ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 127-138

ตอนที่ 127 อาหลัน

 

ตู๋กูซิงหลันเองก็มีสีหน้าเหวอไปแล้ว ….นางแทบจะอยากเรียกจิตวิญญาณที่ยังหลงเหลืออยู่ของเจ้าของร่างเดิมออกมาซักถามเสียเดี๋ยวนี้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ 


 


 


ที่แท้คือคนงามต่างก็ชอบเล่นกุ๊กกิ๊กกับคนงามด้วยกันใช่ไหม?  


 


 


ผู้อื่นต่างก็อ้ำอึ้งไปตามๆ กัน ท่ามกลางสายตาผู้คนหลายคู่ กุ้ยเฟยกลับแสดงออกเช่นนี้……ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่กระมั้ง?  


 


 


“องค์หญิงใหญ่เพคะ กุ้ยเฟยเพคะ พวกท่านจำคนผิดไปแล้วหรือไม่ นางเป็นแค่นางกำนัลคนหนึ่งเท่านั้น! ” อันหว่านจือชักร้อนรนขึ้นไปอีก “นังบ่าวไพร่ผู้นี้ ยังคิดจะเอางูพิษมากัดหม่อมฉันด้วยนะเพคะ! “ 


 


 


พอนางกล่าวออกไป ผู้คนทั้งหลายต่างก็หันไปมองดูเจ้าไก่ขนฟูที่อยู่ข้างตัวตู๋กูซิงหลัน 


 


 


อุ้งเท้าของเจ้าไก่ขนฟูยังคงยังคงคีบเจ้างูสีแดงตัวนั้นเอาไว้ งูตัวนั้นเองก็ใกล้จะตายมิตายแหล่ หายใจร่อแร่เต็มทน 


 


 


เล่าลือกันว่าไทเฮาและหยวนเฟยสนิมสนมกันมาก งูตัวนั้นอาจจะเป็นนางได้รับมาจากหยวนเฟย เพื่อก่อเรื่องร้ายบางประการก็เป็นได้?  


 


 


ตู๋กูซิงหลันได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมา “เรื่องที่เราไม่เคยกระทำมาก่อน เจ้ากลับพยายามยกขึ้นมากล่าวหาว่าเราทำ ถ้าเช่นนั้นไยเราจึงไม่ทำไปเสียเลยละ จะได้ไม่เสียน้ำใจเจ้า “ 


 


 


พอนางพูดจบก็หันไปสบตากับเจ้าไก่ขนฟูนั้นครั้งหนึ่ง เจ้าไก่ขนฟูก็ใช้เท้าของมันสะบัดออกไป โยนเจ้างูตัวนั้นเข้าใส่อันหว่านจือ 


 


 


เจ้างูได้รับความตระหนกมาแต่แรก อีกทั้งบนร่างของอันหว่านจือก็มีกลิ่นโลหิตสด มันจึงอ้าปากกัดเข้าที่แขนของนางไปคำหนึ่ง 


 


 


อันหว่านจือกรีดร้องขึ้นมาครั้งหนึ่ง ริมฝีปากของนางก็เปลี่ยนเป็นสีม่วงไปในทันที นางรีบล้วงเอาขวดใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ เทเม็ดยาสีขาวออกมาจากด้านใน กลืนยาเม็ดนั้นลงไปต่อหน้าต่อตาผู้คนทั้งหลาย 


 


 


เพียงไม่นานริมฝีปากของนางก็เปลี่ยนกลับเป็นสีเดิมตามธรรมชาติอีกครั้ง 


 


 


” อ๋อ? นี่ยังพกยาแก้พิษงูเอาไว้เองอีกด้วยหรือ? ” ตู๋กูซิงหลันหัวเราะเสียงเย็นชา 


 


 


ที่จริงแล้วถึงนางจะไม่พูดออกมา ผู้คนทั้งหลายต่างก็รู้แล้ว นี่มันชัดเจนเลยว่าเป็นอันหว่านจือก่อเรื่อง งูนี้เป็นฝีมือของนางเอามาปล่อยที่ตำหนักเฟิ่งหมิง 


 


 


เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูกุ้ยเฟยก็ระเบิดโทสะแรงกล้าออกมา นางหันกลับไปจ้อง และตะคอกใส่เสียงดัง ” อัน! หว่าน! จรือ! “ 


 


 


อันหว่ายนจรือพึ่งจะเคยถูกซูกุ้ยเฟยเรียกนางทั้งชื่อแซ่เป็นครั้งแรก นางตระหนกเสียงจนสองขาอ่อนแรง “พระสนม หม่อมฉัน…..” 


 


 


” เจ้าคิดจะกระทำสิ่งใดกับอาหลัน? ” รังสีโทสะของนางยังคงไม่ลดลงแม้แต่น้อย เดิมทีนางก็มีแรงดึงดูดมากอยู่แล้ว พอคราวนี้ยิ่งมามีโทสะเพิ่มขึ้นไปอีก แก้มทั้งสองบนใบหน้าก็ยิ่งมีสีสันเข้มขึ้นมาอีกขั้น 


 


 


ขอเพียงเป็นหญิงงาม ถึงแม้ว่าจะมีโทสะขึ้นมา จะอย่างไรก็ยังหน้าดู 


 


 


เพียงแต่เมื่อได้ยินคำเรียกหาว่าอาหลันเข้า ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกขนอ่อนลุกชันขึ้นมาทันที พลันคิดไปถึงคนผู้หนึ่ง 


 


 


ความสัมพันธ์ของเจ้าของร่างเดิมและซูเหม่ย ถึงกับใกล้ชิดสนิทสนมกันจนถึงขนาดเรียกหากันเช่นนี้เชียวหรือ?  


 


 


” หม่อม หม่อมฉันไม่ทราบเลยเพคะ พระสนม หม่อมฉันเติบโตในป่าเขามาตั้งแต่เล็ก จึงมักพกพายาแก้พิษติดตัวเอาไว้ เอาไว้กับตัว นี่ไม่ใช่เรื่องปกติหรอกหรือ? ” อันหว่านจือแก้ตัวไปขุ่นๆ เวรกรรมเข้าแล้ว นางไหนเลยจะคาดคิดว่า นางกำนัลที่ปล่อยผมกระเซอะกระเซิงที่บังเอิญพบหน้ากันครั้งแรกในพระตำหนักเฟิ่งหมิงจะกลายเป็นไทเฮาไปได้?  


 


 


นี่นะหรือ คือยอดสตรีอันดับหนึ่งของแคว้นต้าโจว?  


 


 


ผู้คนทั้งหลายต่างตาบอดกันไปหมดแล้วหรือไม่! “ 


 


 


 


 


 


” ก็คงใช่ เป็นเรื่องปกติ ” ปอยผมของตู๋กูซิงหลันเปิดออกให้เห็นใบ นางจดจ้องอันหว่านจืออย่างตรงๆ คลี่ยิ้มเย็นชาให้นาง 


 


 


แต่ว่ารอยยิ้มนี้ แทบจะทำให้วิญญาณของอันหว่านจือหลุดลอยออกไปแล้ว 


 


 


ตั้งแต่ที่นางได้พบคนงามเช่นซูกุ้ยเฟย เมื่อนางไปเห็นสตรีอื่น ก็รู้สึกว่าดูธรรมดาเหลือเกิน ไม่ต้องตาแม้แต่น้อย 


 


 


แต่ว่าสตรีที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ ………พอได้สบตากับนางแล้ว ถึงกับทำให้ลมหายใจของนางสะดุด 


 


 


เพียงแค่ได้เห็นสายตาคู่นั้นก็บังเกิดแรงกดดันที่ไม่อาจต่อต้านได้ ทำให้นางชะงักอยู่กับที่ สองขาหนักขึ้นจนไม่อาจขยับ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเดิมมาถึงเบื้องหน้านาง ยื่นมืออกมาเชยใบหน้านางขึ้น อันหว่านจือก็พลันรู้สึกว่าสองขาไร้เรี่ยวแรง ร่างกายแทบจะทรุดลงไปกอง 


 


 


ตู๋กูซิงหลันยังไม่ปล่อยมือ เพียงแต่จดจ้องนางละเอียด พิจารณาดูใบหน้านั้นทั้งซ้ายและขวา 


 


 


อืม ถือว่างดงามปราณีตไร้ตำหนิ 


 


 


ตอนแรกอันหว่างจรือนึกว่านางคิดจะทำลายโฉมของตน ในใจทั้งกรุ่นโกรธทั้งหวาดกลัว ได้แต่จดจ้องนางแต่ไม่กล้าขยับ หากว่านางกล้าแตะต้องใบหน้าของตนเองแม้เพียงนิดเดียว ต่อให้นางเป็นถึงไทเฮา ตนก็จะไม่ละเว้นนางเด็ดขาด!  


 


 


ถึงแม้ซูกุ้ยเฟยจะไม่ยอมออกหน้าให้นาง นางก็ยังมีท่านย่าอยู่!  


 


 


จะว่าไป นางเคยได้ยินมานานแล้วว่า ฝ่าบาททรงชิงชังตระกูลตู๋กู และรังเกียจไทเฮา นี่ก็พึ่งจะยอมปล่อยนางออกมาจากตำหนักเย็นได้ไม่นานเอง นางกลับกล้ากำแหงถึงเพียงนี้ ช่างไม่รู้จักดูน้ำหนักของตนเองว่ามีเท่าใด แม้แต่คนเช่นตนก็กล้าแตะต้อง?  


 


 


องค์หญิงใหญ่และซูกุ้ยเฟยมองดูอยู่ที่ด้านข้าง ต่างก็มิได้ยื่นมือขัดขวางตู๋กูซิงหลัน อันหว่านจือขวัญกล้าบังอาจปล่อยงูพิษเข้ามาในตำหนังเฟิ่งหมิง สาวน้อยนางนี้ย่อมมิใช่ตัวดีแน่ 


 


 


ไม่ว่าตู๋กูซิงหลันจะสั่งสอนนางเช่นไร ก็ไม่นับว่าเกินเลยไป 


 


 


แต่ว่า ตู๋กูซิงหลันเพียงแต่จับใบหน้าของนางดูอยู่นานสองนาน ค่อยหัวเราะออกมาคำหนึ่ง ” ขี้ผึ้งทาปากของเจ้าสีสวยดี” 


 


 


สีแดงเข้ม ดุจกลีบกุหลาบหยาดเยิ้มปานจะหยดลงมา  


 


 


ในโลกมิติก่อนนั้นฉากหน้าของตู๋กูซิงหลันคลุกคลีอยู่ในวงการภาพยนต์ ยามว่างนางก็ชอบสะสมลิปสติก แต่เมื่อมาถึงโลกนี้กลับยังไม่มีโอกาสได้แต่งหน้า 


 


 


แคว้นต้าโจวไม่มีขี้ผึ้งทาปาก เหล่าสตรีต่างใช้ดอกไม้สดหรือไม่ก็ไขมันสัตว์บางชนิดทาปาก จึงไม่ค่อยได้เห็นว่าจะมีสีแดงที่สดเข้มขนาดนี้ 


 


 


แดงดุจเลือดทีเดียว 


 


 


อันหว่านจือชะงักไปครู่หนึ่ง ” นั่น….นั่นย่อมแน่นอน….” 


 


 


ขี้ผึ้งทาปากของนางทำขึ้นอย่างปราณีตบรรจง ใช่ส่วนผสมเช่นเดียวกับที่ฉางซุนฮองเฮาเคยโปรดปราน ซึ่งแม้แต่พระสนมในวังทั้งหลายต่างก็ไม่มีคุณสมบัติจะได้ใช้  


 


 


อย่าว่าแต่…..คนที่ฝ่าบาทเองก็ไม่ทรงโปรด ยัยแม่ม่ายที่พึ่งจะได้ออกมาจากตำหนักเย็น!  


 


 


” อาหลัน หากว่าเจ้าชมชอบขี้ผึ้งมาปาก ที่ตำหนักของข้ามี 


 


 


ให้เจ้าเลือกมากมาย ไยจะต้องไปสนใจของนางด้วย? ” ซูกุ้ยเฟยเห็นตู๋กูซิงหลันยังคงเชยคางของนางไว้ ก็เดินเข้ามาใกล้ เกาะกุมมือทั้งคู่ที่นุ่มนวลดุจหนังแกะของนาง ลูบไล้นิ้วโป้งที่ขาวสะอาดนั้น หัวคิ้วขมวดมุ่น  


 


 


” ข้าพึ่งจะได้รับสีผึ้งทาปากชุดใหม่จากร้านหนานเยี่ยน หากว่าไทเฮาทรงโปรด กลับไปข้าจะรีบส่งมาถวาย” องค์หญิงใหญที่อยู่ด้านข้างรับสั่งออกมา 


 


 


ถึงแม้ว่าระหว่างนางและตู๋กูจุนจะมีหนี้แค้นชีวิตสามี แต่ว่าตู๋กูซิงหลันเคยช่วยชีวิตซุ่นเอ๋อร์เอาไว้ นางติดค้างบุญคุณอันยิ่งใหญ่นี้อยู่ นางสนใจเพียงตัวบุคคล บุญคุณและความแค้นแบ่งแยกชัดเจน 


 


 


 


 


 


ตู๋กูซิงหลันคลี่ยิ้มบางเบา ค่อยปล่อยมือที่จับใบหน้าอันหว่านจือเอาไว้ 


 


 


อันหว่านจือเมื่อเป็นอิสระ ก็ถอนใจออกมาคำหนึ่งค่อยตอบว่า “ไทเฮาเพคะ เมื่อครู่เพียงเกิดความเข้าใจผิดกันเท่านั้น หากว่าทรงโปรด หม่อมฉันจะส่งมาถวายพระองค์สักหน่อยก็ได้ “ 


 


 


เป็นถึงไทเฮาของประเทศ แต่กลับยากจนถึงขนาดที่แม้แต่ขี้ผึ้งทาปากยังไม่เคยเห็น ทั้งยังต้องไปเอามาจากผู้อื่นอีก หึ 


 


 


อันหว่านจือพึ่งพูดจบ ซุ่นเอ๋อร์ก็เขย่ากระโปรงของตู๋กูซิงหลันกล่าวว่า “ท่านย่าน้อย ท่านสวยงามขนาดนี้ ไม่จำเป็นต้องทาๆ ถูๆ อะไรแม้แต่น้อย อาอี้ท่านนี้หน้าตาไม่ค่อยดี ถึงต้องทาถู” 


 


 


อันหว่านจือถลึงตาใส่ซุ่นเอ๋อร์ครั้งหนึ่ง นังเด็กน้อยนี่ ช่างไร้การอบรมแม้แต่น้อย ยังจะสมควรเป็นเชื้อพระวงค์ฝ่ายหญิงได้อีกหรือ?  


 


 


อาอี้? นางพึ่งจะอายุสิบแปดเท่านั้น สมควรจะต้องเรียกว่าพี่สาวต่างหากสิ 


 


 


นางได้แต่กรอกตาบนอยู่ในใจ ใบหน้ายังมีรอยยิ้มอยู่บ้าง “ท่านหญิงน้อย เจ้ายังเล็ก ย่อมไม่เข้าใจ เป็นสตรีย่อมต้องใส่ใจการแต่งตัวแต่งหน้า จึงจะมีบุรุษมาชื่นชอบ เอาไว้เจ้าโตขึ้นก็จะรู้เอง” 


 


 


” เอ๋? จริงหรือ? ” ซุ่นเอ๋อร์โยกศีรษะไปมา ” แต่ว่าท่านย่าน้อยไม่เห็นต้องแต่งหน้า เสด็จน้าฮ่องเต้ก็โปรดปรานนางออก “ 


 


 


อันหว่านจือ “………” นังเด็กน้อยนี่หากว่าไม่ใช่ท่านหญิงน้อย นางจะจับตบให้ตายไปเสีย!  


 


 


ฝ่าบาทโปรดปรานนาง?  


 


 


นอกจากว่ามีใบหน้าน่าดูแล้ว อย่างอื่นก็หารสชาติไม่ได้สักนิด 


 


 


ฝ่าบาทไม่ได้พระเนตรบอด ย่อมต้องทรงทราบดี สตรีเช่นนางต่างหากจึงนับว่ายอดเยี่ยม  

 

 


ตอนที่ 128 ไทเฮา คือสตรีเจ้าชู้!

 

อันหว่านจือคิดจะกล่าวอะไรออกไป แต่เห็นองค์หญิงใหญ่สีพระพักตร์ไม่ดี อันหว่านจือย่อมรู้จักอ่านสีหน้าผู้อื่น ไม่ทันพูดอะไรก็กล้ำกลืนกลับลงไป 


 


 


นางอดที่จะหันไปมองดูซูกุ้ยเฟยไม่ได้ คาดหวังว่านางจะช่วยตนพูดจาสิ่งใดบ้าง แต่ไหนเลยจะคิดว่าซูเหม่ยกลับมีสีหน้าเย็นชา เดินมาถึงด้านหน้านาง ทันทีที่ยกมือขึ้นมา ก็ตบลงบนใบหน้าของอันหว่านจือ 


 


 


” เพี้ยะ! “ 


 


 


ตบเดียวนั้นเสียงกลับดังชัดเจน รุนแรงอย่างที่สุด เรียกว่าตบเพียงครั้งเดียวอันหว่านจือถึงกับลงไปกองกับพื้น ใบหน้าที่ปูดบวมนั้นหันกลับมามองดูซูกุ้ยเฟยอย่างไม่อาจเชื่อสายตาตนเอง 


 


 


ตู๋กูซิงหลันหรี่ตาดูอย่างพิจารณา 


 


 


นางเห็นซูกุ้ยเฟยยืนอยู่ด้านหน้าอันหว่านจือ สีหน้าเปี่ยมไปด้วยโทสะ “ตบนี้ เพราะเจ้าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ไทเฮาแต่ไหนแต่ไรน้ำพระทัยดีมีเมตตา หญิงชาวป่าหยาบคายอย่างเจ้าไหนเลยคิดจะมารังแกได้กัน? “ 


 


 


อันหว่านจือพูดไม่ออกไปแล้ว นางเคยรังแกไทเฮาที่ไหนกัน? 


 


 


ยังมี…..ตลอดทางที่นางจะเข้าวังมา ล้วนแต่ได้ยินข่าวเล่าลือว่า ไทเฮาทรงเป็นนางมารทำร้ายชาติและประชาชน นิสัยโหดเ**้ยมฝีมือร้ายกาจ เพียงแต่ช่วงนี้พึ่งจะเปลี่ยนเป็นผู้เป็นคนกับเขาบ้าง ทำไมพอออกจากปากของซูกุ้ยเฟยถึงได้กลายเป็นนิสัยดีมีเมตตาไปแล้ว? 


 


 


นางยังไม่ทันได้กล่าวอะไร ก็เห็นซูเหม่ยยกเท้าขึ้นกระทืบลงไปบนร่างของนาง “เท้านี้ ถือเป็นการสั่งสอนให้เจ้าเติบโต หากว่าเจ้ายังคิดจะอยู่ในวังต่อไป ก็ไปร่ำเรียนกิริยามารยาทให้ดี! “ 


 


 


ฝ่าเท้านี้ใช้ออกด้วยพละกำลังอย่างเต็มที่ กระทืบลงไปจนอันหว่านจือแทบจะจะกระอักเลือดออกมา 


 


 


นางคิดไม่ถึงจริงๆ ตอนที่เดินทางเข้าวังมากับซูกุ้ยเฟย อีกฝ่ายมีนิสัยเปิดเผยอลุ่มอล่วย แต่พอมาเจอตู๋กูซิงหลัน นางกลับเปลี่ยนเป็นคนละคน ราวกับระเบิดลูกหนึ่ง แตะต้องไม่ได้ ด่าว่าไม่ได้? 


 


 


งูของนางพวกนั้นก็ไม่ได้กัดโดนตู๋กูซิงหลันเสียหน่อยนี่? 


 


 


ในใจนางมีแต่โทสะไม่อาจระบาย ได้แต่กล้ำกลืนลงท้องไป รีบตอบคำว่า “กุ้ยเฟยสั่งสอนได้ถูกต้องแล้วเพคะ หว่านจือสำนึกผิดแล้วเพคะ ต่อไปไม่กล้าอีกแล้ว “ 


 


 


อย่าได้ให้นางหาโอกาสได้เชียวนะ! ขอเพียงฝ่าบาทได้พบนางสักหลายครั้ง ใครจะได้เป็นนายหญิงของวังหลังก็ยังไม่แน่หรอก 


 


 


คราวนี้ สีหน้าของซูกุ้ยเฟยค่อยดีขึ้นบ้าง นางเดินมาถึงข้างกายตู๋กูซิงหลัน ” อาหลัน ด้านนอกอากาศหนาว เจ้ารีบกลับเข้าตำหนักไปเถอะ “ 


 


 


นางพูดพลาง สายตาก็เปิดเผยความห่วงใยจนร้อนรนออกมา ” ข้าแค่ไปภูเขาจงหลิงมารอบหนึ่ง …….เจ้าทำไม ทำไมถึงได้ทำให้ตนเองมีสภาพเช่นนี้ไปได้ “ 


 


 


ว่าพลาง นางก็ดึงตัวตู๋กูซิงหลันมากอดเอาไว้ในอ้อมอก “อาหลัน วางใจเถอะนะ ข้ากลับมาแล้ว “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเคยชินแต่ลูบคลำเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น พออยู่ดีๆ กลับโดนนางมารทรงเสน่ห์ผู้หนึ่งจับกินบ้าง นางชักจะไม่คุ้ยเคยเท่าไหร่ 


 


 


บนร่างของซูเหม่ยมีกลิ่นกุหลาบอ่อนๆ พอไม่ตั้งใจดมกลิ่นจะเข้มขึ้น แต่พอคิดจะดมอีกครั้งกลิ่นกลับเบาบางลงไป ราวกับดอกไม้ที่ผลิบานแล้วจะโรยรา เพียงพบเห็นก็สลายเป็นหมอกควัน 


 


 


กลิ่นเช่นนี้ …….สำหรับนางแล้ว กลับรู้สึกคุ้ยเคยยิ่งนัก 


 


 


แต่เมื่อได้พบคนงามที่สะสวยตั้งแต่หางคิ้วไปจนถึงโครงกระดูก น่าชมดูเสีนจนวิญญาณจะแทบหลุดลอย นางก็ตบไหล่ของกุ้ยเฟยเบาๆ จับมือของนางมากุมไว้ 


 


 


” พูดไปเรื่องช่างยาวนัก….เจ้าเข้าไปในตำหนักกับข้าเถอะ พวกเราจะได้ค่อยๆ พูดคุยกัน “ 


 


 


ซูเหม่ยรีบพยักหน้าติดๆ กันในทันที กล่าวอย่างยินดีว่า ” ดีเลย” 


 


 


ดวงตาของนางโค้งมน ยามแย้มยิ้มดุจปีศาจจิ้งจอกที่ทำให้จิตใจผู้คนหลุดลอย 


 


 


สายตาของอันหว่านจือถึงกับโง่งมไปแล้ว ทำไมนางถึงได้รู้สึกว่าเหตุการณ์เบื้องหน้าดูประหลาดนัก 


 


 


องค์หญิงใหญ่เองก็ชะงักไปบ้าง นางไม่ค่อยทราบถึงเรื่องราวของตู๋กูซิงหลันเท่าใดนัก เพียงแต่เคยได้ยินมาว่า ก่อนจะเข้าวังมานั้น นางและซูกุ้ยเฟยมีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมมาก 


 


 


คิดไม่ถึงว่าพอทั้งสองได้พบหน้ากัน ยังดูสนิทสนมเสียยิ่งกว่าพี่สาวน้องสาวแท้ๆ เสียอีก 


 


 


” อ๋อ จริงสิ กลับไปแล้วจำไว้ว่าให้ส่งขี้ผึ้งทาปากชุดหนึ่งมายังตำหนักเฟิ่งหมิงด้วย” ตู๋กูซิงหลันไม่ลืมหันหน้าไปสั่งอันหว่านจือ 


 


 


” เห็นแก่หน้าซูกุ้ยเฟย เรื่องในวันนี้เราจะไม่เอาความอีก หากไม่มีเรื่องใดแล้ว เจ้าก็ไสหัวไปเถอะ “ 


 


 


อันหว่านจือ “……..” 


 


 


นางยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ตอนออกจากเรือนไม่ได้ดูฤกษ์ดูยามแท้ๆ ไม่เพียงแต่พ่ายแพ้ ทั้งยังจะต้องส่งมอบสีผึ้งชั้นดีให้กับนางอีกด้วย? 


 


 


นั่นนะเป็น…….ของที่ท่านย่าตั้งใจตระเตรียมให้ตนเองโดยเฉพาะ ที่ตนพูดกับนางนั้นเป็นเพียงวาจาประสาเกรงอกเกรงใจเท่านั้น นังตัวร้ายนี่ถึงกับจะเอาจริง? 


 


 


ของที่นางเองไม่มี กลับคิดจะมาลักเอาจากตน ไม่คิดจะรักษาหน้าตาบ้างหรือไร? 


 


 


” องค์หญิงกับซุ่นเอ๋อร์ก็เข้ามานั่งด้วยกันเถอะ ” ตู๋กูซิงหลันเองก็มิได้ลืมองค์หญิงใหญ่และเด็กหญิงตัวน้อย 


 


 


ซุ่นเอ๋อร์แทบจะกระโดดบินตามไป มือน้อยๆ คว้านิ้วของนางเอาไว้แน่น จะให้นางจับจูงให้ได้ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน 


 


 


องค์หญิงใหญ่ได้แต่ส่ายพระพักตร์ เด็กน้อยซุ่นเอ๋อร์ ใครไม่รู้จะพาลคิดไปว่าตู๋กูซิงหลันคือมารดาแท้ๆ ของนาง นับตั้งแต่ที่ไทเฮาทรงช่วยชีวิตเอาไว้ ก็เอาแต่ร่ำร้องจะเข้าวังมาเล่นกับนางอยู่ตลอดเวลา 


 


 


เด็กน้อยผู้นี้ไม่เคยติดใจใครมาก่อน แต่ว่า กับไทเฮาแล้วไม่เหมือนกัน 


 


 


พออันหว่านจือพึ่งจะลุกขึ้นมาได้ ตู๋กูซิงหลัน กับซูกุ้ยเฟย และพวกองค์หญิงใหญ่ก็กำลังจะพากันเข้าไปในตำหนักเฟิ่งหมิงแล้ว 


 


 


แต่แล้วกลับเห็นหลี่กงกงรีบร้อนวิ่งเข้ามา ที่ด้านหลังของเขายังมีหยวนเฟยติดตามมาด้วย ท่ามกลางฤดูหนาวแท้ หยวนเฟยยังคงสวมชุดกระโปรงสีชมพูที่เปิดเผยเรียวแขนเรียวขา เพียงแต่ชายกระโปรงเพิ่มขนกระต่ายสีดำอยู่รอบๆ ซึ่งคงไม่ได้ช่วยเพิ่มความอบอุ่นในที่ใด 


 


 


หลี่กงกงมาถึงก็ได้เห็นภาพอันแสนงดงามที่ตู๋กูซิงหลันและซูกุ้ยเฟยจูงมือกันและกัน 


 


 


สวรรค์โปรดเถอะ ไทเฮาได้โปรดหยุดยั้งพลังเสน่ห์ของนางได้หรือไม่? ทำไมแม้แต่ซูกุ้ยเฟยที่พึ่งจะกลับเข้าวังมาก็ยัง…..ถูกดึงดูดไปด้วย? 


 


 


หยวนเฟยย่อมมองเห็นอย่างชัดเจน หว่างคิ้วของนางอดจะขมวดมุ่นไม่ได้ ทั้งๆ ที่รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าไทเฮาชื่นชอบอิสตรี แต่พอมาเห็นนางจับจูงมือของผู้อื่นเข้าจริงๆ ความรู้สึกที่ได้มาเห็นภาพบาดตาเช่นนี้ช่างรุนแรงนัก 


 


 


ไทเฮา คือสตรีเจ้าชู้จริงๆ! 


 


 


ก่อนหน้านี้เอง ที่ประตูตำหนักเฟิ่งหมิงนี้ สถานที่เดียวกันแท้ๆ สตรีคนไหนที่แซ่ตู๋กูนามซิงหลันกล่าวเอาไว้ว่า จะคอยดูแลอยู่เคียงข้างนางไปตลอด? 


 


 


ดีนัก พอหมุนตัวไปก็รีบไปเกาะไหล่ลูบหลังพระสนมอื่น ตอนนี้ก็ถึงขนาดจับจูงมือกัน คิดจะพาคนเข้าตำหนักไปหรือ? 


 


 


งูเขียวบนท่อนแขนของนางก็กำลังแลบลิ้นส่งเสียงดังซี่ๆ ออกมาคล้ายจะเห็นด้วย 


 


 


หากว่าวันนี้ไม่ได้มาเห็นด้วยตาของตนเอง นางคงไม่รู้ว่าไทเฮาจะเข้าชู้ถึงเพียงนี้! 


 


 


หลี่กงกงพยายามจะปรับอารมณ์ของทุกฝ่ายให้กลมเกลียวกันเข้าไว้ เขาถวายคำนับต่อผู้คนทั้งหลาย สุดท้ายค่อยหันมาทางซูกุ้ยเฟยทูลว่า ” พระสนมเอกพะยะคะ ฝ่าบาททรงเชิญท่านไปยังพระตำหนักตี้หัว “ 


 


 


ซูกุ้ยเฟยเหลือบตาดูสีท้องฟ้าที่เริ่มมืดลง “ข้าไม่ได้พบไทเฮามานาน ค่ำนี้คิดจะอยู่ร่วมกับไทเฮาให้นานพูดคุยกันให้มาก 


 


 


ด้านฝ่าบาทนั้น…… ขอรบกวนกงกงช่วยข้าปฎิเสธกลับไปได้หรือไม่? “ 


 


 


หลี่กงกง “………” ในวังแห่งนี้ จะมีพระสนมคนไหนที่ไม่หวังให้ตนได้พบกับฝ่าบาทสักหลายๆ ครั้ง แต่ซูกุ้ยเฟยกลับตัดโอกาสไปเช่นนี้? 


 


 


” นี่….” หลี่กงกงแสนจะลำบากใจ “ฝ่าบาทมีรับสั่งให้บ่าว จะต้องเชิญพระสนมเอกไปยังพระตำหนักตี้หัวให้ได้……” 


 


 


เมื่อกล่าวออกไปแล้ว เขาก็ได้แต่หันไปมองทางตู๋กูซิงหลันด้วยสายตาของความช่วยเหลือ ที่ผ่านมาไทเฮาน้อยล้วนเป็นดั่งพระโพธิ์สัตว์ที่ช่วยดับน้ำดับไฟให้กับเขา ครั้งนี้ นางก็จะยังช่วยเขาใช่หรือไม่? 


 


 


ตู๋กูซิงหลันยังไม่ทันได้กล่าวอันใด ก็เห็นหยวนเฟยเดินมาถึงเบื้องหน้าคนทั้งสอง ดวงตาที่งดงามทรงเสน่ห์นั้นจดจ้องซูกุ้ยเฟย “ซูกุ้ยเฟยเพคะ ฝ่าบาททรงเป็นพระสวามีของท่าน ท่านจะมาเกาะติดไทเฮาทำไม พึ่งจะกลับเข้าวังมา ตามเหตุผลก็สมควรที่จะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทต่างหาก จะมาให้หลี่กงกงต้องลำบากใจเช่นนี้ ไม่สมควรกระมัง? “  

 

 


ตอนที่ 129 จิ้งจอกจอมวุ่น

 

ซูเหม่ยหันมามองดูหยวนเฟยแวบหนึ่ง เห็นนางสวมใส่เสื้อผ้าของสตรีนอกด่าน บุคคลิกท่าทางดังนางมารน้อย นางก็ยกยิ้มมุมปาก “พูดเสียอย่างกับว่าฝ่าบาทไม่ใช่สวามีของเจ้าเช่นกัน “ 


 


 


หยวนเฟย “……” ก็ไม่เคยเข้าหอกันสักหน่อย จะนับว่าเป็นสวามีได้ที่ไหนกัน 


 


 


อย่าว่าแต่ ทรวงอกของฝ่าบาทไม่มีขน ไม่ใช่บุรุษแบบที่นางชื่นชอบ!  


 


 


ในสมองของตู๋กูซิงหลันเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม ทำไมนางถึงได้รู้สึกว่าบรรยากาศตอนนี้ยิ่งทียิ่งแปลกๆ ไปแล้ว?  


 


 


พวกเจ้าช่วยเรียนรู้จากเต๋อเฟย ฉีผิน เหลียนไฉเหริน สามคนนั้นหน่อย แก่งแย่งภายในวังกันให้เต็มที่จะได้ไหม?  


 


 


เจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นทำผิดอะไร ถึงได้ถูกพวกเจ้าพากันรังเกียจเช่นนี้?  


 


 


ดูหน้าตา ดูรูปร่าง ดูฐานะที่เป็นถึงฮ่องเต้แล้ว ก็นับว่าเพียงพอต่อการจะให้พวกเจ้าแย่งชิงความโปรดปรานได้อยู่นะ! อ๋อ……เกือบจะลืมไปเสียแล้วว่าที่จริงฉีผินได้ทูลขอลาออกไปเป็นแม่ชีด้วยความเต็มใจแล้ว เหลียนไฉเหริน…… ร่างของนางช่วงนี้ก็ถูกเสี่ยวลี่ยึดเอาไว้แล้ว 


 


 


คนที่ตั้งใจจะต่อสู้ในวังก็เหลือแต่เต๋อเฟยคนเดียว แต่ว่าก็เข้าตำหนักเย็นไปแล้ว 


 


 


พูดไปแล้ว นางก็ไม่ได้พบหน้าเสี่ยวลี่มานานแล้วนะ 


 


 


ส่วนบรรดาลูกสะใภ้คนอื่นๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นแค่หญ้าบนกำแพงที่แทบจะไม่รู้สึกถึงการคงอยู่ เป็นแค่พวกแนวหลังที่มาเสริมบรรยากาศ ยามปกติก็ไม่สามารถวาดลวดลายใดๆ ได้ 


 


 


แต่ว่าวาจาของซูเหม่ยยังไม่หมดเพียงเท่านั้น “ฟังมาว่า ช่วงที่ข้าไม่อยู่ เจ้าสนิทสนมกับอาหลันมาก ต้องขอบใจเจ้ามากที่ช่วยดูแลอาหลัน “ 


 


 


” กริยาท่าทางดั่งปีศาจน้อย ข้าก็รู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง แต่ว่าน่าเสียดาย หากว่าจะเอาเจ้ามาเปรียบเทียบกับข้าแล้วละก็ ในหัวใจของอาหลัน ข้าย่อมสำคัญกว่า “ 


 


 


หยวนเฟย “??? “ 


 


 


อะไรกัน ท่าทีที่คำก็อาหลัน สองคำก็อาหลันแบบนั้น คิดจะประกาศความเป็นเจ้าของอย่างชัดเจนงั้นสิ 


 


 


เจ้าวิญญาณทมิฬทั้งล้วงทั้งแคะจมูก “บอกมาเถอะ เจ้าตัวนี้ตกลงแล้วเป็นฝีมือของเจ้าที่ไปหว่านเสน่ห์เอาไว้ตั้งแต่ที่ไหนเมื่อไหร่? “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน ” เจ้าว่าในโลกใบนี้ ผู้ที่เอาแต่เรียกข้าว่า อาหลัน จะมีใครบ้าง? “ 


 


 


วิญญาณทมิฬสายตาเป็นประกาย ” เฮ้ย! เป็นไปไม่ได้มั้ง? เจ้าแก่ขี้เมาอาจารย์ของเจ้า จะข้ามมิติมาแล้วกลายเป็นสตรี? “ 


 


 


แต่คิดๆ ดูแล้วเจ้าแก่ซื่อม่อก็ไม่มีท่างทำท่ากระตุ้งกระติ้งแบบนี้ได้…….. 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน ” สมองของเจ้าคิดไปได้ไกลนัก” 


 


 


นางเพียงแต่คิดถึงจิ้งจอกน้อยตัวหนึ่ง ที่เคยเลี้ยงเอาไว้ในสวนกุหลาบของหุบเขาปีศาจตัวนั้น เลี้ยงไปเลี้ยงมาก็เกือบสิบปี 


 


 


แต่อยู่มาวันหนึ่งก็หายตัวไป นางตามหาอยู่เป็นนาน แต่ว่าก็ไม่เคยได้พบอีกเลย 


 


 


และก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร พอได้เจอกับซูกุ้ยเฟย ได้กลิ่นหอมที่มาจากร่างของนาง ทำให้อยู่ดีๆ ก็คิดถึงเจ้าจิ้งจอกในโลกนั้นขึ้นมา 


 


 


วิญญาณทมิฬนิ่งงันไปอีกครู่ใหญ่ ” แม่เจ้า! หรือว่าเจ้าจิ้งจอกนั้นข้ามมิติมาแล้วกลายเป็นสตรีไป? “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “…….” 


 


 


วิญญาณทมิฬพยายามดึงสติของมันกลับมา มันนวดหัวนวดขมับตนเองใหญ่ “ขอโทษทีนะ นอกจากหน้าตาดุจปีศาจสาวที่ยั่วยวนอยู่บ้าง ตลอดทั้งร่างของนางไม่มีกลิ่นอายมารแม้แต่น้อย ดูอย่างไรก็เป็นมนุษย์แท้ๆ ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าจิ้งจอกจอมวุ่นวายนั่น มันเป็นตัวผู้ชัดๆ! “ 


 


 


ประเด็นนี้ละที่ทำให้ตู๋กูซิงหลันรู้สึกสับสนเข้าไปใหญ่ หากจิ้งจอกจะกลายเป็นคน ก็ต้องเริ่มจากการเป็นปีศาจก่อน ซูปุ้ยเฟยเป็นมนุษย์แน่ๆ เพราะแม้แต่นางยังไม่รู้สึกถึงไอปีศาจใดๆ  


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น…….ที่นี่เป็นคนละโลกกัน นางจะเป็นจิ้งจอกน้อยได้อย่างไร 


 


 


พอเห็นว่าหลี่กงกงที่กั้นศึกระหว่างหยวนเฟยกับซูกุ้ยเฟย ใกล้จะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันถึงได้หันไปกล่าวกับซูกุ้ยเฟยว่า ” ในเมื่อเป็นฝ่าบาทเรียกให้เข้าเฝ้า พระสนมเอกก็ควรที่จะไปเสียก่อน ข้าอยู่ที่ตำหนักเฟิ่งหมิง เจ้าสามารถมาได้ทุกเมื่อ “ 


 


 


คราวนี้หยวนเฟยถึงกับยิ้มออกมาได้บ้าง หันไปกล่าวกับซูกุ้ยเฟยว่า “ดูสิ กระทั่งไทเฮายังทรงรับสั่งเช่นนี้ พระสนมเอกควรรีบเสด็จไปเถอะเพคะ อย่าให้ฝ่าบาทต้องทรงรอนาน “ 


 


 


สีหน้าของซูกุ้ยเฟยหนักอึ้ง หันมาถลึงตาใส่นางครั้งหนึ่ง 


 


 


แต่พอหันกลับไปมองดูตู๋กูซิงหลันดวงตาก็เป็นประกายระยิบระยับราวลูกแก้ว “อาหลัน งั้นเจ้ารอข้านะ “ 


 


 


พอตู๋กูซิงหลันพยักหน้าติดๆ กัน ถึงได้เห็นว่าซูกุ้ยเฟยค่อยๆ ติดตามหลี่กงกงไป เดินก้าวหนึ่งก็หันมามองนางสามรอบ ราวกับว่าเสียดายอย่างที่สุด 


 


 


รอจนกระทั่งนางค่อยๆ เดินจากไปไกลแล้ว ท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นมืดสนิทมากแล้ว 


 


 


ทางด้านหยวนเฟยนั้น นางยอมปล่อยให้องค์หญิงใหญ่และตู๋กูซิงหลันพูดคุยกันได้โดยไม่ขัดขาง นางถอยออกไปอย่างไม่รอช้า กระทั่งเดินไปจนไกลแล้วถึงได้หันมาถลึงตาค้อนตู๋กูซิงหลันคราหนึ่ง 


 


 


 


 


 


……………………………….. 


 


 


 


 


 


ณ ตำหนักชางอู๋ 


 


 


 


 


 


ที่นี่ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่มานานแล้ว แต่หลายวันนี้เพื่อต้อนรับการกลับมาจากการไปเฝ้าสุสานที่เขาจงหลิงของอันหร่วนกูกู ทั่วทั้งตำหนักชางอู๋ถึงได้ครึกครื้นขึ้นมา  


 


 


นางกำนัลที่มีหน้าที่ทำความสะอาดหลายคนกำลังสนทนากันภายในสวนอย่างสนุกปาก 


 


 


“ตำหนักชางอู๋เป็นที่พำนักของพระสนมในอดีตฮ่องเต้ แต่ทำไมตอนนี้ถึงได้กลายเป็นที่อยู่ของบ่าวไพร่คนหนึ่งไปเสียแล้ว? “ 


 


 


” บอกแล้วว่าเจ้าไม่รู้อะไร อันหร่วนกูกูผู้นั้น ไหนเลยจะเป็นเพียงบ่าวไพร่ธรรมดาไปได้? ”  


 


 


” ตระกูลเดิมของอันหร่วนกูกูนับเป็นคนในราชวงค์เก่ามาก่อน นางมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับฉางซุนฮูหยินผู้เฒ่า ต่อมาพอราชวงค์เก่าถูกโค่นลง ฉางซุนฮูหยินผู้เฒ่ากันรับตัวอันหร่วนไว้ อีกทั้งยังให้นางเป็นแม่นมของฉางซุนฮองเฮาอีกด้วย “ 


 


 


” เช่นนั้นอันหร่วนกูกูผู้นี้ จะอย่างไรก็ถือว่าเกิดในเชื้อพระวงศ์น่ะสิ ยิ่งกับฉางซุนฮองเฮาแล้วผูกพันกันดั่งมารดาและบุตรสาว แม้แต่ฮ่องเต้ของพวกเรา นับตั้งแต่ประสูติออกมาในนาทีแรกก็ล้วนเป็นนางคอยดูแล เป็นพระพี่เลี้ยงของโอรสสวรรค์ ฐานะเช่นนี้ของนางนับว่าไม่ต่ำต้อยไปกว่าพระสนมคนใดในวังนี้เลย “ 


 


 


” เพราะฉะนั้นนะ ก่อนหน้านี้ในวัง แม้แต่เหล่าพระสนมของอดีตฮ่องเต้ยังต้องเรียกนางว่า กูกู (ท่านอา) “ 


 


 


” แต่ว่า…. ข้าอยู่ในวังมาตั้งนาน ทำไมถึงไม่เคยได้ยินชื่ออันหร่วนกูกูมาก่อนเลย? “ 


 


 


” ไอ้หยา ยังไม่ใช่เพราะฉางซุนฮองเฮาเสด็จสวรรคตไปนานแล้ว พอฮองเฮาของตนสิ้นไป อันหร่วนกูกูก็ทูลขออดีตฮ่องเต้พระราชทานอนุญาต ให้นางได้ไปเฝ้าพระสุสานของฮองเฮาที่เขาจงหลิง ไปครั้งเดียวกลับยาวนานถึงสิบแปดปี “ 


 


 


“สวรรค์ช่วย เช่นนั้นกูกูท่านนี้ พวกเราก็ไม่อาจล่วงเกินได้เลยนะสิ “ 


 


 


” ยังจะไม่ใช่อีกหรือ ไม่ใช่แค่นั้นนะ พอฝ่าบาทขึ้นครองราชย์ ก็มีรับสั่งให้ซูกุ้ยเฟยไปรับตัวอันหร่วนกูกูกลับมาด้วยตนเอง พวกเจ้าว่า นี่ยังไม่นับว่าเป็นการให้เกียรติอย่างยิ่งอีกหรือ? “ 


 


 


ขณะที่พวกนางยังคงถกเถียงกัน ก็เห็นอันหว่านจือกลับเข้ามาแล้ว 


 


 


นางพกเอาโทสะกลับมาจากตำหนักของตู๋กูซิงหลัน เดิมทีก็ไม่สบอารมณ์อยู่แล้ว พอตอนนี้ยิ่งได้ฟังพวกนางกำนัลแอบวิพากย์วิจารณ์ท่านย่าลับหลัง โทสะก็ลุกโหมขึ้นในทันที “พวกเจ้าแต่ละคนคันลิ้นมากนักใช่ไหม? ไม่อยากจะมีไว้ใช้อีกแล้วสินะ? “ 


 


 


นางกำนัลทั้งหลายเห็นนางเข้าก็พากันตกอกตกใจ ต่างคนต่างถอยไปอีกด้านหนึ่ง 


 


 


อันหว่านจือเห็นแบบเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายประจำตัวของพวกนาง ก็คิดไปถึงตู๋กูซิงหลัน อารมณ์ของนางก็ยิ่งรุนแรงขึ้นมา “พวกของชั้นต่ำ ท่านย่าของข้าใช่ที่พวกเจ้าจะมาวิจารณ์กันได้หรือ? “ 


 


 


นางด่ากราดออกมา ก็เดินดุ่มเข้าหา พอยื่นมือออกไปก็ตบหน้านางกำนัลเหล่านั้นคนละหลายรอบ แค่นั้นยังไม่อาจถอนอารมณ์โกรธได้ ก็ตวัดเท้าเตะออกไปอีกหลายที จนนางกำนัลทั้งหลายล้มลงกับพื้นลุกไม่ขึ้นอีก แต่ละคนต่างร้องขออภัยนางด้วยความหวาดกลัว 


 


 


ถึงตอนนี้ อันหว่านจือจึงค่อยๆ สงบโทสะลงได้ 


 


 


นางพึ่งจะเข้าวังมาวันแรกก็ถูกรังแกถึงเพียงนี้ หากไม่หาผู้ใดมารองรับอารมณ์บ้าง นางย่อมไม่อาจกล้ำกลืนโทสะลงไปได้ 


 


 


ยามนั้นเอง มีสตรีม่ายผมขาวผู้หนึ่งก้าวออกมาจากในตำหนักชางอู๋ นางสวมชุดสีม่วงที่เรียบหรู เกล้าผมเป็นมวยสูง หากเป็นยามที่ยังอายุน้อยเชื่อว่าจะต้องเป็นโฉมงามผู้หนึ่งเป็นแน่ ถึงวันนี้จะมีริ้วรอยแล้ว แต่ริ้วรอยที่ลึกเข้มเหล่านั้นก็ส่งเสริมให้นางดูน่ายำเกรงยิ่งขึ้น 


 


 


พออันหว่านจือเห็นนางเข้า ก็ทำท่าน้อยอกน้อยใจวิ่งเข้าไปกอดเอวของนางเอาไว้ ร่ำร้องว่า “ท่านย่าเจ้าขา~ “ 


 


 


อันหร่วนเหลือบตามองดูนางครู่หนึ่ง ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา คราวนี้แม้แต่รอยย่นบนหน้าผากก็ลึกขึ้นอีก “อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันสำคัญที่ฝ่าบาทจะทรงคัดเลือกนางสนมแล้ว เจ้าทำไมถึงได้ทำตนเองจนมีสถาพเช่นนี้? “ 


 


 


” ยังไม่ใช่เพราะ….” อันหว่านจือยังไม่ทันพูดจบ ก็หันมากวาดตามองดูพวกนางกำนัลที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ก็เข้าไปประคองอันหร่วนเข้าไปในเรือน เมื่อปิดประตูลงเรียบร้อยนางถึงได้พูดต่อว่า   

 

 


ตอนที่ 130 นางเป็นนางโจร

 

“ก็ยังจะไม่ใช่นังตู๋กูซิงหลัน กับซูเหม่ยอีกรึ! ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมอารมณ์ กุมใบหน้าครึ่งหนึ่งที่ถูกตบมาด้วยความเจ็บปวด ” พวกนางล้วนอิจฉาในรูปโฉมของข้า ไม่อยากเห็นข้าได้รับความสนใจจากฝ่าบาทยามคัดเลือกนางสนม ถึงได้มารังควาญตบตีข้า! “ 


 


 


พอฟังแล้ว อันหร่วนก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครั้ง ข้าเคยบอกเจ้าแล้วไง อยู่ในวังไม่เหมือนกับที่ภูเขาจงหลิง เจ้าไม่อาจทำตามใจชอบได้ หากว่าเจ้าไม่ไประรานพวกนางก่อน พวกนางจะมาทำร้ายเจ้าได้หรือ? “ 


 


 


” ท่านย่าเจ้าคะ ท่านทำไมถึงได้พูดจาเข้าข้างคนนอกเช่นนี้! ” อันหว่านจือน้อยอกน้อยใจอย่างที่สุด ” ข้าต่างหากที่เป็นหลานสาวแท้ๆ ของท่านนะเจ้าคะ ข้าก็แค่ไปแอบดูไทเฮาน้อยนั่นที่ตำหนักเฟิ่งหมิงนิดเดียวเอง ใครจะไปรู้ว่านางจะอารมณ์ร้ายขนาดนั้น พอเห็นว่าข้าหน้าตาดีก็พากันอิจฉาข้า! “ 


 


 


” ยังไม่ใช่แค่นี้นะเจ้าคะ ” อันหว่านจือยังคงจีบปากจีบคอว่าต่อไป ” นางยังถูกใจขี้ผึ้งทาปากที่ท่านทำให้ข้าเป็นพิเศษ บีบบังคับให้ข้าเอาตลับใหม่ส่งไปให้นางด้วย! นางคนนี้นะมันเป็นโจรปล้นชัดๆ ไหนเลยจะเหมาะสมกับฐานะของไทเฮาแห่งแคว้นต้าโจวได้! “ 


 


 


” ข้าว่านะเจ้าคะ ท่านเป็นถึงแม่นมของฉางซุนฮองเฮา และยังเป็นพระพี่เลี้ยงของฝ่าบาทอีกด้วย ท่านจึงจะสมควรเป็นผู้ที่มีตำแหน่งสูงส่งในวังหลังต่างหาก! “ 


 


 


” หุบปาก! ” อันหร่วนรีบปิดปากของนางเอาไว้ ประกายตาของนางก็เข้มข้นขึ้นในทันที ” ต่อไปคำพูดเหล่านี้ข้าไม่ต้องการได้ยินแม้สักครึ่งคำ หากว่าเจ้ายังพูดจาเหลวไหลอีก ข้าจะจับเจ้าส่งไปภูเขาจงหลิง! “ 


 


 


อันหว่านจือได้ยินดังนั้นก็หวาดกลัวขึ้นมา ส่ายศีรษะอย่างไม่คิดชีวิต “ท่านย่า ข้าไม่ไปนะเจ้าคะ เขาจงหลิงกับวังหลวงแตกต่างกันจนเทียบไม่ได้ ข้าอยากอยู่ที่นี่ ข้าจะแต่งให้กับฝ่าบาท ข้าจะนำเกียรติยศมาสู่ตระกูลอัน ท่านต้องช่วยข้านะ “ 


 


 


นางร้อนใจจนน้ำตาไหล “ท่านบอกมิใช่หรือว่า คิ้วของข้าเหมือนกับฉางซุนฮองเฮา นี่จะต้องเป็นลิขิตของสวรรค์ ที่กำหนดให้ข้าได้เป็นฮองเฮาของฮ่องเต้องค์ใหม่” 


 


 


อันหร่วนได้ยินแล้ว สองตาที่หรี่ลงก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นางยื่นมือออกมานวดคลึงบริเวณครึ่งแก้มที่โดนตบมา “ข้าเลี้ยงเจ้ามาจนโต มีหรือที่ข้าจะไม่รักถนอมเจ้า แต่ว่าเจ้าต้องจดจำให้ดี อยู่ในวังนี้จะต้องรู้จักเก็บงำอุปนิสัยของเจ้าไว้ ไม่อาจพูดจาส่งเดช ก่อเรื่องวุ่นวาย ไม่เช่นนั้นหากว่าเกิดเรื่องร้ายใดๆ ขึ้นมา แม้แต่ข้าก็ไม่แน่ว่าจะปกป้องเจ้าได้” 


 


 


” ข้าไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ เป็นเพราะสตรีพวกนั้นอิจฉาข้า! ” อันหว่านจือยังคงเสียงแข็ง 


 


 


” ซูเหม่ยเองก็รู้จักเสแสร้งยิ่งนัก ตลอดทางที่พาท่านกลับมา ทำตัวกตัญญูราวกับว่าเป็นหลานสาวแท้ๆ ของท่าน แต่พอกลับถึงวังก็สะบัดหน้าเปลี่ยนไปแล้ว ทั้งยังกล้าตีข้าด้วย “ 


 


 


” นี่จะต้องเป็นฝีมือของตู๋กูซิงหลันที่ครอบงำนางเอาไว้แน่” 


 


 


ขณะที่อันหว่านจือกำลังเล่าเรื่องพวกนี้อยู่ อันหร่วนก็หยิบยาทาตลับหนึ่งมาทาบางๆ ที่ใบหน้าของนาง! “ 


 


 


พอได้เห็นใบหน้าที่อันหว่านจือแสนจะภาคภูมิใจ เป็นรอยช้ำ นางก็สงสารจับใจ คิดๆ ดู ซูกุ้ยเฟยยามที่อยู่ในเขาจงหลิงนั้น จะคอยให้ความเคารพนางอยู่เสมอ แต่พอพึ่งจะกลับมาถึงวังหลวงกลับถึงขนาดตบหน้าหว่านจือเพื่อไทเฮาน้อย ทำให้นางเองก็กรุ่นโกรธขึ้นมาบ้างแล้ว 


 


 


ต่อให้หว่านจือจะทำผิดอย่างไร ซูเหม่ยก็สมควรที่จะเห็นความสัมพันธ์ยามอยู่ด้วยกันที่เขาจงหลิง ช่วยเหลืออันหว่าจรือถึงจะถูก 


 


 


” ตู๋กูซิงหลัน……” 


 


 


นางทวนชื่อนั้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา 


 


 


” เป็นเพราะนาง! นางเป็นนางปีศาจ! ข้าเชื่อว่านางยังร้ายกาจยิ่งกว่าเสียนไท่เฟยเสียอีก! “ 


 


 


อันหร่วนมิได้กล่าวสิ่งใดเพิ่มเติม ยามนี้ทุกคนต่างอยู่ร่วมกันในวังหลวง ไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องได้พบ หลานสาวของตระกูลตู๋กูผู้นี้ หากว่าไม่ยินยอมอยู่ในโอวาทจริงละก็ คงจะต้องลงมือสั่งสอนเสียบ้างแล้ว 


 


 


ต่อให้นางเป็นถึงไทเฮา แต่อย่างไรก็มีอายุเพียงสิบห้าปี ยังจะวาดลวดลายอะไรออกมาได้?  


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น ไทเฮาพระองค์นี้ยังไม่มีฐานอำนาจใด ที่สำคัญที่สุดก็คือ ฝ่าบาททรงเกลียดชังตระกูลตู๋กู 


 


 


นางนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือ (เก้าอี้เท้าแขนแบบจีนโบราณ) ค่อยๆ ยกยิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็น จากนั้นก็หันมาเหลือบตามองดูอันหว่านจือแวบหนึ่ง “หลายวันหลังจากนี้ เจ้าจงรักษาตัวอยู่ในตำหนักชางอู๋ให้ดี ในพิธีคัดเลือกนางสนมจะต้องทำให้ฝ่าบาทถูกพระทัยในตัวเจ้าให้ได้ “ 


 


 


“เจ้าค่ะ” อันหว่านจือมั่นใจในรูปโฉมของตนเองยิ่งนัก “ท่านย่าโปรดวางใจ ข้ารับรอง หากว่าฝ่าบาทได้พบกับข้า ชั่วชีวิตนี้ของพระองค์จะต้องไม่ลืมข้าแน่ “ 


 


 


นางเคยได้ยินมาว่า ก่อนหน้านี้ในวังมีพระสนมเต๋อเฟยอยู่ผู้หนึ่ง เพียงแค่นางมีวันเกิดวันเดียวกับฉางซุนฮองเฮาเท่านั้น ก็ได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาทอย่างมากมาย จนเป็นที่อิจฉาของคนทั้งวัง 


 


 


แต่ว่าตัวนางอันหร่วนจรือ ถึงกับมีคิ้วที่เหมือนกับฉางซุนฮองเฮา รูปโฉมนี้ก็คืออาวุธที่ดีที่สุดของนาง!  


 


 


เมื่อพิธีคัดเลือกพระสนมมาถึง สายพระเนตรของฝ่าบาทจะต้องจดจ้องอยู่ที่ตัวนางเป็นแน่ 


 


 


 


 


 


………………………… 


 


 


 


 


 


พระตำหนักตี้หัว 


 


 


 


 


 


หลังจากที่ได้แช่พระองค์ในสระยามาหลายวัน พระอาการบาดเจ็บของฮ่องเต้ก็นับว่าดีขึ้นมาก อย่างน้อยท่วงท่ายามดำเนินก็ดูปกติดีแล้ว 


 


 


ยามนี้ จีเฉวียนทรงฉลองพระองค์เรียบหรูสีทองตัวกว้าง ประทับอยู่บนพระเก้าอี้ในห้องพระอักษรของพระตำหนักตี้หัวทอดพระเนตรฎีกา 


 


 


หลายวันมานี้เพราะเรื่องของเสียนไท่เฟย เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างพากันกังวลใจในเรื่องของอี้อ๋อง  


 


 


กลุ่มที่ยามปกติสนับสนุนอี้อ๋อง พอทราบเรื่องที่เขาเป็นทายาทของศพมีชีวิต ต่างก็เริ่มโจมตีกันเอง และหันมาสวามิภักดิ์ต่อฮ่องเต้พระองค์ใหม่ 


 


 


กลุ่มที่ยังหลงเหลืออยู่บ้างนั้น ก็มีแต่พวกที่ถือทิฐิฝืนอยู่เท่านั้น 


 


 


ถึงจะมีพวกที่มีความจริงใจอยู่บ้าง เข้ามาขอร้องแทนอี้อ๋อง ขอฝ่าบาททรงเห็นแก่ความสัมพันธ์พี่น้องละเว้นอี้อ๋อง ด้วยเหตุที่ว่าเมื่อได้ทำการสืบสวนจนกระจ่างแล้ว ผู้ที่วางแผนเรื่องให้ไทเฮาปีนเตียงมังกรนั้น มิได้เกี่ยวข้องกับอี้อ๋องเลยแม้แต่น้อย ทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือของเสียนไท่เฟย 


 


 


แม้แต่เสียนไท่เฟยเองก็ยังยอมรับ 


 


 


แต่ถึงวันนี้ อี้อ๋องยังคงถูกขังอยู่ในตำหนักเย็น 


 


 


พวกเขายังทักท้วงว่า เรื่องที่เสียนไท่เฟยคือศพมีชีวิตนั้น อี้อ๋องถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ เนื่องด้วยผู้ใดก็ไม่อาจเลือกมารดาผู้ให้กำเนิดได้ 


 


 


ฉางซุนซิ่วเอ๋อร์มารออยู่ที่ข้างกายของพระองค์นานแล้ว กลับเห็นเพียงฝ่าบาทเอาแต่ขมวดพระขนง เขาเพียงแต่เหลือบตามองดูเล็กน้อย ก็สามารถมองเห็นได้ว่าบนฎีกาเหล่านั้นเขียนว่าอะไรบ้าง  


 


 


” ฝ่าบาท โปรดอภัยที่กระหม่อมกล่าวมากความ ในราชวงศ์ไม่มีพี่มีน้อง อี้อ๋องมีจิตใจเหิมเกริมมาโดยตลอด ยามนี้เขายิ่งกลายเป็นทายาทของศพมีชีวิต หากว่าเราไม่ตัดรากถอนโคน เกรงว่าภายหลังอาจจะต้องเสียใจอย่างไม่อาจประมาณได้ 


 


 


จีเฉวียนปิดฎีกาเหล่านั้นลง หันมาทอดพระเนตรดูเขาแวบหนึ่ง ” ท่านราชครูก็เห็นว่า อี้อ่องสมควรตาย? “ 


 


 


ฉางซุนซิ่วเอ๋อร์ยกมือขึ้นคำนับเขาพลางทูลตอบว่า ” นับตั้งแต่วันนั้นที่เขามีใจคิดคตหมายปองในพระราชบัลลังก็ของฝ่าบาท เขาก็สมควรตายแล้ว อย่าว่าแต่ตัวเขาก็คือปีศาจ “ 


 


 


สีพระพักตร์จีเฉวียนไร้อารมณ์ใดๆ พระองค์ประทับยืนขึ้นมา เสด็จมาที่ข้างกายฉางซุนซุ่นเอ๋อร์ พระองค์สูงกว่าฉางซุ่นซิ่วอยู่ครึ่งศีรษะ ดวงเนตรหงส์ทอประกายเย็นชา “อาซิ่ว เมื่อวานนี้ อี้อ๋องในตำหนักเย็นผู้นั้นขอเข้าเฝ้าเรา เขาได้มอบตราประทับของดินแดนเขตเหนือออกมา ยินยอมมอบอำนาจในมือทั้งหมดของเขา วอนขอให้เราละเว้นชีวิตของเสียนไท่เฟย “ 


 


 


ได้ฟังแล้ว ฉางซุนซิ่วเอ๋อร์กลับไม่เปลี่ยนแปลงสีหน้าแม้แต่น้อย เขาคุกเข่าลงที่ข้างพระวรกายฮ่องเต้ ทูลตอบเบาๆ ว่า “ฝ่าบาท หากไร้ท้องฟ้าก็ไม่อาจมีผืนดิน ทุกสิ่งที่อี้อ๋องครอบครองล้วนสมควรเป็นของพระองค์แต่แรกแล้ว เสียนไท่เฟยยิ่งสมควรตายอย่างที่สุด ถึงแม้อี้อ๋องจะยอมกระทำถึงเพียงนี้ แต่ว่าก็ไม่สมควรปล่อยเสียนไท่เฟยไปได้แม้แต่น้อย” 


 


 


คำพูดของเขาทำให้ฮ่องเต้ทรงพระสรวลออกมาเบาๆ ยามนี้ในพระหัตถ์ของพระองค์กุมตราหยกของดินแดนแถบเหนือไว้ “เราไม่เคยสงสารเสียนไท่เฟยมาก่อน และก็จะไม่สงสารอี้อ๋องเช่นกัน เพียงแต่เมื่อได้เห็นอี้อ๋องในวันนี้ ก็อดที่จะคิดไปถึงตนเองในปีนั้นไม่ได้ “ 


 


 


ว่าแล้ว เขาก็ตรัสว่า อี้อ๋องเองก็รู้ว่า ดินแดนแถบเหนือและอำนาจที่อยู่ในมือของเขา สำหรับเราแล้วไม่อาจเทียบได้กับหนึ่งชีวิตชีวิตของเสียนไท่เฟย ดังนั้นเขาจึงได้นำอีกสิ่งหนึ่งมาแลกด้วย “​​​​​​​  

 

 


ตอนที่ 131 รักเจ้า ชาตินี้และตลอดไป

 

ฉางซุนซิ่ว “หืม? “ 


 


 


เขาคิดไม่ถึงจริงๆ สำหรับอี้อ๋องแล้ว ยังจะมีสิ่งใดสำคัญยิ่งกว่านี้อยู่อีก 


 


 


จีเฉวียน ” ชีวิตของเขา “ 


 


 


” เขาคิดจะใช้ชีวิตของตนเอง มาแลกชีวิตเสียนไท่เฟยกับเรา” 


 


 


ฉางซุนซิ่วเอ๋อร์ทอดถอนหายใจ 


 


 


” เขาไม่อาจเลือกชาติกำเนิดของตนเองได้ ไม่อาจเลือกมารดาของตนเองได้ อีกทั้งเรื่องที่เสียนไท่เฟยได้ทำลงไป จะอย่างไรก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าเสียนไท่เฟยคือมารดาของเขาได้ เขาที่เป็นบุตร ไม่อาจลืมตามองดูนางไปตาย จึงได้แต่ตายแทนนาง” 


 


 


” เพราะฉะนั้น เขาจึงใช้ทุกสิ่งที่เขามี รวมทั้งชีวิตของเขาเอง ขอร้องเราละเว้นชีวิตเสียนไท่เฟย “ 


 


 


ในที่สุดคราวนี้สีหน้าของฉางซุนซิ่วเอ่อร์ก็เปลี่ยนไปบ้างแล้ว “เขายอมจริงหรือ? ฝ่าบาทอย่าทรงลืมนะ ที่ผ่านมาอี้อ๋องหมายปองในบัลลังก์ดุจพยัคฆ์จ้องตระครุบเหยื่อ และเพราะพวกเขาแม่ลูก ตอนนั้นพระองค์ถึงได้ทรงตกที่นั่งลำบาก…..คำพูดของเขา พระองค์จะทรงเชื่อถือไม่ได้เด็จขาดนะพะยะคะ” 


 


 


” ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นกลลวงแสร้งเจ็บตัวก็เป็นได้ เพียงหวังให้พระองค์พระทัยอ่อนเท่านั้น “ 


 


 


จีเฉวียนแย้มสรวลเสียงเย็น “อาซิ่ว ตั้งแต่เมื่อไรกัน ที่เจ้าคิดว่าเราคือคนที่ใจอ่อนผู้หนึ่ง? “ 


 


 


ฉางซุนซิ่วชะงักค้างไปครู่หนึ่ง……จริงสิ ไยเขาจึงคิดไปว่าฝ่าบาทจะใจอ่อนได้?  


 


 


หรืออาจเป็นเพราะเห็นว่า ฝ่าบาทใกล้ชิดตู๋กูซิงหลันมากไป เริ่มมีอารมณ์คุกรุ่นเช่นคนธรรมดา เขาจึงได้รู้สึกเช่นนี้ขึ้นมาได้?  


 


 


เพราะที่ผ่านมาฝ่าบาท คือผู้ที่ไร้น้ำพระทัยที่สุด 


 


 


จีเฉวียนนำตราหยกของแดนเหนือวางลงบนโต๊ะ “หากว่าอี้อ๋องตายไป ความแค้นระหว่างเราและพวกเขาแม่ลูกก็ถือว่าสิ้นสุดลงแล้ว เราคิดว่า หากว่าในปีนั้นเราสามารถใช้ชีวิตตนเองแลกกับชีวิตของพระมารดาได้ละก็ เราคงจะต้องทำเช่นที่อี้อ๋องพูดเอาไว้แน่ “ 


 


 


” น่าเสียดาย…..เราไม่มีโอกาสแม้แต่น้อย” 


 


 


แววตาของฉางซุนซิ่วเอ๋อร์เบิกกว้าง ครู่หนึ่งเขาถึงได้ทูลตอบว่า “ฝ่าบาท คนตายไม่อาจฟื้นคืน ยามนี้อันหร่วนกูกูกลับเข้ามาในวังแล้ว นางเป็นคนเก่าคนแก่ของเสด็จน้า นับว่าสามารถช่วยคลายความระลึกถึงของพระองค์ได้บ้าง “ 


 


 


จีเฉวียนไม่ตรัสสิ่งใด ภายนอกตำหนักหิมะโปรยปราย ดอกกุ้ยฮวาในพระตำหนักตี้หัวต่างร่วงหมดแล้ว ถึงแม้ในพระตำหนักจะจุดไฟเติมถ่านอยู่ตลอดเวลา แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าหนาวเย็นไปทั้งร่าง 


 


 


นับตั้งแต่เล็กเขาก็เจ็บป่วยเพราะความเย็น จึงกลัวหนาวมากกว่าคนทั่วไป ทันทีที่เข้าสู่ฤดูหนาว เตาไฟในตำหนักก็ไม่เคยดับมาก่อน 


 


 


” ฝ่าบาททรงคิดจะจัดการอี้อ๋องและเสียนไท่เฟยเช่นไรพะยะค่ะ? “ 


 


 


ฉางซุนซิ่วเอ๋อร์เขี่ยเชื้อไฟภายในเตา อีกทั้งยังเติมถ่านไม้ลงไปอีกก้อน เขาเคลื่อนไหวพลางกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงให้ความสำคัญกับไทเฮาอย่างมากมาโดยตลอด ความสัมพันธ์ของไทเฮาและอี้อ๋องแต่ไหนแต่ไรก็ผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น หากว่าฝ่าบาททรงยอมรับคำขอของอี้อ๋อง ใช้หนึ่งชีวิตของเขาแลกกับหนึ่งชีวิตของเสียนไท่เฟย เกรงว่าไทเฮาคงจะทรงเกลียดชังพระองค์เป็นแน่ “ 


 


 


เสียงถ่านไม้ในเตาแตกดังเปรี้ยะๆ เขาก็ยิ่งก้มศีรษะต่ำลงมองดู แสงสว่างนั้นก็ยิ่งลุกโชนอยู่ในสายตาของฝ่าบาท 


 


 


ครั้นเห็นว่า สีพระพักตร์ของฝ่าบาทหมองมัว ทั้งที่เขาเพียงแค่เตือนถึงความสัมพันธ์ที่ผ่านมาของตู๋กูซิงหลันกับอี้อ๋องเท่านั้น พระพักตร์ที่เคยเฉยชามาตลอดของฝ่าบาทถึงกับเปลี่ยนไปแล้ว 


 


 


พระองค์ทรงเป็นกังวลเพราะนาง…….จริงหรือ?  


 


 


จีเฉวียนหันมาทอดพระเนตรดูเขา แต่มิได้ตรัสสิ่งใด ตลอดพระองค์คล้ายกับกำจายไอเย็นออกมาโดยรอบ 


 


 


ผ่านไปนานอีกพักใหญ่จึงได้ทรงตรัสตอบว่า ” อาซิ่ว เจ้าจำเอาไว้ เราจะทำสิ่งใด ไม่ต้องการให้ผู้ใดมาสอดแทรก รวมถึงตัวเจ้าด้วย “ 


 


 


ฉางซุนซิ่วเอ๋อร์ได้ยินรับสั่งแล้ว ก็ลุกขึ้นยืน ถวายคำนับต่อจีเฉวียนอีกครั้งหนึ่ง “กระหม่อมรับพระบัญชา” 


 


 


” เจ้าถอยไปเถอะ ” จีเฉวียนโบกพระหัตถ์ เสด็จกลับไปประทับที่โต๊ะใช้พระหัตถ์ข้างหนึ่งหนุนพระเศียรไว้ 


 


 


พรุ่งนี้จะเป็นวันตัดสินคดีของเสียนไท่เฟย ยามนี้เขายังมิได้ตัดสินใจในขั้นสุดท้าย 


 


 


 


 


 


…………………………………. 


 


 


 


 


 


เข้ายามดึกสงัดแล้ว หิมะยิ่งทีก็ยิ่งตกหนักขึ้น ตู๋กูซิงหลันส่งองค์หญิงใหญ่และท่านหญิงน้อยกลับไปถึงได้เข้านอน นางเอนตัวอยู่บนเตียง กระดูกก้นกบยังเจ็บร้าว บานหน้าต่างแง้มอยู่ ละอองหิมะบางส่วนจึงปลิวเข้ามา เชียนเชียนเข้ามาวางอ่างน้ำอุ่นเอาไว้ให้นาง ปิดบานหน้าต่างจนเรียบร้อยถึงได้จากไป 


 


 


 


 


 


ครึ่งคืนให้หลัง บานหน้าต่างก็ถูกเปิดออกสายลมหนาวพัดโชยเข้ามา พาให้คนรู้สึกหนาวจนขนลุก 


 


 


ตู๋กูซิงหลันลืมตาขึ้นมา เห็นเพียงเงาของคนผู้หนึ่งยืนอยู่ที่ข้างเตียง เป็นเพียงเงาดำๆ ที่มองดูไม่ชัดเจน 


 


 


นางแกล้งทำเป็นหลับสนิทต่อไป ดวงตาหรี่ขึ้นเป็นเส้นบางๆ สายหนึ่ง ก็เห็นคนผู้นั้นยื่นมือมาทางนาง ฝ่ามือที่เย็นเป็นน้ำแข็งลอยอยู่เหนือใบหน้าของนาง จนแน่ใจว่านางหลับเป็นตาย เขาถึงค่อยๆ ลูบไล้อย่างระมัดระวังและอ่อนโยนอย่างที่สุด 


 


 


” หลันเอ๋อร์ พรุ่งนี้ข้าจะต้องไปแล้ว ” เขานั่งอยู่ที่ด้านข้าง เส้นผมเปียกชื้น มองดูนางอย่างลึกซึ้ง 


 


 


” ชาตินี้ข้าจีเย่ว์มิเคยทำสิ่งใดให้เจ้า ทั้งยังทำร้ายเจ้าจนต้องเข้าวัง กลายเป็นนกในกรงทอง ข้าติดค้างเจ้ามากเกินไปแล้ว “ 


 


 


” ชีวิตนี้ข้าไม่อาจตอบแทนเจ้าได้ หากว่ามีชาติหน้า ข้าจีเย่ว์จะยอมเป็นวัวเป็นม้าให้เจ้า “ 


 


 


พูดจบแล้วเขาก็เงียบงันไปอีกครู่ใหญ่ นิ้วมือยังคงสัมผัสอยู่บนใบหน้าของนาง อย่างไม่อาจตัดใจได้ 


 


 


หากว่า …..เขาแต่งงานกับนางเสียตั้งแต่แรก เป็นไปได้หรือไม่ว่าคงจะไม่ต้องมีเรื่องทรมานใจเช่นนี้?  


 


 


และหากว่า…..หลันเอ๋อร์ไม่เคยได้พบเขามาก่อน นางอาจได้พบใครสักคน แต่งงาน มีลูกและอยู่อย่างสงบสุขชั่วชีวิต?  


 


 


แต่ชีวิตนี้ของเขาช่างโชคดีเหลือเกิน ได้พบกับนาง ได้รับความรักจากนาง แม้ตายก็ไม่เสียดายแล้ว 


 


 


ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ เขาถึงได้โน้มตัวลงมา จุมพิศเบาๆ ลงบนหน้าผากของนาง ” ขอให้เจ้ามีชีวิตที่ไร้โรคไร้โศก พบกับคนที่ดี มีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง ประสบแต่ความสุขไปชั่วชีวิต “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันรู้สึกขนลุกไปทั่วทั้งร่าง ทำไมถึงได้รู้สึกเหมือนกับว่าจีเย่ว์กำลังมาลาตายกับนางกัน?  


 


 


จิตวิญญาณของเจ้าของร่างเดิมถูกกระตุ้นขึ้นมาแล้ว 


 


 


กระทั่งเมื่อจีเย่ว์จากไป จิตวิญญาณที่ร้อนลนนั้นสร้างความเจ็บปวดในหัวใจของตู๋กูซิงหลันอย่างไม่อาจระงับได้ จึงได้แต่อาศัยพลังของหยกสรรพชีวิตดึงนางออกมา 


 


 


ดวงวิญญาณนี้เคยบอกเอาไว้ว่า ขอเพียงนางได้รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้น ก็จะยอมปล่อยละวาง ไปสู่สุขติ 


 


 


แต่ว่าน่าเสียดาย ความอาลัยอาวรณ์ของนางฝังลึกจนยากที่จะหายามารักษาได้ ทั้งที่ตู๋กูซิงหลันได้ช่วยให้นางทราบความจริงจนกระจ่างแจ้งแล้ว แต่ความรักที่นางมีต่อจีเย่ว์อย่างหนักแน่นยังคงเป็นเหมือนห่วงสุดท้ายที่ยึดเหนี่ยวนางเอาไว้ไม่ไปไหน 


 


 


ดวงวิญญาณนั้นคุกเข่าอยู่ตรงหน้าตู๋กูซิงหลัน “เขาจะไปแล้ว ข้าไม่อาจได้เห็นเขาอีกแล้ว ……ขอท่านได้โปรดช่วยข้าเถอะ ต่อให้ต่อกลายเป็นเพียงหญ้าต้นหนึ่ง เป็นหินก้อนหนึ่ง ข้าก็ยังอยากจะอยู่เคียงข้างเขา “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “…….” นี่ไม่ใช่ว่านางไม่อยากช่วย แต่ว่านางไม่ใช่เทพเซียน เจ้าของร่างเดิมเพียงหลงเหลือจิตวิญญาณส่วนสุดท้ายแล้ว ไม่เหมือนกันเสี่ยวลี่ที่มีพลังดวงจิตของตนเองอยู่อย่างเต็มเปี่ยม สามารถเข้าสิงร่างได้ 


 


 


นางอ่อนแอถึงเพียงนี้ ปีศาจตนไหนๆ ก็สามารถกลืนกินดวงจิตของนางไปจนหมดสิ้นได้ตลอดเวลา หากไม่ใช่เพราะมีร่างนี้ปกป้องคุ้มครองอยู่ ก็คงจะจบสิ้นไปนานแล้ว 


 


 


ตู๋กูซิงหลันสีหน้ากลัดกลุ้ม ” คงไม่ใช่ว่า …..เจ้าปักใจจะติดตามเขาไป ไม่คิดอาลัยพี่ชายและท่านปู่ของเจ้าแล้วหรือ? “ 


 


 


” พวกพี่ชายและท่านปู่แม้จะไม่มีข้าก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แต่ว่าอาเย่ไม่เหมือนกัน…..” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “……” นี่ก็รักเสียจนไร้สมอง คนรักจะสำคัญเพียงไร มีหรือจะมากไปกว่าคนในครอบครัวไปได้?  


 


 


” พวกพี่ๆ และท่านปู่มีเจ้าอยู่ก็เพียงพอแล้ว เจ้าสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้ดีกว่าข้ามากมาย “ 


 


 


วิญญาณทมิฬเองก็ทนไม่ไหว กระโดดออกมากล่าวว่า ” เจ้าก็หาหินมาสักก้อน จับนางยัดลงไปส่งให้จีเย่ว์จะได้จบเรื่องไป วันๆ เอาแต่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ไม่รู้จักจบจักสิ้น น่ารำคาญจริงๆ “ 


 


 


พูดแล้ว มันก็ลงมือกรีดตนเองแผลหนึ่ง หยดเลือดปีศาจของตนเองออกมาขวดใหญ่ “เลือดของข้ามีฤทธิ์ปกป้องวิญญาณ สามารถคุ้มครองเศษเสี้ยวดวงจิตของนางไม่ให้สูญสลายไปได้ “  

 

 


ตอนที่ 132 ตราบจนชรา ก็ไม่เสียใจ

 

ตู๋กูซิงหลันเหลือบตามองดูมันชั่วแวบหนึ่ง เจ้าวิญญาณนี่ทำเป็นโมโหกลบเกลื่อน ตัวมันใจอ่อนไปแล้วชัดๆ ยังจะเสแสร้งทำเป็นว่ารำคาญ 


 


 


” รีบหน่อยเถอะ ส่งๆ ไปเลย อั้วดูแล้วปวดขมอง “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันลุกขึ้นยืน ที่ด้านนอกหิมะขาวสะอาดตกหนา กดทับกิ่งไฮ่ถางเสียจนโน้มลงมา นางเดินไปยังใต้ต้นไฮ่ถางที่อยู่ใกล้ที่สุด ท่ามกลางพื้นหิมะขาวสะอาดตา มีต้นอ่อนสีเขียวสดของไฮ่ถางต้นหนึ่งงอกขึ้นมา 


 


 


นางยื่นมือลงไปถอนขึ้นมาทั้งราก จากนั้นก็ผนึกโลหิตของวิญญาณทมิฬและจิตวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของเจ้าของร่างเดิมลงไป 


 


 


ลำต้นของต้นกล้าไฮ่ถางนี้ มีความหนาไม่ถึงหนึ่งข้อนิ้ว เมื่อได้รับโลหิตและดวงจิตหล่อเลี้ยงก็เปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับเลือด ดูงดงามระยิบระยับจับตาราวกับแกะขึ้นจากหยกโลหิตก็ไม่ปาน 


 


 


 


 


 


…………………….. 


 


 


จีเย่ว์พึ่งก้าวเท้าออกจากตำหนักเฟิ่งหมิง ก็ถูกตู๋กูซิงหลันเรียกเอาไว้ 


 


 


ท่ามกลายหิมะโปรยปราย นางสวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีแดงสดที่มีหมวกคลุมผม เส้นผมสีดำสนิทล้วนปล่อยสยาย แทบจะโอบล้อมตัวของนางไว้กว่าครึ่ง 


 


 


ทั้งๆ ที่นางงดงามดุจเทพธิดาแท้ๆ แต่ยามมองไปแล้วกลับดูน่าลุ่มหลงเสียยิ่งกว่าปีศาจที่ล่อลวงผู้คนอีกหลายส่วน 


 


 


” จีเย่ว์ “ 


 


 


นางเพียงเรียกออกไปเบาๆ คำหนึ่ง จีเย่ว์ที่อยู่ท่ามกลางหิมะก็ชะงักไปทั้งร่าง 


 


 


บนเส้นผมและบ่าไหลของเขาล้วนเต็มไปด้วยหิมะ แม้แต่ขนตาก็ยังมีละอองหิมะเกาะอยู่ เขาหมุนตัวกลับมามองดูนางอย่างเงียบๆ 


 


 


ใบหน้าที่งดงามดุจเทพเซียนนั้น ถูกลมหนาวพัดโบกจนแข็งทื่อ แต่ทันทีที่ได้เห็นนางสีหน้าก็ปรากฎความประหลาดใจขึ้นมาทันที จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นอ่อนโยนอย่างรวดเร็ว 


 


 


” หลันเอ๋อร์ เจ้าออกมา…..ทำไม? “ 


 


 


เขาแทบจะวิ่งไปถึงเบื้องหน้านาง คิดจะกอดนางเอาไว้ในอ้อมอก แต่ความควรไม่ควรก็สะกัดขว้างความรู้สึกเอาไว้ ทำให้ได้แต่ยืนจ้องมองนางอยู่ที่เบื้องหน้า 


 


 


ตู๋กูซิงหลันยื่นมือออกมามอบต้นไฮ่ถางเล็กๆ นั้นให้กับเขา ” เอาไปปลูกให้ดี อย่าให้ห่างกายเด็ดขาด “ 


 


 


จีเย่ว์รับต้นไฮ่ถางนั้นเอาไว้ ฝ่ามือที่เย็นจนเกือบแข็งก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่น 


 


 


” นี่คือ? ” เขาก้มลงมองสิ่งที่นางมอบให้อย่างระมัดระวัง 


 


 


” ตู๋กูซิงหลันในอดีต เคยรักเจ้า แม้ตายก็ยังรัก “ 


 


 


ประโยคเดียวของตู๋กูซิงหลัน แทบจะทำให้จีเย่ว์พานางหนีไปด้วยกัน 


 


 


เขารู้อยู่แล้ว นางรักเขามาโดนตลอด! 


 


 


” ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ใด นำมันไปด้วย อย่าได้ห่างกายชั่วชีวิต “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเพียงบอกกล่าวทิ้งไว้แค่ประโยคเดียว ก็หันหลังจะกลับไป หากกะๆ เวลาดูคร่าวๆ นี่ก็น่าจะเกือบๆ ตีสองแล้ว ง่วงจริงๆ! 


 


 


นางหันตัวกลับไปก็หาววอดใหญ่ ยังไม่ทันจะหาวเสร็จคนก็ถูกจีเย่ว์โอบกอดเอาไว้ทั้งตัว 


 


 


ทั้งๆ ที่เขาใช้แรงค่อนข้างมากแท้ๆ แต่ว่าก็รู้สึกได้ถึงความระมัดระวังอย่างยิ่ง แทบจะรัดนางจนหลอมรวมไปกลับกระดูกและเลือดของตนเอง ปลายคางของเขาจรดอยู่บนศีรษะของนาง ถามออกไปอย่างไม่อาจอดกลั้นได้อีกว่า “หลันเอ๋อร์ หากว่าข้าไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้ว เจ้ายินดีจากไปพร้อมกับข้าหรือไม่? “ 


 


 


” พวกเราไปหาสถานที่ที่ไม่มีคนรู้จัก พำนักไปชั่วชีวิต จวบจนชราก็ไม่เสียใจดีไหม? “ 


 


 


ยามที่เขาพูดออกมานั้น แม้แต่น้ำเสียงก็ยังสั่นสะท้านไปด้วย ” ดีหรือเปล่า? “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันพยายามขยับตัว พละกำลังของเขายิ่งทียิ่งมาก นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าร่างกายของจีเย่ว์ จะมีพละกำลังถึงเพียงนี้ 


 


 


” ในชีวิตของข้าสิ่งเดียวที่มิอาจละทิ้งได้ก็คือเจ้าเท่านั้น ขอเพียงแค่เจ้ายินดีไปกับข้า …..ไม่ว่าเป็นเรื่องใดๆ ข้าก็สามารถจะละวางลงได้” 


 


 


น้ำเสียงของเขาอ่อนลงจนแทบจะเป็นการขอร้อง ราวกับคนที่เฝ้าขอความเมตตาสงสารจากนาง 


 


 


” นับตั้งแต่ที่เจ้าเข้าวังมา ทุกวันข้าก็เหมือนตกอยู่ในความทรมาน แม้จะปิดตาลงในสมองก็มีแต่ภาพของเจ้า ข้าไม่อาจทนเห็นเจ้าต้องรับความทรมานอยู่ในวังหลวงที่เยือกเย็นแห่งนี้ แต่ว่าเจ้าก็โกรธแค้นข้า ไม่ยอมให้ข้าเข้าใกล้ “ 


 


 


” เจ้ารู้หรือไม่? ยามดึกสงัดมีแต่เงียบงัน ข้าเฝ้าคิดถึงคำพูดของเจ้าที่บอกว่าจะแยกจากกันไปตลอดกาล ทุกครั้งที่คิดขึ้นมา ในใจเหมือนมีเลือดหยาดหยด “ 


 


 


“หลันเอ่อร์…..หลันเอ๋อร์…..ไปกับข้าได้หรือไม่? “ 


 


 


ขอเพียงนางหยักหน้า ขอเพียงนางตอบรับสักคำ ชีวิตนี้ เขาก็ไม่มีสิ่งใดต้องอาลัยอีกแล้ว 


 


 


ตู๋กูซิงหลันยังคงยืนอยู่ที่เดิม รับฟังคำพูดของเขาจนหมดสิ้น เมื่อมองดูต้นไฮ่ถางสีแดงในมือของเขา ก็อดที่จะถอนใจออกมาไม่ได้ 


 


 


โชคชะตาทำร้ายผู้คน………. 


 


 


ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายอย่างหนัก ตู๋กูซิงหลันยังสามารถได้ยินเสียงหัวใจของบุรุษที่อยู่ด้านหลังอย่างชัดเจน นางรู้สึกได้ถึงร่างกายที่สั่นสะท้านของเขา 


 


 


ยามนี้……นาทีนี้นางยิ่งสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่จริงใจของเขา 


 


 


ในที่สุดนางก็หันกลับไป กล่าวกับเขาว่า “อี้อ๋องเพคะ บอกกับท่านเช่นนี้ก็แล้วกัน ตู๋กูซิงหลันที่ท่านรักนั้นได้ตายไปเสียแล้ว “ 


 


 


” เจ้ายังคงแค้นเคืองข้า ถึงได้พูดจาด้วยความโกรธเช่นนี้ใช่ไหม? “ 


 


 


จีเฉวียนยังจับนางเอาไว้แน่นโดยไม่ยอมคลายมือ ครั้งนี้เขาไม่คิดจะยอมปล่อยมือง่ายๆ อีกแล้ว 


 


 


ตู๋กูซิงหลันยกมือขึ้นมาข้างหนึ่ง ดึงชายแขนเสื้อออกไป เผยให้เห็นข้อมือที่เล็กบาง ข้อมือที่ขาวสะอาดราวหิมะ กลับมีรอยแผลประหนึ่งราวตะขาบพาดผ่านอยู่ ยามที่เจ้าของร่างเดิมเชือดข้อมือตนเองนั้น นางได้หักใจ คิดไปไม่กลับอีกแล้ว จึงได้ลงมืออย่างรุนแรงถึงที่สุด ปากแผลลึกถึงกระดูก 


 


 


ปากแผลนี้ประสานแล้ว แต่กลับเหลือแผลเป็นที่ไม่น่าดูเอาไว้ 


 


 


” นางตายไปตั้งนานแล้ว ตั้งแต่วันที่เชือดข้อมือฆ่าตัวตายไป “ 


 


 


” ตอนที่ชิงผิงแปลงโฉมเป็นเจ้า สั่งให้นางแต่งเข้าวังให้กับอดีตฮ่องเต้ เพื่อช่วยเจ้าสำเร็จกิจการใหญ่ ยามนั้นหัวใจของนางก็เป็นน้ำแข็งไปกว่าครึ่งแล้ว ต่อมา พระมารดาของเจ้าใช้เต๋อเฟยนำยาชามนั้นส่งนางขึ้นเตียงบรรทมของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ทั้งยังถูกผู้คนมากมายพบเห็น ก็เพื่อให้ฮ่องเต้พระองค์ใหม่กับตระกูลตู๋กูขัดแย้งกัน จะได้เป็นโอกาสให้เจ้าจับปลาในน้ำขุ่น” 


 


 


” แต่ว่า หัวใจของนางตายไปแล้ว “ 


 


 


ตู๋กู้ซิงหลันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ” เจ้ารักนางลึกซึ้งถึงเพียงนี้ ย่อมสมควรดูออกว่า ข้าไม่ใช่นาง “ 


 


 


เมื่อได้ยินนางกล่าวคำพูดเหล่านี้ออกมา จีเย่ว์ก็ชะงักค้างไปทั้งร่าง คนในอ้อมแขนยังอบอุ่น อ่อนนุ่ม จะไม่ใช่นาง……ได้อย่างไร? 


 


 


” นิสัยของคนผู้หนึ่ง ถึงจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ก็ไม่มีทางเปลี่ยนจนกลายเป็นอีกคนหนึ่งไปได้” 


 


 


จีเย่ว์ส่ายศีรษะอย่างไม่อาจเชื่อ ” ไม่มีทาง….ไม่มีทาง” 


 


 


” อี้อ๋องเพคะ ที่จริงท่านเองก็เริ่มสงสัยมาตั้งแต่แรกแล้วใช่หรือไม่? “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันพูดพลาง ก็ลวงเอายันต์สีเหลืองแผ่นหนึ่งออกมาอย่างไร้ที่มา ปลายนิ้วขยับเพียงเล็กน้อย ยันต์สีเหลืองแผ่นนั้นก็เกิดเปลวไฟเล็กๆ สีน้ำเงินขึ้น จากนั้นกลายเป็นวิหคตัวหนึ่งในทันที 


 


 


” ของพวกนี้ นางทำได้ไหม? “ 


 


 


จีเย่ว์ยังคงไม่อาจจะยอมรับได้ ” เจ้าไม่ใช่บอกว่า ….เรียนรู้มาจากนักพรตอู้เจินผู้นั้น….เพียงสองสามส่วนหรือ? “ 


 


 


การจะทำความเข้าใจเรื่องพวกนี้ ทั้งสิ้นเปลืองพลังสมองและน้ำลาย แต่ตู๋กูซิงหลันก็ตัดใจแล้ว “ท่านรู้จักนางมาสิบปี เคยเห็นว่านางมีพรสวรรค์ทางด้านนี้บ้างหรือไม่? “ 


 


 


จีเย่ว์นิ่งงันไปในทันที 


 


 


จริงด้วย……หลันเอ๋อร์ของเขา รู้จักแต่ชมนกชมไม้ แค่เห็นแมลงสาบตัวหนึ่งยังร้องไห้ไปครึ่งวัน ยิ่งไม่มีทางจะมีแรงอุ้มบบุรุษสองคนได้ 


 


 


นางจะเป็นคนที่อยู่ตรงหน้านี้ได้อย่างไรกัน? 


 


 


แม้แต่ตัวเขายังกลายเป็นทายาทของศพมีชีวิต หากว่าคนที่เบื้องหน้าจะไม่ใช่หลันเอ๋อร์ เรื่องเช่นนี้ทำไมจะเป็นไปไม่ได้กัน? 


 


 


ฝ่ามือของเขาที่เกาะกุมนางเอาไว้แนบแน่น…..ค่อยๆ คลายออก 


 


 


มืออีกข้างที่ถือต้นกล้าไฮ่ถางเอาไว้ก็กุมกระชับแน่นขึ้นมา 


 


 


” นาง…..ไปยังที่ใดแล้ว? “ 


 


 


” จิตวิญญาณส่วนสุดท้ายของนางอยู่ในต้นไฮ่ถางต้นนี้ หากว่ารอจนถึงเมื่อต้นไฮ่ถางผลิดอกได้เมื่อไหร่ บางทีนางอาจจะกลับมาก็เป็นได้ ” ตู๋กูซิงหลันตอบเสียงเบา “อย่างที่ข้าบอกไป ต้นไฮ่ถางต้นนี้ท่านจะต้องดูแลให้ดี” 


 


 


” กลับมาได้จริงๆ หรือ? ” จีเย่ว์กระชับต้นไฮ่ถางในมือแน่นเข้า ดวงตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความเจ็บปวด 


 


 


ดวงจิตสุดท้ายของนาง….ทำไมเขาถึงมองไม่เห็น ทำไมเขาถึงฟังไม่ได้ยิน?  

 

 


ตอนที่ 133 พลังต้านทานความเหน็บหนาว

 

จีเย่ว์ไม่อาจยอมรับเรื่องที่นางได้ตายไปแล้ว 


 


 


หากว่าหลันเอ๋อร์ตายไปแล้ว เช่นนั้นผู้ที่อยู่เบื้องหน้านี้คือผู้ใดกัน? 


 


 


รูปร่างเช่นนี้ หน้าต่างเช่นนี้ ดูอย่างไรก็คือนาง 


 


 


แม้แต่ความรู้สึกยามที่ได้โอบกอดไว้ก็ยังเป็นนาง 


 


 


” ขอเพียงมีใจตั้งมั่นย่อมเกิดความสำเร็จ ” ตู๋กูซิงหลันพูดไปก็ตบบ่าของเขาไปด้วย “หากว่าวันหนึ่งท่านเปลี่ยนร่างไป เมื่อผ่านวันคืนอันยาวนาน อาจบางทีรอคอยจนถึงวันนั้นก็เป็นได้ “ 


 


 


อายุไขของศพไร้ชีวิต ย่อมยืนยาวกว่าคนทั่วไป 


 


 


ขอเพียงเขายินดีรอ ขอเพียงเจ้าของร่างเดิมยินยอมฝึกฝน พวกเขาจะช้าเร็วย่อมต้องได้พบกันในวันหนึ่งแน่ “ 


 


 


จีเย่ว์ขยับปากอย่างไร้ซุ่มเสียง สุดท้ายยังคงทนไม่ไหวจำต้องถามออกไป ” เช่นนั้นเจ้าคือใครกัน? “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตอบไปว่า ” คนที่มีวาสนาต่อกัน “ 


 


 


ทันทีที่นางกล่าวออกมา เขาก็เห็นนางร่ายคถาลงบนยันต์เหลืองอีกใบ โบกครั้งหนึ่งยันต์ก็ถูกผนึกลงบนกึ่งกลางหน้าผากของจีเย่ว์ และทันทีที่มันสัมผัสกับใบหน้าของเขา ยันต์นั้นก็สลายเป็นควันจางๆ คงเหลือเพียงแสงสว่างวูบหนึ่งซึมเข้าสู่หน้าผากไป 


 


 


นี่เป็นยันต์ผนึกความลับ ซึ่งจัดอยู่ในประเภทคำสาปชนิดหนึ่ง หากว่าไม่ได้รับอนุญาตจากผู้สาป ก็จะทำให้ไม่สามารถแพร่งพรายความลับที่ต้องการเก็บรักษาไว้ออกไปได้ 


 


 


ถึงแม้ตู๋กูซิงหลันจะเกิดความสงสารเห็นใจจีเย่ว์ แต่นั่นก็มิได้หมายความว่านางจะต้องเชื่อใจเขาทั้งหมด 


 


 


หากว่าเรื่องที่นางมิใช่เจ้าของร่างเดิมนี้ถูกแพร่ออกไป ก็มีแต่จะเพิ่มเรื่องเดือดร้อนให้นาง 


 


 


ถึงตอนนี้ นางค่อยพลักไหล่จีเย่ว์ออกไปเบาๆ ” ไปเถอะ “ 


 


 


จีเย่ว์ก็คล้ายคนที่จิตใจล่องลอยไป เขาโอบประคองต้นกล้าไฮ่ถางนั้นเอาไว้ ค่อยๆ เดินหายไปท่ามกลางหิมะที่โหมลงมา 


 


 


ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ท่ามกล่ามหิมะที่โปรยปรายอย่างหนัก ความง่วงงุ่นแทบจะตัวแข็งแบบเมื่อครู่ไม่เหลืออยู่อีกแล้ว จนกระทั่งนางไม่อาจมองเห็นจีเย่ว์อีกแล้ว นางถึงได้หันศีรษะกลับไปยังตำหนักเฟิ่งหมิง 


 


 


โดยที่มิได้รู้สึกตัวเลยว่า มีดวงตาหงส์ที่เยือกเย็นคู่หนึ่งจับจ้องอยู่ไม่ไกล 


 


 


…………………………………… 


 


 


หยวนเฟยแต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นดังแมวกลางคืนตัวหนึ่ง คืนนี้เมื่อออกจากตำหนักเฟิ่งหมิงมาแล้ว นางก็วนเวียนอยู่รอบๆ บริเวณนั้น ขณะเดียวกันก็พบว่าบริเวณโดยรอบของตำหนักเฟิ่งหมิงมีตะขาบพิษตัวใหญ่อยู่มากมาย 


 


 


เจ้าพวกนี้หากไม่ค้นหาก็ยังพอว่า พอค้นหาก็ยิ่งพบหนอนพิษอื่นๆ เพิ่มอีก คนทำช่างร้ายนัก แต่ละตัวแต่ละอย่างล้วนมีพิษรุนแรง ยังถือว่าจิตใจเ**้ยมโหดกว่าชาวหนานเจียงเช่นพวกนางเสียอีก 


 


 


ตู๋กูซิงหลันผู้นี้ ที่จริงแล้วไปก่อเรื่องผิดใจกับผู้คนไว้มากเท่าใดกันแน่ ไม่รู้ว่ามีพวกชั่วๆ เช่นนี้ลอบลงมือทั้งในที่ลับและที่แจ้งมากมายเท่าใดกัน 


 


 


นางวุ่นวายอยู่ภายนอกเสียเกือบครึ่งคืน ค่อยจับพวกมันทั้งหมดไว้ในชะลอมไผ่ใบหนึ่ง พอตระเตรียมจะเสร็จสิ้นภารกิจ ก็เห็นว่าหลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง มีเงาคนในชุดสีทองที่ดูคุ้นเคยอยู่ 


 


 


หยวนเฟยมองมาแต่ไกลก็ไม่กล้าแน่ใจ จนกระทั่งมองเห็นถึงตรงหน้า ถึงได้ถอนใจออกมาเฮือกหนึ่ง ” อ้ายย่าส์ แม่จ๋า! ฝ่าบาทเพคะ ดึกดื่นค่อนคืนพระองค์ไม่ทรงบรรทม กลับมาอยู่ที่นี่ ฝึกวิชาต้านทานความเหน็บหนาวหรือเพคะ? “ 


 


 


เดิมทีสีพระพักตร์ก็เย็นยะเยือกดุจแท่งน้ำแข็งอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ยิ่งคล้ายกับขุมนรกที่เยือกแข็งเข้าไปใหญ่ 


 


 


จีเฉวียนกวาดพระเนตรมองดูนาง ดวงเนตรหงส์นั้นก็ปรากฎแววพิฆาตออกมาในทันที สร้างความตระหนกให้กับหยวนเฟยจนนางถอยหลังไปหลายก้าวติดกัน “เป็นหม่อมฉันพูดมาเกินไปแล้ว ทั่วทั้งวังนี้เป็นของพระองค์ พระองค์คิดจะเสด็จไปที่ใดย่อมได้ทั้งสิ้น” 


 


 


นางว่าแล้ว ก็ขยับเท้าเตรียมจากไป 


 


 


ว่ากันตามจริงแล้ว บุรุษที่ปราศจากขนบนหน้าอกเช่นฝ่าบาท ไม่นับว่าน่าสะดุดตาที่ใด ถึงแม้นางอยากจะโน้มนาวพระองค์ให้กลับไปบรรทมพักผ่อน แต่ว่าเมื่อมองเห็นท่าทีที่คล้ายกับพร้อมจะสังหารคนได้ทุกเมื่อเช่นนั้น นางก็กล่าวคำเหล่านั้นไม่ออก 


 


 


จะว่าไปแล้ว เมื่อครู่ก็คล้ายกับว่านางเห็นเงาคนผ่านมาทางนี้ ดูไปคล้ายๆ จะเป็นอี้อ๋อง บุรุษสองพี่น้องคู่นี้…….ดึกๆ ดื่นถึงเพียงนี้แล้วพวกเข้าคิดจะมาพบปะแสดงความรักความแค้นอะไรกันหรือไม่? 


 


 


พอนางกำลังก้าวเท้าออกไป ก็ได้ยินจีเฉวียนรับสั่งรั้งนางเอาไว้ “หยวนเมิ่ง! “ 


 


 


 


 


 


สองคำนี้แทบจะทำให้หยวนเฟยวิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้ว 


 


 


นางยังคงจำได้ ครั้งก่อนที่ฝ่าบาทตรัสเรียกชื่อของนางนั้น ขาของนางเกือบจะโดนตัดไปแล้ว 


 


 


พอคิดถึงตรงนี้ ขาของหยวนเฟยก็อดที่จะเหน็บชาขึ้นมาไม่ได้ ” ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้เห็นสิ่งใดเลยนะเพคะ จริงๆ นะเพคะ “ 


 


 


นางไม่ได้เห็นเลยว่าดึกดื่นค่อนคืนฝ่าบาทและอี้อ๋องออกมากระทำเรื่องที่ไม่อาจให้ผู้ใดพบเห็นได้ 


 


 


จีเฉวียนตรัสถามเสียงเย็น ที่หนานเจียงมีหมอรักษาตาและโรคหัวใจโดยเฉพาะหรือไม่? “ 


 


 


” ฝ่าบาทเพคะ พระเนตรของพระองค์มีปัญหาหรือไม่ …..คนมีฝีมือไม่ถึงขั้นนายกองด้วยซ้ำ ไหนเลยจะกล้าเอามาถวายผู้นำได้? ” หยวนเฟยทูลตอบอย่างจริงจัง “ทางหนานเจียงของพวกเรามีแต่พ่อมดหมอผี ไหนเลยจะเทียบได้กับเหล่าหมอมากความสามารถในต้าโจว” 


 


 


ส่วนเรื่องโรคหัวใจนั้น…… ฝ่าบาทสมควรจะเรียกหมอมาตรวจจริงๆ พระองค์มีเรื่องกังวลพระทัยมากมาย วันๆ สูงส่งเย็นชาดุจเทพเซียน ที่ผู้คนธรรมดาไม่อาจจะสัมผัสได้ 


 


 


ในเมื่อฮ่องเต้เป็นมนุษย์ธรรมดา ก็สมควรที่จะมีทีท่าดั่งคนธรรมดาบ้าง 


 


 


” ให้เวลาเจ้าหนึ่งเดือน ไปหาตัวหมอผีที่มีความสามารถเรื่องโรคตาและโรคหัวใจมา” จีเฉวียนตรัสออกไป ทั้งยังไม่ลืมตรัสตามความเคยชินด้วยว่า ” ไม่เช่นนั้นจะหักเบี้ยเลี้ยงของตำหนักเจ้าให้หมด” 


 


 


 


 


 


หยวนเฟย “………” ขอถามหน่อยเถอะ นี่นางกระทำเรื่องผิดบาปใดๆ ต่อฟ้าดินหรือ? 


 


 


เดิมทีเบี้ยหวัดก็น้อยเสียจนน่าสงสารอยู่แล้ว หากว่ายังจะหักหนึ่งปี นางจะยังมีชีวิตอยู่ไหวหรือ? 


 


 


แต่ฝ่าบาทมิได้ทรงให้โอกาสนางต่อต้านแม้แต่น้อย พระพักตร์โหดเ**้ยมนั้นจากไปท่ามกลางลมหิมะ 


 


 


ทอดทิ้งหยวนเฟยไว้ที่เดิมเพียงลำพัง นางไม่ควรจะมาเพ่นพ่านแถวนอกตำหนักเฟิ่งหมิงเลย 


 


 


วันรุ่งขึ้น เป็นวันตัดสินโทษเสียนไท่เฟย 


 


 


เกิดเรื่องที่สร้างความประหลาดใจแก่ผู้คนขึ้น ฝ่าบาททรงเปลี่ยนพระทัยในยามสุดท้าย นั่นคือละเว้นชีวิตของเสียนไท่เฟย เพียงรับสั่งให้กักขังนางเอาไว้ในอารามเทียนเก๋อกวน มีนักพรตอู้เจินคอยดูแลด้วยตนเอง 


 


 


ส่วนอี้อ๋องนั้น ถูกถอดถอนตำแหน่งอ๋อง ยึดดินแดนเหนือทั้งหมด ขับไล่ไปยังแดนตะวันตกที่เปลี่ยวร้าง 


 


 


ฟังว่าสองแม่ลูกไม่มีโอกาสได้พบหน้ากันเสียงด้วยซ้ำ ต้องจากกันไปทั้งๆ อย่างนี้ 


 


 


และคราวนี้พวกขุนนางที่ยามปกติเคยสนับสนุนเขาก็ไม่คัดค้านแม้แต่น้อย 


 


 


เรื่องครั้งนี้สำหรับพวกเขาแล้ว นับว่าฝ่าบาททรงมีพระกรุณาอย่างที่สุดแล้ว ทั้งๆ ที่นี่เป็นโอกาสดีที่จะประหารเขาเสียด้วยซ้ำ แต่ว่าฝ่าบาทกลับปล่อยคนไปเสียอย่างงั้น 


 


 


ทั้งที่ยามปกติฝ่าบาททรงไร้น้ำพระทัย และเย็นชาอย่างที่สุด แต่ว่าครั้งนี้ที่สุดแล้วก็ทรงยั้งพระหัตถ์ไว้ 


 


 


นี่ไม่เท่ากับว่าทำให้ผู้คนทั้งหลายเปลี่ยนแปลงมุมมองที่มีต่อฮ่องเต้พระองค์ใหม่หรอกหรือ ………บางที ฝ่าบาทอาจมิได้ทรงน่าหวาดกลัวเช่นนั้นจริงๆ 


 


 


ในตำหนักตี้หัว จีเฉวียนทรงทอดพระเนตรสารทหารจากดินแดนเป่ยเจียงในพระหัตถ์ สีพระพักตร์ยิ่งยุ่งยากกว่าเดิม 


 


 


เกรงว่าแม้แต่ตู๋กูซิงหลันเองก็คงยังจะคิดไม่ถึงว่า ตู๋กูถิงบุกยึดดินแดนเป่ยเจียงได้อีกส่วนหนึ่ง รางวัลที่ทูลขอก็คือชีวิตของเสียนไท่เฟย 


 


 


ไม่ว่าจะมองเช่นไร เรื่องนี้นับว่าถึงจุดสิ้นสุดแล้ว อย่างน้อยๆ ต่อไปอีกนานนับจากนี้ เขาก็ไม่ต้องทนมามองเห็นจีเย่ว์และตู๋กูซิงหลันใกล้ชิดสนิทสนมกันอีกต่อไป 


 


 


เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่ได้ทอดพระเนตรเห็นเมื่อคืนนั้น จีเฉวียนก็ยิ่งรู้สึกว่าพระทัยของพระองค์อึดอัดคับข้องไปหมด 


 


 


พระองค์คิดไปจะสอบถามท่าทีที่มีต่อจีเย่ว์ของนาง คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นภาพที่ทั้งสองใกล้ชิดกัน 


 


 


เพราะหิมะตกหนักมาก อีกทั้งยังอยู่ห่างไกล ถึงแม้จะไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไร แต่ว่าเพียงมองดูภาพเหล่านั้นก็รู้ว่า จะต้องเป็นการเปิดเผยความในใจต่อกันอย่างแน่นอน 


 


 


คงจะมีแต่ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่า ยามนั้นพระองค์กริ้วจนแทบจะระเบิด แทบจะเสด็จเข้าไปรับสั่งประหารจีเย่ว์ในทันที! 


 


 


แต่พอคิดว่าหากจีเย่ว์ตายไปแล้ว ตู๋กูซิงหลันจะเกลียดชังเขาไปตลอดชีวิต 


 


 


ความคิดนั้นก็ค่อยๆ ละลายลงไป 


 


 


ช่างสมควรตายยิ่งนัก นี่เขาจะต้องมาห่วงกังวลความรู้สึกของสตรีผู้หนึ่งตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? 


 


 


เดิมทีจีเย่ว์ก็คือนักโทษก่อกบฎ จะฆ่าก็ฆ่าได้ พระองค์ทรงเป็นถึงฮ่องเต้แท้ๆ จะประหารนักโทษสักคนยังต้องคำนึงถึงความรู้สึกของผู้ใดด้วยหรือ?  

 

 


ตอนที่ 134 ใครบอกว่า ข้าไม่มีบุรุษแล้ว?

 

และด้วยเพราะเหตุนี้ ฝ่าบาทจึงมิได้บรรทมตลอดทั้งคืน แม้หลับพระเนตรลง แต่ในสมองก็มีแต่ภาพของตู๋กูซิงหลันที่เกลียดชังพระองค์เต็มไปหมด 


 


 


 


 


 


สุดท้ายแล้วจึงตัดสินพระทัยละเว้นชีวิตจีเย่ว์ ขับไล่เขาจากไป 


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับตัดหนทางมิให้ตู๋กูซิงหลันได้มีโอกาสพบหน้าจีเย่ว์อีกต่อไป 


 


 


 


 


 


 


 


 


……………………………….. 


 


 


 


 


 


พอเรื่องนี้จบลงได้ สายตาของผู้คนทั้งหมดก็ย้ายความสำคัญไปจับจ้องอยู่ที่เรื่องการคัดเลือกพระสนม 


 


 


เหลียนไฉเหรินสูญเสียความโปรดปราน ฉีผิงทูลลาออกจากวังไปอยู่อารามชี เต๋อเฟยก็ถูกขังอยู่ในตำหนักเย็น ดูๆ แล้ว เหล่าพระสนมขึ้นชื่อในวังหลวงต่างย่ำแย่กันหมด เช่นนี้พวกคุณหนูในตระกูลต่างๆ ก็เริ่มมีท่าทางเคลื่อนไหวคึกคัก 


 


 


ยามนี้ อี้อ่องถูกกำจัดออกไปแล้ว พระราชอำนาจในพระหัตถ์ของฝ่าบาทก็ยิ่งมั่นคงยิ่งขึ้น บรรดาเชื้อพระวงค์และขุนนางใหญ่จำนวนไม่น้อยต่างพากันยัดเยียดบุตรสาวของตนเองเข้ามาในวัง 


 


 


ยามที่ฝ่าบาทพึ่งจะขึ้นครองราชย์นั้น มีผู้คนไม่น้อยที่หาทางซุกซ่อนและถ่วงรั้งไม่ให้บุตรสาวเข้าวัง ต่างก็คิดหาหนทางถอยเอาไว้ ยามนี้สถานการณ์แน่ชัดแล้ว ต่างก็รีบร้อนผลักดันคนเข้ามาในวัง 


 


 


หลายวันหลังจากนั้น 


 


 


ในพระตำหนักเฟิ่งหมิง ตู๋กูซิงหลันนอนหลับจนเกือบถึงยามเที่ยง พอพึ่งจะตื่นขึ้นมาก็เห็นคนคุ้นเคยอย่างวิญญาณอาฆาตกำลังเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องของนาง 


 


 


พอเห็นว่านางตื่นแล้ว เสี่ยวลี่ก็รีบซอยเท้าเข้ามารายงานโดยเร็ว “ท่านเซียน ท่านช่างนอนหลับได้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เลย! “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันนวดคลึงดวงตาที่ง่วงงุ่น ” ทำไมละ ฟ้าถล่มลงมาหรือ? “ 


 


 


 


 


 


นางเป็นคนนอนดึกมาแต่ไหนแต่ไร ยามปกติต้องนอนถึงเที่ยงอยู่แล้ว ประกอบกับช่วงก่อนหน้านี้สูญเสียพลังจำนวนมากไปกับหยกสรรพชีวิต แต่ละครั้งเป็นต้องเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าไปทั้งร่าง วันทั้งวันง่วงหงาวหาวนอน จามครั้งหนึ่งก็จะหลับไปอยู่แล้ว 


 


 


” ยายแก่เจียงที่บ้านท่าน หลายวันมานี้ก่อเรื่องวุ่นไปหมด นางควานหาสาวน้อยมานางหนึ่ง จะส่งเข้าวังมาร่วมการคัดเลือก! “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันไม่ค่อยสนใจเท่าใดนัก ” เจียงเหม่ยหยู่นะหรือ? “ 


 


 


” ยังจะไม่ใช่อีกหรือเจ้าคะ? ” เสี่ยวลี่ฟ้องต่อไป “ยายแก่นั่นวันทั้งวันเอาแต่ลากข้าไปลือกดูด้วยกัน แต่ละคนดูได้เสียที่ไหน แต่ละคนหน้าต่างอย่างกับฟักแฟงแตงเบี้ยว ยังจะกล้าส่งเข้าวังมาอีก “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเห็นท่าทางกระฟัดกระเฟียดของนางแล้ว ก็รู้สึกว่าน่าขำดี 


 


 


โดนเฉพาะยามที่นางจ้องหน้าตู๋กูซิงหลันเขม็ง 


 


 


” ท่านยังจะหัวเราะได้อีกแนะ ยายแกนั่นนะไม่มีทางมาดีแน่ ที่ส่งหญิงสาวเหล่านั้นเข้าวังมาก็คิดจะแย้งชิงความโปรดปราน ลากท่านลงมาเป็นแน่” 


 


 


เสียวลี่คิดจนร้อนใจไปหมด แม้ว่าท่านเซียนจะเก่งกาจอย่างไร แต่เรื่องการแก่งแย่งของสตรีในวังหลวงนั้น ดูจะยังมองไม่ทะลุเท่าใดนัก 


 


 


เอาแต่จะหัวเราะขำๆ ไป มีอะไรให้ขำกัน?  


 


 


” เช่นนั้นนางหาคนหน้าตาดีๆ ได้บ้างหรือยัง ” ตู๋กูซิงหลันนอนอยู่บนเบาะอ่อน คว้าเมล็ดแตงกำหนึ่งมาเริ่มแกะกิน 


 


 


” อย่างตอนนี้ ข้าจำได้ว่ามีอยู่คนหนึ่งเรียกว่า ซ่งหรูหย้วน หน้าตาไม่เลวเลยทีเดียว คล้ายกับว่าจะเป็นหลานสาวสายนอกของนาง “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดดู จากที่เชียนเชียนเคยทบทวนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลต่างๆ ให้ฟังนั้น ก็ค่อยคิดได้ เจียงเหม่ยหยู่มีบุตรชายหญิงฝาแฝด คล้ายกับว่าบุตรสาวของนางตู๋กูจิงจะแต่งให้กับขุนนางซั่งซู (ฝ่ายบันทึกประวัติศาสตร์) คลอดลูกสาวคนหนึ่ง เรียวกว่า ซ่งหรูหย้วน 


 


 


ตู๋กูซิงหลันยังคงจดจำฮูหยินของซั่งซูผู้นั้นได้ ก่อนหน้านี้ที่ด้านนอกของตำหนักเฟิ่งหมิง นางเคยโดยยายป้าหน้าเหลืองนั่นด่ามาครั้งหนึ่ง 


 


 


” ขอแค่หน้าตาดีก็พอแล้ว วังหลังจำเป็นจะต้องมีบุปผาดอกใหม่บ้างแล้ว ” ตู๋กูซิงหลันแกะเมล็ดแตงไปก็ตอบไปด้วย 


 


 


” ท่านทำเช่นนี้ไม่เท่ากับว่าหาศัตรูความรักให้ตนเองหรอกหรือ? ท่านคิดดูนะเจ้าคะ แต่ไหนแต่ไรมาบุรุษล้วนชอบของใหม่ทอดทิ้งของเดิม หาดว่าบุปผาใหม่ๆ เหล่านี้เข้าวังมา ฝ่าบาทก็จะเอาแต่หันไปสนพระทัยดอกไม้สดใหม่พวกนั้น แล้วบุปผาเดิมที่ยังไม่โรยราเช่นท่าน……ใครจะชื่นชมกัน? “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันแทบจะอยากเอาเล็บข่วนหน้านางนัก ” ศัตรูความรักที่ไหนกัน! เป็นตัวน่ารักต่างหาก เข้าใจไหม? เจ้าดูสิตอนนี้วังหลังเหน็บหนาวเงียบงัน ไม่มีสาวน้อยน่ารักมาเป็นเพื่อนพูดคุยกับข้า มันช่างหน้าเบื่อเพียงไร หากว่ามีคนน่ารักมาสักหลายๆ คน ข้าจะได้วันนี้ดูคนนี้ พรุ่งนี้ดูคนนั้น สบายตาสบายใจแท้ เจ้าว่าใช่หรือไม่? “ 


 


 


 


 


 


เสี่ยวลี่ “…….” 


 


 


” ยิ่งไปกว่านั้น ฮ่องเต้เป็นลูกชายข้า ข้าที่เป็นยายแก่ไหนเลยจะไม่ใช่มารดาผู้ล้ำค่าของลูกเล่า ย่อมไม่จำเป็นต้องไปหึงหวงกับพวกลูกสะใภ้อยู่แล้ว” 


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้เสี่ยวลี่ย่อมพูดอะไรไม่ออก นี่มันช่างเป็นฮ่องเต้ไม่รีบร้อน ขันทีกลับร้อนใจ 


 


 


ตัวนางอย่างน้อยๆ ก็เคยเป็นนางกำนัลในวังหลวงมาเจ็ดแปดปี พบเห็นฝีมือการแย่งชิงความโปรดปรานของเหล่าพระสนมมาไม่น้อย แต่พอทำไมมาถึงท่านเซียนแล้ว ถึงได้กลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งไปได้กัน?  


 


 


” ท่านเซียนเจ้าคะ ท่ายอายุยังน้อย ไยจึงคิดจะใช้ชีวิตที่เหลือเป็นม่ายไปตลอด? ” เสี่ยวลี่คุกเข่าอยู่ที่ข้างตัวนาง “มีคำพูดที่ว่า หอสูงริมน้ำ ได้รับแสงจันทร์ก่อน ท่านไยไม่ลองใคร่ควรดู จับฮ่องเต้องค์นี้ใส่ล่วม (ยา) ไว้? “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันหันมากรอกตาบนใส่นางในทันที “ไยข้าเป็นไทเฮาอยู่ดีๆ กลับไม่เอา จะให้เอาตัวไปเป็นนางสนม ? ข้าคงจะบ้าไปแล้ว! “ 


 


 


” ถึงจะพูดเช่นนั้นก็เถอะ แต่หากว่าไร้บุรุษเคียงข้างไปชั่วชีวิต ก็คงไม่ดีหรอกนะเจ้าคะ? ท่านดูสิฝ่าบาททรงเป็นบุรุษรูปงามไม่ธรรมดา มีทั้งยังมีสติปัญญายอดเยี่ยม หากมองไปทั่วทั้งแผ่นดิน เกรงว่าคงมีแต่พระองค์ที่เหมาะสมจะเคียงคู่กับท่าน “ 


 


 


” ใครว่าข้าไม่มีบุรุษ? ” ตู๋กูซิงหลันเอนพิงเก้าอี้อ่อนไขว้ขาทั้งสองอย่างสบาย ” พี่ใหญ่ของข้า พี่รองของข้า ท่านปู่ต่างมิใช่บุรุษหรือ? “ 


 


 


เสี่ยวลี่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก สมองของท่านเซียนทำไมถึงได้ดึงดันดุจรากไม้ จะพูดอย่างไรก็ไม่ยอมเข้าใจเช่นนี้?  


 


 


” เอาเถอะ เสี่ยวเหลียง เรื่องของข้า เจ้าไม่เจ้าเป็นต้องกังวลใจไป ข้ารับน้ำใจเจ้าเอาไว้แล้ว” 


 


 


” ท่านเซียน ขอท่านได้โปรดอย่าเรียกข้าว่าเสี่ยวเหลียงเลยนะเจ้าคะ …….มันไม่เป็นมงคล เรียกข้าว่าเสี่ยวลี่ดีกว่านะเจ้าคะ” 


 


 


” ตอนนี้เจ้าก็เป็นวิญญาณอาฆาตไปแล้ว ยังจะกลัวมงคลไม่มงคลอะไรอีกละ? “ 


 


 


เสี่ยวลี่……..ฮือ 


 


 


นางยังไม่ทันได้พูดคุยจนได้เรื่องได้ราวอะไร ก็ได้ยินเชียนเชียนเข้ามากราบทูลว่า “นายหญิงเจ้าคะ นางเจียงซื่อขอเข้าเฝ้า “ 


 


 


สีหน้าเชียนเชียนไม่ยินดี นางเจียงซื่อคนนี้ทุกครั้งที่มาไม่เคยมีเรื่องดี วันนี้ก็เช่นกัน ดูจากกิริยาท่าทางของนางแล้วคงมิได้มีจุดประสงค์ดีเป็นแนน่ 


 


 


” ให้นางเข้ามาเถอะ ” ตู๋กูซิงหลันยังคงแทะเมล็ดแตงต่อไป นางพึ่งจะตื่นขึ้นมาเมื่อครู่ ยังไม่ได้แต่งตัวหวีผม บรรยากาศรอบตัวจึงมีกลิ่นอายของความเกียจคร้าน 


 


 


ยามที่นางเจียงซื่อเข้ามานั้น พอเห็นนางนอนเอนแทะเมล็ดแตงอยู่บนเก้าอี้อ่อน ในใจก็เกิดความคับข้องขึ้นมา 


 


 


พอมองไปรอบทิศทั้งสี่ทาง เห็นรอบด้านล้วนตกแต่งอย่าง 


 


 


สวยงามหรูหรา จิตใจของนางก็ยิ่งรู้สึกอัดอั้นขึ้นไปอีก 


 


 


นังคนสำส่อนนี้ทำไมถึงได้ไม่อายุสั้นและตายๆ ไปเสียที น่าเสียดายฟ้าช่างไร้ตานัก ถึงได้ปล่อยให้มันสุขสบายเช่นนี้อยู่ได้ 


 


 


นับตั้งแต่ที่มันออกจากตำหนักเย็นมาได้ ก็ยิ่งทียิ่งว่าอำนาจบาตรใหญ่แล้ว 


 


 


ดูเอาสิ นางซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่มาหาด้วยตนเอง นางกลับปรากฎตัวในสถาพเช่นนี้? แม้แต่จะลุกขึ้นมาก็ยังขี้เกียจ! “ 


 


 


นี่มันเท่ากับว่าไม่ได้เห็นนางอยู่ในสายตาชัดๆ  


 


 


แม้ในใจของนางจะรู้สึกไม่ยินดี แต่นางก็สามารถอดกลั้นเอาไว้ได้ นางกำไม้เท้ากระชับเข้ากล่าวขึ้นมาว่า ” ไม่ได้พบกันมาหลายวัน หลันเอ๋อร์สบายดีหรือไม่? “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันคายเปลือกเมล็ดแตง “เจียงซื่อ เราบอกเจ้าหลายครั้งแล้ว การเรียกชื่อของเราตรงๆ นั้นถือว่ามีโทษหนัก” 


 


 


เชียนเชียนยื่นอยู่ด้านข้าง แอบกรอกตามองนางเจียงซื่ออย่างเงีบยๆ  


 


 


เจียงซื่อ “……..” 


 


 


นางไม่เข้าใจเลย นางเป็นถึงญาติผู้ใหญ่แท้ๆ จะเรียกชื่อของมันสักคำไงจำจะต้องมีโทษหนักด้วย?  


 


 


นางอดทนกล้ำกลืนอารมณ์ของตนเอง ใบหน้าชรายังคงมีรอยยิ้ม “คนเฒ่าเช่นหม่อมฉันผิดไปแล้ว ขอไทเฮาทรงเห็นแก่ความเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ละเว้นพระอาญาด้วยเพคะ”  

 

 


ตอนที่ 135 สามี

 

ตู๋กูซิงหลันแทะเมล็ดแตงต่อไป อย่างไม่สนใจใยดี 


 


 


นางเจียงซื่อก็หันไปดึงตัวเด็กสาวคนหนึ่งมาจากด้านหลัง ” รีบเข้ามาถวายพระพรไทเฮาเร็วเข้า “ 


 


 


สาวน้อยได้ยินแล้ว ก็ยอบตัวลงต่อหน้าตู๋กูซิงหลัน ” หม่อมฉัน ซ่งหรูหย้วน ถวายพระพรไทเฮา “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันยามนี้ถึงได้หันมามองนางเล็กน้อย หน้าตาของนางก็นับว่าหมดจดดีอยู่ ดูไปแล้วอ่อนแอเปราะบางไม่อาจต้านทานลมได้ ไร้พิษภัยเสมือนดั่งกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง 


 


 


เมื่อเห็นว่าตู๋กูซิงหลันพอจะให้ความสนใจอยู่บ้าง เจียงเหม่ยหยู่ก็รีบกล่าวต่อว่า ” นี่เป็นบุตรสาวของท่านอาจิงของท่าน พวกท่านเคยพบหน้ากันมาแล้ว แต่ว่าท่านความจำเสื่อมไปแล้วไม่ใช่หรือ? หม่อมฉันจึงได้พานางมาเข้าเฝ้าท่านบ้าง พวกท่านเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ก็สมควรจะสร้างความสนิทสนมกันให้มากไว้มิใช่หรือ? “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันขานรับคำหนึ่ง “แล้วอย่างไรอีก? “ 


 


 


” อีกไม่นานก็จะถึงเวลาคัดเลือกนางสนมแล้วมิใช่หรือ ท่านดูสิ ตระกูลตู๋กูของพวกเราก็มีแต่เหลียนเอ๋อร์และท่านเข้าวังมา พวกเราจะอย่างไรก็นับว่าเป็นตระกูลใหญ่ นายท่านผู้เฒ่าออกรบอยู่ที่ด้านนอก พวกเราก็ไม่ควรเอาแต่เสวยสุขอยู่ในบ้าน สมควรทำอะไรเพื่อเกียรติของตระกูลบ้าง “ 


 


 


เจียงเหม่ยหยู่ยืดตัวขึ้นตรง กำไม้เท้าจดจ้องไปยังตู๋กูซิงหลัน “หรูหย้วนนั้นเป็นเด็กดี ไม่ว่าจะเป็น ดนตรี หมาก วาดภาพ หรือเขียนอักษรล้วนทำได้ นิสัยก็นุ่มนวลอ่อนโยน สั่งสอนง่ายรู้จักเอาอกเอาใจ หากว่านางได้เข้าวังมาเป็นพระสนม ฝ่าบาทจะต้องโปรดปรานเป็นแน่ อีกหน่อยอยู่ในวัง พวกท่านทั้งสามก็จะได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมิใช่หรือ? “ 


 


 


เชียนเชียนอยากจะกรอกตาขาวขึ้นไปบนท้องฟ้าอยู่แล้ว นายหญิงยังจะต้องการซ่งหรูหย้วนมาช่วยสนับสนุนเกื้อกูลด้วยหรือ?  


 


 


สมองของนางถูกลาถีบมาหรือยังไง?  


 


 


ตู๋กูซิงหลันไม่พูดไม่จา คว้าเอาเมล็ดแตงมาแทะเล่นอีก 


 


 


พอเห็นนางท่าทางไม่สนใจแม้แต่น้อย เจียงเหม่ยหยู่ก็ร้อนรนขึ้นมาแล้ว “วันนี้ที่หม่อมฉันมาขอเข้าเฝ้าไทเฮา ก็เพราะคิดจะขอให้ไทเฮา เมื่อถึงวันคัดเลือกนางสนม ช่วยเหลือเด็กคนนี้บ้าง เพราะอย่างไรพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน สนับสนุนผู้คนในตระกูลย่อมเป็นหน้าที่ของพวกเราอยู่แล้ว ท่านว่าจริงไหม? “ 


 


 


ซ่งหรูหย้วนก็รีบเออออ กล่าวต่ออย่างรวดเร็วว่า “ขอไทเฮาทรงโปรดเมตตาดูแลหม่อมฉันด้วยเพคะ “ 


 


 


เพราะว่าผู้ที่เข้าร่วมการคัดเลือกพระสนมในครั้งนี้มีจำนวนมาก หากว่าเบื้องหลังของตนเองไม่มีผู้ใดสนับสนุนช่วยเหลือ เกรงว่าแม้แต่โอกาสที่จะได้พบพระพักตร์ของฝ่าบาทสักครั้งคงจะไม่มีแล้ว 


 


 


หากไม่ใช่เพราะว่าตู๋กูซิงหลันช่วงนี้มีหน้ามีตาขึ้นมา พวกนางก็คงจะไม่ลดตัวลงมาขอร้องนางหรอก 


 


 


ดูๆ ท่าที่นางจองหองเข้าสิ พาให้คนอยากจะลงมือกับนางสักรอบเสียจริง 


 


 


ตู๋กูซิงหลันหันไปมองดูพวกนาง ก็พลันยิ้มแย้มออกมา พอนางยิ้มทั่วทั้งตำหนักก็พลอยสว่างไสวไปด้วย “เจียงซื่อ เด็กน้อยหรูหย้วนผู้นี้หากว่าดีงามเช่นที่เจ้าว่าจริง ไหนเลยจำเป็นจะต้องให้เราช่วยเหลืออีก? ต่อให้นางอยู่ท่ามกลางผู้คนทั้งหลาย ฝ่าบาทย่อมทอดพระเนตรเห็นนางเอง “ 


 


 


เจียงเหม่ยหยู่ฟังแล้ว ก็คิดว่าตู๋กูซิงหลันกำลังชื่นชมซ่งหรูหย้วน นางก็ชักจะเกิดความภาคภูมิใจขึ้นมาบ้าง ” นั่นก็ใช่แล้ว หรูหย้วนหน้าตางดงาม ชาติกำเนิดก็ดี ฝ่าบาทจะเรียกนางเข้าเฝ้าเพียงเป็นเรื่องที่ช้าหรือเร็วเท่านั้น แต่ที่หม่อมฉันต้องการไม่ใช้แค่ให้ฝ่าบาทได้ทรงพบหน้านาง “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “หืม? “ 


 


 


เจียงเหม่ยหยู่หันไปถลึงตาใส่ ‘ตู๋กูเหลียน’ที่ข้างกายของตู๋กูซิงหลัน สายตาของนางมีแววเอือมระอา “เหลียนเอ๋อร์ช่างไม่ได้เรื่อง เข้าวังมาตังนานแล้วก็ยังเป็นได้แค่ไฉเหริน” 


 


 


เสี่ยวลี่ “??? ” แหมมีแต่ท่านย่าเช่นเจ้าที่ได้เรื่องใช่ไหม 


 


 


” เพราะฉะนั้นจึงยังต้องของให้ไทเฮาทรงออกแรงมากหน่อย ให้หรูหย้วนได้เป็นพระสนมขั้นเฟย เรื่องนี้จะอย่างไรก็ไม่มีผลร้ายต่อท่าน ท่านลองคิดดู หากว่าหรูหย้วนได้รับความโปรดปรานเหนือผู้ใดในวังหลัง พระสนมคนอื่นๆ ไหนเลยจะยังกล้าไม่เคารพท่าน? ตำแหน่งไทเฮาของท่านก็ยิ่งนั่งได้อย่างมั่นคงมิใช่หรือ? “ 


 


 


คราวนี้เชียนเชียนถึงกับไร้คำพูดบ้างแล้ว นางยั้งคำพูดไว้ สายตามองออกไปที่เบื้องนอก วังหลังยามนี้คนที่กินอิ่มนอนหลับอยู่ดีๆ ที่ไหนยังจะกล้ามาหาเรื่องนายหญิงได้อีก?  


 


 


ผู้ที่เก่งกล้าสามารถเช่นนายหญิง ไหนเลยจะต้องการคนเช่นซ่งหรูหย้วนมาเสริมความมั่นคง?  


 


 


ตู๋กูซิงหลันได้ฟังแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งเปลี่ยนไป 


 


 


ซ่งหรูหย้วนเห็นนางแย้มยิ้มมากขึ้น ก็ยิ่งพูดเสริมว่า “ไทเฮาเพคะ ของพระองค์วางพระทัย หากว่าข้าได้เป็นพระสนมขั้นเฟย ย่อมจะต้องไม่ลืมเลือนพระองค์แน่ ต่อไปเมื่อสามารถมีองค์ชายถวายฝ่าบาท ย่อมจะต้องให้เขามาเฝ้าท่านที่ตำหนักเฟิ่งหมิงนี้บ่อยๆ “ 


 


 


” ภายหน้าเมื่อวันหนึ่งเขาได้เป็นฮ่องเต้ ท่านก็จะเป็นไท่หวงไทเฮา สูงศักดิ์เหนือผู้อื่นผู้ใด “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันใช้มือนวดขมับ นางเกรงว่าตนเองจะหัวเราะเสียงดังออกไป 


 


 


นางเองก็ไม่รู้ว่าพวกนางไปเอาความมั่นอกมั่นใจในตนเองขนาดนี้มาจากที่ไหน 


 


 


ประเด็นสำคัญคือบุตรชายที่เป็นฮ่องเต้ของนางนั้น สนใจแต่เพียงบุรุษเท่านั้น!  


 


 


ไหนเลยจะไปมีลูกกับเจ้าได้?  


 


 


” ท่านอย่าได้เอาแต่ยิ้ม แต่ต้องรับปากออกมาด้วยสิ ” เจียงเหม่ยหยู่ชิงชังท่าทางเช่นนี้ของนางเหลือเกิน ยิ้มๆๆ ยิ้มไปให้ใครดูกัน?  


 


 


เจ้าขายรอยยิ้มหรือไง?  


 


 


ทั้งๆ ที่เห็นชัดอยู่แล้วว่าเหลียนเอ๋อร์กับนางสาระเลวตู๋กูซิงหลันต่างก็คลี่คลายความขัดแย้ง มีความสัมพันธ์แนบแน่นขึ้นมาแล้ว ทำไมมันถึงได้ทำกิริยาเช่นนี้ต่อพวกนางกัน?  


 


 


” เจียงซื่อ เรารู้สึกว่าหนังหน้าเจ้าช่างหนาจริงๆ ” ตู๋กูซิงหลันขยับตัววางท่า มือข้างหนึ่งเท้าศีรษะไว้ เส้นผมดำตกสยาย ดูไปประหนึ่งฮ่องเต้หญิงผู้สูงส่ง 


 


 


เจียงซื่อเห็นท่าทางของนาง อยู่ๆ ก็พาลนึกไปถึงเหตุการณ์ที่ตนถูกนางตบซ้อมอย่างโหดร้าย ก็อดที่จะรู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมาไม่ได้ 


 


 


วันนี้ตนเองก็วางตัวอย่างดีแล้วนะ ไม่ได้ล่วงเกินนางที่ไหนสักหน่อย 


 


 


หรือว่านางสาระเลวผู้นี้จะไม่สนอกสนใจเหตุผลใดๆ ก็ทุบตีคนแล้ว?  


 


 


” โอรสจะโปรดปรานผู้ใด ไม่โปรดปรานผู้ใด ก็ย่อมแล้วแต่พระองค์เท่านั้น ต่อให้เรามีความสามารถยิ่งใหญ่เพียงใดก็ไม่ควรจะไปก้าวก่ายในสิ่งที่ทรงโปรดปราน ” ตู๋กูซิงหลันหรี่ตา พลันหาวออกมา “หากว่าเรายัดเยียดคนให้พระองค์ แล้วทรงกริ้วขึ้นมา จนเกลียดชังเราจะทำยังไง? “ 


 


 


” พวกเจ้าเองก็รู้ดี โอรสของเราพระอารมณ์ไม่ค่อยดี แม้แต่กับเราก็ไม่ละเว้น “ 


 


 


เจียงเหม่ยหยู่อยากจะตบนางสักสองครั้ง ไม่คิดจะช่วยก็บอกกันตรงๆ ไยจะต้องหาข้ออ้างที่อ้อมค้อมเช่นนี้ด้วย 


 


 


พูดไปพูดมาก็คือตู๋กูซิงหลันทำเพื่อตัวนางเอง ทั้งที่ก็แค่ช่วยออกแรงเล็กน้อยเท่านั้น พูดเสียอย่างกับว่าพวกนางหาความยากลำบากมาให้ 


 


 


นี่มันเห็นชัดเลยว่านางมีใจใฝ่ในองค์ฮ่องเต้ จึงไม่ต้องการให้หรูหย้วนได้รับความโปรดปราน 


 


 


ยามที่หลี่กงกงตามเสด็จฝ่าบามมายังตำหนักเฟิ่งหมิงนั้น ก็พอดีได้ยินได้ฟังถ้อยคำที่ไทเฮารับสั่งออกมา 


 


 


หลายวันมานี้ช่างแปลกประหลาดเสียจริง ไม่รู้ว่าฝ่าบาททรงไม่พอพระทัยอะไรไทเฮา จึงได้ไม่เสด็จมาตำหนักเฟิ่งหมิงหลายวันแล้ว 


 


 


พอเสด็จมาถึงก็ได้ยินไทเฮารับสั่งนินทาพระองค์พอดิบพอดี……. 


 


 


หลี่กงกงเหลือบตามองไปอย่างระมัดระวัง แม้ว่าในตำหนักจะจุดไฟเผาถ่านเอาไว้ แต่อยู่ๆ บรรยากาศในห้องก็เกิดความเยือกเย็นขึ้นมาทันที 


 


 


อยู่ๆ ซ่งหรูหย้วนก็รู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมา พอหันศีรษะไปมอง แม้เพียงแค่แวบเดียวแต่นางรู้สึกเหมือนวิญญาณของตนเองกำลังสั่นสะท้าน 


 


 


นางเป็นถึงคุณหนูของจวนซ่างซู ยามปกติมีโอกาสได้พบบรรดาคุณชายมานับไม่ถ้วน แต่กลับไม่เคยเห็นผู้ใดที่งดงามจนไร้ที่เปรียบได้เช่นนี้มาก่อน 


 


 


พระองค์มีดวงเนตรหงส์ที่พาให้ผู้คนต้องหลงใหล พระพักตร์ที่เย็นชายิ่งส่งเสริมพระองค์ให้ดูเยือกเย็น 


 


 


ราวกับบุพชาติบนยอดเขาสูงที่ผู้ใดก็ไม่อาจอาจเอื้อมถึง 


 


 


วันที่ฝ่าบาททรงขึ้นครองราชย์นั้น นางเองก็เคยได้เข้าเฝ้ามาก่อน แต่ด้วยฐานะของนาง จึงได้แต่ยืนเข้าเฝ้าอยู่ในตำแหน่งที่อยู่ห่างไกลเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นหัวใจของนางก็ยังตื่นเต้นเสียจนจะหยุดเต้นอยู่แล้ว 


 


 


นี่คือสามีที่นางอยากจะแต่งให้ คือบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดิน 


 


 


นางกลั้นหายใจ คุกเข่าลงไปที่เบื้องพระพักตร์ ชิงกล่าวออกไปก่อนที่ตู๋กูซิงหลันจะเอ่ยปาก “หม่อมฉันซ่งหรูหย้วน ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ “ 


 


 


น้ำเสียงของนางอ่อนหวานกว่าเมื่อครู่มากมาย ดวงตาดำขลับคู่นั้นเป็นประกายแวววาวอย่างที่สุด ทั้งยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมอย่างเหลือล้น​​​​​​​  

 

 


ตอนที่ 136 ตัวเลวร้ายที่แท้จริง

 

เจียงเหม่ยหยู่คิดไม่ถึงเลยว่าทั้งๆ ที่นานๆ ทีนางจะได้เข้าวังมาสักครั้งหนึ่ง กลับสามารถได้พบฝ่าบาทเสด็จมาตำหนักเฟิ่งหมิงได้พอดี เรื่องเช่นนี้สำหรับหรูหย้วนแล้ว นับว่าเป็นโชคดีที่ฟ้าประทานมาให้ทีเดียวเชียว 


 


 


หากว่าก่อนที่จะถึงช่วงเวลาคัดเลือกนางสนมก็สามารถให้นางเข้าใกล้ฝ่าบาทสร้างความสนิมสนมเอาไว้ก่อน ก็จะทำให้ฝ่าบาทยิ่งเพิ่มพูนความทรงจำที่ดีต่อนางมากขึ้น พอถึงยามคัดเลือก ก็มิใช่ว่าทำให้ฝ่าบาททรงสามารถเลือกนางได้ตั้งแต่แวบแรกเลยหรือ? 


 


 


“หม่อมฉันเจียงเหม่ยหยู่ ถวายพระพรฝ่าบาท ” นางถวายคำนับอย่างยินดี ทั้งยังดึงตัวซ่งหรูหย้วนมาที่เบื้องหน้าฝ่าบาทอีกด้วย “นี่เป็นหลานสาวของหม่อมฉัน หรูหย้วน ปีนี้อายุสิบหก ไม่ว่าจะเป็นดนตรี หมากล้อม อักษร หรือวาดภาพล้วนมีความสามารถ โดยเฉพาะฝีมือเล่นผีผาของนางยิ่งน่าประทับใจ แม้แต่ยอดอาจารย์ดนตรีอันดับหนึ่งในเมืองหลวงยังเคยชื่นชมนางเพคะ” 


 


 


พอพูดถึงหลานสาวสายนอกคนนี้แล้ว เจียงเหม่ยหยู่เป็นต้องภาคภูมิใจอย่างยิ่ง เดิมทียามที่ฝ่าบาทพึ่งจะขึ้นครองราชย์นั้น พวกนางก็เคยคิดจะส่งหรูหย้วนเข้าวัง แต่ว่าตอนนั้นสถานการณ์ยังไม่ชัดเจน ขุนนางซ่างซูผู้เป็นบิดาจึงลังเลไม่กล้าตัดสินใจ 


 


 


สุดท้ายจึงส่งเหลียนเอ๋อร์เข้าวังมา เหลียนเอ๋อร์แม้จะมีหน้าตางดงาม แต่ว่านิสัยใจคอกลับตื้นเขินเกินไป ตั้งแต่เล็กก็ถูกตามใจมามาก ไม่สนใจเรียนรู้ 


 


 


หากว่าเปรียบเทียบกับหรูหย้วนแล้ว เหลียนเอ๋อร์นับว่ายังห่างไกลอีกมาก 


 


 


เจียงเหม่ยหยู่ยังมีวาจาอีกมากมายกล่าวไม่หมด นางอยากจะเยินยอหรูหย้วนจนขึ้นฟ้าไปจนแทบจะอดใจไม่ไหว แต่ว่าฝ่าบาทกลับมิได้สนใจฟังแม้สักคำเดียว 


 


 


นับตั้งแต่ที่พระองค์เสด็จผ่านประตูเข้ามา สายพระเนตรก็จับจ้องอยู่แต่บนร่างของตู๋กูซิงหลัน 


 


 


กิริยาท่าทางที่เกียจคร้านของนาง ดูไปราวกับหนอนขนฟูตัวหนึ่ง 


 


 


ในมือของนางยังมีเมล็ดแตงอยู่กำหนึ่ง ยามที่เห็นเขาในแวบแรก ปฎิกิริยาอย่างแรกของนางคือกินเมล็ดแตงในมือให้หมดเกลี้ยง ใครจะอยากไปแย่งเมล็ดแตงของนางกัน! 


 


 


ตู๋กูซิงหลันยัดเมล็ดแตงเข้าไปจนเต็มปาก ดูราวกับหนูนาที่ตุนธัญพืชเอาไว้ หลายวันมานี้พอไม่ได้พบเจอเจ้าลูกชายฮ่องเต้สุนัข นางก็ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี สบายอกสบายใจ ไหนเลยจะคิดว่าอยู่ดีๆ เขาก็จะโผล่มาราวกับภูติผีโดยมิได้บอกกล่าว 


 


 


เดิมทีนางกำลังเกียจคร้านไม่อยากลุกจึงกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้อ่อน ยามนี้จึงกลายเป็นว่าดวงตาที่ง่วงงุนก็ปิดไม่ลงเสียแล้ว 


 


 


” ฝ่าบาท~” นางยิ้มหวานส่งเสียงทักทายพระองค์ 


 


 


จีเฉวียนเสด็จมาที่ข้างกายนาง ทอดพระเนตรมองดูนางบนเก้าอี้อ่อน ” เขยิบหน่อย” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันงงงันไปชั่วครู่หนึ่ง ค่อยๆ หดขาเข้าไป ยกพื้นที่เกือบครึ่งบนเก้าอี้อ่อนให้กับเขา 


 


 


จีเฉวียนขมวดพระขนงมุ่น ความหมายในรับสั่งของพระองค์คือให้นางลุกขึ้น ไปนั่งเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ด้านข้าง 


 


 


เป็นถึงไทเฮาของแคว้นหนึ่งแท้ๆ จะนั่งก็ไม่นั่งให้ดีมีสง่า ทำตัวไร้กระดูก สวมใส่เสื้อผ้าตามสบายก็ออกมาเอนนอนให้คนเข้าพบได้ ทำไมถึงได้ไม่รู้จักรักษากิริยาแม้แต่น้อย? 


 


 


น่าเสียดายที่สมองด้านความเข้าใจของนางมีปัญหาจริงๆ พอพระองค์รับสั่งว่าเขยิบหน่อย นางก็เขยิบให้นิดนึงจริงๆ …….. 


 


 


จีเฉวียนก็มิได้รับสั่งออกมาให้มากความ พอเห็นว่านางเขยิบให้หน่อยก็นั่งลงไปทั้งอย่างนั้น 


 


 


บนร่างของพระองค์มีกลิ่นอายของลมหิมะ พอประทับลงบนเก้าอี้อ่อน ตู๋กูซิงหลันก็พลันรู้สึกว่าตนเองเกือบจะถูกทับกลายเป็นขนมเปี๊ยะไส้เนื้อไปแล้ว 


 


 


เจ้าคนผู้นี้ถึงจะดูแล้วคล้ายจะผ่ายผอมไปบ้าง แต่ที่จริงแล้วกระดูกก็ใหญ่ตัวก็แข็ง เต็มไปด้วยเหลี่ยมมุมไปหมด 


 


 


ฮ่องเต้ที่ทรงประทับอยู่อีกด้านก็ทรงรู้สึกถึงร่างกายของสตรีที่อ่อนนุ่ม ยิ่งทรงรู้สึกว่านางคล้ายกับหนอนขนฟูจริงๆ 


 


 


ไม่เช่นนั้นทำไมถึงได้ขี้เกียจจนไม่ยอมลุกขึ้นมา จะให้เขาลงมานั่งบนเก้าอี้ตัวเดียวกันให้จงได้? 


 


 


นอกจากเสี่ยวลี่และหลี่กงกงแล้ว ผู้อื่นที่อยู่ในตำหนักต่างก็ปากอ้าตาค้างไปตามๆ กัน 


 


 


เสี่ยวลี่ค่อยๆ ถอยออกมาให้ไกลจากฮ่องเต้ออกไปอีก กลิ่นไอโอรสสวรรค์บนร่างของฝ่าบาททำให้ผีตายโหงอย่างนางรู้สึกไม่สบายเนื้อตัว ยามปกติหากพบเจอก็จะหลบหนีไปจนห่างไกล คราวนี้ต้องมาอยู่ในห้องเดียวกัน นางรู้สึกเหมือนขาดอากาศ หายใจจะไม่ออกอยู่แล้ว 


 


 


หัวใจของเจียงเหม่ยหยู่และซ่งหรูหย้วนต่างก็หงุดหงิด 


 


 


สีหน้าของซ่งหรูหย้วนไม่ดีอย่างยิ่ง นางเคยได้ยินมาว่า ไทเฮาน้อยคิดไม่ดีกับองค์ฮ่องเต้ ไม่ว่ามีเรื่องอันใดหรือไม่ก็เอาแต่จะค่อยทอดเสน่ห์ยั่วยวนพระองค์ 


 


 


ก่อนหน้านี้นางไม่เคยเห็น จึงคิดว่าเป็นแค่คำเล่าลือของผู้อื่น แต่ยามนี้นางได้เห็นด้วนตาของตนเอง นางสวะผู้นี้ถึงกับนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดียวกันกับฝ่าบาท ร่างกายแทบจะแนบชิดติดกันอยู่แล้ว ทั้งๆ ที่อยู่ต่อหน้าพวกนางแท้ๆ แต่กับไม่แยแส จงใจล่อลวงฝ่าบาท! 


 


 


มิน่าล่ะเมื่อครู่นางถึงได้เอาแต่ปฎิเสธ ไม่คิดจะช่วยเหลือนาง 


 


 


ที่แท้ตัวเองก็คิดจะครอบครองฝ่าบาทเอาไว้เพียงผู้เดียว 


 


 


” ฝ่าบาท….” นางคุกเข่าอยู่บนพื้นจนขาชา จึงค่อยเปิดปากเรียกจีเฉวียนคำหนึ่ง 


 


 


จีเฉวียนยังคงไม่สนพระทัยนาง เพียงหันพระพักตร์ไปทางตู๋กูซิงหลันที่อยู่บนเก้าอี้ตัวเดียวกัน “เจ้ากลัวว่าเรากริ้วแล้วจะเกลียดเจ้า? “ 


 


 


เมื่อครู่ตอนที่อยู่นอกประตู คำพูดของนางเขาล้วนได้ยินอย่างชัดเจน 


 


 


ตู๋กูซิงหลันชะงักไปครู่หนึ่ง “อืม” 


 


 


เจ้าฮ่องเต้ผู้นี้เป็นนักลอบฟังหลังกำแพง! 


 


 


นางก็แค่เกรงว่าซ่งหรูหย้วนผู้นี้เข้าวังมาแล้วจะสร้างความเดือดร้อนให้กับตระกูลตู๋กู 


 


 


เพราะนางมีความเชื่อมโยงกับตระกูลตู๋กูในเมื่อมีบรรพบุรุษร่วมกัน กระตุกผมเส้นเดียวย่อมสะเทือนไปทั้งร่าง จะอย่างไรก็หนีไม่พ้น 


 


 


ไม่เช่นนั้นตนเองคงไม่ช่วยเหลือเสี่ยวลี่ยึดร่างของตู๋กูเหลียน จุดประสงค์ก็เพราะไม่ต้องการให้ตู๋กูเหลียนก่อเรื่อง 


 


 


แน่อยู่ว่า นางยิ่งเกรงว่าสมองของเจ้าฮ่องเต้สุนัขจะเกิดคึกขึ้นมา อยู่ว่างไร้เรื่องราวก็วางกับดักใส่นาง จัดการนางได้ในสักวันหนึ่ง 


 


 


ดังนั้นหากว่าสามารถไม่ไปยั่วโทสะเขาได้ ก็ไม่ควรไปยั่วโทสะของเขา 


 


 


เมื่อได้ยินนางตอบรับ จีเฉวียนก็ขยับท่านั่งให้ภูมิฐานยิ่งกว่าเดิม ตรัสเสียงเย็นชาออกมาคำหนึ่ง “เราให้อภัยเจ้า “ 


 


 


แต่ให้อภัยเฉพาะแค่เรื่องที่หลายวันมานี้นางมิได้ไปดูแลเขายามแช่ยาเท่านั้น ไม่ได้ให้อภัยเรื่องที่นางกับจีเย่ว์ไปแอบพบกันตอนมืดค่ำ! 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “??? ” ว่ากันตามจริง นางไม่เข้าใจเลยว่าตนเองไปก่อเรื่องอะไรให้เขาหงุดหงิดใจ 


 


 


น้ำพระทัยเจ้าแผ่นดินลึกล้ำดุจมหาสมุทร หากไม่ระวังกระทำผิดพลาดก็เป็นอันจบ 


 


 


นางรีบตอบรับอย่างคล้อยตามว่า “ฝ่าบาทพระทัยกว้างขวาง” 


 


 


พระองค์ย่อมไม่อาจทนเห็นท่าทางที่นางโอบกอดใกล้ชิดกับบุรุษอื่นได้อีก 


 


 


เรื่องนี้แม้มิได้ทรงตรัสออกมา ในใจนางก็ควรจะรู้อยู่แล้ว ด้วยฐานะของนางไม่อาจอนุญาตให้นางเกี่ยวข้องกับบุรุษใดได้ทั้งนั้น 


 


 


ตู๋กูซิงหลันพยักหน้าติดๆ กัน “อืม” 


 


 


คราวนี้ พระอารมณ์ของฝ่าบาทค่อยดีขึ้นบ้างเล็กน้อย พระองค์จึงค่อยสังเกตเห็นว่ามีอีกสองคนอยู่ในตำหนักเฟิ่งหมิงด้วย พระขนงที่พึ่งจะคลายออกก็ขมวดขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง 


 


 


พระองค์หันไปทอดพระเนตรเจียวเหม่ยหยู่แวบหนึ่ง จากนั้นก็หันไปดูซ่งหรูหย้วนที่อยู่ข้างตัวนาง ” เจ้าเป็นใครกัน? “ 


 


 


ซ่งหรูหย้วน “…..” เมื่อครู่นางกับท่านยายพูดไปตั้งมากมาย หรือว่าฝ่าบาทมิได้ทรงฟังเลยแม้สักคำหนึ่ง? 


 


 


” หม่อมฉัน ซ่งหรูหย้วน เป็นบุตรสาวของขุนนางซ่างซูซ่งกงเลี่ยงเพคะ “ 


 


 


ซ่งฮูหยินไม่อาจคลอดบุตร ใต้เท้าซ่างซูจึงสู่ขอบุตรสาวสายรองของตระกูลตู๋กู ตู๋กูจิงมาเป็นภรรยาที่มีฐานะเท่าเทียมกัน เรื่องนี้จีเฉวียนย่อมทราบชัดเจนอยู่แล้ว 


 


 


เพียงแต่พระองค์ไม่มีเคยสนพระทัยเรื่องของซ่งหรูหย้วนมาก่อน 


 


 


“อ้อ ” น้ำเสียงของฮ่องเต้เย็นชา 


 


 


ถึงมาจะเป็นเพียงแค่คำเดียว แต่ว่าสำหรับซ่งหรูหย้วนแล้วนางกลับตื่นเต้นไปหมด 


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่ฝ่าบาททรงรับสั่งกับนางก่อน! 


 


 


ยามนี้นางหน้าบานดุจดอกท้อ ” หม่อมฉันได้ยินผู้คนสรรเสริญฝ่าบาทมานานแล้วเพคะ วันนี้ได้เข้าเฝ้านับว่าเป็นบุญที่สั่งสมมาสามชาติ หม่อมฉันแม้ตายก็ยินดีเพคะ “ 


 


 


จีเฉวียนทรงได้ยินแล้ว ก็ตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ผ้าขาว ยาพิษ มีดสั้น หากเจ้าอยากตาย เราสามารถประทานได้อย่างหนึ่ง” 


 


 


ซ่งหรูหย้วน และเจียงเหม่ยหยู่ “!!! “ 


 


 


วิญญาณทมิฬ ” หึๆๆๆๆ เจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นี่นับว่าเป็นตัวเลวร้ายที่แท้จริง! “ 


 


 


ว่าแล้ว จีเฉวียนก็ไม่ทรงลืมย้ำไปอีกประโยค “หลี่กงกง ไปตระเตรียม อย่าให้นางต้องรอนาน “ 


 


 


หลี่กงกงทำหน้ากล้ำกลืน แต่ก็ไม่กล้าขัดพระประสงค์ของฝ่าบาท ได้แต่หันไปสั่งคนให้รีบไปเตรียมของประทานทั้งสาม 


 


 


ว่ากันตามจริงแล้ว แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าซ่งหรูหย้วนไปทำอะไรให้ฝ่าบาทไม่ทรงพอพระทัย  

 

 


ตอนที่ 137 เจ้ากำลังเอาใจเรา?

 

พอเห็นว่าฮ่องเต้ทรงเอาจริง ซ่งหรูหย้วนก็ตระหนกจนรีบโขกศีรษะติดต่อกันหลายครั้ง “ฝ่าบาท หม่อมฉัน….หม่อมฉันผิดในที่ใดกัน จึงต้องรับโทษตายจากพระองค์? “ 


 


 


นางทูลถามพลาง น้ำตาก็ไหลเป็นทางตามไปด้วย ท่าทางโศกเศร้าคับแค้นใจอย่างที่สุด 


 


 


“เพียงแค่ได้พบเรา เจ้าก็บอกว่าขอตายโดยไม่เสียดายชีวิต เราก็อนุญาตตามที่เจ้าขอ นี่กลับกลายเป็นว่าเราผิดกระนั้นหรือ? “ 


 


 


คราวนี้ซ่งหรูหย้วนไม่กล้าพูอะไรออกมาพร่อยๆ อีก เกรงว่าหากนางพูดผิดไปคำหนึ่ง จะถูกฝ่าบาทจับหางเอาไว้ได้ เป็นเหตุให้นางต้องจบชีวิต 


 


 


ก่อนหน้านี้นางก็เคยได้ยินได้ฟังมาว่า พระอุปนิสัยของฝ่าบาทไม่เหมือนคนทั่วไป คิดไม่ถึงว่าพระอารมณ์ของพระองค์จะแปรปรวนง่ายเช่นนี้ 


 


 


นางได้แต่คุกเข่าร่ำไห้ ใช้สายตาน่าสงสารหันไปมองดูเจียงเหม่ยหยู่ จากนั้นก็หันไปหาตู๋กูซิงหลัน วาดหวังว่าตู๋กูซิงหลันจะเห็นแก่ความเป็นญาติช่วยเหลือนางบ้าง 


 


 


” ฝ่าบาท ไทเฮาเพคะ เด็กน้อยหรูหย้วนคนนี้ไม่เคยได้พบโลกภายนอก พูดจาจึงไม่ได้ผ่านการไตร่ตรองไปบ้าง นางเพียงแต่มุ่งจะแสดงความเคารพพระองค์เท่านั้น ดังนั้นแม้จะให้นางมาเป็นบ่าวรับใช้พระองค์นางก็ยังยินดี ” เจียงเหม่ยหยู่รีบกล่าวต่อไป “ขอฝ่าบาททรงเห็นแก่นายท่านของหม่อมฉันละเว้นชีวิตนางเถอะเพคะ “ 


 


 


“เจียงซื่อ เจ้าดูให้ดีเสียก่อน นางแซ่ซ่ง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับนายท่านของเจ้าเลย” จีเฉวียนยังคงพระพักตร์เย็นชาดังเดิม เพียงแต่สายพระเนตรเหลือบไปทางตู๋กูซิงหลันอยู่บ้างเท่านั้น 


 


 


เขาชอบความรู้สึกที่ได้เบียดอยู่กับตู๋กูซิงหลันเช่นนี้ นุ่มๆ นิ่มๆ อุ่นๆ ดี แม้แต่ความเหน็บหนาวที่เกาะหนึบอยู่บนร่างของเขาก็ยังลดลงไปหลายส่วน 


 


 


ฉะนั้น…..เมื่อคิดถึงยามที่จีเย่ว์กอดนางเอาไว้อย่างแนบแน่น เขาก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมา และอยากจะกอดนางเช่นนั้นบ้าง 


 


 


แต่พอเกิดความคิดเช่นนี้ขึ้น เขาก็คิดว่าจะต้องเร่งให้หยวนเฟยตามหาหมอผีมาดูแลรักษาอาการของตนเอง 


 


 


นางเป็นไทเฮา เขาจะไปเกิดความคิดเช่นนั้นกับนาง…… 


 


 


” ฝ่าบาท แต่ว่าหรูหย้วนเองก็เป็นหลานสาวสายนอกของนายท่านของหม่อมฉันนะเพคะ ” เจียงเหม่ยหยู่ร้อนใจจนเหงื่อออกท่วมใบหน้า นางทูลพลางก็หันไปจ้องตาตู๋กูซิงหลันอย่างไม่คิดชีวิต 


 


 


นางสวะนี่ ทำไมถึงได้เอาแต่ทำตัวใจเย็นเป็นเพียงผู้ชมอยู่ได้? 


 


 


ไม่เห็นหรือว่าฝ่าบาทจะทรงเอาชีวิตของหรูหย้วนอยู่แล้ว? หรือว่านางอยากจะให้หรูหย้วนตายไปเสียให้ได้? 


 


 


นางหญิงชั่วที่มีแต่พิษร้าย! 


 


 


“นายท่านยอมลำบากยากเข็นเพื่อแคว้นต้าโจว เสียสละร่างกายเพื่อแผ่นดิน แม้อากาศจะเหน็บหนาวถึงเพียงนี้ก็ยังนำทัพออกรบอยู่ที่เป่ยเจียง ไยฝ่าบาทจะทรงประหารหลานสาวสายนอกของเขาอย่างไร้เหตุผลได้กันเล่าเพคะ นี่ช่างทำให้จิตใจผู้คนเหน็บหนาวเหลือเกิน ” กระดูกชราของเจียงเหม่ยหยู่คุกเข่าจนแทบจะจับแข็งไปหมดแล้ว 


 


 


เดิมทีคิดว่าการที่หรูหย้วนได้พบกับฝ่าบาทก่อนจะเป็นเรื่องดี ไหนเลยจะรู้ว่า…… 


 


 


คำพูดเช่นนี้ของเจียงเหม่ยหยู่ทำเอาตู๋กูซิงหลันรู้สึกไม่สบายขึ้นมาบ้างแล้ว สายตาของนางทอประกายเยือกเย็นขึ้นมาบ้าง ” อย่าได้ยกท่านปู่ของเรามาอ้างให้มันมากนัก “ 


 


 


” ทุกสิ่งที่ท่านปู่ทำเพื่อแคว้นต้าโจวล้วนทำด้วยความเต็มใจ ไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์ส่วนตนแม้แต่น้อย ยิ่งไม่จำเป็นจะต้องมายกอ้างความเป็นลูกหลานให้ฝ่าบาทลำบากใจ ฝ่าบาทเป็นโอรสสวรรค์ ตรัสสิ่งใดก็เป็นไปเช่นนั้น เจ้าไม่เคยได้ยินคำที่ว่า ‘เจ้าชีวิตให้ขุนนางตาย ขุนนางมิอาจไม่ตาย’ หรอกหรือ? “ 


 


 


นางยอมทนให้พวกนางพูดจาเหลวไหลได้ แต่ไม่อาจทนให้พวกนางลากท่านปู่ลงมาเป็นเกราะกำบังได้ 


 


 


จีเฉวียนแต่ไรก็เกลียดชังตระกูลตู๋กูอยู่แล้ว พวกนางยังจะเรื่องมาให้ท่านปู่ได้ไม่หยุดไม่หย่อน นี่ยิ่งเท่ากับกระตุ้นให้จีเฉวียนยิ่งไม่พอใจมิใช่หรือ? 


 


 


ปากก็ร่ำร้องว่าว่าทำเพื่อตระกูล แต่กลับเรียกร้องให้ตระกูลยอมทุกอย่างเพื่อพวกนาง 


 


 


เจียงเหม่ยหยู่ “……..” 


 


 


นังคนทรยศที่รู้จักแต่โหมไฟใส่! ข้านึกอยู่แล้วว่ามันจะต้องไม่ได้หวังดีเป็นแน่! 


 


 


จีเฉวียนสูดดมกลิ่นดอกฮว๋ายที่กำจายจากกายของตู๋กูซิงหลัน คำพูดของนางยิ่งทำให้เขารู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


” ไทเฮาพูดได้ดียิ่งนัก ” ยามที่หันไปทอดพระเนตรมองเจียงซื่อและซ่งหรูหย้วน สีพระพักตร์ของฝ่าบาทก็ยิ่งเย็นชา 


 


 


ทันทีที่สิ้นเสียงรับสั่ง หลี่กงกงที่ทำงานได้ดีมีประสิทธิ์ภาพมาโดยตลอด ก็เข้ามาพร้อมของประทานทั้งสาม 


 


 


พอซ่งหรูหย้วนหันไปเห็น ร่างของนางก็เหมือนกับถูกดูดเรี่ยวแรงออกไปจนหมดสิ้น นางอ่อนระทวยจนลงไปกองอยู่บนพื้น ตัวสั่นสะท้านไปทั้งร่าง 


 


 


” อย่าได้ทำให้เราต้องเสียเวลา เจ้าเลือกมาอย่างหนึ่ง ตายให้จบๆ ไป จะได้ไม่ต้องไปทำให้ตระกูลตู๋กูเสียหน้าในภายหลังอีก” 


 


 


พอฮ่องเต้รับสั่งออกมา ซ่งหรูหย้วนก็ตระหนกจนสลบไสลไปในทันที 


 


 


จีเฉวียนแย้มสรวลเย็นๆ ” ตัวไร้ประโยชน์” 


 


 


หากว่านางเป็นสตรีที่มีความฉลาดอยู่บ้างก็แล้วไปเถอะ แต่กลับทั้งโง่ทั้งขี้ขลาด 


 


 


เป็นเช่นนี้แล้วยังคิดจะเข้าวังมาเป็นสนม ดูท่าแล้วไม่ว่าสตรีคนใดในวังหลังต่างก็สามารถผลัดกันแทงนางจนพรุนเป็นกระชอนได้ทั้งนั้น 


 


 


สตรีเช่นนี้หากเข้าวังมา ก็มีแต่จะหาความยากลำบากมาให้ตู๋กูซิงหลัน และอาจทำให้ตระกูลตู๋กูพลอยยุ่งยากไปด้วย 


 


 


แต่ว่านางเฒ่าชราเจียงเหม่ยหยู่นั่นกลับไม่เข้าใจ ยังจะกล้าส่งตัวยุ่งยากเช่นนี้เข้าวังมาอีก 


 


 


ว่าแล้ว จีเฉวียนก็สั่งให้คนมาลากซ่งหรูหย้วนออกไป “ทิ้งไปไกลๆ หน่อย เราไม่อยากเห็นนางอีก” 


 


 


พอเห็นว่าซ่งหรูหย้วนเก็บชีวิตกลับมาได้ เจียงเหม่ยหยู่ก็ถอนใจอย่างโล่งอก แต่ในใจของนางก็ยิ่งทวีความโกรธแค้นลึกล้ำกว่าเดิม หากว่าตู๋กูซิงหลันยอมพูดจาดีๆ แทนหรูหย้วนสักสองคำ หรูหย้วนก็คงไม่ต้องกลายเป็นเช่นนี้! 


 


 


ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะนังหญิงชั่วนั่น! 


 


 


ขณะที่นางยังมิทันได้เรียกสติกลับมา ก็ได้ยินฝ่าบาทรับสั่งอีกว่า “เอานางเจียงซื่อโยนออกไปด้วย หากไม่มีคำสั่งจากเรา อย่าได้ให้นางเข้ามาในวังอีกแม้สักครึ่งก้าว” 


 


 


ตรัสแล้ว จีเฉวียนก็หันไปเหลือบพระเนตรมองดู ‘ตู๋กูเหลียน’ 


 


 


เสี่ยวลี่นับว่าเป็นผีที่สายตาดีไม่เลว เดิมทีก็ถอยไปอยู่เสียไกลแล้ว คราวนี้พอเห็นว่าฝ่าบาทหันมาจับจ้องนาง ก็รีบกราบทูลในทันที “หม่อมฉันจะรับไสหัวไปเดี๋ยวนี้เพคะ ไม่อยู่รบกวนฝ่าบาทและไทเฮาแล้วเพคะ” 


 


 


พูดจบนางก็รีบหนีหายไปราวกับสายลมหอบหนึ่ง 


 


 


นับตั้งแต่ฝ่าบาทขึ้นครองราชย์มา นางเจียงซื่อเข้าวังมาสองครั้งก็ถูกจับโยนออกไปตลอดทุกครั้ง 


 


 


ครั้งนี้แม้แต่หลานสาวสายนอกของนางเองก็ยังพลอยถูกโยนออกมาด้วย ยามที่ถูกหิ้วไปทิ้งนอกวังนั้น ผู้คนมากมายต่างก็เห็นกันอย่างชัดเจน 


 


 


อันหว่านจือที่ไปชมดูความครึกครื้นก็พลอยได้เห็นอย่างชัดเจน 


 


 


ในใจนางครุ่นคิดอย่างเงียบงัน ดูท่าฝ่าบาทจะต้องทรงรังเกียจตระกูลตู๋กูอย่างยิ่งทีเดียว มิเช่นนั้นไยจึงจะไม่ไว้หน้าถึงเพียงนี้ ปล่อยให้คนนำตัวมาโยนทิ้งเช่นนี้? 


 


 


นางแอบมองดูสาวน้อยที่สลบไสบไปแล้วผู้นั้น คงจะต้องเป็นแผนของตระกูตู๋กูที่คิดจะส่งคนเข้าวังมาร่วมคัดเลือกนางสนมแน่ๆ หึ…..น่าเกลียดขนาดนั้นยังจะกล้าใฝ่ฝันถึงฝ่าบาทอีกหรือ? 


 


 


คนเช่นนั้น ต่อให้ได้เข้าวังมาจริง ฝ่าบาทก็ไม่มีทางเหลือบพระเนตรไปมองนางหรอก! 


 


 


อีกไม่นานทั้งสายพระเนตรและพระทัยของฝ่าบาทก็จะมีแต่ตัวนางอันหว่านจือเท้านั้น 


 


 


……………………………………………… 


 


 


ในตำหนักเฟิ่งหมิง 


 


 


พอพวกเจียงเหม่ยหยู่ถอยออกไปจนหมด รอบด้านก็เงียบลงในทันที 


 


 


หลี่กงกงลากเชียนเชียนออกไปด้วยกัน แม้แต่เจ้าไก่ที่ถูกนำมาเลี้ยงไว้ตัวนั้นก็ยังถูกขับออกไปอยู่ในสวน 


 


 


ในห้องจึงเหลือเพียงตู๋กูซิงหลันและจีเฉวียนเท่านั้น 


 


 


พวกเขายังคงอยู่บนเก้าอี้อ่อนตัวเดียวกัน! 


 


 


พระวรกายของจีเฉวียนเปี่ยมไปด้วยไอเย็น อย่างชนิดที่เรียกว่าธาตุหยินปกคุมจนเหน็บหนาว เย็นเสียจนตู๋กูซิงหลันพลอยรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาแล้ว นางรู้สึกว่าความอบอุ่นในร่างกายถูกเขาดูดออกไปจนหมดสิ้น 


 


 


จิตใจนางตอนนี้รู้สึกขัดเขินไปหมด 


 


 


“ฝ่าบาทเพคะ อย่างไรพระองค์จะทรงลองแทะเม็ดแตงบ้างไหมเพคะ? ” ตู๋กูซิงหลันกำเม็ดแตงขึ้นมากำหนึ่งส่งถวายเขา 


 


 


ฮ่องเต้กวาดพระเนตรเหลือบดู “เราไม่กินของที่มีเปลือก” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันกุลีกุจอแกะเม็ดแตงให้เขา นางวางเม็ดแตงลงบนใจกลางฝ่ามือขาวอมชมพู ” อ่ะ ไม่มีเปลือกแล้วเพคะ” 


 


 


ฝ่ามือของนางเล็กนิดเดียว ปลายนิ้วก็เรียวยาวละมุนดุจต้นหอม ฝ่ามือเช่นนี้เมื่อมีเม็ดแตงวางอยู่ก็น่าดูยิ่งนัก 


 


 


พระองค์ทอดพระเนตรอยู่ครู่หนึ่ง ก็เหลือบพระเนตรไปยังใบหน้าของนาง ” เจ้ากำลังเอาอกเอาใจเรา? 

 

 


ตอนที่ 138 จูบเรา ถือเป็นเรื่องปกติหรือ?

 

ตู๋กูซิงหลัน “? ” นี่ไม่ใช่เพราะว่าควรจะทำเรื่องแก้ขัดเขินกันหน่อยหรอกหรือ? มันไม่ใช่ว่าควรจะมีใครหาเรื่องมาพูดคุยหรือไม่ก็ทำอะไรสักหน่อยไม่ใช่หรือ? 


 


 


ไม่ทันได้รอให้นางพูดอะไร ก็ได้ยินเขาตรัสว่า “เราจะยอมรับการเอาใจของเจ้าก็ได้ “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าเขาเข้าใจอะไรผิดไปหน่อยแล้ว 


 


 


จีเฉวียนค่อยๆ หยิบเม็ดแตงในมือของนางขึ้นมาช้าๆ เสวยพลางตรัสพลางว่า “ยังจะนั่งอยู่บนเก้าอี้นี้อีก เจ้าชอบเอาตัวมาติดกับเราตามลำพังใช่ไหม? “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันรีบออกแรงดึงชุดกระโปรงของตนเอง “ไม่ใช่เพคะ ฝ่าบาท…..พระองค์ประทับอยู่บนกระโปรงของหม่อมฉัน” 


 


 


นางเกรงว่าหากตนเองฝืนลุกขึ้นมา จะไม่ใช่แค่กระโปรงที่ขาด แต่อาจจะทำเอาเขาพลิกหล่นไปด้วย เดิมทีก็เป็นคนที่ไข่มังกรเจ็บจนน่าสงสารอยู่แล้ว หากว่ามาล้มไปอีกมีหวังคงลุกขึ้นมาดับชีวิตนางแน่ 


 


 


จีเฉวียน “……..” 


 


 


ก็เขาจะไม่ลุกเสียอย่าง มั่นคงดุจเขาไท่ซานไม่เคลื่อนไหว พลางยื่นพระหัตถ์ออกไปเขี่ยเม็ดแตงในจานข้างตัว “เราจะเอาอีก” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันแย้มยิ้ม “ท่านไม่มีมือหรือไง? “ 


 


 


” มือของเรามีไว้เพื่อจัดการเรื่องราวของบ้านเมืองไม่ใช่เอาไว้ปอกเม็ดแตง ” จีเฉวียนตรัสตอบ ทั้งยังอดยกยิ้มมุมปากไม่ได้ สายพระเนตรทอดดูนาง “อย่าว่าแต่ เจ้าไม่ได้บอกว่าอยากจะเอาใจเราหรือไง? เราให้โอกาสเจ้าแล้ว” 


 


 


ไม่รู้ว่าทำไม ตู๋กูซิงหลันถึงได้เกิดความรู้สึกอยากจะหยิบรองเท้ามาฟาดหน้าเขาอีกสักครั้ง 


 


 


นางกล้ำกลืนโทสะลงคอ ค่อยแกะเปลือกเม็ดแตงให้เขาต่อไป 


 


 


“แต่ก่อนนี้เจ้าเคยแกะให้จีเย่ว์กินมาก่อนหรือไม่? ” จีเฉวียนเห็นนางแกะเม็ดแตงอย่างตั้งใจก็ตรัสถามขึ้นมา 


 


 


” ไม่เคย ” ตู๋กูซิงหลันตอบโดยมิได้เงยหน้าขึ้นมา ไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้นางก็ไม่เคยว่างนั่งแกะเม็ดแตงให้ผู้อื่นกินมาก่อน 


 


 


พอได้ฟังคำตอบ พระทัยของจีเฉวียนก็เกิดความพอใจขึ้นมาจางๆ 


 


 


อยู่ๆ พระองค์ก็ทรงรู้สึกขึ้นมาว่าเม็ดแตงนี้ก็อร่อยดีอยู่เหมือนกัน 


 


 


พอเสวยไปเรื่อยๆ ก็ทรงตรัสถามขึ้นมาอีก “เจ้าเกลียดเราที่ส่งจีเย่ว์ไปซีเหลียงบ้างไหม? “ 


 


 


” นี่เป็นเรื่องของชาติบ้านเมือง ฝ่าบาทอย่าได้ทรงเอามารับสั่งกับหม่อมฉันดีกว่าเพคะ เดิมทีก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหม่อมฉันอยู่แล้ว จะให้ไปเกลียดอะไร? ” ตู๋กูซิงหลันพูดไปก็หยิบเอาเม็ดแตงที่แกะไว้ขึ้นมา กำลังจะโยนเข้าปาก 


 


 


ก็พลันพบว่าจีเฉวียนที่มือเท้าแคล้วคล่องมาคว้าเอาไปจากมือของนางเสียก่อน “ของเรา” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “……..” อ๋า! 


 


 


เพราะได้เสวยเม็ดแตง พระอารมณ์ของฝ่าบาทเหมือนจะดีขึ้นมามาก ถึงแม้ว่านางจะแสร้งทำเป็นไม่สนใจเขาแล้วก็ตาม เขาก็ยังทนได้ 


 


 


สายพระเนตรของฝ่าบาททอประกายบางอย่างขึ้นมา “การคัดเลือกสนมครั้งนี้เราสั่งให้ยกเลิกไปแล้ว” 


 


 


” ทำไมถึงได้ยกเลิกไปละเพคะ? ” ในใจของตู๋กูซิงหลันเกิดความเสียดายขึ้นมา พูดกันตามจริง นางอุตส่าห์รอคอยจะได้ไปคัดเลือกลูกสะใภ้ที่หน้าตาดีมาสักหลายๆ คน 


 


 


” ดูท่าเจ้าจะผิดหวังอยู่บ้าง? ” จีเฉวียนเปลี่ยนสีพระพักตร์ได้ไวกว่าพลิกหน้าหนังสือเสียอีก 


 


 


” หม่อมฉันเป็นไทเฮา ย่อมจะต้องมุ่งหวังจะให้ฝ่าบาททรงแตกกิ่งก้านสาขาออกไป และให้หม่อมฉันได้อุ้มหลานไวๆ “ 


 


 


” เจ้าอยากให้เราอยู่ร่วมกับสตรีอื่นๆ จริงๆ หรือ? “ 


 


 


คำว่า ‘ อื่นๆ ‘ นี้ดูจะมีความหมายอื่นๆ ด้วยจริงๆ เพราะประเด็นสำคัญคือตู๋กูซิงหลันยังไม่เคยเห็นเขาอยู่ร่วมกับสตรีคนใดมาก่อนเลย 


 


 


คิดๆ ดูแล้ว สาเหตุที่เขายกเลิกการคัดเลือกนางสนมน่าจะมาเหตุผลเดิมๆ มากกว่า 


 


 


ตู๋กูซิงหลันจึงค่อยๆ ถามออกไปอย่างระมัดระวังว่า “ไม่งั้น พวกเราก็คัดเลือกหนุ่มน้อยหน้ามนสักหลายๆ คนเข้าวังมาเป็นยังไงเพคะ อย่างไรเสีย… …ร่างกายท่านราชครูเป็นถึงขนาดนั้น หม่อมฉันเกรงว่านานวันเข้าพระองค์จะทรงรับไม่ไหว” 


 


 


หนุ่มน้อยก็ไม่เลว หากเข้าวังมานางก็ถือเสียว่าเป็นลูกบุญธรรมก็ได้อยู่ 


 


 


” ตู๋กูซิงหลัน! ” จีเฉวียนอยากจะสับนางให้ตายไปเสียจริงๆ 


 


 


เขายื่นหัตถ์ออกมา แต่สุดท้ายแล้วกลับเพียงจิ้มหนักๆ ลงไปบนหน้าผากของนาง “สมองของเจ้าวันๆ เอาแต่คิดเรื่องใดอยู่กันแน่? จะเลือกบุรุษเข้าวัง เจ้าคิดจะทำอะไร หืม? “ 


 


 


ตัวเขาที่สง่างามเปี่ยมด้วยพระบารมียังไม่อาจเติมเต็มความพอใจของนางหรือ? พึ่งจะไล่จีเย่ว์ไปคนหนึ่ง นางก็คิดจะเรียก ‘จีเย่ว์’ อีกหลายๆ คนเข้าวัง? 


 


 


ตู๋กูซิงหลันที่ถูกเขาเคาะหน้าผากส่งเสียงโอดครวญออกมาเบาๆ คนแทบจะหงายหลังตกเก้าอี้อ่อนลงไปแล้ว 


 


 


ยังดีที่จีเฉวียนทรงคว้านางกลับมาได้อย่างรวดเร็ว แต่เพราะออกแรงมากไปจึงกลายเป็นว่าดึงตู๋กูซิงหลันเข้าไปในอ้อมพระอุระ พอดีกับที่เขาก้มพระเศียรลงมา ริมฝีปากที่เย็นเป็นน้ำแข็งนั้นจึงประทับลงไปบนหน้าผากของนางเบาๆ ครั้งหนึ่ง 


 


 


ยามที่ได้สัมผัสกับความอบอุ่นที่แปลกประหลาดนั้นเขารู้สึกเหมือนกับว่าถูกกระแสไฟฟ้าวิ่งพล่านไปทั่วร่าง จนเลือดลมแทบพลิกกลับ ทั้งใบหน้า และลำคอ แม้กระทั้งใบหูก็แดงเถือกไปหมด 


 


 


ข้างตู๋กูซิงหลันกลับไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งนั้น เมื่อครู่นั้นคล้ายกับเป็นเพียงแมลงปอแตะผิวน้ำ นางยังไม่ทันได้รู้สึกอะไรก็จบไปเสียแล้ว 


 


 


เพียงแต่สถานการณ์ของนางตอนนี้ออกจะแปลกๆ ไปเสียหน่อย ตัวของนางแทบจะขึ้นไปเกาะอยู่บนตัวของจีเฉวียน ร่างกายของทั้งสองคนแนบแน่นอยู่บนเก้าอี้อ่อน ต่างก็สามารถรู้สึกได้ถึงเสียงหัวใจเต้นของอีกฝ่าย 


 


 


” ตึกๆๆๆ …..” หัวใจของจีเฉวียนเต้นราวกับกลอง ส่วนหัวใจของตู๋กูซิงหลันเต้นอย่างสบายๆ แม้แต่ความตื่นเต้นสักเล็กน้อยยังไม่มี 


 


 


” ฝ่าบาท ท่านหน้าแดงทำไม? ” ตู๋กูซิงหลันจัดแจงผมเผ้าเล็กน้อย ทั้งยังคิดจะดึงชายกระโปรงของตนเองออกมาด้วย เสียดายที่กระโปรงของนางถูกจีเฉวียนนั่งทับไว้ จึงไม่อาจขยับได้แม้แต่น้อย 


 


 


นางจึงได้แต่ล้มเลิกความคิดเสีย เพียงสบตาเขาอย่างเงียบงัน 


 


 


จีเฉวียนกระพริบพระเนตรหงส์ สบตานางกลับไป “เจ้ารู้หรือไม่ว่า เมื่อครู่เจ้าทำอะไรกับเรา? “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน ” อ๋า? “ 


 


 


“ช่างกล้าชาญชัยนัก ใช้หน้าผากของเจ้ามาจูบปากเรา? ตู๋กูซิงหลัน เจ้าช่างมีวิธีการมากมายนัก” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน ” ห๋า? ” แน่ใจหรือว่าไม่ใช่เจ้าที่เอาปากมาจูบหน้าผากของข้า? 


 


 


แล้วยังจะมาทำท่ารังเกียจกันทำไม หน้าผากข้าไม่ได้มีพิษเสียหน่อย 


 


 


“เป็นอุบัติเหตุเพคะ อุบัติเหตุ ” นางรีบยอมมือขึ้นมาเช็ดปากให้เขา “นี่ไม่นับว่าเป็นอะไรหรอก เพราะว่าพวกเราเป็นแม่ลูกกัน คนเป็นแม่จูบๆ หอมๆ ลูกตัวเองถือเป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่หรือเพคะ? “ 


 


 


ฝ่ามือที่อุ่นนุ่มปัดผ่านริมพระโอษฐ์นั้น ทั่วทั้งร่างของจีเฉวียนยิ่งกลายเป็นหยุดชะงักไป ตั้งแต่ตอนที่พระองค์เป็นเด็กจนโตมาล้วนไม่ชอบให้ผู้ใดสัมผัสตัว แต่ว่าพอเป็นนาง….ไม่เพียงไม่รังเกียจแถมยัง…… 


 


 


สายพระเนตรของพระองค์เป็นประกาย ขณะที่ตู๋กูซิงหลันยังไม่ทันได้ดึงมือกลับไปนั้น พระองค์ก็ทรงรีบคว้าข้อมือของนางเอาไว้ ” ตู๋กูซิงหลัน สำหรับเจ้าแล้ว จูบเรา ถือเป็นเรื่องปกติหรือไง? “ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันฟังแล้วคล้ายกับว่าจะไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ ที่นางพูดออกไปเมื่อครู ก็เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ที่หน้าเขินอายเท่านั้น ก็ช่วยหาทางลงจากเวทีให้เขาไงละ? 


 


 


ทำไมถึงได้กลายเป็นว่าไม่ยอมลงจากเวทีเสียแล้ว คิดจะเล่นต่อไปหรือ 


 


 


สายลมภายนอกยังพัดหวีดหวิว กระถางไฟในห้องยังคงมีเสียงถ่านไม้ไหม้เปรี๊ยะๆ ฤดูหนาวที่เยือกเย็นคล้ายกันว่าอยู่ๆ ก็อบอุ่นนุ่มนวลขึ้นมา 


 


 


จีเฉวียนเห็นนางทั้งงงงันและประหลาดใจ ก็ยื่นพระพักตร์เข้าไปใกล้ จนสันจมูกแทบจะสัมผัสกัน 


 


 


สองคนที่เดิมทีก็ตัวติดกันอยู่แล้ว ยามนี้ร่างกายของทั้งสองยิ่งเข้าใกล้จนแทบจะเป็นร่างเดียวกัน 


 


 


ตู๋กูซิงหลันค่อยๆ โค้งเอวไปยังด้านหลัง กลับถูกจีเฉวียนใช้พระหัตถ์อีกข้างคว้าเอวที่บอบบางของนางเอาไว้ ดึงกลับเข้ามาใกล้ตนเอง สองเนตรหงส์ของพระองค์จดจ้องไล่ตามดวงตาของนาง 


 


 


ดวงตาดอกท้อคู่นั้นเปล่งประกายราวแสงสะท้อนในน้ำ นัยตาสะท้อนเงาร่างของพระองค์ 


 


 


นางช่างมีพิษร้ายอยู่ในตัว เพียงแค่พระองค์มองนางมากไป โรคในพระทัยก็เกิดอาการกำเริบอย่างรุนแรง 


 


 


ชั่วขณะนั้นเอง จิตใจของจีเฉวียนคล้ายกับว่าหลุดลอยออกไปเสียแล้ว ริมพระโอษฐ์ถูกส่งออกไปเบาๆ ประทับลงบนริมฝีปากแดงปานจะหยดลงมานั้น 


 


 


ตู๋กูซิงหลันได้ยินเสียงเลื่อนลั่นอยู่ในสมอง ราวกับว่าโลกทั้งใบพลิกตลบลงมาแล้ว 


 


 


ตายห่าแล้ว! นางถูกเจ้าลูกสุนัขนี่จูบเอา! 


 


 


นี่เขาคิดจะทำอะไร? 


 


 


ทาพิษเอาไว้บนริมฝีปาก คิดจะวางยาพิษนางให้ตายหรอ? 


 


 


ไม่ใช่สิ จากนิสัยเสียของเจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่ ไม่มีทางฉลาดขนาดนั้นหรอก 


 


 


หรือว่าคิดจะสวมข้อหาล่อลวงฮ่องเต้จนวุ่นวายพระทัยให้กับนาง? 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)