พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1271-1276
บทที่ 1271 คิดบัญชีย้อนหลัง
โดย
Ink Stone_Fantasy
นี่คือสิ่งที่นางรับปากเหมียวอี้เอาไว้ ว่าจะช่วยเหมียวอี้กู้หน้ากลับมา
นางเองก็รู้สึกว่าถ้าเหมียวอี้จัดงานเลี้ยงทีละเขตเมืองต่อไปจริงๆ แบบนั้นก็จะเสียหน้ามากเกินไป ถึงตอนนั้นถ้าข่าวแพร่ออกไปก็จะกลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะ ถ้าสมาคมร้านค้าเลี้ยงกลับสักหน่อยก็จะได้ยุติลงตรงนี้ ต่อให้ยืนอยู่ในจุดยืนของสมาคมร้านค้า แต่ก็รู้สึกว่าไม่ควรจะทำเกินไปอยู่ดี
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ทั้งงานก็เงียบทันที มีคนไม่น้อยมองหน้ากันเลิกลั่ก!
เหมียวอี้ที่นั่งถือจอกสุราอยู่ในศาลาทำสีหน้างุนงง กวาดสายตามองทุกคนอย่างช้าๆ แล้วสุดท้ายก็ไปหยุดอยู่บนใบหน้าอู่ฉงกง รองหัวหน้าสมาคมร้านค้าที่รับผิดชอบเขตเมืองตะวันตก
อู่ฉงกงถูกมองจนอึดอัดนิดหน่อย ที่สำคัญเป็นเพราะเขาคือหัวหน้าของเขตเมืองตะวันตก การแสดงท่าทีของเขาก็คือการแสดงท่าทีของเขตเมืองตะวันตก ถ้าตอนนี้เขาไม่แสดงท่าที ก็เท่ากับเขาล่วงเกินเหมียวอี้อย่างถึงที่สุด ไม่เห็นเหรอว่าเหมียวอี้กำลังมองเขาอยู่
เขาเอียงหน้ามองหวงฝู่จวินโหรวที่เสนอความคิดนี้ นางกำลังพยักหน้าให้เขา แล้วก็ส่ายหน้าเบาๆ พร้อมส่งสายตาให้ เขาพอจะเข้าใจความหมายที่นางจะสื่อแล้ว ทางสมาคมร้านค้าไม่สะดวกจะทำอะไรเกินไป ถึงอย่างไรเหมียวอี้ก็เป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ที่ดูแลอาณาเขตให้ราชันสวรรค์ การลอบวางแผนร้ายสามารถทำได้ แต่ถ้าพ่อค้ากลุ่มนี้ทำเกินไปอย่างโจ่งแจ้งก็คงไม่ดี
เขาถึงได้ยืนขึ้นยกจอกสุรา “คำแนะนำนี้ของผู้จัดการร้านหวงฝู่ก็ไม่เลวนะ ผู้บัญชาการใหญ่ไว้หน้าสักครั้งเถอะ!”
พอเขาเอ่ยปากนำ ผู้จัดการร้านที่เหลือก็ทยอยกันลุกขึ้นชูจอกสุราทันที “ผู้บัญชาการใหญ่ไว้หน้าสักครั้งเถอะ”
แม้แต่เถียนเฟิงฮ่าว ผู้จัดการร้านเถียงที่นั่งอยู่ตรงนั้น หลังจากมองซ้ายมองขวาแล้วก็ยืนขึ้นชูจอกสุราเช่นกัน
เหมียวอี้ทำท่าเหมือนดีใจจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ทันที ยืนขึ้นชูจอกสุราพร้อมบอกว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หนิวก็ยากที่จะปฏิเสธการเชื้อเชิญได้ หนิวขอดื่มคารวะหมดจอกก่อน!” เขาเงยหน้าดื่มจนหมดจอก แล้วก็เผยให้ดูก้นจอกที่ว่างเปล่า
ทุกคนจึงดื่มหมดจอกพร้อมกัน!
จากนั้นดนตรีก็บรรเลงต่อไป ผู้บัญชาการใหญ่อารมณ์สุนทรีมาก เป็นฝ่ายชูจอกสุราก่อนไม่หยุด…
หลังจากแขกและเจ้าบ้านสนุกสนานกันจนงานเลี้ยงเลิก เหมียวอี้ก็ออกมาส่งด้วยตัวเอง
ผู้จัดการร้านเกือบร้อยคนทยอยกันออกจากตำหนักคุ้มเมือง หวงฝู่จวินโหรวก็นั่งเกี้ยวของตัวเองกลับไปเช่นกัน
เหมียวอี้ที่ยืนส่งอยู่หน้าประตูตำหนักหรี่ตายิ้ม แล้วจู่ๆ ก็หันตัวกลับมา
ยังไม่ทันเดินมาถึงตำหนักหลัง หวงฝู่จวินโหรวก็ส่งข้อความมาหาแล้ว : วันนี้ควรจะขอบคุณข้ายังไงดีล่ะ?
เหมียวอี้ : คืนนี้เจ้าก็มาหาข้าสิ
พอได้ยินคำตอบนี้ หวงฝู่จวินโหรวก็รู้แล้วว่าเขาจะใช้วิธีไหนขอบคุณ แน่นอนว่านางไม่มีทางพูดเปิดเผยอย่างไร้ยางอาย ตอบไปว่า : ตอนนี้ข้าต้องไปประชุมกับพวกเขาที่สมาคมร้านค้า เจ้ามาหาข้าตอนดึกๆ หน่อย ข้าจะได้บอกเจ้าได้สะดวกว่าสภานการณ์เป็นอย่างไร
เหมียวอี้ : ดี! เดี๋ยวข้าจะขอบคุณเจ้าอย่างสุดกำลัง! จะขอบคุณเจ้าอย่างดีเลย!
หวงฝู่จวินโหรว : ไปให้พ้น!
ผ่านไปครู่เดียว คณะระบำของหอกลิ่นสวรรค์ที่ได้รับรางวัลแล้วก็ทยอยกันออกจากตำหนักคุ้มเมือง ครั้งนี้เหมียวอี้ตบรางวัลเยอะมาก เพียงแต่ท่านแม่สวีเหมือนจะอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร
พวกผู้ช่วยของสมาคมร้านค้าที่ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงก่อนหน้านี้ก็รีบมาที่สมาคมร้านค้าเช่นกัน รอพบคนอื่นอยู่ที่นี่นานแล้ว
พอคนกลุ่มนี้เดินเข้าประตูมา ก็มีคนถามทันที “ทำไมถึงกลายเป็นจะเลี้ยงคืนเขาแล้วล่ะ?”
เห็นได้ชัดเจนมาก ว่ามีคนส่งข่าวมาทางนี้ล่วงหน้าแล้ว
“เหอะๆ!” หลังจากเถียนเฟิงฮ่าวหย่อนก้นนั่งลง ก็ตอบอย่างกำกวมว่า “ก็มีคนกลัวว่าหนิวโหย่วเต๋อจะเสียหน้าเกินไปน่ะสิ! ตามที่ข้าบอกก็คือต้องการให้เขาเงยหน้าอยู่ที่นี่ไม่ได้อีกต่อไป!”
หวงฝู่จวินโหรวเหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร นั่งนั่งประจำตำแหน่งของตัวเอง ไม่คิดจะพูดอะไรอีก เพราะพูดมากไปอาจจะทำให้คนสงสัย
ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องให้นางพูดอะไร เรื่องไปถึงตัวอู่ฉงกงแล้ว ใครใช้ให้เขาเป็นรองหัวหน้าสมาคมร้านค้าที่รับผิดชอบเขตเมืองตะวันตกล่ะ
อู่ฉงกงเองก็เหลือบมองเถียนเฟิงฮ่าวอย่างไม่สบอารมณ์เช่นกัน พอเดินไปถึงตำแหน่งของตัวเองแล้วก็ยังไม่นั่งลง ยืนถอนหายใจใส่ทุกคนที่กำลังรออยู่ แล้วบอกว่า “ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ เป็นตัวแทนเฝ้าอาณาเขตให้ราชันสวรรค์ ถึงแม้พวกเราจะมีคนหนุนหลัง แต่ถึงอย่างไรภายนอกก็ยังเป็นแค่พ่อค้า นี่คือความแตกต่างระหว่างขุนนางกับประชาชน ตอนนี้ระบบตลาดสวรรค์ก็มีราชินีสวรรค์คุมอยู่ ถ้าพวกเราทำเกินไปจริงๆ ก็เท่ากับไม่เห็นราชันสวรรค์อยู่ในสายตา ขณะเดียวกันก็ถือว่าหักหน้าราชินีสวรรค์ด้วย ตามความเห็นของข้า ข้าว่าช่างมันเถอะ จัดงานเลี้ยงแล้วเชิญเขามาบ้างเพื่อคืนดีกันก็สิ้นเรื่องแล้ว ถ้าจะก่อเรื่องจริงๆ ก็ค่อยๆ แอบทำไป ถ้าจองเวรแบบเปิดเผยพวกเราก็จะเป็นฝ่ายผิด” เขาต้องหาจุดจบดีๆ ให้ตัวเอง
พอพูดถึงราชินีสวรรค์ โจวหรานก็ขมวดคิ้วทันที ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนของตระกูลเซี่ยโห้ว จึงพยักหน้าเบาๆ “ที่ว่ามาก็มีเหตุผล ทุกคนคิดว่ายังไง?”
ไม่มีใครตอบอะไร ไม่เห็นด้วยและไม่คัดค้าน เป็นเพราะสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมีเหตุผล ทุกคนต่อต้านหนิวโหย่วเต๋อ แต่คนที่ต่อต้านก็ไม่ใช่ขุนนาง เจ้านายที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาต่างหากที่เป็นขุนนาง ถึงแม้ในวงการขุนนางจะมีการต่อสู้แข่งขันกัน แต่ในบางจุดยืนกลับมีจุดร่วมด้านผลประโยชน์ ถ้าทำเกินไปแบบโจ่งแจ้งก็อาจจะเปลืองแรงเปล่าๆ ดังนั้นตราบใดที่มีคนเสนอออกมา ก็ไม่มีทางต่อต้านได้แล้ว ไม่อย่างนั้นหยางชิ่งก็คงไม่แนะนำให้เหมียวอี้ทำแบบนี้เช่นกัน
โจวหรานครุ่นคิดพักหนึ่ง แล้วก็มองดูท่าทีของทุกคนอีกครั้ง หลังจากรออยู่นานถึงได้บอกว่า “ถ้าไม่มีใครคัดค้าน งั้นก็เชิญเขามาร่วมงานเลี้ยงในนามของสมาคมร้านค้าแล้วกัน ส่วนจะไปหรือไม่ไป ก็แล้วแต่ความสามารถใจของทุกคนแบบนี้ดีมั้ย?”
วันต่อมา เหมียวอี้ที่ทุ่มเทแรงกายปรนนิบัติหวงฝู่จวินโหรวไปหนึ่งคืนเพิ่งจะกลับถึงตำหนักคุ้มเมืองได้ไม่นาน โจวหราน หัวหน้าสมาคมโจวก็มาส่งบัตรเชิญด้วยตัวเองถึงที่ อาศัยนามของสมาคมร้านค้าเชิญให้เหมียวอี้ไปร่วมงานเลี้ยงในอีกสามวันหลังจากนี้ ‘ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท’
หลังจากทักทายกันตามมารยาทนิดหน่อย ขณะมองตามเป่าเหลียนที่เป็นตัวแทนส่งแขก เหมียวอี้ก็ยกแผ่นหยกในมือขึ้นมาดู “แกร๊ก” บีบจนแหลกกลายเป็นผุยผง…
ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปสามวัน คนที่ได้รับบัตรเชิญไม่ได้มีแค่เหมียวอี้เท่านั้น ผู้บัญชาการสี่เขตเมืองก็มีส่วนเช่นกัน
สวีถังหรานถูกเรียกตัว จึงมามาถึงตำหนักคุ้มเมืองก่อนคนอื่น เพิ่งจะทำความเคารพผู้บัญชาการใหญ่เสร็จ เหมียวอี้ก็บอกเป่าเหลียนว่า “เจ้าออกไปก่อน!”
เป่าเหลียนมองสวีถังหรานอย่างรังเกียจและประหลาดใจอีกครั้ง เกลียดชังเพราะเวลาชายคนนี้ปรากฏตัวทีไร นายท่านต้องให้นางถอยออกไปตลอด
สวีถังหรานพึงชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ ยิ้มให้เป่าเหลียนอย่างร่าเริง ในใจกำลังแอบดาดเดาด้วย ว่าสงสัยจะเป็นตนต่างหากที่เป็นลูกน้องคนสนิทของผู้บัญชาการใหญ่อย่างแท้จริง
ใครจะคิดว่าพอหันกลับมา ขวดลายครามสีขาวดำสองใบเผยอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว เขาเงยหน้ามองเหมียวอี้อีกครั้ง ถามอย่างสงสัยนิดหน่อยว่า “นายท่าน นี่คือยาเทพเซียนล้มที่ข้าหามาครั้งก่อนเหรอ?”
เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบว่า “งานเลี้ยงคืนนี้คือเวลาที่จะต้องใช้งานมัน อย่าให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว!”
“หา…” สวีถังหรานตกใจจนหน้าถอดสี ชั่วพริบตานั่นรู่ม่านตาพลันหดเล็กลง เบิกตากว้างมองเหมียวอี้แล้ว
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว ว่าการเชิญไปร่วมงานเลี้ยงสองครั้งก่อนหน้านี้เป็นเพียงการล่อเหยื่อ งานเลี้ยงคืนนี้ต่างหากที่เป็นประเด็นหลัก ของที่ตนหามาเตรียมไว้สำหรับงานเลี้ยงคืนนี้ หรือพูดได้อีกอย่างว่าผู้บัญชาการใหญ่วางแผนไว้ตั้งนานแล้ว จุดประสงค์เพียงเพื่อ…กวาดเรียบอย่าให้เหลือ!
พอนึกย้อนไปช่วงเวลาก่อนหน้า นึกได้ว่าเป็นการล้อมกับดักที่เตรียมการอย่างพิถีพิถันจนแทบไร้ที่ติ สวีถังหรานก็เกือบขนลุก อุทานในใจว่า ผู้บัญชาการใหญ่ช่างวางแผนได้ล้ำลึก!
ตอนนี้เขาถึงได้สะท้อนใจอย่างลึกซึ้ง มิน่าล่ะอีกฝ่ายถึงได้ไต่เต้าได้เร็วขนาดนี้ อาศัยแค่การวางแผนนี้ตัวเองก็เทียบไม่ติดแล้ว ผู้บัญชาการใหญ่บอกไว้ตั้งแต่หนึ่งร้อยปีก่อนว่าจะคิดบัญชีย้อนหลัง แต่ตัวเองนั้นตาพร่ามัว จนกระทั่งสุดแผนที่ปรากฏมีดสั้น[1] ตนถึงได้มองเห็นได้อย่างชัดเจน เขาปิดบังได้แม้กระทั่งตน ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือปิดบังผู้จัดการร้านที่อยู่ข้างนอก
“เอ่อ…” สวีถังหรานอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
เหมียวอี้หันกลับมามอง “ทำไม? เจ้ากลัวเหรอ?”
สวีถังหรานโบกมือซ้ำๆ “ไม่ได้กลัวขอรับ เพียงแต่กังวลว่าจะกวาดเรียบไม่ให้เหลือได้เหรอ ถ้ามีคนไม่มาจะทำยังไง?”
“เจ้าไม่ต้องห่วง คนที่ควรจะมา ก็จะมาแน่นอน” เหมียวอี้ตอบ
นี่คือคำพูดของหยางชิ่งตอนที่ปรึกษารายละเอียดของขั้นตอนการลงมือด้วยกัน จากคำพูดของหยางชิ่ง เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมหยางชิ่งถึงมั่นใจขนาดนี้ แต่ใช้แผนนี้ชั่วคราวก็ไม่เลวเหมือนกัน ถ้าหากมีคนมาไม่หลายคน อย่างมากก็แค่ไม่ลงมือและหาโอกาสใหม่อีกครั้ง
สวีถังหรานกัดฟัน รู้ว่าถ้าหากไม่ทำงานนี้ คนที่ตายจะต้องเป็นตนแน่นอน จึงยื่นมือไปหยิบขวดสองใบนั้นมา “นายท่านไม่ต้องห่วง จะไม่ผิดพลาดแน่นอน”
ตรงนี้เพิ่งจะคุยกันจบ ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ฝูชิงและอิงอู๋ตี๋เดินก้าวยาวเข้ามา สวีถังหรานรีบเก็บขวดสองใบในมือ
“ผู้บัญชาการใหญ่!” ทั้งสองเพิ่งจะคำนับ เหมียวอี้ก็ประกาศอย่างจริงใจว่า “วันนี้ถึงเวลาแล้วจะที่จะคิดบัญชีย้อนหลัง!”
ตอนแรกทั้งสองอึ้งไปชั่วขณะ พอนึกเชื่อมโยงกับงานเลี้ยงวันนี้ก็เข้าใจทันที พวกเขาจึงมองหน้ากันอย่างตกใจ และเข้าใจจุดประสงค์ของงานเลี้ยงคืนนี้แล้วเช่นกัน ตกตะลึงกับการวางแผนอันรอบคอบเช่นเดียวกับสวีถังหราน ปิดบังแม้กระทั่งพวกเขา
ทั้งสองมองสวีถังหราน พบว่าสวีถังหรานก็ยืนอย่างว่านอนสอนง่ายอยู่ข้างๆ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงด้วยซ้ำ
ฝูชิงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “นายท่าน ครั้งนี้เทียบกับครั้งก่อนไม่ได้นะ เกรงว่าจะลงมือไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้น ถ้าคนกลุ่มนี้จนตรอกเป็นสุนัขกระโดดกำแพงขึ้นมา กำลังพลที่อยู่ในเมืองก็คงจะต้านทานไม่ไหว!”
“พวกเจ้าไม่ต้องห่วง ข้าวางหมากไว้นานแล้ว ไม่ให้โอกาสพวกเขาได้ร่วมมือกันโต้ตอบหรอก” เหมียวอี้กล่าว
สวีถังหรานได้ยินแล้วหดคอ คนวางหมากนั้นก็คือเขาเอง
อิงอู๋ตี๋ขมวดคิ้ว “นายท่านจัดงานเลี้ยงติดต่อกันไปสองครั้ง ไม่ว่าจะจริงใจหรือเสแสร้ง แต่ก็เสียหน้าไปแล้ว แต่ผลที่ได้ก็ชัดเจน นายท่านสยบพวกเขาได้แล้ว วันนี้หลังจากพวกเขาเชิญนายท่านไปร่วมงานเลี้ยง เรื่องนี้ก็จะสงบลง ต่อให้ในภายหลังจะมีคนแอบวางแผนร้ายกับนายท่าน พวกเราแค่รับมืออย่างระมัดระวังก็พอแล้ว เรื่องบางเรื่องอดทนไว้เดี๋ยกว็ผ่านไป ถ้าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ก็ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นยังไง!”
เหมียวอี้แสยะยิ้ม “รับมืออย่างระวังเหรอ? ทวนในที่แจ้งนั้นป้องกันง่าย แต่ลูกธนูจากที่ลับนั้นป้องกันยาก อย่าบอกนะว่าวันๆ ข้าไม่ต้องทำงานทำการอะไรแล้ว เอาแต่คอยระวังพวกเขาทุกวัน วันๆ เอาแต่ประจบพวกเขาเหรอ? ล้อเล่นอะไรกัน! ข้าไม่มีเวลาว่างมาประจบหรอกนะ ครั้งนี้โจมตีให้พวกเขากลับสู่สภาพเดิมไปเสียเลย วางโครงข่ายควบคุมอย่างเข้มงวดกว่าเดิม ข้าต้องการให้พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะผายลมเสียงดัง ข้าจะคอยดูว่าพวกเขายังจะก่อเรื่องยังไงได้อีก!”
ทั้งสามคนมองหน้ากันเลิกลั่ก เห็นเหมียวอี้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว รู้ว่าโน้มน้าวไม่ไหวแล้ว ฝูชิงจึงถอนหายใจแล้วบอกว่า “ถึงอย่างไรนายท่านก็เคยลงมืออย่างเหี้ยมโหดที่ตลาดสวรรค์มาแล้วครั้งหนึ่ง เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไม่เตรียมป้องกันเลยสักนิด พวกแค่เคลื่อนไหวกำลังพล พวกเขาก็จะตื่นตัวแน่นอน นายท่านเตรียมตัวจะทำยังไง?”
เหมียวอี้จึงตอบว่า “ตอนนี้พวกเรายังไม่ต้องเคลื่อนไหวกำลังพล และไม่ต้องเปิดเผยเรื่องเตรียมตัวลงมือให้ลูกน้องรู้ เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาเตรียมป้องกัน พวกเขาจัดงานที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท พวกเจ้าสองคนแค่ต้องเปลี่ยนทหารที่ลาดตระเวนแถวนั้นให้เป็นคนของตัวเอง ถ้าข้างในทำสำเร็จแล้ว ก็โจมตีเข้ามาได้เลย ควบคุมคนที่เหลืออยู่ในภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท จะได้ไม่มีข่าวหลุดไปจนส่งผลกระทบในการลงมือตอนหลัง ใครฝ่าฝืนก็ฆ่าไม่ละเว้น! และพวกเจ้าก็ต้องรีบระดมกำลังพลทั้งสี่เขตเมืองเหมือนกัน ค้นยึดร้านค้าทุกร้านที่เกี่ยวข้องด้วยความเร็วเหมือนฟ้าผ่า…”
หลังจากวางขั้นตอนการลงมือโดยละเอียด อิงอู๋ตี๋กล่าวอย่างลังเลว่า “ผู้บัญชาการมู่หรงล่ะ? นางคุมเขตเมืองเหนือมานาน บวกกับคนที่หนุนหลังนางอยู่ ถ้านางไม่ให้ความร่วมมือขึ้นมา อาศัยคนที่เรายัดไว้ข้างกายนางก็อาจจะระดมพลเขตเมืองเหนือไม่ได้ทั้งหมด เดิมทีกำลังคนของเราก็ไม่ค่อยพออยู่แล้ว เกรงว่าผลลัพธ์ในการปราบครั้งนี้จะลดลงเยอะมาก”
เหมียวอี้ค่อยๆ หลับตาลง แล้วตอบช้าๆ ว่า “ถ้านางไม่ให้ความร่วมมือ ฆ่า! แล้วถือหัวนางพร้อมกับคำสั่งข้าไประดมพล!”
ทั้งสามมองหน้ากันเลิกลั่กอีกครั้ง สวีถังหรานเตือนอย่างระมัดระวังว่า “เฉาว่านเสียงสามีนางคือลูกน้องคนสนิทของท่านโหวเทียนหยวน ท่านโหวเทียนหยวนสามารถควบคุมปี้เยว่ฮูหยินได้ ถึงตอนนั้น…”
“เรื่องนี้พวกเจ้าไม่ต้องกังวล ข้าวางหมากไว้แล้ว!” เหมียวอี้โบกมือช้าๆ บอกใบ้ให้พวกเขาไปจัดการได้เลย
เขาไม่กลัวว่าเฉาว่านเสียงจะทำให้ท่านโหวเทียนหยวนหวั่นไหวได้ ตอนนี้ชีวิตของปี้เยว่ฮูหยินอยู่ในมือเขา ถ้าเรื่องนี้ลุกลาม เขาก็จะทำให้ปี้เยว่ฮูหยินกลายเป็นโจรกบฏแล้วดึงตัวมาอยู่ตรงหน้ากำลังพลตำหนักสวรรคืทันที ถ้าเขาผ่านด่านนี้ไปไม่ได้ ก็จะผลักความรับผิดชอบทั้งหมดไปที่ปี้เยว่ฮูหยินทันที บอกเพียงว่าเป็นคำสั่งของปี้เยว่ฮูหยิน เขาจะไม่เป็นอะไร กลับเป็นท่านโหวเทียนหยวนที่อาจจะเช็ดก้นตัวเองไม่ทันด้วยซ้ำ ยังคิดจะมาแทรกแซงทางนี้อีกเหรอ?
…………………………
[1] สุดแผนที่ปรากฏมีดสั้น 图穷匕见 อุปมาว่าเมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาจนถึงจุดสิ้นสุด ความจริงถึงได้ปรากฏ
บทที่ 1272 ละทิ้งความแค้นในอดีต
โดย
Ink Stone_Fantasy
แน่นอน ถ้าไม่ถึงขั้นอับจนหมดทางเลือกกับเรื่องนี้ เขาเองก็ไม่อยากจะแตะต้องปี้เยว่ฮูหยินเช่นกัน ตอนนี้ควบคุมปี้เยว่ฮูหยินได้แล้ว กำลังครุ่นคิดที่จะทำอะไรบางอย่างกับปี้เยว่ฮูหยิน ถ้ากำจัดทิ้งทันทีก็น่าเสียดายไปหน่อย
และเหมียวอี้ก็ไม่หวังว่ามู่หรงซิงหัวจะเดินไปถึงขั้นเป็นศัตรูกับเขาเช่นกัน
หลังจากวางหมากเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว ทั้งสามก็ไปเตรียมตัวทันที
สวีถังหรานกลับมาที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกรอบหนึ่ง จากนั้นก็นำคนมุ่งตรงไปที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท มายืนอยู่หน้างานเลี้ยงในนามผู้บัญชาการใหญ่ ติดต่อกับทางสมาคมร้านค้า
พอใกล้จะถึงตอนค่ำ โจวหราน หัวหน้าสมาคมโจวก็นำรองหัวหน้าสมาคมสี่คนมายืนรอตรงหน้าประตูภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทล่วงหน้า สวีถังหรานที่รับหน้าที่ติดต่อประสานงานก็อยู่ในแถวนั้นด้วย
ผู้จัดการร้านค้าที่พอจะมีหน้ามีตาของสี่เขตเมืองทยอยกันมาถึงงาน ที่จริงบางคนไม่อยากมา แต่พอเห็นคนอื่นมาร่วมงานเพื่อไว้หน้าผู้บัญชาการใหญ่หนิว ถ้าตัวเองไม่มาร่วมงานก็ดูเหมือนจะไม่เหมาะสม จะทำให้ดูเหมือนว่าคนอื่นอยากจะคืนดีด้วยแต่มีแค่ตนที่ไม่อยากคืนดี ภายนอกยังต้องทำไปพอเป็นพิธี ขนาดเถียนเฟิงฮ่าวที่ไม่พอใจผู้บัญชาการใหญ่หนิวที่สุดก็ยังฝืนใจมาโผล่เสแสร้งอยู่ข้างหลังพวกโจวหรานเลย
ส่วนพวกที่ไม่ค่อยมีหน้ามีตาในตลาด ไม่ได้เป็นทั้งมิตรและศัตรูของผู้บัญชาการใหญ่หนิว ทั้งยังไม่ได้มีบุญคุณความแค้นต่อกัน ก็ไม่มีใครกินอิ่มแล้วว่างงานจนถ่อมาเข้าร่วมความขัดแย้งนี้
ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท ฟังจากชื่อเหมือนเป็นตึกภัตตาคาร แต่ที่จริงแล้วเป็นสวนขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง สามารถสร้างสวนใหญ่โตขนาดนี้ในพื้นที่ทำเลทองของตลาดสวรรค์ได้ แค่คิดก็รู้ถึงอำนาจที่หนุนหลังแล้ว เป็นทรัพย์สินของตระกูลเซี่ยโห้วนั่นเอง โจวหราน ผู้จัดการร้านโจวดูแลที่นี่อยู่ และเป็นที่ตั้งของสมาคมร้านค้านั่นเอง
ผู้จัดการร้านค้าห้าร้อยกว่าคนมารวมตัวกันที่ประตูภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท เป็นฉากที่ค่อนข้างอลังการ
“ผู้บัญชาการสวี เห็นอาหารที่เตรียมไว้แล้วพอใจหรือเปล่า? ถ้ามีจุดไหนที่ไม่เหมาะสม ข้าจะสั่งให้คนปรับเปลี่ยนทันที”
“ผู้จัดการร้านโจวกล่าวเกินไปแล้ว ท่านเองก็รู้ พวกเราก็ทำงานกันแบบนี้ จะให้เบื้องบนไม่พอใจไม่ได้ ถ้าไม่ดูสักหน่อยก็ไม่วางใจจริงๆ หวังว่าจะไม่เก็บมาใส่ใจ”
“ผู้บัญชาการสวีเป็นคนใส่ใจมาก ไม่ต้องให้ว่าเรื่องการทำงานเลย อนาคตจะต้องยาวไกลไร้ที่สิ้นสุดแน่”
“หวังว่าจะเป็นอย่างคำอวยพรของผู้จัดการร้านโจว”
โจวหรานกับสวีถังหรานที่ยืนอยู่ตรงหน้ากลุ่มคนสรรเสริญเยินยอกันอยู่อย่างนั้น
รอสักประเดี๋ยว โจวหรานก็หันซ้ายหันขวามองไปทั่ว แล้วก็กุมหมัดคารวะสวีถังหราน หาข้ออ้างนำผู้จัดการร้านสองสามคนหลบเลี่ยงไป
“ส่งคนจำนวนหนึ่งไปจับตาดูทางจวนผู้บัญชาการสี่เขตเมือง ถ้าพบว่ามีใครเคลื่อนย้ายกำลังพล ก็มารายงานทันที”
“หัวหน้าสมาคมโจวคิดมากไปหรือเปล่า? ถ้าจะลงมือจริงๆ กำลังพลที่เฝ้าอยู่ที่นี่ก็สู้พวกเราไม่ไหวหรอก ถ้าเขากล้าแตะต้องพวกเราโดยไร้เหตุผล รับรองว่าเขาได้ตายอย่างอนาถ”
“หัวหน้าสมาคมโจว ไม่ปิดบังท่านนะ พวกเราจัดเตรียมนักพรตบงกชรุ้งรออยู่ในสวนหลายคนแล้ว ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไร พวกเราก็ไม่เกรงใจแน่นอน”
“หัวหน้าสมาคมโจวกล่าวไว้ไม่ผิด กันไว้ดีกว่าแก้ ทั้งยังส่งคนจำนวนหนึ่งไปจับตาดูที่จวนผู้บัญชาการสี่เขตเมือแล้วด้วย”
เมื่อเห็นผู้จัดการร้านค้ามากมายมายขนาดนี้มารวมตัวกัน พวกโจวหรานก็ไม่ค่อยวางใจ หลบเลี่ยงไปเตรียมการเล็กน้อย
แต่สวีถังหรานก็ถือโอกาสหลบเลี่ยงไปด้านข้างเช่นกัน มาสุมหัวคุยกับลูกน้องที่ตัวเองพามารออยู่ด้านข้าง ถ่ายทอดเสียงถามว่า “เห็นชัดเจนหรือยัง”
ลูกน้องของเขาตอบว่า “ตรวจสอบชัดเจนแล้ว ผู้จัดการร้านค้าที่พอจะมีหน้ามีตาของตลาดสวรรค์มากันหมดแล้ว นายท่าน ตรวจสอบสิ่งนี้ทำไมเหรอ?”
สวีถังหรานตอบว่า “ก็อยากจะดูว่ายังมีใครที่ไม่อยากคืนดีกับผู้บัญชาการใหญ่อีกมั้ย ต่อไปจะได้ระวังไว้หน่อย เออใช่ ไปดูทางห้องครัวหน่อย ดูว่าเหล่าอู๋ละทิ้งหน้าที่หรือเปล่า ถ้าไม่มีใครเฝ้าอยู่ ก็ระวังว่าจะมีคนเจตนาร้ายเล่นตุกติกในอาหาร”
ที่จริงคนที่เล่นตุกติกก็คือเขาเอง อาศัยโอกาสที่ไปตรวจงานล่วงหน้าเพื่อเล่นตุกติกเงียบๆ แล้วก็จัดคนให้ไปเฝ้าไว้ที่ห้องครัวด้วย ป้องกันไม่ให้มีคนนำของที่เขาวางยาพิษเสร็จแล้วเปลี่ยนทิ้ง เรื่องที่เขาจัดคนไปเฝ้าที่ห้องครัวล้วนอยู่ในสายตาโจวหราน โจวหรานย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจอยู่แล้ว นึกว่าเหมียวอี้กลัวคนจะใส่อะไรลงในอาหาร หัวเราะเยาะที่เหมียวอี้ใช้หัวใจอันต่ำทรามของตัวเองมาวัดใจของสัตตบุรุษ!
“นายท่านไม่ต้องห่วง เหล่าอู๋เฝ้าอยู่ตลอด”
สวีถังหรานพยักหน้า แล้วหันตัวเดินกลับมาพลางหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ : นายท่าน วางหมากเรียบร้อยแล้ว ออกเดินทางได้แล้ว
พิภพเล็ก นภาอู๋เลี่ยง ท้องฟ้าเพิ่งจะมีแสงสว่างขมุกขมัว หยางชิ่งเอามือไขว้หลังยืนอยู่บนแท่นสังเกตการณ์ เขาทอดสายตามองไปไกล น้ำค้างค่อนข้างแรง ทำให้ชุดคลุมของเขาเปียกเล็กน้อย จะเห็นได้ว่ายืนอยู่นานขนาดไหน
ฉินซีก้าวเบาๆ ขึ้นมาบนแท่นสังเกตการณ์ เมื่อเห็นแบบนั้นก็สะบัดผ้าคลุมผืนหนึ่งออกมา แล้วก้าวขึ้นมาคลุมบ่าให้เขา
ไม่ว่าเมื่อก่อนจะเป็นอย่างไร แต่หลังจากได้อยู่กับหยางชิ่งแล้วถึงได้มีความรู้สึกว่าแต่งงานมีสามีแล้วจริงๆ รับรู้ได้ถึงรสชาติของชีวิตสามีภรรยาจริงๆ หรืออาจจะเป็นเพราะระหว่างทั้งสองมีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคนอยู่แล้ว
“ทางนั้นยังไม่ส่งข่าวมาอีกเหรอ?” ฉินซีที่ดึงจัดผ้าคลุมเสร็จแล้วเอ่ยถาม
หยางชิ่งหรี่ตาตอบ “คำนวณดูจากเวลา ก็น่าจะใกล้ลงมือแล้วกระมัง”
ฉินซีครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วถามอีกว่า “เจ้ารออยู่ตรงนี้ เพราะกังวลว่าเหมียวอี้จะลงมือพลาดใช่มั้ย?”
หยางชิ่งส่ายหน้า “ลูกเขยจอมเอาเปรียบของเรามีความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ไม่เลวเลย ในด้านนี้ข้าอาจจะสู้เขาไม่ได้ด้วยซ้ำ ขอเพียงร่างแผนการเสร็จแล้ว ต่อให้เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น เขาก็มีความสามารถเพียงพอที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ไม่น่าจะเกิดปัญหาอะไร กลัวก็แต่ว่า…”
“ในเมื่อเจ้าบอกว่าเขามีความสามารถนั้น ยังจะกลัวอะไรอีกล่ะ?” ฉินซีแปลกใจ
หยางชิ่งยิ้มเจื่อน “เจ้าเด็กนั่นเชื่อฟังคำแนะนำของข้าแบบเผื่อเลือกตลอด ข้ากลัวว่าเขาอาจจะไม่เชื่อตามแผนข้าทั้งหมด ไม่รู้ว่าสุดท้ายจะก่อเรื่องออกมายังไง ถึงอย่างไรเวยเวยก็อยู่ทางนั้น ถ้าไม่ได้ข่าวที่แน่นอน ข้าก็สงบใจได้ยาก”
เขาเดาไว้ไม่ผิด เหมียวอี้ไม่ได้เชื่อตามแผนของเขาทั้งหมดจริงๆ ยกตัวอย่างเช่นการลงมือกับปี้เยว่ฮูหยิน เขาบอกให้เหมียวอี้ใช้คำพูดขู่ แต่เหมียวอี้กลับเอาจริงยิ่งกว่านั้น เกือบจะทำให้ปี้เยว่ฮูหยินตกใจตายแล้ว
ในตำหนักคุ้มเมือง ฝูชิง อิงอู๋ตี๋ มู่หรงซิงหัวยืนรอเงียบๆ อยู่ในลานบ้าน
หลังจากรอได้ประเดี๋ยวเดียว เหมียวอี้ถึงได้เดินออกมาจากเรือนพัก แล้วบอกว่า “ไปกันเถอะ!”
ทั้งสามกลับรีบหันซ้ายหันขวามอง เห็นเพียงตรงหัวโค้งทางเดินฝั่งซ้ายและขวามีคนแปลกหน้าโผล่มาฝั่งละคน เป่าเหลียนก็ออกมาแล้วเช่นกัน รีบเดินตามอยู่ข้างหลังพวกเขา
พอออกจากตำหลังหลัง พวกเขาก็เหาะขึ้นฟ้า เหาะผ่านท้องฟ้าเหนือตลาดสวรรค์โดยตรง ไปเหยียบลงตรงประตูภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท
“ผู้บัญชาการใหญ่!”
เสียงกุมหมัดคารวะดังขึ้นเป็นแถบทันที ตรงหน้าประตูภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทคึกคัก
“ผู้บัญชาการใหญ่ให้เกียรติมาเยือนได้ ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทสว่างไสวขึ้นไม่น้อยเลย ผู้บัญชาการใหญ่เชิญด้านใน!” โจวหรานหันตัวยื่นมือเชิญ แล้วบรรดาผู้จัดการร้านค้าที่อุดอยู่หน้าประตูก็ยืนแยกเป็นสองฝั่งทันที
เหมียวอี้กับโจวหรานเดินเดินหัวเราะพูดคุยกันอยู่ข้างหน้า ข้างหลังมีกลุ่มผู้จัดการร้านเดินตาม
ในสวนของภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทมีทะเลสายแห่งหนึ่ง เป็นทิวทัศน์ทะเลสาบและภูเขาที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ตึกศาลาอยู่บนทะเลสาบ เป็นตึกศาลาสามชั้นที่มีบันไดสี่ด้าน
ประดับโคมไฟหลากสี ทะเลสาบสะท้อนภาพแสงไฟ สตรีที่แต่งตัวเปิดเผยกลุ่มหนึ่งบิดตัวยั่วยวน กำลังร้องระบำทำเพลง เผยให้เห็นเนื้อหนังวับๆ แวมๆ
สมาคมร้านค้าลงมือจัดเองก็ย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว เชิญนางระบำมารวดเดียวสามคณะ หอกกลิ่นสวรรค์เป็นเพียงหนึ่งในนั้น และมาคอยแสดงรั้งท้ายเวทีเช่นกัน
คนกลุ่มหนึ่งกรูกันตามหลังเหมียวอี้เข้ามาข้างใน เหมียวอี้เพียงเหล่ตามองนางระบำงามหยาดเยิ้มในโถงแวบหนึ่ง แล้วก็เดินออ้อมไป สวีถังหรานที่มาดูงานล่วงหน้าคุ้นเคยกับสถานการณ์แล้ว กำลังเดินนำทางอยู่ข้างหน้า พาเหมียวอี้ไปส่งนั่งบนตำแหน่งหลักที่อยู่สูงขึ้นไป
ด้วยระยะทางจากประตูภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทมาถึงใจกลางทะเลสาบ ช่วงเวลาที่ทุกคนเดินมาถึง สุราอาหารสำหรับคนห้าร้อยคนก็ถูกจัดวางไว้เรียบร้อยแล้ว ทำให้อาหารมีควันร้อนระอุ ประสิทธิภาพการทำงานสูงมาก
สวีถังหรานมองดูคนสี่คนที่เป็นฝ่ายมายืนข้างหลังเหมียวอี้เอง แล้วแอบถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ว่า “นายท่าน ใส่ของลงไปในสุราแล้ว”
เหมียวอี้เหล่ตามองแวบหนึ่ง พบว่าเจ้าหมอนี่ถนัดงานที่ทำแบบลับๆ อย่างที่คาดไว้ ยามอยู่ในอาณาเขตของอีกฝ่าย ไม่น่าเชื่อว่าจะเติมยาลงในสุราได้ทั้งๆ ที่อยู่ใต้หนังตา เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ บอกใบ้ว่ารู้แล้ว
สวีถังหรานถอยออกไป ไปรวมกับพวกฝูชิงแล้วนั่งประจำที่ทางซ้ายและขวาด้านล่าง คอบโอบล้อมพิทักษ์เหมียวอี้ ส่วนที่อยู่ล่างกว่านั้นก็เป็นพวกโจวหราน
ตอนนี้ก็มีคนวิ่งมาข้างกายโจวหรานเช่นกัน ถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ทางจวนผู้บัญชาการสี่เขตเมืองเป็นเหมือนเดิมทุกอย่าง ยังไม่เห็นการเคลื่อนย้ายกำลังพล”
“ดูต่อไป ถ้ามีความผิดปกติอะไรรายงาทันที!” โจวหรานกล่าวสั่ง ก่อนจะโบกมือให้ถอยออกไป
คนร้อยกว่าคนนั่งล้อมอยู่ในตึกศาลาขนาดใหญ่ แล้วก็มีคนสองร้อยกว่าคนนั่งล้อมตรงตีนบันไดนอกตึกศาลา ส่วนคนที่เหลือก็นั่งอยู่วงนอกสุดตรงตีนบันได คนที่นั่งนอกตึกศาลามองเห็นภาพเหตุการณ์ในศาลาไม่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่าการนั่งแบบนี้เกี่ยวข้องกับตำแหน่ง พวกเขามาเป็นตัวประกอบเฉยๆ แต่กลับมองเห็นเหมียวอี้ที่นั่งอยู่ตรงจุดสูงสุดอย่างชัดเจน
ตุ้ง! เสียงกลองดังสูงต่ำสลับกัน เสียงเครื่องดนตรีเงียบลงกะทันกัน หญิงงามหยาดเยิ้มสามสิบกว่าคนที่กำลังเต้นระบำอยู่ในโถงพลันหยุดนิ่ง ทุกคนจัดแถวเหมือนกองทหาร ทั้งหมดคุกเข่าเงยหน้าไปทางเหมียวอี้ที่นั่งอยู่เบื้องสูง กระดกก้นเอาหน้าผากแนบพื้นไม่ขยับไปไหน
ไม่สนว่าพวกนางจะเคารพนบนอบขนาดไหน ไม่สนใจว่าพวกนางจะแต่งตัวเปิดเผยหรือไม่ คนที่มาร่วมงานเลี้ยงไม่มีใครเห็นพวกนางอยู่ในสายตา ไม่มีใครหันมองพวกนางตรงๆ คามสนใจของทุกคนอยู่ที่ตัวเหมียวอี้หมดแล้ว กลับเป็นพวกผู้จัดการร้านหญิงอย่างหวงฝู่จวินโหรวที่มองการแต่งตัวของผู้หญิงกลุ่มนั้นแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเสื่อมเสียประเพณี ที่สำคัญคือพวกนางเป็นผู้หญิง แบบนี้ทำให้ผู้หญิงด้วยกันเสียหน้าเกินไปแล้ว ขณะเดียวกันก็แอบด่าในใจ ว่าผู้ชายในโลกนี้ไม่มีใครดีสักคน!
โจวหรานลุกขึ้นยืน ชูจอกสุราต่อทุกคน หลังจากผู้จัดการร้านค้าห้าร้อยกว่าคนทยอยกันชูจอกสุราและยืนขึ้นแล้ว โจวหรานถึงได้ชูจอกสุราไปข้างบนพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้บัญชาการใหญ่เจียดเวลามาจากงานยุ่ง ให้เกียรติมาเยือนภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทเพื่อไว้หน้าพวกเรา พวกเราจะดื่มจอกนี้คำนับผู้บัญชาการใหญ่ก่อน!”
“คำนับผู้บัญชาการใหญ่!” ทุกคนกล่าวพร้อมกัน แล้วดื่มหมดจอก
จากนั้นเหมียวอี้ที่นั่งอยู่เบื้องบนก็ยกจอกสุราไว้ในมือเช่นกัน พร้อมกล่าวเสียงดังว่า “ผู้บัญชาการใหญ่คนนี้รักษาการณ์ที่ตลาดสวรรค์ ในภายหลังคงมีจุดที่ขอความช่วยเหลือจากทุกคนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะเกิดอะไรขึ้น หลังจากดื่มสุราหมดจอกนี้แล้ว ละทิ้งความแค้นในอดีต!”
จอกเดียวก็ละทิ้งความแค้นในอดีตเหรอ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครเหรอ? ไม่รู้ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าไรที่ยิ้มเย้ยในใจ แต่ภายนอกก็ไว้หน้ามาก รีบเติมสุราอีกจอก แล้วชูจอกกล่าวพร้อมกันอีกครั้ง “ละทิ้งความแค้นในอดีต!”
เหมียวอี้ดื่มหมดจอกก่อน หลังจากชำเลืองมองดูทุกคนที่ดื่มจอกถัดไปแล้ว ถึงได้ยิ้มพลางยื่นมือเชิญให้นั่งลง แล้วทุกคนก็กล่าวขอบคุณอย่างร่าเริง
โจวหรานยกมืออีกครั้ง
ตุ้ง! เสียงกลองที่ไพเราะดังอีกครั้ง
เสียงเครื่องดนตรีก็ดังตามเช่นกัน จังหวะเพลงรื่นเริง นางระบำสามสิบกว่าคนที่หมอบนิ่งบนพื้นพลันกางแขนขึ้นมาอย่างอ่อนช้อย ราวกับดอกไม้เบ่งบาน เคลื่อนไหวด้วยท่วงท่างดงามไปตามจังหวะเพลงที่รื่นเริง ท่าทางก็ยิ่งยั่วยวน ทำให้คนไม่น้อยยิ้มพลางลูบเครามอง ตอนนี้ความสนใจของทุกคนไปอยู่บนตัวพวกนางแล้ว
บทที่ 1273 เลือดสาดภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท
โดย
Ink Stone_Fantasy
หัวเราะพูดคุยอย่างมีความสุข สุราชั้นเลิศอาหารชั้นดี บรรยากาศเริ่มยืดหยุ่นผ่อนคลายทีละนิด ในระหว่างนั้นโจวหรานกับเหมียวอี้เกิดช่องว่างของบทสนทนา จึงชูจอกสุราดื่มคำนับเป็นระยะ
รองหัวหน้าสมาคมทั้งสี่ก็เป็นแบบนี้เช่นกัน พวกเขาต่างก็ไม่ลืมทาจะสนใจขุนนางของอาณาเขตที่ตัวเองอยู่ ออกจากโต๊ะไปยกจอกสุราดื่มคำนับกับผู้บัญชาการสี่เขตเมือง
ระบำดนตรีจบลง นางระบำถอยออกจากเวที ภายใต้การโบกมือให้สัญญาณของโจวหราน นักระบำหลักที่หน้าตางดงามที่สุดเดินขึ้นมาบนบันได มานั่งดื่มสุราเป็นเพื่อนผู้บัญชาการใหญ่
เหมียวอี้ไม่ปฏิเสธผู้ที่มา ยื่นมือดึงเข้า หญิงงามส่งเสียงกระเส่าออเซาะอยู่ในในอ้อมกอด แต่กลับไม่ตื่นตกใจ เห็นได้ชัดว่าชินกับสถานการณ์แบบนี้แล้ว นางถือโอกาสนั่งบนเก้าอี้แล้วเอียงร่างกายซบอกเหมียวอี้ มือสีชมพูระเรื่อส่งสุราเลิศรสไปจ่อตรงปากเขา ในดวงตางามฉายแววออดอ้อนขอความรัก
จะทรยศความอ่อนโยนนุ่มนวลนี้ได้อย่างไร! เหมียวอี้ถือโอกาสดื่มไปอึกหนึ่ง “ดี!” บรรดาผู้จัดการร้านที่อยู่ข้างล่างตะโกนชมทันที
เสียงตะโกนชมที่จริงใจที่สุดจากสมาคมร้านค้าครั้งนี้ อาจจะกำลังชมความหลากหลายทางอารมณ์ของหญิงงามก็เป็นได้!
คนร่าน! เป่าเหลียนที่ยืนอยู่ข้างๆ แอบด่าในใจ สีหน้าเย็นเยียบ ทนมองภาพหน้าอับอายตรงหน้าแบบตรงๆ ไม่ได้ จึงเงยหน้ามองเพดาน
หวงฝู่จวินโหรวที่นั่งอยู่ข้างล่างกำลังจ้องเหมียวอี้ที่อยู่ข้างบน นางยิ่งแอบแค้นจนกัดฟันกรอด แววตาที่จ้องนางระบำช่างประจบคนนั้นฉายแววเย็นเยียบ
มู่หรงซิงหัวที่อยู่ข้างล่างผลักมือปฏิเสธนางระบำคนหนึ่งที่รินสุราให้ นางกำลังมองเหมียวอี้ด้วยแววตาประหลาดใจนิดหน่อย ภาพลักษณ์ที่ติดอยู่ในความทรงจำของนาง เหมียวอี้ไม่ใช่คนมั่วเรื่องผู้หญิง ทำไมวันนี้ถึงปล่อยตัวต่อหน้าคนมากมายแบบนี้ได้ล่ะ? นางรู้สึกได้รางๆ ถึงความผิดปกติ
เมื่อเห็นเหมียวอี้ผ่อนคลายไม่วางมาด พวกลูกน้องก็ไม่เกรงใจแล้วเช่นกัน ฝูชิง อิงอู๋ตี๋ สวีถังหรานต่างคนต่างถูกหญิงงามยั่วยวน
กลุ่มนางระบำที่แยกย้ายกันเข้าไปอยู่ในกลุ่มคนส่งเสียงร้องระริกระรี้เป็นพักๆ ราวกับเข้ามาอยู่ในฝูงหมาป่า ถูกผู้จัดการร้านพวกนั้นดึงมาไว้ในอ้อมกอดทีละคน ลูบคลำทั้งข้างล่างข้างบนจนมั่วไปหมด ชั่วพริบตาเดียวกลุ่มนางระบำก็ถูกแบ่งตัวไปหมดแล้ว
ทันใดนั้น บนเพดานตึกศาลาก็มีสตรีชุดแดงคนหนึ่งลอยลงมา ลอยลงเหยียบกลางเวทีพร้อมเสียงดนตรีที่อ่อนหวาน ท่วงท่าสง่างาม ทำให้เหมียวอี้ที่กำลังกอดสาวงามแบ่งสมาธิมองไป พอมองให้ละเอียด ก็พบว่าเป็นสาวน้อยวัยแรกรุ่นคนหนึ่ง แต่ใหน้ารูปไข่ของนางกลับน่าทึ่งมาก ตอนนี้เป็นเสมือนไข่ที่กำลังจะฟักตัวเป็นยอดหญิงงาม แค่คิดก็รู้แล้วว่าโตไปจะสวยขนาดไหน
พอสาวงามที่อยู่ในอ้อมกอดเห็นดังนั้น ก็รู้ว่าเขาไม่เคยเห็นมาก่อน จึงเอาหน้ามาซบบนบ่าเหมียวอี้ แล้วกระซิบเสียงต่ำพลางกัดหูเขา “คนนี้เป็นสาวน้อยที่เพิ่งมาใหม่ ชื่อในวงการคือเฟยหง ถูกพิถีพิถันคัดเลือกจากเด็กจำนวนสิบล้านเพื่อมาฝึกสอน เพิ่งอายุสิบห้าเอง แต่อย่าไปมองว่านางอายุน้อยเพิ่งได้ขึ้นเวทีนะ เพราะชื่อเสียงของนางสามารถข่มเสวี่ยหลิงหลงของหอกกลิ่นสวรรค์ได้เลยค่ะ มีแนวโน้มว่าจะมาแย่งมงกุฎกับเสวี่ยหลิงหลง แต่น่าเสียดายที่ภูมิหลังของนางสู้เสวี่ยหลิงหลงไม่ได้ กลัวก็แต่ว่าจะโดนจับไปเป็นเนื้อต้องห้ามตั้งแต่ยังไม่ทันได้แจ้งเกิดในวงการ”
หลักการนี้เหมียวอี้เข้าใจ สถานบันเทิงแบบหอกกลิ่นสวรรค์มีการคัดเลือกเด็กผู้หญิงมาฝึกไม่หยุด จากนั้นก็จะเลือกคนที่มีพรสวรรค์และหน้าตาดีเพื่อให้เป็นเด็กดัน ถ้าประสบความสำเร็จก็จะเป็นแบบเสวี่ยหลิงหลง ถ้าไม่ประสบความสำเร็จก็จะต้องกลายเป็นตัวประกอบ หรือไม่ก็กลายเป็นของขวัญที่ส่งมอบให้คนอื่นเพื่อหาเส้นสาย พอตกต่ำกลายเป็นของเล่นก็จะถูกส่งกลับมาเรื่อยๆ ถ้าดวงดีก็จะได้กลายเป็นอนุภรรยาของขุนนาง
เหมียวอี้ยื่นมือไปช้อนคางนาง พร้อมถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าก็ไม่แย่นะ ทำไมไม่แข่งกับเสวี่ยหลิงหลงสักหน่อยล่ะ?”
สาวงามในอ้อมกอดถอนหายใจเบาๆ “ไม่มีอำนาจหนุนหลัง ร่างกายที่อ่อนแอเหมือนกิ่งหลิวบางอย่างข้าจะกล้าหวังอะไรมากมายล่ะคะ ถ้าผู้บัญชาการใหญ่โปรดปรานกันสักหน่อย บางทีก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ข้าได้ยินว่าผู้บัญชาการใหญ่กับเสวี่ยหลิงหลงก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวเหมือนกันนี่นา” ในน้ำเสียงซ่อนโศกเศร้าเรียกร้องความสงสาร ในดวงตาฉายแววเฝ้าคอย แล้วก็พูดเสริมอีกว่า “ถ้าผู้บัญชาการใหญ่ไม่รังเกียจ ข้าก็ยินดีรับใช้นายท่านราวกับเป็นม้าเป็นสุนัขค่ะ”
เป่าเหลียนที่อยู่ข้างๆ เหล่ตามองมาทันที เกิดอารมณ์วู่วามอยากจะเตะคนหน้าไม่อายคนนี้ให้กระเด็น ไม่น่าเชื่อว่านางแพศยาที่โดนคนขี่มาเป็นพันเป็นหมื่นจะกล้ายั่วยวนนายท่าน!
นางย่อมรู้ว่านางแพศยามีเจตนาอะไร อยากจะให้นายท่านประคองนางขึ้นมา หรือไม่ก็กระโดดออกจากวงการบันเทิงมามีฐานะอยู่ข้างกายนายท่าน ถึงตอนนั้นย่อมดีกว่าตอนนี้อยู่แล้ว มีความรักที่แท้จริงเสียที่ไหนกัน!
เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ บีบบคางนางเขย่าไปมา “นั่นก็ต้องดูว่าเจ้าจะสามารถปรนนิบัติให้ข้าพอใจได้มั้ย”
ภาพโอบกอดกันข้างบนทำให้ทุกคนที่อยู่ข้างล่างยิ้มอย่างเข้าใจ ทุกคนอยู่เป็นมาก ไม่มีใครมาดื่มสุราคำนับรบกวนผู้บัญชาการใหญ่หนิวในเวลานี้
ฝูชิง อิงอู๋ตี๋และสวีถังหรานเหลือบมองด้านบนเป็นระยะ พวกเขายิ้มบางๆ แต่ในรอยยิ้มกลับแฝงความหมายลึกซึ้ง
ตรงหน้าต่างเล็กๆ ของหลังคาตึกศาลา เสวี่ยหลิงหลงที่กำลังเตรียมตัวลงเวทีเห็นฉากนี้ผ่านซอกหน้าต่าง นางกัดริมฝีปากแดง ถ้าตอนแรกท่านแม่สวีไม่บอกนางว่าจะเป็นแม่สื่อให้เรื่องของนางกับเหมียวอี้สำเร็จแน่นอน นางก็อาจจะไม่เกิดความคิดอะไร แต่ตอนนี้นางมีความหวังนั้นแล้ว ทั้งยังได้เห็นภาพนี้อีก ทำให้นางรู้สึกทุกข์ใจนิดหน่อย ราวกับได้เห็นผู้ชายของตัวเองกำลังอยู่กับผู้หญิงคนอื่น
ท่านแม่สวีที่นั่งอยู่ข้างๆ บ่นว่า “นางคนร่านหน้าไม่อาย ไม่หัดดูยี่ห้อของตัวเองเสียบ้าง ของบุบสลายที่ส่งไปไหนก็ไม่มีใครเอา ยังคิดจะไต่เต้าขึ้นที่สูงอีก!”
เมื่อเห็นสาวงามในอ้อมกอดเหมียวอี้ยิ่งเกาะแกะกับเหมียวอี้แน่วเหนียวมากขึ้น การกระทำยิ่งดูหน้าไม่อายมากขึ้น ใช้ความสามารถทั้งหมดที่มีมาหลอกล่อ ชัดเจนว่ากำลังยั่วยวน หวงฝู่จวินโหรวก็ถือจอกสุราจ่อไว้ตรงข้างปาก ในดวงตาฉายแววดุร้าย เกิดควมคิดที่จะฆ่าคนแล้ว!
แต่ความดุร้ายในดวงตางามพลันหายไป ถูกแทนที่ด้วยความงุนงงตกใจ พอวางจอกสุราลงบนโต๊ะ หวงฝู่จวินโหรวก็พยายามออกแรงส่ายหน้า แล้วจู่ๆ ก็เอามือกุมหน้าอก นางเริ่มทำสีหน้าเหลือเชื่อ รีบหันซ้ายหันขวา ทำให้เห็นว่าไม่ได้มีแค่นางคนเดียว คนรอบข้างก็เหมือนจะมีสภาพเดียวกับนางหมด
พอเงยหน้ามองเหมียวอี้ที่นั่งอยู่ข้างบนอีกครั้ง ก็ยังเห็นเขาคลอเคลียนัวเนียกับสาวงามเหมือนเดิม
ปั้ง! หวงฝู่จวินโหรวตบโต๊ะหวังจะยืนขึ้น แต่ร่างกายโซเซอยู่พักหนึ่งแล้วล้มลง นางกล่าวเสียงอ่อนพร้อมใบหน้าซีดขาว “มียาพิษ!” จากนั้นก็รีบยัดยาเม็ดเข้ามา แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ช่วยตัวเอง
ในงานเกิดความวุ่นวายทันที โจวหรานพลันยืนขึ้น แล้วตะโกนอย่างโมโหว่า “นี่มันเรื่องอะไร! ใคร…” ร่างกายโซเซอยู่พักหนึ่ง ขาสองข้างอ่อนแรง พลังอิทธิฤทธิ์ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ สองมือรีบยันโต๊ะยาวข้างหน้า ตระหนักได้ว่าพิษนี้ไม่ธรรมดา
คนไม่น้อยที่ยืนอยู่รอบข้างก็ขาอ่อนโซเซนั่งลงแล้วเช่นกัน มีคนไม่น้อยตระหนักได้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องแล้ว อยากจะหนีแต่กลับหนีไม่พ้น
สี่คนที่ยืนอยู่ข้างหลังเหมียวอี้ ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นพวกเชียนหลัวจากปราสาทดำเนินนภานั่นเอง ทั้งสี่เห็นสถานการณ์แบบนี้แล้วก็ตกใจ แต่กลับเห็นเหมียวอี้ทำท่าเหมือนไม่เป็นอะไรเลย สี่คนที่เตรียมจะเคลื่อนไหวมองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
มู่หรงซิงหัวก็ทำสีหน้าหวาดกลัวเช่นกัน เอามือกุมอกมองซ้ายมองขวา แต่กลับเห็นฝูชิง อิงอู๋ตี๋และสวีถังหรานหยิบระฆังดาราออกมาเขย่า แต่เหมียวอี้ที่นั่งอยู่ข้างบนกลับยังหยอกล้อกับสาวงามเหมือนเดิม สามงามมองความเปลี่ยนแปลงด้านล่างอย่างตกใจมึนงง เหมียวอี้กลับบีบหน้านางแล้วดึงกลับมาอีกครั้ง
ชั่วพริบตานั้น ในหัวมู่หรงซิงหัวมีอะไรบางอย่างแวบเข้ามาราวกับหินจุดติดไฟ เข้าใจในทันที พอจะเดาได้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“เจ้า…” โจวหรานพลันโบกมือชี้ไปที่เหมียวอี้ที่อยู่ด้านบน พลางหอบหายใจถามอย่างโมโห “หนิวโหย่วเต๋อ เป็นแผนของเจ้าใช่มั้ย?”
“หืม?” เหมียวอี้เยงหน้ามองลงมา สาวงามในอ้อมกอดเขาเริ่มมีปฏิกิริยากับยาพิษแล้ว แต่กลับไม่เห็นเขาแสดงความสงสาร เขาสะบัดแขนเหวี่ยงหญิงงามในอ้อมกอดล้มลงบนพื้น จ้องมองเบื้องล่างด้วยสายตาเย็นเยียบ พร้อมกล่าวช้าๆ ว่า “พวกเจ้ารู้ถึงความผิดของตัวเองมั้ย!”
เป่าเหลียนที่อยู่ข้างๆ ก็ตกใจเช่นกัน นางมองลงไปด้านล่าง แล้วเอียงหน้ามองเหมียวอี้
“รู้อยู่แล้วว่าขุนนางโจรนี่มีเจตนาไม่ดี!” เถียนเฟิงฮ่าวพลันตกคอกเสียงดัง “ถ้าไม่ลงมือตอนนี้แล้วจะรอถึงเมื่อไร!”
ปั้ง! โจวหรานคว้าจอกหยกบนโต๊ะปาลงพื้น “ส่งยาถอนพิษมา!”
บึ้ม! ด้านล่างของเหมียวอี้สั่นสะเทือน เศษไม้ที่อยู่หลังเก้าอี้ปลิวว่อน พื้นกระดานแยกออก จู่ๆ ก็มีคนคนหนึ่งพุ่งขึ้นมา การเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก แม้แต่เหมียวอี้ก็ไหวตัวไม่ทันด้วยซ้ำ ผู้ที่มาคว้าคอเหมียวอี้เอาไว้ ต้องการจะบีบบังคับให้ส่งยาถอนพิษให้
ฝูชิง อิงอู๋ตี๋และสวีถังหรานที่อยู่ด้านล่างตกใจมาก นึกไม่ถึงว่ากลุ่มคนของสมาคมร้านค้าจะมีมือสังหารดักซุ่มอยู่!
ซวบ! เชียนหลัวพลันใช้ดาบ พอเงาดาบแฉลบผ่าน เลือดก็สาดกระจจายราวกับพายุฝน คนที่เพิ่งโผล่ออกมายังไม่ทันได้เปล่งเสียงร้องออกมา ก็โดนเชียนหลัวใช้ดาบฟันจนขาดเป็นสองท่อนแล้ว
เหมิงจื้อเกา จิงอาน จงหลีค่วยก็รีบชักดาบเช่นกัน ถลันตัวยืนเป็นสามมุม ปกป้องโดยล้อมให้เหมียวอี้อยู่ตรงกลาง เดิมทีพวกเขาไม่ได้ใช้ดาบ แต่จำเป็นต้องทำแบบนี้เพื่อปิดบังตัวตน
เหมียวอี้มองไปด้านหลังเก้าอี้อย่างขวัญผวาเช่นกัน เมื่อครู่นี้เพิ่งเห็นร่างที่โดนฟันขาดครึ่งท่อนปลิวผ่านไปสองด้าน เขาเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าขนาดวางแผนเชื่อมโยงเป็นลูกโซ่แล้วก็ยังทำลายความระแวงของกลุ่มคนของสมาคมร้านค้าไม่ได้ ไม่น่าเชื่อว่ายอดฝีมือจะแฝงตัวอยู่ด้านล่างของเขา สามารถทำให้เขาตายได้ทุกเมื่อ โชคดีที่หยางชิ่งเตือนไว้ตั้งแต่แรก โชคดีที่ตัวเองเตรียมตัวล่วงหน้า
เพล้ง! หน้าต่างบนยอดตึกศาลาพังปลิวออกไป นักพรตบงกชรุ้งหกคนลอดเข้ามาอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
จ๋อม! นักพรตบงกชรุ้งสามคนโผล่ขึ้นมาจากทะลสาบรอบๆ แล้วโผไปที่เหมียวอี้
เชียนหลัวจงใจปกปิดวรยุทธ์ตัวเอง และไม่ได้ใช้ท่าไม้ตายที่ร้ายกาจอะไร เพียงรอให้มือสังหารพวกนั้นเข้ามาใกล้ แล้วค่อยลงมือด้วยความไวปานสายฟ้า หมุนตัวฟันต่อเนื่องกันไม่หยุด ดาบล่องหนถูกพ่นออกมาราวกับของจริง เก็บเข้าปล่อยออกได้อย่างอิสระ ฟันดาบแล้วดาบเล่า ฟันคนเจ็ดคนต่อเนื่องกันอย่างง่ายดายราวกับผ่าฟักหั่นผัก
มือสังหารอีกสองคนเห็นท่าไม่ดี จึงหันหน้าเลี้ยวหนี เหมียวอี้จึงรีบร้องบอกว่า “อย่าให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว!”
เชียนหลัวใช้มือขวาโยนดาบ ดาบพุ่งยิงออกไปราวกับสายฟ้าฟาด ฟันคนที่หนีขาดเป็นสองท่อนกลางอากาศ สังหารจนเกิดเสียงร้องโหยหวน ส่วนตัวเองก็พุ่งออกมาราวกับเงาผี ไล่ตามอีกคนแล้วฟาดฝ่ามือหนึ่งที บึ้ม! พลังฝ่ามือฟาดตบจนอีกฝ่ายเงยหน้ากระอักเลือดสดขึ้นฟ้า
เชียนหลัวถลันตัวไล่ตามคนที่ตกลงข้างล่าง ขยุ้มนิ้วทั้งห้าราวกับเป็นตะขอ กักศีรษะของอีกฝ่ายเอาไว้ พอบิดหนึ่งครั้ง ก็เด็ดศีรษะใบหนึ่งแล้วถลันตัวเหาะกลับมาโดยตรง มาเหยียบลงข้างกายเหมียวอี้ แล้วโยนศีรษะทิ้งไว้ใต้เท้าเหมียวอี้
พวกฝูชิงตกใจมาก นี่มันยอดฝีมือระดับไหนกัน? ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เห็นนักพรตบงกชรุ้งเปราะบางราวกับชามกระเบื้องเคลือบ ข้าได้อย่างสบายมือ
“พวกเจ้ายังมัวรออะไรอยู่?” เหมียวอี้พลันตะโกน
ทั้งสามได้สติกลับมา ฝูชิงและอิงอู๋ตี๋พลิกมือถือกระบี่ ถลันวูบเข้าไปในกลุ่มคนที่ล้มอยู่เต็มพื้น แล้วลงกระบี่ด้วยความเร็ว รีบตัดศีรษะเก็บไว้ทีละใบ เลือดกระเด็นสาดภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท!
ส่วนสวีถังหรานก็รีบหยิบยาถอนพิษออกมาจากขวดสีขาวทีละเม็ด รีบยัดใส่ปากมู่หรงซิงหัว หวงฝู่จวินโหรว โจวหราน อูหันซานและอวี้ซวีเจินเหริน จากนั้นก็ทำเหมือนพวกฝูชิงทันที รีบไปตัดหัวด้วยความเร็ว
“คนต่ำทราม!”
“ขุนนางโจร!”
“หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าบังอาจ!”
“ผู้บัญชาการใหญ่ไว้ชีวิตด้วย!”
ท่ามกลางกลุ่มคนที่บ้างก็ล้มบ้างก็หมอบ เสียงร้องที่อ่อนแรงดังเป็นแถบ แต่ก็ไม่ได้ความปรานีกลับมา การแอบเยาะเย้ยและเหยียดหยามก่อนหน้านี้ เมื่ออยู่ภายใต้ดาบก็กลายเป็นความหวาดกลัวทันที ผู้จัดการร้านเถียนเฟิงฮ่าวที่หมอบอยู่บนโต๊ะก็ยิ่งตกใจจนตัวสั่นเทิ้ม ได้แต่มองดูสวีถังหรานที่ยิ้มชั่วร้ายถลันตัวเข้ามาตาปริบๆ พอเห็นสวีถังหรานลงดาบ ภาพตรงหน้าตัวเองก็พร่ามัว ความรู้สึกตัวหายไปในชั่วพริบตาเดียว
ขณะเดียวกันนี้เอง เลี่ยหวนและพวกราชาปีศาจก็ปรากฏตัวหน้าประตูของสี่เขตเมืองอย่างกะทันหัน แล้วเผยคำสั่งออกมา “คำสั่งของผู้บัญชาการใหญ่ ปิดประตูเมืองเดี๋ยวนี้ ไม่อนุญาตให้ใครเข้าออก ใครขัดคำสั่ง ประหาร!”
ประตูเมืองถูกปิดอย่างรวดเร็วเสียงดังครืน แขกขาจรที่กำลังจะเข้าออกถูกสกัดไว้อย่างไร้สาเหตุ ยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
บทที่ 1274 ยอมให้จับแต่โดยดี
โดย
Ink Stone_Fantasy
แทบจะเป็นเวลาเดียวกับตอนที่พิษในตึกศาลากำเริบ ทหารหลายกลุ่มที่มีทั้งจงใจและไม่จงใจเดินลาดตระเวนไปมาอยู่ที่ถนนใกล้ๆ ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท จู่ๆ พวกเขาก็เหาะขึ้นฟ้าพุ่งไปที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท บ้างก็รีบกระจายวางกำลังคนที่ถนนรอบๆ ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท ป้องกันไม่ให้มีคนหนีไปแล้วไม่รู้ มีกำลังพลสองกลุ่มนำคนพุ่งข้ามาในกระตูใหญ่โดยตรง เพราะเข้าทางอื่นไม่ได้ มีค่ายกลป้องกัน
“ขุนนางทุกท่าน! วันนี้ที่นี่ไม่รับแขกชั่วคราว…” เมื่อเห็นผู้ที่มาไม่มีท่าทีว่าจะหยุด คนเฝ้าประตูก็รีบเปลี่ยนคำพูด “ผู้บัญชาการใหญ่อยู่ข้างใน ถ้าฝืนบุกเข้าไปเกรงว่าพวกท่าน…อา!”
หัวหน้ากองที่พุ่งมาก่อนพลันลงดาบ ฟันคนเฝ้าประตูสองคนจนล้มคว่ำ แล้วใช้มือใหญ่ฉีกหนังปลอมบนใบหน้าลงมา เขาคือราชาปีศาจกระดูกขาวนั่นเอง เขาโบกมือเรียกหนึ่งครั้ง แล้วนำคนพุ่งเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว จากนั้นกองกำลังอีกกลุ่มก็เฝ้าประตูใหญ่ไว้ทันที ศพสองศพที่นอนอยู่บนพื้นถูกลากไปซ่อนไว้ข้างๆ อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ปล่อยกองกำลังอีกสองกลุ่มเข้าไป ก่อนจะปิดประตูใหญ่ในทันที
เฟยหง ดาวเด่นของหอมงกุฎงาม ตอนนี้กำลังนั่งคุกเข่าตัวสั่นเทิ้มอยู่กลางโถง มองดูเลือดสดไหลนองจนเท้าสองข้างไม่กล้าขยับไปไหน
ศีรษะของผู้จัดการร้านค้าในเขตเมืองเหนือกระเด็นมาใบแล้วใบเล่า มาตกอยู่หน้าโต๊ะยาวของมู่หรงซิงหัว ไม่นานก็รวมกันเป็นกอง พวกฝูชิงถือโอกาสช่วยเหลือแล้ว
มู่หรงซิงหัวที่นอนอยู่บนโต๊ะได้กินยาถอนพิษเข้าไปแล้ว ตอนนี้นางกำลังอาการดีขึ้นทีละนิด ได้แต่มองดูศีรษะกองสุมกันสูงขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายของนางก็เริ่มฟื้นฟูและควบคุมตัวเองได้แล้วเช่นกัน นางประคองจับเก้าอี้ลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ แล้วค่อยๆ หันหน้ามองไปยังเหมียวอี้ที่นั่งอยู่ข้างบน
ในดวงตานางสื่ออารมณ์ซับซ้อนคลุมเครือ เห็นได้ชัดเจนมาก ว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ กินยาถอนพิษไว้ก่อนแล้ว แต่กลับปิดบังนาง เห็นได้ชัดว่าระแวงนาง
เหมียวอี้ก็กำลังมองนางด้วยสายตาเย็นเยียบเช่นกัน กำลังมองดูนางลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ
หวงฝู่จวินโหรว โจวหราน อูหันซาน อวี้ซวีเจินเหรินก็ค่อยๆ อาการทุเลาเช่นกัน แต่สี่คนนี้โดนเชือกมัดเซียนมักไว้แล้ว ถูกระงับพลังอิทธิฤทธิ์แล้วด้วย
เห็นในงานมีเลือดไหลนองเป็นแม่น้ำ เห็นคนรู้จักคุ้นเคยที่เพิ่งชนจอกสุราพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ตอนนี้แต่ละคนกลับโดนตัดหัว โจวหรานกับอูหันซานจึงตัวสั่นหวาดกลัวทันที มองเหมียวอี้ราวกับเห็นปีศาจร้าย พูดอะไรไม่ออกสักคำ และไม่กล้าขู่แล้วด้วย ทุกคนทำถึงขนาดนี้แล้ว ยังกลัวที่จะฆ่าพวกเขาเชียวเหรอ?สิ่งที่เขากังวลตอนนี้ก็คือจุดจบของตัวเอง
อวี้ซวีเจินเหรินกำลังทำสีหน้าจริงจัง เมื่อเห็นว่าเขาไม่เป็นอะไร เป่าเหลียนที่ยังขวัญผวาไม่หายก็โล่งอก นางมองไปที่เหมียวอี้อย่างเหลือเชื่อนิดหน่อย…
หวงฝู่จวินโหรวที่หันมองรอบข้างกลับโมโหจนตัวสั่น นางหันไปมองเหมียวอี้ด้วยสายตาเดือดดาล ในดวงตาราวกับจะพ่นไฟออกมาได้ นางพบว่าตัวเองถูกเหมียวอี้หลอกใช้แล้ว การช่วยเขากู้หน้าตาศักดิ์ศรีคือเรื่องโกหก การช่วยเขาเอาชีวิตคนพวกนี้ต่างหากที่เป็นเรื่องจริง!
“หนิวโหย่วเต๋อ ถ้าเจ้ากล้านัก ก็ฆ่าข้าไปด้วยกันเลยสิ!” จู่ๆ นางก็แหกปากตะโกนอย่างเดือดดาล
เหมียวอี้ไม่สนใจนางเลย กำลังจ้องมู่หรงซิงหัวพร้อมกล่าวเสียงเรียบว่า “มีคนดักซุ่มสังหารข้า ต้องการทำให้ผู้บัญชาการใหญ่คนนี้ถึงแก่ความตาย แต่ข้ามองออกแล้ว เจ้าควรทำอย่างไร?”
พอพูดจบ ฝูชิง อิงอู๋ตี๋และสวีถังหรานที่ทำงานเสร็จแล้วก็ถลันตัวกลับมา ทั้งสามหันหน้ามองไปที่มู่หรงซิงหัวพร้อมดัน นางกุมหมัดกล่าวเสียงเบาว่า “ข้าน้อยจะฟังคำสั่งระดมกำลัง!”
เหมียวอี้ส่งสายตาบอกใบ้ทันที ฝูชิงรีบชี้ไปยังหัวคนที่กองรวมกัน บอกให้นางไปรวบรวมกำลังพล หนึ่งศีรษะหนึ่งร้านค้า ถือหัวไปค้นยึดร้านค้า จับกุมพรรคพวกในร้านค้าที่เกี่ยวข้องมาพร้อมกันทีเดียว
มู่หรงซิงหัวหังจบแล้วพยักหน้า จากนั้นหันไปบอกเหมียวอี้ “ผู้บัญชาการใหญ่ หลังจากจบเรื่องนี้ ข้าน้อยอยากจะคุยกับท่านดีๆ สักหน่อย!”
“ขอเพียงจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว เดี๋ยวกลับไปจะให้สวีถังหรานลงครัวเลี้ยงรับรองด้วยตัวเอง” เหมียวอี้บอก
มู่หรงซิงหัวไม่พูดอะไรอีก ร่ายอิทธิฤทธิ์กวาดกองศีรษะคน แล้วรีบออกไปพร้อมกับพวกฝูชิง
กลิ่นคาวเลือดพุ่งขึ้นไปบนยอดเพดาน คณะนางระบำในตึกศาลาด้านบนตกใจจนไม่กล้าหายใจแรง มีคนไม่น้อยกำลังตัวสั่น ไม่รู้เลยว่าต่อไปชะตากรรมตัวเองจะเป็นอย่างไร ขนาดผู้จัดการร้านที่ยามปกติมีคนหนุนหลังและทำตัวสูงส่งยังโดนฆ่าแบบนี้ เช่นนั้นชีวิตของพวกเขาก็ยิ่งไร้ค่าน่ะสิ
ท่านแม่สวีกับเสวี่ยหลิงหลงตกใจจนกอดกันกลม ใบหน้าซีดขาว พวกนางเป็นเพียงนักแสดงที่ขายศิลปะเท่านั้น นึกไม่ถึงว่ามาร่วมแสดงในงานเลี้ยงแล้วจะประสบกับเรื่องแบบนี้ เจอกับการเปิดฉากสังหารใหญ่ของผู้บัญชาการใหญ่หนิว
พวกเชียนหลัวที่ถือดาบปกป้องมองหน้ากันเลิกลั่ก นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าจะได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้ เคยได้ยินว่าเรื่องที่เหมียวอี้ล้างเลือดตลาดสวรรค์มาแล้วครั้งหนึ่ง เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะได้เข้าร่วมเหมือนกัน ในใจพวกเขาเซ็งมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้วิธีการต่ำทรามอย่างการวางยาพิษ!
“หนิวโหย่วเต๋อ ไอ้สารเลว!” หวงฝู่จวินโหรวที่โดนหลอกใช้อย่างโหดร้ายไปครั้งหนึ่งเหมือนเป็นบ้าไปแล้ว ถึงแม้จะโดนมัดอยู่ แต่กลับมีรอยเท้าเลือดหลายก้าว นางกระโดดฝ่ากองเลือดเข้ามาใกล้ “ถ้าเจ้าเก่งนักก็ฆ่าข้าสิ!”
เหมียวอี้เอามือไขว้หลังเดินลงบันได วินาทีที่ทั้งสองสบตากัน จู่ๆ เหมียวอี้ก็ลงมือ ไม่รู้ว่าเอาน่องไก่มาจากไหน ยัดเข้าในปากหวงฝู่จวินโหรวโดยตรง หวงฝู่จวินโหรวยิ่งประสาทเสียยิ่งกว่าเดิม ปากโดนอุดจนร้องเสียงอู้อี้ กระโจนศีรษะเข้าไปชนเหมียวอี้
เหมียวอี้ใช้ฝ่ามือสับฟันลงไปที่คอนางนาง ทำให้นางตาเหลือกและสลบลงข้างบันได
ตอนนี้ด้านนอกมีคนเหาะลงมาหลายสิบคน ผู้ที่นำกลุ่มก็คือราชาปีศาจกระดูกขาว เขามองภาพเหตุการณ์ที่อยู่ข้างในแวบหนึ่ง แล้วนำลูกน้องคนสนิทไม่กี่คนเหยียบฝ่ากองเลือดเข้ามา แล้วกุมหมัดคารวะ “ผู้บัญชาการใหญ่!”
“เป็นยังไงบ้าง?” เหมียวอี้ถาม
ราชาปีศาจกระดูกขาวกุมหมัดตอบ “ตรวจสอบคนงานในภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทหมดแล้ว ไม่ขาดไปสักคน คนที่หนีออกไปจากทางนี้ก็กักตัวไว้ได้แล้ว ยอมให้จับแต่โดยดีทั้งหมด ไม่มีการขัดขืนขอรับ!”
เหมียวอี้เงงยหน้ามองบนเพดานตึกศาลา ราชาปีศาจกระดูกขาวมองตามและเข้าใจในฉับพลัน พอโบกมือก็นำคนสิบกว่าคนพุ่งขึ้นไป
ผ่านไปครู่เดียว พวกนักดนตรี นักแสดงหลายสิบคนก็ถูกไล่ลงมาหมด ท่านแม่สวีกับเสวี่ยหลิงหลงก็รวมอยู่ในนั้นด้วย ทั้งหมดรวมกลุ่มกันและเอามือกุมศีรษะนั่งยองๆ อยู่ท่ามกลางกองเลือดในโถงใหญ่ ไม่มีใครกล้าพูดอะไร กำลังตกอยู่ในความหวาดผวา
พอเหมียวอี้ให้สัญญาณเล็กน้อย เป่าเหลียนก็รีบนำคนสิบกว่าคนไปค้นสิ่งของบนร่างศพของพวกผู้จัดการร้านค้า…
“รู้ผลที่ตามมาของการทำแบบนี้หรือเปล่า? ทำไมผู้บัญชาการใหญ่ต้องทำแบบนี้?”
ในจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก กำลังพลรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว กงอวี่เฟยตามอยู่ข้างกายสวีถังหรานและถามอย่างร้อนใจ
สวีถังหรานสวมเครื่องแบบแม่ทัพเกราะม่วงหนึ่งแถบแล้ว เขาพลันหันตัวมา สั่งกำลังพลกลุ่มใหญ่ที่รวมตัวกันด้วยน้ำเสียงดุดัน “กลุ่มพ่อค้ามีเจตนาไม่ดี จัดงานเลี้ยงและซ่อนมือสังหารเอาไว้ลอบฆ่าผู้บัญชาการใหญ่ โชคดีที่ผู้บัญชาการใหญ่ดวงดีมาก! ภายใต้ความเดือดดาล ผู้บัญชาการใหญ่กล่าวโทษว่าพวกเขาเป็นโจรกบฏ จึงออกคำสั่งให้ปราบโจรกบฏที่เหลือ ถ้ากำลังพลที่ตลาดสวรรค์ฝ่าฝืนและไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่ง ก็จะโดนลงโทษข้อหาสมรู้ร่วมคิด กงอวี่เฟย เจ้ากำลังจะขัดคำสั่งใช่มั้ย?”
พอพูดจบ ผู้ช่วยผู้บัญชาการห้าหกคนก็รีบล้อมเข้ามา จ้องมองกงอวี่เฟยกับหลี่หวนถังอย่างดุร้าย ขาดแค่ใช้อาวุธจ่อที่ตัวทั้งสองเท่านั้น
กงอวี่เฟยที่กำลังตกใจหันกลับไปมองหลี่หวนถังที่กำลังส่ายหน้าเบาๆ ให้นาง แล้วหันกลับมาอีกครั้ง ข่มความโกรธบอกว่า “มิบังอาจ!”
“พวกเจ้าสองคนตามข้ามา!” อาศัยบารมีความหน้าเกรงขามของผู้บัญชาการใหญ่ สวีถังหรานชี้หน้าตะคอกทั้งสองคน แล้วหันกลับมาโบกมือ “ออกเดินทาง!”
“ฮูหยิน! จู่ๆ ประตูภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทก็โดนกำลังพลตำหนักสวรรค์ปิดล้อมไว้ ข้าเห็นกับตาตัวเองก็สองคนที่เฝ้าประตูอยู่ทีแรกโดนกำลังพลตำหนักสวรรค์ฟันตาย”
ช่างไม้รีบร้อนเข้าไปในที่ลานบ้านด้านหลังของร้านโฉมเมฆา รายงานอวิ๋นจือชิวที่กำลังนั่งอยู่ในศาลาด้านหลังภูเขาจำลอง
“จะต้องมือจริงๆ เหรอ?” อวิ๋นจือชิวถอนหาใจเบาๆ นางลุกขึ้นยืน หันตัวไปหาบ่อน้ำเล็กๆ ที่สะท้อนแสงโคมไฟในศาลา หน้านิ่วคิ้วขมวด
เชื่อมโยงกับเรื่องที่เหมียวอี้จัดงานเลี้ยง ทั้งยังไม่มาที่นี่เป็นเวลานาน นางก็เดาออกแล้วว่าเหมียวอี้วางแผนจะลงมือ เขากำลังจงใจหลบเลี่ยงนาง ไม่อยากโดนนางห้ามปราม พอได้ยินว่ากลุ่มผู้จัดการร้านค้าไปรวมตัวกันที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท นางก็รู้สึกได้ทันทีว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ดีไม่ดีคืนนี้อาจจะได้รู้อะไรบางอย่าง ถึงได้ส่งคนไปเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท
จู่ๆ บนบ่อน้ำก็มีเงาดำแฉลบผ่าน อวิ๋นจือชิวเงยหน้ามองขึ้นไป ทำให้เห็นกำลังพลตำหนักสวรรค์หลายกลุ่มเหาะผ่านไป
ซวบ! อวิ๋นจือชิวรีบถลันตัวขึ้นไปยืนบนหลังคาร้าน เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์และช่างไม้ก็ตามขึ้นเช่นกัน เห็นกำลังพลของตลาดสวรรค์เหาะไปทั่วฟ้า เหาะขึ้นเหาะลง บุกเข้าไปในร้านค้าร้านแล้วร้านเล่า ได้ยินเสียงตะคอกดังมาเป็นระยะ
เชียนเอ๋อร์เสวี่ยเอ๋อร์มองหน้ากัน ลมกลางคืนพัดผ่านใบหน้า อวิ๋นจือชิวสายตาเลื่อนลอย ถอนหายใจแล้วบอกว่า “หนิวเอ้อร์ เจ้าลงมือแล้วจริงๆ ด้วย!”
ร้านค้าเจ็ดอารมณ์ สวีถังหรานใช้วิธีการเดียวกันมาเยือนร้านเป็นครั้งที่สอง นำกำลังพลบุกเข้ามาโดยตรง
สวีถังหรานเอามือไขว้หลังเดินนำกำลังพลเข้ามา ตอนนี้ทำสีหน้าดำมืดชั่วร้าย ถึงแม้จะกังวลในผลลัพธ์ของการทำแบบนี้ แต่ก็ต้องยอมรับ ว่าขั้นตอนในการทำแบบนี้ทำให้เขาสะใจมากจริงๆ
ไม่สะใจไม่ได้หรอก! ในหนึ่งร้อยปีมานี้เรียกว่าได้ใช้ชีวิตเสียที่ไหนกัน เป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกผู้สง่าผ่าเผยแท้ๆ ไม่น่าเชื่อว่าตอนเจอกลุ่มผู้จัดการร้านค้าต้องถ่อมตัวลงสามส่วน ทั้งยังกดจนลูกน้องของตนเงยหน้าไม่ขึ้นตามไปด้วย เก็บกดแทบตายอยู่แล้ว เมื่อครู่นี้ตอนค้นยึดร้านค้าแล้วได้เห็นใบหน้าที่เย่อหยิ่งในเมื่อก่อนเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวร้องขอความเมตตา ในที่สุดก็ได้ลักษณะอันน่าเกรงขามของผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกกลับคืนมาแล้ว
“ผู้บัญชาการสวี พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?”
มีคนชี้สวีถังหรานพร้อมตะคอกถามอย่างเดือดดาล กลุ่มคนในร้านถืออาวุธมาคุมเชิงกับกำลังพลตำหนักสวรรค์ที่บุกเข้ามา ต้องการใช้กำลังปกป้องร้านค้าอย่างโจ่งแจ้ง
สิ่งที่ทำให้สวีถังหรานตกใจก็คือ หนึ่งในนั้นเผยวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นสอง ไม่น่าเชื่อว่าจะมีนักพรตบงกชรุ้งคุมที่นี่อยู่ เขารีบพลิกมือโยนศีรษะของเถียนเฟิงฮ่าวเข้าไป แล้วตะคอกเสียงเข้ม “เถียนเฟิงฮ่าวสมคบกับโจรกบฏวางแผนฆ่าผู้บัญชาการใหญ่ แต่การลอบสังหารล้มเหลว ตอนนี้ยอมรับผิดและโดนประหารแล้ว อย่าบอกนะว่าพวกเจ้าก็เป็นโจรกบฏที่หลงเหลืออยู่และคิดจะก่อกบฏเหมือนกัน? ทุกคนฟังข้าให้ดีนะ ประตูเมืองทั้งสี่ปิดแล้ว พวกเจ้าหนีออกไปไม่พ้น ยอมให้จับแต่โดยดี ถ้าสอบสวนพบว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็จะรอดตาย ส่วนใครที่ขัดขืนจะโดนลงโทษข้อหาเป็นโจรกบฏ ฆ่าไม่ละเว้น!”
นักพรตบงกชรุ้งประคองศีรษะของเถียนเฟิงฮ่าวขึ้นมาดูด้วยสีหน้าตกใจกลัว เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่ได้เข้าใจผิด ไม่ใช่การปลอมแปลง เป็นศีรษะของเถียนเฟิงฮ่าวจริงๆ ทั้งยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดจริงหรือโกหก ถ้าพูดจริง เขาก็แบกรับข้อหาขัดขืนไม่ไหว ประเด็นสำคัญก็คือ ถ้าไม่มีใครออกมาบอกว่าจะรับผิดชอบเรื่องนี้ให้ ภายใต้สถานการณ์ทั่วไปก็ไม่มีใครกล้าลงมือกับกำลังพลตำหนักสวรรค์โดยพลการ เขาเองก็ไม่กล้าตัดสินใจเรื่องนี้เช่นกัน
เมื่อเห็นเขาลังเล สวีถังหรานก็ไม่ให้โอกาสเขาได้คิดเยอะ ถอยเข้าไปหากลุ่มคนที่อยู่ข้างหลัง เตรียมตัวเผื่อเห็นท่าไม่ดีจะได้หนี แล้วโบกมือสั่งว่า “จัดการ!”
เชือกมัดเซียนกองหนึ่งถูกโยนออกมา คนงานที่เหลือมองไปที่นักพรตบงกชรุ้งกลุ่มนั้นทันที เมื่อเห็นเขายืนนิ่งไม่ขัดขืน คนที่เหลือก็ไม่กล้าขัดขืนเช่นกัน
พอมัดคนพวกนี้แล้ว กลุ่มทหารก็รีบก้าวขึ้นมาควบคุมไว้แล้วเก็บเข้าในกระเป๋าสัตว์
สวีถังหรานโล่งอก แล้วหันกลับมาชี้กงอวี่เฟย หลี่หวนถังและลูกน้องคนสนิทอีกสองคน “เจ้า เจ้า เจ้า แล้วก็เจ้า ตามข้าไปตรวจสอบด้านหลัง คนที่เหลือค้นตรงนี้ให้ละเอียด”
บทที่ 1275 ประหารทันที!
โดย
Ink Stone_Fantasy
กลุ่มทหารที่ดุเหมือนเสือพลิกตู้คว่ำกล่องทันที ดังนั้นเรื่องแรกที่ทำก็คือเก็บกวาดทรัพย์สินที่มีค่าในร้าน
กงอวี่เฟยกับหลี่หวนถังที่เดินตามหลังสวีถังหรานกัดฟัน นี่เป็นทหารขุนนางของตำหนักสวรรค์เสียที่ไหนกัน ไม่ต่างอะไรกับโจรเลย
เลี้ยวมาที่โถงด้านหลัง มาถึงทางเดินบนตึก หลังจากเหลียวซ้ายแลขวาครู่หนึ่ง สวีถังหรานก็ยืนอยู่ที่เดิมแล้วใช้สองมือชี้ไปข้างหน้า “ค้นให้ข้า!”
กงอวี่เฟย หลี่หวนถังรวมทั้งลูกน้องคนสนิทอีกสองคนของสวีถังหรานเดินผ่านข้างซ้ายและขวาของสวีถังหรานไป เพิ่งจะเดินถึงตรงหน้าสวีถังหราน สวีถังหรานก็โยนเชือกมัดเซียนสองเส้นออกมา เส้นหนึ่งเป็นเชือกมัดเซียนผลึกม่วง อีกเส้นเป็นเชือกมัดเซียนผลึกทอง
ตอนนี้ในระยะที่ใกล้ขนาดนี้ ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ จู่ๆ สวีถังหรานก็ลงมือลอบจู่โจม เป็นเรื่องที่ไม่ว่าใครก็คาดไม่ถึงจริงๆ
กงอวี่เฟยที่อยู่ดีๆ ก็โดนเชือกมัดเซียนผลึกม่วงมัดพลันหันกลับมา ทวนวิเศษผลึกม่วงด้ามหนึ่งพลันแทงออกมาจากมือสวีถังหราน กงอวี่เฟยที่กำลังโดนมัดไม่มีทางต้านทานได้ กระเด็นถอยหลังพร้อมสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่กลับสายไปเสียแล้ว คมทวนแทงทะลุเกราะรบสีทองของนางเข้าสู่หัวใจโดยตรง
แทบจะเป็นเวลาเดียวกัน ลูกน้องคนสนิทสองคนของสวีถังหรานก็ลงมือลอบจู่โจมแล้วเช่นกัน ทั้งสองร่วมมือกันกดหลี่หวนถังเอาไว้ หนึ่งในนั้นกอดหลี่หวนถังพร้อมอุปากเอาไว้แน่น ส่วนอีกคนรีบชักดาบออกมากดจ่อที่คอหลี่หวนถัง หลี่หวนถังเบิกตากว้าง ในคอมีน้ำเลือดพุ่งฉีดออกมา แล้วก็โดนซ้ำอีกดาบ
“หนิว…” กงอวี่เฟยย่อมเดาออกว่าใครต้องการเล่นงานให้นางถึงตาย ขณะกำลังจะตะโกนบอกให้คนรู้ถึงการตายที่ไม่ยุติธรรมของนาง สวีถังหรานก็ไม่ให้โอกาสนางแล้ว เขายกขาขึ้นมาเตะอย่างบ้าคลั่ง เตะโดนปากของกงอวี่เฟยพอดี ทำให้เสียงที่นางเพิ่งตะโกนออกมาถูกเหยียบไว้แล้ว ใบหน้าถูกเหยียบจนบุ๋มลึกลงไปเกือบครึ่งหนึ่ง
สองคนที่กำจัดหลี่หวนถังแล้วยืนขึ้นพยักหน้าให้สวีถังหราน สวีถังหรานถือโอกาสชักทวนออกมา ยกเท้าเขี่ยร่างของหลี่หวนถัง หลังจากแน่ใจว่าตายสนิทแล้ว ก็เดินไปตรงหน้ากงอวี่เฟยที่ชักกระตุกอยู่บนพื้น ถือทวนเขี่ยใบหน้าที่เปลี่ยนรูปร่างของกงอวี่เฟย พลางพูดเย้ยว่า “เจ้าคงจะไม่เคยลิ้มลองรสชาติของผู้ชายสินะ ตายไปแบบนี้อาจจะน่าเสียดายไปหน่อย แต่ก็ช่วยไม่ได้ ไม่หัดดูเสียบ้างว่าตัวเองอายุเท่าไร อยู่ดีไม่ว่าดีดันเข้าไปประสมโรงทำไม ผู้บัญชาการใหญ่ใช่คนที่เจ้าจะมีเรื่องด้วยไหวเหรอ?”
ฉึก! ออกทวนอีกหนึ่งครั้งบนร่างของกงอวี่เฟย รอให้นางขาดใจแล้วถึงได้ดึงทวนออกมา แล้วบอกว่า “เร็วๆ หน่อย ทำให้สะอาดเรียบร้อย จัดการปลอมแปลงบาดแผลของนางสักหน่อย”
แทบจะไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรมาก กงอวี่เฟยกับหลี่หวนถังโดนกำจัดทิ้งอย่างรวดเร็วด้วยการจู่โจมไปแบบนี้แล้ว
ลูกน้องคนสนิทสองคนรีบก้าวขึ้นมาข้างหน้า นั่งคุกเข่าข้างเดียวข้างศพกงอวี่เฟย เตรียมจะลงมือปลอมแปลงบาดแผล แต่ใครจะคิดว่าตรงนี้ยังไม่ทันได้ลงมือ จู่ๆ ทวนในมือสวีถังหรานก็ปาดที่แผ่นหลังของพวกเขาแล้ว หลังจากหัวทวนที่แหลมคมทะลุเกราะรบ ก็วาดเป็นรอยลึกบนแผ่นหลังของพวกเขา เลือดสดสาดกระจายออกมา แทบจะทำให้ทั้งสองหลังขาดพร้อมกัน
ทั้งสองที่ล้มลงพื้นเบิกตากว้างมองสวีถังหรานด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ ริมฝีปากสั่นเครือ ทั้งคู่พยายามออกแรงยกนิ้วชี้สวีถังหราน เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับอ้าปากไม่ไหวแล้ว
ทั้งสองเหมือนจะจินตนาการไม่ออกว่าจู่ๆ สวีถังหรานจะลงมือกับตัวเอง เพราะทั้งสองเป็นลูกน้องคนสนิทของเขา!
“ไม่ต้องปลอมแปลงหรอก ข้าเป็นคนฆ่านางเอง” สวีถังหรานโบกทวนตีนิ้วที่กำลังชี้เข้ามาเบาๆ แล้วถอนหายใจบอกว่า “ข้าเองก็ไม่มีทางเลือก ลงเรือโจรลำเดียวกับผู้บัญชาการใหญ่แล้ว อนาคตผูกติดอยู่กับตัวผู้บัญชาการใหญ่ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับผู้บัญชาการใหญ่ ข้าก็แย่เหมือนกัน เลยต้องทำไม่ยุติธรรมกับพวกเจ้าสองคน สหายทั้งสองจงไปดีนะ จากไปแบบไม่มีห่วงเถอะ ถ้ามีลูกหลาน สวีคนนี้จะดูแลอย่างดี!”
พูดจบก็เก็บเชือกมัดเซียนบนตัวกงอวี่เฟยกับหลี่หวนถัง แล้วหยิบทวนผลึกแดงด้ามหนึ่งออกมาทาเลือดสดไว้ที่หัวทวน ส่วนทวนยาวด้ามก่อนหน้านี้ก็ถือกลับหัวเอาไว้ แล้วยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมา หาจุดอ่อนที่ไม่มีเกราะรบคลุม แล้วก็กัดฟันแทงทวนลงใต้รักแร้ของตัวเอง เขาเจ็บจนสูดหายใจลึก แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ฝืนอาเจียนเลือดออกมาคำหนึ่ง ย้อมจนริมฝีปากเป็นสีแดง
“บังอาจ! บังอาจแอบเก็บของไว้ส่วนตัว…” จู่ๆ สวีถังหรานก็ตะโกนอีกครั้ง แล้วโบกทวนอีกด้ามทุบตีมั่วๆ ทำให้ผนังรอบข้างพังแหลก จงใจสร้างสถานการณ์ต่อสู้ พอได้ยินเสียงคนกำลังมา ก็พลันล้มหงายหลัง กระแทกจนไม้กระดานพังทันที
เสียงดังโครมคราม สวีถังหรานที่ตกจากชั้นบนลงมาชั้นล่างกระแทกลงในโถงใหญ่ของร้านค้า ใต้รักแร้ยังมีทวนด้ามหนึ่งคาอยู่เลย
คนที่กำลังตรวจค้นร้านค้าล้อมเข้ามาปกป้องทันที สวีถังหรานชี้ไปยังด้านบนที่พังเป็นโพรง พร้อมตะโกนอย่างเดือดดาลว่า “พวกเขาโดนข้าโจมตีจนสาหัสแล้ว หนีไม่พ้นหรอก ไปจับมาให้ข้า”
คนที่อยู่ข้างๆ งุนงง ไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ก็มีคนกลุ่มหนึ่งพุ่งขึ้นไปบนรอยที่พังเป็นโพรงทันที
สวีถังหรานดึงทวนยาวใต้รักแร้ออก แล้วถลันตัวขึ้นไปเช่นกัน เห็นลูกน้องบางส่วนกำลังตรวจค้นห้องต่างๆ แล้วก็มีบางส่วนก็จ้องไปที่ศพพวกนั้น
“ตายแล้วเหรอ?” สวีถังหรานถาม
พอเห็นเขาตามมาแล้ว ก็มีคนถามเขาว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?”
สวีถังหรานโบกทวนชี้กงอวี่เฟยและหลี่หวนถังที่อยู่ทางซ้ายและขวา “สุนัขตัวผู้กับสุนัขตัวเมียคู่นี้แอบเก็บของไว้ส่วนตัว แต่ถูกเหล่าอูกับเหล่าเฉินจับได้ เลยฆ่าปิดปากพวกเขา โชคดีที่ข้าไหวตัวทัน ไม่อย่างนั้นข้าคงตายด้วยน้ำมือพวกเขาไปแล้ว”
ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก เหมือนเสียงการต่อสู้เกิดขึ้นแค่แป๊บเดียวเอง จัดการได้เร็วขนาดนี้เชียวเหรอ? จากนั้นก็มีคนเตะบนตัวกงอวี่เฟยกับหลี่หวนถังสองสามที แสดงความโกรธเคืองออกมา…
หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วยาม ในที่สุดกำลังพลตำหนักสวรรค์ที่ก่อความวุ่นวายจนหมาไก่บินกระเจิงก็หยุดเคลื่อนไหวแล้ว รีบกลับไปรวมตัวกันที่ตำหนักคุ้มเมือง
“คุกเข่า! คุกเข้าให้ดี!” เสียงตะคอกดังไม่หยุดบนถนนที่ขยายออกมานอกตำหนักคุ้มเมือง
คนแปดพันกว่าคนจากร้านค้าห้าร้อยกว่าร้านนั่งคุกเข่าหัวดำติดกันเป็นพืด กำลังหันหน้าเข้าหาตำหนักคุ้มเมือง ทหารสวรรค์ที่ถืออาวุธลาดตระเวนอยู่ระหว่างนั้นดุร้ายรากับเสือกับหมาป่า ถ้าพบความผิดปกติเล็กน้อยก็จะใช้หมัดใช้เท้าหรืไม่ก็เอาอาวุธออกมาฟาดทันที
ถึงแม้ฟ้าจะมืดแล้ว แต่ภายใต้แสงจันทร์ ที่ถนนใกล้ๆ กันและบนหลังคาก็มีคนมาเบียดมุงดูเต็มไปหมด พวกอวิ๋นจือชิวก็มาเหมือนกัน ปะปนอยู่ในกลุ่มคนเพื่อมองดูฉากอลังการตรงหน้า แต่กลับไม่เห็นเงาของเหมียวอี้
“ฮูหยิน นี่นายท่านเป็นคนสั่งใช่มั้ย?” จีเหม่ยลี่ถ่ายทอดเสียงถามอย่างตกตะลึงปนประหลาดใจ
“เจ้าคิดว่าไงล่ะ นอกจากเขา ที่ตลาดสวรรค์ยังจะมีใครมีอำนาจมากขนาดนี้อีก เฮ้อ!” อวิ๋นจือชิวกล่าวอย่างจนใจมาก
มีคนไม่น้อยที่อยู่แถวนั้นกำลังกระซิบกระซาบกัน
“ตอนนี้มีอะไรสนุกๆ ให้ดูแล้ว”
“สมน้ำหน้า! ผูกขาดธุรกิจที่ทำกำไรมากที่สุดของตลาดสวรรค์ ไม่ให้โอกาสคนอื่นยื่นเท้าเข้าไปบ้างเลย ตอนนี้เป็นยังไงล่ะ โหดกว่าครั้งก่อนอีก โดนผู้บัญชาการใหญ่ปราบยกรังแล้ว”
“คนพวกนี้ช่างไม่กลัวตายจริงๆ โดนผู้บัญชาการใหญ่ล้างเลือดไปแล้วรอบหนึ่ง ยังจะกล้าต่อต้านอีก”
“ยังจำในปีนั้นได้มั้ย? คนพวกนี้ดูหมิ่นผู้บัญชาการใหญ่หนิวไว้แรงมาก ปล่อยข่าวลือต่างๆ นาๆ ตอนนี้หงอยแล้วล่ะสิ?”
“ตอนค้นยึดร้านค้าก่อนหน้านี้ ข้าอยู่ข้างนอกได้ยินผู้บัญชาการใหญ่อิงพูดแล้ว ได้ยินว่าผู้จัดการร้านค้าพวกนี้จัดงานเลี้ยงที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท แต่ความจริงเตรียมมือสังหารเอาไว้ลอบฆ่าผู้บัญชาการใหญ่ ก็เลยทำให้ผู้บัญชาการใหญ่เดือดดาลมาก ผู้บัญชาการใหญ่เอ่ยสั่งคำเดียว ถึงได้เกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้นไง”
“อาศัยภูมิหลังและกำลังของสมาคมร้านค้าพวกนี้ ถ้าจะสู้กับผู้บัญชาการใหญ่จริงๆ ก็น่าจะไม่ยากนะ? ยังต้องส่งมือสังหารมาด้วยเหรอ?”
“นี่เจ้าเพิ่งเข้าใจเรื่องนี้เหรอ? ถ้าลงมือกับผู้บัญชาการใหญ่แบบโจ่งแจ้งจะเป็นยังไงล่ะ? อยากก่อกบฏรึไง? ถ้าส่งมือสังหารมาลอบฆ่า เวลาเกิดเรื่องขึ้นมาก็ยังผลักความรับผิดชอบได้”
“ดูจากสิ่งนี้แล้ว เรื่องที่ผู้บัญชาการใหญ่อยากจะคืนดีกับพวกเขาก่อนหน้านี้คงจะจริง แต่การลอบสังหารดันไปยั่วโมโหเขา หึๆ พอลอบสังหารไม่สำเร็จก็เลยกลายเป็นก่อกบฏและโดนค้นยึดร้าน แบบนี้เรียกว่าขโมยไก่ไม่ได้ ทั้งยังเสียข้าวสารอีกกำมือ[1]!”
“จุจุ! เรื่องแบบนี้คงมีแค่ผู้บัญชาการใหญ่เท่านั้นที่กล้าทำ สมกับเป็นผู้ที่กล้าทำลายกลองสะท้านฟ้า ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นใครจะกล้าล่ะ?”
“เฮ้อ! แบบนี้เป็นการระบายความโกรธชั่วครู่ แต่ก็ต้องมีเรื่องกับขุนนางทั่วราชสำนักอีกรอบไม่ใช่เหรอ? เกรงว่าต่อไปนี้ผู้บัญชาการใหญ่คงจะใช้ชีวิตลำบากแล้ว!”
“ดังนั้น ถ้าไม่มีอิทิพลหนุนหลังก็นั่งตำแหน่งนี้ได้ยาก ถ้ามีอิทธิพลหนุนหลัง ผู้บัญชาการใหญ่หนิวก็คงไม่ทำแบบนี้หรอก”
“สนใจทำไม ไม่เกี่ยวกับพวกเราสักหน่อย สรุปว่าทำได้ดีมาก ควรจะปราบยกรังตั้งนานแล้ว ปล่อยให้แข่งขันกันอย่างยุติธรรมก็เป็นผลดีกับพวกเรา”
พวกอวิ๋นจือชิวมองซ้ายมองขวา ฟังเสียงวิจารณ์ต่างๆ นาๆ รอบข้าง เห็นได้ชัดว่าร้านค้าส่วนใหญ่ชื่นชมที่เหมียวอี้ทำแบบนี้ ถึงอย่างไรพวกเขาก็ได้ผลประโยชน์ ส่วนในภายหลังเหมียวอี้จะเป็นหรือจะตายก็ย่อมไม่สนใจ เพราะไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา
เงาคนหลายคนเหาะลงมาจากฟ้า พวกฝูชิงมาเหยียบลงที่ประตูตำหนักคุ้มเมือง พอหันตัวมาเห็นสวีถังหรานบาดเจ็บ อิงอู๋ตี๋ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “เจ้าเป็นอะไร? มีคนขัดขืนเหรอ?”
“ข้าโมโหแทบแย่ เรือเกือบคว่ำในคลองแคบ[2]แล้ว โดนคนของตัวเองลอบจู่โจม พาตัวมา!” สวีถังหรานหันตัวไปโบกมือ
ดังนั้นศพของลูกน้องคนสนิทสองคน รวมทั้งศพของกงอวี่เฟยและหลี่หวนถังจึงถูกยกขึ้นมาวางบนพื้นพร้อมกัน
สวีถังหรานชี้ไปที่ศพบนพื้น “สองคนนี้ไม่ได้มีจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเรา นอกจากแอบซ่อนของที่ยึดไว้เองแล้ว พอโดนจับได้ก็ยังกล้าฆ่าคนปิดปากอีก ฆ่าลูกน้องข้าไปสองคน โชคดีนะที่ข้าไหวตัวทัน เลยโดนทวนของกงอวี่เฟยทีเดียว ไม่อย่างนั้นจะได้มายืนอยู่ตรงนี้เหรอ”
กงอวี่เฟยกับหลี่หวนถังตายพร้อมกันเหรอ? บังเอิญขนาดนี้เชียว?
ฝูชิง อิงอู๋ตี๋ มู่หรงซิงหัวสบตากันแวบหนึ่ง จากนั้นก็ใช้สายตาล้ำลึกมองไปยังสวีถังหรานที่กำลังหยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวออกมาสูดเหมือนคนไม่เป็นอะไร ทั้งสามไม่ได้พูดอะไร จากนั้นมองไปที่ด้านล่างอีก
หลังจากพวกเขาสรุปสถานการณ์แล้ว ฝูชิงก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้
ตอนนี้เหมียวอี้ยังอยู่บนทะเลสาบของภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท ยืนพิงระเบียงอยู่ริมทะเลสาบนอกตึกศาลา ลมพัดผ่านผิวทะเลสาบหลายวูบ แสงจันทร์พระเพื่อมอยู่บนคลื่นสีเงิน ยังมีกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นที่พัดผ่านโถงมากับสายลมด้วย
คนที่ติดต่อเขาไม่ได้มีแค่ฝูชิง คนที่ติดต่อเขามีเยอะมาก ปี้เยว่ฮูหยิน ผู้การสองหลันเซียง โค่วเหวินหลาน เซี่ยโห้วหลงเฉิง…
เห็นได้ชัดเจนมาก ว่าครั้งนี้ไม่ได้ลงมืออย่างกะทันหันเหมือนครั้งแรก ร้านค้าเหล่านั้นตั้งใจเตรียมป้องกัน คาดว่าปลาลอดแหคงมีเยอะพอสมควร ข่าวการค้นยึดร้านค้าทางนี้จะต้องแพร่ออกไปแล้วแน่นอน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคนที่ติดต่อมาล้วนต้องการจะถามสถานการณ์จากเขา ไม่อย่างนั้นคงไม่ติดต่อเขาเข้ามาในเวลานี้พร้อมกัน ทั้งยังติดต่ออย่างไม่รู้จักหยุดหย่อน
แต่เหมียวอี้ก็ไม่ได้สนใจ ตัวเองเกือบโดนลอบสังหารแล้ว ตอนนี้ยุ่งมาก จะเอาเวลาจากไหนไปสนใจ
เขาหยิบระฆังดาราที่ใช้ติดต่อกับฝูชิงขึ้นมา ถามว่า : สถานการณ์เป็นยังไง?
ฝูชิงตอบว่า : ร้านค้าห้าร้อยกว่าร้านถูกค้นยึดแล้ว แต่คนที่หนีไปได้ก็มีไม่น้อย นับคร่าวๆ ก็คาดว่าคงมีคนหนีไปได้สองสามร้อยคน ประตูของสี่เขตเมืองปิดแล้ว พวกเขาหนีออกไปไม่ได้หรอก ต้องหลบอยู่ในเมืองแน่นอน กำลังเตรียมกระจายกำลังค้นหา ตอนนี้จับได้แปดพันสามร้อยหกสิบสองคน ถูกควบคุมให้นั่งคุกเข่าอยู่ที่ประตูตำหนักคุ้มเมือง จะให้จัดการยังไงขอรับ?
เหมียวอี้สีหน้าเรียบเฉย เขย่าระฆังดาราตอบกลับว่า : ที่หนีไปแล้วก็ช่างเถอะ ไม่สนใจคนพวกนั้นหรอก ส่วนคนที่จับมาแล้ว…ประหาร!
ฝูชิงถามยืนยันอีกครั้ง : ประหารจริงเหรอ?
เหมียวอี้เงยหน้ามองดวงจันทร์ สีหน้าเรียบเฉยไม่สะทกสะท้าน ตอบเพียงว่า : ประหารทันที!
…………………………
[1] ขโมยไก่ไม่ได้ เสียข้าวสารอีกกำมือ 偷鸡不成蚀把米 อุปมาว่า นอกจากจะตักตวงผลประโยชน์ไม่ได้แล้วยังขาดทุนด้วย
[2] เรือคว่ำในคลองแคบ 阴沟里翻船 แผนที่ดำเนินมาด้วยดีตลอดเสียหายเพราะความประมาท
บทที่ 1276 เลือดนองเป็นแม่น้ำ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ประหารเดี๋ยวนี้! เป็นคำตอบที่ฟังดูเหมือนอดใจรอไม่ไหวแล้ว เหมือนกลัวว่าเวลาผ่านไปนานแล้วจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง!
ฝูชิงยืนอยู่บนบันไดหน้าประตูตำหนักคุ้มเมือง กำระฆังดาราในมือเงียบๆ จ้องมองคนที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นดำเป็นพืด
“นายท่านพูดว่ายังไง?” อิงอู๋ตี๋ถาม
“ประหารเดี๋ยวนี้!” ฝูชิงพ่นคำตอบออกมาอย่างช้าๆ
อิงอู๋ตี๋ขมวดคิ้ว แต่สวีถังหรานกลับไม่แยแส เดาะลิ้นสองทีแล้วบอกว่า “ในเมื่อผู้บัญชาการใหญ่สั่งมาแล้ว ก็ทำตามที่บอกแล้วกัน”
“ช้าก่อน!” มู่หรงซิงหัวพูดห้าม “ข้าต้องการยืนยันสักหน่อย” พูดจบก็รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับเหมียวอี้แล้ว
หลังจากติดต่อกันเสร็จ มู่หรงซิงหัวก็เงียบไป คำตอบที่นางได้รับไม่ต่างอะไรกับคำตอบที่ฝูชิงได้รับเลย
ทั้งสามเห็นนางไม่พูดอะไร จึงเข้าใจทุกอย่างแล้ว
อะไรเอ่ยสั่งคำเดียวเลือดนองเป็นแม่น้ำ? อำนาจไงล่ะ!
“ประหาร! ประหาร! ประหาร! ประหาร!”
ผู้บัญชาการใหญ่สี่เขตเมืองออกคำสั่งพร้อมกันด้วยเสียงดังก้อง ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นตกอยู่ในความเงียบทันที
นี่กำลังจะฆ่าพวกเราเหรอ? คนที่กำลังคุกเข่าขวัญผวาแล้ว ไหนบอกว่าถ้ายอมให้จับแต่โดยดีแล้วสอบสวนพบว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารแล้วจะปล่อยพวกเราไปไง ทำไมถึงสอบสวนเลยล่ะ?
กลุ่มคนที่มามุงดูยังอยากจะเห็นว่าผู้บัญชาการใหญ่หนิวจะลงโทษยังไง บางคนที่ยังไม่เคยเห็นหนิวโหย่วเต๋อมาก่อนยังอยากจะเห็นว่าหนิวโหย่วเต๋อผู้โด่งดังหน้าตาเป็นอย่างไร ผลปรากฏว่ายังไม่ทันได้เห็นแม้แต่เงาของผู้บัญชาการใหญ่หนิว ก็มีคำสั่งประหารโผล่ออกมาแบบนี้แล้วน่ะเหรอ
ท่ามกลางกลุ่มคน บรรดาอนุภรรยาของผู้บัญชาการใหญ่หนิวพากันอกสั่นขวัญแขวนแล้ว
ฉึก! ลงดาบฟันศีรษะใบแรกกระเด็นทันที ในที่สุดคนที่อยู่ตรงนั้นก็ตกอยู่ในความหวาดกลัว โกลาหล ลุกลี้ลุกลุน
“ทำไมต้องฆ่าพวกเราด้วย? พวกเรามีความผิดอะไร?”
“บอกว่าถ้ายอมให้จับแต่โดยดีแล้วจะไม่ฆ่าพวกเราไม่ใช่เหรอ!”
“ไม่!”
เสียงร้องอุทานหวาดผวา เสียงกรีดร้องโหยหวน กังปะปนกันอยู่หน้าตำหนักคุ้มเมือง
ในที่สุดคนแปดพันกว่าคนที่กำลังคุกเข่าก็สูญเสียการควบคุม ต่อให้พลังอิทธิฤทธิ์จะถูกระงับไว้ แต่ก็อยากจะเอาชีวิตรอด พุ่งชนไปทั่วสารทิศอย่างบ้าระห่ำ
ตอนนี้พวกเขาสูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์คอยช่วยเสริมไปแล้ว ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ธรรมดา คนพุ่งใส่คน คนชนคน คนเบียดคน เบียดกันจนล้มลงพื้นแล้วโดนเหยียบ
พอคนแปดพันกว่าคนวิ่งพุ่งออกไปทั่วสารทิศ ผู้ช่วยผู้บัญชาการที่เฝ้าคุมอยู่รอบๆ ก็โบกมือหนึ่งครั้ง ทหารสวรรค์ที่ยืนตั้งแถวเป็นระเบียบเรียบร้อยถือทวนยาว ง้าวยาว ดาบยาวเข้าไปปะทะทันที คมของอาวุธต้อนรับกายเนื้อที่พุ่งออกมาแล้ว
ฉึกๆๆ! อาวุธแทงเข้าร่างกายที่มีเลือดเนื้อที่วิ่งพุ่งออกมา แทงเข้ากลางอกของคนที่วิ่งพุ่งออกมา ทหารจัดขบวนทัพดันคนที่แตกซ่านกลับเข้าไป ดันกลับเข้าไปในกรอบที่ทหารสวรรค์เฝ้าไว้สี่ด้าน
แกร๊งๆๆ! เสียงเกราะรบเสียดสีกันดังขึ้นพักหนึ่ง แล้วก็มีทหารสวรรค์อีกหลายร้อยคนชักดาบใหญ่ที่สะท้อนแสงสีขาวออกมา พวกเขาได้รับคำสั่งให้กระโดดเข้าไปในวงล้อม ควงดาบฟันซ้ายฟันขวา ฟันหนึ่งครั้งศีรษะก็กระเด็นขึ้นมาหนึ่งใบ เรียงแถวหน้ากระดานแล้วเดินฟันเข้าไปเรื่อยๆ เบื้องบนสั่งให้ประหาร เช่นนั้นก็แปลว่าต้องฟันศีรษะ!
เลือกสดกระจายมั่วไปหมด ศีรษะคนปลิวว่อน เสียงกรีดร้องน่าเวทนาดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย
ใช้เวลาเพียงประเดี๋ยวเดียว ในที่สุดเสียงร้องก็เงียบลง ศพแปดพันกว่าร่างนอนเรียงอยู่ในที่เกิดเหตุ น้ำเลือดรินไหล เลือดนองเป็นแม่น้ำ ไหลไปทางถนนทั่วทุกทิศอย่างรวดเร็วเหมือนรอยแยก
ทหารสวรรค์ที่ตีวงล้อมเข้ามายังไม่แยกย้าย ในมือถืออาวุธและยืนอยู่กับที่ไม่ขยับไปไหน ส่วนตรงกลางที่ถูกล้อมไว้ มีทหารสวรรค์หลายร้อยคนกำลังย่ำศพ เดินเหยียบกลับไปกลับมาอยู่ท่ามกลางกองเลือดเพื่อตรวจสอบ ถ้าพบว่ามีใครยังตายไม่สนิทก็จะลงดาบซ้ำ ป้องกันไม่ให้มีคนรอดชีวิตหนีไป
พอลมพัดวูบหนึ่ง กลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้นก็กระจายออกไป พัดไปยังกลุ่มคนที่ล้อมดูอยู่เงียบๆ ทำให้คนที่ได้กลิ่นรู้สึกเหม็นจนตัวสั่น พอมองดูตำหนักคุ้มเมืองอันมืดครึ้มที่ถูกปกคลุมอยู่ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนอีก ก็ให้ความรู้สึกราวกับว่ามีสัตว์ป่าดุร้ายตัวใหญ่แฝงตัวอยู่ในความมืด ทำให้คนตัวสั่นทั้งๆ ที่ไม่ได้หนาว
ในตอนนี้ในขณะนี้ ทุกคนถึงได้เข้าใจอย่างแท้จริง ว่านายท่านของตำหนักมืดครึ้มที่อยู่ตรงหน้านี้ต่างหากที่เป็นเจ้าของตลาดสวรรค์แห่งนี้อย่างแท้จริง ไม่ใช่พวกผู้จัดการร้านในสมาคมร้านค้าที่ทำตัวหยิ่งโอหังเพราะมีอำนาจอิทธิพลหนุนหลัง เมื่อนายท่านที่หลับลึกอยู่ในตำหนักหลังนี้ลืมตาตื่นขึ้นมา ทุกคนที่เคยดูถูกเหยียดหยาม ทุกคนที่เคยด่าทอเยาะเย้ยล้วนต้องจ่ายความขมขื่นทุกข์ทรมานเป็นสิ่งแปลกเปลี่ยน
ทุกคนมองไปที่ตำหนักคุ้มเมืองอีกครั้ง ในใจเกิดความหวั่นเกรงขึ้นหลายส่วน รู้สึกได้แล้วว่าอำนาจที่คุมพื้นที่นี้แทนตำหนักสวรรค์นั้นน่ากลัวขนาดไหน เมื่อออกคำสั่งคำเดียว เลือดก็ไหลนองเป็นแม่น้ำ!
อวิ๋นจือชิวกับสองพี่น้องหลางหลางหวนหวนยังดีหน่อย ถึงอย่างไรก็เคยมีประสบการณ์มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่จีเหม่ยลี่กับอนุภรรยาที่เหลือยังตะลึงค้างอยู่บ้าง ในที่สุดก็ได้รู้แล้วว่าเหมียวอี้คนที่พวกนางคลุกคลีอยู่ด้วยมีอีกด้านที่ต่างออกไป กระหายเลือด เหี้ยมโหด!
น้ำเลือดไหลรวมกันไปตกลงในคลองที่อยู่ริมถนน ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเสียงน้ำหยดติ๋งๆ!
ฝูชิงหยิบระฆังดาราออกมมรายงานเหมียวอี้ : นายท่าน คนแปดพันสามร้อยหกสิบสองคนโดนโทษประหารชีวิตหมดแล้ว จัดการหมดแล้ว!
เหมียวอี้ที่พิงระเบียงเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งหันตัวกลับมา แล้วก้าวกลับเข้าไปใต้ชายคาในตึกศาลา มองดูศพที่อยู่ในโถงหลัก แล้วก็คนกลุ่มหนึ่งที่นั่งตัวสั่นเอามือกุมศีรษะอยู่ตรงนั้น เขากวาดมองด้วยสายตาเย็นเยียบสองสามรอบ ขณะกำลังจะออกคำสั่งบางอย่างกลับไป ใครจะคิดว่าหยางชิ่งจะส่งข้อความมาหาอีก
ฉินเวยเวยเห็นฉากสังหารในที่เกิดเหตุกับตาตัวเอง นางกังวลผลลัพธ์ที่จะตามมา จึงรีบติดต่อหยางชิ่งแล้ว
หยางชิ่งที่อยู่ทางพิภพเล็กรู้ทันทีว่าเรื่องจบลงแล้ว จึงรีบส่งข้อความมาถามถึงสถานการณ์ : นายท่าน สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?
เหมียวอี้ตอบ : เป็นอย่างที่คาดไว้ คนพวกนั้นเตรียมยอดฝีมือเอาไว้ลงมือเมื่อสบโอกาสจริงๆ…
หลังจากฟังสถานการณ์คร่าวๆ จบ หยางชิ่งก็รีบถามว่า : นายท่าน ในเมื่อทำไปแล้ว ก็อย่าได้ใจอ่อนปรานี รีบปิดปากคนที่อาจจะเปิดเผยสถานการณ์ในที่เกิดเหตุไปด้วยเลย!
เหมียวอี้เอียงหน้ามองหวงฝู่จวินโหรวที่หมอบสลบอยู่บนบันได พร้อมทำสีหน้าครุ่นคิด
เขาเองก็อยากจะฆ่าปิดปาก เขากำลังลองโน้มน้าวตัวเองว่าต้องการจะปิดปากหวงฝู่จวินโหรวไปด้วยกันเลยมั้ย แต่สุดท้ายก็ยังล้มเลิกความคิดทั้งๆ ใกล้จะตัดสินใจแบบนั้นไปแล้ว เป็นเพราะถ้าปล่อยให้นางรอดไปคนเดียวก็อาจจะทำให้คนสงสัย จึงให้ความเมตตาไปตามสถานการณ์ เห็นแก่หน้าราชินีสวรรค์ ตระกูลโค่วและสำนักลมปราณกับเป่าเหลียน จึงปล่อยโจวหราน อูหันซานและอวี้ซวีเจินเหรินไป ครั้งนี้เป็นการถือศีรษะไปค้นยึดร้านค้า ในเมื่อปล่อยสี่คนนี้ไปแล้ว ก็เท่ากับว่าไม่ค้นยึดร้านค้าสี่ร้านนั้นแล้วเช่นกัน
ในเมื่อไว้ชีวิตคนพวกนี้แล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีความจำเป็นต้องฆ่าคนในคณะระบำอีก
เหมียวอี้ครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะตอบกลับไปว่า : ช่างเถอะ คนพวกนี้ จะฆ่าหรือไม่ฆ่าก็ไม่สำคัญแล้ว
หยางชิ่ง : นายท่านพูดแบบนี้ได้ยังไง? คนพวกนี้เห็นเหตุการณ์ในที่เกิดเหตุเองกับตา ถ้าเบื้องบนสืบสวนว่ายอดฝีมือที่ปกป้องนายท่านมาจากไหน นายท่านจะอธิบายยังไง?
เหมียวอี้ : ข้าต้องอธิบายด้วยเหรอ? ข้ามองทะลุแผนร้ายที่พวกเขาก่อกบฏลอบสังหาร ภายใต้สถานการณ์ที่คับขัน ข้าจึงจ่ายเงินจ้างคนมาคอยปกป้อง อธิบายแบบนี้ไม่ได้เหรอ? อาศัยแค่ข้อหาลอบสังหารอย่างเดียว ก็เป็นข้ออ้างที่สมบูรณ์แบบสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้แล้ว!
ที่พิภพเล็ก หยางชิ่งที่เดินไปเดินมาอย่าในห้องร้อนใจจนทำได้เพียงส่ายหน้า
ฉินซีที่อยู่ข้างๆ เห็นแบบนั้นจึงถามว่า “เป็นอะไรไป? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“เป็นเรื่องที่สามารถตัดปัญหาได้โดยสิ้นเชิงแท้ๆ แต่เขากลับปล่อยให้มีปัญหาอื่นมาแทรก ช่างเถอะๆ” หยางชิ่งเงยหน้าขึ้นฟ้าแล้วถอนหายใจยาว แล้วก็ส่ายหน้าอีก เขย่าระฆังดาราตอบว่า : นายท่านโปรดฟังข้าสักคำนะ ถ้านายท่านดึงดันจะปล่อยให้มีคนรอดชีวิต ตอนที่รายงานต่อเบื้องบนก็จำไว้ว่าอย่าเอ่ยเรื่องลอบสังหารอะไรอีก ห้ามเอ่ยถึงเด็ดขาด ทำเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น
เหมียวอี้ถาม : หมายความว่ายังไง?
หยางชิ่ง : การที่นำคนนอกเข้ามายุ่งกับเรื่องภายในของตำหนักสวรรค์ เรื่องนี้จะว่าเล็กก็เล็ก จะว่าใหญ่ก็ใหญ่ ท่านค้นยึดร้านค้าไปหลายร้อยร้าน ฆ่าคนไปหลายพันคน ถ้าอำนาจที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาอยากโต้ตอบ ก็สามารถทำเรื่องเล็กน้อยให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ ไม่ใช่สิ่งที่สถานภาพของนายท่านในปัจจุบันจะรับไหว นายท่านเป็นตัวแทนตำหนักสวรรค์มาคุมอาณาเขต ถ้าท่านรายงานขึ้นไปว่าสมาคมร้านค้าลอบสังหารท่าน ทั้งยังมีเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงๆ พฤติกรรมการลอบสังหารของสมาคมร้านค้าก็ไม่ต่างอะไรกับการก่อกบฏ แบบนี้จะให้เจ้านายที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาทนได้ยังไง? ก็เป็นอย่างที่ข้าน้อยบอกไว้ตอนแรก เมื่อประสบกับเรื่องแบบนี้ ท่านจะให้ราชันสวรรค์จัดการยังไง? คิดว่านายท่านสำคัญกว่า หรือว่าขุนนางทั้งราชสำนักสำคัญกว่า? เรื่องแบบนี้ทำได้เพียงไม่สืบสาวเอาผิด ราชันสวรรค์เองก็ไม่อยากทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่เช่นกัน แต่ข่าวการลอบสังหารก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังไว้ ปล่อยให้มันแพร่ออกไป ปล่อยให้เรื่องการลอบสังหารนายท่านเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริง! เพียงแต่นายท่านห้ามรายงานขึ้นไป ไม่อย่างนั้นจะเป็นการกดดันให้เบื้องบนหาทางลงไม่ได้ นายท่านรายงานแค่ข้อหาที่สมาคมร้านค้าฝ่าฝืนคำสั่งก็พอแล้ว อาศัยหลักฐานเรื่องที่สมาคมร้านค้าฝ่าฝืนคำสั่งมาหลายปี ไม่ยอมรับการควบคุมจากตำหนักสวรรค์ ก็เพียงพอที่จะอธิบายการกระทำในครั้งนี้ได้แล้ว สถานการณ์โดยรวมเอนเอียงมาทางฝั่งนายท่าน เรื่องอื่นไม่จำเป็นต้องพูดมากเกินไป แล้วนายท่านก็ไม่ต้องรายงานเรื่องลอบสังหารด้วย ขุนนางทั้งราชสำนักไม่ใช่คนโง่หูหนวกตาบอด พวกเขาย่อมเข้าใจเจตนาของนายท่านอยู่แล้ว อย่างน้อยก็ไม่มีใครมาเกาะแกะนายท่านซึ่งๆ หน้า ไม่เอาเรื่องที่นายท่านดึงคนนอกเข้ามายุ่งเรื่องภายในตำหนักสวรรค์กับเรื่องวางยาพิษมาเป็นข้ออ้างเล่นงาน ทุกคนจะปิดตาข้างเดียวแล้วปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป ไม่อย่างนั้นถ้ากดดันให้นายท่านเอาเรื่องลอบสังหารมาเล่นงาน ก็มีแต่จะทำให้พวกเขาลำบากเอง นี่คือคำพูดที่มาจากใจจริงของหยางชิ่ง นายท่านรู้ใช่มั้ย?
ก่อนหน้านี้ที่เหมียวอี้นิ่งเงียบอยู่ริมทะเลสาบนานมาก ที่จริงเป็นเพราะกำลังคิดวนเวียนถึงผลร้ายต่างๆ ที่จะตามมา การจะฆ่าปิดปากพวกหวงฝู่จวินโหรวหรือไม่กลายเป็นกุญแจสำคัญ ตอนนี้พอได้ฟังคำพูดของหยางชิ่ง ก็เรียกได้ว่ากระจ่างเหมือนแหวกเมฆแล้วเห็นตะวัน ในใจปลอดโปร่ง
หลังจากจบการพูดคุยและเก็บระฆังดาราแล้ว เหมียวอี้ก็เดินเข้าไปกลางกลุ่มคณะระบำที่กำลังตัวสั่นระริก แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “สมาคมร้านค้าวางแผนร้าย แอบซ่อนมือสังหารไว้รอลอบสังหารผู้บัญชาการใหญ่คนนี้ พวกเจ้าก็เห็นกันหมดแล้ว! แต่เรื่องนี้ข้ามองออกตั้งแต่แรกแล้ว มองแผนร้ายนี้ออก เลยลงโทษประหารพวกโจรชั่วคาที่! เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า กลับไปเถอะ! ท่านแม่สวี พาคนของท่านกลับไปเถอะ”
ท่านแม่สวีที่นั่งกอดเข่าด้วยความหวาดผวาเงยหน้ามอง พอเห็นเหมียวอี้พยักหน้าให้ กำลังจะปล่อยนางไปแล้วจริงๆ ก็ลุกขึ้นเรียกคนของหอกลิ่นสวรรค์ทันที “รีบไปๆ ทุกคนรีบไป อย่ามารบกวนการทำงานของผู้บัญชาการใหญ่”
ใช้เวลาไม่นาน กลุ่มนางระบำก็หนีไปหมดแล้ว เพียงแต่น่าเสียดายกลุ่มนางระบำก่อนหน้านี้ รวมทั้งสาวงามที่ป้อนสุราให้เหมียวอี้ พวกนางโดนพิษกำเริบตายหมดแล้ว
พอเหมียวอี้โบกมือ โจวหราน อูหันซาน หวงฝู่จวินโหรว อวี้ซวีเจินเหรินก็ถูกลากออกไปหมด ถูกจับไปขังคุกใหญ่ชั่วคราว
หลังจากคนที่ไม่เกี่ยวข้องไปหมดแล้ว เหมียวอี้ถึงได้หันตัวมาบอกพวกเชียนหลัวว่า “พวกท่านไม่ควรอยู่ข้างกายข้านาน รอจนประตูเมืองเปิดแล้ว พวกท่านก็ออกไปให้ไกลทันที”
ทั้งสี่พยักหน้าเบาๆ รู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร ถ้าอยู่ต่ออีกแล้วตำหนักสวรรค์สืบเจอ ก็จะทำให้ปราสาทดำเนินนภาลำบากไปด้วย
ใครจะคิดว่าประโยคถัดไปที่เหมียวอี้พูดออกมา จะทำให้ทั้งสี่อารมณ์เสียทันที “พวกท่านไม่ต้องห่วงนะ ตราบใดที่ข้าไม่เป็นอะไร เรื่องนี้ก็จะไม่สาวไปถึงตัวปราสาทดำเนินนภาแน่นอน”
หมายความว่ายังไง? ทั้งสี่ทำสายตาแปลกๆ ทันที นี่คิดว่าพวกเราจะฆ่าคนปิดปากเหรอ แอบบอกใบ้เหรอว่าเจ้าทิ้งแผนสำรองเอาไว้?
ตอนที่เหาะจากฟ้าลงมาเหยียบนอกตำหนักคุ้มเมือง เหลือเพียงเหมียวอี้คนเดียว เขาหันกลับมามองศพที่กองเต็มพื้น ถนนหนทางที่มีเลือดไหลนองเป็นแม่น้ำ ทิ้งไว้เพียงเงาหลังให้ทุกคน มีคนมากมายที่มองเห็นหน้าเขาไม่ชัดด้วยซ้ำ
“ผู้บัญชาการใหญ่!” ผู้บัญชาการทั้งสี่ทำความเคารพพร้อมกัน
เหมียวอี้มองศพกงอวี่เฟยกับหลี่หวนถังบนพื้น แล้วถามว่า “นี่มันเรื่องอะไร?”
“ตอบผู้บัญชาการใหญ่ สองคนนี้เลวร้ายมาก…” สวีถังหรานย่อมปั้นเรื่องราวมาเล่าให้ฟังอยู่แล้ว
เหมียวอี้มองศพลูกน้องคนสนิทสองคนของสวีถังหราน แล้วก็มองสวีถังหรานด้วยแววตาล้ำลึกแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่พูดอะไรมากอีก เพียงกำชับว่า “รายงานเรื่องนี้ขึ้นไปอย่างละเอียด” พูดจบก็ก้าวยาวเดินเข้าประตูตำหนักไปโดยตรง
“รับทราบ!” สวีถังหรานกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่งตามหลังเขาไป
“อา!” ทว่าในเวลานี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงร้องตกใจดังขึ้น
เหมียวอี้หันขวับ รู้สึกตกใจมากเช่นกัน เห็นเพียงนักพรตบงกชรุ้งขั้นหนึ่งคนหนึ่งโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ กระโจนเข้าใส่เขาด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ เร็วจนเหมียวอี้ไม่มีทางหลบพ้น
ชั่วพริบตานั้น เหมียวอี้หันตัวแล้วกางแขน ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ลูกธนูดาวตกพลันปรากฏอยู่ในมือ รีบนั่งท่าควบม้าพร้อมดึงสายธนู บนธนูและลูกศรเกิดเป็นลำแสง มีเสียงระเบิดดังปั้งหนึ่งที ลำแสงสายหนึ่งพลันยิงออกมา
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น