ลำนำบุปผาพิษ 1261-1266
บทที่ 1261 เจ้าดูเถอะว่านางจะยังแก่นได้หรือไม่!
มู่เฟิงมองเจ้านายของบ้านตนอย่างเป็นกังวลยิ่งนัก นายท่านไม่หลับไม่นอนมาสองวันสองคืนแล้ว!
ยามที่ได้รับข่าวนี้ นายท่านเพิ่งเข้าฌานเสร็จ สีหน้าค่อนข้างซีดเซียว
หลังจากแม่นางกู้หนีไป วังค้ำนภาก็โกลาหลอย่างแท้จริง คนที่สามารถส่งออกไปได้ล้วนส่งออกไปทั้งหมด แถมยังส่งทั้งหมดออกไปอย่างลับๆ ด้วย เพื่อไม่ให้ผู้คนด้านนอกแตกตื่นแม้กระทั่งจวนแม่ทัพก็ยังไม่รู้เรื่องราวที่แท้จริงเลย
เมื่อกู้เซี่ยเทียนหาบุตรสาวไม่พบก็มาสอบถามด้วยตัวเองถึงหน้าประตู
เพียงแต่คนของวังค้ำนภาไม่ปล่อให้เขาเข้าไป แค่บอกกับเขาตามที่ตี้ฝูอีสั่งการว่า ลูกสาวของเขาสบายดี พิธีวิวาห์จะจัดขึ้นในอีกเก้าวันให้หลังตามปกติ
กู้เซี่ยเทียนยังคงโกรธเคืองยิ่งนักอยู่!
ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะช่วงชิงผลประโยชน์ให้บุตรีกลับมาอยู่บ้านตนหลายๆ วันได้ ยังถูกเจ้าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไร้ยางอายผู้นี้ลิดรอนสิทธิไปอีก! เขาอยากใช้เหตุผลโต้แย้ง จะไม่เห็นหัวผู้หลักผู้ใหญ่ได้อย่างไร…
ฐานะเสมือนพ่อตาของเขาก็ไม่ได้ทำให้คนของวังค้ำนภาเคารพนบน้อมต่อเขาสักเท่าไหร่ ยังคงขวางเขาไว้หน้าประตูเช่นเดิม
เพียงแต่ดีร้ายอย่างไรก็ยังเห็นแก่ที่เขาเป็นบิดาของกู้ซีจิ่ว ต่อให้เขาโวยวายอาละวาดฟาดงวงฟาดงาอยู่หน้าประตู พวกเขาก็แสร้งทำเป็นคนหูหนวไปเสียทั้งหมด ไม่ตอบโต้เลย
ถึงอย่างไรกู้เซี่ยเทียนก็เป็นแม่ทัพคนหนึ่ง และไม่อายที่จะมาโหวกเหวกโวยวายอยู่หน้าประตูบ้านผู้อื่นทุกวัน ดังนั้นเขาจึงมาวันละครั้ง…
ความจริงแล้วเมื่อตี้ฝูอีพบว่ากู้ซีจิ่วหายตัวไป ก็เริ่มระดมพลส่งยอดฝีมือทุกฝ่ายออกไป
พลิกผืนพรมสืบหา แม้แต่ภายในวังหลวงและจวนแม่ทัพของกู้เซี่ยเทียนก็ไม่ได้ปล่อยผ่าน ทุกซอกทุกมุมล้วนค้นหาอย่างถี่ถ้วนแล้ว
เพียงแต่เนื่องจากผู้ที่ออกสืบหาล้วนเป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือทั้งสิ้น เจ้าของบ้านที่ถูกค้นจึงไม่รู้ตัวเลย…
นกสืบรอยเอย สัตว์ตามรอยเอย มือดีด้านการสืบหาร่องรอยคนทั้งหลายพากันออกปฏิบัติการ มีแม้กระทั่งมือปราบสองสามคนจากศาลต้าหลี่ คนเหล่านี้ก็มีฐานะลับเป็นคนของหน่วยอนธการด้วย
ว่ากันตามเหตุผลแล้ว มีสักคนสองคนในบรรดาคนเหล่านี้ออกโรง ต่อให้กู้ซีจิ่วซ่อนตัวอยู่ในโพรงงูอันใด ก็สามารถสืบพบได้
กลับนึกไม่ถึงว่าครั้งนี้กู้ซีจิ่วจะหายตัวไปอย่างหมดจดยิ่งนัก นางปิดบังร่องรอยไว้เป็นอย่างดี ความสามารถในการสกัดกั้นการตามรอยก็เข้าขั้น คนมากมายถึงเพียงนี้ค้นหาอยู่กว่าหนึ่งวัน ก็ไม่พบร่อยรองของนางเลยสักนิด ทำให้ตี้ฝูอีเกือบสงสัยว่าเธอประสบเภทภัยเข้าเสียแล้ว…
ดังนั้นเขาจึงใช้วิชาเสาะวิญญาณที่สิ้นเปลืองพลังวิญญาณยิ่งนักสืบหา ผลคือเสาะหาดวงวิญญาณของนางไม่พบเช่นกัน…
ยามนี้ในที่สุดก็ทราบภาพรวมทิศทางของนางแล้ว มู่เฟิงก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเช่นกัน “นายท่าน ประเดี๋ยวข้าน้อยจะไปค้นหาที่ป่าทมิฬนะขอรับ ท่านกลับไปพักผ่อนสักหน่อยก่อนดีกว่า ถึงแม้ป่าทมิฬจะอันตรายยิ่งนัก แต่ข้างกายนางมีสัตว์วิญญาณทั้งสามอยู่ น่าจะไม่เกิดอุบัติเหตุอันใดขึ้น…”
วาจาเป็นห่วงเป็นใยของเขายังกล่าวไม่จบดี ตี้ฝูอีก็ตัดบทเขาแล้ว “สามตัวนั้นพึ่งไม่ได้! พวกเจ้าทั้งสี่ติดตามเปิ่นจุนเข้าไปค้นหาที่ป่าทมิฬ!”
“…ขอรับ” มู่เฟิงไม่กล้ากล่าวเป็นอื่น ตอบรับคราหนึ่งแล้วรีบไปติดต่ออีกสามคนทันที…
หลังจากมู่อวิ๋นได้ยินถ้อยคำนี้ บ่นออกมาอย่างอดไว้ไม่อยู่ “แม่นางกู้ผู้นี้แก่นแก้วเกินไปแล้ว! ไม่กี่ปีมานี้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราวิ่งเต้นสารพัดเพื่อนางอยู่ตลอด สูญเสียพลังยุทธ์ไปหลายหนแล้ว เพื่อนางแล้วแทบจะเอาชีวิตไปเสี่ยงภัย นางไม่เพียงไม่สำนึกบุญคุณเท่านั้น ยังหนีไปอย่างไม่พูดอะไรสักคำด้วย! นางจะอยู่ดีๆ หน่อยไม่ได้หรือไง? ให้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ได้อยู่อย่างสงบสักสองวันไม่ได้หรือ?”
มู่เฟิงกระแอมคราหนึ่ง ไม่พูดอะไร มู่อวิ๋นยังพูดต่อไป “ข้ารู้สึกว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ปฏิบัติต่อแม่นางกู้ผู้นี้อ่อนโยนเกินไปแล้ว กับเด็กสาวที่ไม่แน่ไม่นอนประเภทนี้มีวิธีเดียวเท่านั้นที่ได้ผลที่สุด!”
“วิธีใด?” น้ำเสียงเสียงแผ่วหวิวแว่วมาจากด้านนั้น
“เปลี่ยนข้าวสารเป็นข้าวสุกไง! ทำให้นางกลายเป็นคนของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เสีย เจ้าดูเถอะว่านางจะยังแก่นได้หรือไม่!”
————————————————————————————-
บทที่ 1262 เจ้าสารเลว
“เปลี่ยนข้าวสารเป็นข้าวสุกไง! ทำให้นางกลายเป็นคนของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เสีย เจ้าดูเถอะว่านางจะยังแก่นได้หรือไม่! สตรีบางคนก็เป็นเช่นนี้ ยิ่งเจ้าทะนุถนอมนาง นางยิ่งไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ คอยหาเรื่องอยู่ร่ำไป แต่หลังจากเปลี่ยนให้กลายเป็นคนของเจ้า เจ้าใช้ไม้ตีนางก็ไม่ไป มอบกายถวายชีวิตติดตามเจ้า…” มู่อวิ๋นพูดอย่างคึกคัก เจื้อยแจ้วไม่หยุด
“วิธีของเจ้าไม่เลวเลยนี่…” ในที่สุดทางนั้นก็มีเสียงแว่วขึ้น เยียบเย็นปานธารน้ำแข็งที่แตกร้าว
มู่อวิ๋นหน้าเปลี่ยนสีแล้ว มือเริ่มสั่นระริก “ทะ…ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์…”
“แต่กู้ซีจิ่วเป็นว่าที่ฮูหยินของเทพศักดิ์สิทธิ์ นับเป็นเจ้านายของเจ้าเช่นกัน เจ้าลามปามนางเช่นนี้รู้ความผิดหรือไม่?”
“รู้ความผิด…ข้าน้อยรู้ความผิดแล้วขอรับ…”
“ในเมื่อทราบความผิดแล้ว เช่นนั้นก็อย่าให้เปิ่นจุนพูดมากความ หลังจบเรื่องครั้งนี้แล้ว เจ้าจงไปรับโทษที่หุบเหมันต์ด้วยตัวเองเถอะ อากาศที่นั่นไม่เลว หนาวเย็น ทำให้สติเจ้าแจ่มใสปลอดโปร่งได้อย่างดี”
มู่อวิ๋นจะร้องไห้แล้ว “ขอรับ…”
ผ่านไปสักพัก มู่เฟิงที่อยู่ด้านนั้นก็เอ่ยปลอบอย่างไม่จริงใจสักเท่าไหร่ “มู่อวิ๋นเอ๋ย ข้าได้ยินว่าอุณหภูมิในหุบเหมันต์แห่งนั้นลดต่ำลงมากแล้ว ต่อให้เป็นมนุษย์เหล็กคนหนึ่งเมื่อถึงในนั้นแล้วก็ถูกแช่แข็งได้ ข้าอยากหาคนไปทดสอบอุณหภูมิในนั้นอยู่พอดี ประจวบเหมาะเหลือเกินเจ้าส่งตัวเองมาให้ถึงประตูแล้ว”
มู่อวิ๋นเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “มู่เฟิง เจ้าสารเลว ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่ข้างๆ เจ้าทำไมเจ้าไม่บอกก่อนเล่า?!”
มู่เฟิงตอบด้วยน้ำเสียงไม่ทุกข์ร้อน “ข้าก็ไม่ได้บอกว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้อยู่ข้างๆ ข้านี่”
มู่อวิ๋นพูดไม่ออกแล้ว
มู่เฟิงปลอบใจเขาอีกครั้ง “วางใจเถอะ หลังจากจบเรื่องนี้แล้วข้าจะไปส่งเจ้าเข้าไปเอง อย่างไรก็ตามเห็นแก่ความเป็นพี่น้องข้าจะอะลุ่มอล่วยให้เจ้าก็ได้ เมื่อถึงเวลานั้นจะยอมให้เจ้าเอาเสื้อบางๆ เข้าไปได้อีกตัวแล้วกัน”
มู่อวิ๋นโมโหจนปิดป้ายหยกโดยสารไปทันที
อุณหภูมิต่ำสุดของหุบเหมันต์ติดลบเกือบแปดสิบองศา อย่าวแต่พกเสื้อบางๆ เพิ่มไปสักตัวเลย ต่อให้พกเสื้อคลุมขนจิ้งจอกตัวหนึ่งเข้าไปก็ยังไม่มีประโยชน์เลย!
….
ป่าทมิฬมีทั้งหมดแปดยอดเขา ยอดเขาที่แปดมีเขตแดนอยู่ บนยอดเขาที่แปดไม่ว่าจะมีสัตว์ร้ายที่น่าเหลือเชื่อสักเพียงใดขอมีเพียงมีเขตแดนอยู่ ก็ฝ่าออกมาไม่ได้
เขตแดนนั้นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ติดตั้งไว้ หากมีคนบุกรุกเข้าไป ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะทราบเป็นคนแรก
พวกเขาค้นหาตั้งแต่ยอดเขาที่เจ็ดลงไปก็พอแล้ว
พวกมู่เฟิงคิดว่า ขอเพียงไปถึงป่าทมิฬจะต้องหาร่องรอยของกู้ซีจิ่วพบอย่างง่ายดายเป็นแน่…
ถึงอย่างไรข้างกายนางก็มีสัตว์วิญญาณติดสอยห้อยตามอยู่สามตัว และเจ้าสามตัวนั้นก็อยู่ไม่สุขสักเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนล้วนเอะอะมะเทิ่งเสมอ ขอเพียงหาสถานที่ที่วุ่นวายคึกคักที่สุดพบจะต้องสืบพบอย่างง่ายดายแน่นอน…
ไม่ว่าจะยอดเขาไหนของป่าทมิฬล้วนมีสัตว์ร้อยอยู่มากมาย
กฎเกณฑ์ตามธรรมชาติของที่นี่ย่อมป็นผู้แข็งแกร่งถึงจะอยู่รอดถูกปฏิบัติอย่างถึงแก่นแท้ ทุกหนทุกแห่งในป่าล้วนมีการเข่นฆ่าเกิดขึ้นทุกวัน ความวุ่นวายไม่ได้เกิดขึ้นเพียงจุดเดียว
ด้วยเหตุนี้ เทวทูตทั้งสี่จึงได้รับชมหรือไม่ก็เป็นสักขีพยานในการประลองหรือเข่นฆ่ากันระหว่างสัตว์ร้ายกับสัตว์ร้ายในป่าทมิฬอยู่เนืองๆ สัตว์ร้ายชนิดใดล้วนมีทั้งสิ้น มีการต่อสู้นองเลือดทุกอย่าง อย่างเดียวที่ไม่เห็นคือพวกเจ้าหอยยักษ์…
แน่นอนว่าพวกเข้าก็ไม่พบเห็นกู้ซีจิ่วด้วย…
ยังคงเป็นตี้ฝูอีที่พบร่องรอยของกองไฟกองหนึ่งและกองกระดูกย่างสุกเกลื่อนกลาดอยู่บนเนินเขาแห่งหนึ่งบนยอดเขาที่หก
เนื่องจากเคยมีฝนตกห่าใหญ่ ร่องรอยของที่นี่แทบจะถูกสายฝนทำลายไปพอสมควรแล้ว
กระดูกเหล่านั้นก็กระจัดกระจายอยู่ใต้โคลนเลนและวัชพืช ดูสกปรกโสโครก กลับนึกไม่ถึงว่าท่านเทพทูตสวรรค์ฝ่ายที่รักความสะอาดจนเข้าขั้นวิปริตมาด้วยตลอดจะคุ้ยกระดูกเหล่านั้นขึ้นมาทีละชิ้นๆ บางครั้งก็นำมาจ่อดมที่ปลายจมูกด้วย หาร่องรอยที่เหลืออยู่บนนั้น…
มู่เฟิงก็เดินทางมาถึงที่นี่พอดี เมื่อได้เห็นฉากนี้หัวใจก็มีความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้ นัยน์ตาแสบเคือง ก้าวเข้าไปอย่างทนไม่ได้ “นายท่าน งานสกปรกเหล่านี้ให้ข้าน้อยทำเถอะขอรับ!”
บทที่ 1263 เช่นนี้…ก็ดีแล้ว…
ตี้ฝูอีไม่สนใจเขา เอ่ยเพียงประโยคเดียวด้วยเสียงลุ่มลึก “สามวันก่อนนางเคยพักแรมอยู่ที่นี่!”
มู่เฟิงเงียบงัน สามวันก่อนเคยพักแรมอยู่ที่นี่ แต่ระยะเวลาสามวันก็เพียงพอให้แม่นางกู้ผู้นี้หนีไปสุดขอบโลกได้แล้ว!
เพียงแต่ ดีร้ายอย่างไรก็ยืนยันได้ว่านางเคยปรากฏตัวที่นี่มาก่อน ต้องลองใช้ที่นี่เป็นจุดศูนย์กลาง แล้วค้นหาไปรอบๆ ดูอีกครั้ง มู่เฟิงปล่อยนกสืบรอยออกมาสี่ตัว ให้พวกมันดมกลิ่น ผลคือนกสืบรอยทั้งสี่ตัววินบนปานแมลงวันหัวขาด และไม่ได้ออกไปเลยสักตัว
ชัดเจนยิ่งนักว่ากู้ซีจิ่วกับสัตว์เลี้ยงทั้งสามของนางหายไปจากจุดเดิม
ดังนั้นการใช้วิชาเคลื่อนย้ายหนีไปจึงเป็นเรื่องน่าชังที่สุด!
ทำให้ผู้อื่นไม่อาจไล่ตามได้ การค้นหาเช่นนี้ก็เหมือนการงมเข็มในมหาสมุทร มู่เฟิงมองป่าดงดิบที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ กลุ้มใจเหลือเกิน…
นิ้วมือของตี้ฝูอีที่อยู่ในแขนเสื้อก็กำแน่นเช่นกัน วิชาเคลื่อนย้ายของสาวน้อยคนนี้ช่างทำให้ผู้อื่นระอาโดยแท้ ทำให้เขารู้สึกไร้กำลังอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน…
เขาไม่พูดอะไร ในรัศมีห้าลี้ของสถานที่แห่งนี้เขาเคยค้นหาอย่างละเอียดแล้ว ไม่พบร่องรอยอื่นๆ เลน
เขานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง พลิกข้อมือขึ้นมา แหวนทับทิมวงหนึ่งปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ
แหวนวงนี้เป็นแหวนที่เขาสวมไว้บนนิ้วของนางตอนที่ขอกู้ซีจิ่วแต่งงาน จำได้ว่าตอนนั้นนางดีใจยิ่งนัก และตอนอยู่ร่วมกับเขาที่วังค้ำนภา เขามักจะเห็นนางมองแหวนวงนี้แล้วยิ้ม ยิ้มเหมือนเด็กน้อยที่ได้กินลูกกวาด
แต่ครั้งนี้ตอนที่นางจากไป กลับทิ้งแหวนวงนี้ไว้ แม้แต่ข้าวของพวกนั้นที่เขาเคยมอบให้นาง ก็ถูกใส่ไว้ในถุงเก็บของใบนั้น ยัดใส่แขนเสื้อขององครักษ์ลับที่ถูกนางจับไว้ ให้ส่งมอบแก่เขา
เขาหลับตาลงเล็กน้อย มุมปากหยักยิ้มขมขื่น นางปล่อยวางได้สง่างามกว่าเขาเสมอมา และตัดเยื่อเยื่อได้หมดจดกว่าเขา…
บางทีความรักของนางอาจไม่ได้มากมายเช่นที่เขาคิดไว้
เช่นนี้…ก็ดีแล้ว…
มู่เฟิงเห็นเขามองแหนวงนั้นอย่างเหม่อลอย ก็ไม่กล้ารบกวนชั่วขณะ เขารู้สึกอยู่เสมอว่าบนร่างท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ในยามนี้มีความโศกศัลย์อย่างหนึ่งอยู่
เคราะห์ดีที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ใจลอยนานนัก เขาเริ่มทำมุทรา แสงเจ็ดสีผุดออกมาจากปลายนิ้ว ที่ผุดออกมาพร้อมกับแสงเจ็ดสียังมีมุกโลหิตสีแดงฉานเป็นพิเศษด้วย มุกโลหิตก่อตัวเป็นแอ่งโลหิตกลางฝ่ามือเขา ห่อหุ้มแหวนวงนั้นไว้…
มู่เฟิงมองอย่างตกตะลึง ไม่กล้าหายใจแรงเลย
โลหิตที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์หลั่งออกมาครานี้มิใช่โลหิตธรรมดา พอผุดออกมาก็ทำให้เกิดกลิ่นหอมประหลาดอบอวลอยู่ในอากาศ กลิ่นหอมพิสดารนี้คล้ายสมุนไพรคล้ายบุปผา ทำให้คนสดชื่น แม้แต่มู่เฟิงที่หนักแน่นถึงเพียงนี้ก็ยังรู้สึกว่าจิตใจว้าวุ่นอยู่บ้าง ปรารถนาจะโผเข้าไปกัดสักสองคำยิ่งนัก เสียงกู่ร้องแว่วมาจากสี่ทิศ เห้นได้ชัดว่ามีสัตว์ร้ายที่ต้านทานความเย้ายวนใจของกลิ่นหอมพิสดารนี้ไม่ไหว ตามกลิ่นมาแล้ว…
มู่เฟิงไม่เกรงกลัวสัตว์ร้าย ที่นี่คือยอดเขาที่หก สัตว์ร้ายจะดุร้ายสักเพียงใดอยู่ในมือเขาก็เป็นเพียงของหวานจานหนึ่ง!
เพียงแต่เกิดอะไรขึ้นกับโลหิตนี้?
ในอดีตท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เคยหลั่งโลหิตเช่นกัน แต่โลหิตนั้นไม่ได้หอมหวนมอมเมาผู้คนถึงเพียงนี้…
หัวใจของมู่เฟิงเต็มไปด้วยความฉงน ทว่ายามที่เขาเห็นสีหน้าของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ซีดเผือดขึ้นเรื่อยๆ ก็รู้สึกไม้ดีเหลือเกิน!
หนก่อนท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ถูกตรวนสลายวิญญาณล่ามไว้นานถึงเพียงนั้น สีหน้าก็ยังไม่ซีดขาวขนาดนี้ลย! โลหิตนี้ของเขาเป็นโลหิตอันใดกันแน่?!
มู่เฟิงตัดสินใจในทันใด ยอมทุ่มกับความเสี่ยงที่จะถูกท่านทพศักดิ์สิทธิ์ลงทัณฑ์ก้าวเข้าไปทันที “นายท่าน นี่ท่านทำอะไรอยู่ขอรับ?”
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่นใจเขา โชคดีที่เมื่อแอ่งโลหิตกลางฝ่ามือเขามีขนาดประมาณสุราจอกหนึ่งแล้ว หยาดโลหิตก็หยุดหลั่งรินในที่สุด บักนี้โลหิตนั้นท่วมมิดแหวนวงนั้น จากนั้นก็ลอยขึ้นแล้วพลิกหมุนอยู่กลางฝ่ามือเขา…
หมุนอยู่ครู่หนึ่งก็ผละจากฝ่ามือของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ลอยขึ้นสู่อากาศกลายเป็นยันต์โลหิตนับไม่ถ้วน ยันต์โลหิตนั้นเหินลอยขึ้นสู่นภา….
ผ่านไปครู่หนึ่ง กลางฟากฟ้าก็ปรากฏมวลหมดสีโลหิต และเกิดเสียงอัศนีคำรามขึ้นคราหนึ่ง พิรุณโลหิตสีแดงอ่อนโปรยปรายลงมา!
————————————————————————————-
บทที่ 1264 ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หานางให้พบก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ทั้งป่าคล้ายจะเดือดพล่านขึ้นมา สัตว์ร้ายมากมายในป่ากระโดดโลดเต้น อ้าปากกว้างรับหยาดฝนสีโลหิตอย่างตะกละตะกลาม
ส่วนท่านเทพศักดิ์สิทธิ์กลับลอยพลิ้วขึ้น มือทำมุทรา มีน้ำเสียงเสมือนระฆังรุ่งสางกลองพลบค่ำแว่วออกไป “รับโลหิตข้า ฟังคำสั่งข้า ตามหาคนที่โลหิตที้นำ…”
แหวนวงนี้เคยเป็นสิ่งที่นางชอบที่สุด และนางสวมติดกายเป็นเวลานาน บนแหวนจึงมีกลิ่นอายของนางอยู่มากพอ ทั้งยังมีโลหิตเทพของเขาเป็นสื่อชักนำ สัตว์ร้ายทั้งหมดในป่าทมิฬที่ดื่มพิรุณโลหิตของเขาเข้าไป ล้วนต้องช่วยเขาตามหาคน…
ขอเพียงกู้ซีจิ่วยังอยู่ในป่าทมิฬแห่งนี้ จะต้องถูกสัตว์ร้ายเหล่าหาตัวพบ และส่งข่าวมาให้เขา
หลังจากทำสิ่งเหล่านี้เสร็จสิ้น เขาก็ค่อยๆ ร่อนลงมา ร่างส่ายโงนเงนเล็กน้อย ทรุดลงนั่งบนโขดศิลาเขียวก้อนหนึ่ง หยิบลูกกลอนเม็ดหนึ่งออกมาแล้วกินเข้าไป
มู่เฟิงมองผิวเขาที่ขาวราวกับจะโปร่งแสง เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าตัวคนแข็งแกร่งถึงเพียงนั้นทว่าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงทำให้เขารู้สึกคล้ายกระเบื้องเคลือบชนิดหนึ่ง เสมือนลมพัดคราหนึ่งก็ปลิวแล้ว
เขาถูกความคิดที่ผุดขึ้นมากะทันหันนี้ทำให้ตกใจ ส่ายหนาเล็กน้อย ทำไมเขาถึงมีความคิดที่ไม่เข้าท่าแบบนี้กันนะ?
แต่ไหนแต่ไรมาท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ล้วนแข็งแกร่งที่สุด ไม่เคยมีผู้ใดเอาชนะเขาได้ เมื่อเขาโกรธเกรี้ยว สามารถสั่นสะเทือนฟ้าดินได้ แล้วจะเปราะบางเฉกเช่นกระเบื้องเคลือบไปได้อย่างไร? สองวันมานี้ตนคงจะตามคนจนเลอะเลือนไปแล้ว ถึงได้มีความคิดที่ไม่เข้าท่าเช่นนี้
หลังจากตี้ฝูอีกินยาลูกกลอนเข้าไปก็เริ่มนั่งสมาธิเงียบๆ มู่เฟิงก็คุ้มกันอยู่ข้างกายเขา
เป็นเช่นนี้จนผ่านพ้นไปหนึ่งชั่วยาม ตี้ฝูอีจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น ลุกขึ้นยืน
เขาไม่ได้รับข่าวใดๆ จากเหล่าสัตว์เลย กล่าวอีกอย่างก็คือ นางไม่ได้อยู่บนยอดเขาใดๆ ในบรรดายอดเขาทั้งเจ็ดเลย!
เช่นนั้นนางไปที่ใดกัน?
หรือว่าออกจากป่าทมิฬไปแล้ว?
เขาสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง สั่งการมู่เฟิงที่อยู่ข้างกาย “เจ้าออกไปสั่งการองครักษ์ลับทั่วทวีป ให้ตามหาที่อยู่ของนาง”
นอกเสียจากนางจะหาสถานที่เหมือนตำหนักลับใต้ลาวาของโม่เจ้าพบ มิเช่นนั้นขอเพียงนางออกจากป่าทมิฬแห่งนี้ไปก็จะถูกองครักษ์เงาเหล่านั้นของเขาหาตัวพบ…
มู่เฟิงตอบรับคราหนึ่งแล้วจากไป
ตี้ฝูอีหลับตาลงนิดๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หานางให้พบก่อนแล้วค่อยว่ากัน
….
เมื่อเทียบกับความเป็นเดือดเป็นร้อนของตี้ฝูอีแล้ว วันเวลาของกู้ซีจิ่วในสองวันมานี้กลับผ่านไปอย่างราบรื่น
เธออยุ่ที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนั้นชั่วคราว
อย่างไรเสียก็เข้าแล้วออกไม่ได้ ผู้คนของที่นี่ก็ค่อนข้างมีอัธยาศัยไมตรี แน่นอน เนื่องจากคนเหล่านี้ล้วนเคยเป็นผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นสานุศิษย์มาก่อน จึงมีความสามารถหลายด้านนัก ในกระดูกยังคงมีความทระนงยิ่งนักอยู่ แต่ละคนล้วนจองหองยิ่ง มักจะประชันขันแข่งกันเองอยู่บ่อยครั้ง สู้กันจนเกิดความโกลาหลขึ้น
แน่นอนว่ามีขอบเขตในการประลอง ไม่ได้สู้กันจนถึงชีวิตจริงๆ เมื่อประลองเสร็จก็กอดไหล่เป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน
กู้ซีจิ่วอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้วันเดียวก็ทราบจำนวนประชากรของที่นี่อย่างชัดเจนแล้ว มีสตรีแปดคน บุรุษสามสิบสองคน ระยะเวลาที่พวกเขาอยู่ที่นี่ไม่เท่ากัน บางคนก็เป็นผู้เฒ่าที่อยู่มาแปดสิบเก้าสิบปีแล้ว และบางคนก็เป็นคนหนุ่มสาวที่เพิ่งมาได้สองสามปี
ที่นี่เป็นเมืองลับแลที่ปิดกั้นจากโลกภายนอก ตอนแรกที่คนเหล่านี้มาถึงที่นี่ ยังคงคิดหาจะออกไปอยู่ตลอด แต่หลังจากชนกำแพงหลายครั้งเข้าก็หมดหวังไปแล้ว ที่นี่เปรียบเสมือนหม้อเหล็กใบหนึ่ง พวกเขาเหล่านี้ล้วนถูกขังไว้ในหม้อ แม้แต่รูให้หนูลอดก็หาไม่พบเลย
ในเมื่อออกไปไม่ได้เช่นนั้นย่อมต้องใช้ชีวิตต่อไป โชคดีที่สภาพแวดล้อมของที่นี่ยังนับว่าผาสุก ใบไม้บนต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นมีสรรพคุณที่พิเศษยิ่งนักอย่างหนึ่ง หลังจากเด็ดใบลงมาขยำหลายๆ ครั้งแล้วทุบ ก็จะได้เป็นผ้าสีเงินบางๆ ใช้ผ้าชนิดนี้มาตัดเย็บเสื้อผ้าไม่เพียงแต่ดูดีเท่านั้นยังไม่สกปรกง่ายๆ ด้วย และใส่สบายยิ่งนัก
————————————————————————————-
บทที่ 1265 เดินไปทางไหนล้วนเป็นดั่งองค์หญิง
ต้นไม้ใหญ่ออกผลทั้งปี ผลที่ออกมาคล้ายมะพร้าวจริงๆ น้ำผลไม้อุดมไปด้วยสารอาหาร เนื้อผลไม้หวานฉ่ำ เอาไปตากแห้งเหมือนพืชผักได้
ด้านหลังหมู่บ้านแห่งนี้มีภูเขาเล็กๆ อยู่ลูกหนึ่ง บนเขามีสัตว์เลี้ยงอยู่ไม่น้อย สัตว์ร้ายเหล่านี้กินคนด้วย แต่เนื้อของพวกมันก็เลิศรสมากเช่นกัน ผู้คนที่นี่มักจะจับกลุ่มออกไปล่าสัตว์อยู่เสมอ ล่าสัตว์กลับมาให้คนทั้งหมู่บ้านได้ลิ้มรสชาติเนื้อ
เนื่องจากมีผู้หญิงน้อย ดังนั้นจึงถูกผู้ชายกว่าสามสิบคนในหมู่บ้านทะนุถนอมเอ็นดู
แน่นอนว่าพวกเขามีอิสระในการอยู่กินเป็นสามีภรรยา สตรีทั้งแปดคนในหมู่บ้านแต่งงานไปแล้วหกคน สตรีที่เหลืออีกสองคนจึงเนื้อหอมนัก เดินไปทางไหนล้วนเป็นดั่งองค์หญิง
สรุปคือ วิถีชีวิตของที่นี่ก็เหมือนชนเผ่าดึกดำบรรพ์ที่เล่าขานกัน โดยทั่วไปทุกคนเสมอภาคกัน แบ่งหน้าที่แตกต่างกัน ตัดเย็บเสื้อผ้าเอย ล่าสัตว์เอย เก็บเกี่ยวเอย วันเวลาก็นับว่าผ่านไปอย่างสงบสุข
มีเพียงเรื่องเดียวที่ทำให้ผู้คนที่เสียดายคือ สามีภรรยาที่ผูกสัมพันธ์กันที่นี่ไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้ เป็นเช่นนี้อยู่นานหลายปี ที่นี่ก็ไม่มีเด็กน้อยถือกำเนิดขึ้นเลย
คุณชายวัยหนุ่มที่นั่งรถเข็นผู้นั้นเปรียบเสมือนหัวหน้าเผ่าของที่นี่ ทุกคนเลื่อมใสเขายิ่งนัก
รูปโฉมของเขาหล่อเหลาอย่างที่ยากจะพบพาน เป็นที่นิยมยิ่งนักในหมู่หญิงสาว หลายปีมานี้ในบรรดาสตรีทั้งแปดนางมีอยู่เจ็ดนางที่ทอดสะพานให้เขาอย่างเจตนาและมิเชิงเจตนา แต่เขาล้วนปฏิเสธอย่างสุภาพ เขาไม่คิดจะแต่งงาน มุ่งมั่นเพียงฝึกฝนวรยุทธ์เท่านั้น
เขาฉลาดอย่างยิ่ง อีกทั้งมีไหวพริบสูง เป็นผู้บรรลุพลังวิญญาณขั้นเก้าคนแรกของหมู่บ้านนี้
เพียงแต่เขาเดินไม่ได้จริงๆ ขาทั้งสองข้างไม่มีความรู้สึกอย่างสมบูรณ์ เดินทางโดยการนั่งรถเข็นอยู่เสมอ แต่ยามที่พบพานอันตรายเข้าจริงๆ เขาซัดฝ่ามือทั้งสองข้างออกไปก็สามารถแล่นฉิวผ่านอากาศไปได้แล้ว
เนื่องจากภูเขาด้านหลังมีสัตว์ร้ายอยู่มาก แถมส่วนใหญ่ยังเป็นสัตว์ระดับหกขึ้นไปอีกด้วย บางครั้งสัตว์ร้ายเหล่านี้ฝ่ากลไกด้านนอกเข้ามาโจมตีภายในหมู่บ้านได้ ก่อระลอกคลื่นโหมกระหน่ำขึ้น…
เขาเข้าใจค่ายกล ซ้ำยังรู้วิชาแพทย์อยู่บ้าง ปกติแล้วถ้าคนในหมู่บ้านเจ็บป่วยหรือได้รับบาดเจ็บอันใด ล้วนเป็นเขาที่ลงมือรักษา เนื่องด้วยเรื่องเหล่านี้ เขาจึงได้รับความเคารพนับถือจากทุกคนยิ่งนัก
เนื่องจากการปรากฏตัวของกู้ซีจิ่วพิสดารอยู่บ้าง ดังนั้นเริ่มแรกผู้คนในหมู่บ้านยังค่อนข้างต่อต้านเธออยู่ แต่ภายหลังเมื่อได้ยินเธอบอกเล่าเรื่องราวของโลกภายนอก และลองหยั่งเชิงเธออยู่หลายครั้งเพื่อพิสูจน์ว่าเธอไม่ใช่ภูตพรายอันใด และแล้วก็ยอมรับเธอ
หญิงสาวของที่นี่มีน้อยจนน่าสงสาร เมื่อมีเด็กสาวโฉมงามอย่างกู้ซีจิ่วเข้ามา ย่อมเป็นที่ต้อนรับขับสู้อย่างยิ่ง
ไม่ต้องมีคำสั่งจากคุณชายวัยหนุ่มคนนั้น ผู้คนมากมายก็แย่งกันสร้างกระท่อมพิเศษเช่นนั้นให้เธอแล้ว..
ยังมีคนที่นำผลไม้กับเนื้อสัตว์มามอบให้เธอด้วย ถึงขั้นที่มีบุรุษท่าทางยังหนุ่มคนหนึ่งมอบกำไลหยกมันแพะที่เก็บรักษาอย่างดีไว้หลายปีให้เธอด้วย บอกว่าสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ เอาใจเธอสารพัดวิธี
กู้ซีจิ่วมีเงามืดต่อสิ่งของจำพวกกำไล ตอนนี้บนข้อมมือเธอเหลือเพียงหยกนภาเท่านั้น ไม่ต้องการกำไลใดๆ อีก
หยกนภาเป็นหยกเนื้อดีชิ้นหนึ่ง ยามนี้ถึงแม้มันจะสื่อสารกับกู้ซีจิ่วไม่ได้ แต่นิสัยที่ชอบเป็นหนึ่งไม่มีสองยังไม่เปลี่ยนไป ชอบหึงหวง มันรู้สึกว่าเจ้านายมีมันเป็นกำไลวงเดียวก็พอแล้ว กำไลอื่นๆ ล้วนสมควรถูกโยนทิ้ง
กำไลคู่บุพเพในคราก่อนเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เนื่องจากเจ้านายถอดออดไม่ได้
หยกนภาแอบกระทบกระแทกเจ้ากำไลคู่บุพเพวงนั้นอยู่หลายครั้ง หลังจากไม่อาจกระแทกอีกฝ่ายให้บุบสลายได้ ทำได้เพียงยอมรับกำไลคู่บุพเพวงนั้นอย่างยอมรับชะตากรรม
แต่ในใจยังคงหงุดหงิดอยู่บ้าง โดยเฉพาะยามที่เห็นเจ้านายมองเจ้ากำไลวงนั้นแล้วยิ้มออกมาอย่างโง่งม มันก็ยิ่งอารมณ์เสียมากขึ้น รู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าตำแหน่งของมันถูกแทนที่เสียแล้ว!
————————————————————————————-
บทที่ 1266 เป็นดั่งเครื่องยืนยันไมตรีอย่างหนึ่ง…
ต่อมาเจ้านายถูกสลับร่าง ถึงแม้เจ้ากำไลคู่บุพเพผีสางวงนั้นจะไม่ได้ติดตามนางมาด้วย แต่ตัวมันก็ไร้หนทางสื่อสารกับเจ้านายเช่นกัน เรื่องนี้ทำให้มันฉงนสนเท่ห์ยิ่งนัก
ยามนี้เมื่อชายหนุ่มคนนั้นมอบกำไลให้กู้ซีจิ่วด้วยสีหน้าประหนึ่งมอบสมบัติล้ำค่าให้ กู้ซีจิ่วโบกมือไม่ยอมรับ ทว่าชายหนุ่มคนนั้นกลับหัวรั้นยิ่งนัก ยืนยันจะมอบให้กู้ซีจิ่วให้ได้ แถมยังยัดใส่มือเธออย่างเอาเป็นเอาตายด้วย
นี่ทำให้หยกนภาฉุนเฉียวอย่างยิ่ง มันเปล่งแสงออกมาแวบหนึ่งทันที ลำแสงสีรุ้งพุ่งตรงไปที่กำไลหยกมันแพะวงนั้น!
ด้วยเหตุนี้ กำไลที่ตกทอดกันมาจากบรรพบุรุษวงนั้นจึงแตกเป็นเสี่ยงๆ…
ชายหนุ่มคนนั้นตกตะลึง
กู้ซีจิ่วก็นิ่งงัน
ชายหนุ่มคนนั้นแทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความปวดใจ กู้ซีจิ่วรู้สึกผิด ด้วยหลักการที่ว่าทำของผู้อื่นเสียหายก็ต้องชดใช้ เธอจึงหยิบกำไลแก้วเคลือบสีวงหนึ่งออกมาจากถุงเก็บของแล้วมอบให้ผู้อื่น
กำไลวงนั้นเธอซื้อมาเองจากเมืองบาดาลของชาวเงือก ที่เมืองบาดาลไม่นับว่าราคาอะไร แต่หลังจากนำขึ้นมาบนบกก็กลายเป็นของล้ำค่าหายาก ราคาสูงกว่ากำไลหยกมันแพะวงนั้นนิดหน่อย
เดิมทีชายหนุ่มคนนั้นไม่อยากรับไว้ แต่ต่อมาไม่ทราบว่าคิดอะไรอยู่ ยื่นมือมารับไว้ กล่าวอย่างปราโมช “ของขวัญที่แม่นางกู้มอบให้ผู้แซ่หยางย่อมต้องรับไว้ เป็นดั่ง…เป็นดั่งเครื่องยืนยันไมตรีอย่างหนึ่ง…”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกเลย เธอเอากำไลคืนมาได้ไหมนะ?
กำไลประเภทนี้ที่เมืองบาดาลราคาวงละห้าไข่มุก ในถุงเก็บของของกู้ซีจิ่วบรรจุไว้ถึงสี่สิบห้าสิบวง เดิมทีวางแผนว่าจะซื้อกลับมาให้เหล่าสหายของตน และได้ส่งมอบออกไปแล้วสองสามวง ในถุงยังเหลืออีกกว่าสี่สิบวง ดังนั้นเธอจึงนำส่วนหนึ่งมาแบ่งปันที่นี่
หลังจากกู้ซีจิ่วมอบกำไลให้ชายหนุ่มคนนั้น ชายหนุ่มคนนั้นเก็บไว้อย่างดีหนึ่งวัน สุดท้ายก็อดไม่ไหวจริงๆ สวมไปโอ้อวดจนทั่วอย่างปรีดา ผลคือทุกคนต่างสวมกำไลที่คล้ายคลึงกับเขากันคนละวง…
ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มคนนั้นจึงห่อเหี่ยว
ถึงแม้นิสัยของกู้ซีจิ่วจะเย็นชาไปบ้าง แต่ของเพียงไม่ล่วงเกินเธอ คนอย่างเธอก็ค่อนข้างอยู่ร่วมด้วยง่าย ผ่านไปถึงสามวัน เธอก็เข้ากับผู้คนที่นี่ได้แล้ว กลมกลืนไปกับพวกเขา
เนื่องจากกู้ซีจิ่วสงสัยว่าคุณชายวัยหนุ่มผู้นั้นจะเป็นกู้เทียนนั่วพี่ชายของเธอ ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะสอบถามเรื่องราวของเขาให้มากหน่อย
จากการพูดคุยกับคนเหล่านั้น เธอจึงทราบว่าคุณชายวัยหนุ่มผู้นี้นามว่าหลัวจั่นอวี่ ทุกคนที่นี่ล้วนเรียกขานเขาอย่างเคารพว่าคุณชายจั่นอวี่
เขามาที่นี่เมื่อสิบห้าปีก่อน ตอนที่มาเป็นเด็กน้อยอายุประมาณสิบขวบคนหนึ่ง จำไม่ได้ว่าตนชื่อแซ่อะไร และจำไม่ได้ว่าตัวเขามาที่นี่ได้อย่างไร เงียบขรึมไม่พูดไม่จา ถามไปสิบประโยคไม่ตอบเลยสักประโยค
ทุกคนย่อมเอื้ออาทรต่อเด็กน้อย และเนื่องจากเด้กคนนี้เป็นอัจฉริยะด้านพลังวิญาณ ทุกคนจึงสอนวรยุทธ์ให้เขาอย่างเต็มอกเต็มใจยิ่ง
เนื่องจากเขาเงียบขรึมพูดน้อย ยามนั้นทุกคนจึงเรียกเขาว่าอาโม่ (เจ้าเงียบ)
ต่อมาไม่รู้ว่าเพราะอะไรจู่ๆ เขาก็สดใสขึ้น บอกว่าตัวเองชื่อหลัวจั่นอวี่ ทุกคนต่างยินดียิ่งนักที่ในที่สุกเขาก็นึกเรื่องในอดีตออกแล้ว ผลคือเขาเพียงเอ่ยนามนี้ออกมาเท่านั้น เรื่องอื่นอย่างคงถามอะไรก็ตอบว่าไม่รู้ท่าเดียวเช่นเดิม เพียงแต่วรยุทธ์ของเขาดั่งมีทวยเทพคอยเกื้อหนุน ซ้ำยังเรียนรู้วิชาแพทย์ได้เองโดยไร้อาจารย์ แถมยังทราบการจัดกระบวนทัพด้วย
ทุกคนรู้สึกว่าบางทีนี่สิถึงจะเป็นสานุศิษย์สวรรค์ตัวจริง เพียงแต่เขาไม่เคยพูดออกมาเท่านั้น
วรยุทธ์ของเขาสูงส่งขึ้นเรื่อยๆ หลังจากพาทุกคนต่อสู้ขับไล่สัตว์ร้ายให้ล่าถอยอยู่หลายครั้ง ทุกคนจึงค่อยๆ ยกให้เขาเป็นผู้นำ
….
เสียความทรงจำ สิบห้าปีก่อน อายุประมาณสิบขวบ…
กู้ซีจิ่วใคร่ครวญอยู่ในใจเงียบๆ ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเขาคล้ายกู้เทียนนั่ว
ตอนที่กู้เทียนนั่วหนีเข้าป่าทมิฬอายุสิบเอ็ดขวบพอดี และหายสาบสูญไปเมื่อสิบห้าปีก่อนเช่นกัน โดยเฉพาะรูปโฉมของเขาที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับร่างเดิมของเธอจริงๆ…
————————————————————————————-v
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น