พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1263-1264
บทที่ 1263 อีกาในโลกนี้สีดำเหมือนกันหมด
โดย
Ink Stone_Fantasy
ลุ่มหลงหญิงงาม พัวพันรักใคร่หลายรอบ สุดท้ายก็มีเวลาจำกัด!
ฉินเวยเวยที่พักในตำหนักคุ้มเมืองสองวันกลับไปอย่างอาลัยอาวรณ์ เหมียวอี้เองก็อยากจะลุ่มหลงอยู่กับหญิงงามโดยไม่ต้องตื่นเช่นกัน แต่จนใจที่กว่าจะก้าวมาจนถึงวันนี้ได้ ก็มีเรื่องมากมายที่เขาไม่อาจทำตามใจตัวเอง เขาอยากจะพักผ่อนแต่ก็พักต่อไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าข้างกายมีคนมากมายที่คาดหวังในตัวเขา แค่ฐานะโจรกบฏอย่างเดียวก็เหมือนแขวนกระบี่ไว้บนหัวแล้ว สามารถตัดหัวเจ้าได้ทุกเมื่อ
พอส่งฉินเวยเวยกลับไปแล้ว เขาก็เก็บสำรวมความคิดจิตใจ หลังจากเดินไปเดินมาอยู่ในลานบ้านของตำหนักหลังเพียงลำพังเป็นเวลานาน เขาก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับปี้เยว่ฮูหยิน
จวนแม่ทัพภาคตงหัว ปี้เยว่ฮูหยินกำลังเตรียมงานก่อนเดินทาง ตอนได้รับข้อความจากเหมียวอี้ก็ยังนึกว่าเขามีอะไรจะชี้แนะเกี่ยวกับแดนอเวจี
นางถามอย่างค่อนข้างเฝ้าคอย : มีเรื่องอะไรเหรอ?
เหมียวอี้ : นายท่าน ข้าน้อยมีเรื่องอยากจะขอจริงๆ! ใต้บังคับบัญชาของข้าน้อยขาดกำลังพล ยังเติมไม่ครอบเสียที ข้าน้อยอยากจะโยกย้ายคนที่กล้าหาญมีฝีมือของนายท่านมาสักสองคน หวังว่านายท่านจะช่วยให้สมปรารถนา!
มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ ปี้เยว่ฮูหยินถามว่า : อยากได้ใครล่ะ?
เหมียวอี้ : กงอวี่เฟยกับหลี่หวนถัง! นายท่านไม่ต้องห่วง หลังจากพวกเขามาแล้ว ข้าน้อยจะไม่ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างขาดความยุติธรรมเด็ดขาด
ปี้เยว่ฮูหยินตะลึงทันที เรียกได้ว่าทั้งโมโหทั้งอยากขำ มีหรือที่นางจะไม่รู้ว่าเหมียวอี้มีความขัดแย้งเล็กน้อยระหว่างกัน นี่เป็นการเติมจำนวนคนขาดเสียที่ไหนกัน ชัดเจนว่าจะเอาชีวิตสองคนนั้น ช่างไม่ ‘ขาดความยุติธรรม’ ต่อสองคนนั้นจริงๆ
ไม่น่าเชื่อว่าจะเล็งเป้าหมายในการลงมือมาที่ลูกน้องคนสนิทของข้าเสียแล้ว ยังเห็นข้าอยู่ในสายตาอยู่มั้ย? แทบจะไม่ต้องไตร่ตรองเลย ปี้เยว่ฮูหยินปฏิเสธเสียเลยว่า : ข้าต้องใช้งานพวกเขาสองคน เรื่องขาดคนเจ้าคิดหาวิธีเอาเองเถอะ! ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็เขียนรายงานจำนวนคนขาดขึ้นมาได้ เดี๋ยวข้าจะคิดหาทางย้ายมาให้เจ้าอีกที
เป็นอย่างที่คาดไว้ เหมียวอี้เก็บระฆังดาราเงียบๆ ไม่ได้ตื๊อขออีก…
ด้านนอกตำหนักคุ้มเมือง ชายหนุ่มหน้าเหลืองคนหนึ่งปรากฏตัวอยู่ตรงตีนบันไดนอกตำหนัก เพิ่งจะโดนทหารยามขวางไว้ เป่าเหลียนทีเดินไปเดินมาอยู่นอกประตูเห็นเหตุการณ์จึงรีบออกมา ถือบัตรผ่านของเหมียวอี้ออกมาด้วย ให้ทหารยามปล่อยคน แล้วนำคนคนนั้นเข้ามาในตำหนัก ตรงไปที่ตำหนักหลัง
“นายท่าน พาคนมาแล้วค่ะ” พอหยุดอยู่ตรงประตู เป่าเหลียนก็รายงานบอก
“เจ้าออกไปก่อนเถอะ” เหมียวอี้กันนางออกไป
ชายหนุ่มหน้าเหลืองก้าวเข้ามาในประตูโถง แล้วยกมือดึงหนังปลอมบนใบหน้าเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นปานเยว่กงที่เฝ้าอยู่นอกเมืองเป็นเวลาหนึ่งร้อยปีนั่นเอง…
พอตกกลางคืน นอกตำหนักคุ้มเมืองชายหนุ่มหน้านิ่งอีกคนปรากฏตัว ยังคงเป็นเป่าเหลียนที่ออกหน้ามารับและนำตัวเข้าไป
ในตำหนักหลัง ผู้ที่มาถอดหน้ากากออก เป็นลุงหนวดจงหลีค่วยนั่นเอง
“บุญคุณยิ่งใหญ่ ตอบแทนด้วยคำพูดไม่หมด ลำบากแล้ว!” เหมียวอี้โค้งตัวกุมหมัดคารวะ จากนั้นก็หลีกทางยื่นมือเชิญ “เตรียมสุราอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว เชิญ!”
จงหลีค่วยเป่าหนวดพลางถลึงตา เดินก้าวยาวเข้ามาในศาลา นั่งลงอย่างไม่สนใจใยดี แล้วถามอย่างหงุดหงิดว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าชอบผู้หญิงที่มีสามีแล้ว แต่ก็ไม่จำเป็นต้องมาเหยียบย่ำข้าหรอกมั้ง?”
เพื่อที่จะช่วยเหมียวอี้ปกป้องผู้หญิงคนนี้ ทำให้เขาต้องเฝ้าอยู่ที่นี่หนึ่งร้อยปี ทั้งยังลำบากให้ผู้อาวุโสในสำนักมาด้วย ในใจไม่โมโหก็แปลกแล้ว
เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ พลางถือกาสุรา รินสุราให้เขาด้วยตัวเอง จากนั้นยกจอกสุราขึ้นมา “หนิวดื่มหมดจอกก่อน เพื่อชดใช้ความผิด!”
เหมียวอี้ดื่มคำเดียวหมดจอก พอเห็นอีกฝ่ายไม่รับไมตรี ก็หัวเราะอีกครั้ง แล้วหยิบแหวนเก็บสมบัติออกมาวางบนโต๊ะ “ลุงหนวด ดูสิว่าของในนี้ถูกใจท่านหรือเปล่า”
จงหลีค่วยเหล่ตามองแวบหนึ่ง แล้วถามด้วยน้ำเสียงปกติ “ของอะไร?”
เหมียวอี้บุ้ยปาก “ท่านดูเดี๋ยวก็รู้แล้ว”
จงหลีค่วยช้อนมาไว้ในมือ หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูแล้วก็อึ้งไป ไม่น่าเชื่อว่าข้างในจะเป็นสมุนไพรเซียนซิงหัวหนึ่งพันต้น เป็นต้นที่มีขนาดใหญ่ เห็นได้ชัดว่ามีอายุมากแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะมีหลายต้นที่ออกผลแล้ว สรรพคุณทางยาแบบนี้ คาดว่าใช้แค่ผลเดียวก็สามารถช่วยกู้ชีวิตที่สาหัสเหลือลมหายใจเพียงครึ่งเดียวได้หลายชีวิต มูลค่าของมันไม่ใช่เล่นๆ
สมุนไพรเซียนซิงหัวพวกนี้เหมียวอี้ได้มาจากแดนอเวจี ที่จริงเหมียวอี้เอามาแค่ต้นเล็กๆ ที่ได้มาจากดาวรองและดาวเสริมที่โดนปกคลุมด้วย ‘หมอกโฉมงามอาภัพ’ ยังมีอีกเยอะมาก แต่ยกประโยชน์ให้โจรกบฏหกลัทธิหมดแล้ว การวางแผนของประมุขไป๋เรียกได้ว่าช่วยโจรกบฏหกลัทธิได้เยอะมาก ล้วนเป็นของดีในการกู้ชีพ โจรกบฏหกลัทธิที่โดนขังอยู่ในนั้นสู้กับตำหนักสวรรค์จนบาดเจ็บล้มตายไปแล้วไม่น้อย กำลังขาดโอสถเทวดาในการรักษาบาดแผลพอดี เป็นของที่จำเป็นเร่งด่วนจริงๆ นับว่าเป็นของขวัญแรกพบที่ประมุขคนใหม่ของหกลัทธิมอบให้พวกเขาเช่นกัน
เป็นครั้งแรกที่จงหลีค่วยได้เห็นสมุนไพรเซียนซิงหัวที่ออกผล เขาเงยหน้ามองเหมียวอี้ที่อยู่ตรงข้าม แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ขนาดของแบบนี้ยังให้ข้าได้อีกเหรอ?”
“มอบห่านหมดเลย” เหมียวอี้ยิ้มตาหยีพยักหน้า แล้วถามเสริมอีกว่า “นอกจากนี้ก็อยากจะขอให้ท่านช่วยอะไรอีกสักหน่อย?”
จงหลีค่วยเป่าเครา แล้วถามว่า “คงจะไม่ได้ให้ข้าช่วยปกป้องผู้หญิงอีกใช่มั้ย?”
เหมียวอี้โบกมือ “ข้าว่าใช้ของที่อยู่ในนี้เชิญยอดฝีมือมาสักสองคนคงจะไม่มีปัญหาหรอกมั้ง?”
“ยอดฝีมือ? เชิญยอดฝีมืออะไร?” จงหลีค่วยงุนงง
“ยอดฝีมือที่จะปกป้องข้าไง!” เหมียวอี้รินสุราใส่จอกแล้วผลักไปไว้ข้างมือเขา พร้อมกล่าวอย่างจริงจัง “ข้าล่วงเกินคนไว้เยอะเกินไป ช่วงนี้ข้าได้ข่าวมา ว่ามีคนต้องการทำไม่ดีกับข้า คนระดับข้าไม่ค่อยได้คลุกคลีอยู่กับยอดฝีมือสักเท่าไร แต่ปราสาทดำเนินนภาของพวกท่านไม่เหมือนกัน มีเครือข่ายคนของตัวเอง คาดว่าท่านเองก็อาศัยบารมีรู้จักกับคนที่มีพลังอิทธิฤทธิ์สูงส่งล้ำลึกอยู่บ้าง ดังนั้นข้าอยากจะขอให้ท่านช่วยหายอดฝีมือที่เชื่อถือได้ ให้มาช่วยข้าผ่านด่านยากนี้ไปชั่วคราว”
พูดอ้อมไปอ้อมมา ที่จริงก็เพื่อจะเตรียมตัวลงมือกับร้านค้าใหญ่ๆ เพื่อที่จะยืนยันว่าตัวเองมีอำนาจควบคุมอาณาเขตนี้ เจ้าเวรนี่ก็เรียกได้ว่าไม่เสียดายแม้จะยอมแลกกับอะไร!
“มีคนต้องการจะทำไม่ดีกับเจ้า…” จงหลีค่วยลังเล ขมวดคิ้วคิดอะไรบางอย่างก็ไม่รู้ เมื่อผ่านไปพักใหญ่ก็ตอบช้าๆ ท่ามกลางสายตาที่เฝ้าคอยของเหมียวอี้ “ยอดฝีมือเหรอ ตอนนี้ข้างกายข้าก็มีอยู่นิดหน่อย บางทีอาจจะช่วยเจ้าได้”
“ข้างกายท่านมียอดฝีมือเหรอ?” เหมียวอี้ถามอย่างงุนงง “ยอดฝีมือแบบไหน?”
“บงกชรุ้งขั้นเจ็ดขั้นแปดมีสองคน บงกชกลายขั้นห้าหนึ่งคน พอที่จะปกป้องเจ้าหรือเปล่า?” จงหลีค่วยถาม
“…” ยังมียอดฝีมือพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพที่เป็นระดับบงกชกลายขั้นห้าด้วยเหรอ? เหมียวอี้อ้าปากค้างจนแทบจะยัดไข่เป็ดเข้าไปได้ เขายืนขึ้น แล้วเดินมามองสำรวจข้างกายจงหลีค่วยศีรษะจดเท้า “ลุงหนวด ท่านกำลังล้อข้าเล่นรึเปล่า? ข้างกายท่านมียอดฝีมือระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพเหรอ? จริงหรือโกหก?”
จงหลีค่วยยกจอกสุราขึ้นมาดื่มจนแห้ง แล้วตบวางจอกสุราลงพร้อมบอกว่า “มันเป็นไปไม่ได้ตรงไหน ผู้อาวุโสในสำนักข้าเพิ่งพาอาจารย์อาสองคนผ่านมาที่นี่ กำลังพักอยู่ที่ตลาดสวรรค์ชั่วคราว ถ้าเจ้าต้องการ ข้าก็จะไปปรึกษากับพวกเขา”
บังเอิญจริงๆ! เหมียวอี้พูดไม่ออก แต่ยังอดไม่ได้ที่จะถามอย่างแปลกใจ “คนของปราสาทดำเนินนภาไม่มาเกี่ยวข้องกับเรื่องของตำหนักสวรรค์ไม่ใช่เหรอ? ศิษย์พี่พวกนั้นของท่านตอบตกลงเหรอ?”
“พวกเราก็ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของตำหนักสวรรค์อยู่แล้ว ต่อให้เกี่ยวข้องแต่ก็ไม่มีทางยอมรับ เจ้าคงไม่ถึงขั้นไปปากมากพูดซี้ซั้วหรอกมั้ง?”
เกี่ยวข้องแต่ไม่ยอมรับนั้นเป็นหลักการที่ดีจริงๆ! เหมียวอี้ตาเป็นประกาย “ใช่แล้วๆ ข้าไม่พูดซี้ซั้วแน่นอน พูดออกไปก็เป็นการสร้างปัญหาให้ตัวเองไม่ใช่เหรอ”
“ปราสาทดำเนินนภาของพวกเราก็ต้องการทรัพยากรฝึกตนเหมือนกัน ถ้าปัจจัยเงื่อนไขเหมาะสม ก็ย่อมไม่พลาดอยู่แล้ว” จงหลีค่วยชี้ไปที่แหวนเก็บสมบัติบนโต๊ะ “เรือล่มในหนองทองจะไปไหน! โดยเฉพาะถ้าให้คนอื่นได้ไป ไม่สู้พวกเราเอาไปเองไม่ดีกว่าเหรอ ถ้าต่อไปมีเรื่องทำเงินแบบนี้ ตราบใดที่เจ้าไม่เปิดโปงปราสาทดำเนินนภาของข้า ก็อย่าลืมติดต่อข้าแล้วกัน!”
“…” เหมียวอี้ตกตะลึงแล้ว ถูกคำพูดของจงหลีค่วยทำลายภาพพจน์ของปราสาทดำเนินนภาที่มีในความทรงจำของเขาจนหมด ปราสาทดำเนินนภาที่ดูเผินๆ เหมือนสง่าผ่าเผย นึกไม่ถึงว่าเบื้องหลังจะแอบทำเรื่องน่าอับอายแบบนี้ อีกาในโลกนี้สีดำเหมือนกันหมดจริงๆ ด้วย จึงพยักหน้าซ้ำๆ ทันที “ได้! ได้สิ!”
หลังจากส่งจงหลีค่วยกลับไปแล้ว เหมียวอี้ที่เดินไปเดินมาอยู่ในสวนก็เริ่มอยู่ไม่สงบ การสมคบคิดกับปราสาทดำเนินนภาทำเรื่องแบบนี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเรื่องดีหรือเป็นเรื่องแย่ ตอนหลังปราสาทดำเนินนภาจะฆ่าปิดปากเขาหรือเปล่านะ?
โรงเตี๊ยม。
เพี้ยะ! แหวนเก็บสมบัติที่เหมียวอี้เพิ่งจะให้มาถูกใครบางคนตบลงบนหน้าจงหลีค่วย
จงหลีค่วยหยิบมาไว้ในมือ แล้วลูบหน้าตัวเองตรงจุดที่โดนตบ เขาทำสีหน้าขื่นขม เผชิญหน้ากับชายชราคนหนึ่งที่เดินไปเดินมาอย่างหงุดหงิดโมโห
ชายชราก็คือผู้อาวุโสของปราสาทดำเนินนภาที่ปลอมตัวมาแล้ว ชื่อว่าเชียนหลัว
ชายหนุ่มสองคนที่อยู่ข้างๆ ก็ส่ายหน้าทอดถอนใจเช่นกัน ทำท่าทางปลงอนิจจังไม่หยุด ทั้งสองก็คืออาจารย์อาของจงหลีค่วยนั่นเอง คนหนึ่งชื่อเหมิงจื้อเกา อีกคนหนึ่งชื่อจิงอาน
เหมิงจื้อเกาพูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง “หนิวโหย่วเต๋อนั่นรวยจริงๆ นะ! สมุนไพรเซียนซิงหัวเยอะขนาดนี้ยังโยนออกมาเหมือนเป็นผักกาดขาว”
จิงอานก็ส่ายหน้าถอนหายใจเช่นกัน “ว่ากันว่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์อุดมสมบูรณ์ จากที่ข้าเห็น เป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วย!”
“พวกเจ้าสองคนอย่ามาพูดจาไร้สาระตรงนี้ ถ้าพูดเหลวไหลอีก ข้าจะดึงลิ้นพวกเจ้าออกมาซะ!” ผู้อาวุโสเชียนหลัวพลันหยุดฝีเท้าแล้วหันตัวมา ชี้หน้าทั้งสองพร้อมด่าอยู่พักหนึ่ง หลังจากด่าจนทั้งสองหัวกด ก็หันมาชี้ด่าจงหลีค่วยอีก “ใครใช้ให้เจ้ารับเงินของเขามา? พวกเราไม่ได้ทำอาชีพคุ้มกันเพราะเห็นแก่เงิน!”
จงหลีค่วยถอนหายใจแล้วบอกว่า “ประเด็นสำคัญคืออีกฝ่ายรู้สึกว่าร้านคุ้มกันปากสว่าง แถมร้านคุ้มกันก็ไม่กล้ามายุ่งเรื่องตำหนักสวรรค์อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่ถึงคราวให้พวกเรารับเรื่องนี้หรอก แล้วอีกอย่าง…”
“เจ้ายังกล้าเถียงอีกเหรอ?” เชียนหลัวพูดตัดบท เอานิ้วชี้จิ้มหน้าผากจงหลีค่วย “ชื่อเสียงปราสาทดำเนินนภาของข้า สักวันจะต้องเสื่อมเสียเพราะศิษย์อกตัญญูอย่างเจ้า เอาของไปคืนเขาเดี๋ยวนี้!”
เหมิงจื้อเกากับจิงอานสบตากันแวบหนึ่ง ท่าทางอับจนปัญญา
จงหลีค่วยกล่าวอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกว่า “ผู้อาวุโส ข้าเองก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน! ครั้งนี้เขาต้องการคนปกป้อง ไม่รู้เหมือนกันว่าสำนักคิดยังไง ไม่ให้ข้าเปิดเผยความจริงอีก ถ้าไม่รับของจากเขา แล้วจะให้ข้าอ้างเหตุผลอะไรพาพวกท่านไปปกป้องเขาล่ะ? อยู่ดีๆ จะให้ยอดฝีมือของปราสาทดำเนินนภาไปข้องเกี่ยวกับตำหนักสวรรค์เพื่อปกป้องเขาเหรอ แบบนี้ขัดกับวัตถุประสงค์ของปราสาทดำเนินนภานะ เขาจะเชื่อเหรอ?”
เชียนหลัวได้ยินแล้วขมวดคิ้ว แล้วเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาต่อ การที่ไม่พูดอะไรแล้ว ก็แสดงว่ารู้สึกว่าที่จงหลีค่วยพูดมีเหตุผล
เหมิงจื้อเกากำมือป้องปากไอแห้งๆ “อาจารย์อาเชียน ข้าก็รู้สึกว่าวิธีนี้ของจงหลีค่วยก็ไม่เลวนะ ปัญหามากมายถูกแก้ตกไปตามกันแล้ว ต่อไปถ้าเขาต้องการจะให้พวกเราช่วยเหลืออีก ขอเงินเขาไปก็สิ้นเรื่อง แบบนี้ทั้งสองฝ่ายจะได้ไม่ยุ่งยาก ในถายหลังถ้ามีเรื่องอะไรก็สมเหตุสมผลแล้ว แล้วอีกอย่าง ถึงอย่างไรเจ้านั่นก็รวยมาก จุจุ! พอควักทีก็ให้สมุนไพรเซียนซิงหัวเยอะขนาดนี้ ดูจากอายุแล้ว สรรพคุณยาก็คงไม่ธรรมดา ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเอามาจากไหน ไอ๊หยา…”
จู่ๆ เชียนหลัวก็บิดหูเขาด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาด บิดดึงหูเขาขึ้นมา “เจ้าก็รู้จักแต่เงินๆๆๆ ในสายตามีแต่เงินใช่มั้ย? ปราสาทดำเนินนภายังมีหน้าตาศักดิ์ศรีอยู่มั้ย?”
เหมิงจื้อเกาที่เขย่งเท้าแก้ตัวซ้ำๆ ว่า “ไม่ทำให้ปราสาทดำเนินนภาเสียหน้าหรอก เขาไม่กล้าประกาศเรื่องนี้ต่อภายนอกเช่นกัน ไม่อย่างนั้นก็เป็นการหาเรื่องใส่ตัว”
“ใช่แล้วๆ!” จิงอานรีบช่วยพูด “สักวันหนึ่งก็ต้องให้เขารู้ความจริงอยู่แล้ว นี่คือการปรับให้เหมาะสมตามแผนการ ไม่นับว่าเสียหน้าหรอก อย่างมากพวกเราก็เก็บเงินไว้ก่อน ตอนหลังค่อยคืนเขาทีเดียวก็สิ้นเรื่องแล้ว”
บทที่ 1264 เปลี่ยนอาวุธสงครามให้เป็นหยกแพรไหม
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ใช่ๆๆ ศิษย์หมายความอย่างนี้” จงหลีค่วยรีบขานรับเช่นกัน
สามคนนั้นลนลานอธิบาย เหตุผลที่อธิบายก็ไม่ผิด สุดท้ายเชียนหลัวก็พ่นสียงทางจมูกและคลายมือออกจากหูของเหมิงจื้อเกา แล้วชี้จมูกจงหลีค่วย “ต้องทำเรื่องนี้อย่างมั่นใจและเชื่อถือได้ รีติดต่อไป ดูว่าต้องการความร่วมมืออย่างไร”
“ขอรับๆๆ!” หลังจากจงหลีค่วยเอ่ยรับซ้ำๆ ก็ทำสีหน้าหยั่งเชิงอย่างระมัดระวังอีก ถามว่า “ผู้อาวุโส ทำไมปราสาทดำเนินนภาของเราต้องแอบใหเความร่วมมือกับเจ้าหนุ่มนั่นล่ะ?”
“อ๋า!” เสียงร้องโอดครวญดังขึ้น จงหลีค่วยถูกเชียนหลัวดึงคอขึ้นมา โดนทำร้ายร่างกายไปยกหนึ่ง
ยังจะกล้าสืบเรื่องนี้อีกเหรอ? เหมิงจื้อเกากับจิงอานรู้สึกหนาวสั่น จากนั้นก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น หดชิดเข้าไปที่กำแพงพร้อมกัน ไม่มีความคิดที่จะไปช่วยจงหลีค่วยเลย กลับรู้สึกกลัวว่าจะหลบไม่ทันแล้วติดร่างแหด้วยซ้ำ…
หลังจากนั้นครึ่งเดือน กรรมการยี่สิบเก้าคนของสมาคมร้านค้าก็มารวมตัวกันในโถงอีกครั้ง
หูอวี้หยวน ผู้จัดการร้านหูโยนแผ่นหยกในมือหัวหน้าสมาคมโจวหราน แล้วบอกว่า “นี่คือบัตรเชิญที่ผู้บัญชาการใหญ่หนิวส่งมา”
มีคนไม่น้อยมองหน้ากันเลิกลั่ก หวงฝู่จวินโหรวที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็เงยหน้ามองแผ่นหยกในมือโจวหรานเช่นกัน เหมือนอยากจะเห็นเนื้อหาที่อยู่ในนั้น
หลังจากโจวหรานได้อ่านสิ่งที่อยู่ในนั้น ก็มองไปที่ทุกคนแล้วถามอย่างแปลกใจ “ทำไมหัวหน้าสมาคมอย่างข้าถึงไม่ได้รับบัตรเชิญล่ะ? ในบรรดาพวกเจ้ามีใครได้รับอีก?”
“ข้าได้รับแล้ว”
“ข้าก็ได้รับแล้วเช่นกัน”
หานลี่ เหมยเส้าจิ่ว เซิงหลง เลี่ยวซิ่วชุน กวนเซียวเย่า ผู้จัดการร้านทั้งห้าต่างคนต่างโบกแผ่นหยกอยู่ในมือ
อยากดูเหรอ? คนอื่นๆ จ้องมองมา ทั้งห้าก็ไม่ได้ซ่อนไว้ ต่างคนต่างโยนออกไป
“ที่ข้าก็มีเหมือนกัน” อูหันซาน รองหัวหน้าสมาคมที่รับผิดชอบเขตเมืองตะวันออกก็เผยแผ่นหยกเช่นกัน เขาวางไว้บนโต๊ะตรงหน้า เจ้านายที่อยู่เบื้องหลังเขาคือตระกูลอิ๋ง หนึ่งในสี่อ๋องสวรรค์
หวงฝู่จวินโหรวรับมาอ่านในมือ ตั้งแต่ต้นจนจบ พบว่าเป็นบัตรเชิญร่วมงานเลี้ยงจริงๆ ข้างในบอกว่าถ้าเมื่อก่อนมีความเข้าใจผิดต่อกัน ก็หวังว่าจะเปลี่ยนอาวุธสงครามให้เป็นหยกแพรไหม[1] จึงเชิญให้ผู้จัดการร้านเลี่ยวซิ่วชุนไปร่วมงานเลี้ยงในอีกสามวันหลังจากนี้ สุดท้ายตราอิทธิฤทธิ์ที่ลงไว้ก็เป็นของหนิวโหย่วเต๋อไม่ผิดแน่ นางรู้จักตราอิทธิฤทธิ์ของหนิวโหย่วเต๋อ
หลังจากทุกคนผลัดการอ่านแล้ว ก็ทำสีหน้าแตกต่างกันไป
“เฮอะ!” เถียนเฟิงฮ่าว ผู้จัดการร้านเถียนโยนแผ่นหยกคืนเจ้าของเดิม ก็พูดเหยียดหยามว่า “ตอนนี้รู้จักกลัวแล้วเหรอ ก่อนหน้านี้มัวไปทำอะไรอยู่ล่ะ?” เขาไม่พอใจเหมียวอี้มาก สาเหตุย่อมเกี่ยวข้องกับจาหรูเยี่ยนนายหญิงที่อยู่เบื้องหลัง
โจวหรานส่ายหน้า “แปลกจัง เหมือนจะเชิญแต่คนของเขตเมืองตะวันออกนะ เขตเมืองอื่นไม่ได้รับบัตรเชิญเหรอ?”
“ทางฝั่งพวกเราก็ไม่ได้ยินว่ามีใครได้บัตรเชิญนะ พวกเจ้าได้ข่าวบ้างหรือเปล่า?”
ผู้จัดการร้านอู่ฉงกง รองหัวหน้าสมาคมที่รับผิดชอบเขตเมืองตะวันตกมองคนที่นั่งอยู่พร้อมเอ่ยถาม เจ้านายที่อยู่เบื้องหลังเขาก็คือตระกูลอิ๋ง หนึ่งในสี่อ๋องสวรรค์
“ไม่เคยได้ยินมาก่อนนะ” มีคนส่ายหน้าบอกว่าไม่รู้
สถานการณ์นี้ทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นเริ่มคิดไม่ตก หวงฝู่จวินโหรวขมวดคิ้วมุ่น ไม่รู้ว่าเหมียวอี้กำลังวางแผนอะไร
“หนิวโหย่วเต๋อกำลังเล่นอุบายไหน?” หูอวี้หยวนผู้ จัดการร้านหูหันมองรอบวงว อดไม่ได้ที่จะพูดหยอกล้อ “หรือเป็นเพราะเขามีพื้นเพมาจากตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก เลยอยากจะเปลี่ยนอาวุธสงครามให้เป็นหยกแพรไหมกับคนของเขตเมืองตะวันออกอย่างพวกเราก่อน แต่กลับไม่อยากคืนดีกับคนอื่นๆ อย่างพวกเจ้า?”
“ไม่น่าจะใช่มั้ง!” อูหันซานบุ้ยปากไปทางอวี้ซวีเจินเหรินที่นั่งอยู่ข้างล่างเหมือนของประดับตกแต่ง “ผู้จัดการร้านอวี้ซวีกับหนิวโหย่วเต๋อก็นับว่าสนิทกันอยู่บ้างนะ เขาก็ไม่ได้รับบัตรเชิญเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
เถียนเฟิงฮ่าวกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “หลานสาของเจ้าสำนักเป็นลูกน้องคนสนิทข้างกายหนิวโหย่วเต๋อ อาจจะโดนหนิวโหย่วเต๋อเรียกเข้าห้องไปนานแล้วก็เป็นได้ ยังจะต้องมีบัตรเชิญสำหรับคืนดีกันอีกเหรอ?”
หวงฝู่จวินโหรวได้ยินแล้วเหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง สายตาไม่ค่อยเป็นมิตร นางไม่ชอบฟังอะไรแบบนี้เช่นกัน
อวี้ซวีเจินเหรินกล่าวช้าๆ ว่า “ผู้จัดการร้านเถียน ได้โปรดทำปากให้สะอาดหน่อย!”
เถียนเฟิงฮ่าวยิ้มเย้ย “ข้าก็ไม่ได้พูดอะไรผิดนี่! ชายหญิงอยู่กันตามลำพังก็เหมือนไม้ฟืนแห้งกับไฟร้อน จุดนิดเดียวก็ติดแล้ว ใครจะกล้ารับประกัน…”
“พอแล้ว!” โจวหรานตะคอกตัดบท “ผู้จัดการร้านเถียน อย่านอกเรื่องไปไกล”
เถียนเฟิงฮ่าวหัวเราะ เอนกายบนเก้าอี้แล้วบอกว่า “หัวหน้าสมาคมโจว ข้าก็แค่รู้สึกอย่างนั้นเฉยๆ เวลาพวกเราปรึกษาเรื่องบางอย่างกัน คนบางคนก็ควรจะหลีกเลี่ยงไม่ให้ตกเป็นที่ต้องสงสัยสิ? อย่าให้ตอนหลังพอเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วบอกว่าพวกเราใส่ร้ายใครไว้บ้าง”
สายตาของทุกคนแอบชำเลืองไปที่อวี้ซวีเจินเหรินทันที ทำให้เขาไม่พูดอะไรเช่นกัน ลุกขึ้นยืนจัดเสื้อผ้า แล้วหันตัวเดินออกไป
คนที่อยู่ตรงนั้นมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ไม่มีใครรั้งไว้
หลังจากไม่มีอวี้ซวีเจินเหรินแล้ว ทุกคนก็คุยกันอย่างเต็มที่ทันที หวงฝู่จวินโหรวที่นั่งอยู่ในนั้นกระตุกคิ้วเล็กน้อย ทำสีหน้าภาคภูมิใจอยู่หลายส่วน เหตุผลก็เรียบง่ายมาก เป็นเพราะนางรู้สึกว่าคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหนิวโหย่วเต๋อจริงๆ ก็คือนางต่างหาก ไม่ใช่อวี้ซวีเจินเหริน นางภูมิใจกับการเก็บความลับของตัวเองมาก
เถียนเฟิงฮ่าวพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “พื้นที่เขตเมืองตะวันออก อย่าหาว่าข้าไม่เตือนพวกเจ้านะ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่มีการจัดงานเลี้ยงไหนที่มีจุดประสงค์ดีอยู่แล้ว ระวังหนิวโหย่วเต๋อนั่นจะวางกับดักอะไรแล้วรอให้พวกเจ้าไปติดกับเองนะ”
“ลงมือแค่คนของเขตเมืองตะวันออก ขู่ให้อีกสามเขตเมืองตกใจจนจนตรอกเป็นสุนัขกระโดดกำแพง หนิวโหย่วเต๋อไม่ได้โง่ขนาดนั้นหรอกมั้ง?” หวงฝู่จวินโหรวถาม
“ก็ใช่!” มีคนไม่น้อยพยักหน้าพึมพำ
อูหันซานซู้ดปากสองที ครุ่นคิดเป็นร้อยรอบก็ไม่เข้าใจ “งั้นพวกเจ้าคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อนั่นคิดจะทำอะไรกันแน่?”
หวงฝู่จวินโหรวบุ้ยปากไปทางบัตรเชิญที่วางอยู่ตรงนั้น “เขาบอกไว้ชัดเจนแล้วไม่ใช่เหรอ ต้องการจะเปลี่ยนอาวุธสงครามให้เป็นหยกแพรไหมไง”
อูหันซานชี้ผิวโต๊ะที่อยู่ตรงหน้า “อย่าบอกนะว่าอยากเปลี่ยนอาวุธสงครามให้เป็นหยกแพรไหมกับคนของเขตเมืองตะวันออกเท่านั้น แล้วสู้กับคนอีกสามเขตเมืองต่อไป? แสดงท่าทีชัดเจนแบบนี้ ไม่ใช่การแกว่งเท้าหาเสี้ยนหรอกเหรอ?”
แผนการที่หยางชิ่งเสนอแนะออกมาดูเหมือนปกติธรรมดา แต่ความจริงแล้วกำลังทำให้ใจคนสับสน เรียกได้ว่าทำให้พวกเขางุนงงอย่างถึงที่สุด การคาดเดาที่น่าเชื่อถือและไม่น่าเชื่อถือต่างๆ นาๆ ล้วนเผยออกมา แต่ผลสุดท้ายทุกคนก็ยังรูสึกว่าไม่น่าเชื่อถือ พวกเขาปวดประสาท อีกฝ่ายกำลังวางแผนทำอะไรกันแน่?
“ถ้าจะให้ข้าพูด ข้าว่าทุกคนก็ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว” เถียนเฟิงฮ่าวตบโต๊ะ แล้วบอกว่า “ทุกคนตรงไปตรงมาหน่อย! ทุกคนร่วมมือกัน ลงมือพร้อมกัน โจมตีเข้าไปในตำหนักคุ้มเมืองแล้วฆ่าหนิวโหย่วเต๋อซะ ทำลายปัญหาที่จะตามมาทีหลังให้จบๆ ไม่ต้องเปลืองสมองเดาไปเรื่อยเปื่อยแล้ว ทำเอาอกสั่นขวัญแขวนกันทั้งวัน! ถ้าพูดให้ไม่น่าฟังหน่อยก็คือ ไม่ว่าจะเป็นร้านเดียวหรือหลายร้านทำแบบนี้ เบื้องบนก็เดือดดาลมากอยู่ดี แต่ถ้าทุกคนร่วมมือกัน แบบนั้นก็จะลงโทษไม่ได้เพราะมีคนผิดเยอะเกินไป แบบนั้นทุกคนก็จะไม่เป็นอะไร”
คนที่เหลือได้ยินแล้วกลอกตามองบน
หวงฝู่จวินโหรวก็ยิ่งทำสายตาเย็นเยียบ พบว่าเถียนเฟิงฮ่าวอยากจะหาทางเล่นงานเหมียวอี้ให้ถึงตายเพื่อให้เจ้านายได้ระบายความโกรธ จึงพูดยุยงไม่หยุด การที่ผู้จัดการร้านคนหนึ่งกล้าพูดจากล้าหาญแบบนี้ เกรงว่าอาจจะมีคนคอยบงการอยู่เบื้องหลังก็ได้ เรื่องที่ใหญ่โตขนาดนี้ ผู้จัดการร้านคนหนึ่งจะตัดสินใจเองได้เหรอ? ถึงอย่างไรนางก็ไม่เชื่อว่าเถียนเฟิงฮ่าวจะมีความกล้านี้ ถ้าคำพูดแบบนี้แพร่ออกไปก็จะสร้างปัญหาได้ง่ายมาก ดูจากการที่เถียนเฟิงฮ่าวกดดันให้อวี้ซวีเจินเหรินออกไปก็รู้แล้ว
ตอนนี้หวงฝู่จวินโหรวเพิ่งจะพาตัวเองไปยืนอยู่ในจุดเดียวกับเหมียวอี้อย่างแท้จริง นางเริ่มรู้สึกกังวลแทนเหมียวอี้ ในปีนั้นที่เหมียวอี้ตัดหัวคนหลายพันที่ตลาดสวรรค์ก็ยังไม่ร้ายแรงเท่าไร ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นหัวของพวกทาสรับใช้ แต่ตอนร่วมการทดสอบได้ฆ่าลูกหลานผู้มีอำนาจไปมากมาย เกรงว่าถ้าไม่ยอมทุกอย่างก็ปล่อยผ่านไปไม่ได้ ดูจากท่าทีของเถียนเฟิงฮ่าวก็รู้แล้ว หลังจากนี้คนในตลาดสวรรค์ที่แอบลอบกัดเหมียวอี้คงจะมีไม่น้อย จุดประสงค์ก็ย่อมอยากให้เหมียวอี้ตายอยู่แล้ว การตอบโต้กับอำนาจของเหมียวอี้อย่างโจ่งแจ้งก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ถึงอย่างไรเมื่ออยู่ที่นี่เหมียวอี้ก็เป็นตัวแทนของตำหนักสวรรค์ แต่ถ้าให้คนพวกนั้นได้โอกาสอย่างลับๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าจุดจบของเหมียวอี้จะเป็นอย่างไร!
ต่อให้เหมียวอี้จะส่งบัตรเชิญมาเพราะอยากจะเปลี่ยนอาวุธสงครามให้เป็นหยกแพรไหมจริงๆ แต่ท่าทีของเถียนเฟิงฮ่าวก็ทำให้หวงฝู่จวินโหรวที่อยู่ข้างๆ เริ่มระแวดระวังได้เช่นกัน นางไม่คิดว่าเหมียวอี้ยังจะเหมาะกับการอยู่ที่ตลาดสวรรค์อีกต่อไป ผู้มีอาจที่อยู่เบื้องหลังคนที่นี่มีเยอะเกินไป ลูกหลานโดนฆ่าแล้ว ไม่ใช่ว่าผู้มีอำนาจทุกคนจะใจกว้างขนาดนั้น ไม่อาจรู้ได้เลยว่ามีใครซ่อนเจตนาร้ายไว้บ้าง นางเตรียมจะกลับไปเกลี้ยกล่อมเหมียวอี้ ให้เขาออกจากสถานที่แห่งความขัดแย้งอย่างตลาดสวรรค์ให้เร็วที่สุด ไปอยู่ที่สถานที่ที่เป็นของอำนาจฝ่ายเดียว
แต่พอลองเปลี่ยนมุมมองความคิด หลายปีมานี้รากฐานของเหมียวอี้ก็อยู่ที่ตลาดสวรรค์ นอกจากลงหลักปักฐานที่นี่ หวงฝู่จวินโหรวก็ไม่รู้เลยว่าเหมียวอี้จะยังไปที่ไหนได้อีก แล้วจะให้ไปไหนล่ะ? ถึงอย่างไรก็มีลูกน้องคนสนิทมากมายอยู่ที่นี่เหมือนกัน!
หารู้ไม่ว่าเหมียวอี้ก็อยากจะออกจากที่นี่เหมือนกัน ถึงขั้นติดต่อกับเกาก้วนไว้แล้วด้วย แต่ว่าไปไม่ได้!
อูหันซานแสยะยิ้ม “ผู้จัดการร้านเถียน เจ้าก็พูดได้อย่างสบายใจเนอะ”
“ไม่ได้ๆๆ!” โจวหรานรีบโบกมือห้าม “ถ้าหนิวโหย่วเต๋อโดนกดดันจนถึงขั้นนั้นจริงๆ เพื่อที่จะปกป้องตัวเอง ในสถานการณ์แบบนั้นเจ้าก็พอเพถียงได้ แต่ถ้าไม่ได้เกิดเรื่องอะไรเลย แล้วพวกเราเป็นฝ่ายร่วมมือกันฆ่า นั่นมันเป็นสถานการณ์แบบไหนกันล่ะ? เป็นเพราะอาศัยภูมิหลังของพวกเราเหรอ? แค่นั้นก็ทำให้พวกเราบุกเข้าไปสังหารในตำหนักคุ้มเมืองได้แล้วเหรอ? ตำหนักคุ้มเมืองเป็นตัวแทนของตำหนักสวรรค์นะ หนิวโหย่วเต๋อเป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่ช่วยดูแลอาณาเขตให้ฝ่าบาท ถ้าร่วมมือกันทำเรื่องนี้โดยไม่มีสาเหตุ วันนี้พวกเราทำแบบนี้ได้ พรุ่งนี้คนอื่นก็จะทำได้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ? เจ้าจะให้ฝ่าบาทคิดยังไง? แม้แต่กฎกติกาพื้นฐานยังไม่ปฏิบัติตาม อยากจะก่อกบฏหรือไง!”
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครเห็นด้วย เถียนเฟิงฮ่าวจึงกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ข้าก็แค่ล้อเล่นเอง เป็นเพราะเจ้านั่นทำให้คนวุ่นวายใจเกินไป ถึงอย่างไรก็เชิญคนเขตเมืองตะวันออกของพวกเจ้าอยู่แล้ว จะไปหรือไม่ไปพวกเจ้าก็ตัดสินใจเองเถอะ!”
สุดท้ายการปรึกษาหารือครั้งนี้ก็ไม่ได้ผลลัพธ์อะไร บอกเพียงว่าถ้าเกิดเรื่องขึ้นให้ทุกคนรุกและถอยด้วยกัน แต่อย่ารอให้เกิดโอกาสที่จะเกิดภัยคุกคามกับตัวเอง ส่วนจะทำตามสัญญานี้ได้หรือไม่ ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ใครรู้
หลังจากแยกย้ายกันแล้ว พอหวงฝู่จวินโหรวกลับถึงร้านค้าสมาคมวีรชน นางก็ติดต่อเหมียวอี้ทันที อยากจะเจอหน้าเหมียวอี้ แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะอ้างว่าติดธุระเพื่อไล่นางไป
ใครจะไปรู้ล่ะว่ามีธุระต้องจัดการจริงหรือเปล่า! หวงฝู่จวินโหรวโมโหจนอยากจะไปพิสูจน์เองเสียเลย แต่ช่วยไม่ได้ที่ตำหนักคุ้มเมืองมีค่ายกลป้องกัน จะไปโดยใช้ทางใต้ดินก็ไม่ได้ เพราะถ้าเหมียวอี้ไม่เปิดใช้ค่ายกลป้องกัน หากนางฝืนบุกเข้าไปก็จะมีสัญญาณเตือน ดังนั้นถ้าเหมียวอี้ไม่ตอบตกลง นางก็ไม่มีทางเข้าไปในตำหนักคุ้มเมืองได้เลย
แต่เหมียวอี้ก็มีกิจธุระต้องทำจริงๆ บัตรเชิญผู้จัดการร้านค้าระดับบนๆ ของเขตเมืองตะวันออกถูกส่งออกไปนับร้อยฉบับบแล้ว จากนั้นก็ย่อมต้องจัดงานเลี้ยง เหมียวอี้มอบหมายงานนี้ให้สวีถังหรานไปจัดการ
“ผู้บัญชาการใหญ่ไม่ต้องห่วง ข้าจะจัดการเรื่องนี้อย่างเหมาะสมเรียบร้อยแน่นอน” สวีถังหรานตบหน้าอกรับประกัน
“ยังมีอีกเรื่องที่ต้องให้เจ้าไปจัดการ”
“ผู้บัญชาการใหญ่สั่งมาได้เลย”
เหมียวอี้เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “เจ้าหาทางไปหายาพิษมาสักหน่อย ทางที่ดีเอาแบบไร้กลิ่นไร้รสกินไปแล้วไม่รู้ตัว”
“อ๋า!” สวีถังหรานตกใจมาก มองไปรอบๆ แล้วเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงถาม “อย่าบอกนะว่าผู้บัญชาการใหญ่จะลงมือกับผู้จัดการร้านพวกนั้นในงานเลี้ยง?”
“ลงมือบ้าอะไรล่ะ ถ้าจะลงมือก็ไม่ลงมือแค่เขตเมืองตะวันออกเฉยๆ หรอก เจ้าไปจัดการก็พอ ข้ามีงานอื่นต้องทำอีก”
สวีถังหรานคิดไปคิดมาแล้วก็เห็นด้วย พยักหน้าตอบว่า “ได้! เรื่องนี้ข้าน้อยจะรับไว้เอง”
“อย่าให้เรื่องนี้เล็ดรอดไปได้เด็ดขาด อย่าให้คนที่เกี่ยวข้องกับเจ้ารู้เรื่องนี้ด้วย ถ้ามีข่าวหลุดออกไป ก็ให้ถือหัวมาให้ข้า!” เหมียวอี้เตือน
สวีถังหรานตอบด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ “นายท่านไม่ต้องห่วง รับรองว่าข้าจะจัดการเงียบๆ แบบทั้งผีทั้งเทพก็ไม่รู้!”
“ไปเถอะ!”
หลังจากโบกมือไล่ให้สวีถังหรานออกไปแล้ว เหมียวอี้ก็หรี่ตาเล็กน้อยขระมองคล้อยหลังสวีถังหรานจากไป
การที่ให้สวีถังหรานไปทำเรื่องลับๆ แบบนี้ ไม่ใช่เพราะเห็นว่าสวีถังหรานถนัดทำเรื่องไร้คุณธรรมเท่านั้น แต่ในฐานะที่เป็นคนนอกคนหนึ่ง สวีถังหรานรู้เรื่องที่ตนทำมากเกินไปแล้ว ถ้าไม่ลากอีกฝ่ายให้ลงน้ำด้วยกันจนปีนขึ้นฝั่งไม่ได้อีกตลอดไป เหมียวอี้ก็ไม่ไว้ใจที่จะเก็บเขาไว้ข้างกาย!
…………………………
[1] 化干戈为玉帛 เปลี่ยนอาวุธสงครามให้เป็นหยกแพรไหม อุปมาว่า เปลี่ยนสงครามการต่อสู้ให้เป็นสันติภาพ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น