นอวี่แข็งทื่อไปแวบหนึ่ง พยักหน้านิดๆ “จริง”
“ถ้างั้นท่านคิดจะฟื้นฟูความทรงจำในอดีตบ้างหรือไม่?”
หลัวจั่นอวี่ขมวดคิ้วนิดๆ ค่อยๆ ส่ายหน้า “ไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย” จิตใต้สำนึกของเขาต่อต้านเรื่องราวในอดีต
กู้ซีจิ่วนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ช่วงนั้นตอนที่เธอเสียความทรงจำไปได้พยายามสุดชีวิตเพื่อตามหาความทรงจำของตนกลับมา ปวดหัวมากถึงเพียงนี้ก็ยังต้องการตามหากลับมา…
เธอหลงนึกว่าหลัวจั่นอวี่ก็คงอยากฟื้นฟูความทรงจำเช่นเดียวกับเธอ เพียงแต่จนใจที่ไม่มีหนทางเท่านั้น ไม่นึกเลยว่า…
ทั้งสองเดินทางขึ้นเขาพลางพูดคุยกันไปด้วย หลัวจั่นอวี่นั่งอยู่ในรถเข็นเล็กๆ คันนั้นของเขาตลอด รถเข็นเล็กๆ คันนี้เปรียบเสมือนสองเท้าของเขา สามารถไต่ไปเส้นทางภูเขาที่ขรุขระพวกนั้นได้สาบายๆ…
ระหว่างที่พูดคุยกันกู้ซีจิ่วได้หว่านล้อมเขา บอกว่ามนุษย์ไม่อาจหลบเลี่ยงไปได้ จะต้องเผชิญหน้ากับอดีตทั้งหมดของตนอย่างกล้าหาญอะไรทำนองนั้น
เธอมีวาทศิลป์ยิ่งนัก หลัวจั่นอวี่ฟังไปสักพักก็หวั่นไหวขึ้นมาบ้างแล้ว เขาถอนหายใจเบาๆ “เจ้าพูดถูก ความทรงจำที่รู้สึกว่ารับไม่ไหวในวัยเด็กเมื่อนึกขึ้นมาในยามนี้อาจจะยอมรับได้ง่ายๆ แล้ว…หากว่าสามารถฟื้นฟูได้ข้าก็ไม่ขัดข้อง แต่ข้าไม่มีวิธี…”
กู้ซีจิ่วแย้มยิ้ม “ท่านไม่มีแต่ข้ามี! พี่ ข้าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคนี้!”
นัยน์ตาของเธอพราวระยับ อารมณ์ของหลัวจั่นอวี่ก็ถูกเธอฉุดขึ้นมาเช่นกัน ยิ้มอออกมาอย่างอดไว้ไม่อยู่ “เจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญรึ? คงมิใช่ว่าเจ้าเคยความจำเสื่อมมาก่อนกระมัง?”
แพขนตากู้ซีจิ่วพลันหลุบลง “ใช่แล้ว ข้าเคยความจำเสื่อม…เพียงแต่ของข้าเป็นการถูกคนบังคับลบความทรงจำไป ต่อมาหลังจากข้าฟื้นฟูความทรงจำได้ ก็ปฏิญาณไว้แล้วไม่ว่าวันหน้าจะประสบพบเจอสิ่งใดก็จะไม่เสียความทรงจำไปอีก! ต่อให้ใช้ยาก็บังคับควบคุมข้าไม่ได้!”
วาจานี้คล้ายจะแฝงมรสุมความโหดร้ายเอาไว้ หลัวจั่วอวี่จึงโกรธขึ้งขึ้นมา “ไอ้สารเลวหน้าไหนที่ลบความทรงจำทั้งหมดของเจ้า?!” หากว่าเขามีโอกาสออกไปได้จะไปซ้อมไอ้คนผู้นั้นแน่นอน!
หัวใจของกู้ซีจิ่วพลันอุ่นวาบ กล่าวไปว่า “คนผู้นั้นถูกข้าสังหารแล้ว หนีไปก่อเรื่องไม่ได้อีกแล้ว…”
————————————————————————————-
[1] คำว่าพี่ชาย ในภาษาจีนออกเสียงว่า เกอเกอ (哥哥) ส่วนคำว่าจิ้งหรีดออกเสียงว่า กัวกัว (蝈蝈)
บทที่ 1279 มีตัวเลือกที่เหมาะสมก็มาบอกข้า
อย่างน้อยก็ก่อเรื่องไม่ได้เป็นระยะเวลากว่าสิบปี ยามนี้ไม่รู้ว่าหลงฟั่นไปนั่งโยงเพาะเห็ดอยู่ที่ซอกหลืบมุมใดแล้ว!
เมื่อนึกถึงหลงฟั่น ก็นึกถึงคนที่เคยต้อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเธอผู้นั้นขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เงาร่างของใครบางคนแวบขึ้นมาในสมอง หัวใจเสมือนถูกมีดกรีดแทง เจ็บปวดดั่งมีปูกางก้ามหนีบอยู่ในทรวงอก…
รีบกดเงาร่างของคนผู้นั้นลงไปทันที
หลัวจั่นอวี่เห็นว่าจู่ๆ ใบหน้าเฉิดฉันของนางก็ซีดเซียวลง จึงเอ่ยถามอย่างห่วงใย “เป็นอะไรไป? ไม่สบายหรือ?”
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “ไม่หรอก ใช่แล้ว พี่ ทำไมท่านถึงตั้งกฎให้หมู่บ้านนี้มีผัวเดียวเมียเดียวขึ้นมาล่ะ?”
ในยุคนี้บุรุษที่มีความคิดเช่นนี้สมควรมีน้อยนิดยิ่งมิใช่หรือ? หรือว่าเขาจะทะลุมิติมาเหมือนกัน?
หลัวจั่นอวี่นิ่งไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยตอบ “ข้ารังเกียจบุรุษที่มีสามภรรยาสี่อนุยิ่งนักอย่างไม่มีสาเหตุ และรังเกียจสตรีที่เล่นเล่ห์มารยา ในเมื่อจะครองคู่เป็นสามีภรรยากันก็ควรจับมืออยู่กินกันไปชั่วชีวิต จนแก่เฒ่าผมขาวโพลน…”
ความคิดนี้ไม่ต่ำช้า เธอชอบ!
กู้ซีจิ่วรู้สึกชอบพี่ชายคนนี้มากเหลือเกิน หลัวจั่นอวี่เอ่ยขึ้นอีกว่า “นอกเหนือจากสามีภรรยาสองคู่แรกที่ข้าไม่ได้เข้าไปก้าวก่ายด้วย คู่อื่นๆ เมื่อต้องการจะครองคู่เป็นสามีภรรยากัน ข้าล้วนเคยทดสอบซ้ำไปซ้ำมา และจำเป็นต้องให้พวกเขาใคร่ครวญอย่างชัดเจนก่อน พอกลายเป็นสามีภรรยากันแล้วก็ต้องอยู่ด้วยกันไปชั่วชีวิต ให้พวกเขาระมัดระวัง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายชายไม่ซื่อสัตย์หรือว่าเป็นฝ่ายหญิงที่นอกใจล้วนต้องได้รับบทลงโทษที่หนักหนาร้ายแรง”
กู้ซีจิ่วกระแอมคราหนึ่ง รู้สึกว่าหลัวจั่นอวี่ผู้นี้เคร่งครัดจนเกินงามอยู่บ้าง เพียงแต่เช่นนี้ก็ยุติธรรมดี อย่างน้อยเมื่อคนเหล่าแต่งงานไปก็ต้องระมัดระวังแล้วระมัดระวังอีก
มิน่าล่ะพอเมียเหลิ่งเอ้อร์คนนั้นได้ยินข่าวลือก็ไปหาหลัวจั่นอวี่เพื่อขอความเป็นธรรม ที่แท้ก็เป็นเพราะมีกฏข้อนี้อยู่
“พี่ ทำไมท่านไม่หาสักคนล่ะ?” ด้วยเงื่อนไขของหลัวจั่นอวี่น่าเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของหญิงสาวเหล่านั้นเลยมิใช่หรือ?
หลัวจั่นอวี่นิ่งไปเล็กน้อย ส่ายหน้านิดๆ “ไม่เหมาะสม” ดังนั้นเขาจึงยอมขาดแคลนดีกว่าได้ของไร้คุณภาพ
ในบรรดาสตรีทั้งแปดที่ถูกขังไว้ที่นี่ มีคนโสดอยู่สองคน หนึ่งคือหวงซังเซียง ส่วนสตรีอีกนางมีนามว่าเมิงซู่เหยียน
หากกล่าวว่าหวงซังเซียงลื่นไหลเข้าได้กับทุกคน เป็นสาวสังคมที่ได้รับความนิยมจากบุรุษมากมาย เช่นนั้นเมิ่งซู่เหยียนก็เป็นโฉมงามผู้เย็นชา ปกติจะเงียบขรึมพูดน้อย ยากจะเปิดปากเอื้อนเอ่ย ชอบทำสิ่งต่างๆ เพียงลำพัง ไม่เข้าสังคม แต่วรยุทธ์เลิศล้ำที่สุดในบบราดสตรีทั้งแปดนาง
หากมิใช่เพราะนางเป็นสตรี เกรงว่าคงไม่มีใครสังเกตเห็นความมีตัวตนของนาง
อีกทั้งนางไม่ชมชอบใกล้ชิดกับบุรุษใด ต่อให้เป็นหลัวจั่วอวี่ก็เช่นกัน นางเป็นคนเดียวที่ไม่หวั่นไหวกับหลัวจั่นอวี่
รูปโฉมของสตรีนางนั้นก็งดงามมากเช่นกัน จัดการเรื่องราวเรียบร้อยหมดจด กู้ซีจิ่วอยู่ที่นี่มาสองวันแล้ว เคยพบกับเมิ่งซู่เหยียนหนหนึ่ง เป็นสตรีที่เฉยชายิ่งนัก
ยามนี้กู้ซีจิ่วจึงเอ่ยถึงนางขึ้นมา กล่าวอย่างติดตลกว่า “สถานที่นี่แห่งนี้เข้าได้ออกไม่ได้ บางทีพวกเราอาจต้องอยู่ที่นี่ไปจนตาย พี่ก็ควรหาคู่ชีวิตสักคนนะ ข้าว่าจริงๆ แล้วเมิ่งซู่เหยียนก็ยอดเยี่ยมมากนะ…ท่านอย่าเอาแต่รอให้ผู้อื่นไล่ตามท่านเลย ท่านควรออกโรงก่อนบ้าง…”
หลัวจั่นอวี่แข็งทื่อไปเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มขื่นๆ แล้วส่ายหน้า “ซีจิ่ว เจ้าคิดมากไปแล้ว เมิ่งซู่เหยียนมีคนรักอยู่ด้านนอก นางเข้ามาที่นี่ตอนอายุสิบห้า ก่อนมาที่นี่ นางมีคู่หมั้นแล้ว…นางเป็นคนหนึ่งที่อยากออกไปมากที่สุด หลายปีมานี้ทุกคนล้วนถอดใจต่อเรื่องออกไปข้างนอกแล้ว แต่นางยังคงไม่ถอดใจเสมอมา ทุกวันหลังจากทำงานเสร็จ นางจะมีภารกิจเพียงสองอย่าง ฝึกฝนวรยุทธ์และค้นหาทางออก…”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!
กู้ซีจิ่วเศร้าใจ เมิ่งซู่เหยียนผู้นี้เป็นสตรีที่อุทิศตนเพื่อความรัก คู่ควรให้เลื่อมใส!
“ใช่แล้ว ซีจิ่ว มีความเป็นไปได้เกือบสิบส่วนที่ชีวิตนี้พวกเราจะต้องตายอยู่ที่นี่ เจ้าอยู่ที่นี่ก็พิถีพิถันให้มากหน่อย หากมีตัวเลือกที่เหมาะสมก็มาบอกข้า ข้าจะตรวจสอบให้เจ้าเอง…” หลัวจั่วอวี่กล่าวอย่างไม่อ้อมค้อม
————————————————————————————-
บทที่ 1280 เมื่อพานพบคาบสมุทรชางไห่คงคาใดก็ไม่อาจทัดเทียม
กู้ซีจิ่วเงียบงัน
เธอหัวเราะฮ่าๆ กลบเกลื่อนไป ไม่มีตัวเลือกที่เหมาะสมอีกแล้ว…
เมื่อพานพบคาบสมุทรชางไห่คงคาใดก็ไม่อาจทัดเทียม หากมิใช่ยอดเมฆาเหนือภูเขาอูซานก็ไม่อาจนับได้ว่าเป็นยอดเมฆา[1] มิใช่เพียงบทกวีสองประโยคเท่านั้น แต่เป็นบรรยายถึงสภาพจิตใจอย่างแท้จริง
เธอชอบตี้ฝูอี ถึงแม้จะแยกทางกับเขาแล้ว แต่ความชอบนั้นไม่ได้ลดทอนลงสักนิด เธอรู้สึกว่าความรักครั้งนี้เธอไม่อาจก้าวข้ามไปได้ง่ายๆ และเธอก็ไม่อาจยอมรับผู้อื่นได้อีกแล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับเวลา บางทีอีกหลายปีให้หลังจิตใจเธออาจจะเปลี่ยนแปลงไป สามารถปล่อยวางความรักครั้งนี้ได้…
ตอนนี้เธอไม่อยากสนทนาเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อันใดอีกแล้ว!
แต่ความรู้สึกของหลัวจั่นอวี่กลับเฉียบไวนัก “ซีจิ่ว หรือเจ้าก็มีคนรักอยู่ด้านนอกเหมือนกัน?”
กู้ซีจิ่วไม่อยากพูดถึง ดังนั้นเธอจึงเบี่ยงหัวข้อสนทนาไปเสีย เงยหน้ามองด้านหน้าแวบหนึ่ง “เอ๊ะ ข้าพบสมุนไพรอย่างหนึ่งที่ต้องการแล้ว!” ร่างกายพุ่งทะยาน เหินไปที่หน้าผาที่อยู่ไม่ไกลออกไป
การเดินทางไปเก็บสมุนไพรของทั้งสองคนราบรื่นยิ่งนัก วรยุทธ์ของทั้งสองล้วนสูงส่ง ปฏิกิริยาตอบสนองว่องไวนัก ถึงแม้อสรพิษตัวนั้นจะเป็นสัตว์ร้ายขั้นเจ็ดที่ดุร้ายอย่างยิ่ง แต่เมื่อพบพานพวกกู้ซีจิ่วทั้งสอง ก็ทำได้เพียงสังเวยกระดูกของมันออกมาเท่านั้น…
เมื่อกลับมาจากเก็บรวบรวมสมุนไพร กู้ซีจิ่วก็เริ่มหลอมกลั่นโอสถทันที
ยามผู้อื่นหลอมโอสถล้วนจะอยู่ในห้องหับที่มิดชิด ทักษะฝีมือทั้งหมดล้วนต้องเก็บงำซ่อนเร้นไว้ ทว่ากู้ซีจิ่วลับตั้งเตาหลอมในกระท่อมเล็กๆ ของตัวอย่างโจ้งแจ้งเปิดเผย ดึงดูดให้ฝูงชนมามุงดูไม่น้อย
ไม่ว่ากระทำการใดกู้ซีจิ่วล้วนทำอย่างทุ่มเทให้ออกมาดีที่สุด การหลอมโอสถก็เช่นกัน เมื่อโอสถเตานี้หลอมเสร็จเรียบร้อย ยามที่เปิดฝาออกมา ฝูงชนก็ได้เห็นยาลูกกลอนระดับหกหนึ่งเม็ด ลูกกลอนระดับห้าสามเม็ด ลูกกลอนระดับสามสองเม็ด ที่เหลือเป็นระดับหนึ่งนอนอยู่ที่ก้นเตา…
ถึงอย่างไรผู้คนที่นี่ก็ล้วนเป็นอัจฉริยะทั้งสิ้น และเป็นบุคคลที่เคยพบเห็นโอสถล้ำค่ามาก่อน แต่โอสถที่พวกเขาได้พบหรือได้กินอยู่บ่อยๆ ก็คือยาลูกกลอนระดับสาม ยาลูกกลอนระดับห้าสำหรับพกเขานับเป็นของชั้นเลิศแล้ว ส่วนลูกกลอนระดับหกพวกเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย!
ดังนั้นมื่อโอสถเตานี้หลอมสำเร็จ ทุกคนที่มุงดูจึงโห่ร้องด้วยความยินดี คนทั้งหลายล้วนปรีดายิ่งนัก! ตื่นเต้นยิ่งนัก!
ในที่สุดพวกเขาก็มีปรมาจารย์หลอมโอสถเป็นของตัวเองแล้ว ซ้ำยังเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถระดับสูงเช่นนี้ด้วย! ต่อไปพวกเขาก็ไม่ต้องกริ่งเกรงอาการเจ็บไข้ได้ป่วยไม่ต้องกริ่งเกรงอาการบาดเจ็บอีกแล้ว!
หลัวจั่นอวี่ตัดสินใจในทันใด เมื่ออยู่ที่นี่หน้าที่ของกู้ซีจิ่วคือรักษาอาการเจ็บป่วยและหลอมกลั่นโอสถ ไม่ต้องกังวลเรื่องอื่นใด จะเก็บสมุนไพรอะไรก็มอบหมายให้คนอื่นไป เธอรับผิดชอบเพียงหลอมโอสถวันละสองเตาก็พอ
คนที่เหลือย่อมไม่คัดค้านเลยสักนิด เห็นด้วยอย่างยิ่ง
แถมบางคนยังบอกด้วยว่ากระท่อมนี้ของกู้ซีจิ่วโกโรโกโสเกินไป ควรจะสร้างหลังที่ใหญ่กว่านี้ให้เธอ ให้เธอหลอมโอสถได้สะดวก
ด้วยเหตุนี้ฝูงชนจึงขันอาสาสร้างเรือนใหม่ให้กู้ซีจิ่วอีกหลัง ถึงเรือนหลังนี้จะไม่ได้ประณีตบรรจงมากนัก แต่ก็อยู่สบายกว่าแต่ก่อนมาก และสว่างกว่ามากด้วย
ตกกลางคืนกู้ซีจิ่วพักผ่อนอยู่ในเรือนหลังใหญ่ของตน ยามที่นอนอยู่บนเตียง พลันเกิดความรู้สึกไม่แน่นอนยิ่งนักอย่างหนึ่งขึ้น
เธอยกมือขึ้นแล้วมองดูมือตน บนนิ้วว่างเปล่า แหวนที่เคยสวมไว้ไม่กี่เดือนหายไปนานแล้ว ทำให้เธอรู้สึกว่าจิตใจว่างเปล่าทุกครั้งที่มองเห็นนิ้วมือเปล่าเปลือยของตน
แบบนี้ถือว่าเธอทำถูกแล้วใช่ไหม?
เขาน่าจะตามหาเธออยู่สักพักกระมัง?
เดิมทีเธอนึกอยู่เลยหลังจากตนหนีออกมาแล้วจะต้องสิ้นเปลืองสมองสักเพียงใดถึงจะหลีกลี้จากเขาได้ ตอนนี้กลับไม่ต้องกังวลถึงเรื่องนั้นเลย
เธอถูกขังไว้ที่นี่ บางทีนี่อาจเป็นลิขิตสวรรค์ ไม่มอบโอกาสให้เธอเสียใจภายหลังอีก และไม่มอบโอกาสให้อีกฝ่ายได้พัวพันคลุมเครือกับเธออีก
ผ่านไปเช่นนี้สักห้าปี บางทีเขาอาจจะถอดใจเลิกตามหาไปแล้วเหมือนกัน
เช่นนี้…ก็ดีแล้ว!
เธอหลับตาลง รอจนความเจ็บปวดที่คุ้นเคยในทรวงอกผ่านพ้นไป จากนั้นก็เริ่มนับแกะสะกดจิตให้หลับ…
หลายวันมานี้อันที่จริงเธอนอนไม่หลับอยู่บ้าง ต้องอาศัยการนับแกะถึงหลับลงได้ แต่คืนนี้กับผล็อยหลับไปอย่างง่ายดายนัก
จากนั้น…เธอก็ฝันถึงเขา
————————————————————————————-
[1] เมื่อพานพบคาบสมุทรชางไห่คงคาใดก็ไม่อาจทัดเทียม หากมิใช่ยอดเมฆาเหนือภูเขาอูซานก็ไม่อาจนับได้ว่าเป็นยอดเมฆ สื่อความหมายว่า เมื่อเคยได้รับสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ต่อให้เจอสิ่งอื่นที่คุณสมบัติไม่ด้อยไปกว่ากันก็ไม่อาจเทียบเคียงกับสิ่งที่เคยได้รับมาได้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น