พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1265-1268

 บทที่ 1265 ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในงานเลี้ยงที่จัดขึ้นสามวันหลังจากนั้น เหมียวอี้แสดงความจริงใจเต็มที่ ให้ผู้บัญชาการฝูชิงเขตเมืองตะวันออกยืนรับแขกตรงประตูตำหนักคุ้มเมืองด้วยตัวเอง


ในสวนดอกไม้ของตำหนัก สวีถังหรานชี้นิ้วสั่งให้จัดวางสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง วุ่นอยู่กับการจัดงานเลี้ยง


ส่วนการแสดงดนตรีก็เชิญคณะที่ดีที่สุดของตลาดสวรรค์ ดาวเด่นหอกลิ่นสวรรค์อย่างเสวี่ยหลิงหลงก็ย่อมขาดไม่ได้ ผู้บัญชาการสวีมักจะมุดเขาไปในห้องเดี่ยวที่อยู่ด้านข้าง เป็นฝ่ายเข้าไปใกล้ตรงหน้าเสวี่ยหลิงหลงที่กำลังแต่งหน้า พอเห็นสวีถังหรานยิ้มตาหยีกลอกตามองบนร่างกายเสวี่ยหลิงหลงเหมือนมีเจตนาไม่ดี ก็ทำให้ท่านแม่สวีกับเสวี่ยหลิงหลงหวาดระแวงกลัวมาก


ในตำหนัก เหมียวอี้เอามือไขว้หลังยืนอยู่ระหว่างชั้นตึกของศาลา มองดูเฮยทั่นเล่นอยู่ในสระน้ำด้วยสีหน้าเรียบเฉย อิงอู๋ตี๋กับมู่หรงซิงหัวยืนอยู่ข้างหลังเขาทางซ้ายและขวา เป่าเหลียนเข้าๆ ออกๆ ระหว่างข้างนอกข้างในเพื่อรายงานสถานการณ์ไม่หยุด


บางครั้งมู่หรงซิงหัวก็เอียงหน้ามองไปรอบๆ เห็นเพียงคนแปลกหน้าสองสามคนเดินเตร่อยู่ระหว่างตึกศาลา อยู่มาหลายปีขนาดนี้แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่นางจะไม่คุ้นหน้าคนของตำหนักคุ้มเมือง ถึงแม้จะมีบางคนสวมเกราะทองของตำหนักสวรรค์ แต่นางก็แน่ใจว่าไม่ใช่คนของตำหนักคุ้มเมืองแน่นอน ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นกำลังพลของตลาดสวรรค์ หรือว่ามาจากที่ไหน


และสิ่งที่ควรจะให้ความสนใจก็คือ คนพวกนั้นแทบจะวนเวียนไปมาอยู่รอบกายผู้บัญชาการใหญ่ตลอด ไม่ออกห่างจากบริเวณนี้ สายตาก็มองสังเกตทางนี้อย่างแนบเนียน เหมือนคอยระวังคนที่อยู่รอบตัวผู้บัญชาการใหญ่ ไม่ผิดหรอก! สายตาที่มองนางก็คงไว้ซึ่งความระแวดระวังเช่นกัน ราวกับว่าขอเพียงนางกล้าทำอะไรบุ่มบ่ามนิดหน่อย อีกฝ่ายก็จะกระโจนเข้ามาทันที


สถานการณ์ค่อนข้างแปลก รวมทั้งการจัดงานเลี้ยงของผู้บัญชาการใหญ่ครั้งนี้ก็ทำให้คนไม่เข้าใจเหมือนกัน มู่หรงซิงหัวคิดไม่ตกว่าเหมียวอี้ต้องการจะทำอะไรกันแน่


พอหันกลับมามองเหมียวอี้ ใบหน้าด้านข้างก็ยังดูแข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยวเหมือนเดิม แต่กลับเรียบเฉยไร้อารมณ์ ทำให้คนมองไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ มู่หรงซิงหัวพบว่าหลังจากผู้บัญชาการใหญ่กลับมาจากการทดสอบครั้งนี้ ก็เหมือนจะแตกต่างจากเมื่อก่อนนิดหน่อย เงียบขรึมลงเยอะมาก


หรือว่าในการทดสอบครั้งนี้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดอะไรที่ส่งผลกระทบต่อเขา? มู่หรงซิงหัวนึกเชื่อมโยงไปถึงเรื่องราวที่ตัวเองประสบในการทดสอบครั้งนั้นทันที ไม่อยากจะนึกย้อนไปเลยจริงๆ ความคิดถลำลึกลงในชั่วพริบตาเดียว…


อย่าว่าแต่นางเลย แม้แต่อิงอู๋ตี๋ก็สังเกตเห็นคนแปลกหน้าพวกนั้นเช่นกัน เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าเหมียวอี้จัดงานครั้งนี้เพราะต้องการจะทำอะไรกันแน่


ที่จริงสาเหตุของการจัดงานเลี้ยงครั้งนี้ เหมียวอี้ไม่ได้บอกใครทั้งนั้น แม้แต่อวิ๋นจือชิวก็ไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึก เขาเตือนหยางชิ่งว่าไม่ให้บอกใคร รวมทั้งอวิ๋นจือชิวด้วย ไม่อย่างนั้นถ้าอวิ๋นจือชิวรู้ก็จะต้องห้ามแน่นอน


เขาเองก็รู้ว่าพวกอวิ๋นจือชิวหวังดีกับเขา แต่เขาก็มีเหตุผลของเขาเหมือนกัน เขามีจุดยืนของเขา เพียงแต่ครั้งนี้เขาไม่อยากอธิบายอะไรมากมาย อยากจะเหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ตัวเองสักหน่อย


“นายท่าน ผู้บัญชาการฝูบอกว่าฟ้าเริ่มมืดแล้ว” เป่าเหลียนเข้ามารายงานในตึกศาลา


เหมียวอี้เงยหน้ามองสีของท้องฟ้า ฟ้าโพล้เพล้ใกล้ค่ำ จึงถามว่า “มีคนมาร่วมงานเลี้ยงเท่าไรแล้ว?”


“ไม่เยอะค่ะ…” เป่าเหลียนอึกอักนิดหน่อย เหมือนไม่สะดวกจะพูดอะไรมากเพราะกังวลสีหน้าเหมียวอี้


“ไป! “เหมียวอี้หันตัวเดินออกไป ไม่ได้พูดอะไรมาก


พวกเขาเดินตามไป อิงอู๋ตี๋กับมู่หรงซิงหัวมองซ้ายมองขวา แล้วก็สบตากันแวบหนึ่ง พวกเขาเข้าใจโดยไม่ต้องพูดอะไร เพราะคนแปลกหน้าที่อยู่รอบข้างรีบเข้ามาใกล้ทันทีที่เห็นเหมียวอี้เดินออกไป


พอเดินออกมาจากตำหนักหลัง ก็เห็นฝูชิงเข้ามาต้อนรับ เหมียวอี้ถามว่า “มีคนมาเท่าไรแล้ว?”


ฝูชิงตอบว่า “ประมาณยี่สิบคนขอรับ แต่สถานการณ์ไม่ชอบมาพากล ผู้ที่มาล้วนนำผู้ติดตามแปลกหน้ามาด้วย ถึงแม้จะโดนกันไว้ข้างนอกตำหนัก แต่กลับไม่ยอมไปไหน รออยู่ข้างนอกตลอด ส่วนคนที่ไม่มาก็ส่งคนมาบอก ว่าได้รับข่าวจากเจ้าของร้าน มีธุระต้องไปจัดการ ไม่สามารถมาร่วมงานเลี้ยงได้ ผู้บัญชาการสวีเลยให้มาถาม ว่าจะจัดงานเลี้ยงนี้ติ่ไปหรือไม่?”


“ทำไมจะไม่จัดต่อล่ะ? อีกฝ่ายไม่มาเพราะติดธุระก็เป็นเรื่องปกติมาก” เหมียวอี้แสยะยิ้มแล้วหยุดฝีเท้า


โคมไฟหลากสีเพิ่งประดับตกแต่ง เป็นศุภวาระดิถี อีกทั้งทัศนียภาพก็สวยงาม


เหมียวอี้เดินตรงเข้ามาในสวนดอกไม้ของตำหนักหน้า สวีถังหรานที่กำลังหัวเราะพูดคุยกับแขกก็หันกลับมามอง พอเห็นเหมียวอี้มาแล้ว แล้วรีบวิ่งเข้ามาทำความเคารพ


ผู้จัดการร้านยี่สิบกว่าร้านเดินเข้ามาทำความเคารพ โดยมีอูหันซาน รองหัวหน้าสมาคมร้านค้าที่รับผิดชอบเขตเมืองตะวันออกเป็นแกนนำ “คำนับผู้บัญชาการใหญ่”


“ไม่ต้องมากพิธี!” เหมียวอี้ผายมือด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แล้วหันกลับมาถามสวีถังหราน “เตรียมสุราอาหารพร้อมหรือยัง?”


“ตอบผู้บัญชาการใหญ่ เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วขอรับ รอเพียงท่านกล่าวเปิดงาน” สวีถังหรานตอบอย่างเคารพนอบน้อม


เหมียวอี้ยิ้มพร้อมกางแขนสองข้างต่อหน้าทุกคน “งั้นก็เริ่มนั่งประจำที่เถอะ”


“ผู้บัญชาการใหญ่เชิญก่อน!” อูหันซานและคนอื่นๆ หลีกทางออกเป็นสองฝั่งทันที แล้วยื่นมือเชิญพร้อมกัน เคารพนอบน้อมมาก คนที่ไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึกที่ไหนจะดูออกว่าคนกลุ่มนี้สร้างความอับอายให้เหมียวอี้หนักมาก


เหมียวอี้ยิ้มพลางนำลูกน้องเดินผ่านกลางระหว่างกลุ่มคนเข้าไป สวีถังหรานกำลังนำทางอยู่ข้างหน้า นำเหมียวอี้เข้ามานั่งในศาลา


บัตรเชิญร้อยกว่าฉบับถูกส่งออกไป แต่มีคนมาร่วมงานเพียงยี่สิบกว่าคน สวีถังหรานทำงานอย่างเอาใจใส่มาก รีบสั่งให้คนมาย้ายโต๊ะเก้าอี้เกินออกไป จะได้ไม่เหลือที่นั่งว่างเยอะจนทำให้ผู้บัญชาการใหญ่เก้อเขิน


ที่นั่งของผู้จัดการร้านกลุ่มนี้เปิดโล่งอยู่ในส่วนดอกไม้ สภาพแวดล้อมงดงามมาก หลังจากทุกคนนั่งประจำที่แล้ว เหมียวอี้ที่ยื่นอยู่หลังโต๊ะยาวที่เต็มไปด้วยสุราอาหารชั้นเลิศก็ยื่นมือเชิญทุกคน “เชิญ!”


ไม่ว่าเบื้องหลังจะวางแผนอะไรไว้ แต่เบื้องหน้าทุกคนก็ยังรักษาธรรมเนียม ถึงอย่างไรฐานะของเหมียวอี้ก็ไม่อันตรายเหมือนในปีนั้น อำนาจของตลาดสวรรค์ในตอนนี้อยู่ในมือเหมียวอี้ ต่อให้ทุกคนจะไม่ไว้หน้าเหมียวอี้ แต่ก็ต้องไว้หน้าอำนาจที่อยู่ในมือเหมียวอี้


รอจนกระทั่งเหมียวอี้นั่งลงแล้ว ทุกคนถึงได้ทยอยกันนั่งลงตาม ต่างคนต่างมีนางระบำจากหอกลิ่นสวรรค์มารินสุราให้ ส่วนเหมียวอี้ก็มีเป่าเหลียนอยู่ข้างๆ ส่วนข้างหลังมีทหารเกราะทองสี่คนยืนเรียงแถวหน้ากระดาน


กลุ่มผู้จัดการร้านของเขตเมืองตะวันออกแอบส่งสายตาให้กัน อูหันซานเข้าใจความหมายของพวกเขา จึงใช้สองมือยกจอกสุราขึ้นมา แล้วหันหน้าไปหาเหมียวอี้ที่อยู่ในศาลา “น้ำใจอันดีงามนี้ของผู้บัญชาการใหญ่ พวกเราไม่รู้จะตอบแทนด้วยอะไร! ถ้าเมื่อก่อนมีจุดไหนที่ทำผิดไป ก็หวังว่าผู้ใหญ่อย่างผู้บัญชาการใหญ่จะใจกว้าง อย่าถือสาพ่อค้าเล็กๆ อย่างพวกเรา ในภายหลังหากผู้บัญชาการใหญ่มีอะไรจะกำชับ พวกเราก็จะไม่ปฏิเสธแน่นอน! ถ้าผู้บัญชาการใหญ่ไม่รังเกียจ โปรดรับจอกนี้จากพวกเรา!”


พวกฝูชิงที่เข้าร่วมงานเลี้ยงอยู่เบื้องล่างเหล่ตามองแวบหนึ่ง คำพูดดีๆ ใครก็พูดได้ ถ้ามีอะไรกำชับจริงๆ ถึงตอนนั้นพวกเจ้ายินดีเสี่ยงชีวิตทำตามก็แปลกแล้ว!


ผู้จัดการร้านยี่สิบกว่าคนยืนขึ้นยกจอกสุราพร้อมกัน แล้วกล่าวว่า “ถ้าผู้บัญชาการใหญ่ไม่รังเกียจ โปรดรับจอกนี้จากพวกเรา!”


เหมียวอี้ยิ้มบางๆ หยิบจอกสุราขึ้นมา นั่งชูจอกสุราอยู่อย่างนั้น พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้แล้วไป ทุกคนมาดื่มให้หมดจอกนี้กันเถอะ!” พูดจบก็ดื่มหมดจอกก่อน แล้วเผยจอกดื่มจนหมดถึงก้นให้ทุกคนดู


“ขอบคุณผู้บัญชาการใหญ่!” หลังจากกล่าวขอบคุณแล้ว ทุกคนก็ดื่มหมดจอกเช่นกัน เสร็จแล้วเผยจอกสุราให้ดูเพื่อแสดงความจริงใจ


เป่าเหลียนรินสุรา เหมียวอี้ยื่นมือบอกใบ้ให้ทุกคนนั่งลง จากนั้นมองไปรอบๆ พร้อมถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าส่งบัตรเชิญไปร้อยกว่าฉบับ มีแค่คนที่อยู่ตรงนี้ที่ให้เกียรติมา…เฮ้อ! ข้ารู้ว่าในใจทุกคนคิดยังไง คงจะหวาดระแวงที่ข้าจัดงานเลี้ยงครั้งนี้ หารู้ไม่ว่าข้าเองก็กังวลว่าทุกคนจะหวาดระแวง ถึงได้เปลี่ยนจากจัดงานเลี้ยงรวมเป็นส่งบัตรเชิญให้เขตเมืองตะวันออกอย่างเดียว เตรียมจะวนจัดงานทีละเขตเมืองให้ครบสี่เขต แบ่งจัดงานทีละรอบ จะได้ทำลายความหวาดระแวงของทุกคน เพื่อที่จะแสดงความจริงใจ จะได้ไม่ทำให้คนเข้าใจผิดว่าข้ามีเจตนาอะไรแอบแฝง! เปิดเผยความตั้งใจที่จะเปลี่ยนอาวุธสงครามให้เป็นหยกแพรไหม หวังว่าทุกท่านจะเข้าใจ!”


พอกล่าวคำนี้ออกมา พวกผู้จัดการร้านก็มองหน้ากันเลิกลั่ก เรียกได้ว่าเข้าใจในฉับพลัน ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้


ก่อนหน้านี้คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ถ้าจะเปลี่ยนอาวุธสงครามให้เป็นหยกแพรไหมแล้วทำไมเชิญแค่เขตเมืองตะวันออก ถ้ามีแผนร้ายแล้วพุ่งเป้ามาลงมือกับเขตเมืองตะวันออกอย่างเดียวก็เท่ากับหาเรื่องใส่ตัว มีแต่คนโง่ที่จะทำอย่างนั้นได้ ผู้บัญชาการใหญ่หนิวไม่ได้โง่ถึงขั้นนั้นหรอกมั้ง? ทุกคนคิดอย่างไรก็คิดไม่ตกจริงๆ ในใจมีความระแวง จึงมีทั้งคนที่มาและคนที่ไม่กล้ามา


ในตอนนี้ ปัญหาที่ทุกคนคิดไม่ตกมาหลายวันก็ได้คำตอบเสียที คำตอบนี้ได้อธิบายเหตุผลออกมาอย่างแท้จริง นอกจากเหตุผลนี้แล้ว ก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่ามีเหตุผลอื่นใดที่สามารถอธิบายการจัดงานเลี้ยงประหลาดนี้ได้


ที่แท้สี่เขตเมืองก็ผลัดกันจัดงานเลี้ยง เพื่อที่จะคลายความหวาดระแวงของทุกคน!


แม้แต่พวกฝูชิงเองก็ยังงง ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ มิน่าล่ะ!


กลุ่มผู้จัดการร้านเรียกได้ว่าเข้าใจกระจ่างในทันที พวกเขาโล่งใจแล้ว มีบางคนรู้สึกขำในใจ สงสัยหนิวโหย่วเต๋อเผชิญหน้ากับอำนาจที่อยู่เบื้องหลังทุกคนแล้วต้องยอมอ่อนให้ ไม่น่าเชื่อว่าจะลำบากใส่ใจถึงขั้นนี้ ลดเกียรติลดฐานะเพื่อวนจัดงานเลี้ยงเชิญทุกคน


แต่พวกฝูชิงกลับแอบทอดถอนใจ ไม่ยอมก้มหน้าคงไม่ได้แล้ว พลังแขนงัดข้อกับพลังขาไม่ได้จริงๆ! ถ้าเดาไม่ผิด สี่คนที่ยืนอยู่ข้างหลังคงจะเป็นคนที่นายท่านหามาคุ้มกันตัวเอง สงสัยการไปทดสอบครั้งนี้ คงจะทำให้นายท่านรับรู้ถึงอิทธิพลของผู้มีอำนาจแล้วจริงๆ ในที่สุดก็ยอมจำนนแล้ว


บางจุดที่เมื่อก่อนคิดไม่ตก ตอนนี้สามารถอธิบายให้เข้าใจได้แล้ว พวกฝูชิงก็นับว่าโล่งอกแล้วเช่นกัน ก่อนหน้านี้พวกเขายังกังวลว่าเหมียวอี้จะใช้ความรุนแรง ตอนนี้นับว่าวางใจแล้ว ไม่อย่างนั้นแค่คิดถึงผลที่จะตามมาพวกเขาก็กลัวแล้ว


กลับเป็นมู่หรงซิงหัวที่มองดูเหมียวอี้ที่นั่งอยู่ในศาลาด้วยแววตาสับสน ตอนเข้าร่วมการทดสอบที่สถานที่ไร้ชีวิต นางเห็นเองกับตาว่าเหมียวอี้กล้าหาญอย่างไร และการทดสอบครั้งนี้ก็บุกเดี่ยวโจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกในทัพใหญ่หนึ่งล้าน เป็นชายชาตรีที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั้งใต้หล้าจริงๆ แค่ได้ยินชื่อก็ทำให้คนตื่นเต้นประหลาดใจแล้ว ในสายตาของนาง ผู้ชายอย่างเหมียวอี้ต่างหากที่เป็นลูกผู้ชายที่กล้าหาญอย่างแท้จริง เป็นวีรบุรุษในใจนาง ไม่เหมือนคนอย่างนางที่ต้องยอมจำนนให้กับสภาพความเป็นจริง ในที่มืดมักมีแสดงสว่างอยู่เสมอ! แต่ตอนนี้อยู่ภายใต้การกดขี่ของอำนาจอิทธิพล ไม่น่าเชื่อว่าชายหนุ่มเลือดร้อนคนนี้จะก้มหัวที่เคยเย่อหยิ่ง ความอับจนในชีวิตคนเรา ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้วีรบุรุษเลือดร้อนกลายเป็นหมีควายไร้จำศีล คิดคิดดูแล้วก็รู้สึกทำใจไม่ได้นิดหน่อย


คว้าจอกสุรา มู่หรงซิงหัวเงยหน้ากระดกดื่มจนหมดในคำเดียว จากนั้นถอนหายใจยาวปล่อยกลิ่นสุราพร้อมความกลัดกลุ้มในอกออกมา


สีหน้าที่เปลี่ยนแปลงของพวกลูกน้องอยู่ในสายตาเหมียวอี้หมดแล้ว แต่เหมียวอี้กลับแอบทอดถอนใจ เขายอมรับว่าตัวเองไม่ได้โง่ แต่วิธีการทำงานของเขา เมื่อเทียบกับหยางชิ่งแล้วก็ถือว่ายังไม่ฉลาดพอจริงๆ หยางชิ่งแค่วางแผนนิดหน่อยเพื่อจัดงานเลี้ยง ก็สามารถหลอกตบตาทุกคนได้แล้ว ทำลายความหวาดระแวงของทุกคนไปจนหมดสิ้น ทำให้เหมียวอี้กุมสถานการณ์ที่อาจจะไม่สามารถควบคุมได้ไว้ในมือ ในตอนนี้เขาถึงได้เข้าใจถึงประโยชน์อันยอดเยี่ยมของงานเลี้ยงนี้


ใช่ว่าเหมียวอี้จะไม่เคยใช้วิธีการวางแผนมาก่อน แต่วิธีการที่ออกมาจากมือเขาไม่ได้ถูกใช้อย่างละเอียดรอบคอบเท่าหยางชิ่ง ไม่ได้พลิกแพลงได้อย่างเหนือชั้นเท่าหยางชิ่ง!


“ผู้บัญชาการใหญ่กล่าวเกินไปแล้ว เป็นเพราะคนบางคนเอาจิตใจอันต่ำทรามของตัวเองมาวัดใจสัตตบุรุษไง! ผู้บัญชาการใหญ่ไม่สืบสาวเอาเรื่องในความผิดของพวกเรา ก็นับว่าเป็นโชคดีมากของพวกเราแล้ว พวกเราต้องขออภัยผู้บัญชาการใหญ่ด้วย!” อูหันซานใช้สองมือยกจอกสุราแล้วลุกขึ้น


“พวกเราขออภัยผู้บัญชาการใหญ่!” กลุ่มผู้จัดการร้านยืนขึ้นยกจอกสุราตาม


ส่วนการขออภัยนั้นเป็นเพียงการเสแสร้ง สำหรับทั้งสองฝ่ายที่กำลังวัดฝีมือกัน การเสแสร้งนี้ก็ไม่ได้สำคัญเลย!


บทที่ 1266 ขู่นิดหน่อย

โดย

Ink Stone_Fantasy

แต่เห็นได้ชัดว่าเหมียวอี้ยอมรับคำขอโทษจากทุกคนแล้ว ทำสีหน้าปลื้มใจมาก ยกสุราลุกขึ้นยืนแล้วเช่นกัน หันหน้าชูจอกสุราให้ทุกคน “เปลี่ยนอาวุธสงครามให้เป็นหยกแพรไหม!”


หลังจากแขกและเจ้าบ้านดื่มด้วยกันแล้ว ก็เผยจอกสุราที่ว่างเปล่า แล้วยิ้มให้กันอย่างเข้าใจ


“ทำไมไม่มีดนตรีมาเพิ่มความบันเทิงสักหน่อยล่ะ!” เหมียวอี้ที่ถือจอกสุราคว่ำในมือหันมองรอบๆ เหมือนมีอารมณ์สุนทรีย์มาก


“แปะๆ” สวีถังหรานปรบมือสองครั้งทันที แล้วเสียงดนตรีก็ดังขึ้น


ประตูตึกศาลาที่ประดับด้วยดอกไม้เปิดออก เงาร่างอรชรอ้อนแอ้นสะบัดแขนเสื้อลอยออกมาราวกับเมฆขาวบริสุทธิ์ ดุจดั่งเทพธิดาที่เดินอยู่บนคลื่น หมุนตัวลอยลงมาจากท้องฟ้าอย่างช้าๆ มาเหยียบลงตรงพื้นที่ว่างกลางงานเลี้ยง นางยกชายแขนเสื้อขึ้นมาปิดบังใบหน้าขณะหันมายิ้มให้เหมียวอี้ ราวกับมวลหมู่ดอกไม้ซีดจางลงในชั่วพริบตาเดียว ความสง่างามที่เบ่งบานได้ชำระล้างหัวใจคน สวยจนจันทร์หลบโฉมสุดา มวลผกาละอายนาง ช่างเป็นเสน่ห์ที่บรรยายเป็นคำพูดไม่หมดจริงๆ นางคือเสวี่ยหลิงหลง ดาวเด่นของหอกลิ่นสวรรค์นั่นเอง


เสียงดนตรีบรรเลงช้าๆ ร่างที่สวมชุดกระโปรงสีขาวเริ่มเต้นระบำอย่างนุ่มนวลงดงาม ดึงดูดสายตาของทุกคน สวีถังหรานก็ยิ่งเอนตัวไปข้างหน้า ราวกับอยากจะเก็บเสวี่ยหลิงหลงเอาไว้ในดวงตาตัวเองใจจะขาดแล้ว


เป่าเหลียนยืนถือกาสุราอยู่ข้างโต๊ะ พอยาวเห็นเหมียวอี้จ้องเสวี่ยหลิงหลงจนเหม่อลอย นางก็อดไม่ได้ที่จะเบะมุมปากเหยียดหยาม ถือกาสุราเดินขึ้นมาบังสายตาของเหมียวอี้ รินสุราให้เหมียวอี้


เหมียวอี้มองซ้ายมองขวา แต่ครั้งนี้เป่าเหลียนดันรินสุราค่อนข้างช้า สุดท้ายสมาธิของเขาที่ไปรวมอยู่บนตัวเสวี่ยหลิงหลงก็ถูกดึงกลับมา


ศุภวาระดิถี อีกทั้งทัศนียภาพก็งดงาม มีเสียงเพลงพร้อมการร่ายรำอันอ่อนช้อย มีสุราชั้นเลิศและอาหารชั้นดี ที่งานเลี้ยงในคืนนั้น แขกและเจ้าบ้านสนุกสนานกันเต็มที่  อย่างน้อยภายนอกก็เป็นแบบนี้…


หลังจากงานเลี้ยงจบ กลุ่มผู้จัดการร้านก็ต่างคนต่างออกจากตำหนักคุ้มเมืองอย่างผ่อนคลาย เรื่องทุกอย่างที่กังวลไม่ได้เกิดขึ้น พวกเขาออกมาจากงานโดยสวัสดิภาพ


นางรำและนักดนตรีของหอกลิ่นสวรรค์เริ่มรวมตัวกันในสวนดอกไม้ พวกเขาถูกเหมียวอี้เรียกพบ


ที่จริงคนส่วนใหญ่ของหอกลิ่นสวรรค์เหมียวอี้ล้วนเคยเห็นมาแล้ว เคยเห็นมาตั้งแต่ปีแรกๆ กลุ่มคนของหอกลิ่นสวรรค์ที่หวังเพียงเงินและชีวิตที่สงบสุขยังคงเต้นกินรำกินเหมือนเดิม เป็นเหมือนอย่างที่ผ่านมา แต่เหมียวอี้ที่เสี่ยงตายต่อสู้มาครั้งแล้วครั้งเล่ากลับแตกต่างจากเมื่อก่อน ไม่ใช่เด็กหนุ่มที่เอาแต่วิ่งไปดื่มน้ำชาที่หอกลิ่นสวรรค์อีกแล้ว ตำแหน่งฐานะแตกต่างกันเป็นพิเศษ


“ผู้บัญชาการใหญ่ การแสดงของเสวี่ยหลิงหลงวันนี้ทำให้นายท่านพอใจรึเปล่าคะ?” ท่านแม่สวีเข้ามาหัวเราะคิกคักตรงหน้าเหมียวอี้ พร้อมชม้อยชม้ายชายตาถาม


เหมียวอี้ชำเลืองมองนางแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าเขาเข้าใจผิดไปเองหรือเปล่า รู้สึกว่ารอยยิ้มของท่านแม่สวีวันนี้เหมือนจะมีอะไรแอบแฝง เขาพยักหน้าตอบว่า “พอใจ ลำบากทุกคนแล้ว! ตบรางวัล!”


เป่าเหลียนนำแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งมาส่งให้ตรงหน้าท่านแม่สวีทันที ท่านแม่สวีรับมาแล้วเอ่ยบอกว่า ก่อนที่กลุ่มคนของหอกลิ่นสวรรค์จะกล่าวพร้อมกันว่า “ขอบคุณที่ผู้บัญชาการใหญ่ให้รางวัล”


หลังจากท่านแม่สวีเก็บแหวนเก็บสมบัติอย่างแนบเนียนแล้ว ก็พูดต่อว่า “ท่านกับหลิงหลิงก็นับว่าเป็นคนที่รู้จักมักคุ้นกันมาก่อน หากท่านชอบเพลงที่หลิงหลงร้อง วันไหนจากจะดูก็บอกมาได้เลย ข้าจะให้หลิงหลงมาทำการแสดงเดี่ยวให้ท่านดู เรียกเมื่อไรก็มาเมื่อนั้น หากวันนี้ท่านยังไม่หมดสนุด ก็ให้หลิงหลงแสดงต่อได้”


เสวี่ยหลิงหลงที่อยู่ข้างหลังได้ยินแล้วก้มหน้าเล็กน้อย ทำท่าทางเขินอายอยู่บ้าง


แต่ในสายตาเป่าเหลียนกลับแอบด่าเป็นชุด ออกมาขายศิลปะ จะแสร้งทำตัวไร้เดียงสาทำไม


เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ “น้ำใจของท่านแม่สวี ข้ารับไว้แล้ว แต่วันนี้ดึกแล้ว เอาไว้วันหลังแล้วกัน” เขาโบกมือ “ส่งแขก!” แล้วหันตัวเดินออกไป


ที่จริงวันนี้เขาก็ถูกท่วงท่าอันงดงามของเสวี่ยหลิงหลงยั่วยวนแล้วเช่นกัน จิตใจฟุ้งซ่านนิดหน่อย เพียงแต่เขาทำเรื่องแบบที่สวีถังหรานทำไม่ลง


พอกลับมาถึงตำหนักหลัง ก็หยิบระฆังดาราออกมาส่งข้อความให้จีเหม่ยลี่เสียเลย : คืนนี้มาอยู่กับข้าที่ตำหนักคุ้มเมือง!


ส่วนในกลุ่มผู้จัดการร้าที่ออกมาจากตำหนักคุ้มเมือง อูหันซานนำพวกเขาตรงไปที่สมาคมร้านค้า ตัวแทนของสมาคมร้านค้าแขตเมืองอื่นๆ มารอฟังข่าวจากพวกเขาอยู่นานแล้ว


พอเดินเข้าประตูมาและยังไม่ทันได้นั่งลง หัวหน้าสมาคมโจวหรานที่เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาก็หยุดฝีเท้าแล้วถามอย่างร้อนใจว่า “สถานการณ์เป็นยังไง?”


หลังจากนั่งลง อูหันซานก็หัวเราะเสียงดัง “สงบสุขมาก ไม่มีเรื่องอะไรเลยสักนิด สุราอาหารชั้นเลิศ เพลงดี ระบำดี ท่าทีของเจ้าบ้านก็ยิ่งดี! หนิวโหย่วเต๋อไม่ได้เอ่ยถึงสภาพของสมาคมร้านค้าในตอนนี้เลยสักคำ เท่ากับยอมรับสภาพในปัจจุบันของสมาคมร้านค้าแล้ว เรื่องในครั้งนี้พวกเราคิดมากไปเองล้วนๆ พวกเจ้าเดาสิว่างานเลี้ยงครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร? เดิมทีหนิวโหย่วเต๋อจัดงานเพราะอยากจะเชิญพวกเราทุกคน แต่กังวลว่าพวกเราจะคิดมาก เลยเตรียมจะวนจัดงานเลี้ยงที่ละเขตเมือง ทำแบบนี้พวกเราจะได้ไม่กังวลว่ามีกับดักอะไร เขาบอกแล้วว่า วันนี้เชิญเขตเมืองตะวันออกมางานเลี้ยง เดี๋ยววันหลังจะเชิญเขตเมืองตะวันตก เชิญมาทีละเขต ไม่ว่าใครก็ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น สามารถแน่ใจได้แล้ว ว่าเขาตั้งใจจะเปลี่ยนอาวุธสงครามให้เป็นหยกแพรไหมจริงๆ ที่บอกว่ากับดักหรือแผนร้ายอะไรนั่น พวกเราคิดมากไปเองล้วนๆ”


กลุ่มคนที่รอฟังข่าวอยู่ครึ่งค่อนคืนมองหน้ากันเลิกลั่ก ที่แท้สิ่งที่ทุกคนคิดวนเวียนอยู่หลายวันก็ไม่มีอะไร ไม่น่าเชื่อว่าผู้บัญชาการใหญ่หนิวจะกังวลว่าพวกเราจะคิดมาก แต่ผลที่ได้คือทำให้ทุกคนคิดมากกว่าเดิม ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ ไม่แปลกใจแล้ว ในที่สุดก็หาคำตอบพบแล้ว


หูอวี้หยวนที่บนตัวมีกลิ่นสุรากล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ลำบากทำซ้ำไปซ้ำมา ลดศักดิ์ศรีมาจัดงานเลี้ยงทีละรอบ นับว่าหนิวโหย่วเต๋อก็ลำบากใช้ความคิดไปเยอะเหมือนกัน ดูออกเลยว่าเขาอยากจะคืนดีกับพวกเราจริงๆ!”


อู่ฉงกง รองหัวหน้าสมาคมอู่เดาะลิ้นสองที “ยังกังวลว่าเจ้าหมอนั่นจะเป็นคนมุทะลุทำซี้ซั้ว ดูท่าแล้วคงจะไม่ใช่คนโง่เหมือนกัน ยังรู้ว่าไม่ควรเอาแขนมางัดข้อกับขา”


หวงฝู่จวินโหรวที่นั่งอยู่ตรงนั้นเงียบงัน นางเองก็หวังว่าเหมียวอี้จะอ่านสถานการณ์ออกบ้าง แต่การที่เหมียวอี้ก้มหัวแบบนี้ บวกกับคำพูดดูถูกเหยียดหยามจากทุกคนในเวลานี้ ก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าในใจนางมีรสชาติเป็นอย่างไร


“ข้าว่าก็ไม่แน่หรอกมั้ง!” เถียนเฟิงฮ่าว ผู้จัดการร้านเถียนพ่นเสียงทางจมูกแล้วเปลี่ยนประเด็น “ไม่แน่ว่าเจ้าเวรนั่นอาจจะอยากทำให้พวกเราคลายความระมัดระวังก็ได้ จะได้หว่านแหจับพวกเราทีเดียว”


นี่เป็นคำพูดที่เกิดจากความหงุดหงิดในใจเขา ทุกคนหัวเราะอย่างมีความสุข ย่อมรู้ว่าเขาพูดไปด้วยอารมณ์โกรธ พอจะรู้ว่าท่านนั้นในตระกูลของเทพประจำดาวฟ้าเถาะคงจะกดดันเถียนเฟิงฮ่าวไม่น้อยเลย ทางนี้แก้ไขสถานการณ์ได้แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เถียนเฟิงฮ่าวจะพุ่งเข้าใส่ตำหนักคุ้มเมืองด้วยตัวคนเดียว เดี๋ยวกลับไปคงจะแก้ตัวกับนายท่านหญิงท่านนั้นลำบาก


“เขาวนจัดงานทีละเขตเมือง เจ้าลองบอกมาซิว่าเขาจะหว่านแห่จับทั้งหมดได้ยังไง?” อูหันซานถามเหมือนเป็นเรื่องขำขัน


เถียนเฟิงฮ่าวเม้มริมฝีปาก ไร้เหตุผลจะเถียงกลับ


อู่ฉงกงลุกขึ้นยืน แล้วบอกว่า “ในเมื่อเขายินดีจะวนจัดงานเลี้ยง งั้นก็ให้เขาวนจัดงานไปเถอะ จะได้ทำให้ร้านค้าทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตลาดสวรรค์ได้เห็น ว่าใครกันแน่ที่มีอำนาจตัดสินใจที่ตลาดสวรรค์แห่งนี้ จะได้ไม่มีใครเอาแต่คิดอะไรไม่ซื่อ”


โจวหรานก็เอามือไขว้หลังเช่นกัน พยักหน้าบอกว่า “ใช่แล้ว! ในเมื่อหนิวโหย่วเต๋อยินดีจะก้มหัว ความหวังของร้านค้าเล็กๆ พวกนั้นก็ดับสูญแล้ว ตราบใดที่พวกเรากุมกติกานี้ไว้ในมือ ปราบพวกร้านค้าเล็กๆ ที่คิดจะมาขายแข่งกับเรา ให้พวกเราผูกขาดธุรกิจที่รายได้ดีต่อไป ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีกำไร ตอนที่ส่งบัญชีกลับให้เจ้าของร้านจะได้รายงานผลการทำงานได้”


ตำหนักหลังของตำหนักคุ้มเมือง ในห้องนอนของเหมียวอี้ จีเหม่ยลี่ที่ปล่อยผมยาวสยายจนชินกำลังยืนเผชิญหน้ากับเหมียวอี้


ไม่รู้ว่าเป็นการจงใจถามทั้งๆ ที่รูอยู่แล้วหรือเปล่า จีเหม่ยลี่ถามว่า “ดึกดื่นป่านนี้ท่านเรียกข้ามาทำไม?”


เหมียวอี้เอียงหน้ามองเตียงที่อยู่ด้านข้าง แล้วถามพร้อมรอยยิ้มว่า “เจ้าเป็นอนุภรรยาของข้า เจ้าว่าข้าเรียกเจ้ามาตอนดึกเพื่อทำอะไรล่ะ?”


จีเหม่ยลี่แอบกัดฟัน แต่ภายนอกยังทำเหมือนใจเย็น “หมายความว่า เจ้ายินดีจะบอกข้าแล้วเหรอว่าได้เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินมาได้ยังไง?”


ครั้งนี้เหมียวอี้ไม่ยอมถอยให้ ในน้ำเสียงที่สุขุมราบเรียบแฝงการบีบบังคับที่ไม่ยอมให้ปฏิเสธ “ข้ารู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราไม่อาจเอามาใช้เจรจาแลกเปลี่ยนได้ เจ้าเป็นผู้หญิงของข้า ใครจะปฏิเสธความจริงข้อนี้ได้? รวมทั้งเจ้าด้วย! เจ้าเองก็ปฏิเสธไม่ได้!” เขายื่นมือช้อนคางจีเหม่ยลี่


จีเหม่ยลี่อึกอักเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ในครั้งนี้ สุดท้ายนางก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ยืนอยู่อย่างนั้นไม่ขยับไปไหน มองเขาอย่างเงียบๆ


มือของเหมียวอี้ย้ายจากคางมาที่คอของนาง แล้วไหลลงไปในคอเสื้อของนางต่อ แล้วทันใดนั้น ร่างกายของจีเหม่ยลี่ก็สั่นเทิ้มเล็กน้อย


ใช้เวลาไม่นาน ชุดกระโปรงยาวก็ตกลงที่เท้าของจีเหม่ยลี่ชิ้นแล้วชิ้นเล่า เรียวขาที่ยาวและขาวดุจหิมะจนทำให้คนใจหายใจคว่ำเปิดเผยให้เห็นอยู่กลางอากาศ


ขายาวลอยออกจากพื้น นางไม่ได้เหาะขึ้นมา แต่ร่างเปลือยที่อรชรอ้อนแอ้นถูกเหมียวอี้อุ้มขึ้นมาแล้ว สุดท้ายทั้งสองก็ล้มนอนลงบนเตียง


ประตูที่ปิดมาตลอดได้เปิดรับแขกตัวร้าย ดอกไม้สีแดงเบ่งบานรับลมในฤดูใบไม้ผลิ


ค่ำคืนสุดหวาบหวาม ไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่น มีรสชาติที่แตกต่างออกไปจริงๆ หลังจากผ่านคืนนั้นมาแล้ว เหมียวอี้ก็เก็บจีเหม่ยลี่ที่ไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้ากับเขาอย่างไรไว้ที่ตำหนักคุ้มเมือง เก็บหญิงงามไว้ในห้องสามวัน…


หลายเดือนหลังจากนั้น จีเหม่ยลี่ก็เข้าตำหนักมาอีก เหมียวอี้คิดถึงขาที่เรียวยาวของนางอีกแล้ว ทั้งยังได้อารมณ์ต่างจากคนอื่นด้วย แต่เหมือนนางจะทำตัวให้ชินกับการใช้ชีวิตสามีภรรยาแบบนั้นกับเหมียวอี้ได้ลำบาก นางเองก็ไม่รู้สาเหตุว่าเป็นเพราะอะไร อาจจะเป็นเพราะนางเป็นนักพรตปีศาจ หรืออาจจะเป็นเพราะจีฮวนสั่งสอนนางเรื่องสายเลือดบริสุทธิ์มาเนิ่นนาน จีฮวนเข้มงวดกับลูกชายและลูกสาวในด้านนี้มาก ดูจากจุดจบของจีเหม่ยเหมยก็รู้แล้ว


แต่จู่ๆ บทจีฮวนจะจับนางแต่งงานก็จับแต่งออกไปเลย ทั้งยังให้ไปเป็นอนุภรรยาของมนุษย์ด้วย นางเข้าใจที่บิดาตัดสินใจเสียสละตัวนาง การที่นางไม่มีทางปรับตัวให้มีความสัมพันธ์แบบนั้นกับเหมียวอี้ได้ บางทีอาจจะเป็นเพราะจีเหม่ยเหมย เหมียวอี้ฆ่าพี่สาวแท้ๆ ของนาง แต่นางกลับต้องมาปรนนิบัติให้เหมียวอี้ ถึงแม้ไม้จะกลายเป็นเรือไปแล้ว กลายเป็นผู้หญิงของเหมียวอี้อย่างแท้จริงไปแล้ว แต่ในใจทางกลับข้ามผ่านหลุมนี้ไปไม่ได้ ทุกครั้งที่เจอเหมียวอี้นางก็จะรู้สึกผิด


ความรู้สึกผิดอย่างแรกเป็นเพราะจีเหม่ยเหมย ความรู้สึกผิดอีกอย่างหนึ่งก็เป็นเพราะจีฮวนผู้เป็นบิดาได้ทรยศผู้ชายของนาง แทบจะทำให้เหมียวอี้ตายแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะเผชิญหน้ากับเหมียวอี้อย่างไร และไม่รู้ด้วยว่าเหมียวอี้จะมองนางอย่างไร


ในตึกศาลา จีเหม่ยลี่กำลังนั่งยองๆ จุดไฟกับเตาเล็กๆ ลงมือต้มน้ำชาด้วยตัวเอง นางเอามือทัดปอยผมที่หูอยู่เป็นระยะ ขณะที่จิตใจสงบสบาย นางก็เอียงหน้ามองผู้ชายที่อยู่นอประตูบ่อยๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขากำลังเหม่อลอยคิดอะไร


บนฟ้ามีฝนตกปรอยๆ ดอกไม้นานาชนิดในลานบ้านของตำหนักหลังกำลังถูกน้ำฝนชำระล้างฝุ่น ยิ่งชุ่มฉ่ำยิ่งดูสวยสดชื่น


ตรงระเบียงนอกตึกศาลา เหมียวอี้กำลังมองดูเมฆครึ้มที่ปกคลุมทั้งตลาดสวรรค์ พลางยื่นมือไปรับเม็ดฝนที่เย็นฉ่ำ


ได้รับข่าวมาแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินได้เข้าร่วมการทดสอบที่แดนอเวจีแล้ว


เหมียวอี้กำลังรอข่าวอีกข่าวหนึ่ง รอข่าวจากทางแดนอเวจี


ปี้เยว่ฮูหยินในตอนนี้ตื่นตระหนกไม่หยุด ในที่สุดก็ได้รับรู้ถึงความน่าหวาดกลัวของแดนอเวจีแล้ว น่ากลัวกว่าที่เล่าลือกันเป็นหมื่นเท่า นางปล่อยผมยุ่งสยาย สะบักสะบอมเกินทน ที่มุมปากมีรอยเลือด แม้แต่สัตว์พาหนะก็ไม่มีแล้ว นางสู้เอาชีวิตรอกและกำลังหนีอยู่ในดาราจักรประหลาดลึกลับเพียงลำพัง


เดิมทีนางยังมีเพื่อนร่วมทางอีกหลายคน แม่ทัพภาคตลาดสวรรค์ในสังกัดของท่านโหวเทียนหยวนไม่ได้มีนางคนเดียว แต่ตอนนี้กลับให้นางเป็นหัวหน้ากลุ่ม กลุ่มของนางได้รับคำแนะนำไว้ตั้งแต่แรก จึงไม่กล้ารวมตัวกับคนเยอะเกินไป แต่อย่างน้อยการเกาะกลุ่มกันไว้ก็ยังมีอยู่


แต่ใครจะไปคาดคิด พวกเขาเพิ่งจะแยกออกจากกลุ่มใหญ่ได้ไม่นาน ก็เจอกับโจรกบฏที่เป็นยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ กงซุนลี่เต้าขุนพลใหญ่ของ ลัทธิอู๋เลี่ยงออกโรงด้วยตัวเองแล้ว ขู่จนปี้เยว่ฮูหยินตกใจจนขวัญกระเจิง!


หยางชิ่งให้เหมียวอี้เล่าสถานการณ์ในนรกแบบเกินจริง เพื่อเพื่อขู่ให้ปี้เยว่ฮูหยินตกใจกลัว แต่หยางชิ่งจะไปรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเหมียวอี้กับโจรกบฏในนรกได้อย่างไร ขู่ให้กลัวเหรอ? ขู่แค่คำสองคำน่าเบื่อจะตายไป เหมียวอี้ตรงไปตรงมาเกินไป ส่งคนไปลงมือขู่เสียเลย!


ลัทธิอู๋เลี่ยงกระจายกำลังเพื่อพุ่งเป้าไปที่ปี้เยว่ฮูหยินคนเดียว เพื่อที่จะให้ความร่วมมือ และไม่ทำให้เหมียวอี้เสียการเสียงาน แม้แต่ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ก็ส่งออกมาได้ ปี้เยว่ฮูหยินหนีพ้นก็แปลกแล้ว!


บทที่ 1267 รอดชีวิตหลังจากหายนะครั้งใหญ่

โดย

Ink Stone_Fantasy

ดังนั้นตั้งแต่กำลังพลที่เข้าร่วมการทดสอบเข้ามาในนรกแล้วแยกย้ายกัน ปี้เยว่ฮูหยินก็ถูกจับตามองแล้ว


ใช้เวลาไม่นาน กงซุนลี่เต้าก็ลงมืออย่างเด็ดขาดแน่วแน่


สิ่งที่เหมียวอี้ขอนั้นไม่ซับซ้อนเลย นั่นก็คือกดดันให้ปี้เยว่ฮูหยินเหลือตัวคนเดียว แล้วสั่งสอนนิดหน่อย ไม่ต้องฆ่า


นักพรตบงกชรุ้งแค่ไม่กี่คน สำหรับกงซุนลี่เต้าถือว่าเป็นเรื่องเล็กๆ แค่ปล่อยให้ปี้เยว่ฮูหยินหนีรอดไปคนเดียวเอง


ดังนั้นเพื่อนร่วมทางของปี้เยว่ฮูหยินจึงถูกฆ่าตายหมดอย่างไม่ลังเล เมื่อเจอกับกงซุนลี่เต้าก็ไม่มีทางหนีได้ แม้แต่ความสามารถในการต่อสู้กันสักสองสามกระบวนท่ายังไม่มีเลย อาศัยแค่อานุภาพที่หลงเหลือจากการโจมตี ก็สามารถทำให้ปี้เยว่ฮูหยินบาดเจ็บสาหัสได้แล้ว สัตว์พาหนะก็โดนฆ่าตายตัวแล้วตัวเล่า ตายหมดเกลี้ยงแล้ว


ที่โชคดีก็คือ ไม่รู้ว่ามียอดฝีมือจากไหนโผล่ออกมา อีกฝ่ายต่อสู้กับกงซุนลี่เต้า เรียกได้ว่าต่อสู้กันเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น


ปี้เยว่ฮูหยินเรียกได้ว่าขอบคุณฟ้าดิน ขอบคุณพระขอบคุณเทพทั้งท้องฟ้า รีบฉวยโอกาสตอนที่อีกฝ่ายไม่สนใจหนีเอาชีวิตรอด


ปั้ง! ร่างสองร่างที่ชกหมัดใส่กันอยู่ในดาราจักรกระเด็นแยกออกจากกัน กงซุนลี่เต้าที่เป็นหนึ่งในนั้นหยุดควบคุมร่างให้มั่นคง แล้วยกมือให้อีกคนที่กำลังจะพุ่งเข้ามาอีกครั้ง “ซือถู พอแล้ว นางไปไกลแล้ว”


เงาร่างสตรีที่สวมชุดกระโปรงผ้ามุ้งสีม่วงพลันหยุดนิ่ง แล้วลอยช้าๆ ไปตรงหน้ากงซุนลี่เต้า แล้วค่อยๆ มัดรวบผมดำที่ปล่อยสยายเหมือนน้ำตก คาดเอวเรียบร้อย คิ้วโก่งดุจภูเขา ดวงตาเหมือนบ่อน้ำในฤดูใบไม้ร่วง จมูกโด่งปากแดง ใบหน้าสะอาดหมดจด ดูสง่างามเยือกเย็น


ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน นางคือซือถูฉิงหลัน หนึ่งในห้าขุนพลใหญ่ของลัทธิอู๋เลี่ยง!


สืออวิ๋นเปียน อ๋าวเถี่ย กงซุนลี่เต้า ซือถูฉิงหลัน ไห่ยวนเค่อ สามคนแรกเหมียวอี้เคยเจอมาก่อย แต่สองคนหลังเหมียวอี้ไม่รู้แม้กระทั่งว่าหน้าตาเป็นอย่างไร


“ลองถามคนของเจ้าดูหน่อย ว่าจับตาดูไว้หรือยัง?” ขณะมองดูทิศทางที่ปี้เยว่ฮูหยินหนีไป กงซุนลี่เต้าก็เอ่ยถามเสียงเรียบ


ซือถูฉิงหลันหยิบระฆังดาราออกมาเขย่าพักหนึ่ง พอเก็บระฆังดาราแล้ว ก็มองไปทางที่ปี้เยว่ฮูหยินหลบหนีเช่นกัน “ไม่ต้องห่วง! จับตาดูไว้แล้ว ทางนั้นส่งคนไปเฝ้าไว้ยังทิศทางต่างๆ แล้ว ไม่ว่านางจะหนีไปทิศไหน ข้างหน้าก็จะมีคนรออยู่ล่วงหน้า หนีไม่พ้นสายตาพวกเราหรอก”


กงซุนลี่เต้าพยักหน้าบอกว่า “งั้นก็ดี อย่าให้เกิดความผิดพลาดเด็ดขาด ประมุขขุนพลกำชับมาเป็นพิเศษ บอกว่านี้เกี่ยวข้องกับส่วนรวม ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้เจ้ากับข้าออกหน้าเอง”


“ไม่รู้ว่ากำลังเล่นบทไหนกันแน่?” ซือถูฉิงหลันถาม


“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะเล่นบทไหน เหมือนจะเป็นผู้ผู้บังคับบัญชาของประมุขปราชญ์ทางฝั่งโจรกบฏ” กงซุนลี่เต้าตอบ


“ประมุขปราชญ์? ” ซือถูฉิงหลันหันหน้ากลับมาอย่างช้าๆ “เจ้าก็เรียกได้คล่องปากเนอะ!”


กงซุนลี่เต้าถถอนหายใจแล้วบอกว่า “เจ้ากับไห่ยวนเค่อไปทำงานอยู่ข้างนอกพอดี พวกเจ้าสามารถหลบเลี่ยงได้ ไม่ต้องมาเยี่ยมคารวะก็ได้ แต่หลบแบบนี้จะมีประโยชน์เหรอ? พวกเราเองก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน ประมุขขุนพลอธิบายไว้ชัดเจนแล้ว ความเป็นความตายของทุกคนล้วนอยู่ในมือของประมุขไป๋ ต่อให้ไม่ยอมก็ต้องยอม!”


“ประมุขไป๋ เขายังมีชีวิตอยู่เหรอ…” ซือถูฉิงหลันพึมพำ ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ ท่าทางใจลอยเล็กน้อย แต่พอได้สติกลับมา นางก็เม้มริมฝีปากแล้วบอกว่า “ได้ยินว่าประมุขปราชญ์คนใหม่ท่านนี้บุกเดี่ยวโจมีตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านที่เป็นนักพรตวรยุทธ์ระดับเดียวกัน ฟังดูน่าสนใจเหมือนกันนะ ถ้ามีโอกาสจะต้องไปเจอสักหน่อยแล้ว จะได้…” เสียงพูดพลันเงียบลง นางหยิบระฆังดาราออกมาตั้งใจฟัง พอเก็บระฆังดาราแล้วก็บอกว่า “เป้าหมายหยุดแล้ว”


“ไป! ไปดูกันสักหน่อย”


เงาร่างของทั้งสองเหาะไปยังจุดลึกของดาราจักรอย่างรวดเร็ว


“อุบ!” ปี้เยว่ฮูหยินที่เดินโซเซอยู่บนพื้นเอามือกุมหน้าอกพร้อมกระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่ง นางนั่งอยู่ข้างหินก้อนหนึ่ง พอหย่อนก้นลงบนพื้น ก็หยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวต้นหนึ่งออกมา จับยัดเข้าปากทั้งต้น ไม่สนใจกิริยาท่าทางและภาพลักษณ์อะไรอีกแล้ว การปกป้องชีวิตสำคัญกว่า นางรีบร่ายอิทธิฤทธิ์ย่อยยา


หนีไม่ไหวแล้ว หนีไม่ไหวแล้วจริงๆ บาดเจ็บสาหัสมาก! นางสงสัยว่าถ้าไม่มีเกราะรบผลึกแดงบริสุทธิ์คอยปกป้องร่างกาย ก็เกรงว่าจะชะตาขาดไปแล้ว


ไม่ต้องสงสัยในสรรพคุณทางยาของสมุนไพรเซียนซิงหัวเลย รอจนกระทั่งอาการบาดเจ็บทุเลาแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินก็พาร่างที่สวมเกราะรบลุกขึ้นมา มัดรวบผมที่ปล่อยยุ่งสยาย เกล้าไว้บนยอดศีรษะราวกับต้นหญ้า แล้วนำเกราะหัวที่ห้อยอยู่บนบ่ามาสวมไว้บนหัวอีกครั้ง จากนั้นหันมองพื้นที่รกร้างที่ไร้ต้นไม้ใบหญ้ารอบๆ


น่ากลัวเกินไปแล้ว! นางนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเพิ่งจะเข้านรกมาได้ไม่นานก็เจอกับโจรกบฏซะแล้ว และยิ่งนึกไม่ถึงว่าจะได้เจอกับยอดฝีมือสำแดงฤทธิ์


เพื่อนร่วมทางของนางก็สวมเกราะรบผลึกแดงบริสุทธิ์เช่นกัน แต่กลับถูกอีกฝ่ายตบที่เดียวจนร่างกายที่มีเลือดเนื้อพุ่งออกมาจากเกราะรบราวกับเศษเนื้อ ตัวนางที่ได้รับผลกระทบจากอานุภาพที่หลงเหลือจากการโจมตีก็สะเทือนจนกระเด็นออกมา ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะโต้ตอบเลย


พอนึกถึงฉากนั้น นึกถึงฉากที่มีคนเป็นๆ ถูกเกราะรบบดอัดจนเป็นเศษเนื้อพุ่งออกมา ปี้เยว่ฮูหยินก็สะอิดสะเอียนจนอยากอาเจียน ที่มากกว่านั้นคือกลัวจนตัวสั่น นึกไม่ถึงว่าแดนอเวจีจะอันตรายขนาดนี้!


นางหันมองรอบๆ อย่างระวังตัว เมื่อไม่พบว่ามีใครไล่ตามมาอีก ดวงตานางก็แดงก่ำ น้ำตาเอ่อล้นออกมา เรียกได้ว่าดีใจจนน้ำตาร่วง รู้สึกโชคดีไม่หาย โชคดีที่ตัวเองยังมีชีวิตอยู่ ไม่น่าเชื่อว่าจะรอดมาจากเงื้อมมือยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ ถ้าไม่ใช่เพราะมียอดฝีมืออีกคนโผล่มาทำให้ยอดฝีมือที่น่าหวาดกลัวคนนั้นเปลี่ยนเป้าหมายโจมตี ตัวเองก็คงจะไม่รอด การที่สามารถเก็บชีวิตกลับมาได้นั้นช่างโชคดีจนทำให้พูดไม่ออกจริงๆ


ผ่านมาตั้งกี่ปีแล้ว นางใช้ชีวิตที่มีเกียรติมั่งคั่งและร่ำรวยมาตลอด มีสามีที่เป็นท่านโหวคอยหนุนหลัง เคยถูกทำให้ตกใจมากขนาดนี้เสียที่ไหนกัน!


ปี้เยว่ฮูหยินเช็ดน้ำตาตัวเอง นางรู้สึกว่าไม่ควรอยู่ที่นี่นาน แต่พอมองดูดาราจักรที่ประหลาดลึกลับ นางก็ไม่กล้าเพ่นพ่านไปทั่วเลยจริงๆ ถ้าไปเจอโจรกบฏอีกจะทำอย่างไรล่ะ?


นางจึงหันมองสำรวจสภาพพื้นที่โดยรอบ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ทำความสะอาดเลือดที่ปกคลุมพื้นดินเมื่อครู่นี้ก่อน ในเมื่อตัดสินใจจะซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ก็ไม่ควรจะทิ้งเบาะแสอะไรไว้


จากนั้นก็รีบแฉลบไปยังด้านข้างก้อนหินทันที นางจำได้ว่าเห็นหุบเขาแห่งหนึ่งตอนที่เหาะลงมาจากฟ้า


ข้างหน้ามีหุบเขาที่เป็นเหวจริงๆ ปี้เยว่ฮูหยินถลันตัวเข้าไป หลังจากค้นหาจนทั่วในหุบเขา ก็พบจุดที่เหมาะสมแล้ว นางเริ่มร่ายอิทธิฤทธิ์ขุดถ้ำ ไม่กล้านำเศษหินและดินที่ขุดออกมาโยนทิ้งซี้ซั้ว เก็บเข้าในแหวนเก็บสมบัติทั้งหมด


นางกลับไม่สังเกตเห็นว่าด้านบนของหุบเขามีชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งเข้ามาใกล้อย่างเงียบๆ มองลงมาในหุบเขาและรีบหดหัวกลับ จากนั้นหันกลับไปส่งสัญญาณมือตรงจุดไกลๆ ทำให้มีคนสี่คนโผล่ออกมาและกระจายตัวทันที มาเฝ้าในขอบเขตหุบเขานี้


ส่วนชายหนุ่มคนนั้นก็ถอยออกไปเงียบๆ หลังจากออกไปไกลแล้ว ถึงได้ร่ายอิทธิฤทธิ์เหาะออกไป ไปเหยียบลงในพื้นที่รกร้างที่ไกลออกไปหลายร้อยลี้ พอเห็นกงซุนลี่เต้ากับซือถูฉิงหลันที่กำลังยืนเอามือไขว้หลัง เขาก็ชี้ไปยังจุดที่ปี้เยว่ฮูหยินเตรียมจะซ่อนตัว แล้วรายงานสถานการณ์


ส่วนในหุบเขา ปี้เยว่ฮูหยินที่ขุดถ้ำลึกโผล่ขึ้นมาจากหุบเขาอีกครั้ง นางเหลียวซ้ายแลขวาตรวจสอบจนทั่ว หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครพบ นางกลับกลับเข้ามาในหุบเขาอีก จากนั้นย้ายหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งมาไว้ตรงปากถ้ำ หินก้อนนี้ย่อมย้ายมาเพื่อปิดปากถ้ำอยู่แล้ว นางฝังเลี่ยมไว้บนปากถ้ำ ถ้ามองจากข้างนอกก็ไม่รู้เลยว่าใต้นั้นเป็นโพรงถ้ำสำหรับซ่อนตัว


ผ่านไปไม่นาน กงซุนลี่เต้ากับซือถูฉิงหลันก็ปรากฏตัวบนหน้าผาด้านบนหุบเขาอย่างโจ่งแจ้ง จากนั้นชายหนุ่มที่ติดตามมาก็ชี้ก้อนหินใหญ่ตรงปากถ้ำ บอกใบ้ว่านั่นคือจุดซ่อนตัวของปี้เยว่ฮูหยิน


“จับตาดูไว้ให้ดี ถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงให้ติดต่อข้าทันที” ซือถูฉิงหลันเอ่ยสั่ง จากนั้นนางกับกงซุนลี่เต้าก็เหาะขึ้นฟ้าไปพร้อมกัน


การที่พวกเขาสองคนออกมาแสดงละครด้วยตัวเอง ก็นับว่าไว้หน้าปี้เยว่ฮูหยินมากแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะคอยเฝ้าอยู่ที่นี่…


ตำหนักคุ้มเมืองเงียบสงัด ตึกเล็กอาบอยู่ภายใต้เม็ดฝนเล็กละเอียด เหมียวอี้ยืนเงียบๆ พิงระเบียยงฟังเสียงหยดน้ำฝนนอกชายคา


ส่วนด้านในตึก น้ำชาต้มสุกแล้ว จีเหม่ยลี่ที่กำลังนั่งยองๆ ใช้สองมือทัดปอยผมมาไว้ที่หลังหู แล้วยกกาน้ำชารินใส่ถ้วยสองถ้วย จากนั้นถือถ้วยหนึ่งยืนขึ้น แล้วเดินช้าๆ ไปตรงประตู แล้วยืนพิงวงกบประตู


ท้องฟ้ามืดครึ้ม ตำหนักคุ้มเมืองถูกปกคลุมไปด้วยละอองฝน ตึกเล็กเปียกฝนอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้ ด้านนอกประตูบนตึกมีชายรูปร่างสูงผึ่งผายยืนพิงระเบียง ใบหน้าเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง สายตามองเหม่อผ่านม่านฝน มีสาวงามยืนพิงข้างวงกบประตูที่อยู่ข้างหลังชายหนุ่ม ในมือกำลังถือถ้วยน้ำชาร้อน


ภาพนี้ให้ความรู้สึกงดงามราวกับภาพวาดและบทกวี


การเป็นมนุษย์ช่างดีจริงๆ! ไม่แปลกใจที่นักพรตปีศาจในใต้หล้าถึงเลือกที่จะกลายร่างเป็นมนุษย์ทันทีตอนที่ฝึกตนจนกะเทาะเปลือกได้ การเป็นมนุษย์คือเรื่องที่สูงส่งสง่างามจริงๆ ไม่ใช่สิ่งที่สัตว์ป่าไร้อารยธรรมจะเทียบติด


จู่ๆ ในใจจีเหม่ยลี่ก็รู้สึกสะท้อนใจ นางพบว่าตัวเองชอบความรู้สึกแบบนี้มาก นางไม่ได้รู้สึกรังเกียจผู้ชายคนนี้ รู้สึกว่าถ้าได้อยู่อย่างนี้ไปทั้งชีวิตก็คงจะไม่เลวเลย ทว่าระหว่างทั้งสองมีความจำใจเยอะเกินไป ยกตัวอย่างเช่นนาง ข้างหลังนางยังมีตระกูลจี เป็นไปไม่ได้ที่จะมองข้ามเหมือนไม่มีอยู่


พอได้สติกลับมาแล้ว ริมฝีปากแดงของนางก็เป่าไอร้อนขึ้นมาจากถ้วยน้ำชา นางจิบช้าๆ คำหนึ่ง แล้วชำเลืองมองเงาร่างที่กำลังยืนพิงระเบียง สุดท้ายนางก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ท่านยืนอยู่ตรงนั้นนานแล้ว กำลังคิดอะไรอยู่?”


เหมียวอี้หันหน้าหน้าละอองฝน แล้วยิ้มบางๆ พร้อมตอบว่า “ไม่มีอะไรหรอก กำลังรอข่าวบางอย่าง วันนี้คงจะได้ผลลัพธ์แล้ว”


จีเหม่ยลี่แวววตาวูบไหว ถามว่า “กำลังรอข่าวอะไร?”


“ถ้าสามารถบอกเจ้าได้ ข้าก็คงบอกเจ้าไปแล้ว ดังนั้นสิ่งไหนไม่ควรถาม เจ้าก็ไม่ต้องถาม คนที่มีสิทธิ์ยุ่งมากขนาดนั้นคือฮูหยินที่เป็นภรรยาเอก มีอวิ๋นจือชิวควบคุมข้าคนเดียวก็พอแล้ว ถ้าพวกเจ้ากลายเป็นอวิ๋นจือชิวกันหมด แล้วถึงตอนนั้นข้าจะไปหลบที่ไหนล่ะ? อยู่ที่ตำแหน่งของตัวเองอย่างว่านอนสอนง่ายก็พอแล้ว ทำหน้าที่อนุภรรยาของเจ้าให้ดี อย่ามายุ่งเยอะเกินไป ข้าเลี้ยงเจ้าได้ทั้งชีวิต หวังว่าเจ้าจะจำคำพูดนี้ของข้าเอาไว้! ไม่อย่างนั้น…” เหมียวอี้ที่หันตัวมายิ้มยังพูดไม่จบ แต่ย่นมือมาลูบใบหน้าของนางแทน แล้วถือโอกาสหยิบถ้วยน้ำชาในมือนางมาจ่อตรงปาก


จีเหม่ยลี่ที่กำลังครุ่นคิดกล่าวห้ามว่า “ถ้วยนี้ข้าดื่มไปแล้ว ข้างในยังมีอีกถ้วยที่รินไว้ให้แล้ว”


เหมียวอี้ยักไหล่ ไม่ถือสาอะไร นำถ้วยน้ำชามาจ่อตรงปาก แล้วหันตัวไปมองม่านละอองฝนพลางจิบน้ำชาอย่างเนิบนาบ


จีเหม่ยลี่ยืนพิงวงกบประตูพลางมองเขาเงียบๆ ครู่หนึ่ง แล้วเอียงหน้ามองดูละอองฝนที่ไม่รู้ว่าจะหยุดเมื่อไร ดวงตาฉายแววครุ่นคิด


ทว่าความสงบสุขที่เกิดขึ้นไม่บ่อยก็คงอยู่ไม่นาน เหมียวอี้ส่งถ้วยน้ำชากลับมาที่มือนางอีก แล้วหยิบระฆังดาราขึ้นมาฟังข่าว


หลังจากเห็นเขาตอบกลับไปแล้ว จีเหม่ยลี่ก็เห็นเขาหยิบระฆังดาราอีกอันออกมา ไม่รู้ว่ากำลังติดต่อไปที่ไหน และไม่รู้ด้วยว่าเขากำลังทำอะไร…


ปี้เยว่ฮูหยินที่หลบอยู่ในถ้ำก็ติดต่อกับภายนอกเช่นกัน ติดต่อท่านโหวเทียนหยวนพร้อมความหวาดผวาที่หลงเหลืออยู่ในใจ นางเล่าถึงความน่าหวาดกลัวที่ตัวเองประสบ เล่าไปเล่ามา พอนึกขึ้นได้ว่าอนาคตไม่แน่นอนนางก็เริ่มร้องไห้อีก น่าเสียดายที่ท่านโหวเทียนหยวนไม่ได้เห็น


ท่านโหวเทียนหยวน : เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์? หน้าตาเป็นยังไง?


ปี้เยว่ฮูหยินบรรยายลักษณภายนอกของสองคนที่ตัวเองเห็นให้ฟังทันที


ท่านโหวเทียนหยวนได้ยินแล้วตกใจ ตอบกลับไปว่า : ฮูหยิน ครั้งนี้เจ้าดวงแข็งจริงๆ ถ้าข้าเดาไม่ผิด คนที่เจ้าเจอคงจะเป็นกงซุนลี่เต้ากับซือถูฉิงหลันของลัทธิอู๋เลี่ยง บางทีสองคนนั้นอาจจะเกิดความขัดแย้งอะไรกันแล้วทะเลาะกันขึ้นมา เจ้าถึงได้โอกาสรอดพ้นหายนะครั้งนี้


ปี้เยว่ฮูหยิน : ข้าไม่สนใจมากขนาดนั้นหรอกว่าเขาจะเป็นใคร ข้าแค่อยากถามเจ้าว่าตอนนี้ข้าควรทำยังไง? เจ้าต้องหาทางช่วยชีวิตข้านะ


บทที่ 1268 แลกเปลี่ยนผลประโยชน์

โดย

Ink Stone_Fantasy

ท่านโหวเทียนหยวน : หลังจากที่นั่นถูกปิด ข้าก็เข้าไปไม่ได้แล้ว จะให้ข้าช่วยเจ้ายังไงล่ะ? ถ้าไม่มีคำสั่งจากราชันสวรรค์ ไม่ว่าใครก็บุกเข้าไปไม่ได้!


ปี้เยว่ฮูหยิน : เถิงเฟยรักษาการณ์อยู่ที่แดนอเวจี เขาจะต้องหาทางได้แน่นอน เจ้าหาทางติดต่อจอมพลเถิงสิ ขอให้เขาส่งยอดฝีมือมารับข้า


ท่านโหวเทียนหยวน : โถ่ฮูหยิน ต่อให้จะโกงการทดสอบแต่ก็ต้องโกงแบบมีขอบเขตนะ จอมพลเถิงผลัดเวรมาคุมแดนอเวจี เจ้าจะให้เขาส่งคนไปช่วยเจ้าตรงๆ มันก็จะเกินไปหรือเปล่า เป็นไปได้เหรอ? อย่าว่าแต่จอมพลเถิงจะไม่ตอบตกลง ต่อให้เขาตอบตกลง ถ้าเขารับเจ้าออกมาจากที่ซ่อนตัวแล้วยังไงต่อล่ะ ยังจะให้เขาเก็บเจ้าไว้ข้างกายตลอดเชียวหรือ? สุดท้ายเจ้าก็ยังต้องอยู่ในนรกให้ครบเวลาอยู่ดี เขาจะรับหรือไม่รับเจ้าออกมาแล้วมันต่างกันยังไง? ต่อให้เปลี่ยนสถานที่ แต่เจ้าก็ยังต้องเสี่ยงอันตรายเหมือนเดิม จะให้รับเจ้าออกมาจากนรกเลยก็คงไม่ได้หรอกมั้ง? เกาก้วนไม่ใช่คนตาบอดนะ!


ปี้เยว่ฮูหยิน : ข้าไม่สนใจ เจ้าต้องคิดหาหนทางให้ข้า! ถ้าข้าไม่มีจุดจบที่ดี เจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้อยู่ดีเลย ระวังข้าจะไปขอพึ่งพาโจรกบฎแล้วลากเจ้าให้ซวยไปด้วยกัน!


ท่านโหวเทียนหยวนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกจริงๆ : นี่เจ้ากำลังพูดเหลวไหลหรือเปล่า? ตำหนักสวรรค์ส่งคนเข้าไปตั้งมากมาย อยากจะแงเข้าไปอยู่ในหน่วยงานภายในของโจรกบฏ แต่สำเร็จรึเปล่าล่ะ? ถ้าทำสำเร็จจะจัดการทดสอบขึ้นมาเหรอ ถ้าเจ้าไปขอพึ่งพา อีกฝ่ายจะเชื่อเจ้าได้ก็แปลกแล้ว นอกเสียจากเจ้าจะอยากไปรนหาที่ตาย ข้าว่านะฮูหยิน เจ้ารอเงียบๆ เถอะ อย่าใจร้อน ฟังข้านะ เจ้าต้องหลบอยู่ที่นั่น น่าจะไม่มีปัญหาอะไรหรอก ข้าบอกคนอื่นๆ แล้ว รอให้การทดสอบจบแล้วเก็บกวาดสนาม จะมีกำลังพลกลุ่มหนึ่งของตำหนักสวรรค์ไปช่วยเกาก้วนในนรก ถึงตอนนั้นเจ้าก็ค่อยโผล่ออกมาตามหลังพวกเขา รับรองได้ว่าเจ้าจะปลอดภัยจนถึงจุดหมายปลายทาง


ปี้เยว่ฮูหยิน : เจ้าแน่ใจนะว่าจะไม่เกิดเรื่องอะไร?


ท่านโหวเทียนหยวนจะกล้ารับประกันเสียที่ไหน แต่คำตอบที่ส่งกลับไปฟังดูแน่ใจมาก : เจ้าหลบอยู่ที่นั่นอย่าเพ่นพ่านไปไหน จะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน


ปี้เยว่ฮูหยิน : ข้าขอเตือนเจ้าไว้เลยนะ โจรกบฏไม่รับเชลยศึก แต่ไม่ได้แปลว่าจะไม่ต้องการผู้หญิง หน้าตาของข้าก็ไม่ได้แย่หรอกมั้ง? โจรกบฏพวกนั้นเก็บกดอยู่ในนรกมาตั้งนานเท่าไรแล้ว ถ้าเจ้าไม่สนใจความเป็นความตายของข้า ระวังข้าจะหาชู้ให้เจ้าเป็นโขยงนะ!


ท่านโหวเทียนหยวนปวดประสาท แต่ก็พอจะเข้าใจได้ คาดว่าฮูหยินคงจะตกใจกลัวมากจริงๆ จึงตอบว่า : อย่าพูดเหลวไหลเลย ฟังข้านะ ตั้งใจซ่อนตัวให้ดี ไม่เป็นอะไรหรอก


หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินเพิ่งจะนั่งพิงบนผนังหินเพื่อสงบอารมณ์ ระฆังดาราในแหวนเก็บสมบัติก็สั่นอีก หลังจากตรวจดูถึงได้พบว่าเป็นเหมียวอี้ส่งข้อความมา


นางหยิบระฆังดาราออกมา แล้วถามอย่างหงุดหงิด : มีอะไร?


เหมียวอี้ : ข้าน้อยเพิ่งจะได้ยินข่าว ได้ยินว่าฮูหยินเข้าแดนอเวจีไปแล้ว ข้าน้อยเลยต้องเตือนฮูหยินไว้สักหน่อย นรกอันตรายมาก ฮูหยินโปรดระมัดระวังตัวให้มากขึ้น


ตอนแรกเรียกว่า ‘ฮูหยิน’  แต่หลังจากทดสอบกลับมามีระยะห่างต่อกัน จึงเปลี่ยนเป็นเรียก ‘นายท่าน’ ตอนนี้เพื่อแสดงออกถึงความสนิทสนม เขากลับมาเรียก ‘ฮูหยิน’ เหมือนเดิมแล้ว


อันตราย! ยังต้องให้เจ้าบอกด้วยเหรอ? ปี้เยว่ฮูหยินได้รับรู้เองแล้ว แทบจะเอาชีวิตไม่รอด ตอนนี้ยังขวัญผวาไม่หาย ถามว่า : ติดต่อมาเพื่อบอกแค่นี้น่ะเหรอ?


เหมียวอี้ : ข้าน้อยตื่นตระหนก มีอีกเรื่องหนึ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะบอกหรือไม่


ปี้เยว่ฮูหยินข่มไฟโกรธในใจ : มีอะไรก็รีบว่ามา!


เหมียวอี้ : เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและคะแนนทดสอบของฮูหยินที่แดนอเวจี ถ้าฮูหยินไม่ถือสาข้าน้อย ข้าน้อยถึงจะกล้าพูด


เรื่องอะไรกัน? ปี้เยว่ฮูหยินที่นอนพิงกำแพงโดยไม่กล้าถอดเกราะรบลุกขึ้นนั่งทันที เขย่าระฆังดาราถามว่า : ว่ามา เรื่องอะไร?


เหมียวอี้ : ข้าน้อยอยู่ที่แดนอเวจีมาร้อยปี พอจะเข้าใจวิธีปกป้องชีวิตที่แดนอเวจีอยู่บ้าง มีความมั่นใจที่จะช่วยให้ฮูหยินได้คะแนนดีๆ เหมือนกัน เพียงแต่ก่อนหน้านี้ข้าน้อยแอบเห็นแก่ตัว ถึงไม่ได้พูดออกมา ตอนนี้พอนึกย้อนกลับไป ถ้าเปลี่ยนคนมานั่งตำแหน่งแทนฮูหยิน ข้าน้อยก็อาจจะไม่สมปรารถนาก็ได้


ปี้เยว่ฮูหยินถูกเขาพูดหลอกล่อจนอยากรู้มาก พูดเร่งว่า : อย่าอ้อมค้อม รีบบอกมา!


เหมียวอี้ : ฮูหยินไม่โกรธ ข้าน้อยถึงจะกล้าพูด


ปี้เยว่ฮูหยิน : เจ้าไม่ต้องห้วง ตราบใดที่สามารถช่วยข้าได้อีกแรง ข้าก็จะไม่ถือสาเรื่องราวก่อนหน้านี้ พูดมาเถอะ


เหมียวอี้ : คืออย่างนี้นะ ในการทดสอบครั้งก่อน ที่จริงข้าไม่ได้นำผลงานกลับมาทั้งหมด ยังเหลือไว้ที่นั่นหลายส่วน ไม่อย่างนั้นก็เป็นเรื่องง่ายมากที่ข้าน้อยจะคว้าอันดับหนึ่ง เป็นข้าน้อยเองที่ยอมแพ้


ตอนนี้ปี้เยว่ฮูหยินไม่สนใจเรื่องการทดสอบของเขาหรอก สนใจแค่เรื่องทดสอบของตัวเองเท่านั้น ถามไปว่า : เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เจ้าจะช่วยข้า?


เหมียวอี้ : ไม่รู้ว่าฮูหยินเคยได้ยินหรือเปล่าว่าข้าน้อยกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงทดสอบได้คะแนนอันดับเดียวกัน?


ปี้เยว่ฮูหยิน : ข้าก็สงสัยว่าเจ้าคนไม่เอาถ่านนั่นได้อันดับเก้าได้ยังไง เป็นเจ้าเองเหรอที่ช่วยเขา?


เหมียวอี้ไม่ได้ยอมรับว่าตัวเองช่วยเซี่ยโห้วหลงเฉิง เขาไม่ตอบแต่บอกว่า : ผลงานที่ข้าน้อยสำรวจนรกไว้ ที่จริงแล้วไม่ได้มีแค่ที่มอบให้เบื้องบนเท่านั้น ข้าแอบซ่อนส่วนหนึ่งไว้ในนรก ถ้าฮูหยินต้องการ ข้าน้อยก็สามารถมอบให้ฮูหยินได้


ปี้เยว่ฮูหยินเองก็ไม่ใช่คนโง่ ถามอย่างสงสัยว่า : ในเมื่อเจ้าสามารถคว้าอันดับหนึ่งมาได้ง่ายๆ แล้วทำไมไม่คว้าไว้?


เหมียวอี้ : ข้าน้อยทำลายกลองสะท้านฟ้าไป รู้ผลตั้งแต่แรกแล้วว่าตำหนักสวรรค์จะลงโทษข้าน้อย ต่อให้ได้อันดับหนึ่ง อันดับหนึ่งก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้าหรอก


ปี้เยว่ฮูหยิน : ต่อให้จะลงโทษเจ้า แต่เกี่ยวอะไรกับการที่เจ้าจะได้ที่หนึ่งหรือไม่ได้ที่หนึ่งล่ะ ถ้าได้อันดับหนึ่งจะโดนลงโทษน้อยลงไม่ใช่เหรอ?


เหมียวอี้ : สาเหตุที่ก่อนหน้านี้ข้าน้อยไม่กล้าบอกฮูหยิน ก็เป็นเพราะอยากขอให้ฮูหยินให้อภัย


ปี้เยว่ฮูหยินแปลกใจแล้ว : หมายความว่ายังไง?


เหมียวอี้ : เป็นเพราะข้าน้อยได้ข่าวมาล่วงหน้า รู้ว่าการทดสอบไม่ได้มีแค่ครั้งเดียว ยังจะมีตอนหลังอีก ข้าน้อยก็เลยแอบเห็นแก่ตัว ซ่อนผลงานส่วนหนึ่งเอาไว้ในนรก กะว่ารอให้วรยุทธ์ของข้าน้อยสูงขึ้นก่อน แล้วค่อยไปทดสอบระดับแม่ทัพภาคที่นรกอีกครั้ง


ปี้เยว่ฮูหยินเข้าใจแจ่มแจ้งทันที สงสัยหนิวโหย่วเต๋อตงเตรียมจะเข้าร่วมการทดสอบชิงตำแหน่งแม่ทัพภาคตลาดสวรรค์ในภายหลัง มิน่าล่ะถึงไม่กล้าบอกตน


นางถามว่า : แหล่งข่าวของเจ้าคือเซี่ยโห้วหลงเฉิงรึเปล่า?


เหมียวอี้ตอบแบบกำกวม : เปล่านะ! สหายอีกคนหนึ่งบอกข้า


ปี้เยว่ฮูหยินคิดเองเออเอง ขี้เกียจจะบ่งชี้แล้วเหมือนกัน ราชินีสวรรค์เป็นคนจัดการทดสอบ เกรงว่าข่าวบางข่าวคงจะมีคนของตระกูลเซี่ยโห้วเท่านั้นที่รู้ก่อน สรุปก็คือเป็นเพราะเซี่ยโห้วหลงเฉิงได้อันดับเก้าเหมือนกัน ได้อันดับเดียวกับเหมียวอี้ นางแน่ใจแล้วว่าคนปล่อยข่าวต้องเป็นเซี่ยโห้วหลงเฉิงแน่นอน แถมก่อนหน้านี้เหมียวอี้ก็บอกเป็นนัยอยู่แล้วด้วย


นางไม่มีทางเอาเรื่องแบบนี้มาบีบตระกูลเซี่ยโห้ว จึงถามเพียงประเด็นสำคัญ : เจ้าจะช่วยให้ข้าปลอดภัยและได้ผลงานทดสอบที่เจ้าซ่อนไว้ยังไง?


ภายใต้เงื่อนไขที่สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ ถ้าสามารถนำคะแนนทดสอบดีๆ กลับไปปกป้องตำแหน่งแม่ทัพภาคตลาดสวรรค์ไว้ได้ด้วย แบบนั้นก็ดีที่สุดแล้ว พวกเขาจึงปรึกษากันพักหนึ่ง ปี้เยว่ฮูหยินโยนความกลัวก่อนหน้านี้ทิ้งไว้ชั่วคราว ทำตัวเองให้สดชื่นฮึกเหิมเข้าไว้


เหมียวอี้ : ผลงานทดสอบซ่อนไว้ตรงจุดที่ไม่ไกลจากทางออกนรก ดังนั้น ตอนนี้ฮูหยินแค่ต้องหาสถานที่ปลอดภัยซ่อนตัวจนกว่าการทดสอบจะจบ ถึงตอนนั้นค่อยออกมา คาดว่าถึงตอนนั้นท่านโหวจะต้องหาทางพาฮูหยินไปถึงจุดสิ้นสุดการทดสอบอย่างปลอดภัยแน่นอน ถึงตอนนั้นฮูหยินก็แค่ถือโอกาสหยิบผลงานออกมา ผลงานทดสอบที่ข้าน้อยทิ้งไว้ ข้าน้อยเองก็ไม่กล้ารับประกันว่ามันดีมาก แต่คาดว่าคงจะช่วยให้ฮูหยินติดอันดับได้ สามารถทำให้ฮูหยินผ่านการทดสอบได้อย่างราบรื่น


ปี้เยว่ฮูหยิน : บอกให้ละเอียดว่าซ่อนตรงจุดไหน?


เหมียวอี้ : แผนที่ดาวไม่ค่อยมีประโยชน์ที่นรกมากนัก สถานที่แบบละเอียดข้าน้อยก็บอกได้ไม่ชัดเจน ตอนนี้บอกได้เพียงทิศทางคร่าวๆ ฮูหยินต้องไปที่จุดจบการทดสอบ แล้วติดต่อกับข้าน้อยเพื่อบอกรายละเอียดของสภาพพื้นที่ตรงนั้น ข้าน้อยถึงจะหาจุดที่ซ่อนผลงานไว้พบ


หรือพูดได้อีกอย่างว่าตอนนี้นางไม่มีทางได้มาเลย มีแต่ต้องรอให้การทดสอบจบเท่านั้นถึงจะเอามาได้? ปี้เยว่ฮูหยินหมั่นไส้นิดหน่อย ขณะเดียวกันก็เริ่มสงสัยในเจตนาดีของเหมียวอี้ ตามหลักเหตุผลแล้ว เหมียวอี้ไม่จำเป็นต้องยกผลประโยชน์นี้ให้นางเลย ถึงอย่างไรตอนแรกนางก็เคยทิ้งเขา ตามหลักการแล้วเขาควรจะแค้นนางสิ


หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินก็ครุ่นคิดซ้ำๆ แล้วติดต่อท่านโหวเทียนหยวนอีกครั้งเพื่อปรึกษา


พอได้ฟังปี้เยว่ฮูหยินพูดจบ ท่านโหวเทียนหยวนก็แปลกใจอยู่บ้างเหมือนกัน ถามว่า : เขามอบผลประโยชน์นี้ให้เจ้าเฉยๆ โดยไม่ได้ขออะไรจากเจ้าเหรอ?


ปี้เยว่ฮูหยิน : ข้าก็กำลังจะพูดเรื่องนี้แหละ หลายเดือนก่อน เขามาขอคนสองคนจากข้า แต่ความจริงแล้วเขาอยากได้ชีวิตสองคนนั้น…


นางเล่าเรื่องความขัดแย้งระหว่างเหมียวอี้กับกงอวี่เฟย หลี่หวนถังให้ฟังทันที


ท่านโหวเทียนหยวนตอบอย่างเด็ดขาดแน่วแน่ : จะมีเรื่องดีๆ มาหาถึงที่ได้ยังไง ชัดเจนว่าเขาอยากจะทำการแลกเปลี่ยนกับเจ้า การแลกเปลี่ยนนี้เจ้าไม่ขาดทุนหรอก มอบคนไปก็สิ้นเรื่องแล้ว


ปี้เยว่ฮูหยินลังเลนิดหน่อย : แต่สองคนนั้นติดตามรับใช้ข้ามาหลายปี นับว่าเป็นลูกน้องคนสนิทของข้า ส่งตัวไปแบบนั้นจะถือว่าทำเกินไปหน่อยหรือเปล่า?


ท่านโหวเทียนหยวน : เจ้ายังดูไม่ออกอีกเหรอ? อีกฝ่ายวางกับดักนี้ไว้นานแล้ว ตอนนี้เพิ่งจะลงมือ กำลังหาบันไดให้เจ้าลง รอให้เจ้าเข้าไปในนรกก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ จะได้ไม่ทำให้เจ้าเสียหน้า หรือพูดได้อีกอย่างว่า เขาได้เตรียมแผนนี้ไว้นานแล้ว เขาจะเอาชีวิตของสองคนนั้นแน่นอน!


ปี้เยว่ฮูหยิน : เจ้าคนชั่วร้าย บังอาจมาขู่ข้า!


ท่านโหวเทียนหยวน : ช่างเป็นความคิดอ่านของผู้หญิง! อีกฝ่ายไว้หน้าเจ้าเต็มที่แล้ว ไม่ได้ฉีกหน้าเจ้า ชัดเจนว่าอีกฝ่ายกำหนดสิ่งนี้ให้กลายเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ถ้าแบบนี้นับว่าเป็นการขู่ งั้นข้าก็อยากจะโดนขู่แล้วได้ผลประโยชน์แบบนี้สักหลายๆ รอบ! อีกฝ่ายชัดเจนแล้ว นั่นคือต้นทุนที่อีกฝ่ายเก็บไว้เพื่อเลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพภาคตลาดสวรรค์ในอนาคต เจ้าคิดว่าสองชีวิตเล็กๆ นั่นสำคัญกว่า หรือว่าตำแหน่งแม่ทัพภาคตลาดสวรรค์สำคัญกว่าล่ะ ตอนนี้เขากำลังให้เจ้าใช้ดุลยพินิจพิจารณา ว่าเขาสำคัญกว่าหรือลูกน้องสองคนนั้นของเจ้าสำคัญกว่า? ถ้าเขาสำคัญสู้ลูกน้องทั้งสองของเจ้าไม่ได้ ถ้าแม้แต่ตำแหน่งแม่ทัพภาคตลาดสวรรค์ก็สั่นคลอนตำแหน่งของสองคนนั้นในใจเจ้าไม่ได้ เขาก็จะพิจารณาเหมือนกัน เพราะเขามีความแค้นกับสองคนนั้น ถ้าสองคนนั้นพูดไม่ดีกรอกหูเจ้าบ่อยๆ ในภายหลังเขาจะอยู่ใต้บังคับบัญชาของเจ้าได้ยังไงล่ะ? โถ่ฮูหยิน! การที่สามารถอ้อมค้อมใช้อุบายนี้ได้ เจ้าเวรนั่นก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันนะ สงสัยก่อนหน้านี้ข้าจะประเมินเขาต่ำเกินไป ข้าจะพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้หน่อยนะ อาศัยสมองของพวกลูกน้องเจ้าน่ะ ไม่คู่ควรแม้แต่จะถือรองเท้าให้เขาด้วยซ้ำ คนแบบไหนที่ใช้งานได้ ควรจะเลือกยังไง เจ้ายังต้องลังเลอีกเหรอ?


ที่จริงแล้วเขาประเมินเหมียวอี้สูงไปหน่อย เพราะนี่ไม่ใช่แผนการของเหมียวอี้เลย เหมียวอี้ไม่ได้ทำงานแบบนุ่มนวลอ่อนโยนขนาดนี้ ตอนหลังจะมีเรื่องที่ทำให้เขาหน้าดำคร่ำเครียดแน่


ปี้เยว่ฮูหยิน : อย่าพูดให้ฟังดูไพเราะขนาดนั้น เขาก็แค่วางแผนร้ายกับข้าไง คิดแล้วโมโห


ท่านโหวเทียนหยวน : ฮูหยิน เป็นคนระดับบนก็ควรจะชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียสิ จะทำงานโดยใช้อารมณ์ไม่ได้! ข้าเพิ่งได้ข่าวมานิดหน่อย ถึงได้รู้ว่ามีคนใหญ่คนโตมากมายให้คนส่งของบรรณาการให้ราชินีสวรรค์เพื่อขอตัวหนิวโหย่วเต๋อ ถ้าไม่ใช่เพราะมีราชินีสวรรค์ข่มไว้ หนิวโหย่วเต๋อจะยังเป็นลูกน้องของเจ้าได้เหรอ? ลูกน้องที่คนอื่นแย่งตัวกันกำลังทำงานรับใช้เจ้าอยู่นะ เจ้าไม่ได้คิดแบบนี้สักนิดเลยเหรอ? ต้องดีใจสิถึงจะถูก!


ปี้เยว่ฮูหยิน : เอ๊ะ! ตอนนี้กลายเป็นคนมีฝีมือไปแล้วเหรอ ตอนแรกใครกันที่เกลี้ยกล่อมให้ข้าขีดเส้นแบ่งกับเขาให้ชัดเจน?


ท่านโหวเทียนหยวน : วันนี้กับวันนั้นไม่เหมือนกัน คนที่สามารถทำงานรับใช้เจ้าได้ถึงจะนับว่าเป็นคนมีฝีมือ คนที่ทำงานให้เจ้าไม่ได้ เจ้าจะเอาไว้ทำไม? การปกป้องเขาในตอนนั้นมีราคาที่ต้องจ่ายมากเกินไป ที่ข้าทำเรียกว่าประเมินแนวโน้มสถานการณ์ปัจจุบัน!


…………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)