ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 126-129
ตอนที่ 126 กำจัดวานร (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
และในเวลานี้ก็มีเสียงหัวเราะดังมาจากหินสีเหลืองขนาดใหญ่!
หลังจากมีเสียงโครมครามดังมาจากหินขนาดใหญ่ มันก็พร่ามัวกลายเป็นหุ่นตัวนิ่มอีกครั้ง
และพอชายหน้าดำปรากฏตัวก็หยิบกระบองสั้นสีทองออกมาอย่างรวดเร็ว หลังจากที่มันสั่นไหวตามแรงลมก็กลายเป็นกระบองยักษ์ยาวสองจั้งกว่า เขาแผดเสียงและก้าวยาวๆ ไปหาวานรยักษ์สีดำโดยไม่ได้สนใจวานรสีเทาทั้งสอง
ทางด้านหยางเฉียน เขากับปีศาจหัววัวร่วมมือกันต่อสู้กับปีศาจวานรอย่างดุเดือด
ไม่รู้ว่าปีศาจวานรตนนี้ไปหยิบกระบองเหล็กสีดำมาจากไหน ภายใต้การกวัดแหว่งอย่างบ้าระห่ำทำให้เกิดเป็นพายุขนาดใหญ่ในทันที เงากระบองสีดำจำนวนมากทับซ้อนกันจนดูราวกับเขาลูกเล็กๆ กดลงไปจนบีบให้หยางเฉียนกับหัววัวต้องถอยออกโดยไม่กล้าดึงดันเข้าไปแม้แต่น้อย
เสียงดัง “ตู้ม!”
กระบองสีทองเสียบเข้าไปในเงากระบองสีดำ เมื่อทั้งสองสิ่งปะทะกันก็ก่อให้เกิดคลื่นกระแทกออกมา ทำให้ร่างของวานรยักษ์สีดำสั่นไหวแล้วถอยออกไปครึ่งก้าวโดยไม่ได้ตั้งใจ
และชายหน้าดำที่เพิ่งเข้ามาใกล้ก็สุดที่จะทนได้ ความร้อนที่มือทั้งสองทำให้เขาถอยหลังออกไปเจ็ดแปดก้าวโดยไม่รู้ตัว จนเกือบจะปล่อยกระบองในมือหลุดไป
“ปีศาจตนนี้มีพลังมากนัก!” พอชายหน้าดำตั้งตัวได้ก็หลุดปากพูดออกมา
“นี่คือเรื่องจริง! ปีศาจวานรตนนี้มีพลังแข็งแกร่งรองมาจากปีศาจวานรขนทอง ต่อให้พวกเราทั้งสองร่วมมือกันก็ต้องระวังให้มาก” หยางเฉียนกลับทำเสียงฮึดฮัดกล่าวออกมา และตบมือข้างหนึ่งไปยังอากาศด้านหน้า จากนั้นก็มีไอสีดำพวยพุ่งออกมารวมตัวกันจนกลายเป็นฝ่ามือขนาดใหญ่ตบออกไปอีกครั้ง มันขัดขวางปีศาจวานรที่ถือโอกาสไล่ตามชายหน้าดำได้ทันเวลาพอดี
ปีศาจวานรสีดำโมโหเป็นอย่างมาก มันกวัดแกว่งกระบองขึ้นไปบนฟ้า และทุบฝ่ามือสีดำจนแตกกระจายด้วยเสียงดังสนั่นราวกับเสียงฟ้าร้อง
แต่ในระหว่างนี้ ชายหนุ่มหน้าดำที่เพิ่งหายใจได้ทั่วท้องกลับทำท่ามือด้วยมือเดียว หลังจากที่เส้นเลือดจำนวนมากปรากฏขึ้นบนตัวของเขา เสื้อเกราะสีเลือดก็ปรากฏออกมาอีกครั้ง หนามไม้ไผ่อันแหลมคมสิบกว่าอันเสียบอยู่บนนั้น หลังจากที่พวกมันแทงเข้าไปยังจุดฝังเข็มต่างๆ ร่างของเขาก็ขยายใหญ่ขึ้นมา เขาคำรามเสียงต่ำกวัดแกว่งกระบองสีทองและกระโจนออกไปพร้อมกับปีศาจกระดูกหัววัวร่างมนุษย์ด้วยความโมโห และขัดขวางปีศาจวานรที่คิดจะกระโจนเข้าหาหยางเฉียนไว้ได้
ปีศาจวานรสีดำเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ กระบอกเหล็กในมือถูกกวัดแกว่งอย่างบ้าคลั่ง พายุบริเวณนั้นก็รุนแรงขึ้นมาอีกสามส่วน ภายใต้สถานการณ์สองรุมหนึ่งก็ยังทำให้คู่สู้ทั้งสองต้องถอยอยู่ไม่หยุด
แต่ในขณะนั้นเอง หยางเฉียนกลับหยิบสิ่งของบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อ มันคือธนูกระดูกสีขาวขนาดเท่าฝ่ามือ หลังจากที่จับมันโบกไปตามลม มันก็ขยายใหญ่ขึ้นมาครึ่งจั้งท่ามกลางแสงสีดำที่หมุนวน
หยางเฉียนร่ายคาถาออกมา และค่อยๆ ยกธนูกระดูกในมือขึ้น ไอสีดำบริเวณนั้นพุ่งเข้ามาด้านหน้าเขาอย่างบ้าคลั่งก่อนที่จะหมุนติ้วๆ รวมตัวกันตรงสายธนูสีเลือด จากนั้นอักขระสีดำจำนวนมากก็ปรากฏออกมา และกลายเป็นลูกศรสีดำแววแววพร้อมกับเล็งไปยังปีศาจวานรสีดำที่อยู่ไม่ไกล
เสียงดัง “ฟิ้ว!”
พอหยางเฉียนหยุดร่ายคาถา มือทั้งสองก็คลายออกมา ลูกศรสีดำพุ่งออกไปจากคันธนูกระดูกอย่างพร่ามัว
ปีศาจวานรยักษ์ที่อยู่ไกลออกไปส่งเสียงร้องอย่างเวทนา รูเลือดรูหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าอก มันคือรูที่เกิดจากการเจาะทะลุของลูกศรสีดำด้วยระดับความเร็วอันเหลือเชื่อ
โลหิตสดๆ จำนวนมากพุ่งออกมาจากหน้าอกวานรยักษ์ ถึงแม้มันจะใช้มือที่มีขนาดใหญ่ข้างหนึ่งอุดไว้ แต่เมื่อถูกชายหน้าดำกับปีศาจกระดูกห้อมล้อมโจมตีเช่นนี้มันก็ไม่สามารถยับยั้งไว้ได้ ในที่สุดมันก็เผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา
และหยางเฉียนที่ยิงลูกศรไปหนึ่งดอกกลับทำให้พลังของเขาลดลง ดูเหมือนว่าจะสูญเสียพลังเวทย์ไปไม่น้อย หลังจากที่เขาเก็บธนูกระดูกแล้ว ก็ยังคงควบคุมไอสีดำให้เป็นฝ่ามือเข้าไปโจมตี
ด้วยเหตุนี้ถึงแม้ปีศาจวานรจะต่อต้านการโจมตีอย่างสุดชีวิต แต่ก็ยังคงค่อยๆ แสดงท่าทีที่ต้านไม่ไหวออกมา
……
ขณะเดียวกัน หุ่นเสือดาวทั้งสามที่จินอวี่ควบคุมก็ถูกปีศาจวานรสีเทาใช้กระบองหินสีขาวที่ผนึกขึ้นมาจากพื้นฟาดเข้าใส่อย่างบ้าคลั่งจนกระเด็นออกไป โดนเขาไม่สามารถทำการต้านทานใดๆ ได้เลย
ดีที่จินอวี่ควบคุมอยู่ที่ไกลๆ อีกอย่างจำนวนหุ่นก็มีค่อนข้างมาก พวกมันแต่ละตัวกระโจนเข้าใส่ติดต่อกันอย่างไม่กลัวตาย ถึงแม้จะมีรอยแผลเต็มไปทั้งตัวแต่ก็ยังฝืนก่อกวนปีศาจตนนี้ได้
……
ฝั่งของหลิ่วหมิง เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วมาก จนร่างไม่ได้สัมผัสกับวานรยักษ์เลย และคมวายุสีเขียวในมือก็พุ่งยิงติดต่อกันออกไปอยู่ไม่หยุด
ถึงแม้ปีศาจวานรยักษ์สีเทาที่อยู่ไม่ไกลจะคำรามเสียงอยู่ไม่หยุด แต่ภายใต้สถานการณ์ที่มีก้ามยักษ์ทั้งสองกับหางตะขอโจมตีจากพื้นด้านล่างอยู่ตลอด กลับทำให้มันไม่อาจไล่ตามได้ทัน โดนเฉพาะตะขอตรงหลังที่โจมตีจนกลายเป็นเส้นสีดำนั้นรวดเร็วมาก จนทำให้วานรสีเทาเองก็รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
มันได้แต่จับดินบนพื้นมารวมตัวเป็นหินขนาดเท่าศีรษะขว้างใส่หลิ่วหมิงอยู่ไม่หยุด
แต่ด้วยระดับการหลบหลีกที่ว่องไวของหลิ่วหมิงกับคมวายุที่ถูกปล่อยมาอย่างรวดเร็ว ทำให้หินเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะถูกปัดออกไปอย่างง่ายดายเท่านั้น แต่มันยังถูกคมวายุฟันจนแตกละเอียด
วานรตนนี้ไม่ได้สังเกตว่า ถึงแม้หลิ่วหมิงจะหลบหลีกอยู่ตลอด แต่พื้นที่หลบหลีกนั้นจำกัดอยู่แค่พื้นที่เล็กๆ บริเวณนี้เท่านั้น ทั้งยังมีไอหมอกสีม่วงพุ่งออกมาจากบนพื้นดินบริเวณนั้นอยู่ไม่หยุด ตอนแรกมันมีเพียงแค่เบาบาง แต่ครู่เดียวก็กลายเป็นชั้นหนาๆ ขึ้นมา และเริ่มตลบอบอวลขึ้นไปบนอากาศ
อากาศบริเวณนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นคาวจางๆ
หลิ่วหมิงได้แอบทานโอสถถอนพิษหลายเม็ดไปก่อนหน้านั้นแล้ว ร่างกายของเขาเคลื่อนไหวไปยังที่อื่นๆ เพื่อหลบหลีกไอพิษอันเข้มข้นนี้
แต่วานรยักษ์สีเทากลับพุ่งเข้าใส่อยู่ไม่หยุด จนสูดดมไอพิษจำนวนมากเข้าไปโดยไม่รู้ตัว
ท่ามกลางการไล่ล่าและหลบหลีกเช่นนี้ ปีศาจวานรคำรามเสียงออกมา และขณะที่ก้มลงไปคว้าก้อนดินขึ้นมาอีกครั้งนั้น พลันรู้สึกเวียนหัวจนเกือบจะล้มลงไปบนพื้น
ในขณะนั้นเอง ก็มีเสียงดัง “ซู่ๆ!” มาจากพื้นดินบริเวณนั้น เส้นสีดำสิบกว่าเส้นพุ่งยิงออกไปพร้อมกัน
วานรยักษ์สีเทารีบหลบหลีกด้วยความตกใจ แต่ทั่วทั้งร่างกลับไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา การเคลื่อนไหวเชื่องช้ากว่าเดิมมาก
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น!
ขาข้างหนึ่งของวานรยักษ์ถูกแทงเป็นรูเลือดขนาดเท่าหัวแม่มือสิบกว่ารู ไม่นานรูเลือดเหล่านั้นก็เปลี่ยนเป็นสีดำ และแผ่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
เพียงอึดใจเดียวขาของวานรยักษ์ก็กลายเป็นสีดำม่วงที่ดูผิดปกติ
วานรยักษ์สีเทาล้มโครมลงพื้น ขณะเดียวกันมันก็ส่งร้องอันหวาดผวาออกมาด้วย เท้าสีดำม่วงค่อยๆ จางหายไปทีละนิด
หลิ่วหมิงที่อยู่ไกลๆ กลับหยุดฝีเท้าในฉับพลัน หลังจากที่มือทั้งสองแยกจากกัน คมวายุยักษ์สีเขียวเส้นหนึ่งก็ปรากฏออกมา พอเขาสะบัดข้อมือมันก็พุ่งออกไป
เสียงระเบิดดังขึ้น คมวายุยักษ์กลายเป็นแสงสีเขียวแล้วลางเลือนไปปรากฏอยู่ตรงหน้าวานรยักษ์อย่างรวดเร็ว
ถึงแม้วานรยักษ์จะส่งเสียงร้องแหลมเพราะรู้ว่าเกิดเรื่องไม่ดีเสียแล้ว แต่ในสภาพที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ มันทำได้เพียงแต่ใช้มือทั้งสองป้องไปยังด้านหน้า
เสียงดัง “ฟิ้ว!” แสงสีเลือดปรากฏออกมา แขนทั้งสองท่อนกับหัวของมันต่างก็ถูกตัดออกมาอย่างรวดเร็ว โลหิตสดๆ พุ่งขึ้นสูงจากต้นคอหลายฉื่อ
ร่างที่ไร้หัวของปีศาจวานรแกว่งไหวสองทีแล้วก็ล้มลงไปบนพื้นบริเวณนั้น
พื้นดินบริเวณนั้นแยกออกจากกัน พร้อมกับแมงป่องกระดูกขาวกระโดดขึ้นมา หลังจากที่ก้ามยักษ์ทั้งสองของมันแหวกศพสะเปะสะปะก็หาถุงน้ำดีสีแเดงม่วงเจอ แล้วมันก็คลานเอาไปไว้ใต้เท้าหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงยกมือข้างหนึ่งดูดถุงน้ำดีมาไว้ในมือด้วยสีหน้าที่เรียบสงบ และใส่มันลงไปในกล่องไม้ จากนั้นถึงได้หันไปดูการต่อสู้ทั้งสองแห่ง
ทางด้านหยางเฉียน ปีศาจวานรสีดำถูกพวกมันล้อมโจมตีจนร่างโชกเลือด ร่างของมันกำลังจะล้มมิล้มแหล่ จนดูราวกับว่าอาจจะล้มลงไปได้ตลอดเวลา
ส่วนทางด้านจินอวี่ หุ่นเสือดาวสามตัวในตอนนี้ มีสองตัวที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อน อีกตัวที่เหลือนั้นร่างกายขาดรุ่งริ่งจนดูเหมือนจะยืนหยัดอยู่ได้อีกไม่นาน
แต่หุ่นที่ก่อกวนปีศาจวานรสีเทา ยังมีหุ่นพยัคฆ์ทมิฬกับหุ่นหมาป่าสีเขียวอย่างละตัวที่เพิ่มขึ้นมา
ตัวจินอวี่นั้นเคลื่อนไหวนิ้วทั้งสิบตั้งใจควบคุมหุ่นทั้งสามตัวอยู่ไม่หยุด โดยไม่วอกแวกเลยแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ค่อยๆ ยิ้มออกมา พร้อมกับเดินเข้าไปทางด้านจินอวี่ และแมงป่องกระดูกขาวก็มุดลงไปใต้พื้นดินแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย
จินอวี่ย่อมเห็นถึงการก้าวเข้ามาของหลิ่วหมิง สีหน้าของเขาดูไม่ได้ขึ้นมา หลังจากที่กัดฟันแล้วเข้าก็กระตุ้นหุ่นให้ดูร้ายกาจกว่าเดิม
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป!
หลังจากกระบี่สั้นสีเขียวในมือหลิ่วหมิงส่งเสียงดังออกมา แสงกระบี่สีเขียวจำนวนมากก็พุ่งออกไปฟันร่างของปีศาจวานรสีเทาที่ถูกหุ่นสองตัวกับแมงป่องกระดูกขาวจัดการล้มลงบนพื้นจนขาดออกเป็นชิ้นๆ
“ดีมาก! ไม่คิดว่าเจ้าทั้งสองจะทำออกมาได้ดีกว่าที่ข้าคิดไว้มาก โดยเฉพาะศิษย์น้องไป๋ จุ๊ๆ! แมงป่องกระดูกขาวของเจ้าตนนี้มีความสามารถในการสื่อสารจิตอย่างแท้จริง เกรงว่าศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายโดยทั่วไปก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน” การต่อสู้ข้างๆ ก็เพิ่งจะสิ้นสุดลงเช่นกัน และชายหนุ่มหน้าดำที่กำลังคิดจะเข้ามาช่วยได้เห็นถึงฉากนี้ ก็ตบมือชมเชยด้วยความดีใจ
“ศิษย์พี่อวิ๋นชมเกินไปแล้ว ถึงแม้แมงป่องกระดูกขาวของข้าตนนี้จะเฉลียวฉลาด แต่ไหนเลยจะเทียบกับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายได้จริงๆ อีกอย่างตอนที่ข้าเข้ามาช่วยนั้น ปีศาจวานรตนนี้ก็หมดพลังไปกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว บวกกับการร่วมมือกับศิษย์น้องจิน ทำให้จัดการมันได้โดยง่าย
เฮ่อๆ! ที่ข้าพูดถึงไม่ใช่ปีศาจวานรตนนี้ แต่เป็นปีศาจวานรที่เจ้าจัดการด้วยตนเองในก่อนหน้านั้น พิษปีศาจของเจ้าตนนี้ร้ายแรงยิ่งนัก มันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงในภายหลังใช่ไหม โดยทั่วไปแมงป่องกระดูกขาวไม่ได้มีพิษรุนแรงเช่นนี้” ชายหน้าดำส่ายหน้ากล่าวออกมา
ครั้งนี้หลิ่วหมิงได้แต่ยิ้มให้โดยไม่ตอบกลับไปแต่อย่างใด
“เอาล่ะ! ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาผ่อนคลาย รีบฟื้นฟูพลังเวทย์กันเถอะ! ถ้าปีศาจวานรสามตนนี้ไม่ได้กลับขึ้นไปบนเขาล่ะก็ ข้าไม่อาจรับรองได้ว่าตัวที่เหลือจะยังเฝ้าอยู่ด้านบน รีบหาที่ซ่อนตัวกันดีกว่า” หยางเฉียนเองก็เดินเข้ามากล่าวเร่งรัด
พอได้ยินคำพูดนี้ คนอื่นๆ ก็รู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมา จินอวี่รีบลงมือจัดการนำเอาถุงน้ำดีออกมาจากศพปีศาจวานร คนอื่นๆ ก็ปล่อยลูกเปลวไฟออกมาเผาศพทั้งสามจนกลายเป็นขี้เถ้า
จากนั้นทั้งสี่คนก็ออกไปจากหุบเขาอย่างไม่ลังเล
สถานที่แห่งนี้กลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง
สองชั่วยามผ่านไป ก็มีเสียงดังฝีเท้าดังสะเทือนเลือนลั่นมาจากนอกหุบเขาอีกครั้ง จากนั้นก็มีเงาร่างเคลื่อนไหว ปีศาจวานรสีทองกับสีเทาสองตนปรากฏตัวตรงปากทางเข้า ปีศาจวานรขนทองตนนั้นสูงไม่เกินจั้งกว่าๆ แต่บนตัวมีเกราะไม้แบบง่ายๆ สวมอยู่ ในมือถือกระบองไม้สีม่วงขนาดเท่าปากถ้วย แสงสีเงินในดวงตาทั้งสองเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด ราวกับว่ามันฉลาดเฉียบแหลมเป็นยิ่งนัก!
……………………………………….
ตอนที่ 127 กำจัดวานร (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ปีศาจวานรทั้งสองกระโดดตัวเคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็มาถึงบริเวณที่ปีศาจวานรทั้งสามถูกสังหาร และได้เดินวนไปหนึ่งรอบ พอปีศาจวานรสีดำตนนั้นสูดดมกลิ่นเข้าไปก็พลันปรากฏสีหน้างงงวยออกมา
และปีศาจวานรขนทองกลับก้มลงหยิบเอากระบองยักษ์สีดำขึ้นมาจากพื้นดินบริเวณนั้น บนนั้นยังมีรอยเลือดอยู่เต็มไปหมด หลังจากที่มันใช้จมูกดมกลิ่นดูแล้ว ก็แหงนหน้าคำรามออกมาด้วยความโมโห
ขนทั่วทั้งตัวของมันตั้งชันขึ้นมา ร่างของมันขยายใหญ่จนสูงสี่จั้งกว่าๆ และหลังจากที่กระโดดไม่กี่ทีก็มาอยู่บนกองหินที่จินอวี่ซ่อนตัวในก่อนหน้านั้น มือทั้งสองตบลงไปด้านล่างอย่างรุนแรง
เสียงดัง “ตู้ม!” ก้อนหินที่อยู่ในรัศมีหลายจั้งแตกละเอียดไปในพริบตา เศษหินรวมตัวกันบนมือของปีศาจวานรอย่างรวดเร็ว จากนั้นมันก็เปลี่ยนเป็นกระบองหินยาวเจ็ดแปดจั้งชี้ขึ้นไปบนฟ้า
วานรยักษ์เพียงแค่ลูบมือทั้งสองไปยังปลายกระบองทั้งสองข้าง กระบองหินก็ดูเกลี้ยงเกลาขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันมันก็เปลี่ยนจากสีขาวเทามาเป็นโลหะสีเงินวาว
ปีศาจวานรขนทองกระทุ้งกระบองสีเงินลงไปบนพื้นอย่างรุนแรง
บังเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นขึ้นมาทันที กองหินทั้งหมดกลายเป็นหลุมยักษ์ลึกครึ่งจั้ง
วานรยักษ์กวัดแกว่งกระบองไปทั่วทิศทาง จนเกือบจะพังทลายหุบเขาตรงนั้นไปครึ่งหนึ่ง มันถึงได้ลดความโกรธลงไปได้เล็กน้อย จากนั้นร่างของมันก็กลับมามีขนาดเท่าเดิม และโยนกระบองยักษ์ในมือทิ้งไปอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนที่จะพาวานรสีดำเดินจากไป
พอกระบองยักษ์สีเงินอันนั้นหล่นไปจากมือปีศาจวานรเพียงไม่กี่ลมหายใจ แสงสีเงินบนพื้นผิวก็หายไป และกลับมาเป็นสีขาวเทาดังเดิม
หลังจากที่มีลมพัดผ่านไปเบาๆ มันก็กลายเป็นผุยผงกระจายหายไป
ตอนที่ปีศาจวานรทั้งสองเดินถึงปากทางเข้านั้น ปีศาจวานรขนทองตัวที่อยู่หน้าสุดพลันทำจมูกฟุดฟิด ก่อนที่จะย่อตัวลงไปในทันที เท้าทั้งสองออกแรงอย่างรวดเร็วก่อนที่จะกระโจนไปยังหินก้อนหนึ่งที่อยู่ตรงบริเวณนั้น
“แย่แล้ว พวกเราถูกพบเข้าแล้ว เผ่นเร็ว!”
พลันมีเสียงหวาดผวาดังมาจากหลังก้อนหิน จากนั้นก็มีเสียงดัง “สวบ!” “สาบ!” เงาร่างของคนสองคนพุ่งออกไปคนละด้านด้วยความรวดเร็วดุจลูกธนู
พวกเขาคือชายหนุ่มสวมชุดนิกายวาตอัตคีสองคน
ประจักษ์ชัดว่าทั้งสองถูกเสียงอันดังในก่อนหน้านี้ดึงดูดให้เข้ามาในหุบเขา แต่พอเห็นพลังอันน่าตกใจของปีศาจวานรขนทองเข้าไหนเลยจะกล้าโผล่หน้าออกมา คิดไม่ถึงว่าปีศาจวานรขนทองตนนี้จะจมูกไวเป็นอย่างมาก จนสามารถค้นพบร่องรอยของพวกเขาได้
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ทั้งสองได้แต่วิ่งหนีด้วยความตกใจเท่านั้น
ปีศาจวานรขนทองที่อยู่กลางอากาศกลับคำรามเสียงต่ำออกมา พร้อมกับทุบหมัดใส่คนทั้งสองอย่างรุนแรง
ศิษย์นิกายวาตอัคคีทั้งสองรู้สึกแค่ว่ามีพลังมหาศาลพุ่งมายังด้านหลัง ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีทางเลี่ยง คนหนึ่งทำได้เพียงแต่ขยับตัวหลบไปยังด้านข้าง อีกคนหนึ่งได้เพียงแต่หยุดฝีเท้าหมุนตัวกลับมาฟันกระบี่ตอบโต้กลับไป
เสียงดัง “ตู้ม!” “ตู้ม!”
บังเกิดหลุมยักษ์ขนาดใหญ่ด้านข้างของคนผู้หนึ่ง หลังจากที่มีคลื่นอากาศม้วนตัวออกมา เขาก็ซวนเซจนเกือบจะล้มลงไป
อีกคนเคราะห์ร้ายยิ่งกว่า พอปราณกระบี่ที่ฟาดฟันออกไปปะทะกับพลังมหาศาล ก็กระเด็นกลับมาในทันที
ถ้าไม่ใช่ว่าเขารีบขยี้ยันต์ในมือให้แตกจนกลายเป็นแสงสีเขียวปกป้องตัวไว้ เกรงว่าคงจะถูกฟันออกเป็นสองส่วนแล้ว
แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ก็ตาม พลังมหาศาลที่ตามมาทีหลังก็กระเทือนร่างของเขาจนกระอักเลือดออกมา ร่างของเขากระเด็นออกไปราวกับฟางข้าว
ในขณะนั้นเองปีศาจวานรขนทองกลับบิดตัวเปลี่ยนทิศทางกระโจนออกไปพร้อมกับพายุอันน่ากลัว ครู่เดียวก็มาถึงด้านหน้าชายหนุ่มที่ฟาดฟันปราณกระบี่ออกไป
ศิษย์นิกายวาตอัคคีผู้นี้เพิ่งจะตั้งตัวได้ พอเข้าเห็นฉากนี้ย่อมตกใจจนหน้าถอดสี เขาทำได้เพียงแต่อ้าปากออกมาก่อนที่จะมีลำแสงสีเขียวเส้นหนึ่งพุ่งยิงออกไป ขณะเดียวกันก็ฟาดฟันกระบี่ในมือออกไปอย่างรุนแรง เปลวไฟอันคุโชนม้วนตัวออกจากบนนั้นทันที
ปีศาจวานรขนทองเห็นฉากนี้กลับคำรามออกมาในทันที คลื่นเสียงสีขาวโพลนพุ่งทะลักออกไปทำลายคลื่นเปลวไฟสีเขียวจนแตกกระจาย และยังพลอยสั่นสะเทือนจนร่างของชายหนุ่มด้านหน้าต้องหยุดชะงัก ขณะเดียวกันโลหิตก็ไหลออกมาจากอวัยวะทั้งห้าของเขา
วานรยักษ์เคลื่อนไหวอีกครั้ง พริบตาเดียวก็มาปรากฏอยู่ด้านหลังของชายหนุ่ม แขนทั้งสองของมันพร่ามัวก่อนที่จะฟาดลงไปบนบ่าทั้งสองของชายหนุ่มอย่างรุนแรง
ศิษย์นิกายวาตอัคคีส่งเรียกร้องดัง “อ๊าก!” และคิดที่จะโต้ตอบกลับไป แต่มันก็สายไปเสียแล้ว
วานรยักษ์ขนทองเพียงแค่ออกแรงที่แขนทั้งสองก็ฉีกชายหนุ่มในมือจนขาดออกเป็นสองส่วน จากนั้นมันก็อ้าปากกัดหัวใจที่ยังเต้นอยู่ไปกว่าครึ่งหนึ่ง
ศิษย์นิกายวาตอัคคีที่เห็นภาพนี้อยู่ไกลๆ ตกใจจนขวัญกระเจิง เขาขยี้ยันต์ที่มีทั้งหมดโดยแทบไม่ต้องคิดอะไร ม่านแสงสามชั้นที่มีสีต่างกันปรากฏออกมาคลุมร่างเขาไว้ในทันที ขณะเดียวกันยังมีอักขระสีเขียวกับสีขาววิ่งเต้นอยู่ที่เท้าทั้งสอง
เสียงดัง “ฟู่” เขากลายเป็นแสงสีเขียวทะยานขึ้นฟ้าไป โดยไม่คำนึงถึงอันตรายที่อาจพบได้จากการพุ่งขึ้นสูงจนเกินไป
ปีศาจวานรขนทองเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้รีบตามไปแต่อย่างใด แต่กลับโยนศพในมือทิ้งไป จากนั้นก็กระโดดไปยังด้านหน้าหินสีดำที่มีขนาดใหญ่ประมาณอ่างน้ำ
พอมันสะบัดไหล่ กลิ่นไอบนตัวก็เพิ่มขึ้นมาอีกหลายเท่า ขนของมันตั้งชันขึ้นมาก่อนที่จะกลายเป็นวานรยักษ์ที่สูงสี่จั้งอีกครั้ง แขนทั้งสองคว้าไปหยิบหินยักษ์สีดำไว้แน่น และยกมันขึ้นไว้เหนือศีรษะราวกับว่าไม่ต้องออกแรงใดๆ เลย
หลังจากวานรยักษ์คำรามเสียงออกมา แสงสีเงินพลันปรากฏขึ้นที่มือทั้งสองทันที ก้อนหินที่แลดูธรรมดาได้กลายเป็นสีเงินแวววาว
จากนั้นแขนทั้งสองของวานรยักษ์ก็ขยายขนาดใหญ่ขึ้นพร้อมกับขว้างก้อนหินไปยังอากาศที่อยู่ไกลออกไปอย่างรุนแรง เป้าหมายก็คือชายหนุ่มนิกายวาตอัคคีที่พุ่งออกไปได้ระยะหนึ่งแล้ว
ชายหนุ่มกำลังกระตุ้นพลังเวทย์เพื่อพุ่งไปด้านหน้าอย่างสุดชีวิต แต่หลังจากที่หูทั้งสองพลันได้ยินเสียงดัง “วู้!” และยังไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นนั้น ร่างของเขาก็ถูกหินยักษ์สีเงินทุบเข้าใส่ในทันที
ชั้นแสงที่ปกคลุมร่างของเขาถูกหินยักษ์ทำลายจนแตกกระจายไปอย่างง่ายดาย เขาร้องอย่างน่าเวทนาก่อนที่จะเสียชีวิตไป เศษเลือดเนื้อตกลงมาจากฟ้าโดยไม่มีเค้าโครงว่าเป็นเลือดเนื้อของมนุษย์เลย
หลังจากวานรยักษ์ขนทองกระโดดอย่างรวดเร็วไม่กี่ทีก็คว้าเอาศพที่หล่นลงมาได้ หลังจากที่ฉีกออกเป็นหลายชิ้นแล้วก็โยนซากศพทิ้งไป มือทั้งสองชกไปที่อกอย่างรุนแรง แล้วแหงนหน้าคำรามเสียงแหลมยาวออกมา!
เสียงคำรามสะเทือนเลือนลั่นดังพุ่งออกไปจนสุดขอบฟ้า จนกระทั่งพุ่งออกไปไกลสิบกว่าลี้
เมื่อศิษย์หกนิกายที่ยังอยู่บริเวณนั้นได้ยินเสียงคำรามนี้ ต่างก็รู้สึกเย็นยะเยือก นอกจากผู้ที่เชื่อมั่นในพลังของตนเองแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็พาออกไปไกลๆ จากพื้นที่บริเวณนี้โดยมิได้นัดหมาย
แต่ในถ้ำหินที่อยู่ห่างออกไปเจ็ดแปดลี้ พอหลิ่วหมิง หยางเฉียน และคนอื่นที่นั่งเข้าฌานอยู่ได้ยินเสียงคำรามนี้ก็พาลืมตาทั้งสองขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ดูเหมือนว่าปีศาจวานรบนเขาจะรู้เรื่องที่พวกของมันหายตัวไปแล้ว ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ตอนนี้พวกมันคงระวังตัวเป็นอย่างมาก สองวันนี้พวกเราไม่ควรดำเนินการใดๆ อีก ต้องรอให้พ้นสองวันไปก่อนถึงใช้แผนหลอกล่อให้ออกมา” หยางเฉียนขมวดคิ้วกล่าว
“ศิษย์พี่หยางกล่าวได้มีเหตุผล แต่เวลาสองวันนี้ไม่อาจสูญเปล่าได้ พวกเราไม่สู้แยกย้ายกันชั่วคราวก่อน แล้ววันที่สามค่อยมาเจอกันที่เถอะ!” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“แยกย้ายกัน! อืม! ความคิดนี้ไม่เลว เวลาแต่ละวันในแดนลึกลับนี้มีค่ามาก ย่อมต้องใช้ให้คุ้ม” ชายหน้าดำได้ยินก็กล่าวเห็นดีเห็นงามด้วย
จินอวี่ก็ไม่มีข้อคัดค้านใดๆ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้ละกัน รอพักผ่อนเสร็จแล้วก็แยกกันสองวัน” หยางเฉียนเองก็ย่อมไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะคัดค้าน
“ศิษย์น้องไป๋ ศิษย์น้องจิน ข้ามีสุราโอสถอยู่สองขวด อีกประเดี๋ยวพวกเจ้าก็กินถุงน้ำดีของปีศาจวานรเถอะ! มิเช่นนั้นพอเวลาผ่านไปนานผลลัพธ์ของมันจะลดลง” ชายหน้าดำหล่าวกับหลิ่วหมิง และจินอวี่ด้วยรอยยิ้ม พอเขาพลิกฝ่ามือขึ้นมาก็มีขวดเครื่องเคลือบเรียวยาวขนาดเล็กปรากฏอยู่บนนั้น
“ขอบคุณพี่อวิ๋น ถ้าอย่างนั้นน้องก็ไม่เกรงใจล่ะนะ” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็รับสุราโอสถมาอย่างไม่เกรงใจ
แน่นอนว่าจินอวี่ยิ่งไม่ปฏิเสธเข้าไปใหญ่
ต่อมาพวกเขาก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากอีก แต่กลับตั้งใจกำหนดลมหายใจเข้าฌานต่อ
หลายชั่วยามผ่านไป เมื่อหลิ่วหมิงลืมตาทั้งสองขึ้นอีกครั้ง ก็พบว่าในถ้ำนี้นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีคนอื่นเลย
เขากลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย แต่กลับหยิบขวดเครื่องเคลือบที่เก็บเข้าไปในก่อนหน้านั้นออกมาอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นก็เปิดฝาออกแล้วดมเบาๆ หลังจากที่ดวงตาเขาเป็นประกายก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาหยิบโอสถสีขาวออกจากตัวเม็ดหนึ่ง และบีบละเอียดก่อนที่จะเทใส่ลงไปในนั้น
เขาเขย่าขวดเคลือบเบาๆ หลังจากที่กวาดสายตามองเข้าไปข้างในก็พยักหน้าอย่างพอใจ และหยิบกล่องไม้ที่บรรจุถุงน้ำดีของปีศาจวานรออกมา
ผ่านไปสักครู่ เขาฝืนอมถุงน้ำดีสีแดงม่วงของปีศาจวานรที่มีกลิ่นคาวรุนแรงไว้ในปากก่อน จากนั้นก็ดื่มสุราโอสถแล้วกลืนลงไป
เพียงครู่เดียวหลิ่วหมิวก็รู้สึกว่ามีไอร้อนทะลักออกมาบริเวณท้องน้อย เขารีบหลับตาทั้งสองค่อยๆ กลั่นเอาพลังจากมันอย่างไม่รอรี
หนึ่งชั่วยามผ่านไป เขาถึงลุกขึ้นมาพร้อมกับถอนหายใจยาวๆ หลังจากที่ขยับแข้งขยับขาเล็กน้อยก็มีเสียงดังของข้อต่อต่างๆ ดังออกมาเบาๆ
หลิ่วหมิงตาเป็นประกาย เท้าทั้งสองออกแรงเพียงเล็กน้อย ร่างของเขาก็กระโดดลอยขึ้นสูงหลายจั้ง หลังจากที่แขนข้างหนึ่งเคลื่อนไหวจนดูพร่ามัวมันก็จับหินชิ้นหนึ่งบนผนังถ้ำไว้ จากนั้นก็ออกแรงที่นิ้วทั้งห้าเล็กน้อย
เสียงดัง “เพล้ง!” หินที่ดูแข็งแกร่งกลายเป็นผุยผงในทันที
หลังจากหลิ่วหมิงบิดตัว ร่างของเขาก็ลอยลงมาอีกครั้งราวกับไร้น้ำหนัก
“ไม่เลว! พลังเพิ่มมาไม่น้อย แต่ผลลัพธ์ของหญ้าลอยฟ้าที่ทานไปก่อนหน้านั้นก็เหมือนจะเห็นผลได้ชัดเจนขึ้น ถ้าตอนนี้หล่นจากฟ้า ถึงแม้จะไม่ใช้วิชาทะยานเวหาก็คงไม่มีปัญหามากนัก ส่วนด้านความเร็วนั้น…”
หลิ่วหมิงยกมือทั้งสองขึ้นมาสังเกตอย่างละเอียดครู่หนึ่งแล้วก็พูดพึมพำออกมา แต่ตอนพูดถึงประโยคสุดท้ายก็สะบัดไหล่ทันที ร่างของเขากระโจนออกไปจากตำแหน่งเดิมราวกับสายลมอันบางเบา จากนั้นก็มีเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น เงาร่างพร่ามัวหลายเงาทับซ้อนกันออกมา
พริบตาเดียวก็ราวกับว่ามีหลิ่วหมิงเจ็ดแปดคนปรากฏตัวพร้อมกันในถ้ำ
หลังจากที่เงาร่างทั้งหมดวิ่งไปยังด้านหนึ่งของถ้ำพร้อมกัน มันก็รวมตัวกันออกมาเป็นร่างที่แจ่มชัดของหลิ่วหมิง
……………………………………….
ตอนที่ 128 กำจัดวานร (3)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ไม่เลว ลำพังแค่ความเร็วก็คงจะเร็วกว่าตอนที่เพิ่งเข้าแดนลึกลับสามเท่าขึ้นไป” หลิ่วหมิงกล่าวพึมพำกับตนเอง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดีใจ
นี่ก็แปลก!
ผลลัพธ์เหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการใช้เคล็ดวิชาใดๆ เข้าช่วย ถ้าหากใช้เคล็ดวิชาอื่นๆ เข้าช่วย ความเร็วคงอยู่ในระดับที่ยากจะเชื่อได้
มิน่าล่ะ! หญ้าลอยฟ้านั้นถึงถูกจัดอยู่ในวัตถุจิตวิญญาณระดับต้นๆ ที่แท้ผลลัพธ์มันน่าตะลึงเช่นนี้เอง
แต่หญ้าชนิดนี้ดูเหมือนจะยังมีผลในการต้านพิษ และทำให้จิตใจสงบด้วย ผลลัพธ์ทั้งสองนี้จะเป็นอย่างไรนั้นกลับเป็นเรื่องที่เขาไม่อาจคาดเดาได้ คงจะต้องรอดูตอนที่เผชิญกับปัญหาที่เกี่ยวข้อง ถึงจะแสดงผลให้เห็นได้อย่างชัดเจน!
หลิ่วหมิงครุ่นคิดถึงเรื่องนี้
เวลาต่อมา เขาเองก็ไม่คิดที่จะอยู่ในถ้ำหินอีกต่อไป จึงได้เก็บสิ่งของที่อยู่ข้างกายเล็กน้อยแล้วก็ออกไปอย่างไม่รีบร้อน
……
บริเวณยอดเขาที่ตั้งดิ่ง แสงสีขาวกลุ่มหนึ่งกำลังวนล้อมรอบยอดเขาอยู่ วิหคปีศาจสีดำมืดสองตนตามอยู่ด้านหลัง มันกระพือปีกทั้งสี่ไล่ล่าอยู่ไม่หยุด
พริบตาเดียวทั้งสามก็วนรอบยอดเขาไปมากกว่าเจ็ดถึงแปดรอบ และบินลงมาตรงตีนเขาโดยไม่รู้ตัว และต่อมาก็ดูเหมือนกับว่ามันใกล้จะจับสิ่งที่อยู่ข้างหน้าได้แล้ว
ทันใดนั้นก็มีเสียงตวาดของหญิงสาวดังออกมาจากแสงสีขาว วิหคปีศาจทั้งสองตนดูเหมือนจะได้รับความเจ็บปวดอะไรบางอย่าง ทันทีที่มันส่งเสียงร้องแหลมออกมาก็กระพือปีกอย่างบ้าคลั่งถึงหลบหลีกแสงเย็นสะท้านไปได้
ขณะนั้นเอง แสงสีเลือดลำหนึ่งก็ม้วนตัวออกมาจากหน้าผาสูงชันที่ดูว่างเปล่าบริเวณนั้น และยังเปล่งประกายกลายเป็นดาบยักษ์สีเลือดขนาดยาวหลายจั้งฟันเข้าใส่วิหคปีศาจตัวที่ค่อนข้างเล็ก
วิหคปีศาจตนนั้นรีบกระพือปีกด้วยความตกใจ บังเกิดเสียงดัง “พับๆ” ขนวิหคขนาดใหญ่พุ่งออกไปราวกับฝนตก
หลังจากที่มีเสียงระเบิดดังออกมาติดต่อกัน แสงสีเลือดที่สัมผัสกับขนวิหคก็มันโดนเจาะทะลุเป็นรูจำนวนมาก แต่แสงสีเลือดส่วนทีเหลือก็ยังคงพุ่งเข้าไปฟันวิหคยักษ์ตัวที่ค่อนข้างเล็กอยู่ไม่หยุด
เสียงดัง “ตู้ม!” วิหคปีศาจอีกตนหนึ่งพุ่งเข้ามา มันสะบัดปีกข้างหนึ่งเข้าใส่แสงสีเลือดจนแตกกระจาย
แต่ในขณะนั้นเอง ก็มีเสียงเยือกเย็นดังออกมาจากแสงกลมๆ สีขาวที่อยู่ไกลๆ
“กระบี่ร่างเป็นหนึ่ง”
เสียงเพิ่งจะสิ้นสุดลง เงาร่างพร่ามัวในแสงกลมๆ สีขาวก็ดูเหมือนจะมีการเคลื่อนไหว จากนั้นแสงเย็นสะท้านก็ม้วนตัวเข้าไปหาวิหคปีศาจทั้งสอง
ยังไม่ทันที่แสงนี้จะเข้าไปถึง วิหคปีศาจยักษ์ก็สัมผัสได้ถึงอันตรายที่อาจจะทำให้เสียชีวิตได้ มันรีบกระพือปีกอย่างบ้าคลั่งเพื่อหลบหลีก แต่ขณะนั้นเองแสงสีเลือดที่เดิมทีถูกโจมตีจนแตกกระจายก็ลางเลือนกลายเป็นไหมสีเลือดพันรอบตัวของมันไว้อย่างรวดเร็ว และแน่นหนาจนมันไม่สามารถขยับตัวได้
ไม่นานแสงเย็นสะท้านก็พุ่งผ่านตัวของวิหคปีศาจยักษ์ไป และหลังจากที่มันหมุนวนหนึ่งรอบ ก็เข้าไปพันตัววิหคปีศาจตัวที่เล็กกว่าอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ
เมื่อแสงกระบี่แพรวพราวได้ดับลง ก็ปรากฏหญิงสาวสวมชุดนิกายจันทราสวรรค์อยู่บนอากาศ
มือของนางถือกระบี่หิมะขาวอยู่ สีหน้าซีดขาวเป็นอย่างมาก ประจักษ์ชัดว่าการโจมตีเมื่อครู่ทำให้นางสูญเสียพลังเวทย์ไปมาก
ขณะนี้เลือดบนตัวของวิหคปีศาจทั้งสองเพิ่งจะพุ่งออกมา ขณะเดียวกันร่างของพวกมันก็กลายเป็นสี่ส่วนก่อนที่จะร่วงลงไป
“ศิษย์น้องจางช่างเก่งกาจยิ่งนัก เหยี่ยวขนเหล็กนี้มีขนเหล็กทั้งตัว แม้แต่ดาบโลหิตของข้าก็โดนมันทำลายอย่างง่ายดาย แต่มันกลับถูกกระบี่ของศิษย์น้องจัดการได้พร้อมกันในทีเดียว ว่าแต่ศิษย์น้องไม่เป็นไรใช่ไหม สีหน้าของเจ้าดูไม่ดีเลย!” หมอกโลหิตกลุ่มหนึ่งระเบิดออกมาบนหน้าผาสูงชัน ชายสวมชุดคลุมสีเลือดผู้หนึ่งปรากฏตัวออกมาจากในนั้นแล้วกล่าวกับหญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์ด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าอยากลองดูไหมล่ะ ว่าตอนนี้ข้าจะยังแสดงเคล็ดวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งได้ไหม?” หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์ได้ยินก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น
“เฮ้อ…ศิษย์น้องคิดมากไปแล้ว ข้าก็แค่ถามเท่านั้น แต่พวกเราใช้เวลาไปนานขนาดนี้ก็ยังนับว่ากำจัดเหยี่ยวขนเหล็กไปได้ครึ่งหนึ่ง ทีนี้ก็เหลืออีกแค่สองตนที่อยู่บนเขาแล้ว รอศิษย์น้องพักผ่อนจนหายดีแล้ว พวกเราบุกขึ้นเขาไปจัดการพวกมันให้สิ้นซากในทีเดียวดีหรือไม่?” เซวี่ยชื่อรีบถามกลับไปด้วยตาที่เป็นประกาย
“พลังของเหยี่ยวขนเหล็กที่เหลืออีกสองตนนั้นแขงแกร่งกว่าสองตนนี้มาก ถ้าเจ้าสามารถรับมือกับมันได้ตนหนึ่ง ข้าเองก็ไม่รังเกียจที่จะจัดการกับตนที่เหลือ” หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์ชายตามองชายหนุ่มชุดคลุมสีเลือดปร้าดหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ศิษย์น้องจางล้อข้าเล่นแล้ว เหยี่ยวขนเหล็กเมื่อครู่นั้นข้ายังไม่มีปัญญาจัดการมันได้ สองตนที่อยู่บนเขานั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง” เซวี่ยชื่อได้ยินก็ยิ้มขมขื่นออกมา
“ฮึ! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็อย่าพูดเรื่องบุกขึ้นเขาไปสังหารมันเลย การรับมือกับเหยี่ยวขนเหล็กอีกสองตนที่เหลือนั้น ต้องค่อยๆ วางแผนกันยาวๆ แต่ก่อนอื่นข้าต้องฟื้นฟูพลังเวทย์โดยด่วน” หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์ทำเสียงฮึดฮัดกล่าวออกมา จากนั้นก็พุ่งทะยานไปยังป่าเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลออกไป โดยไม่สนใจอะไรทิ้งสิ้น
ชายชุดคลุมสีเลือดมองดูเงาร่างของหญิงสาวที่อยู่ไกลออกไปด้วยสีหน้าหนักอึ้ง แต่หลังจากที่มีประกายแปลกประหลาดเปล่งขึ้นมาในแววตา เขาก็ก้าวยาวไปยังทิศทางตรงกันข้าม
ใต้ยอดเขาสูงสุดที่ตั้งอยู่ตรงกลางของยอดเขาทั้งหมด เฟิงฉาน เกาชง และศิษย์จิตวิญญาณอีกเจ็ดคนกำลังรวมพลังรับมือกับอสูรยักษ์แปลกประหลาดตนหนึ่ง
อสูรตนนี้มีหัวเป็นสิงห์ร่างเป็นพยัคฆ์ ลำตัวยาวห้าจั้ง มีเกล็ดสีฟ้าปกคลุมไปทั่ว ขณะเดียวกันบนหลังยังมีปีกสีแดงม่วงอยู่คู่หนึ่ง ปากของมันพ่นลูกไฟขนาดเท่าปากถ้วยออกไปเป็นจำนวนมาก จนพื้นที่รอบตัวของมันกลายเป็นทะเลเพลิงอันร้อนระอุ ผู้คนที่ล้อมโจมตีอยู่ก็หน้าเสียขึ้นมา
และไม่ว่าผู้ที่ล้อมรอบจะใช้วิชาอาวุธใดๆ โจมตีก็ตาม เมื่อมันเข้าใกล้อสูรแปลกประหลาดฉื่อกว่าๆ ก็จะถูกสายฟ้าสีฟ้าโจมตีจนกระแตกกระจาย
อสูรแปลกประหลาดตนนี้เป็นอสูรจิตวิญญาณธาตุสายฟ้ากับธาตุไฟ
ถ้าไม่ใช่ว่าผู้คนที่ล้อมโจมตีมีจำนวนมาก และต่างก็เตรียมยันต์คุ้มกันไว้ต่อต้านพลังแห่งอัสนีกับอัคคีไว้แล้วล่ะก็ เกรงว่าคงได้รับบาดเจ็บเสียชีวิตไปนานแล้ว
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม คนเหล่านี้ก็เริ่มต้านทานไม่ไหว ในที่สุดก็มีคนเห็นท่าไม่ดีจึงตะโกนเสียงดังออกไป “ถอย!” ผู้คนทั้งหมดพากันวิ่งหนีลงจากเขาในทันที
อสูรหัวสิงห์ร่างพยัคฆ์เห็นเช่นนี้ ตอนแรกก็รู้สึกตกตะลึง แต่ต่อมาก็รู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก มันอ้าปากในทันที สิ่งที่มันพ่นออกมาไม่ใช่เปลวไฟ แต่เป็นสายฟ้าสีน้ำเงินที่มีขนาดใหญ่เป็นอย่างมาก เมื่อมันกะพริบผ่านไปก็โจมตีเข้าใส่ร่างของศิษย์นิกายเอกะผู้หนึ่งที่เพิ่งจะเหาะทะยานขึ้นฟ้า มันโจมตีม่านแสงและร่างของเขาจนกลายเป็นเถ้าถ่านภายในพริบตา
จากนั้นอสูรแปลกประหลาดตนนี้ก็กระพือปีกบนหลังมันไล่ตามศิษย์หอสายธารโลหิตในทันที
ครึ่งชั่วยามผ่านไป เมื่อคนทั้งหมดมารวมตัวกันใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ก็เหลือคนเพียงแค่เจ็ดคนเท่านั้น และคนส่วนมากก็มีสีหน้าซีดขาวกว่าปกติ
“คิดไม่ถึงว่า อสูรสิงห์พยัคฆ์ตนนี้จะน่ากลัวกว่าคำร่ำลือมาก เกรงว่าคงมีแต่อาจารย์จิตวิญญาณขึ้นไปเท่านั้นที่จะรับมือมันได้ การกระทำของพวกเราในก่อนหน้านั้นบุ่มบ่ามเกินไปหน่อย” ศิษย์หนุ่มนิกายจันทราสวรรค์ผู้หนึ่งแลซ้ายแลขวามองคนอื่นอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา
“ถูกต้อง การโจมตีของพวกเราไม่สามารถทำลายวิชาที่คุ้มกันมันได้เลยแม้แต่น้อย การสังหารมันยิ่งไม่ตัองพูดถึงเลย มันทำไม่ได้แน่นอน ช่างมันเถอะ!” ศิษย์หญิงนิกายเอกะผู้หนึ่งก็ถอนหายใจกล่าวออกมา
เฟิงฉาน และเกาชงได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็ดูไม่ได้ขึ้นมา แต่หลังจากที่ทั้งสองมองหน้ากับแวบหนึ่ง เฟิงฉานก็เอ่ยปากด้วยตาที่เป็นประกาย
“ถึงแม้อสูรสิงห์พยัคฆ์ตนนี้จะรับมือได้ยาก แต่ยังไงมันก็เป็นแค่ปีศาจอสูรเท่านั้น ก่อนหน้านั้นพวกเราคาดเดาความร้ายกาจของมันผิดไป ถึงได้ใช้วิธีการล้อมโจมตี ถ้าเปลี่ยนไปใช้วิธีการอื่นล่ะก็ ไม่แน่ว่าอาจจะจัดการมันได้ แต่ในตอนนี้เกรงว่าทุกท่านไม่ควรจะปิดบังท่าไม้ตายของตนเองไว้ ข้าไม่เชื่อว่าหลังจากที่ทุกท่านแสดงพลังที่ร้ายกาจที่สุดออกมามันจะไม่สามารถทำลายวิชาคุ้มกันของมันได้ ข้าจะพูดสักหน่อย ข้ามีอัสนีปราณศพที่ผู้อาวุโสมอบให้เม็ดหนึ่ง พลังมันเท่ากับการโจมตีด้วยพลังทั้งหมดของอาจารย์จิตวิญญาณขั้นต้น คิดว่ามันคงจะมีประโยชน์ต่อพวกเรา ถ้าหากใครไม่อยากจะเปิดเผยไม้ตายของตนเองก็ถอนตัวออกไปตั้งแต่ตอนนี้ รอพวกเราสังหารอสูรสิงห์พยัคฆ์แล้ว ผู้ที่ไม่มีส่วนร่วมก็ไม่มีสิทธิ์ขึ้นเขาไปพร้อมกับพวกเรา”
“ในเมื่อศิษย์พี่เฟิงพูดแล้ว งั้นข้าก็ขอพูดสักหน่อย ข้ามีเหล็กมารโลหิตอยู่อันหนึ่ง มันสามารถทำลายวิชาคุมกันได้หลายอย่าง มันคงจะสามารถโจมตีอสูรตนนี้ให้บาดเจ็บได้” เกาชงรีบพูดต่อในทันที
ได้ยินทั้งสองคนพูดเช่นนี้ คนอื่นๆ ก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้ จากนั้นคนส่วนมากก็มีสีหน้าที่แตกต่างกันไป ประจักษ์ชัดว่าไม่รู้ว่าควรจะเผยพลังที่แท้จริงของตนเองออกมาดีหรือไม่
ขณะนั้นเองก็มีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากบนต้นไม้
“ถ้าอย่างนั้น รวมพวกข้าสองคนด้วยเป็นไง?”
เสียงเพิ่งจะสิ้นสุด ก็มีชายหญิงสองคนกระโดดลงมาจากต้นไม้เบาๆ
ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ คิ้วแดงตาโต สวมชุดนิกายวาตอัคคี มีพัดใบลานสีแดงเสียงอยู่ที่เอว รอยยิ้มปรากฏอยู่เต็มใบหน้า
ผู้หญิงมีใบหน้ารูปไข่ ค่อนข้างสวยงาม แต่กลับสวมชุดนิกายปีศาจ และยังแสดงสีหน้าแบบไม่มีทางเลี่ยง
“ดีมากเลย ศิษย์น้องเถียน!”
“ศิษย์พี่เฉียน ทำไมถึงเป็นท่าน”
ตอนแรกทุกคนก็ตกใจเป็นอย่างมาก แต่พอเห็นใบหน้าที่ชัดเจนของคนทั้งสองแล้ว ศิษย์หญิงนิกายวาตอัคคีผู้หนึ่งก็แสดงความดีใจออกมา เฟิงฉานก็เรียกชื่อออกมาด้วยความตกใจ
เกาชงจ้องมองใบหน้าของเฉียนฮุ่ยเหนียงด้วยความตกตะลึง
……
หลิ่วหมิงย่อมไม่รู้ว่าตรงที่อื่นๆ เกิดอะไรขึ้นบ้าง
เขาเองก็ไม่ได้คิดที่จะร่วมแผนการณ์อื่นๆ แต่กลับคิดที่จะใช้เวลาสองวันนี้ไปหาพืชจิตวิญญาณที่ตรงด้านล่างของเขาใหญ่
แน่นอนว่าถ้าหาหญ้าจิตวิญญาณที่สามารถทานได้ทันทีมาได้มากหน่อย ย่อมเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างมาก
และพืชจิตวิญญาณที่เพิ่มพลังเวทย์ของเขา นอกจากเห็ดหลินจือหยกที่มีอายุสามสี่ร้อยปีแล้ว ต่อมาเขายังพบพืชจิตวิญญาณที่ลักษณะคล้ายกันอีกสองอย่าง เพียงพวกมันมีอายุไม่เกินร้อยกว่าปี หลังจากทานแล้วไม่ค่อยเห็นผลชัดเจนเท่าไหร่
เขาหวังว่าของที่เขาหาได้ในสองวันนี้ จะสามารถทำให้เขาดีใจเป็นอย่างมากได้!
เวลาสองวันผ่านไปในพริบตา!
เช้าวันที่สาม ตอนที่หลิ่วหมิงกลับไปยังถ้ำหินที่จากมานั้น หยางเฉียนและคนอื่นๆ ต่างก็รออยู่ที่นั่นแล้ว
“ศิษย์น้องไป๋ เจ้ามาช้าไปหน่อยนะ พวกข้าทั้งสามรอเจ้านานแล้ว” พอหยางเฉียนเห็นเขาก็กล่าวราบเรียบออกมา
“ต้องขออภัยที่ศิษย์น้องล่าช้า” หลิ่วหมิงได้ยินก็ตอบรับด้วยรอยยิ้ม
……………………………………….
ตอนที่ 129 กำจัดวานร (4)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ในเมื่อศิษย์น้องไป๋มีเหตุผลที่ล่าช้าย่อมให้อภัยกันได้ พี่หยาง รีบดำเนินการเถอะ! พวกเรามีเวลาอยู่ในแดนลึกลับไม่มากแล้ว” ชายหน้าดำกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ดี! เมื่อวานข้าขึ้นเขาไปตรวจสอบความเคลื่อนไหวแล้ว พบว่าปีศาจวานรเหล่านั้นระวังตัวกันมากกว่าเดิม ถ้าใช้วิธีการธรรมดาเกรงว่าไม่อาจล่อพวกมันออกมาได้โดยง่าย ดังนั้นข้ากับพี่อวิ๋นได้ปรึกษากันว่าครั้งนี้จะต้องเสี่ยงเพื่อเอาชัยชนะมาให้ได้” หยางเฉียนค่อยๆ กล่าวออกมาด้วยแววตาเคร่งขรึม
“เสี่ยงเอาชัยชนะ? พี่หยางหมายถึง…” ดูเหมือนจินอวี่จะยังไม่ค่อยเข้าใจ
“ง่ายมาก ในเมื่อไม่มีวิธีแยกปีศาจวานรตนอื่นให้ออกจากปีศาจวานรขนทองตนนั้นได้ พวกเราก็ล่อพวกมันให้ลงเขามาพร้อมกันแล้วจัดการมันทั้งหมด!” หยางเฉียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“พี่หยางพูดล้อเล่นแล้ว ปีศาจวานรขนทองตนนั้นร้ายกาจเช่นนี้ ถ้าหากทั้งสี่ตนรวมตัวกันล่ะก็ พวกเราจะสังหารมันพร้อมกันได้อย่างไร” จินอวี่ได้ยินก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
“เฮ่อๆ! ใครบอกว่าจะสังหารมันพร้อมกันทีเดียว ที่ข้าบอกว่าจะจัดการทั้งหมดนั้นมันมีลำดับขั้นตอน ก่อนอื่นหาวิธีให้ปีศาจวานรขนทองตนนั้นถูกกักอยู่อีกที่หนึ่ง รอพวกเราสังหารปีศาจวานรที่เหลืออีกสามตนก่อน แล้วค่อยรวมพลังกันรับมือกับมันเป็นในตอนสุดท้าย ถึงแม้ปีศาจวานรขนทองตนนั้นจะร้ายกาจ แต่ถ้าพวกเราสี่คนร่วมมือกันล่ะก็ มันเหลือเฟือต่อการรับมือกับมันแล้ว” ชายหน้าดำหัวเราะกล่าวออกมา
“วิธีการไม่เลว แต่ทำอย่างไรถึงจะกักขังปีศาจวานรขนทองได้ ปีศาจวานรเหล่านี้ต่างก็มีพลังมหาศาล กับดักธรรมดาคงเอาไม่อยู่” หลิ่วหมิงฟังถึงจุดนี้ก็ขมวดคิ้วถามออกไป
“แน่นอนว่าใช้วิธีการธรรมดาไม่ได้ ที่ข้ามีธงค่ายกลมายาพลังหยินทั้งหก เพียงแค่ปักมันไว้ล่วงหน้าก็คงจะกักขังปีศาจวานรขนทองตนนั้นไว้ได้นานราวๆ ครึ่งเค่อ ดูตามผลการต่อสู้ของพวกเราเมื่อสองวันก่อน เวลาแค่นี้ก็เพียงพอให้เราสังหารปีศาจวานรสามตนแล้ว เช่นนี้แล้วศิษย์น้องยังมีข้อคัดค้านอื่นอีกไหม?” หยางเฉียนกล่าวโดยไม่ต้องคิด
“พี่หยางได้พกธงค่ายกลมาด้วยช่างเป็นเรื่องดีจริงๆ ศิษย์น้องเองก็วางใจแล้ว” จินอวี่ได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
อาวุธประเภทค่ายกลอย่างธงค่ายกล แผ่นค่ายกลนั้น ผู้ฝึกฝนที่ไม่ชำนาญเรื่องค่ายกลก็สามารถวางค่ายกลได้อย่างง่ายดาย ราคามันก็สูงจนยากจะคาดเดาได้ ดังนั้นถึงแม้จะเป็นชุดค่ายกลง่ายๆ ราคามันก็สูงกว่าอาวุธจิตวิญญาณเป็นอย่างมาก
แต่เพราะว่าค่ายกลง่ายๆ นั้น ศิษย์จิตวิญญาณทั่วไปก็สามารถทำลายได้โดยง่าย มันเหมาะสมแค่ใช้ในสถานการณ์พิเศษบางอย่าง ด้วยเหตุนี้อาวุธค่ายกลจึงเป็นสิ่งที่มีราคาสูงมาก แต่เป็นของฟุ่มเฟือยที่มีข้อจำกัดในการใช้งานเป็นอย่างมาก ต่อให้เป็นถึงอาจารย์จิตวิญญาณกลังเลที่จะซื้อมัน
หยางเฉียนเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลาย แต่กลับมีธงค่ายกลติดตัว ช่างเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายจริงๆ
“ในเมื่อมีค่ายกลล่ะก็ ข้าเองก็ไม่มีข้อคัดค้านใดๆ” หลังจากมีประหลาดใจเกิดขึ้นในแววตา หลิ่วหมิงก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ดี ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ข้าจะไปวางค่ายกลในป่าดงดิบบริเวณนี้ กลับมาข้ากับพี่อวิ๋นจะไปล่อพวกมันออกมา พวกเจ้าแค่ดักซุ่มอยู่บริเวณนี้ก็พอแล้ว พอเพียงครั้งนี้ทำสำเร็จพวกเราก็จะได้เก็บเกี่ยวทรัพยากรทั้งหมดบนเขาลูกนี้” หยางเฉียนกล่าวด้วยความกระตือรือร้น
พอได้ยินคำพูดนี้ ชายหน้าดำก็หัวเราะเฮ่อๆ! จินอวี่ก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก หลิ่วหมิงกลับยิ้มเพียงเล็กน้อย
เวลาต่อมา พวกเขาก็เดินออกไปจากถ้ำหิน ขี่เมฆมุ่งหน้าไปยังป่าดงดิบที่อยู่ไม่ไกล
ขณะเดียวกัน บนอากาศเหนือยอดเขาอีกลูกหนึ่ง สัตว์ประหลาดชายหญิงสองคนที่มีท่อนบนเป็นมนุษย์ท่อนล่างเป็นหางปลากำลังควบคุมคลื่นยักษ์ต่อสู้กับอสรพิษสีเขียวที่มีหงอนสีเงินอยู่ตรงหัวอย่างดุเดือด
ชายหญิงรูปร่างครึ่งมนุษย์ครึ่งปลาทั้งสองนี้ ถ้าดูจากท่อนบนแล้วพวกเขาก็คือสองพี่น้องตระกูลหลานที่มู่หรงเซวี่ยนกล่าวถึง
แต่ตอนนี้มีคลื่นน้ำสีฟ้าที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนหมุนวนอยู่รอบตัวพวกเขา อักขระสีน้ำเงินไม่ทราบชื่อจำนวนมากโผล่ออกมาตั้งแต่ใบหน้าไปจนถึงแขนทั้งสอง ขณะเดียวกันดวงตาทั้งคู่ก็กลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม
และดวงตาทั้งสองของอสรพิษยักษ์สีเงินมีสีแดงเลือด ปากของมันพ่นไอสีเขียวออกปาก หงอนบนหัวก็กลายเป็นสีเงินแพรวพราวดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
บางครั้งศรวารีจำนวนมากก็พุ่งยิงเข้าใส่อสรพิษยักษ์ราวกับฝนตก บางครั้งอสรพิษยักษ์ก็อ้าปากพ่นพายุบ้าระห่ำสีเขียวอ่อนออกไปโจมตีคลื่นน้ำจนแตกกระจาย
ทั้งสามต่างก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กัน ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนจึงจะตัดสินแพ้ชนะได้
และพื้นที่ลุ่มต่ำเร้นลับแห่งหนึ่ง ก็มีซากของค่ายกลสีฟ้าที่ถูกทำลายจนเสียหาย กับศพของอสรพิษหงอนเงินขนาดเล็กสองตน
……
เจียหลานก้มตัวลงใจกลางบ่อน้ำ ใช้คทาหยกเคาะดอกบัวสีฟ้าเบาๆ
ทันทีที่ดอกไม้จิตวิญญาณนี้เปล่งแสงสีฟ้าสั่นไหวมันก็ลอยหลุดออกมาจากก้าน แล้วค่อยๆ ตกลงไปในกล่องหยกที่ได้เตรียมไว้
เจียหลานปิดฝากล่องหยก แล้วเก็บเข้าไปในแขนเสื้ออย่างระวัดระวัง จากนั้นก็หันไปมองศพของอสูรน้อยทั้งสามที่นอนนิ่งอยู่ด้านข้าง แล้วก็ถอนหายใจก่อนที่จะล่องลอยออกไป
……
ในกองหินกลุ่มหนึ่ง เฟิงฉาน เกาชงและศิษย์จิตวิญญาณอีกเจ็ดคน ต่างก็ล้อมโจมตีอสูรสิงห์พยัคฆ์ตนนั้นอยู่ไม่หยุด
แต่ครั้งนี้สองในเก้าคนนั้นเปลี่ยนมาเป็นศิษย์นิกายวาตอัคคีแซ่เถียนที่ถือพัดใบลานในมือกับเฉียนฮุ่ยเหนียง อสูรตนนี้ยังคงดุร้ายเช่นเดิม สายฟ้าสีน้ำเงินบนตัวก็เปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง ปากก็พ่นลูกไฟออกไปรอบด้าน
แต่เห็นได้ชัดว่าผู้ที่ล้อมโจมตีทั้งเก้าคนในครั้งครั้งนี้ ดูสงบเยือกเย็นกว่าก่อนหน้านั้นมาก พอมีทะเลเพลิงปรากฏขึ้นบริเวณนั้น ชายแซ่เถียนก็ค่อยๆ โบกพัดใบลานจนดับไฟได้ทั้งหมด
ส่วนสายฟ้าที่ปกป้องตัวของอสูรสิงห์พยัคฆ์ก็เริ่มถูกผู้คนแสดงไม้เด็ดออกมาโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า จนทำให้เกิดบาดแผลขนาดต่างๆ บนตัวของมัน
ด้วยเหตุนี้ คนทั้งเก้าต่างก็ยิ่งโจมตีหนักหน่วงด้วยความดีใจ
แต่ไม่มีใครสังเกตว่า ถึงแม้อสูรสิงห์พยัคฆ์จะเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ แต่ก็ยังคงใจเย็นกว่าปกติ ไม่มีรอยความหวาดกลัวโผล่ออกมาแม้แต่น้อย
……
ในถ้ำเร้นลับใต้ดินแห่งหนึ่ง เหลยเจิ้นคำรามเสียงต่ำออกมา ค้อนเล็กสีเงินในมือโจมตีออกไปอย่างรุนแรงอีกครั้ง ในที่สุดเส้นสายฟ้าสีเงินก็โจมตีรอยแตกที่ปรากฏบนผิวก้อนหินสีดำจนแตกละเอียด
หินสีดำก้อนนี้มีขนาดเล็กกว่าหลายวันก่อนหนึ่งในสามส่วน
เดิมทีเหลยเจิ้นคิดว่าอย่างน้อยต้องใช้เวลาสี่ห้าวัน ถึงจะเค้นพลังอันแปลกประหลาดนี้ออกไปจนเขาสามารถต้านทานได้ คาดไม่ถึงว่าตอนนี้ของล้ำค่าดูเหมือนจะปรากฏออกมาแล้ว
ตอนแรกที่เหลยเจิ้นเห็นฉากนี้ก็รู้สึกตะลึงงันก่อนที่จะรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขาวัดแกว่งค้อนเล็กสีเงินในมืออย่างรวดเร็วอีกครั้ง มันทำลายเศษหินบนพื้นผิวจนหลุดออกมา ในที่สุดของล้ำค่าที่ซ่อนอยู่ภายในก็ปรากฏ
มันคือแร่สีน้ำตาลอ่อนที่มีขนาดเท่าศีรษะ บนผิวของมันมีลายแปลกประหลาดจำนวนมากกระจายอยู่ไปทั่ว และยังทับซ้อนกันอยู่บนนั้น ราวกับว่าแร่ทั้งก้อนถูกลายสีเงินทับซ้อนห่อหุ้มเอาไว้แน่น
เหลยเจิ้นระงับอาการตื่นเต้นแล้วเก็บค้อนสีเงินเข้าไป จากนั้นก็หยิบเศษหินขึ้นมาจากพื้นก่อนที่จะโยนใส่แร่ก้อนนั้น
เสียงดัง “เพล้ง!”
เศษหินกระทบเข้าใส่แร่สีน้ำตาลโดยไม่มีสิ่งใดขวางกั้น ดูแล้วมันเหมือนการดีดกลับปกติ ไม่มีอะไรแปลกประหลาดแม้แต่น้อย
เหลยเจิ้นเดินเข้าไปด้วยความดีใจเป็นอย่างมาก เขาก้มตัวเพื่อหยิบแร่ก้อนนั้นมาดูให้ละเอียด
แต่พอนิ้วของเขาสัมผัสกับแร่สีน้ำตาล ก็มีเสียง “ซิ้วๆ!” ดังขึ้นมาในทันที ไหมสีเงินหลายสิบเส้นพุ่งออกจากแร่หินในพริบตา
ด้วยระยะห่างอันใกล้เช่นนี้ บวกกับไม่มีลางสังหรณ์ใดๆ เตือนล่วงหน้า ทำให้เหลยเจิ้นไม่สามารถทำการต่อต้านใดๆ ได้ทัน ร่างของเขาถูกไหมสีเงินเจาะทะลุผ่านไป
เขาตะโกนออกมาด้วยความโมโห สายฟ้าบนตัวเปล่งประกายออกมาอย่างบ้าคลั่ง ขณะเดียวกันก็สะบัดแขนเสื้อก่อนที่ค้อนเทพอัสนีจะปรากฏในมือ และคิดที่จะใช้มันโจมตีออกไป
แต่ในขณะนั้นเอง ลายสีเงินบนผิวแร่ก็เปล่งแสงออกมา และยังค่อยๆ พองยุบสลับกัน
ไหมสีเงินทั้งหมดเพียงแค่สั่นไหวเล็กน้อย ก็ตัดคนที่อยู่ด้านหน้าจนกลายเป็นชิ้นเนื้อหลายชิ้นด้วยความคมราวกับใบมีด แม้แต่วิญญาณของเหลยเจิ้นที่กลายเป็นกลุ่มไอสีดำก็ถูกแสงสีเงินทำลายจนแตกกระจาย
ค้อนสีเงินตกลงพื้นด้วยเสียงดัง “เต้ง!” โลหิตจำนวนมากไหลทะลักลงพื้น
ศิษย์เก้าชีพจรจิตวิญญาณอัสนีที่บรรดาอาจารย์จิตวิญญาณในนิกายปีศาจต่างก็ให้ความหวังอย่างเหลยเจิ้น ไม่คาดคิดว่าจะมาเสียชีวิตในถ้ำที่ไร้นามเช่นนี้
แต่ครู่ต่อมาเหตุการณ์ที่น่าตกใจยิ่งกว่าเดิมก็ปรากฏขึ้น
ไหมสีเงินที่ถูกพ่นออกจากแร่สีน้ำตาลพวยพุ่งไปมาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็จุ่มลงไปในบ่อเลือดบริเวณนั้น ทั้งยังดูดเลือดเข้าไปด้วยความรวดเร็ว
ไหมสีเงินเหล่านี้ล้วนมีรูกลวงตรงกลาง ซึ่งเป็นเหมือนหลอดดูดขนาดเล็ก
และเมื่อมันดูดเลือดเข้าไปในแร่สีน้ำตาลจำนวนมาก ลายสีเงินบนผิวของมันก็ยิ่งเปล่งแสงจ้ามากขึ้น ขณะเดียวกันมันก็เริ่มพองยุบขึ้นมา ราวกับว่ามันกลายเป็นสิ่งมีชีวิตจริงๆ
ไหมสีเงินหลายสิบเส้นดูดรับโลหิตเข้าไปเป็นจำนวนมาก จนโลหิตบริเวณนั้นหายไปในพริบตา แต่ดูเหมือนว่าไหมสีเงินเหล่านี้จะยังไม่พอใจ หลังจากที่มันเคลื่อนไหวอีกครั้ง ก็แทงเข้าไปยังชิ้นเนื้อที่อยู่บริเวณนั้น
เศษเนื้อจากศพของเหลยเจิ้นแห้งเหี่ยวขึ้นมาทันที ราวกับว่าแม้แต่โลหิตหยดสุดท้ายในนั้นก็ถูกมันดูดจนหมดเกลี้ยง
จากนั้นลายสีเงินบนผิวแร่สีน้ำตาลก็พองยุบไม่กี่ครั้ง แล้วก็พลันส่งเสียงดังออกมา
ตอนแรกมันดังแค่ครั้งเดียว แต่ผ่านไปไม่นานก็ดังขึ้นครั้งที่สอง ครั้งที่สาม…
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป ในขณะที่แร่สีน้ำตาลพองยุบตัวก็มีเสียงดังขึ้นมาติดต่อกัน ขณะเดียวกันก็มีเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น ไหมสีเงินพุ่งออกมามากกว่าเดิม และยังพุ่งออกมาจนแน่นขนัด จนเกือบจะจมเข้าไปในทุกพื้นที่ของถ้ำ และมันยังยืดยาวอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ จากนั้นก็ค่อยๆ เจาะลึกเข้าไปในเขาใหญ่
แร่ที่เดิมดีเป็นสีน้ำตาลก็ค่อยๆ กลายเป็นสีแดงเลือดขึ้นมา ราวกลับว่ามันได้ฟื้นคืนร่างที่แท้จริงของมันภายในเวลาหนึ่งเค่อ
นี่คือหัวใจยักษ์ดวงหนึ่งที่ค่อยๆ ฟื้นฟูพลังชีวิต!
และในขณะที่หัวใจดวงนี้ฟื้นตัวขึ้นมา เขาใหญ่ทั้งลูกก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงด้วยความเร็วที่ไม่อาจสังเกตเห็นด้วยตาเปล่าได้ และการเปลี่ยนแปลงอันแปลกประหลาดที่คนไม่สามารถรับรู้ได้ก็เริ่มบังเกิดขึ้น
……………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น