ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 1258-1277

 บทที่ 1258 ทำงานล่วงเวลาด้วยกัน

 

กินอิ่มก็พักกันอีกสักหน่อย ฉินสือโอวสั่งงานให้ทั้งสามคนเริ่มทำงานตอนบ่ายโมง


ภายในอวนมีลูกปลาค็อดต่างชนิดกันมารวมกันมากพอแล้ว มีปลาค็อดแอตแลนติก ปลาคาพีลิน ปลาแฮดดัค ปลาหิมะ ปลาค็อดกรีนแลนด์ เป็นต้น ลูกปลาอัดแน่นเต็มอวนยักษ์ใหญ่


ที่จริงแล้วก็เพราะเป็นลูกปลาถึงหลอกง่ายขนาดนี้ มีอาหารก็เข้าไปกิน


ปลาค็อดโตเต็มวัยในฟาร์มปลาใช้อาหารล่อไม่ได้ ลูกปลายังไม่ค่อยได้กินอาหารที่มีพลังโพไซดอนมากเท่าไร สำหรับพวกมันแล้ว การหาอาหารได้ง่ายก็คือวิธีที่ดีกว่า


ปลาค็อดโตเต็มวัยยอมลำบากไปไล่จับหมึกกระดอง ปลาหมึก ปลาแฮร์ริ่ง ปลาซาบะกับปลาคาพีลิน แต่จะไม่เข้าไปกินอาหารพวกนั้นง่ายๆ


นี่ก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมปลาทะเลของฟาร์มปลาต้าฉินถึงเนื้อสัมผัสดี รสชาติยอดเยี่ยม ไม่ใช่แค่เพราะพลังโพไซดอนปรับเปลี่ยนเนื้อของมัน ยังเพราะปลาที่นี่ออกกำลังเยอะ ไม่เหมือนกับปลาค็อดฟาร์มอื่นที่แค่รอกินอาหารอย่างเดียว


ปลาของฟาร์มปลาต้าฉินเป็นปลาทะเลธรรมชาติขนานแท้ รสชาติจึงอร่อยกว่าเป็นธรรมดา


ฉินสือโอวรู้ดี ถ้าไม่มีอาหารที่มีพลังโพไซดอน หลังจากที่ลูกปลาค็อดที่เขาขายไปโตขึ้น คุณภาพจะเทียบกับฟาร์มเขาไม่ได้แน่นอน แต่เขาก็ไม่ได้ต้องรู้สึกผิด เพราะลูกปลาของเขากระปรี้กระเปร่ากว่า พวกมันไม่กินแต่อาหารอย่างเดียว แต่หาอาหารกินเองเป็นด้วย คุณภาพดีกว่าปลาค็อดที่เป็นลูกปลาธรรมดา


นอกจากนี้ พลังโพไซดอนก็ได้เปลี่ยนยีนของปลาค็อดไปในระดับหนึ่ง เนื้อสัมผัสของปลาจากฟาร์มปลาจะดีกว่าปลาข้างนอกตั้งแต่แรกเกิด


แน่นอนว่านี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ฉินสือโอวยินดีขายลูกปลา อย่างที่ว่าสอนศิษย์จนครูอับจน เขาไม่ได้โง่ขนาดขายลูกปลาแล้วต่อไปโตมาเป็นปลาที่เหมือนกับของเขา นี่ไม่ใช่หาเรื่องใส่ตัวหรือไง?


ค่อยๆ ลากอวนไป เรือนกนางนวลหันหัวเรือแล่นกลับ เวลาแบบนี้ความเร็วของเรือต้องช้าและสม่ำเสมอ เพื่อให้ลูกปลายินยอมอยู่ในอวน เพราะตาอวนมีขนาดที่กว้างเกินไป ลูกปลาสามารถหนีออกไปได้


แต่ถ้าความเร็วของเรือช้าเกินไป งั้นลูกปลาก็จะหันไปสนใจอย่างอื่น แบบนี้ก็ไปจากอวนอยู่ดี และถ้าเกิดว่าความเร็วของเรือประมงเปลี่ยนก็ไม่ได้ ลูกปลาจะตกใจแล้วก็หนีไปอีก


ดังนั้นการลากอวนกลับเป็นการทดสอบทักษะของคนขับมากๆ ฉินสือโอวพาบูลมาก็เพื่อให้เขาทำงานนี้


บูลมีข้อเสียเยอะมาก อารมณ์ร้อน ชอบหาเรื่อง แต่ด้านการจับปลาเขาฝีมือดีจริง ขับเรือลากอวน ตกปลาจับปลา ล้วนแต่ชำนาญทั้งนั้น


บูลวิเคราะห์ความเร็วที่เหมาะกับลูกปลาจากหน้าจอเครื่องหาปลา จากนั้นก็ปรับความเร็วเรือแล้วขับออกไป


เครื่องหาปลาตอนนี้ล้ำสมัยมาก บนหน้าจอมีจุดสีเขียวอยู่เต็ม พวกนี้ก็คือลูกปลา สามารถตรวจดูคร่าวๆ ได้


ลูกปลาแม้จะกินอิ่มแล้ว แต่ในอวนก็มีไฟล่อปลา อาทิตย์ลับขอบฟ้า ใต้น้ำก็มืดหมดแล้ว ไฟล่อปลาน่าดึงดูดสำหรับลูกปลามากขึ้นเรื่อยๆ ดึงดูดให้พวกมันไปตามเรือประมง


ใช้เวลาไปสองชั่วโมงกว่า ฟ้ามืดแล้วเรือนกนางนวลถึงเทียบท่า ที่บริเวณรอบนอกท่าเรือได้ติดตั้งตาข่ายล้อมไว้หมดแล้ว ตาข่ายพวกนี้มีลูกตุ้มตะกั่วถ่วงลงไปถึงก้นทะเล ตาข่ายสองผืนเชื่อมกันเป็นเหมือนประตูสองบาน


พอเรือมาตาข่ายก็ถูกดึงออก เท่ากับเปิดประตูให้เรือแล่นเข้าไป รอจนเรือเข้ามาถึงค่อยปล่อยให้ตาข่ายปิดลงมา ก็เท่ากับเป็นการปิดประตู


ตาของตาข่ายเล็กมาก พอลูกปลาเข้ามาก็หนีไปไหนไม่ได้แล้ว คราวนี้ถึงจะถือว่าล้อมคอกลูกปลาสำเร็จ


ฉินสือโอวเดินลงจากเรือประมงพลางถอนใจแล้วพูดว่า “งานนี้ไม่ง่ายเลย”


ชาร์คที่กลับมาก่อนพูดยิ้มๆ “ไม่ บอส ที่จริงนี่เป็นงานในทะเลที่เบาที่สุดแล้ว เทียบกับการออกทะเลหาปลาที่ได้นอนแค่วันล่ะสองสามชั่วโมง ผมยอมออกไปหาลูกปลาทุกวันยังดีกว่า”


ฉินสือโอวและพวกชาวประมงพูดคุยกันจนถึงวิลล่าและเตรียมกินข้าว แต่วินนี่ยังไม่กลับมา


แม่ฉินกอดเสี่ยวเถียนกวาเล่นอยู่กับพวกพี่น้องเฟอเรท ทั้งสองตัวทำหน้าหมองหม่น เห็นได้ชัดว่าโดนเสี่ยวเถียนกวาฟัดมาอย่างหนัก


พอฉินสือโอวเข้าประตูไป เฟอเรทผู้พี่ก็รีบวิ่งมาหา ‘สวบ’ แวบไปอย่างรวดเร็วไปหาฉินสือโอว แล้วแสดงออกถึงความดีใจแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ส่วนเฟอเรทผูน้องที่อยากจะหนีแต่ก็หนีไม่ได้ เสี่ยวเถียนกวาจับมันไว้ในมือเหมือนกำลังกอดตุ๊กตา


ฉินสือโอวถามอย่างประหลาดใจ “ทำไมวินนี่ยังไม่กลับมาอีกล่ะ?”


แม่ฉินพูด “เธอโทรมาบอกแล้วว่าวันนี้ยุ่งๆ เลยต้องทำงานล่วงเวลา รีบไปดูเธอหน่อยเถอะ อีกอย่าง กอดลูกสาวด้วย เฮ้อ เสี่ยวเวยวันนี้งอแงมากเลย”


ฉินสือโอวรับลูกสาวมาดู ตาของเด็กน้อยบวมอย่างกับลูกพีช ขนตาเปียกเป็นแพ บนใบหน้านุ่มนิ่มยังคงมีคราบน้ำตา ท่าทีน่าสงสาร


“เป็นอะไรไป?” ฉินสือโอวอุ้มลูกสาวขึ้นพาดไหล่แล้วหยอกเธอพลางถาม พอเด็กน้อยถูกกอดในออมอกก็โยนเฟอเรทผู้น้องทิ้งไป ยื่นมือมาคว้าคอเสื้อเขาไว้แน่นแล้วตะโกนสุดเสียง “ปะป๊าๆๆ…”


เฟอเรทผู้น้องนอนแผ่อยู่บนพรมเหมือนหนูตาย ท้องเล็กๆ นั้นขยับขึ้นลงรัวเร็ว ตาทั้งสองข้างจ้องเพดานราวกับเสียสติไปแล้ว


เฟอเรทผู้พี่รีบวิ่งเข้าไปแล้วยื่นอุ้งมือออกมาเกาบนตัวมันอย่างระมัดระวัง เห็นพี่ชายเข้ามา เฟอเรทผู้น้องก็ได้สติ มันรีบลุกขึ้นมาแล้วมองเสี่ยวเถียนกวาด้วยสายตาหวาดกลัว จากนั้นก็หนีไปอย่างรวดเร็ว


แม่ฉินอธิบายว่า “ลูกกับวินนี่ไม่กลับมาทั้งวัน เสี่ยวเวยคิดถึงพวกลูกมาก ร้องไห้ทั้งวันเลย ตอนหลังแม่เอาสัตว์เลี้ยงที่ลูกเลี้ยงไว้มาให้เล่น เธอถึงดีขึ้นหน่อย สงสารก็แต่หนูสองตัวนี้ โดนฟัดไม่เบาเลย”


ฉินสือโอวไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “แม่ นั่นไม่ใช่หนู นั่นคือเฟอเรทแบลคฟุต!”


แม่ฉินเข้าใจในทันที “แม่ก็ว่า หนูตัวนี้หน้าตาแปลกจัง แต่กินจุมาก เมื่อกลางวันให้อาหารพวกมันไปไม่น้อย ดูเหมือนว่าพวกมันก็ยังไม่อิ่ม”


ฉินสือโอวรีบพูด “แม่ แม่ต้องดูพวกมันสองตัวดีๆ หน่อยนะ เห็นตัวเล็กๆ แบบนี้แพงมากเลยนะ ตังหนึ่งราคาเป็นล้าน!”


เขารู้ว่ามีแค่การพูดแบบนี้แม่ฉินกับพ่อฉินถึงจะเห็นความสำคัญของพี่น้องเฟอเรท ในสายตาของทั้งสองพวกมันก็เป็นแค่หนูคู่หนึ่ง ปกติยังไม่ให้เสี่ยวเถียนกวาแตะต้องเลย เพราะกลัวมันจะแพร่เชื้อพวกไวรัสแบคทีเรีย


ได้ยินเขาพูดแบบนั้น แม่ฉินก็ตะลึงไป “แม่เจ้า หนูนี่มีราคาขนาดนี้เลยเหรอ? ล้านหนึ่ง? แพงกว่าชีวิตคนอีก”


ฉินสือโอวไม่ได้พูดเกินจริง เฟอเรทแบลคฟุตเป็นหมีแพนด้าเวอร์ชันอเมริกา ขายราคาหนึ่งล้านในตลาดมืดก็ไม่เป็นปัญหา แล้วยังเป็นเงินดอลลาร์ด้วย! ไม่อย่างนั้น ตอนนั้นเรือนั่นคงไม่เสี่ยงขนาดนั้นแค่เพื่อแอบขนส่งพวกมันใต้ดิน


ฉินสือโอวพาลูกสาวขับรถไปยังเทศบาลท้องถิ่น ตอนนี้ฟ้ามืดสนิทแต่ข้างในยังมีแสงไฟอยู่ ดูท่าคนที่ทำงานล่วงเวลาจะไม่ได้มีแค่วินนี่


พนักงานในเทศบาลท้องถิ่นต่างก็คุ้นเคยกับฉินสือโอว พอเห็นเขา ผู้ช่วยคนหนึ่งที่กำลังจัดเอกสารก็ยิ้มออกมาแล้วชี้ไปที่ชั้นบนพลางพูดว่า “นายกเทศมนตรีวินนี่กำลังประชุมอยู่ค่ะ คุณรอก่อนได้ไหมคะ?”


ฉินสือโอวบอกว่าไม่มีปัญหาแล้วก็กอดลูกสาวพลางนั่งลง ปรากฏว่าเสี่ยวเถียนกวาไม่ยอม ถึงเธอจะเด็ก แต่ก็พอมีความทรงจำพื้นฐานแล้ว เธอจำได้ว่าแม่อยู่ที่นี่ พอเข้าประตูมาไม่เห็นแม่ก็ร้องออกมาอย่างร้อนใจ “มาม๊า! มาม๊า! มาม๊า!”

 

 

 


บทที่ 1259 สลับบทบาท

 

เมื่อไม่เห็นแม่ เด็กน้อยก็เตรียมอ้าปากร้องไห้อีก ฉินสือโอวเลี้ยงเด็กไม่เป็น ปกติเสี่ยวเถียนกวาเชื่อฟังว่าง่ายมาก ตั้งแต่ที่คลานเป็นก็เล่นกับหู่เป้าฉงหลัว ไม่ต้องให้เขามาคอยโอ๋


ผู้ช่วยสาวเข้ามาหวังจะช่วยปลอบ แต่เสี่ยวเถียนกวาไม่สนใจ เดิมทีแค่อยากจะแกล้งทำเป็นร้องไห้ พอมาโดนคนแปลกหน้าหยิกแก้มก็ร้องออกมาทันที


เสี่ยวเถียนกวาร้องไห้อีกสักพัก ที่บันไดก็มีเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบกับพื้นดัง ‘กึกๆ’ อย่างร้อนใจ ฉินสือโอวยังไม่ทันรู้ตัว เด็กน้อยก็รีบปิดปากแล้วยื่นมือชี้ไปที่บันไดแล้วตะโกนอู้อี้ “มาม๊า มาม๊า…”


วินนี่รีบเดินเข้ามารับลูกสาวไป ปลอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้มพักหนึ่งก็ถามฉินสือโอวว่า “พวกคุณมาได้ยังไงเนี่ย?”


ฉินสือโอวเกาจมูกแล้วตอบว่า “เอ่อ มาทำงานล่วงเวลาเป็นเพื่อนไง”


วินนี่มองเขาอย่างจนใจแล้วพูดว่า “อะไรกัน หาเรื่องยุ่งให้ฉันล่ะไม่ว่า? ฉันเพิ่งประชุมเสร็จ ออกมาก็ได้ยินเสียงลูกร้องเลยรีบลงมา”


ฉินสือโอวยิ้มแฝงขอโทษ เขาเป็นพ่อที่ไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไร แม้แต่ลูกก็ปลอบไม่ได้


ที่โถงมีคนอื่นที่กำลังทำงานอยู่ วินนี่บอกให้เขาขึ้นไปข้างบน นายกเทศมนตรีมีห้องทำงานเป็นของตัวเอง พอเข้าไปเธอก็วางเสี่ยวเถียนกวาไว้บนเก้าอี้ทำงาน เด็กน้อยหยิบเอกสารขึ้นมาเตรียมจะยัดเข้าปาก


วินนี่รีบแย่งมาแล้วพูดว่า “อันนี้กินไม่ได้นะคะ นี่เป็นเอกสารของแม่ ลูกนั่งเล่นดีๆ อยู่ตรงนี้นะ”


เธอเอาลูกโลกจำลองกับที่ใส่ปากกาใส่ในอกของเสี่ยวเถียนกวา และอย่างที่คิด เด็กน้อยสนใจแล้วนั่งเล่น


“ลูกพ่อน่ารักจริงๆ” ฉินสือโอวอดชมไม่ได้ น่าเสียดายที่พี่น้องเฟอเรทไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นต้องฉี่ใส่ตัวเขาแน่ๆ ยังมีเรื่องไร้สาระกว่านี้อีกไหม?


วินนี่จัดเอกสารที่กระจัดกระจาย ฉินสือโอวเข้าไปช่วย เขากล่าว “เป็นอะไรไป เกิดอะไรขึ้นเหรอ? ทำไมถึงทำงานล่วงเวลามาจนถึงตอนนี้?”


วินนี่อธิบาย “วันนี้ยุ่ง คุณไม่ได้ดูข่าวหรือไง? วันนี้ที่เซนต์จอห์นมีการประท้วงสองยก เมืองเล็กมากมายก็เข้าร่วมด้วย ตอนบ่ายเราได้รับคำสั่งจากทางการปกครองส่วนท้องถิ่น ก่อนอื่นก็ต้องจัดเอกสารเมืองเล็กก่อน จากนั้นก็ต้องเก็บสถิติเอกสารของชาวเมือง ก็เลยยุ่งจนถึงตอนนี้น่ะค่ะ”


ฉินสือโอวออกทะเลตั้งแต่เช้า มือถือไม่มีสัญญาณในทะเล เขาไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น


วินนี่มีเอกสาร ยื่นให้เขาดูก็พอ


ที่จริงแล้วสองเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการปกครองส่วนท้องถิ่นที่แฮมเล็ตดูแล เขาแค่โดนหางเลขไปด้วย


เรื่องแรกนั้นมีกระแสมาตั้งนานแล้ว รัฐออนแทรีโอสหภาพครูโรงเรียนประถมศึกษาร้องขอให้มีการขึ้นเงินเดือนครูเมื่อประมาณต้นปี แต่ปีนี้เศรษฐกิจรัฐออนแทรีโอไม่ค่อยดี สมัชชาจังหวัดกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดจึงไม่ได้อนุมัติร่างคำขอขึ้นเงินเดือนของพวกเขา


ทั้งสองฝ่ายโต้กันมาครึ่งปีสุดท้ายก็มีฝ่ายหนึ่งที่ทนไม่ไหว ครูในรัฐออนแทรีโอรวมตัวกันหักดิบหยุดการเรียนการสอน ในขณะเดียวกันก็เรียกร้องให้ครูประถมทั้งประเทศให้หยุดงานสอนนอกหลักสูตรและงานแนะแนว


ปีนี้เศรษฐกิจแคนาดาดิ่งลงเหวในทุกด้าน รายได้ของพวกครูก็ไม่มั่นคง พอสหภาพครูรัฐออนแทริโอแผลงฤทธิ์ ครูในโรงเรียนประถมต่างๆ ก็ยินดีร่วมมือหยุดการเรียนการสอน


แฮมเล็ตหงุดหงิดหัวเสียมาก งบการศึกษาของทางเซนต์จอห์นไม่ได้โดนตัด พวกครูจะโวยวายกันทำไม? ในช่วงบ่ายเขาพบกับผู้สื่อข่าวและแกนนำสมาพันธ์ครูท้องถิ่นที่อาคารสำนักงานการปกครองส่วนท้องถิ่น เขาใช้ไม้แข็ง บอกคนในสมาพันธ์ว่าให้รีบกลับมาสอนเหมือนเดิม ถ้ากระแสหยุดสอนยังดำเนินต่อไป ทางรัฐก็จะลงโทษและตัดเงินเดือนครูที่หยุดสอน


จากนั้นการปกครองส่วนท้องถิ่นเซนต์จอห์นมีการประกาศให้แต่ละเมืองในพื้นที่ดูแล ขอให้นายกเทศมนตรีและฝ่ายการศึกษาติดตามสถานการณ์การสอนของโรงเรียนประถมศึกษาในประเทศ และคิดหาวิธีแก้ไขการระงับชั้นเรียนกันเอง


วินนี่เดิมทีกำลังยุ่งกับการจัดการเรื่องนี้ เมืองแฟร์เวลยังพอว่า มีแค่โรงเรียนประถมแกรนท์ ครูส่วนมากก็เป็นคนท้องที่ ร้องขอไปทีเดียวก็จัดการปัญหาได้ แล้วการประท้วงอีกอันก็ปะทุอีก


พูดมาถึงตรงนี้วินนี่ก็ถอนใจ ฉินสือโอวทุบโต๊ะทีหนึ่งอย่างไม่พอใจ สีหน้าไม่สบอารมณ์


วินนี่นึกว่าเขารำคาญใจแทนเธอจึงกุมมือเขาแล้วยิ้มบาง “ไม่มีอะไรหรอก นี่มันเรื่องเล็ก ฉันจัดการได้”


ฉินสือโอวพูด “ไม่สิ นี่ยังเรื่องเล็กเหรอ? พวกครูโรงเรียนประถมแกรนท์ไม่เห็นผมอยู่ในสายตาเลยหรือไง? อย่างไรผมก็เป็นครูพละที่ทุ่มเท ทำแบบนี้กันทำไมไม่มีใครแจ้งผมเลย?”


วินนี่ “…”


เธอจ้องฉินสือโอวอย่างโกรธเคือง วินนี่เล่าเรื่องกิจกรรมประท้วงครั้งที่สองให้ฉินสือโอวฟังอีก ครั้งนี้เกี่ยวกับเกาะแฟร์เวล แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็ยังคงไม่เกี่ยวข้องกับการปกครองส่วนท้องถิ่น และเทศบาลท้องถิ่นที่แฮมเล็ตกับวินนี่ดูแล


กิจกรรมประท้วงครั้งที่สองก็เป็นเรื่องที่ลามไปทั้งแคนาดา ต้นตอของเรื่องนี้เกิดขึ้นไวกว่า ตั้งแต่เมื่อปีก่อน สมัยที่พรรคอนุรักษนิยมกุมอำนาจ ตอนนั้นพวกเขาเปิดตลาดธุรกิจอินเทอร์เน็ตในประเทศให้บริษัทเล็กๆ เข้าตลาดได้เยอะขึ้นเพื่อลดค่าโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต


ตามที่พรรคอนุรักษนิยมกล่าว ธุรกิจอินเทอร์เน็ตแห่งชาติกล่าวว่า บริษัทโทรคมนาคมเป็นอุตสาหกรรมหน้าเลือด การเพิ่มการแข่งขันจะช่วยลดพวกค่ามือถือและค่าอินเทอร์เน็ต ข้อนี้ได้รับการยอมรับจากประชาชนแคนาดา


ทว่าผ่านไปหนึ่งปี คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการกระจายเสียงและโทรคมนาคมของแคนาดาก็เผยตัวเลขออกมา บอกว่าใน 12 เดือนที่ผ่านมาครอบครัวแคนาดามีค่าใช้จ่ายในโทรคมนาคมเฉลี่ยสูงถึง 203 ดอลลาร์ต่อเดือน ค่าบริการรายเดือน 12 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 62% ในจำนวนนั้นค่าใช้จ่ายมือถือและอินเทอร์เน็ตรายเดือนเพิ่มขึ้นอย่างมาก โทรศัพท์ 14% ส่วนอินเทอร์เน็ต 10%


พอประชาชนเห็นตัวเลขนี้ก็ต้องอึ้ง แผน ‘การเพิ่มการแข่งขัน’ ไม่ใช่แค่ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้มากมาย แต่กลับเพิ่มค่าใช้จ่ายให้มากขึ้นอีก ค่าโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตยังคงเพิ่มไม่หยุด เพิ่มเร็วยิ่งกว่าอัตราเงินเฟ้อ จะทำอย่างไรล่ะทีนี้?


การประท้วงครั้งนี้ก็เกี่ยวกับเศรษฐกิจแคนาดาที่แย่ลงโดยรวม ประชาชนหาเงินไม่ค่อยได้ แถมคนมากมายก็ตกงาน ปรากฏว่าค่าโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตยังเพิ่มอีก แบบนี้ไม่ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่เหรอ?


อย่างไรสภาพเศรษฐกิจก็ไม่ดี ทุกคนไม่มีงาน หรือไม่ก็งานไม่ยุ่ง ในเมื่อแบบนี้ก็ไม่ต้องพูดเยอะแล้ว รวมตัวกันประท้วงเลยดีกว่า


ดังนั้นจึงเริ่มที่โทรอนโต การประท้วงกระจายไปในพื้นที่ต่างๆ อย่างรวดเร็ว เซนต์จอห์นก็ไม่เว้น เกาะแฟร์เวลก็มีชาวเมืองมากมายที่ร่วมการประท้วง


อ่านมาถึงตรงนี่ ฉินสือโอวก็อดถอนใจไม่ได้ “ทำไมคนแคนาดาถึงชอบประท้วงนักนะ? ผมเพิ่งมาอยู่แค่กี่ปีเอง? แค่ร่วมกิจกรรมประท้วงก็หลายรอบแล้ว มีเรื่องอะไรคุยกันไม่ได้บ้างจริงไหม?”


วินนี่ยิ้มบางแล้วพูดขึ้น “คุณร่วมกิจกรรมประท้วงจนเริ่มรำคาญแล้วสิ?”


ฉินสือโอวตอบ “รำคาญอยู่แล้วสิ เกี่ยวอะไรกับผมด้วยเล่า”


วินนี้หน้าชื่นตาบาน “ก็ดี งั้นครั้งนี้จะให้คุณเปลี่ยนบทบาทดูบ้าง คุณจะไม่เป็นฝ่ายประท้วงแล้ว แต่จะเป็นฝ่ายควบคุมการประท้วง ช่วยฉันคิดหาวิธีทำให้ชาวเมืองสงบ?”


ฉินสือโอว “…”

 

 

 


บทที่ 1260 งัดไม้แข็ง

 

ดูท่าวินนี่จะหัวเสียกับเรื่องนี้อยู่พอตัว เธอเล่าให้ฉินสือโอวฟังจบก็หยิบเอกสารกองหนึ่งขึ้นมา แล้วนั่งลงก่อนจะเข้าสู่ห้วงความคิด


เห็นท่าทีหงุดหงิดของภรรยา ฉินสือโอวก็ปวดใจ เรื่องพวกนี้เดิมทีวินนี่ไม่จำเป็นต้องยุ่งเลย เป็นเพราะเขา วินนี่ถึงอยากมาเป็นนายกเทศมนตรี เธอถึงได้มีเรื่องกวนใจมากมายแบบนี้


ฉะนั้นฉินสือโอวเลยรู้สึกว่าตัวเขาจำเป็นต้องช่วยวินนี่แก้ปัญหาพวกนี้


ฉินสือโอวหยิบเอกสารบนโต๊ะขึ้นมาอ่านรายงานสถิติเกี่ยวกับโทรคมนาคม จากการวิเคราะห์รายงานจะเห็นได้ว่าเดิมทีพรรคอนุรักษนิยมเปิดตลาดโทรคมนาคมให้บริษัทเล็กๆ เข้าไปเพื่อแก้ปัญหาการผูกขาดตลาดของบริษัทใหญ่


แต่ปรากฏว่าวิธีนี้ไม่เป็นผล จนถึงขณะนี้บริการด้านอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของแคนาดายังคงถูกครองโดยยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคม 5 ราย เบล โรเจอร์ ทีลัส ชอว์ และควิเบกคอร์ สัดส่วนรายได้ของพวกเขาสูงถึง 84% ของทั้งอุตสาหกรรม แถมยังสูงกว่าปีที่แล้วหนึ่งเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ!


ในสิบสองเดือนที่ผ่านมา ค่าใช้จ่ายโทรคมนาคมเฉลี่ยรายเดือนของคนแคนาดาสูงถึงห้าพันล้านดอลลาร์แคนาดา…


รายงานนี้ทำเอาฉินสือโอวตะลึงมาก เมื่อก่อนเขาไม่เคยสนใจปัญหาเรื่องค่าโทรศัพท์ วินนี่เป็นคนจ่ายบิลและเซ็นชื่อบนบิลทุกสิ้นเดือน เพราะนึกว่ามันไม่เท่าไร ดูท่าจะไม่ได้เป็นแบบนั้นเสียแล้ว


ก่อนที่จะมาแคนาดา ฉินสือโอวได้ยินมาว่าเวลาคนอเมริกาโทรศัพท์ โทรด้วยเสียงได้ฟรี มีแค่โทรวิดีโอคอลถึงจะเก็บเงิน พอมาอยู่แคนาดาถึงได้รู้ว่านั่นมันเหลวไหลทั้งเพ


ที่จริงอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของอเมริกาและแคนาดาเก็บค่าโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตสูงกว่านั้น เพราะแบบนี้ครอบครัวที่มีรายได้ต่ำจึงต้องล้มเลิกการเล่นอินเทอร์เน็ตไป จากตัวเลขแสดงให้เห็นว่าครอบครัวที่มีรายได้น้อยใช้อินเทอร์เน็ตไม่ถึง 60% แต่อัตราการใช้อินเทอร์เน็ตของครอบครัวรายได้สูงนั้นสูงถึง 98%


ดังนั้นตอนที่ฉินสือโอวสร้างสถานีฐาน คนทั้งเมืองจึงสนับสนุนอย่างมาก หลังจากสร้างเสร็จทุกคนก็ใช้มาโดยตลอด ประหยัดค่าโทรศัพท์ไปได้มาก ขอแค่ไม่ออกจากเกาะ ทุกคนก็สามารถใช้เครือข่ายไร้สายติดต่อได้กันแบบฟรีๆ


ในเมื่อเป็นแบบนี้ ท่านชายฉินจึงไม่เข้าใจ ค่าโทรศัพท์ของคนเมืองแฟร์เวลน่าจะน้อยลงแล้ว ทำไมจะต้องไปร่วมการประท้วงด้วย?


เขาเห็นว่าที่โต๊ะของวินนี่มีรายชื่อผู้เข้าร่วมการประท้วง ในนั้นมีชื่อของคนรู้จักด้วยอย่างพี่น้องตระกูลฮิวจ์ และไชด์ มีแม้กระทั่งคู่หูซื่อบื้อโหวจื่อเซวียนกับหวงเฮ่าเจีย เขาโกรธขึ้นมาทันที


หมายความว่าอย่างไรกัน? ใช้สถานีฐานของฉัน พวกแกยังมาหาเรื่องให้แฟนฉันอีก ใจดีแล้วก็ล้ำเส้นใช่ไหม?


ท่านชายฉินเป็นคนอารมณ์ร้อน เขาโบกมือพูดกับวินนี่ว่า “ไป ที่รัก กลับไปกินข้าวนอน เรื่องนี้ผมจัดการให้คุณเอง”


วินนี่มองเขาอย่างประหลาดใจ เขาพยักหน้าอย่างหนักแน่นแล้วพูดว่า “ผมจัดการเอง ผมจะแก้ปัญหาให้คุณแน่นอน!”


วินนี่เปิดปากอยากจะถาม แต่พอสังเกตสีหน้าของฉินสือโอว เธอก็ไม่ได้ออกปากถามอะไรแล้วเลือกที่จะเชื่อผู้ชายของตัวเอง เธอเข้าไปจูบเขาแล้วเก็บของอุ้มลูกสาวกลับบ้าน


ฉินสือโอวเดินตามมาข้างหลังพลางโทรออกหาฮิวจ์คนน้อง เดินไปถามไป “วันนี้ตอนเช้านายไปไหนมา?”


ฮิวจ์พูดหน้าชื่นตาบาน “ฉันไปเซนต์จอห์นร่วมการประท้วง ฉิน นายจะไปไหม? กิจกรรมครั้งนี้น่าสนใจมาก อย่างกับปาร์ตี้แฟนซี…”


ฟังฮิวจ์คนน้องเจื้อยแจ้วเสร็จ ฉินสือโอวจึงถาม “นี่ก็คือสาเหตุที่ไปร่วมการประท้วง? โอเค ฉันเข้าใจแล้ว ขอให้สนุก”


พูดจบเขาก็วางสายไป จากนั้นฉินสือโอวก็โทรหาเบิร์ดแล้วพูดว่า “นอกจากบริเวณฟาร์มปลา ตัดสัญญาณสถานีฐานอื่นให้หมด เดี๋ยวนี้ ตอนนี้!”


ชาวเมืองจะไปร่วมการประท้วงเขาก็ไม่สนใจ นี่เป็นสิทธิที่กฎหมายมอบให้แก่พวกเขา และในเมื่อเจอกับความไม่ยุติธรรม ก็ต้องต่อต้าน ชาวแคนาดาไม่มีนิสัยเชื่อฟังว่าง่าย


แต่เงื่อนไขก็คือต้องไม่ทำให้เขาเสียผลประโยชน์ เพราะฉินสือโอวช่วยชาวเมืองในด้านนี้ไปแล้ว เขากล้ารับรองว่าเครือข่ายไร้สายช่วยชาวเมืองประหยัดค่าโทรคมนาคมไปได้มากในทุกเดือน นอกจากโทรทางไกลแล้ว พวกชาวเมืองก็ไม่ต้องใช้เงินในการติดต่อกันเลย


นอกจากนี้ สถานีฐานโมโตโรล่านี้มีประสิทธิภาพสูงมาก หลังจากที่ทำการอัปเกรดระบบ มันไม่ใช่แค่อุปกรณ์สื่อสาร ยังมีความสามารถในการส่งผ่านเครือข่ายไวไฟด้วย ขอแค่ต่อเข้ากับไฟเบอร์ออปติกที่มีความเร็วอินเทอร์เน็ตเพียงพอ ชาวเมืองส่วนใหญ่ก็สามารถใช้งานได้


หมายความว่าในการสื่อสารระยะทางสั้นและการใช้อินเทอร์เน็ตของชาวเมืองแทบจะไม่ต้องออกเองเลย ฉินสือโอวช่วยแบกภาระให้พวกเขา


งั้นคนพวกนี้ทำไมยังต้องไปร่วมประท้วงเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาอีก? เหมือนกับฮิวจ์คนน้อง ไอ้หมอนี่แค่ไปเล่นสนุกเท่านั้น เขาน่ะสนุก แต่วินนี่ต้องมาแบกรับการกระทำของพวกเขา แบบนี้ก็เป็นการทำให้เขาเสียผลประโยชน์


ฉินสือโอวไม่ใช่คนดีขนาดนั้น การที่เขาช่วยเมืองก็หวังผลตอบแทน แน่นอนว่าเขาก็ได้การตอบแทนบางอย่าง อย่างเช่นการที่วินนี่ได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรี


แต่การประท้วงครั้งนี้ไร้แก่นสารมาก ถ้าเกิดเรื่องแรกเขาก็พอจะเข้าใจ แต่เรื่องโทรคมนาคม พวกชาวเมืองก็ได้รับผลประโยชน์ไปแล้ว แล้วยังจะก่อเรื่องทำไม?


หลังจากที่ตัดสัญญาณสถานีฐาน ชาร์คและคนอื่นๆ ก็รีบมาถามว่าทำไม ฉินสือโอวไม่ได้อธิบาย เขาปิดโทรศัพท์ และให้วินนี่ เออร์บักกับคนอื่นๆ ปิดด้วย เรื่องนี้พรุ่งนี้ค่อยจัดการ


ตอนเช้าในขณะที่ฉินสือโอวกำลังวิ่งออกกำลังก็มีคนมาหา ถามว่าทำไมเครือข่ายไร้สายถึงใช้ไม่ได้


ฉินสือโอวทำสีหน้าแปลกใจแล้วตอบไป “ทุกคนยังใช้กันอยู่เหรอ? ฉันนึกว่าไม่มีใครใช้แล้วก็เลยปิดสถานีฐานลง กะว่าเดี๋ยวอีกหน่อยจะปิดถาวร ถ้าไม่มีใครใช้จะเปิดให้เปลืองเงินต่อไปก็ไม่มีความจำเป็น ไม่ใช่เหรอ?”


คนที่มารีบบอกว่าทุกคนยังใช้อยู่ สถานีฐานตอนนี้กลายเป็นของจำเป็นพื้นฐานที่เกาะขาดไม่ได้ ทำไมจะไม่มีใครใช้?


พอเป็นแบบนั้นฉินสือโอวจึงพูดช้าๆ “ดูท่าฉันจะเข้าใจผิดเสียแล้ว เมื่อวานฉันเห็นในข่าว บอกว่าบนเกาะเรามีคนร่วมกิจกรรมประท้วงเกี่ยวกับโทรคมนาคมเยอะ ฉันนึกว่าบริษัทโทรคมนาคมจะลดค่าให้บริการ ทุกคนเลยจะเปลี่ยนไปใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตไร้สายซะอีก”


ไม่มีใครเป็นคนโง่ ฉินสือโอวพูดจบทุกคนก็เข้าใจ เรื่องที่พวกเขาไปร่วมกิจกรรมประท้วงทำให้นายกเทศมนตรีวินนี่ไม่ชอบใจ


หลังจากนั้นก็มีคนมาอธิบายกับฉินสือโอวเรื่อยๆ บอกว่าที่พวกเขาไปร่วมกิจกรรมประท้วงก็แค่เพราะได้รับคำเชิญจากญาติและเพื่อนฝูง เหมือนไปร่วมงานชุมนุม ฮิวจ์และคนอื่นๆ ก็มาบอกว่าเขาแค่ไปสนุก ไม่ได้มีเจตนาอื่น


ฉินสือโอวไม่ใช่คนใจแคบ เรื่องนี้อธิบายกันจบก็ไม่มีอะไร เขาก็เปิดสถานีฐานอีกครั้ง


แบบนี้งานของวินนี่ก็ง่ายขึ้นเยอะ การปกครองส่วนท้องถิ่นให้พวกเขาเก็บสถิติแพ็กเกจโทรคมนาคมที่ผู้ประท้วงใช้งาน วินนี่เขียน ประโยคตัวใหญ่ๆ ว่า ‘เมืองแฟร์เวลไม่มีคนร่วม’ เรื่องนี้ก็ถือว่าจบไป


ตอนกลางวันเหมาเหว่ยหลงโทรมาคุยกับเขา และในบทสนทนาก็ได้พูดถึงการประท้วงครั้งนี้ เขาก็เข้าร่วมการประท้วงที่แฮมิลตันด้วย แล้วถามฉินสือโอวว่าไปร่วมด้วยหรือเปล่า


ฉินสือโอวแค่นเสียงเย็น แล้วเล่าถึงวิธีจัดการปัญหาและผลที่ออกมา

 

 

 


บทที่ 1261 จดหมายจากโรงเรียนมาแล้ว

 

เหมาเหว่ยหลงหัวเราะร่าแล้วพูดว่า “ดูแกสิ เพิ่งจะกี่ปีเอง นิสัยเสียของนายทุนก็ทำเป็นแล้ว แบบนี้จะต่างอะไรกับราชาเผด็จการ? ระวังไว้เถอะ อุดปากคนน่ากลัวกว่ากันน้ำป่าทะลักอีกนะ”


ฉินสือโอวตอบ “ให้มันน้อยๆ หน่อย ฉันไม่ใช่ฮ่องเต้แล้วก็ไม่ได้อยากเป็นมหาราช ฉันรู้แค่ว่าในที่ของฉันห้ามรับประโยชน์จากฉันแล้วมาแว้งกัด!”


“งั้นแกก็ให้ข้าวฉันกินสักชามสิ ทางฉันจะไม่มีอะไรกินแล้วนะ” เหมาเหว่ยหลงพูดด้วยใบหน้าระรื่น


ฉินสือโอวตบอกอย่างใจกว้างแล้วให้คำสัญญา “ไม่มีปัญหา แกมาหาฉันเลย มีให้แกกินแน่นอน ไม่ให้แกหิวแน่ แต่แกต้องมานะ ไม่อย่างนั้นถือว่าดูถูกฉัน ฉันจะเสียความรู้สึก”


เหมาเหว่ยหลงหัวเราะร่า “ที่จริงฉันโทรมาชวนแกมานี่ แต่แกจะลากฉันไปโน่น? ฉันก็อยากไปนะ แต่บ้านแกมีม้าหรือเปล่า?”


ฉินสือโอวถามอย่างประหลาดใจ “ม้าอะไร? ฉันมีกวางมูส ไม่มีม้า”


หลังจากนั้นเหมาเหว่ยหลงก็อธิบายให้เขาฟังว่า รอบๆ บริเวณฟาร์มของเขามีฟาร์มที่ล้มละลาย เจ้าของก็เลยขายสัตว์ในฟาร์มให้เขาในราคาถูกๆ เหมาเหว่ยหลงซื้อม้าควอเตอร์โตเต็มวัยสองตัวกับลูกม้าสองตัวมาเลยจะชวนเขาไปขี่ม้าด้วยกัน


ฉินสือโอวเคยขี่ฉลาม ขี่วาฬและยังเคยขี่วินนี่ แต่ไม่เคยขี่ม้า พอได้ยินเหมาเหว่ยหลงบอกแบบนั้นก็นึกได้ว่าตั้งแต่ที่ทั้งสองคนหมั้นก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย คิดถึงเขาอยู่เหมือนกันจึงตอบรับว่าจะหาเวลาไป


คุยกันไปชั่วโมงครึ่ง ฉินสือโอวถึงวางสาย เขากำลังจะไปดูว่าการจำแนกลูกปลาไปถึงไหนกันแล้ว ปรากฏว่าเชอร์ลี่ย์ พาวลิส ชาร์คน้อยก็พากันวิ่งเข้ามาอย่างตื่นเต้นดีใจ


ฉินสือโอวถามด้วยความแปลกใจ “เกิดอะไรขึ้น ยังไม่ถึงเวลาเลิกเรียน พวกเธอ เฮ้ เจ้าพวกตัวแสบ โดดเรียนมาหรือเปล่าเนี่ย?”


เชอร์ลี่ย์กลอกตาอย่างน่ารักแล้วพูดว่า “เราจะกล้าโดดเรียนได้อย่างไรล่ะคะ? ไม่ใช่หรอกค่ะ คุณครูไม่มาสอนเราก็เลยว่าง ถ้ายังไม่ได้รับแจ้งให้ไปเรียนก็ไม่ต้องกลับไป”


ฉินสือโอวไม่ได้คิดไปในทางนั้น เพราะวินนี่เพิ่งพูดเมื่อคืนว่าโรงเรียนประถมแกรนท์ไม่มีความเสี่ยงเรื่องหยุดสอน เธอเพิ่งพูดไปไม่กี่ชั่วโมงทางนั้นก็หยุดสอนเสียแล้ว


ท่านชายฉินไม่พอใจ แน่นอนว่าความไม่พอใจนี้ไม่เกี่ยวกับงานของวินนี่ โรงเรียนไม่ได้ติดค้างอะไรเขา พวกเขาจะหยุดการเรียนการสอนเขาก็ควบคุมไม่ได้


แต่ที่เขาไม่พอใจก็คือ อย่างที่เขาพูดกับวินนี่เมื่อคืนนี้ แม้ว่าเขาจะเป็นแค่ครูพละชั่วคราวของโรงเรียนประถมแกรนท์ แต่อย่างไรก็นำทีมจนได้ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โรงเรียน เรื่องแบบนี้ทำไมไม่มีใครแจ้งเขาเลย?


ในขณะที่ท่านชายฉินกำลังเซ็งอยู่ คำพูดของเชอร์ลี่ย์ก็ทำเอาเขาตื่นตัวขึ้นมาทันที “โอ้ ใช่สิ ครูดิคให้หนูมาแจ้งคุณว่าให้ไปโรงเรียนหน่อย เขาบอกว่าโทรหาคุณไม่ติด”


เมื่อครู่ฉินสือโอวเอาแต่คุยไร้สาระกับเหมาเหว่ยหลง คุยนานถึงชั่วโมงครึ่ง คนอื่นโทรติดก็แปลกแล้ว


ฉินสือโอววางลูกสาวบนเบาะผู้โดยสารแล้วก็ขับรถคาดิลแลควันมุ่งหน้าไปยังโรงเรียนประถมแกรนท์ ระหว่างนั้นเขาโทรหาวินนี่ให้เธอเตรียมตัว โรงเรียนประถมบนเกาะแฟร์เวลก็หยุดงานกันแล้ว


วินนี่ยุ่งจนปลีกตัวไปไหนไม่ได้ เธอตอบมาเพียง ‘ฉันรับทราบแล้ว’ แล้วก็วางสายไปทันที


ตอนที่ฉินสือโอวรีบมาที่โรงเรียนก็เห็นรถคาดิลแลคของวินนี่จอดอยู่หน้าประตูโรงเรียนเช่นกัน มิน่าล่ะถึงไม่รับสาย เพราะรู้ว่าเดี๋ยวก็เจอกันนี่เอง


ลุงยามชัคเห็นเขาอุ้มลูกสาวลงจากรถก็พูดแซว “ว่าไง ฉิน สามพ่อแม่ลูกมาโรงเรียนประชุมผู้ปกครองกันเหรอ?”


ฉินสือโอวยักไหล่พลางตอบกลับ “เปล่าครับ ผมพาลูกมาสมัครเข้าเรียนล่วงหน้า”


ลุงยามชัคพูดยิ้มๆ “ดูท่าผมจะเข้าใจผิด งั้นตอนนี้คุณเป็นใครบ้าง? สามีนายกเทศมนตรี พ่อของนักเรียน ครูของโรงเรียน?”


ฉินสือโอวตอบพลางถอนใจ “โลกนี้ลำบากนักลุงชัค ผมเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ผมมีบทบาทอะไรบ้าง ปรับตามสถานการณ์แล้วกัน ลุงก็รู้นี่ ว่าผมรักเกาะแฟร์เวล ใช่ไหม?”


ลุงยิ้มร่ากว่าเดิมแล้วพูดว่า “พวกเราต่างก็รักเกาะแฟร์เวล เข้าไปเถอะ ไม่มีอะไรหรอก”


ฉินสือโอวโทรหาครูใหญ่แกรนท์ถามว่าเขาถึงแล้ว ให้ไปที่ไหน แกรนท์บอกเขาว่าให้มาห้องประชุมเถอะ ทุกคนอยู่ที่นั่นกันหมดแล้ว


เข้าไปในห้องประชุม ทุกคนก็อยู่ที่นั่นกันหมดจริงๆ ครูของโรงเรียน เจ้าหน้าที่สำคัญของเทศบาลท้องถิ่นที่วินนี้พามาด้วยอย่าง ฮานี่ย์ แรมโบ้ ทุกคนนั่งที่โต๊ะประชุมทรงกลมทั้งสองข้างเหมือนกำลังเจรจากันอยู่


พอเห็นแม่อยู่ตรงนั้น ตาของเสี่ยวเถียนกวาก็เปล่งประกาย ยื่นแขนออกไปจะให้แม่อุ้ม


ฉินสือโอวไม่ให้เธอซน แต่เด็กน้อยไม่พอใจ ถีบขาร้องงอแง


มีครูผู้ชายไม่พอใจแล้วบ่นออกมา “นี่เพื่อน จะอุ้มเด็กมาด้วยทำไม? นี่มันโรงเรียนประถม ไม่ใช่สถานรับเลี้ยงเด็ก”


ฉินสือโอวตอบกลับเสียงเย็น “จะให้ผมทำไงได้ แม่ของลูกผมโดนพวกคุณดึงตัวไว้ งั้นคนเป็นพ่ออย่างผมไม่ดู ใครจะมาดู?”


ครูใหญ่แกรนท์เป็นคนอ่อนโยนมาก เขายิ้มเป็นสัญญาณให้ทั้งสองฝ่ายนั่งลงจากนั้นก็เข้าไปหยอกล้อกับเด็กน้อย แต่หลังจากที่เด็กน้อยเอื้อมมือคว้าหนวดเขาดึงหนึ่งทีเขาก็ไม่กล้าเข้าใกล้อีก


ฉินสือโอวอุ้มเสี่ยวเถียนกวาไปนั่งที่ข้างหลังสุด ครูเชอริลเห็นเด็กหญิงตัวน้อยขาวๆ อวบๆ น่ารักมากจึงเข้ามานั่งหยอกล้อใกล้ๆ


เด็กน้อยไม่กลัวคนแปลกหน้า แต่ก็ไม่ชอบเล่นกับคนแปลกหน้าเหมือนกัน แต่เชอริลเป็นข้อยกเว้น พอเธอกางแขนออก เด็กน้อยก็รีบกางแขนออกทันทีแล้วเข้าแนบอกเธออย่างชอบใจ


ฉินสือโอวกำลังตกใจว่าลูกสาวใจกว้างขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร แต่หลังจากนั้นเขาก็เข้าใจ พอเจ้าตัวน้อยเข้าสู่อ้อมกอดของเชอริลก็เอามือจับไปที่หน้าอกของคุณครูอกโต หัวเล็กดันมุดเข้าไป ปากเล็กอ้าได้ก็งับทันที


เจอแบบนี้เชอริลจึงเขิน ฉินสือโอวเองกระอักกระอ่วนยิ่งกว่า เขารีบอุ้มลูกสาวกลับมา


ใบหน้างดงามของวินนี่บูดบึ้งทันใด กล้าเถลไถลต่อหน้าฉันเลยเหรอ ใครทนได้แต่ฉันทนไม่ได้!


หลังจากที่ส่งสายตาพิฆาตไปให้ฉินสือโอว วินนี่ก็กระแอมไอปรับสภาพอารมณ์แล้วหันไปพูดกับแกรนท์ด้วยรอยยิ้ม “ครูใหญ่คะ กระแสหยุดการเรียนการสอนนี้สำหรับโรงเรียนของรัฐ โรงเรียนประถมแบบนี้ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมหรอกมั้งคะ?”


ฉินสือโอวพยักหน้าแล้วพูดเสริม “นั่นสิครับครูใหญ่ เราจะเข้าร่วมไปด้วยทำไม? รีบเรียกเด็กกลับมาเรียนกันดีกว่า”


ครูทั้งแถวมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ ท่านชายฉินทำหน้าหนาไม่สนใจ คิดว่าเขาจะมาร่วมประชุมเพื่อจะรับมือสหภาพครูออนแทรีโออย่างไรเหรอ? เขามาเป็นสายสืบต่างหาก


ครูใหญ่แกรนท์พูดยิ้มๆ อย่างสุภาพ “ฮ่ะๆ เราแค่ร่วมมือกับสหภาพเท่านั้น อย่าร้อนใจไปท่านนายกเทศมนตรี พรุ่งนี้เราก็กลับมาสอนได้แล้ว แต่ผมคิดว่า…”


ท่านชายฉินไม่รอให้ครูใหญ่พูดจบ เขารีบอุ้มลูกสาวยืนขึ้นแล้วพูดว่า “โอเค งั้นเรื่องนี้ก็พอแค่นี้? ทุกคนแยกย้ายกลับบ้านเถอะ ดีไหม?”


ครูคนอื่นๆ หงุดหงิดอย่าบอกใคร คราวนี้ที่มองเขาไม่ใช่สายตาแปลกๆ แต่เป็นสายตาดุดัน มีบางคนพูดขึ้นอย่างอดรนทนไม่ได้ “ถ้าคุณไม่อยากร่วมด้วยก็กลับไปเถอะ อย่างไรเสียคุณก็ไม่ใช่ครูเต็มตัวอยู่แล้ว”


เมื่อได้ยินแบบนั้นท่านชายฉินจึงไม่สบอารมณ์ เขาถามขึ้น “คุณเพื่อนร่วมงาน คุณกำลังดูถูกผมเหรอ?”

 

 

 


บทที่ 1262 ท่านชายฉินทรยศ

 

ครูผู้ชายคนนั้นถูกเขายั่วโมโหจนเลือดขึ้นหน้า พอกำลังจะพูด ฉินสือโอวก็อุดปากเขาไว้ แล้วพูดกับครูใหญ่แกรนท์อย่างหัวเสีย “ครูใหญ่ครับ คุณต้องคืนความยุติธรรมให้ผมนะ! ผมเคยเสียเหงื่อเพื่อโรงเรียน! ผมเคยหลั่งเลือดเพื่อโรงเรียน! ผมทุ่มทุกอย่างให้โรงเรียน ใช่ไหม?”


มีครูที่ทนดูต่อไปไม่ได้อีกคนพูดขึ้นมาอย่างหงุดหงิด “เฮ้ ฉิน คุณเคยเสียเหงื่อเพื่อโรงเรียนเราก็รู้ แต่คุณเคยหลั่งเลือดที่ไหน? อย่าทำเกินจริงไปหน่อยเลย เอาแค่พอดีก็พอ นี่มันสถานที่ที่เป็นทางการนะ!”


ฉินสือโอวหงุดหงิดยิ่งกว่า เขาพูดด้วยความเลือดร้อน “ต่อให้สถานที่ทางการก็ไม่สามารถปฏิเสธความสำเร็จด้านการศึกษาที่ผมทำให้กับโรงเรียนนี่! ทำไมผมจะไม่เคยหลั่งเลือด? ไปถามนักเรียนทีมบาสเกตบอลดูสิ มีการซ้อมครั้งหนึ่งผมโดนกอร์ดอนศอกเข้าที่ปาก นั่นมันก็คือการหลั่งเลือดไม่ใช่หรือไง?”


ศึกน้ำลายเริ่มขึ้นในทันใด เหล่าครูต่อกรกับศัตรูคนเดียวกัน ตัวแทนภาครัฐที่วินนี่พามาก็สวมบทผู้ชมรอดูเรื่องสนุกต่อไป


ฮานี่ย์ถามวินนี่ที่อยู่ข้างๆ “พวกเราต้องช่วยฉินหน่อยไหมครับ?”


วินนี่เข้าใจดีถึงความสามารถและนิสัยของคนของเธอ เธอส่ายหน้าตอบเสียงเบา “ไม่เป็นไร เขากำลังก่อกวนไร้เหตุผล ให้เขาเล่นไปก่อน”


ครูคนหนึ่งพยายามดึงฉินสือโอวให้เขานั่งลง แต่ท่านชายฉินไม่ยอม เขาพูดด้วยความเสียใจปนโกรธ “ครูใหญ่ รางวัลชนะเลิศระดับจังหวัดรายการเดียวในประวัติศาสตร์ของโรงเรียนประถมแกรนท์ผมเป็นคนนำทีมชนะมา แต่ตอนนี้ก็ยังเป็นแค่ครูชั่วคราว! พวกคุณพูดเรื่องความยุติธรรม แล้วความยุติธรรมของผมอยู่ที่ไหน?”


ครูใหญ่แกรนท์ยังคงสวมบทครูแสนดีต่อไปแล้วพูดยิ้มๆ “ฉิน เรื่องนี้จัดการไม่ยาก พรุ่งนี้ผมจะจัดการเรื่องสถานะครูให้ ทางโรงเรียนจะจ่ายค่าประกันสังคมให้คุณด้วย ดีไหม?”


ได้อะไรกัน ฉินสือโอวก็แค่พูดไปอย่างนั้น เขาไม่เสียดายตำแหน่งงานครูนี้หรอก เดิมทีที่มาเป็นโค้ชนำทีมก็เพราะอยากจะมาฝึกมิเชล แต่ที่วางกลยุทธ์ทีมจริงๆ คือกัวซง คนที่ทำความดีความชอบก็คือกัวซง


จุดประสงค์ของฉินสือโอวก็คือก่อกวน เขาไม่ได้อยากได้อะไรจริงๆ ด้วยฐานะของเขาในตอนนี้จะเอาตำแหน่งงานครูไปทำไม? ที่เขาอยากทำก็คืองานชั่วคราว เพราะเขาต้องการอิสระ


ดังนั้นเขาเลยไม่ได้รับคำขอของครูใหญ่แกรนท์ แต่แสร้งทำท่าน่าสงสารต่อไป นั่งนับความดีความชอบที่เคยทำให้โรงเรียน แน่นอนว่านับไปนับมาก็มีแต่เรื่องที่เขานำทีมชนะรางวัลแชมป์บาสเกตบอลระหว่างโรงเรียน


พวกครูโดนเขาก่อกวนจนหมดพลังไปตามๆ กัน คราวนี้วินนี่ถึงกดฝ่ามือลงเป็นสัญญาณให้ทั้งสองฝ่ายใจเย็น แล้วเริ่มคุยเรื่องขึ้นเงินเดือนครูอย่างเป็นทางการ


พอเธอกดฝ่ามือฉินสือโอวก็นั่งลงอย่างว่าง่าย เขาเล่นเอาพวกครูสภาพแย่ไปหมด ตอนนี้พวกเขาเสียใจมากที่เชิญฉินสือโอวมาร่วมการประชุมเจรจา


วินนี่พูดว่า “สถานการณ์ของโรงเรียนเราต่างก็รู้ดี เมื่อสองปีที่ผ่านมาไม่มีการขึ้นเงินเดือนมาโดยตลอด เรื่องนี้ยอมรับไม่ได้ ฉันคิดว่าการขึ้นเงินเดือนเป็นเรื่องจำเป็น”


พอได้ยินแบบนี้บรรดาครูก็หูตาแพรวพราวพากันยกยอวินนี่กันใหญ่


วินนี่ยิ้มรับแล้วพูดต่อ “แต่ว่ามาตรฐานการขึ้นเงินเดือน เราไม่สามารถทำตามสหภาพครูออนแทรีโอได้ แน่นอนว่ามาตรฐานฉันก็ไม่ได้ตั้งมั่วๆ มันก็ต้องมีหลักมีเกณฑ์”


“สองปีที่ผ่านมา ค่าเฉลี่ยการเติบโตเงินเดือนของอุตสาหกรรมการศึกษาคือ 45% ครูของโรงเรียนประถมรัฐเซนต์จอห์นได้ค่าแรงรายสัปดาห์เฉลี่ย 947.55 ดอลลาร์ โรงเรียนประถมแกรนท์เป็นโรงเรียนเอกชนที่ไม่แสวงผลกำไร ค่าแรงเฉลี่ยรายสัปดาห์จึงไม่ถึงเกณฑ์เฉลี่ย”


“ตอนนี้จากการอภิปรายการประชุมของเทศบาลท้องถิ่นและการยื่นขอกับการปกครองส่วนท้องถิ่น พวกเราตัดสินใจขึ้นค่าแรงรายสัปดาห์ของทุกคนให้ถึงเกณฑ์มาตรฐานของเซนต์จอห์น เงินค่าแรงจะขึ้นถึง 5-6.5% ทุกคนมีอะไรจะแย้งอีกไหมคะ?”


สหภาพครูออนแทรีโอขอให้ขึ้นค่าแรง 7.2% มาตรฐานนี้ก็มีคำอธิบาย แคนาดาคล้ายกับอเมริกา รัฐต่างๆ มีอำนาจในการปกครองตัวเองในระดับหนึ่ง แต่ว่าอัตราเงินเฟ้อต่างกัน


โดยภาพรวมแล้ว ปีที่ผ่านมาอัตราเงินเฟ้อของแคนาดาควบคุมได้ค่อนข้างดี อยู่ในเกณฑ์ประมาณ 1% มาโดยตลอด บางเดือนก็ลดลงจนถึง 0.8% แต่ว่าแต่ล่ะรัฐก็ต่างกัน รัฐออนแทรีโอเป็นศูนย์รวมเศรษฐกิจ ไม่เคยต่ำกว่า 2% และค่าสูงสุดถึง 3.6%!


สหภาพครูออนแทรีโอเสนออัตราการขึ้นเงินเดือน 7.2% ก็คือสองเท่าของอัตราเงินเฟ้อสูงสุด ตัวเลขก็มาจากแบบนี้


อัตราเงินเฟ้อของนิวฟันด์แลนด์ไม่ได้สูงขนาดนั้น ราคาข้าวของแทบไม่เปลี่ยน วินนี่พูดว่าการที่มาตรฐานการขึ้นเงินเดือนของเกาะแฟร์เวลไม่เหมือนรัฐออนแทรีโอก็มีเหตุผล


อีกอย่างหากดูจากแบบนี้ อัตราเงินเฟ้อของนิวฟันด์แลนด์แทบไม่เปลี่ยนแปลง มาตรฐานการขึ้นเงินเดือนครูกลับใกล้เคียงมาตรฐานที่สหภาพครูออนแทรีโอตั้งไว้ เทศบาลท้องถิ่นก็ถือว่าใจดีมากแล้ว


ที่จริงไม่ใช่แบบนี้ เงินเดือนครูประถมเซนต์จอห์นต่ำกว่ารัฐออนแทรีโอ ค่าแรงรายสัปดาห์ 947 ถือว่าต่ำเกินไปหน่อยจริงๆ ไม่อย่างนั้นที่ครั้งนี้สหภาพครูออนแทรีโอบอกให้หยุดการสอน ทางเซนต์จอห์นก็คงไม่ตื่นตัวกันขนาดนี้


นอกจากนั้นความเปลี่ยนแปลงของอัตราเงินเฟ้อของนิวฟันด์แลนด์ยังไม่มากนัก แต่ที่เมืองแฟร์เวลกลับเปลี่ยนไปมาก โดยเฉพาะซีพีไอหรือดัชนีราคาผู้บริโภคที่ขึ้นสูงจนน่ากลัว เทียบกับสองปีก่อนก็เกิน 50% ไปแล้ว


หรือก็คือพิซซ่าที่เมื่อสองปีก่อนถาดละ 8 ดอลลาร์แคนาดา ตอนนี้ขายได้ถึง 12 ดอลลาร์ สองปีก่อนเวลากินข้าวจ่าย 50 ดอลลาร์ก็พอ ตอนนี้ต้องจ่าย 75 ดอลลาร์


สาเหตุที่ทำให้เป็นแบบนี้ก็เพราะความรุ่งเรืองของการท่องเที่ยว พอนักท่องเที่ยวเยอะราคาของก็ขึ้นอย่างแน่นอน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ของเกาะแฟร์เวลถือว่าเติบโตได้ต่ำมาก แต่แฮมเล็ตก็จัดการเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี เขาสามารถควบคุมได้ประสบความสำเร็จมาก


สำหรับชาวเมืองแล้วเรื่องนี้ส่งผลกระทบไม่มาก เพราะพวกเขาก็ทำธุรกิจกับนักท่องเที่ยว ได้เงินมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ของที่ร้านตัวเองขายแพงขึ้น งั้นบริโภคเยอะหน่อยก็ไม่มีปัญหาอะไร


แต่พวกครูแย่หน่อย รายได้ของพวกเขาเป็นเงินเดือนที่แน่นอน ราคาของขึ้นเงินเดือนไม่ขึ้น จะทนได้อย่างไร? การขึ้นเงินเดือนประมาณ 6% ที่วินนี่เสนอก็ถือว่าต่ำจริงๆ


ตอนนี้รัฐบาลเมืองแฟร์เวลถือว่ามีเงินอยู่ ดูจากสถานการณ์ที่สำนักงานสรรพากรก็รู้แล้ว ตอนที่ฉินสือโอวเพิ่งมาถึงที่ฟาร์มปลา สำนักงานสรรพากรทำงานอาทิตย์ล่ะแค่สามวัน หยุดสี่วัน ตอนนี้กลับไปทำงานอาทิตย์ล่ะห้าวันตามเดิมนานแล้ว


โรงเรียนประถมแกรนท์ถือว่าเป็นโรงเรียนเอกชนที่ไม่แสวงหากำไร เงินเดือนครู ค่าปรับเปลี่ยนอุปกรณ์การเรียนที่จำเป็น คิดเป็นประมาณ 20% ของงบแกรนท์ รัฐบาลนครเซนต์จอห์นรับผิดชอบ 20% กระทรวงศึกษาธิการรับผิดชอบ 10% อีก 50% ที่เหลือรัฐบาลเมืองแฟร์เวลเป็นคนรับผิดชอบ


ถ้าแค่เรื่องขึ้นเงินเดือนให้ครู รัฐบาลเมืองแฟร์เวลจะขึ้นให้พวกเขา 100% เลยก็ไม่มีปัญหา มีเงินเสียอย่าง


แต่พวกเขาทำแบบนั้นไม่ได้ โรงเรียนประถมแกรนท์ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของการปกครองส่วนท้องถิ่นและกระทรวงศึกษาธิการ เทศบาลท้องถิ่นกลับถูกควบคุมโดยการปกครองส่วนท้องถิ่นและรัฐบาลกลาง ถ้าพวกเขาขึ้นเงินเดือนให้โรงเรียนในพื้นที่ที่ดูแลมากเกินไป แล้วโรงเรียนอื่นจะทำอย่างไร?


นี่ก็คือเรื่องที่วินนี่ปวดหัวอยู่ ตำแหน่งของเธอพูดให้ดูดีก็คือนายกเทศมนตรี ถ้าเอาแบบไม่น่าฟังก็คือตัวรักษาสมดุล จุดประสงค์คือการสร้างความสมดุลระหว่างการปกครองส่วนท้องถิ่นกับผู้แทนเมืองและเขตที่ดูแล


ได้ฟังคำของวินนี่ เหล่าคุณครูก็รวมตัวปรึกษากัน ฉินสือโอวยื่นหน้าเข้าไปฟัง เชอริลผลักเขาออกด้วยความโมโห ครูใหญ่แกรนท์ก็จำต้องยอมรับว่า ในหมู่ครูของเรามีคนทรยศ

 

 

 


บทที่ 1263 ลูกกุ้งมาส่งแล้ว

 

สุดท้ายเหล่าครูโรงเรียนประถมแกรนท์ก็ยอมรับข้อเสนอของเทศบาลท้องถิ่น วินนี่กับครูใหญ่แกรนท์จับมือกัน บอกว่าจะกลับไปยื่นเรื่องไปที่การปกครองส่วนท้องถิ่นกับกระทรวงศึกษาธิการ ถ้าผ่านแล้วก็สามารถขึ้นเงินเดือนได้เลย


ครูใหญ่แกรนท์พูดว่าหวังว่าหลังจากที่วินนี่เป็นนายกเทศมนตรีจะควบคุมราคาสินค้าโภคภัณฑ์ของเมืองเสียหน่อย “คุณก็รู้ดีว่าครูอย่างเราๆ ไม่ค่อยมีโอกาสออกไปนอกเมือง การจับจ่ายของพวกเขาก็แทบจะแล้วเสร็จภายในเมืองนี้ ด้วยสถานการณ์ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตอนนี้ ค่าใช้จ่ายของพวกเขาค่อนข้างสูง”


เห็นได้ชัดว่าพวกครูก็ไม่ได้ถูกหลอกได้ง่ายๆ อุบายของวินนี่พวกเขาดูออกแล้ว และไม่ค่อยพอใจกับมาตรฐานการขึ้นเงินเดือนที่เธอเสนอให้สักเท่าไร


วินนี่พยักหน้าบอกว่าเธอจะคิดหาวิธีจัดการปัญหาพวกนี้แล้วพูดตรงๆ ว่า “เศรษฐกิจของเมืองพัฒนาไปอย่างรวดเร็วมากเกินไป คงเลี่ยงที่จะเกิดปัญหายิบย่อยไม่ได้ แต่ก็อย่างที่ฉันสัญญาในตอนได้รับเลือก ฉันจะทำให้ชาวเมืองที่เลือกฉันมีชีวิตที่ดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น โรงเรียนก็เป็นพื้นที่ในการดูแลของฉัน ฉันรับผิดชอบแน่ค่ะ”


จัดการไปได้สองเรื่อง ความกดดันเรื่องงานของวินนี่ก็ลดลงไปมาก ช่วงหลายวันให้หลังก็ไม่ได้ทำงานล่วงเวลาแล้ว ไปทำงานตามเวลา เลิกงานตามเวลา สุดสัปดาห์ก็พักผ่อน ก็ถือว่าดีทีเดียว


เสี่ยวเถียนกวาเริ่มรู้เรื่องขึ้นแล้ว เธอเริ่มติดพ่อแม่ ตอนกลางวันเวลาฉินสือโอวออกทะเลก็จะให้วินนี่ดูแล วินนี่จะพาเธอไปทำงานด้วยในเมือง ขอแค่มีของเล่นและอยู่ในสายตาพ่อแม่ เธอก็เล่นได้ทั้งวัน


หลังจากยุ่งมาหลายวัน ในที่สุดลูกปลาก็รวบรวมสำเร็จ ต่อจากนี้ก็จะแยกประเภท


แรกเริ่มลูกปลาพวกนี้จะถูกเอากลับมาแบบปนกัน แต่พอผ่านไปช่วงหนึ่ง พวกลูกปลาก็จะแยกกลุ่มกัน พวกมันจะหาพวกเดียวกันแล้วรวมกลุ่ม ขอแค่หาฝูงปลาให้เจอแล้วเอาออกไปก็พอ เทียบกันแล้วง่ายกว่าการเอาลูกปลามาจากฟาร์มปลาเสียอีก


เจ้าของฟาร์มปลาที่ฉินสือโอวทำความรู้จักมาจากงานประมูลของกรมประมงทยอยโทรมาหาเขา ให้เขาเตรียมบริเวณเพาะเลี้ยงไว้ ลูกปลากับลูกกุ้งของพวกเขาพร้อมส่งมาให้ได้แล้ว


หลังจากวางแผนดู เขาตัดสินใจที่จะเลี้ยงกุ้งกุลาดำก่อน


นิโค ตู้ เจ้าของฟาร์มเลี้ยงกุ้งกุลาดำอาศัยอยู่ที่เมืองโบราณลือเนนบูร์กทางตะวันออกของรัฐโนวาสโกเชีย ซึ่งอยู่ใกล้กับมาโฮนเบย์มาก ฟาร์มเพาะเลี้ยงของเขาก็อยู่ในมาโฮนเบย์ กุ้งกุลาดำก็เลี้ยงที่นั่น


ตอนนั้นนิโค ตู้ก็เคยบอกกับฉินสือโอวว่าเพราะมาโฮนเบย์อยู่ใกล้กับทางใต้ อุณหภูมิสูงสักหน่อย กุ้งกุลาดำค่อยๆ ปรับตัวจนชิน แต่ถ้าอยู่ที่เซนต์จอห์น เขาเองก็ไม่กล้ารับรองว่าจะรอดกี่ตัว


ฉินสือโอวเคยบอกว่าไม่มีปัญหา ขอแค่ตอนที่ส่งกุ้งมามันยังมีชีวิตอยู่ก็พอ เรื่องหลังจากนั้นเขาจะจัดการเอง


นิโค ตู้เป็นเจ้าของฟาร์มที่ค่อนข้างรับผิดชอบ แม้ว่าฉินสือโอวจะพูดแบบนั้นแล้ว แต่เขาก็ยังพยายามคิดหาวิธีเพิ่มอัตราที่กุ้งจะอยู่รอด


หลายวันมานี้เขาเร่งให้ฉินสือโอวมารับไปตลอด เพราะช่วงเดือนกรกฎาคมเป็นเดือนที่อุณหภูมิสูงที่สุดในสี่ฤดูของนิวฟันด์แลนด์ อุณหภูมิน้ำในตอนนั้นเหมาะกับกุ้งกุลาดำมาก


ฉินสือโอวกับแซนเดอร์สเอาบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำวิศวกรรมออกมา ปูดันเจเนสส์ลงทะเลไปหมดแล้ว เรื่องจริงได้พิสูจน์แล้วว่าพวกมันทนต่อสภาพแวดล้อมในแอตแลนติกเหนือมาก ตอนที่ล้อมตาข่ายทดลองเลี้ยงก็พบว่าพวกมันอยู่ได้โดยไม่มีปัญหา แซนเดอร์สเอาพวกมันปล่อยลงทะเลไปแล้ว


นิโค ตู้จ้างเรือขนส่งมาลำหนึ่งเพื่อขนลูกกุ้งกุลาดำหนึ่งแสนตัวมาที่นี่ เรือขนส่งขับช้ามาก พวกเขาออกจากมาโฮนเบย์เมื่อตอนเช้า จวบจนตกเย็นเพิ่งจะมาถึงเขตฟาร์มปลา


นิโค ตู้ยืนอยู่ที่หัวเรือพลางมองสำรวจบรรยากาศของฟาร์มปลา เขามองดูทรายสีขาวหิมะละเอียดบนหาดฟาร์มปลาแล้วส่ายหน้าไม่หยุด น้อยมากที่แคนาดาจะมีชายหาดสวยงามขนาดนี้ อย่างมาโฮนเบย์ที่เขาอยู่ ชายหาดก็คดเคี้ยวมาก


ฉินสือโอวรอรับเขาที่ท่าเรือ พอนิโค ตู้ลงเรือก็อุทานออกมาในขณะที่มองดูท่าเรือที่ทอดยาว “พระเจ้า ช่างดูยิ่งใหญ่จริงๆ เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นท่าเรือแบบนี้ที่ฟาร์มปลาส่วนตัว คุณคงทุ่มเงินไปเยอะเลยใช่ไหมครับ?”


ฉินสือโอวพูดยิ้มๆ “โอ้ ก็ไม่เท่าไร ประเด็นคือผมจำเป็นต้องใช้ ดูสิ ตอนนี้ที่คุณมาส่งลูกกุ้งก็เข้าจอดเทียบท่าได้เลย สะดวกจะตาย”


นิโค ตู้ทำปากพะงาบๆ เขาก็รู้ดีว่าสะดวก แต่ประเด็นคือค่าใช้จ่ายมหาศาล สร้างท่าเรือที่ฟาร์มปลาตัวเอง? เอาเถอะ เขาแค่คิดเล่นๆ ก็พอ


ลูกกุ้งอยู่ในกล่องเพาะเลี้ยงกับเพื่อนๆ นิโค ตู้อธิบายว่าในหนึ่งกล่องมีลูกกุ้งห้าร้อยตัว บนเรือมีทั้งหมดสองร้อยกล่อง ให้เขาไปตรวจดู


ฉินสือโอวพยักหน้า ชาวประมงที่รออยู่นานแล้วก็ขึ้นไปสุ่มตรวจดูลูกกุ้ง ไม่ใช่แค่ตรวจจำนวนเท่านั้น ยังต้องตรวจดูความกระฉับกระเฉงและอาการเจ็บป่วยด้วย โดยเฉพาะเรื่องอาการป่วยที่ต้องตรวจเข้มงวดหน่อย ถ้าเกิดว่าเอาแบคทีเรียอันตรายเข้ามาในฟาร์มก็วุ่นวายกันพอดี


เรื่องนี้แซนเดอร์สกับทิญารับผิดชอบอยู่ พวกเขาเตรียมบีกเกอร์ มาหลอดทดลองและตัวทำปฏิกิริยาเป็นกอง คอยเขย่าและตรวจดูผลไม่หยุด ทิญายังเอาสไลด์มาส่องใต้กล้องจุลทรรศน์ด้วย จริงจังมาก


นิโค ตู้พูดขำๆ “นี่เพื่อน ผมต้องยอมรับเลยว่า ที่นี่เป็นความผสมผสานระหว่างฝ่ายวิชาการกับฝ่ายลงสนาม ที่มีแบบแผนจริงๆ เทียบกับคุณแล้วฟาร์มปลาคาร์เตอร์กลายเป็นมือสมัครเล่นไปเลย”


นึกถึงเจ้าของฟาร์มปลาใหญ่แห่งที่สองที่เก๊กไม่สำเร็จจนเสียหน้าแทน ฉินสือโอวก็ถามอย่างสนใจ “ลูกกุ้งที่คาร์เตอร์ซื้อ คุณเอาไปส่งให้เขาหรือยังครับ?”


นิโค ตู้ยักไหล่แบบจนใจ “ใช่ ไปส่งให้แล้ว ให้ตายเถอะ ต่อไปผมคงไม่ทำธุรกิจกับเขาแล้ว เจ้านั่นน่ะขี้เหนียวมาก ผมทนไม่ไหวหรอก”


จากนั้นนิโคก็บ่น เพราะฟาร์มของเขากับคาร์เตอร์ห่างกันไม่มาก พอกลับไปเขาก็จ้างเรือขนส่งเพื่อไปส่งลูกกุ้งให้เขา


ตามหลักการแล้ว ค่าขนส่งทั้งสองฝ่ายต้องร่วมกันรับผิดชอบ แต่คาร์เตอร์กลับไม่ยอม เขาให้นิโครับผิดชอบค่าขนส่งแถมยังให้เขารับผิดชอบภาษีสำหรับธุรกรรมนี้ด้วย


ตอนนั้นนิโคโมโหมาก ค่าขนส่งเดิมทีก็ควรจะเป็นทั้งสองฝ่ายร่วมกันรับผิดชอบ เรื่องอะไรให้เขารับไปคนเดียว? นอกจากนั้นยังมีภาษีอีก นี่ยิ่งเป็นเรื่องที่ฝ่ายคนซื้อต้องจัดการ เขาก็ต้องจ่ายภาษี ทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องจ่ายภาษี เรื่องอะไรให้เขารับผิดชอบคนเดียว?


คาร์เตอร์ปัดความรับผิดชอบ เขาใช้ประโยชน์จากสัญญาการประมูล บอกว่าถ้าไม่ยินยอมรับผิดชอบก็จะยกเลิกการซื้อขาย


“ผมจะยกเลิกสัญญากับเขาได้อย่างไร? ฮ่ะ ต่อให้ผมลดครึ่งราคาผมก็จะขายให้เขา ลูกกุ้งขายได้ในราคากุ้งเต็มวัย ทั้งชีวิตนี้ผมคงเจอได้เพียงครั้งเดียว” นิโคพูดไปก็หัวเราะร่าออกมา


ฉินสือโอวยิ้มบางๆ แล้วพูดขึ้น “เจ้านี่ก็ขี้เหนียวเกินจริงๆ”


นิโคบ่นต่อไปอีก “แค่ขี้เหนียวที่ไหน ยังเจ้าเล่ห์อีกต่างหาก พอลูกกุ้งของผมส่งไปถึง เขาไม่ได้สุ่มตรวจ แต่ตรวจทีละกล่อง กุ้งตายสักตัวก็ไม่เอา”


ลูกกุ้งอยู่ในกล่องเพาะเลี้ยงจะตายง่าย คาร์เตอร์ตรวจดูทีละตัวๆ แบบนี้เปลืองเวลามาก ยิ่งผ่านไปนานลูกกุ้งก็จะตายเยอะขึ้น แล้วเขาไม่รับกุ้งตายแล้วก็ไม่ทำการซื้อขายกันครั้งหน้าด้วย ที่ส่งมาห้าหมื่นตัวมีรอดกี่ตัวเขาก็เอาไป


ฉินสือโอวพูด “เจ้านี่ได้เปรียบเห็นๆ ถ้าเป็นอย่างที่คุณบอกเขาก็เจ้าเล่ห์จริงๆ”


นิโคจนใจ แต่ไม่นานเขาก็อารมณ์ดีขึ้นมาอีก “ลูกกุ้งที่ตายไปก็ไม่เยอะ ผมก็ได้เงินจากเขาไปเยอะ ก็ถือว่าดีมากแล้วไม่ใช่เหรอครับ?”


ทั้งสองคุยกันไป พวกชาวประมงก็ตรวจเสร็จแล้วจึงมารายงานผล

 

 

 


บทที่ 1264 ไฟลูกแรก

 

ฉินสือโอวถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง ชาร์คถูมือแล้วตอบว่า “ไม่มีปัญหา มีแต่กุ้งดีๆ ทั้งนั้น แต่ก็มีเปอร์เซ็นต์การตาย ดูผลจากการสุ่มตรวจก็สูงประมาณ 5% ครับ”


ที่จริงที่เขาถามเรื่องผลตรวจก็แค่ถามตามพิธีเท่านั้น เมื่อครู่เขาดูผ่านจิตสำนึกโพไซดอนแล้ว ลูกกุ้งกุลาดำทั้งขนาดตัวและความกระฉับกระเฉงต่างก็ไม่มีปัญหา เรื่องกุ้งตายเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงยาก ลูกกุ้งห้าร้อยตัวเบียดกันอยู่ในกล่องเดียว จะไม่มีตายเลยได้อย่างไร?


ทางนิโค ตู้มีการเตรียมการไว้นานแล้ว หลังจากที่โดนคาร์เตอร์เอาเปรียบก็ฉลาดขึ้นเป็นกอง เขาเตรียมลูกกุ้งกุลาดำสองหมื่นตัวเอาไว้ล่วงหน้า แบบนี้ต่อให้อัตราความเสียหายสูงถึง 20% เขาก็ไม่กลัว


ฉินสือโอวได้ยินที่เขาพูดก็หัวเราะร่าแล้วพูดว่า “ผมไม่ใช่คาร์เตอร์นะเพื่อน ไม่เป็นไร ในเมื่อคุณเอาลูกกุ้งมาสิบสองหน่วย งั้นผมก็จะซื้อสิบสองหน่วย อัตราการตายผมรับเอง”


นิโค ตู้เริ่มเกรงใจขึ้นมา เขาพูดขึ้นว่า “จะได้อย่างไรเล่า? คิด 11 หน่วยก็แล้วกัน กุ้งที่ตายควรเป็นผมที่รับผิดชอบถึงจะถูก”


ลูกกุ้งหน่วยหนึ่งไม่ถึงสองหมื่นดอลลาร์ เงินเท่านี้สำหรับฉินสือโอวมันนิดเดียวเท่านั้น เขาตบไหล่ของนิโค ตู้ จากนั้นก็ให้พวกชาวประมงเอาลูกกุ้งไปลงบริเวณเพาะเลี้ยง


แซนเดอร์สตรวจดูแล้วว่าไม่มีแบคทีเรียชนิดติดต่อ สามารถปล่อยลงบ่อเพาะเลี้ยงได้เลย


พวกชาวประมงทำงาน ฉินสือโอวพานิโค ตู้เข้าห้องไปดื่มชา นิโคส่ายหน้าและบอกว่าคุณพาผมไปเดินดูฟาร์มปลาดีกว่า


ฟาร์มปลาต้าฉินมีเนื้อที่เยอะมาก เดินไปคงไม่ไหวแน่ ฉินสือโอวขับรถเอทีวีออกมา นิโคอุทานว่า “ให้ตายสิ คุณนี่ถึงจะเรียกว่าเจ้าของฟาร์ม ผมน่ะเรียกได้แค่คนเลี้ยงปลา!”


ฉินสือโอวพูดยิ้มๆ “แค่นี้ไม่เท่าไรหรอก? เนื้อที่ของมาโฮนเบย์ไม่เล็ก ต่อไปคุณก็ขยายได้ ยึดมาโฮนเบย์ไปเลย เนื้อที่บริเวณเพาะเลี้ยงก็ขยายแล้วไม่ใช่เหรอ?”


นิโคฝันหวานไปพักหนึ่ง จากนั้นก็ขึ้นรถไปวนรอบฟาร์ม


ทรัพยากรของฟาร์มปลาต้าฉินอยู่ในน้ำ ดูจากบนบกก็ไม่มีอะไรมาก แต่ว่าต่อให้เป็นสิ่งที่เห็นได้จากบนบกก็เพียงพอให้นิโคตะลึงได้แล้ว


ท่าเรือใหญ่โตสองท่า บริเวณแปลงผักตามชายหาดกว้างใหญ่ มีสนามบิน มีสวนปลูกองุ่น มีสวนผัก มีฟาร์มสัตว์ของตัวเอง แล้วยังมีพวกห้องดื่มกาแฟ ห้องดื่มเบียร์อีก


พอชมเสร็จเขาก็อุทานออกมา “เหมือนเมืองเล็กๆ ริมทะเลเลย ฉิน คุณรวยมากเลย”


หลังจากนั้นวินนี่ก็กลับมาพร้อมลูก ฉินสือโอวจึงแนะนำให้รู้จัก นิโค ตู้พูดพึมพำเบาๆ “เพื่อน คุณยังมีภรรยาสวยและเก่งทั้งคนแถมลูกที่น่ารักอีก เอาจริงๆ นะ ผมชักจะเริ่มอิจฉาคุณขึ้นมาแล้ว”


ตกกลางคืนฉินสือโอวต้อนรับนิโคด้วยอาหารทะเลจากฟาร์ม ในตู้แช่มีของทะเลที่เมื่อวานกับวันนี้เพิ่งจับมาได้ เขาเลือกปลาลิ้นหมาตัวหนึ่งกับปลาแฮดดัคมาปิ้งบาร์บีคิว แล้วก็เอากุ้งมังกรกับปูมานึ่ง


ฉินสือโอวไม่ค่อยเอาปลาแฮดดัคมารับแขก ปลาชนิดนี้แพงไม่พอ แต่นิโคเลือกปลาชนิดนี้ เขาก็เลยย่างมาให้ชิม


“น่าเสียดาย ผมไม่มีหอยเลย ไม่อย่างนั้นคงจะสมบูรณ์แบบกว่านี้อีก ไม่ใช่หรือไง?” ฉินสือโอวรินเบียร์ให้นิโคพลางพูดยิ้มๆ ไปด้วย


นิโคหั่นปลาแฮดดัคย่างมากินชิ้นหนึ่ง พอกินเข้าไปก็ยักคิ้วทันทีแล้วออกปากชม “เป็นเนื้อปลาที่สุดยอดมาก! ผมดีใจกับการตัดสินใจของผมจริงๆ ผมต้องเอาปลาแฮดดัคจากที่นี่ไปสักแสนตัวแล้ว อร่อยจริงๆ เลย!”


ในหมู่ปลาค็อด ปลาแฮดดัคไม่แพงเท่าปลาค็อดแอตแลนติก แต่สำหรับฟาร์มปลาทั่วไป เลี้ยงปลาแฮดดัคจะเหมาะกว่าการเลี้ยงปลาค็อดแอตแลนติก


เพราะว่าปลาแฮดดัคไม่ใช่ปลาหน้าดินที่ชำนาญการว่ายน้ำทางไกล การอพยพถิ่นฐานในหนึ่งปีไม่ค่อยมีให้เห็น อย่างมากก็เป็นว่ายไปในระยะทางสั้นหรือกลางเพื่อหาอาหารเท่านั้น


ความสามารถทางร่างกายของปลาค็อดแอตแลนติกแกร่งกว่า นอกจากว่าจะมีเนื้อที่กว้างขวางอย่างฟาร์มปลาต้าฉิน และอาหารอุดมสมบูรณ์ที่น่าดึงดูดมากพอ ไม่อย่างนั้นพวกมันจะอพยพตามฤดูไปตามอุณหภูมิน้ำ แหล่งอาหารกับแหล่งผสมพันธุ์ ตอนอพยพก็จะไปเป็นกลุ่มตามกระแสน้ำอุ่น


นอกจากนั้น ปลาค็อดแอตแลนติกค่อนข้างชอบสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิต่ำเพราะในเลือดมีโปรตีนเพื่อป้องกันการแข็งตัว พวกมันมักจะอาศัยในอุณหภูมิ 2-11 องศาเซลเซียส แต่ก็มีที่อยู่ในน่านน้ำอุณหภูมิต่ำกว่าศูนย์


มาโฮนเบย์ที่นิโคอยู่อุณหภูมิน้ำค่อนข้างสูง เพราะกุ้งกุลาดำที่เขาเพาะเลี้ยงชอบสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิอุ่นๆ ฉะนั้นเขาจะเลี้ยงปลาค็อดแอตแลนติกได้ลำบาก แต่ปลาแฮดดัคกลับเป็นตัวเลือกที่ดี


ฉินสือโอวบอกว่าไม่มีปัญหา เตรียมเอาไว้ให้แล้ว คืนนี้กินอิ่มพรุ่งนี้ค่อยเอากลับไป


นิโคดื่มเบียร์ไปอึกหนึ่งแล้วก็ส่ายหน้าพลางพูดว่า “เพื่อน อาหารของคุณมันชั้นเลิศ แต่รสชาติเบียร์ธรรมดา ถ้าผมมีฟาร์มปลาใหญ่แบบนี้เหมือนของคุณ ผมจะต้องทำโรงกลั่นเบียร์เล็กๆ กลั่นเบียร์ดีๆ มาดื่มแน่”


ก่อนหน้านี้พวกชาวประมงก็เคยพูดแบบนี้ แต่ฉินสือโอวไม่มีความรู้ด้านโรงกลั่นเบียร์ บวกกับฟาร์มปลามีเรื่องยุ่งตลอด หัวข้อนี้เลยพักไปก่อน


ครั้งนี้นิโคก็พูด เขาเลยสนใจขึ้นมา คิดว่าต่อไปสร้างสวนดอกไม้เสร็จแล้วทำโรงกลั่นเบียร์เล็กๆ ก็คงไม่เลว


เหนือหัวขึ้นไปคือหลอดทังสเตนไอโอดีนที่ส่องสว่าง ริมทะเลยุงและแมลงวันน้อยมาก เพราะไม่มีน้ำขังนิ่ง มีแต่น้ำไหล บางทีเวลามีแมลงโผล่มาก็จะแค่บินฉายเงาทอดไป แต่ไม่กวนใจคน


หาดทรายในยามค่ำคืนเปียกชื้น และเย็น ลมทะเลโชยอ่อนโยน คลื่นทะเลเข้าซัดหาดทรายเป็นระลอก แม้นิโค ตู้จะมีฟาร์มปลาเป็นของตัวเอง แต่ก็ยังคงรู้สึกสบายมากๆ


ฉินสือโอวเติมกับข้าวตลอด นิโคกับพวกชาวประมงที่เขาพามาทำงานกินกันอิ่มแปล้จนเรอออกมา สุดท้ายตอนแยกกันก็ดึงมือเขาไว้ กล่าวว่า “ฉิน เอิ้ก คุณกับคาร์เตอร์ไม่เหมือนกัน พระเจ้า เขาเทียบกับคุณแล้วก็เป็นตัวตลกไปเลย วันนี้มาดื่มที่บ้านคุณสนุกมาก หวังว่าต่อไปจะมีโอกาสมาเป็นแขกบ้านคุณอีก”


“ต้องมีโอกาสแน่” ฉินสือโอวพูดยิ้มๆ แม้ว่าเขาจะไม่ชอบการเชื่อมสัมพันธ์ทางธุรกิจ แต่ชอบรู้จักเพื่อนใหม่มากๆ คนที่ถูกคอกันขอแค่มาที่ฟาร์มเขาก็ต้อนรับอย่างอบอุ่นตลอด


วันที่สองพวกชาวประมงก็นำลูกปลาแฮดดัคหมื่นตัวขึ้นบนเรือขนส่ง แล้วยังให้สาหร่ายและพืชน้ำที่งมขึ้นมาจากฟาร์มเอามาตากแห้ง หลังจากนั้นนิโคก็พาทีมแล่นเรือกลับไป


ฉินสือโอวเป็นคนเปิดเผยจริงใจ เขาขายปลาออกไปไม่ใช่ว่าจะไม่สนใจแล้ว แต่จะมีบริการหลังการขาย สาหร่ายและพืชน้ำอบแห้งพวกนี้ก็คืองานหลังการขาย


ที่ฟาร์มปลาของนิโค ตู้มีเครื่องแปรรูปอาหารปลา ขอแค่กลับไปแล้วเอาสาหร่ายกับพืชน้ำไปแปรรูปแล้วให้ปลาแฮดดัคกินก็ไม่มีปัญหา


ตอนเย็นวินนี่กลับมาฉินสือโอวเห็นเธอทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอีกแล้วจึงเข้าไปกอดแล้วถามเธอ “เป็นอะไรไป เจอเรื่องวุ่นวายใจอีกแล้วเหรอ?”


วินนี่ส่ายหน้าแล้วก็พยักหน้าอีกก่อนจะพูด “ก็ไม่ใช่เรื่องกวนใจหรอกค่ะ เพิ่งขึ้นรับตำแหน่งใหม่ไฟแรงไม่ใช่เหรอ? ฉันต้องคิดดูว่าจะทำอะไรดี ฉันอยากจะจัดการเรื่องเศรษฐกิจ แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร”


เศรษฐกิจเมืองแฟร์เวลเมื่อก่อนนี้พึ่งพาแต่การประมง ต่อมาฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์แทบล้มละลายหมด เศรษฐกิจเมืองก็ล้มไปด้วย ตอนนี้หลักๆ ก็พึ่งอยู่สองอย่าง ภาษีของฟาร์มปลาต้าฉินกับการท่องเที่ยว


ฉินสือโอวตบอกแล้วพูดด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม “เรื่องนี้ผมจัดการเอง ผมจะช่วยจัดการให้เรียบร้อยเลย!”

 

 

 


บทที่ 1265 จุดชมวาฬ

 

ตอนที่วินนี่บอกว่าเธอจะเข้าร่วมการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีแทนฉินสือโอว ฉินสือโอวก็เริ่มพิจารณาถึงปัญหาบางอย่างอย่างเช่น หลังจากที่วินนี่เป็นนายกเทศมนตรี เมืองควรจะพัฒนาอย่างไร


สองปีก่อนเศรษฐกิจเมืองเล็กแห่งนี้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว นอกจากฟาร์มปลาต้าฉิน ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศเฉลี่ยต่อคนเทียบกับเมื่อสองปีก่อนเกิน 500% ถ้าเพิ่มฟาร์มปลาต้าฉินเข้าไปก็เทียบยากแล้ว ฟาร์มปลาต้าฉินนำพาประโยชน์มากมายมาให้จนน่ากลัว


ตั้งแต่ช่วงขึ้นปีใหม่ ตอนที่วินนี่บอกว่าอยากเข้าร่วมเลือกตั้ง ฉินสือโอวก็ไม่ได้ขยายทรัพยากรฟาร์มปลาอีก เพียงแค่ขายอาหารทะเลที่มีอยู่ภายใต้แบรนด์อาหารทะเลต้าฉิน


หลังจากที่วินนี่ได้รับเลือก เขาก็ทำการขยายฟาร์มปลาครั้งที่สอง ครั้งนี้ที่ขยายไม่ใช่เนื้อที่ฟาร์ม แต่เป็นชนิดและคุณภาพของอาหารทะเล ฉะนั้นในงานประมูลการประมง เขาจึงชูป้ายบ่อยเพื่อประมูลปลาชนิดใหม่ๆ มากมาย


ยิ่งชนิดของอาหารทะเลมีมาก ผลิตได้มากเท่าไร ฟาร์มปลาก็ยิ่งจ่ายภาษีเยอะ ผลิตภัณฑ์มวลรวมเมืองก็จะสูงขึ้นโดยปริยาย


รอจนลูกปลาที่เขาซื้อมาโตจนสามารถเอาออกขายได้ ในตอนนั้นก็จะเห็นความแตกต่างของผลิตภัณฑ์มวลรวมเมืองระหว่างก่อนและหลังที่วินนี่รับตำแหน่ง


นี่เป็นแผนระยะยาวของฉินสือโอว แต่ก็แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไม่ได้ อย่างที่วินนี่บอก ขึ้นตำแหน่งใหม่ไฟกำลังแรง แต่ตอนนี้เธอกำลังขาดจุดเริ่มต้น


ฉินสือโอวก็คิดไว้แล้ว


ความคิดนี้เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุทางทะเลเมื่อต้นปี เมื่อเดือนมกราคมปีนี้ โตฟิโนจุดชมวาฬในเกาะเมืองแวนคูเวอร์เกิดอุบัติเหตุทางทะเลร้ายแรง เรือชมวาฬที่บรรทุกผู้โดยสารมา 27 คนอับปางลง ทำให้มีชาวอังกฤษห้าคนเสียชีวิต และมีผู้บาดเจ็บ 22 คน


ในตอนนั้นออกข่าวกันดังไปทั่ว แต่เพราะวินนี่ใกล้คลอด ฉินสือโอวเลยไม่ได้สนใจเท่าไร แต่ตอนที่เขาดูข่าวก็สังเกตเห็นข้อมูลหนึ่ง


การท่องเที่ยวกำลังเฟื่องฟูในจังหวัดชายฝั่งทะเลทางฝั่งตะวันตกของแคนาดา สี่ปีที่ผ่านมารัฐบริติชโคลัมเบียจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวเข้ามาเกินหมื่นล้านดอลลาร์แคนาดาทุกปี แต่ปีที่แล้วยิ่งกว่านี้อีก รายได้จากการท่องเที่ยวและอย่างอื่นที่เกี่ยวข้องสูงถึง 15 พันล้านดอลลาร์!


ในหมู่การท่องเที่ยวของรัฐบริติชโคลัมเบีย การชมวาฬเป็นหนึ่งในรายการท่องเที่ยวหลัก ทุกปีจะดึงดูดคนรักวาฬมาร่วมกลุ่มชมวาฬได้ไม่น้อย


โตฟิโนที่เกิดอุบัติเหตุดังในด้านชมวาฬ เคยได้รับเลือกโดยนิตยสารTravel+Leisureให้เป็นสถานที่ชมปลาวาฬที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกาเหนือในปี 2010


ฉินสือโอวจึงเกิดแรงบันดาลใจ การท่องเที่ยวของเมืองเริ่มไปถึงทางตัน ทำไมไม่ทำจุดชมวาฬสักที่ล่ะ?


ที่ไม่ได้ทำโครงการนี้เสียทีก็เพราะมีเพียงฉินสือโอวที่รู้ว่าฟาร์มปลาของตัวเองมีวาฬกี่ตัว ฉลามกี่ตัว โลมากี่ตัว


ในหมู่เจ้าพวกนี้ มีแค่วาฬที่โผล่เหนือน้ำบ่อยๆ แต่ส่วนมากพวกมันจะโผล่ขึ้นมาตอนกลางคืน คนในเมืองรู้ว่ามีพวกมัน แต่ไม่รู้ว่ามีอยู่เท่าไร


ฉินสือโอวรู้ เพราะนโยบายการคุ้มครองของเขา เขตน่านน้ำลึกของฟาร์มมีวาฬหลายชนิด จำนวนก็เยอะ อย่างวาฬเบลูกา วาฬหลังค่อม วาฬสีน้ำเงิน วาฬสีเทา วาฬฟิน เป็นต้น มีหมดทุกอย่าง ปีนี้ยังดึงดูดวาฬจมูกขวดและวาฬไรท์ที่มีจำนวนน้อยมาได้ด้วย


เขตทะเลฟาร์มปลาต้าฉินสามารถเปิดกิจการท่องเที่ยวชมวาฬได้เลย


แน่นอนว่าเวลาปกติวาฬพวกนี้จะอยู่ในทะเล ถ้าไม่ถึงเวลาหายใจก็จะไม่โผล่ขึ้นมา พูดถึงก็เศร้า นี่ไม่ใช่ธรรมชาติของวาฬ ที่จริงวาฬเป็นสัตว์ที่ชอบอาบแดดมาก


แต่เพราะการไล่ฆ่าของคน วาฬที่ไม่โง่ก็เรียนรู้ที่จะโผล่เหนือน้ำให้น้อยที่สุด ต่อให้จะโผล่ขึ้นน้ำก็ต้องเป็นกลางคืนไม่ใช่กลางวัน ตอนนี้วาฬก็เริ่มเปลี่ยนพฤติกรรม ต่อไปจำนวนครั้งที่คนจะได้เห็นวาฬโผล่เหนือน้ำก็จะน้อยลงเรื่อยๆ


ฉินสือโอวสามารถเปลี่ยนจุดนี้ได้ หัวใจโพไซดอนมีพลังอีกอย่าง นั่นก็คือออกคำสั่งกับสัตว์ทะเล ด้วยปัญญาของวาฬ ฉลาม และโลมา สามารถเข้าใจคำสั่งของเขาได้ง่ายๆ


สำหรับปัญหาความปลอดภัยของพวกวาฬกับฉลาม เขาจะจัดการเอง เขารู้ว่าการให้พวกวาฬและฉลามปรากฏตัวแบบโจ่งแจ้งจะดึงดูดสายตาพวกเรือจับวาฬ พวกเขาไม่กล้าลงมือในฟาร์มของฉินสือโอว แต่จะจับวาฬในเขตทะเลสาธารณะ


วาฬส่วนมากจะว่ายเป็นวงกว้างในมหาสมุทร พวกมันจะไม่หยุดอยู่ที่ใดที่หนึ่งเป็นเวลานาน ในหนึ่งปีจะวนจากเส้นศูนย์สูตรไปอาร์กติกรอบหนึ่ง แบบนี้ก็เลี่ยงการเข้าสู่ทะเลสาธารณะยาก เป็นการเปิดโอกาสให้เรือจับวาฬ


ฉินสือโอวไม่กลัว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขาสามารถควบคุมเส้นทางเดินทางของวาฬ ต่อให้โดนจับขึ้นไปแล้วก็ยังมีคราเคนอยู่ไม่ใช่เหรอ?


เขาแกล้งทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจู่ๆ ก็ปรบมือแล้วพูดว่า “คุณทำโครงการท่องเที่ยวได้นี่ ชมวาฬกลางทะเลเป็นไง?”


วินนี่พูดอย่างจนใจ “ก่อนอื่นจะต้องมีวาฬ…”


“มีสิ” ฉินสือโอวพูดต่อ “ตั้งแต่ปีที่แล้ว ฟาร์มเราก็มีวาฬ ฉลามมาเยอะแยะ คุณไม่รู้เหรอ? ปีนี้เยอะกว่าเดิมอีก ทุกครั้งที่ออกทะเลผมก็เห็นพวกมันจากเครื่องหาปลา”


วินนี่พูดด้วยความประหลาดใจ “จริงเหรอคะ? ฟาร์มปลามีวาฬกับฉลามเยอะเลย?”


ฉินสือโอวพยักหน้าว่า “แน่นอน คุณไปถามพวกชาวประมงดูก็ได้ พวกเขารู้หมด อีกอย่างเจ้าพวกนี้หลอกขึ้นมาง่ายจะตาย แค่เอาปลาซาร์ดีนไปด้วย ใช้เครื่องหาปลาหาแล้วปล่อยปลาซาร์ดีน พวกมันก็จะขึ้นมากินอาหาร”


วินนี่ดีใจ เข้าไปโอบกอดฉินสือโอวแล้วจูบเขาทีหนึ่ง ฉินสือโอวก็ดีใจ ตอนที่กำลังกอดเธออย่างหวานแหวว เถียนกวาที่กำลังเล่นกับเฟอเรทแบลคฟุตและแมวป่าก็ร้องเรียก ‘มะม๊า มะม๊า’ ขึ้นมา


วินนี่รีบเข้าไปอุ้มเธอขึ้นมาทันที เด็กน้อยยื่นปากออกมาจูบ จากนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างอิ่มใจ


ฉินสือโอวก็ยื่นหน้าเข้าไปให้ลูกสาวจุ๊บ เสี่ยวเถียนกวายื่นมืออวบออกมาคว้าแก้มเข้าไว้แล้วหัวเราะคิกคักในขณะที่บีบดึงไปด้วย…


“ฟัค ฟัคยู” ฉินสือโอวเจ็บมาก เจ้าตัวน้อยนี่ตัวเล็กก็จริง แต่แรงเยอะมาก ปรากฏว่าพอเขาพูดออกไปก็ตระหนักได้ว่าซวยแล้ว วินนี่เบิกตาโพลงในทันที เขาเลยรีบเติมไปอีกคำหนึ่ง “มะม๊า!”


วินนี่โกรธมาก เธอพูดด้วยความไม่พอใจ “อย่าพูดคำหยาบ! อย่า! พูด! คำ! หยาบ!”


ฉินสือโอวพูดด้วยท่าทีน่าสงสาร “เปล่า ผมไม่ได้พูดคำหยาบ ผมแค่พูดถึงความจริงที่กำลังจะเกิดขึ้นเท่านั้นเอง”


วินนี่ “…”


ตกกลางคืนหลังกิจกรรมบนเตียงสิ้นสุดลง ฉินสือโอวก็ปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกไปสี่สาย เริ่มค้นหาวาฬและโลมา


หนึ่งในนั้นถูกส่งไปอ่าวโตเกียว ที่นั่นมีที่หนึ่งที่เรียกว่าอ่าวไทจิ มีชื่อเสียงมาก ทุกปีในเดือนกันยายนที่นี่ก็จะเริ่มเทศกาลล่าโลมาอันเสื่อมเสีย


ตั้งแต่ต้นปีที่แล้วฉินสือโอวก็จะไปวนบ้างตอนมีเวลา แล้วพาวาฬกับโลมาที่เข้าไปในอ่าวโตเกียวออกมา ปีนี้ก็ไม่ต่างกัน


ตอนนี้ห่างกับวันเริ่มเทศกาลล่าโลมาเพียงเดือนกว่าเท่านั้น ในอ่าวกักโลมาไว้มากมาย มีเป็นหลักร้อยตัว ในนั้นมีโลมาปากขวดที่ฉลาดเฉลียวด้วย


จิตสำนึกแห่งโพไซดอนแล่นผ่านไปในอ่าวอย่างรวดเร็ว ฉินสือโอวเจอโลมาก็พาไปทันที แต่พอหาไปได้ครึ่งหนึ่ง บางสิ่งที่เจอก็ทำให้เขาโกรธขึ้นมา

 

 

 


บทที่ 1266 อาวุธล้างแค้น

 

ที่ชายหาดน้ำตื้นของอ่าวไทจิ โลมาราวสี่สิบกว่าตัวกำลังว่ายน้ำอย่างเงอะงะ


ใช่ ว่ายแบบเงอะๆ งะๆ


ตามที่ฉินสือโอวรู้มา ท่ามกลางสัตว์ทะเลมากมายหลากชนิด ที่ว่ายน้ำนานที่สุดก็คือปลาทูน่าครีบน้ำเงิน พวกมันว่ายน้ำทั้งชีวิต ว่ายได้รวดเร็ว และอึดมาก ปลาที่ว่ายน้ำไวที่สุดคือปลากระโทงสีน้ำเงิน เจ้าพวกนี้ถ้าเกิดว่ายไวขึ้นมาก็กลายเป็นฟอร์มูลาวันแห่งท้องทะเลได้เลย


แต่ถ้าจะบอกว่าใครคือราชาแห่งการว่ายน้ำในท้องทะเล งั้นก็ต้องโลมา


โลมาไม่ได้ว่ายน้ำไวที่สุด ความอึดก็ไม่ที่สุด แต่พวกมันได้พัฒนารูปร่างทำให้สามารถว่ายน้ำได้อย่างสมบูรณ์แบบ ท่าว่ายน้ำสวยที่สุด มีจิตวิญญาณที่ปลาชนิดอื่นไม่มี ชาวนอร์เวย์เปรียบโลมาเป็นเอลฟ์แห่งท้องทะเลก็ด้วยเหตุผลนี้


แต่โลมาที่อยู่ต่อหน้าฉินสือโอวตอนนี้ ท่าว่ายน้ำกลับไม่น่าดูเลย พวกมันส่ายหางเงอะงะว่ายไปในน้ำช้าๆ บางครั้งก็ไม่สามารถรักษาสมดุลได้ ได้แต่อยู่กับที่


ปลาดาบเงินแหวกว่ายอยู่ข้างตัวพวกมันตามใจชอบ ทุกครั้งที่ร่างสีขาวหิมะบิดสะบัดพวกมันก็จะพุ่งไปไกลในน้ำอย่างอิสระ โลมาที่นี่เทียบกับปลาดาบเงินแล้วดูเงอะงะอย่างกับโคนมเจอแมวป่า


ภาพนี้ทำให้คนรู้สึกหดหู่ ทั้งสองตัวควรสลับกันสิถึงจะถูก อีกอย่างโดยปกติแล้วปลาดาบเงินต้องไม่กล้าโผล่มาต่อหน้าโลมาถึงจะถูก เพราะพวกมันเป็นอาหารของโลมา


เหตุที่เป็นแบบนี้ก็เพราะครีบหางของโลมาพวกนี้แหว่งหายไป ส่วนบนของหางพวกมันหายไป ถ้าเป็นแค่ตัวเดียวก็อาจเพราะสู้กับฉลามจนโดนกัดขาด แต่ที่นี่กลับมีหลายสิบตัวที่เป็นแบบนี้


นอกนั้นปากแผลบนครีบหางโลมาก็เรียบร้อยมาก ถ้าจะบอกว่านี่ไม่ใช่ฝีมือมนุษย์ ฉินสือโอวยินดีโชว์ก้นในรายการดังโตเกียวเลย!


ปลาดาบเงินปรากฏตัวเรื่อยๆ พวกโลมามองดูอาหารที่แต่ก่อนขยี้ได้ง่ายๆ ตาปริบๆ ใจอยากจะเข้าไปจับ แต่กลับทำอะไรไม่ได้เลย พวกมันไล่ปลาดาบเงินที่ว่องไวไม่ทันแล้ว


โลมาบางตัวลองไล่ตามปลาดาบเงิน แล้วก็ต้องถูกแกล้งกลับมา


ปลาดาบเงินหยุดอยู่กับที่ในบางครั้ง รอจนโลมาเข้ามาใกล้ก็จะว่ายห่างออกไปทันทีหรือไม่ก็ว่ายวนรอบโลมา ตั้งแต่หัวจนถึงหาง แกล้งโลมาเล่นราวกับหมาวิ่งวนงับหางตัวเอง


มังกรเกยตื้นโดนกุ้งรังแกคืออะไร? ก็คือแบบนี้ไง!


ที่น่าสลดกว่านั้นคือพวกโลมาไม่ได้ใส่ใจเลย พวกเขาไม่มีนิสัยใจคอของเอลฟ์แห่งท้องทะเล แววตาทั้งสองดูตายซาก พยายามส่ายครีบท้องกับหางที่ขาดแหว่งเพียงแค่รักษาสมดุลไม่ให้ตัวเองจมลงก้นทะเล แม้แต่แรงจูงใจจะหาอาหารก็ไม่มี


บางครั้งก็จะมีอาหารถูกโปรยลงมาในทะเล ในตอนนั้นโลมาก็จะอ้าปากรับอาหารราวกับขอทานพิการข้างถนน


พอเห็นภาพแบบนั้น ฉินสือโอวก็โกรธเลือดขึ้นหน้าทันใด!


ชั่วขณะนั้นเขาก็เดาได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพราะช่วงก่อนเทศกาลล่าโลมาปีที่แล้วเขาเอาวาฬและโลมาจำนวนมากไปจากอ่าวโตเกียว คนญี่ปุ่นไม่มีโลมาให้ฆ่า สุดท้ายเทศกาลเลยต้องยกเลิกไป


ตอนนั้นเรื่องนี้ยังพาดหัวข่าวไปทั่ว นักชีววิทยาทางทะเลญี่ปุ่นวิเคราะห์ปัญหานี้จากมุมของลมตามฤดูกาล การบลูมของน้ำ มลภาวะทางน้ำ และบอกว่าโตเกียวไม่เหมาะกับการอยู่อาศัยของโลมาแล้วจึงมีโลมาน้อย


เห็นได้ชัดว่าปีนี้สำนักงานประมงของญี่ปุ่นพบปัญหา ไม่ใช่ไม่มีโลมามา แต่พอโลมามาแล้วพักหนึ่งก็จะจากไป


เรื่องหลังจากนั้นฉินสือโอวใช้ก้นคิดก็คิดออก คนญี่ปุ่นที่ทำอะไรก็ทำให้สุดก็เลยจัดการตัดหางไปส่วนหนึ่งเวลาเจอโลมาเสียเลย แบบนี้ต่อให้โลมาอยากว่ายหนีก็หนีไปไหนไม่ได้


สำหรับปัญหาเรื่องหาอาหารของโลมา? ก็มีคนขับเครื่องบินมาโปรยอาหารในอ่าวเป็นช่วงๆ นี่?


พอทำความเข้าใจถึงข้อนี้ได้ ฉินสือโอวก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เขาถ่ายพลังโพไซดอนให้กับโลมาพวกนี้ หลังจากที่ได้พลังโพไซดอนพวกโลมาก็ดูมีชีวิตชีวามากขึ้นเยอะ น่าเสียดายที่พลังโพไซดอนสามารถเพิ่มพลังชีวิตให้พวกมันได้ แต่กลับไม่สามารถทำให้หางที่ขาดไปงอกกลับขึ้นมาได้


ก่อนหน้านี้เวลาที่ฉินสือโอวเจอว่าคราเคนมีหนวดที่ขาด พอถ่ายพลังโพไซดอนให้คราเคนก็จะงอกหนวดกลับมาใหม่อย่างรวดเร็ว


แต่นั่นก็เพราะยีนของหมึกยักษ์ทำให้พวกมันมีความสามารถในการงอกอวัยวะที่ขาดกลับมาใหม่ โลมากลับไม่มี พวกมันครีบขาดก็คือขาด ไม่สามารถงอกกลับมาได้อีก อย่างน้อยพลังโพไซดอนก็ไม่มีพลังมหัศจรรย์นี้


พอรู้สึกได้ถึงพลังที่หัวใจโพไซดอนปล่อยออกมา โลมาที่สิ้นหวังก็พยายามขยับใกล้เข้ามา


แต่ตำแหน่งของพวกมันกระจายมาก อย่างมากหัวใจโพไซดอนก็ควบคุมเขตทะเลได้แค่ประมาณสิบกว่าลูกบาศก์กิโลเมตร ยังมีโลมาที่อยู่ไกลออกไปที่ได้แต่กระเสือกกระสนที่จะเข้ามาใกล้ ไม่สามารถครอบคลุมได้ในคราวเดียว


ฉินสือโอวลุกขึ้นนั่งในห้องนอนด้วยสีหน้าบูดบึ้ง วินนี่หันกลับมาก็ต้องตกใจ เธอยื่นมือไปอังหน้าผากเขาแล้วพูดอย่างประหลาดใจ “พระเจ้า สีหน้าคุณแย่มาก เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”


ฉินสือโอวฝืนยิ้มแล้วพูดขึ้น “เมื่อครู่จู่ๆ ก็รู้สึกว่าเหนื่อยขึ้นมา ไม่มีอะไรที่รัก คุณเล่นเป็นเพื่อนลูกไปเถอะ”


วินนี่กลับนึกไปเรื่องอื่น เธอให้ฉินสือโอวพลิกตัวแล้วนวดบริเวณหลังเอวให้เขา จากนั้นก็พูดอายๆ ว่า “ต่อไปอย่าเล่นกันหนักอย่างนี้เลย พวกเราก็แต่งงานกันนานแล้ว”


ฉินสือโอว “…”


ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาคงจะถือโอกาสใช้คำพูดนี้แซวเธอ แต่ตอนนี้ไม่มีอารมณ์จริงๆ ความคิดเขากลับไปอยู่ที่อ่าวไทจิอีกครั้ง และพาโลมาว่ายออกไปอย่างเงอะงะ


ไม่ว่าอย่างไร เขาก็จะพาโลมาพวกนี้ออกไป


นอกจากนี้ เขาจะลงโทษวายร้ายพวกนั้น!


โลมาพวกนี้พิการไปแล้ว ไม่มีครีบหางก็เท่ากับว่าพวกมันเสียความสามารถที่จะว่ายน้ำได้อย่างอิสระและหาอาหารได้ตามใจชอบ แบบนี้ถ้ากลับทะเลก็อาจหิวตายได้ การอยู่ที่นี่มีคนคอยโปรยอาหารให้ เวลาที่จะมีชีวิตอยู่ก็อาจจะยาวสักหน่อย


แต่ฉินสือโอวยอมให้เฮยป้าหวังพาฝูงฉลามขาวไปฆ่าพวกมันให้ตาย แต่ไม่ยอมให้พวกมันอยู่ที่นั่นรอจนถึงเทศกาลล่าโลมาแล้วตายอย่างอนาถ!


ใช้จิตสำนึกโพไซดอนสองสายพาโลมาออกจากที่นั่น ส่วนจิตสำนึกโพไซดอนอีกสองสายไปที่อ่าวเพื่อหาวิธีแก้แค้น


เดิมทีเขาอยากจะถ่ายพลังโพไซดอนให้สาหร่ายสีแดง สาหร่ายสีน้ำตาลในอ่าวให้พวกมันโตขยายพันธุ์เป็นบ้าเป็นหลังและเกิดเป็นปรากฏการณ์สาหร่ายสะพรั่งมาแก้แค้น


แต่เขาตระเวนไปรอบหนึ่งก็พบว่า อาจเป็นเพราะลมในฤดูร้อนแรงเกินไป หรือเพราะคนญี่ปุ่นมีฝีมือในด้านการจัดการมลภาวะสิ่งแวดล้อม สาหร่ายนอกอ่าวที่เคยทำให้อ่าวโตเกียวเกิดปรากฏการณ์สาหร่ายสะพรั่งจึงไม่ค่อยมีแล้ว ถ้าจะให้พวกมันเพิ่มจำนวนมากภายในเวลาสั้นๆ จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้


เรื่องนี้ทำให้เขาเซ็งก็เลยใช้พลังโพไซดอนสร้างคลื่นลูกใหญ่ซัดไปที่ท่าเรือ


เสาของท่าเรือเล็กนี้เป็นไม้โอ๊ก ตามหลักการแล้วมั่นคงมาก แต่พอคลื่นลูกโตซัดเข้าไป เสียง ‘แกร๊ก’ ชวนเสียวฟันก็ดังขึ้นแล้วเสาก็หักลง


ฉินสือโอวตกใจ ทำไมคลื่นที่เขาสร้างถึงมีอานุภาพขนาดนี้?


เสาไม้โอ๊กหักร่วงลงในน้ำ พอเข้าไปดูถึงได้เข้าใจ ตัวเองคิดผิดไปแล้ว ที่ไม้ท่อนนั้นหักง่ายขนาดนี้ จริงๆ แล้วเป็นเพราะตัวมันเอง ดูจากด้านนอกมันไม่มีปัญหา แต่ข้างในที่จริงผุจนพังไปหมดแล้ว


ด้านในของไม้มีรอยผุกลวงเป็นสาย บางอย่างที่ดูเหมือนหนอนแมลงสีขาวโผล่ออกมา เห็นได้ชัดว่าการผุของไม้เหล่านี้ก็คือฝีมือเจ้าพวกนี้


ฉินสือโอวกำลังจะไป แต่จู่ๆ ก็คิดอะไรออก หนอนแมลงน่าเกลียดพวกนี้เป็นเครื่องมือแก้แค้นอย่างดีเลย

 

 

 


บทที่ 1267 ลูกมือแก้แค้น

 

ฉินสือโอวพิจารณาดูเจ้าแมลงตัวอ้วนลับๆ ล่อๆ พวกนี้อย่างละเอียด ตอนแรกเขานึกไม่ออก แต่จู่ๆ ก็นึกได้ว่า เจ้าพวกนี้คือหนอนเรือ


อย่านึกว่าชื่อหนอนฟังดูน่าขยะแขยง ที่จริงพวกมันไม่ใช่แมลง แต่เป็นหอยชนิดหนึ่ง เป็นญาติใกล้ๆ กับหอยตลับที่ท่านชายฉินชื่นชอบ และเป็นญาติห่างๆ ของเพรียงตีนเต่าที่เขารักมากกว่า


ดูจากภายนอกแล้ว พวกมันไม่ต่างจากหนอนพยาธิบางประเภท ถ้าใช้แว่นขยายมาส่องก็จะเห็นว่าที่จริงบนหัวของพวกมันมีเปลือกสีขาวที่ละเอียดมากๆ ค่อนข้างแข็ง พวกมันใช้เปลือกนี้ และขยับเคลื่อนตัวเปลี่ยนตัวเองเป็นสว่านจิ๋ว สุดท้ายก็มุดเข้าไปในไม้


หนอนเรือกินไม้เป็นอาหาร ตั้งแต่พวกมันเกิดก็จะเลือกไม้ท่อนหนึ่ง จากนั้นก็มุดเข้าไปกัดกินและย่อยสลายไม้จึงจะมีชีวิตต่อไปได้


บนบกมีสัตว์ที่กินไม้เป็นอาหารมากมาย แต่ในทะเลกลับมีน้อยมาก จนถึงวันนี้หนอนเรือก็ถูกพบว่าเป็นสัตว์เพียงชนิดเดียวที่กินไม้ แต่ก็เพราะเจ้าสิ่งเล็กๆ นี้ ความเสียหายในการขนส่งทางทะเลของโลกทุกปีจึงเกินหมื่นล้าน!


อย่างเช่นเมื่อตอนฤดูร้อนปี 2000 ท่าเรือสองสามที่ในรัฐเมนของอเมริกาเกิดถล่มขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เสาไม้โอ๊กที่ค้ำท่าเรือพวกนี้ยาว 9 เมตรกว่า หนา 25 เซนติเมตรกว่าๆ ดูจากภายนอกแล้วดูแข็งแกร่งมั่นคง แต่ข้างในโดนหนอนเรือกินจนพรุนไปหมดแล้ว


เรื่องที่คล้ายๆ กันนี้ก็เคยเกิดขึ้นที่แคนาดา ปี 1997 จู่ๆ ฐานหนึ่งของท่าเรือทางตะวันตกเฉียงใต้ก็ถล่มลงมา คนหกคนตกลงไปในน้ำ หลังจากเรื่องนั้นทางตำรวจก็ตรวจสอบหาสาเหตุของอุบัติเหตุ และพบว่าเป็นฝีมือของพวกหนอนเรือ


แบบนี้ฉินสือโอวก็ได้ไอเดีย ทำไมไม่เพาะเลี้ยงสุดยอดหนอนเรือมาให้พวกญี่ปุ่นแขยงกันสักหน่อยล่ะ?


เขามีความรู้เกี่ยวกับหนอนเรือไม่มาก แต่เคยเห็นโดยบังเอิญตอนที่กำลังพลิกหนังสือเกี่ยวกับสัตว์ทะเล จึงรู้ว่านี่คือหนอนพยาธิที่ดุดันศัตรูของการประมง


ที่เขาว่าศัตรูของศัตรูคือเพื่อน คนขายเนื้อโลมาแถวอ่าวโตเกียวเป็นศัตรูของเขา หนอนเรือก็เป็นศัตรูของคนขายเนื้อโลมา แบบนี้พวกเขาก็เป็นเพื่อนกันแล้วไม่ใช่เหรอ?


ฉินสือโอวสาบาน หนอนเรือเป็นเพื่อนที่น่าแขยงที่สุดในชีวิตนี้ แต่ก็เป็นเพื่อนที่ช่วยเขาได้มากที่สุดในตอนนี้


เพียงแต่สำหรับเพื่อนใหม่คนนี้ เขาก็ยังคงแปลกหน้าอยู่ จึงลุกขึ้นมาหาข้อมูล คิดวิธีจัดการคนขายเนื้อจากอ่าวพวกนี้ได้แล้ว ท่านชายฉินก็ตื่นเต้นไม่มีอะไรเทียบจนอดหัวเราะหึๆ ออกมาไม่ได้


วินนี่ตีเขาทีหนึ่งแล้วพูดอย่างเขินอายปนเคือง “ทำไมยังไม่นอนนิ่งๆ อีก? นอนลงไปดีๆ เพิ่งจะเริ่มนวดเองนะ…”


ฉินสือโอวยื่นมือไปเชยคางวินนี่ด้วยสีหน้าเย้าหยอก แล้วพูดแซว “สาวน้อย ลงไม้ลงมือทำไมกัน พี่อยากฟังดนตรี เป่าขลุ่ยให้ฟังหน่อยสิ!”


“ลูกอยู่นะ น่าเกลียด!” วินนี่คว้าบางอย่างแล้วโยนไปที่ฉินสือโอว เฟอเรทผู้พี่ที่ลอยอยู่กลางอากาศน้ำตารื้นขึ้นมา ทำไมต้องเป็นฉันที่เจ็บตัวทุกที


ฉินสือโอวเปิดคอมพิวเตอร์หาข้อมูลดูก็พบว่าเพื่อนที่ดูเหมือนจะน่าขยะแขยงนี้ น่าขยะแขยงมากจริงๆ! อีกอย่างใช้พวกมันมาแก้แค้นช่างเหมาะสมเสียนี่กระไร พวกมันนี้เรียกได้ว่าเป็นมือดีในการแก้แค้น!


หนอนเรือกินไม้เป็นอาหาร หรือพูดได้ว่า พวกมันกินเซลลูโลสที่เป็นส่วนประกอบหลักของไม้เป็นอาหาร เซลลูโลสเป็นโพลิเมอร์โมเลกุลน้ำตาล อุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย แต่สัตว์ทะเลอื่นไม่สามารถย่อยไม้ได้ เพราะร่างกายของพวกมันขาดสารอย่างหนึ่งก็คือ เซลลูเลส


เอนไซม์ชนิดนี้แกะโมเลกุลน้ำตาลที่ล็อกกันแน่น นี่คือเงื่อนไขพื้นฐานที่ทำให้สัตว์บกสามารถย่อยสารอาหารในไม้ได้ ในหมู่สัตว์ทะเลมีเพียงแบคทีเรียบนตัวของหนอนเรือที่หลั่งสารเซลลูเลสได้ เพราะพวกมันมีความสามารถทางร่างกายที่ย่อยไม้ได้


แบบนี้ไม้ในสายตาของพวกมันก็กลายเป็นเค้ก กรุบๆๆๆ เรือไม้ลำหนึ่งก็จมแล้ว กรุบๆๆๆ อีก กรุบๆๆๆ เสาท่าเรือก็หักแล้ว กรุบๆๆๆ ต่อไป กรุบๆๆๆ ท่าเรือก็ถล่มแล้ว!


นอกจากนี้หนอนเรือเป็นผู้แก้แค้นที่เหมาะสมมาก พวกมันมีชีวิตได้เพียงแค่ในไม้ เมื่อก่อนสามารถล่องเรือไม้ไปทั่วโลก ตอนนี้มีเรือไม้ที่ไหน มีแต่เหล็กทั้งนั้น แบบนี้ต่อให้ฉินสือโอวสร้างหนอนเรือที่แกร่งแค่ไหน เขาก็ไม่มีโอกาสได้ใช้


นอกจากใครจะเอาไม้ที่มีหนอนเรือไปที่ท่าเรืออื่นหรือว่าพลังโพไซดอนเปลี่ยนให้หนอนเรือสามารถกินเหล็กได้ ไม่อย่างนั้นพวกมันก็ไม่สามารถไปจากอ่าวโตเกียวได้


คิดจะทำก็ทำเลย หลังจากที่ฉินสือโอวส่งพวกโลมาออกไปจากอ่าวโตเกียวแล้ว เขาก็รวมจิตสำนึกแห่งโพไซดอนทั้งสี่เข้าด้วยกัน แล้วพุ่งออกไปทั้งสี่ทิศเพื่อหาไม้แถวริมฝั่ง ในไม้พวกนั้นล้วนมีหนอนเรืออยู่


เพราะชนิดของไม้ไม่เหมือนกัน ชนิดของหนอนไม้ที่อยู่ข้างในและขนาดก็ต่างกัน ตัวเล็กยาวสองเซนติเมตรถึงสามเซนติเมตร ส่วนตัวใหญ่ยาวได้ถึงหนึ่งเมตร ตัวอ้วนได้ประมาณขนาดแขนของเด็กทารก อย่างกับงู!


ไม่ว่าจะชนิดไหน พอฉินสือโอวหาหนอนเรือเจอก็จะถ่ายพลังโพไซดอนเข้าไป คราวนี้เขาลงทุนมาก ไม่นึกถึงต้นทุนที่ต้องลงเลย ถ่ายได้เท่าไรก็ถ่ายออกไปหมด


จุดประสงค์ของเขาก็แค่ให้หนอนเรือพวกนี้โตไวๆ จากนั้นก็รีบขยายพันธุ์ให้ไวที่สุด ขอแค่พวกหนอนเรือสุดแกร่งขยายพันธุ์ งั้นต่อไปอ่าวโตเกียวจะต้องเปลี่ยนชื่อเป็นอ่าวโตเกียวเหล็กแล้ว


ตามข้อมูลที่ฉินสือโอวหามา ความสามารถในการขยายพันธุ์ของหนอนเรือเดิมทีก็แกร่งมากอยู่แล้ว พวกมันวางไข่เก่งมาก ทุกปีจะสามารถวางไข่ได้ประมาณห้าล้านฟอง


หลังจากที่ตัวอ่อนหนอนเรือฟักออกมา ตอนแรกจะเล็กมาก ใช้ตาเปล่ามองไม่เห็นจึงไม่มีทางรู้ได้ว่ามีพวกมันอยู่ จนตอนที่รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ ตัวอ่อนหนอนเรือก็มักจะกระจายไปทั่วแล้ว


หลังจากที่ตัวอ่อนว่ายในน้ำไปช่วงหนึ่ง พอเจอไม้ก็จะเข้าไปเกาะ ชีวิตพวกมันมีความสุขมาก ไม้สามารถเป็นทั้งอาหารและที่อยู่ จัดการทั้งสองอย่างได้ในคราวเดียว


ส่วนตัวอ่อนขอแค่เริ่มกินเซลลูโลสก็จะโตค่อนข้างไว ตามสถิติตัวอ่อนหนอนเรือในตอนนี้จะโตร้อยเท่าใน 16 วัน 36 วันโตได้พันเท่า โตไปประมาณเดือนหนึ่งก็จะถึงวัยเจริญพันธุ์ จากนั้นก็เริ่มวางไข่…


ยิ่งทำความเข้าใจ ฉินสือโอวยิ่งรู้สึกว่าเจ้านี้น่ากลัว


พวกเอเลี่ยน ไดโนเสาร์ ปรสิต เจอเจ้านี่เป็นต้องชิดซ้าย ขอแค่ขนาดร่างกายหนอนเรือขยายได้สิบเท่า ขอแค่พวกมันเปลี่ยนอาหารเป็นเนื้อ วันสิ้นโลกก็ใกล้มาถึงแล้ว!


อีกอย่างต่อให้ต่อไปคนญี่ปุ่นพบหนอนเรือ พวกเขาก็คงทำอะไรไม่ได้ เจ้านี่จัดการยาก


ก่อนอื่นพวกมันแฝงอยู่ในไม้ ถ้าอยากจะทำลายพวกมันให้สิ้นซากก็ต้องทำลายไม้รอบข้างนี้ให้หมด แต่มันจะเป็นไปได้เหรอ?


ที่จริงแล้ว ตัวอ่อนหนอนเรืออึดมาก วิธีทั่วไปไม่สามารถฆ่าพวกมันให้ตายได้ ใช้ไฟเผา? ไม่ได้ หนอนเรืออยู่ในไม้ ถ้าจุดไฟไม้ก็ไปด้วย แช่แข็ง? ได้ แต่จะแช่แข็งท่าเรือไม้ด้วยอุณหภูมิต่ำได้อย่างไรล่ะ?


ต่อให้ใช้เคมีมารับมือก็ยาก ไม้กลายเป็นเกราะปกป้องพวกมัน ถ้าอยากจะทำอะไรหนอนเรือข้างในก็ยากมาก


ตอนนี้วิธีที่ใช้ทั่วไปก็คือการใช้ความดันสูงเพื่ออัดสารเคมีเข้าไปในไม้ ในน้ำทะเล สารเคมีพวกนี้จะค่อยๆ กระจายออกไปแล้วฆ่าหนอนเรือ


แต่แค่ดูก็รู้ว่าการจะใช้วิธีนี้มารับมือหนอนเรือแพงขนาดไหน!


และวิธีการทางเคมีในการกำจัดหนอนเรือยังไม่ใช่ต้นทุนหลัก!

 

 

 


บทที่ 1268 มีวิธีแล้ว

 

ถ้าจะใช้วิธีทางเคมีมากำจัดหนอนเรือก็ต้องใช้สารเคมี ตอนนี้สารเคมีสองชนิดที่ใช้กันอย่าง แพร่หลายล้วนแต่เป็นสารที่ผลิตโดยอเมริกา เรียกรวมๆ ว่า CCA


ส่วนประกอบหลักของ CCA คือน้ำมันดิน โครเมียมกับซีซีเอจะสามารถปกป้องเนื้อไม้ได้ ตอนที่ใช้งานนอกจากจะสามารถฆ่าหนอนเรือได้แล้วยังทำให้เนื้อไม้แข็งแรงขึ้นด้วย แต่ในขณะเดียวกันความเป็นพิษของมันก็สูงมาก มลพิษที่มีต่อสิ่งแวดล้อมก็ได้แต่บอกว่าน่ากลัว


ที่น่ากลัวที่สุด ซีซีเอย่อยสลายได้ยากในธรรมชาติเหมือนกับดีดีที แล้วยังสามารถสะสมในไขมันของสัตว์ได้ด้วย เพราะปลาจะมีไขมันน้อยจึงไม่สามารถสะสมสารพิษนี้ได้และตายลงในที่สุด!


ต่อให้ปลาไม่ตาย ต่อไปตามหลักการไบโอแมกนิฟิเคชั่นสุดท้ายก็จะเข้าสู่ร่างกายคน หากสะสมเป็นเวลานานก็จะเป็นอันตรายต่อชีวิต!


ฉินสือโอวส่ายหน้า ดูไม่ออกเลยว่าตัวเล็กๆ แบบนั้นจะมีอานุภาพขนาดนี้ ดีที่พวกมันต้องอยู่ในไม้ถึงจะมีชีวิตได้ เหมือนกับเอชไอวีที่ต้องอยู่ในของเหลวในร่างกายถึงจะอยู่ได้ ไม่อย่างนั้นพวกมันก็สามารถเป็นภัยต่อทั้งโลกได้เลย


ยิ่งไปกว่านั้น ได้พลังโพไซดอนไป หนอนเรือพวกนี้ก็กระตือรือร้นกว่าเดิม ฉินสือโอวไม่รู้ว่าสุดท้ายพวกมันจะแกร่งขึ้นแค่ไหน อ่าวโตเกียวกำลังจะทำให้คนญี่ปุ่นปวดหัวแล้ว


สำรวจไม้ที่หาเจอรอบหนึ่ง ข้างในมีหนอนเรือ ฉินสือโอวก็ถ่ายพลังโพไซดอนเข้าไป ถ้าระหว่างนี้เจอสาหร่ายฮีเทโรซิกม่า อคาชิโวเขาก็จะถ่ายพลังโพไซดอนเข้าไปด้วย


สาหร่ายนี้เป็นสาหร่ายอีกประเภทหนึ่งที่จะทำให้คนญี่ปุ่นแถวอ่าวโตเกียวปวดหัวได้ พวกมันกระจายอยู่ในเขตทะเลน่านน้ำชายฝั่ง เป็นแฟลกเจลเลต และเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตหลักในปรากฏการณ์สาหร่ายสะพรั่งของญี่ปุ่น


สาหร่ายฮีเทโรซิกม่า อคาชิโวไม่ใช่แค่เคยแผลงฤทธิ์ที่อ่าวโตเกียวเท่านั้น ทางชายฝั่งตะวันตกของอเมริกาเหนือ อย่างที่รัฐบริติชโคลัมเบียแคนาดามันก็เคยออกฤทธิ์มาแล้ว เพราะสาหร่ายชนิดนี้ดูดซึมสารอาหารทั้งวันทั้งคืน ดังนั้นเมื่อแพร่กระจายเป็นจำนวนมากก็จะเป็นภัยต่อการเพาะเลี้ยงประมงในท้องถิ่น


แต่ว่าจำนวนของสาหร่ายฮีเทโรซิกม่า อคาชิโวในตอนนี้น้อยมาก คงจะไม่พุ่งขยายจำนวนจนกลายเป็นปรากฏการณ์สาหร่ายสะพรั่งที่ใหญ่ได้ ต่อไปอย่างมากก็แค่แกล้งพวกญี่ปุ่นเบาๆ แต่ไม่ทำให้ปวดหัวเหมือนกับหนอนเรือ


ฉินสือโอวรู้สึกว่าตัวเองใจอ่อนเกินไป ที่จริงเขายังมีวิธีแก้แค้นคนขายเนื้อโลมาชาวญี่ปุ่นที่ดีกว่า นั่นก็คือการแก้แค้นด้วยกำลังทหาร


ครั้งที่แล้วต่อกรกับเรือดำน้ำนิวเคลียร์คอนเนตทิคัตของอเมริกา เขารวบรวมระเบิดน้ำลึกที่ทันสมัยที่สุดไว้จำนวนหนึ่ง มีถึงสิบสองลูก ที่ก้นทะเลของคนญี่ปุ่นมีโกดังเก็บน้ำมัน ถ่านหิน เป็นต้น ขอแค่โยนระเบิดพวกนี้ลงไป โกดังพวกนั้นต้องไม่เหลือซากแน่


แต่วิธีแบบนี้ก็เกินไปหน่อย ฉินสือโอวยังไม่คิดจะใช้วิธีนี้ แล้วอีกอย่างการที่เขาเอาระเบิดน้ำลึกพวกนี้ไว้ก็ยังมีประโยชน์อย่างอื่น อย่างเช่นต่อไปเรือดำน้ำใครมาท้าทายในถิ่นเขาอีก…


ทำงานทั้งหมดนี้เสร็จ ฉินสือโอวก็แค่รอผล เขาแทบจะทนรอไม่ไหว แก้แค้นสิบปีก็ไม่สาย แต่เขารอสิบปีไม่ได้หรอก ทางที่ดีให้เขาได้เห็นหนอนเรือกับสาหร่ายฮีเทโรซิกม่า อคาชิโวขยายจำนวนตอนนี้เลยยิ่งดี


เพียงแต่เขาเองก็รู้ ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดไม่ใช่การแก้แค้น แต่เป็นการดูแลโลมาที่เอามาพวกนั้น


ที่เอามาแรกๆ ก็ยังพอว่า โลมาพวกนั้นเพิ่งจะเข้าไปในอ่าว ยังไม่ได้ถูกทำร้าย ยังสามารถว่ายน้ำในทะเลได้อย่างอิสระ แต่โลมาที่เสียครีบหางไปล่ะจะทำอย่างไร?


ถ้าทิ้งพวกมันไว้ในทะเลตามมีตามเกิด พวกมันก็มีชีวิตได้ไม่นาน เพราะพวกมันเสียความสามารถที่จะหาอาหารและหนีการล่าของฉลามแล้ว


ถ้าเอาพวกมันกลับมาที่ฟาร์มก็ไม่ปลอดภัยเช่นกัน ถ้าเกิดมีคนมาพบพวกมัน ถึงตอนนั้นคนญี่ปุ่นต้องสงสัยแน่ โลมาที่ว่ายน้ำไม่ได้ทำไมถึงสามารถว่ายข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกไปยังมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือได้?


ฉินสือโอวไม่รู้จะทำอย่างไรดี เขาก็เลยหน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมาอีก


วินนี่จ้องเขาด้วยสีหน้าแปลกๆ ใช้เท้าเล็กเตะไปที่ขาใหญ่ของเขาแล้วพูดว่า “คืนนี้คุณเป็นอะไรไปคะ? สีหน้าเปลี่ยนอย่างกับใส่หน้ากาก เกิดอะไรขึ้น?”


ฉินสือโอวกระแอมไอแล้วพูดว่า “ความคิดผมตีกันอยู่ ข้างหนึ่งบอกว่ารีบทำน้องให้เถียนกวา ส่วนอีกข้างบอกว่า…”


เขามองไปที่วินนี่ วินนี่ตอบไปตามอัตโนมัติว่า “ว่าอะไรคะ?”


“บอกว่าผมต้องทำน้องให้เถียนกวาสองคน” ฉินสือโอวตอบจริงจัง


วินนี้ถูกเขาหยอกจนยิ้มออกมา ก่อนจะสะบัดผมแบบยั่วยวนแล้วตอบด้วยสายตาเย้ายวน “งั้นสุดท้ายใครชนะล่ะคะ?”


ฉินสือโอวหัวเราะพลางดึงเธอเข้ามากอดในอ้อมอก เสี่ยวเถียนกวายื่นมือแล้วร้องหาพ่อแม่อีก ฉินสือโอวคว้าพี่น้องเฟอเรทยัดเข้าไปในอกเธอ ไปเล่นกับเฟอเรทไป พ่อกับแม่กำลังยุ่งเรื่องสำคัญอยู่


เหล่าเฟอเรทเศร้าอีกครั้ง พวกเราต้องเจ็บตัวอีกแล้ว…


ด้านฉินสือโอวกำลังมีความสุขกับภรรยาในอ้อมอก ส่วนบัตเลอร์กำลังยุ่งจนหัวปั่น


อาหารทะเลต้าฉินเข้าสู่ตลาดโตเกียวได้สำเร็จแล้ว ในด้านนี้อิสึซาโอะ อาโอยาม่ามีความดีความชอบอย่างเถียงไม่ได้ เขากับนิชิมุระ เร็นกลายเป็นมือซ้ายขวาของบัตเลอร์ในการบุกตลาดโตเกียว ทุกวันนี้พวกเขาร่วมมือกันสู้กับเทซึกะ โกดะอย่างเมามัน


ตลาดอาหารทะเลโตเกียวตอนนี้ถือว่าวุ่นวาย บริษัทร่วมทุนคิโยมุระกำลังตีกับไดนิสึ บัตเลอร์นำอาหารทะเลต้าฉินก็มีความขัดแย้งกับตระกูลมอร์รี่มาตลอด นักธุรกิจอาหารทะเลคนอื่นก็อยากได้ส่วนแบ่งด้วยจึงพากันแบ่งทีม จนตลาดโตเกียวแบ่งแยกราวกันแคว้นประเทศ


เดิมทีการร่วมมือระหว่างบริษัทร่วมทุนคิโยมุระกับตระกูลมอร์รี่เป็นพันธมิตรที่แกร่งมาก จะครองตลาดโตเกียวก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ พวกเขาวางแผนไว้อย่างดีด้วยซ้ำ แทบจะกลืนกินบริษัทไดนิสึได้เหมือนเนื้อชิ้นโต


น่าเสียดายที่คนสู้ฟ้าไม่ได้ ที่งานประมูลปลาทูน่าครีบน้ำเงินอัมสเตอร์ดัม พวกเขาขาดทุนย่อยยับ


ตอนนั้นเทซึกะ โกดะกับตระกูลมอร์รี่ได้ราชาแห่งปลาไป แน่นอนว่าได้มาด้วยราคา 2.5 ล้านยูโร พวกเขานึกไม่ถึงว่านั่นยังไม่ใช่ต้นทุน ต้นทุนที่แท้จริงคือหลังจากนี้


ในตอนที่เทซึกะ โกดะกับตระกูลมอร์รี่ตั้งใจจะขายปลาตัวโตนี้เพื่อเก็งกำไร บัตเลอร์ก็เอาปลาทูน่าครีบน้ำเงินอีกสองตัวที่มีความยาวและคุณภาพเนื้อคล้ายกันมาที่โตเกียว…


แบบนี้ปลาตัวโตนั้นก็ไม่มีราคาแล้ว จะตั้งราคาพวกนี้สูงๆ ต้องอาศัยความหายาก แต่จู่ๆ ก็มีปลาตัวโตที่คล้ายกันสี่ตัวโผล่มา ยังจะเหลือความหายากอะไรอีก?


การซื้อขายนั้นคิโยมุระกับตระกูลมอร์รี่ขาดทุนค่อนข้างแย่ วงการธุรกิจก็เหมือนกับสนามรบ ก้าวพลาดครั้งเดียวก็พลาดไปหมด


อีกอย่างในฐานะคู่แข่งทั้งชีวิตของเทซึกะ โกดะ อิสึซาโอะ อาโอยาม่าก็ไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ เขาถือโอกาสนี้โจมตีบริษัทร่วมทุนคิโยมุระซึ่งเห็นผลอย่างชัดเจน


หลังจากที่อาหารทะเลต้าฉินกับไดนิสึก่อตั้งขึ้น อิสึซาโอะ อาโอยาม่าก็มีความคิดเป็นอื่น ฉินสือโอวกับบัตเลอร์ใช้เขามาตลอด แต่เขาเองก็ใช่ว่าไม่ได้ใช้ฉินสือโอวกับบัตเลอร์เสียหน่อย?


ตอนนี้เขารู้สึกว่าจวนได้เวลาแล้วจึงอยากหลุดพ้นจากการปกครองของบัตเลอร์แล้วทำธุรกิจของตัวเอง พอลุงหนวดรู้สึกได้ก็รีบรุดมาที่โตเกียวเพื่อคุมเอง ใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง ถือว่าคุมอิสึซาโอะ อาโอยาม่าไว้ได้ชั่วคราว


จัดการเรื่องด่วนได้แล้ว บัตเลอร์ก็โทรหาฉินสือโอวเพื่อโอ้อวดฝีมืออันสูงส่งของเขา


ส่วนฉินสือโอวพอรู้ว่าเขาไปคุมงานที่โตเกียวก็ดีใจทันที เขาคิดวิธีที่จะจัดการเรื่องโลมาพิการออกแล้ว


สมองเขาแล่นอย่างรวดเร็ว ฉินสือโอวกับบัตเลอร์คุยกันเรื่องงานธุรกิจครู่หนึ่งค่อยเปลี่ยนไปเรื่องชีวิตประจำวัน เขาพูดว่า “นี่เพื่อน คุณรู้จักผู้เชี่ยวชาญเรื่องการเที่ยวชมดูวาฬบ้างไหม? ทางผมมีวาฬอยู่ อยากจะเริ่มทำการท่องเที่ยวชมวาฬ”


บัตเลอร์มีคอนเนคชั่นมากมาย เขาตกปากรับคำ บอกว่าถ้ากลับอเมริกาแล้วเขาจะหาคนให้


ฉินสือโอวขอบคุณ สุดท้ายก็แสร้งพูดแบบไม่ได้ตั้งใจว่า “ที่จริงผมก็อยากจะเปิดการท่องเที่ยวชมโลมาอยู่เหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่ทางนี้มีโลมาไม่มาก คุณก็รู้ โลมามันว่ายไปทั่ว มันไม่อยู่กับที่”


บัตเลอร์ไม่ได้คิดมาก เขาพูดยิ้มๆ “ใช่ๆๆ โลมาก็เป็นเหมือนม้าพยศแห่งท้องทะเล พวกมันชอบว่ายไปทั่ว…”

 

 

 


บทที่ 1269 นายต้องขอบคุณฉัน

 

หลังจากสองวันที่ฉินสือโอวคุยกับบัตเลอร์ บนผิวน้ำทะเลสีฟ้าที่ปากอ่าวโตเกียว เรือยอชต์ลำหนึ่งแล่นเอื่อยเฉื่อยไปตามสายลม


เรือยอชต์ลำนี้เป็นเรือส่วนตัวของผู้มีอิทธิพลอาหารทะเลโตเกียวอิสึซาโอะ อาโอยาม่า มีแค่ตอนต้อนรับแขกเขาถึงจะปรากฏตัว


แน่นอนว่าครั้งนี้อิสึซาโอะ อาโอยาม่าเชิญแขกผู้มีเกียรติมา ส่วนคนที่เลือกนั้นก็คือบัตเลอร์ที่ขึ้นมามีอิทธิพลในโตเกียวตอนนี้


หลายวันก่อนที่โดนบัตเลอร์ตักเตือน อิสึซาโอะ อาโอยาม่าก็เกรงนิดหน่อย เขาอยากจะบรรเทาความตึงเครียดในความสัมพันธ์จึงเชิญให้เขามาเป็นแขกกลางทะเล


เดิมทีลุงหนวดผิวดำไม่ได้สนใจจะมากินข้าวในทะเล แต่อิสึซาโอะ อาโอยาม่าไม่รู้ว่าไปหาสาวสวยสองคนมาจากไหน ลุงหนวดผิวดำสนใจสาวสวยอ่อนหวานในชุดกิโมโนมากก็เลยตกลงขึ้นเรือ


ล่องเรือเล่นไปรอบหนึ่งจนถึงเวลาอาหารเย็นก็มีคนมากางร่มที่ดาดฟ้า จัดเบาะนั่ง โต๊ะชาให้กินข้าวบนดาดฟ้าได้เลย


อิสึซาโอะ อาโอยาม่านั่งคุกเข่าอยู่บนเบาะนั่งแล้วโบกมือตะโกนเรียกบัตเลอร์ “บัตเลอร์ซัง รีบมานั่งเถอะครับ มาลองชิมอาหารโตเกียวเลิศรสดู”


บัตเลอร์โอบสาวเซ็กซี่ในชุดกิโมโนเดินโซเซมา จากนั้นก็นั่งคุกเข่าตามอิสึซาโอะ อาโอยาม่าแล้วมองไปที่อาหารบนโต๊ะชา


อาหารบนโต๊ะชาเล็กเรียบง่ายแต่ประณีต มีซาชิมิ นัตโตะ อัณฑะปลาย่างเกลือและเหล้าสาเกสองขวดเล็ก


พินิจดูอาหารประณีตชั้นเลิศตรงหน้า ลุงหนวดผิวดำก็ยกขวดเหล้าขึ้นมาดื่มไปหนึ่งอึกก่อนจะพูดพลางขมวดคิ้ว “ของพวกนี้ กินได้ด้วยเหรอ?”


ได้ยินคำพูดหยาบคายของบัตเลอร์ สาวสวยเย้ายวนทั้งสองก็แอบขมวดคิ้ว แต่พวกเธอมาดื่มเป็นเพื่อน พูดอะไรมากไม่ได้จึงยังคงบริการบัตเลอร์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม


อิสึซาโอะ อาโอยาม่าพูดยิ้มๆ “บัตเลอร์ซังกังวลมากไปแล้ว นี่เป็นอาหารชั้นเลิศทั้งนั้น คุณลองดูก่อน ต้องเหลือความทรงจำที่ดีไว้ให้คุณแน่ๆ”


บัตเลอร์ส่ายหน้าแล้วพูดพลางขมวดคิ้ว “ผมกลัวว่าจะดื่มด่ำกับมันไม่ได้ รสนิยมคนญี่ปุ่นแปลกประหลาดจริงๆ ก่อนที่ประธานาธิบดีลินคอล์นจะยกเลิกสนธิสัญญาทาส ที่อเมริกาของพวกนี้เอาไว้ให้คนผิวดำกินทั้งนั้น มาที่นี่ทำไมกลายเป็นอาหารโอชะไปแล้วล่ะ?”


พูดไปเขาก็ชี้ไปที่ซาชิมิ “รู้ไหมว่าเจ้านี่มีพยาธิเท่าไร? ถ้าเป็นพยาธิตัวตืด มันแพร่ไปได้ทั้งตัว รู้ไหม? ทั้งร่างกายมีแต่พยาธิเป็นตัวๆ!”


จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่นัตโตะ “ถั่วพวกนี้ก็ขึ้นราแล้ว พวกมันทำให้เกิดมะเร็งรู้ไหม?”


“แล้วยังมีนี่ ทำมาจากอัณฑะปลาปักเป้า ยังไม่ต้องพูดถึงความเป็นพิษของมัน ลองคิดดูสิ ให้ตาย พวกคุณอยากให้ผมกินอัณฑะของสัตว์ตัวผู้? ไม่ใช่กลายเป็นว่าผมใช้ปากให้ปลาปักเป้านี่เหรอ?!”


ฟังบัตเลอร์บ่นไป สาวสวยสองคนก็เริ่มพะอืดพะอมขึ้นมา


พวกเธอหันมาสบตากันจากนั้นก็แอบด่าลุงผิวดำนี่ในใจว่าไม่มีรสนิยม ทั้งซาชิมิ นัตโตะล้วนแต่เป็นอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม


แน่นอนว่าสองสาวทำได้แต่ด่าในใจ พวกเธอไม่กล้าแสดงออกมาต่อหน้าแบบเปิดเผย


แต่พวกเธอก็ประเมินบัตเลอร์ต่ำไป อีกฝ่ายไต่เต้าจากชาวประมงชั้นล่างมาจนถึงทุกวันนี้ รสนิยมเขาอาจไม่สูง แต่สายตาเขาเฉียบคมมาก โดยเฉพาะการคาดเดาความคิดของคนจากสีหน้าและแววตา


ไม่รู้ว่ามีคนตั้งเท่าไรที่อยากร่วมงานกับฉินสือโอว เทซึกะ โกดะคิดทุกวิถีทาง สุดท้ายคนที่แย่งดีลฟาร์มปลาต้าฉินไปได้กลับเป็นบัตเลอร์ จากข้อนี้ก็เห็นได้ว่าเขาไม่ธรรมดา


ฉินสือโอวเข้าใจข้อนี้ดี แต่สาวสองคนนี้ไม่


พวกเธอกำลังด่าในใจกันอย่างเมามัน สายตาพิฆาตราวกับใบมีดของบัตเลอร์กวาดไปบนใบหน้าของพวกเธอ ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง จากนั้นก็ตบโต๊ะแล้วตะคอกออกมา “สอดรู้!”


การกระทำของเขาไม่มีปี่มีขลุ่ย อิสึซาโอะ อาโอยาม่าเหงื่อแตกพลั่ก เขารีบเอ่ยถาม “บัตเลอร์ซังโกรธเรื่องอะไรครับ? เพราะอาหารไม่ถูกปากเหรอครับ? งั้นผมจะให้คนเปลี่ยนให้”


บัตเลอร์จ้องไปที่นางรำสองคนพลางพูดเสียงเย็น “เปล่า คุณอิสึ อาหารไม่มีปัญหา เจตนาดีของคุณผมได้รับแล้ว แต่ความคิดในใจของผู้หญิงสองคนนี้มีปัญหา คุณถามพวกเธอดู พวก**กำลังคิดอะไรในใจ?”


เขาทำแบบนี้ก็ออกจะรังแกกันเกินไปหน่อย คนอื่นคิดอะไรในใจเกี่ยวอะไรกับเขาด้วยล่ะ? ทุกคนก็เป็นมนุษย์ คุณบ่นโน่นนี่ได้ จะไปห้ามคนอื่นไม่ให้แม้แต่คิดก็ไม่ได้จริงไหม?


พูดได้แค่ว่าผู้หญิงสองคนนี้ซวยตามอิสึซาโอะ อาโอยาม่าไปด้วย บัตเลอร์มาโตเกียวเที่ยวนี้ก็เพื่อมาตอกย้ำอิสึซาโอะ อาโอยาม่าว่า ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็จะโดนจับผิด


ที่จริงบัตเลอร์รู้ว่าอาหารพวกนี้ล้วนเป็นอาหารชั้นเลิศของญี่ปุ่น ในฐานะนักธุรกิจอาหารทะเลแนวหน้าจะไม่รู้จักของพวกนี้ได้อย่างไร? แต่แล้วอย่างไรล่ะ? เขามาหาเรื่องจากที่ไม่เป็นเรื่อง ไม่ว่าอิสึซาโอะ อาโอยาม่าจะเตรียมอะไรมา เขาก็จะโกรธอยู่ดี


ที่จริงอิสึซาโอะ อาโอยาม่าก็เข้าใจเหตุผลนี้ดี แต่เขาเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ได้แต่ทนรับ ไม่มีทางตอบโต้ ในสถานการณ์แบบนี้ที่เขาทำได้ก็คือโกรธใส่ผู้หญิงทั้งสองคน ฟาดงวงฟาดงาไปตามบัตเลอร์


ดังนั้นพอบัตเลอร์พูดมาแบบนั้น เขาเองก็ตบโต๊ะทันทีแล้วตะโกนใส่ผู้หญิงทั้งสองคนนั้น “คุกเข่าลง ผู้หญิงน่าเกลียด! ยังไม่ขอโทษคุณผู้ชายคนนี้อีก? คิดจะทำอะไร?”


บัตเลอร์ทำหน้าบึ้งโมโหต่อไป ครั้งนี้เขาเตรียมหันปากกระบอกปืนไปที่อิสึซาโอะ อาโอยาม่า แต่เรือยอชต์ที่เคลื่อนที่อย่างราบรื่นหยุดกะทันหัน ลูกเรือคนหนึ่งวิ่งไปที่หัวเรือแล้วชี้โบ้ชี้เบ้ไปมา


ภาพนั้นทำให้บัตเลอร์ดีใจ กำลังจะหาข้ออ้างจัดการกับอิสึซาโอะ อาโอยาม่าอยู่พอดี ปรากฏว่าลูกน้องเขาไม่ได้เรื่อง คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับมารยาทมาก ตอนนี้สิ่งที่พวกลูกเรือทำถือเป็นพฤติกรรมที่ไร้มารยาท


อิสึซาโอะ อาโอยาม่าร้องโอดครวญในใจ ในขณะเดียวกันก็โกรธมาก ลูกเรือพวกนี้ยุ่งยากจริงๆ เขายืนขึ้นแล้วตะคอกด้วยความโกรธ “ไอ้พวกเบื๊อก! พวกทึ่ม เป็นอะไร? ทำไมจู่ๆ ถึงหยุดเรือ?!”


มีคนวิ่งเข้ามาอย่างร้อนรนแล้วพูดว่า “ประธานอิสึ รอบเรือยอชต์มีโลมาปรากฏตัว ถ้าเดินหน้าไปอีกก็จะชนถูกโลมาครับ”


อ่าวโตเกียวเจอโลมาได้บ่อยๆ ไม่อย่างนั้นคนญี่ปุ่นก็ไม่มีเทศกาลล่าโลมาหรอก แถวนี้มันอุดมสมบูรณ์ถึงมีอาชีพเกิดขึ้นมากมาย


อิสึซาโอะ อาโอยาม่าพูดหน้าบึ้ง “โลมาไม่ใช่ก้อนหินเสียหน่อย ขับไปเถอะ เดี๋ยวพวกมันก็หลบไปเอง พวกแกจะหยุดเรือทำไม?”


ลูกเรือคนนั้นพูดว่า “ครับ ประธานอิสึ คุณพูดถูก แต่คุณช่วยมาดูที่หัวเรือได้ไหม ครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน”


ในเมื่อลูกเรือว่าแบบนี้เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น อิสึซาโอะ อาโอยาม่าตามไปชะโงกหัวดูที่หัวเรือ บัตเลอร์ก็ตามไปดูด้วยความสงสัย จากนั้นก็เห็นโลมาที่เสียครีบหางไปครึ่งหนึ่งและไม่สามารถว่ายน้ำได้อย่างอิสระเป็นฝูง


“โอ้ แย่แล้ว!” บัตเลอร์อดด่าออกมาไม่ได้ “ใครตัดหางของโลมาทิ้งเนี่ย? ไอ้พวกโหดร้ายสมควรตาย! ที่อเมริกาถ้าทารุณสัตว์แบบนี้ต้องขึ้นศาลนะ!”


อิสึซาโอะ อาโอยาม่ากลับรู้ถึงแผนล้อมเลี้ยงโลมาที่อ่าวไทจิของกรมประมง แต่เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ตอนที่ควรมาจัดการเรื่องนี้ เขาก็เลยด่าไปตามบัตเลอร์


บัตเลอร์ด่าไปด่ามาจู่ๆ ก็อึ้งไป เขาเกาคางแล้วพูดขึ้น “เพื่อน นี่คือโลมาปากขวดที่น่ารักใช่ไหมเนี่ย?”


อิสึซาโอะ อาโอยาม่าพยักหน้าแล้วตอบว่าใช่


บัตเลอร์ถามอีก “โลมาพวกนี้เสียครีบไปครึ่งหนึ่ง ความสามารถในการเคลื่อนไหวลดไปมากใช่ไหม?”


อิสึซาโอะ อาโอยาม่าพยักหน้าตอบว่าใช่ต่อไป


จากนั้นบัตเลอร์ก็ยิ้มออกมา เขาเอามือถือออกมาโทรหาฉินสือโอว “เฮ้ เพื่อน นายต้องขอบคุณฉันแล้วล่ะ!”

 

 

 


บทที่ 1270 ขนส่งลูกปลา

 

“ขอบคุณนายเรื่องอะไร? ให้ตาย นายต้องอธิบายมานะ ไม่อย่างนั้นฉันเอานายตายแน่ พระเจ้าก็รู้ ที่นี่มันยังฟ้าสางอยู่เลย ฉันนอนอยู่นะ!” ฉินสือโอวด่าใส่ในโทรศัพท์ไปแบบงัวเงีย


เขารู้ว่าบัตเลอร์พูดเรื่องอะไร ที่จริงทั้งหมดนี้เป็นผลลัพธ์ที่เขาวางแผนไว้เอง


เดิมทีเขาก็กลุ้มอยู่ว่าจะจัดการโลมาพวกนี้อย่างไรดี ปล่อยตามธรรมชาติพวกมันก็อยู่ไม่ได้ แต่เขาก็ไม่สามารถเอากลับไปทะเลแอตแลนติกเหนือได้เหมือนกัน พวกมันสูญเสียความสามารถในการว่ายน้ำอย่างว่องไวไปแล้ว จะว่ายน้ำทางไกลไม่ได้


สายที่บัตเลอร์โทรไปตอนอยู่โตเกียวทำให้เขาเกิดไอเดีย ทำไมเขาไม่ให้บัตเลอร์ส่งโลมาพวกนั้นมาให้เขาล่ะ? ส่วนเรื่องจะส่งมาอย่างไร? เชื่อว่าเดี๋ยวลุงหนวดก็คิดออก


ดังนั้นเขาจึงตามดูความเคลื่อนไหวในโตเกียวของบัตเลอร์อยู่ตลอด ง่ายมาก แค่ดูทวิตเตอร์กับเฟซบุ๊กของเขาก็พอ ลุงนี่ต่อให้แค่เข้าห้องน้ำก็ต้องเซลฟีสักหน่อย!


ในตอนที่เขาขึ้นเรือยอชต์ของอิสึซาโอะ อาโอยาม่าออกทะเลฉินสือโอวก็รู้ดีว่าโอกาสของเขามาแล้ว ที่ต้องทำต่อไปก็คือเอาโลมาออกมาไว้ต่อหน้าบัตเลอร์


ส่วนเรื่องบัตเลอร์จะทำตามที่เขาคิดไว้หรือเปล่า? ฉินสือโอวเชื่อว่าเขาจะทำแบบนั้น หมอนี่ไม่มีทางปล่อยโอกาสที่จะทำให้ท่านชายฉินเป็นหนี้เขา


เพียงแต่ว่าจะทำทั้งหมดนี้ก็ต้องแสดงกันหน่อย ดีที่ท่านชายฉินถนัดเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ทำไงได้ ชีวิตเป็นดั่งละคร พึ่งทักษะการแสดงกันทั้งนั้น


บัตเลอร์กะพริบตาในขณะที่ฟังเสียงปลายสาย จากนั้นก็มองไปที่พระอาทิตย์ด้านนอกซึ่งอยู่สูงลิบถึงนึกขึ้นได้ “โอ้ ใช่ ที่นั่นคงจะเป็นตอนกลางคืน ขอโทษทีเพื่อน ฉันลืมไปว่าบนโลกนี้มีเรื่องเขตเวลาด้วย”


“สรุปฉันต้องขอบคุณนายเรื่องอะไร?” ฉินสือโอวเริ่มจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้ว แน่นอนว่านี่ก็ยังเป็นการแสดง


บัตเลอร์ตอบด้วยความตื่นเต้น “นายอยากจะทำการท่องเที่ยวชมโลมาไม่ใช่เหรอ? ทางฉันมีโลมาอยู่ เป็นโลมาปากขวดแสนน่ารักเชียวนะ นายสนไหม?”


ฉินสือโอวจึงแกล้งพูดแบบรำคาญ “เพื่อน ที่นี่ก็มีโลมา ที่ทำไม่ได้ก็เพราะพวกมันว่ายไปทั่ว”


“โลมาพวกนี้ว่ายไปไหนไม่ได้หรอก” บัตเลอร์พูดอย่างอารมณ์ดีแล้วเขาก็เล่าสถานการณ์ให้ฟังโดยละเอียด


ฉินสือโอวก็ตื่นเต้นแล้วพูดว่า “ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ? ให้ตาย คนญี่ปุ่นนี่โรคจิตชัดๆ! เรื่องนี้พวกนั้นต้องเป็นคนทำแน่เลยเชื่อไหม? นอกจากคนแล้วยังจะมีใครเฉือนหางโลมาทิ้งไปครึ่งหนึ่งจริงไหม?”


บัตเลอร์พูดอย่างเห็นด้วย “ที่นายว่ามาน่ะใช่เลย เพื่อน ไอ้เจ้าพวกคนญี่ปุ่นน่าตาย! เราจะต้องแก้แค้นให้โลมา เพื่อน เราต้องแก้แค้นให้พวกมัน!”


ฉินสือโอวตกใจ โอ้โห บัตเลอร์มีความคิดสูงส่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? หรือว่าจะกลายเป็นผู้พิทักษ์แห่งท้องทะเลสุดโต่งแบบเขาไปแล้ว?


บัตเลอร์พูดต่อไปอีก “พวกเราจะต้องเอาเงินจากพวกญี่ปุ่นให้สาสม! เอาเงินของพวกเขาไปให้หมดทุกเม็ด! พวกเราจะต้องตีตลาดอาหารทะเลต้าฉินในโตเกียว แก้แค้นให้กับเหล่าโลมาที่บาดเจ็บอย่างสาสม!”


ฉินสือโอว “นายพูดถูกแล้ว แต่ทำไมฉันถึงอยากจะพูดว่าหมาแก้นิสัยกินอึไม่ได้ล่ะ?”


บัตเลอร์กลอกตาพลางถามเขาว่าจะเอาไหม ฉินสือโอวตอบไปว่าเอาแน่นอนอยู่แล้ว โลมาพวกนี้ตัวเขาจอง แค่บัตเลอร์ส่งมาก็พอ


สุดท้ายเขาก็ถามบัตเลอร์อย่างระมัดระวัง “ทำไมจู่ๆ โลมาที่เสียครีบหางพวกนี้ถึงมาโผล่ข้างเรือนายได้? จะเป็นกับดักกลอุบายอะไรหรือเปล่า?”


บัตเลอร์ได้ยินแบบนั้นก็ระวังตัวขึ้นมา เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะถาม “เพื่อน นายหมายถึงว่า กรมประมงญี่ปุ่นจ้องเล่นงานเรา? ก็เลยวางกับดักนี้เพื่อให้เราติดกับ?”


ความคาดเดานี้ใช่ว่าไม่มีมูล ถ้าไม่มีโควตา โลมากับวาฬก็จะขนส่งกันตามใจชอบไม่ได้ โดยเฉพาะอเมริกาที่ไม่อนุญาตให้จับโลมาเป็นการส่วนตัว ถ้ากรมประมงญี่ปุ่นจับได้ตอนที่บัตเลอร์ขนส่งโลมาเขาจะต้องวุ่นวายแน่ๆ


ฉินสือโอวกลับวางใจ ที่เขากลัวก็คือบัตเลอร์จะเชื่อมโยงเรื่องนี้กับตัวเขา เพราะก่อนหน้านี้เขาเพิ่งจะบอกว่าอยากทำการท่องเที่ยวชมโลมา ทางนี้ก็มีโลมาโผล่มาพอดี


ขอแค่บัตเลอร์ไม่ได้เอาเขากับเรื่องนี้มาเชื่อมโยงกัน ฉินสือโอวก็ไม่ได้สนใจ


เพียงแต่ก็ต้องให้ความสำคัญกับการคาดเดาของบัตเลอร์เช่นกัน เขาถามว่า “งั้นนายคิดว่าจะทำอย่างไร?”


บัตเลอร์ตอบ “ไม่เป็นไร ฉันไม่คิดว่ามันเป็นกับดัก ก่อนอื่นเลยฉันไม่ได้มีประวัติเสียอะไร กรมประมงจะมาสนใจฉันทำไม? อีกอย่างพวกเขาตามดูแล้วอย่างไร? ของที่ราชาแห่งท้องทะเลอย่าง เจมส์ บัตเลอร์จะเอาไป พวกเขาห้ามได้ด้วยเหรอ?”


“เยี่ยม!” ฉินสือโอววางสายอย่างอารมณ์ดี เขาชอบบัตเลอร์ก็ตรงนี้ อย่างกับทหารจีนเสียไม่มี ไม่นานก็ได้ผลลัพธ์ ขอแค่ออกคำสั่ง เขาก็แก้ปัญหาได้หมด


ช่วงหลายวันหลังจากนั้นก็มีฟาร์มปลาอื่นเอาลูกปลากุ้งที่เขาสั่งไว้มาส่ง ปลาลิ้นหมาตัวเล็กมาถึงแล้ว พอเทลงฟาร์มก็รีบมุดลงชั้นทรายก้นทะเลทันที พวกมันจะใช้ชีวิตในแถบทะเลนี้ต่อไป


ในขณะเดียวกันฉินสือโอวก็ต้องเตรียมส่งลูกปลาของฟาร์มปลาออกไป ครั้งนี้เขาถือว่าเห็นแก่หน้าแมทธิว จิน ลูกปลาที่ทางฟาร์มปลามีนั้นหลากหลายมาก ปลาที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจก็แทบจะส่งออกไปทั้งหมด


ปลาซาบะ ปลาแฮร์ริ่ง ปลาคาพีลิน ปลาเเซลมอนแปซิฟิกชนิดต่างๆ ปลากะพงญี่ปุ่น ปลาจะละเม็ดขาวนิวฟันด์แลนด์ ปลาแฮลิบัตหลากชนิด นอกจากนี้ยังมีปูหิมะด้วย


แน่นอนว่าพวกชาวประมงอยากได้กุ้งมังกรมากที่สุด ตอนนี้มีเพียงฟาร์มปลาต้าฉินที่สามารถผลิตกุ้งมังกรได้มากมาย และตลาดกุ้งมังกรในตอนนี้ก็เข้าสู่ช่วงที่พีคที่สุดในประวัติศาสตร์ ราคาสูงลิบลิ่ว!


ฉินสือโอวถึงไม่ขายลูกกุ้งมังกร แบบนั้นก็เท่ากับแกว่งเท้าหาเสี้ยน เขายินดีขายลูกปลากับลูกปูก็ถือว่าเกรงใจเจ้าของฟาร์มปลาพวกนี้มากแล้ว


มาคิดๆ ดูแล้วเขาก็ตัดสินใจส่งลูกปลาไปให้คาร์เตอร์ที่เป็นคู่แข่งก่อน ตอนนั้นเขาประมูลมาสามชนิด มีลูกปลาแฮลิบัตแอตแลนติก ลูกปลาค็อดแอตแลนติก และปลาแฟงค์ทูธ


ทางฟาร์มปลาไม่มีเรือส่งลูกปลาโดยเฉพาะ เขาจึงต้องโทรหาบิล ให้เขาติดต่อเรือขนส่งลำหนึ่งผ่านบริษัทประมงให้ที


บิลมาถึงพร้อมกับเรือขนส่ง ตอนที่พวกชาวประมงจับลูกปลามาแล้วส่งขึ้นเรือ เขาก็มาคุยกับฉินสือโอว “ผมดูข่าวมา เพื่อน ครั้งนี้คุณซื้อปลาดีๆ ได้มากมาย ฟาร์มปลาจะขยายครั้งใหญ่ ใช่ไหมครับ?”


ฉินสือโอวตอบ “แน่นอน ทุกวินาทีนี้ผมไม่รอที่จะขยายอีกแล้ว ขอโทษจริงๆ ที่ไม่ได้ซื้อลูกปลาผ่านทางคุณ แต่ก็อยากให้คุณเข้าใจว่าผมก็ต้องไว้หน้าท่านรัฐมนตรีแมทธิว จินด้วย”


ได้ยินเขาพูดแบบนั้นบิลก็ยิ้มออกมาแล้วพูดอย่างอารมณ์ดี “ไม่ๆ ฉิน คุณเกรงใจเกินไปแล้ว แน่นอนว่าคุณไม่จำเป็นต้องซื้ออะไรจากทางผม แต่ว่าที่ผมมาครั้งนี้ก็อยากจะแนะนำของให้คุณหน่อย”


“อะไรเหรอ?” ฉินสือโอวถามด้วยความสงสัย


“ของดี หอยเม่นเอ็กไคโนคอคคัส!” บิลพูดอย่างภูมิอกภูมิใจ


เอาจริงๆ พอเห็นฟาร์มปลาต้าฉินซื้อลูกปลามากมายขนาดนั้นในงานประมูล บิลก็ร้อนใจมากๆ เพราะถ้าฉินสือโอวบอกกับเขาว่าอยากจะขยายฟาร์มปลา เขาก็เอาลูกปลาพวกนี้มาแนะนำขายให้ฉินสือโอวไปนานแล้ว


พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เดิมทีเงินที่เขาควรจะได้ สุดท้ายปลิวไปอยู่ในกระเป๋าคนอื่น เขาจะไม่ร้อนใจได้อย่างไร?

 

 

 


บทที่ 1271 ผิดปกติ

 

เพียงแต่ทุกอย่างมีสองด้านเสมอ พอรู้ว่าฟาร์มปลาต้าฉินเริ่มขยายฟาร์มและชนิดของสัตว์น้ำ บิลก็ดีใจ


ปีที่ผ่านมานี้ ฟาร์มปลาต้าฉินไม่ได้ซื้ออะไรจากเขาเลย ฟาร์มปลาสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองแบบนี้บิลก็ไม่สามารถได้เงินจากฉินสือโอว


เขาเคยถามฉินสือโอวว่าจะขยายฟาร์มปลาไหม คำตอบที่ได้ก็คือฟาร์มปลาก็ใหญ่พอแล้ว ตอนนี้ที่ต้องทำคือรอให้ลูกปลาเติบโต ไม่ใช่ขยายไปแบบมั่วๆ


ดีล่ะ ตอนนี้พอฟาร์มปลาเข้าสู่สภาวะขยายกิจการอีก ทรัพยากรในมือเขาก็มีประโยชน์อีกครั้ง


ครั้งนี้ที่บิลมาเขาเตรียมทรัพยากรประมงมากมายมาแนะนำฉินสือโอว แต่ใช่ว่าจะทำได้ในคราวเดียว ต้องค่อยๆ ทำ แผนเบื้องต้นของเขาคือก่อนสิ้นเดือนนี้ต้องส่งทรัพยากรหนึ่งอย่างมาให้ฟาร์มปลาต้าฉิน


เรื่องอะไรก็ยากตอนเริ่ม และตอนเริ่มสำคัญมาก บิลเตรียมทรัพยากรสำคัญมาโดยเฉพาะเพื่อที่จะให้ฉินสือโอวเห็นความสำคัญของเขาอีกครั้ง นั่นก็คือหอยเม่นเอ็กไคโนคอคคัส


เขาเอาคู่มือการเลี้ยงกับของตัวอย่างมาด้วย ฉินสือโอวเอาขึ้นมาดูแล้วเอ่ยถาม “นี่ก็คือหอยเม่นเอ็กไคโนคอคคัสเหรอ? เป็นอะไรที่น่ารักมากเลย”


หอยเม่นพวกนี้ถูกบรรจุในขวดเหมือนเม่นแคระ ทั้งตัวมีหนามสีม่วงดำขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น ขนาดใหญ่เพียงแค่ลูกปิงปอง เปลือกนอกเป็นทรงครึ่งวงกลม ความสูงของเปลือกมากกว่าเส้นผ่าศูนย์กลางราวครึ่งหนึ่ง


บิลพยักหน้าอย่างอารมณ์ดี “ใช่แล้ว หอยเม่นเอ็กไคโนคอคคัส นี่เป็นหนึ่งในโครงการทางการประมงสำคัญที่แคนาดากับประเทศของคุณร่วมกันเพาะเลี้ยง หอยเม่นตัวเมียนำเข้ามาจากเมืองไห่เฉิงทั้งนั้น คุณภาพดีที่สุดอย่างแน่นอน”


พูดไป เขาก็ขยิบตาให้ฉินสือโอวแล้วกล่าวว่า “คุณรู้เกี่ยวกับโครงการร่วมนั่นใช่ไหมครับ? ฟาร์มปลาพันเจียเข้าร่วมการเพาะเลี้ยง โครงการในนั้นมีแต่ของลึกลับสำคัญๆ ทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าใครจะได้มาก็ได้”


ฉินสือโอวมองดูหอยเม่นนั้นแล้วพูดยิ้มๆ “ทำได้ดีมากบิล ผมคิดไม่ผิดจริงๆ ว่าคุณมันเก่งกว่าคนอื่น”


ที่จริงเขาไม่รู้เรื่องหอยเม่นเอ็กไคโนคอคคัสเลย รู้สึกว่าที่แคนาดาจะไม่มีหอยเม่นประเภทนี้ เพียงแต่ดูจากท่าทีจริงจังของบิลแล้ว เขาเดาว่าสิ่งนี้คงจะล้ำค่ามาก


พอฉินสือโอวชม บิลก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจ เขาถามว่า “งั้นคุณมีแผนอะไรไหมครับ? กะว่าจะเลี้ยงหอยเม่นสักเท่าไรดี?”


ฉินสือโอวไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับสิ่งนี้ เขาจะตอบมั่วๆ ไม่ได้จึงตอบไปว่า “เรื่องนี้อีกสองสามวันผมค่อยติดต่อคุณไปโอเคไหม? ตอนนี้ผมต้องไปส่งลูกปลาพวกนี้ก่อน”


บิลยักไหล่ แต่ในใจกลับผิดหวังขึ้นมา ตามที่เขารู้จักฉินสือโอว หมอนี้เป็นเศรษฐี ใช้เงินทีไม่เคยเสียดาย ซื้อแต่ของที่ดีที่สุดไม่ใช่ถูกที่สุด


ตามการคาดเดาของเขา ฉินสือโอวเห็นหอยเม่นเอ็กไคโนคอคคัสก็น่าจะดีอกดีใจสิ การแสดงออกของเขาตอนนี้ดูนิ่งเกินไปแล้ว


พอเป็นแบบนี้บิลก็อดคิดเยอะไม่ได้ หรือว่าจะมีบริษัทผลิตภัณฑ์ทางทะเลอื่นมาทำงานกับฉินสือโอวแล้ว?


นี่ทำให้เขาเสียวสันหลัง สุดท้ายจึงกัดฟัน ตัดสินใจว่าจะกลับไปเอาของดีในกรุออกมาให้หมด ลูกค้ารายใหญ่อย่างฉินสือโอว เขาต้องคว้าเอาไว้ให้มั่น!


พอลูกปลาถูกส่งขึ้นเรือ ฉินสือโอวก็ลาวินนี่ ออกเรือแล่นไปทางแถบทะเลรัฐโนวาสโกเชีย เอาลูกปลาไปส่งคาร์เตอร์


ฟาร์มปลาของคาร์เตอร์ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีมาก อยู่ที่ชายทะเลเคจิมกูจิกของรัฐโนวาสโกเชีย ติดทางใต้มากกว่าฟาร์มของนิโค ตู้อีก ในหมู่ฟาร์มปลาแคนาดา อุณหภูมินี้ถือว่าเหมาะสมที่สุด


ปลาทะเลของมหาสมุทรแอตแลนติกประกอบไปด้วยปลาเขตขั้วโลกกับเขตอบอุ่นเป็นหลัก ชนิดของสัตว์ทะเลบนโลกมีหลากหลาย ส่วนมากจะใช้ชีวิตในเขตร้อน ดูจากพวกปลา ชนิดปลาทะเลเขตอบอุ่นและขั้วโลกมีสัดส่วนไม่ถึง 18%!


ฉะนั้นในมหาสมุทรแอตแลนติก โดยปกติแล้วยิ่งค่อนไปทางใต้ปลาทะเลในฟาร์มก็จะยิ่งเยอะ


นอกจากนี้อีกสาเหตุที่บอกว่าฟาร์มปลาคาร์เตอร์ดีก็เพราะทางแถบใต้ของฟาร์มมีแม่น้ำเซนต์แคเทอรีนส์ แม่น้ำสายนี้ยาวไปถึงทะเลสาบออนแทรีโอ ต่างกับห้วยจากเขาสูงเล็กๆ ของฟาร์มปลาต้าฉิน นี่คือแม่น้ำลำธารของจริง!


สำหรับฟาร์มปลาแล้ว การมีแม่น้ำสายใหญ่ล้อมรอบถือว่าได้เปรียบ ก่อนอื่นจุดเชื่อมต่อระหว่างน้ำจืดกับน้ำทะเลมักจะมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ สามารถดึงดูดปลากุ้งให้มาอาศัยได้มากมาย อีกอย่าง ถ้าเกิดรอบๆ มีแม่น้ำสายใหญ่ ฟาร์มปลาก็จะสามารถรองรับทรัพยากรปลาจำนวนมากที่จำเป็นต้องอพยพไปยังแหล่งน้ำจืด


ใช้เวลาไปสิบสี่ชั่วโมง ตอนฟ้าสาง เรือขนส่งถึงเดินทางมาถึงฟาร์มปลาคาร์เตอร์


หลังจากที่เข้าสู่แถบทะเลฟาร์มปลา เรือขนส่งกลับไม่สามารถจอดเทียบได้ เพราะฟาร์มปลาของคาร์เตอร์มีแค่ท่าเรือเล็ก ระดับน้ำตื้นเกินไป เรือขนส่งขนาดใหญ่ไม่สามารถจอดเทียบท่าได้ จำเป็นต้องมีเรือขนส่งขนาดกลางมารับช่วงต่อ


ฉินสือโอวยืนอยู่ที่หัวเรือ ลมยามค่ำคืนโหมพัด เขาสัมผัสกับมันแล้วส่ายหน้า


ชาร์คที่อยู่ข้างๆ ก็ส่ายหน้าเช่นกัน เขาพูดว่า “บอส บอสคิดว่าฟาร์มนี้เล็กไปใช่ไหม?”


ฟาร์มปลาคาร์เตอร์ขึ้นชื่อว่าเป็นฟาร์มปลาส่วนตัวอันดับสองของนิวฟันด์แลนด์ ที่วัดก็คือปริมาณการผลิต เพราะทำเลดี ฟาร์มปลาของเขาอุดมสมบูรณ์มาก บวกกับแต่ก่อนยังมีตระกูลมอร์รี่ช่วยค้ำจุน ปริมาณผลผลิตจึงเยอะมาก


แต่ถ้าพูดถึงขนาด ฟาร์มนี้ไม่ถือว่าใหญ่ ฉินสือโอวอ่านข้อมูลเบื้องต้นมา ชายฝั่งทะเลของฟาร์มปลาคาร์เตอร์มีเพียงยี่สิบห้ากิโลเมตร ที่แคนาดาซึ่งมีประชากรน้อยบนอาณาเขตกว้างขวาง เนื้อที่ฟาร์มปลาเท่านี้ถือว่าธรรมดา


เนื้อที่ของฟาร์มปลาต้าฉินก่อนรวมฟาร์มปลาใหญ่ทั้งห้าของเกาะแฟร์เวลนั้นชายฝั่งทะเลก็ถึงยี่สิบกิโลเมตรแล้ว พอรวมกันก็ยิ่งใหญ่โต ทั้งสองเทียบกันไม่ได้เลย


ชาร์คเพิ่งพูดออกไป ฉินสือโอวก็กลอกตาแล้วพูดว่า “ที่ฉันส่ายหน้าเพราะลมทะเลที่นี่ก็ไม่ได้อบอุ่นไปกว่าฟาร์มเรา ใครมันมาโม้กับฉัน บอกว่าห่างกันแค่รัฐเดียว รัฐโนวาสโกเชียเทียบกับนิวฟันด์แลนด์ก็เหมือนเส้นศูนย์สูตร?”


ชาวประมงรอบข้างหัวเราะออกมา ชาร์คหัวเราะพลางส่ายหน้า “จะเป็นไปได้อย่างไร ถึงจะห่างกันหนึ่งรัฐ แต่มันจะไกลสักแค่ไหนกันเชียว?”


ตอนที่พวกเขาคุยกันอยู่ ตรงท่าเรือของฟาร์มปลาคาร์เตอร์ก็มีเรือขนส่งขนาดเล็กสองสามลำแล่นมา จากนั้นไฟของฟาร์มปลาก็สว่างขึ้น ดูท่าคาร์เตอร์จะคอยพวกเขาอยู่นานแล้ว


ตอนนั้นในงานประมูล ฉินสือโอวโกงคาร์เตอร์ไปทีหนึ่ง ครั้งนี้เขามาคนเดียว คาร์เตอร์ต้องหาเรื่องเขาแน่ๆ เหมือนกับที่นิโค ตู้เจอมา โดนเขาตัดรายได้ลูกปลาไปสองส่วนอย่างเจ้าเล่ห์


ปรากฏว่าพอคาร์เตอร์ขึ้นเรือมาก็จับมือกับเขาอย่างสนิทสนมแล้วถามขึ้น “โอ้ เพื่อน เดินทางมาลำบากมากใช่ไหม? ไปฟาร์มผมเถอะ ผมเตรียมของว่างไว้ ทุกคนผ่อนคลายกันหน่อย เรื่องบนเรือนี่เดี๋ยวผมจัดการเอง”


ถ้าบางอย่างผิดปกติจะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ ฉินสือโอวมองดูคาร์เตอร์ที่ยิ้มตาหยีแล้วเอ่ยถาม “จะตรวจเช็กตอนนี้เหรอ? แสงไม่ค่อยพอ ไม่เหมาะเท่าไรมั้ง?”


เทียบกับตอนงานประมูล คาร์เตอร์ในตอนนี้ราวกับกลายเป็นคนล่ะคน ใจกว้างเปิดเผย เขาตบบ่าฉินสือโอวแล้วพูดยิ้มๆ “โอ้ ฉิน พูดแบบนี้ก็เป็นการหัวเราะเยาะผมสิ? จะไม่เหมาะได้อย่างไร? ที่จริงผมคิดว่าไม่ต้องตรวจหรอก ใครจะไม่เชื่อฉินล่ะ ใช่ไหมเพื่อนยากทั้งหลาย?”


ตอนท้ายเขาหันไปถามชาวประมงที่มากับฉินสือโอว


พวกชาวประมงยิ้มแบบไม่เป็นธรรมชาติ บูลกดฉมวกปลาสั้นที่เหน็บบนเข็มขัดลงไปอีก อีวิลสันยิ่งทำหน้าสับสนแล้วพูดถามบูลพึมพำ “บูล ไม่ได้มาตีกันเหรอ?”


ฉินสือโอวพูดย้ำแล้วย้ำอีกถึงความแค้นระหว่างเขากับคาร์เตอร์ แล้วยังบอกพวกเขาด้วยว่า มาถึงฟาร์มปลาคาร์เตอร์ ขอแค่ไม่สบอารมณ์ก็ไม่ต้องพูดมาก เล่นมันเลย!


ดูท่าตอนนี้เหมือนจะไม่ใช่แบบนั้นนะ

 

 

 


บทที่ 1272 เป็นแบบนี้นี่เอง

 

คาร์เตอร์ไม่ได้แค่พูดเฉยๆ เขาเริ่มจากเซ็นชื่อลงบนสัญญารับลูกปลาที่ฉินสือโอวเอามา จากนั้นก็พาเขาไปกินของว่างในฟาร์มอย่างใจกว้าง ยังบอกอีกด้วยว่าเขาไปซูเปอร์มาร์เก็ตจีนเพื่อซื้อบัวลอยมาให้โดยเฉพาะ


“ผมเพิ่งรู้เมื่อกี้นี้เอง ความหมายของบัวลอยก็คือสิ่งที่สวยงามมาก พร้อมหน้าพร้อมตาใช่ไหม?” คาร์เตอร์ยิ้มแย้มด้วยความเบิกบาน “ที่ผมเลือกอาหารนี้ก็เพราะความหมายของมัน เพื่อน การที่เราได้มาอยู่พร้อมหน้ากันแบบนี้ก็หาไม่ได้ง่ายๆ ไม่ใช่เหรอ?”


ฉินสือโอวอยากจะบอกว่าแน่นอนว่าไม่ เราเป็นศัตรูกันไม่ใช่หรือไง? จู่ๆ แกมาเปลี่ยนเป็นคนล่ะคนแบบนี้คิดจะทำอะไร?


แต่ว่าคนดีมาจะฉีกหน้าก็ไม่ดี ฉินสือโอวไม่กลัวอิทธิพลที่คาร์เตอร์มีในท้องที่ เขาติดกล้องไว้ที่เรือก่อนหน้าที่เขาจะมาเรียบร้อยแล้ว ขอแค่คาร์เตอร์กล้าท้าทายเขา เขาก็กล้าตะลุมบอน!


ปรากฏว่าคาร์เตอร์ไม่ใช่แค่ไม่ได้ท้าทายเขา ยังแทบจะประจบเขาด้วย…


ตอนที่ลงจากเรือ ฉินสือโอวเรียกชาร์คและคนอื่นๆ ให้มาหาแล้วกระซิบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ต้องมีกับดักแน่! ฉันว่าของว่างอาจมีปัญหา เพราะฉะนั้นอีกเดี๋ยวกินอะไรต้องระวัง แซ็ก นายกินก่อน รู้ไหม?”


แซ็กพยักหน้าแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงหนักแน่น “ไม่มีปัญหากัปตัน ผมเคยเป็นพ่อครัว ถ้าอาหารมีปัญหา ผมว่าผมชิมดูก็รู้”


ฉินสือโอวมองเขาแล้วถามอย่างประหลาดใจ “นายมีความสามารถนี้ด้วยเหรอ?”


แซ็กยิ้มอย่างมั่นใจ จากนั้นก็รู้สึกทะแม่งๆ เลยถามว่า “คุณไม่รู้? โอ้บอส ถ้าบอสไม่รู้ งั้นทำไมให้ผมกินก่อน?”


ฉินสือโอวบีบไหล่ของเขาแล้วเขย่าไปมาก่อนจะพูดว่า “ฉันเห็นว่านายสุขภาพแย่ที่สุด ภูมิคุ้มกันต่ำที่สุด ถ้าของว่างมีพิษ นายจะออกอาการก่อนใคร ก็เลยให้มาลองพิษ”


แซ็ก “…”


วันนี้อากาศไม่ดี ท้องฟ้าไร้ซึ่งดวงจันทร์และดวงดาว ฉินสือโอวย่างไปบนหาดทรายแล้วเงยหน้าขึ้นพลางพูดพึมพำ “ตามละครทีวี สภาพอากาศแบบนี้ ให้ตายเถอะ ไม่มีเรื่องดีหรอก”


แต่ที่จริงก็คือคาร์เตอร์อย่างกับจู่ๆ เปลี่ยนไปเป็นคนล่ะคน หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้เล่นลูกไม้อะไร ตอนกินของว่างก็มีแต่เขากับภรรยาที่ยุ่งหัวหมุน คนอื่นๆ ในฟาร์มปลาล้วนกำลังยุ่งกับการขนลูกปลาลงจากเรือ


ถ้าเป็นเมื่อสามปีก่อน ฉินสือโอวมาเจอแบบนี้คงจะรู้สึกดีกับคาร์เตอร์เต็มเปา ส่วนความขัดแย้งก่อนหน้านี้? ก็อาจจะเป็นการเข้าใจผิดก็ได้นี่


พอมาที่แคนาดา แม้จะผ่านเรื่องแย่ๆ มาไม่มาก แต่ก็อยู่ในวงการ ฉินสือโอวสัมผัสกับอะไรมากมาย ตัวเขาก็โตขึ้นเยอะ


นอกจากคนข้างตัว เขาไม่วิเคราะห์คนคนหนึ่งจากความชอบง่ายๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้ว และไม่ตัดสินคนคนหนึ่งว่าเป็นคนดีหรือไม่ดีง่ายๆ


เขาเชื่อว่าที่คาร์เตอร์เปลี่ยนไปแบบนี้จะต้องมีสาเหตุแน่ๆ


อย่างที่คิด พอกินของว่างเสร็จ คาร์เตอร์ก็คุยกับเขา ไปๆ มาๆ จู่ๆ ก็วกเข้าเรื่องลูกปลา


เขาพูดว่า “เมื่อกี้พรรคพวกของผมบอกมาแล้ว ฉิน ลูกปลาของคุณพลังชีวิตดีมาก แทบไม่มีปลาตายเลย ช่างน่าตกใจจริงๆ”


ฉินสือโอวพูดยิ้มๆ “อ๋อ ผมก็เป็นแบบนี้แหละ เป็นคนซื่อตรง ทำธุรกิจสุจริต ลูกปลาที่ผมเอามาก็มีแต่ที่ดีที่สุดในฟาร์มทั้งนั้น ไม่มีเชื้อโรคแบคทีเรียแน่นอน”


บูลกัดฟันกระซิบเสียงค่อย “กัปตันหน้าไม่อายจริงๆ ช่างกล้าพูด พูดมั่วซั่วได้ซึ่งๆ หน้า น่ากลัวจริงๆ”


ชาร์คเตะเขาหนึ่งทีแล้วก่นด่าออกมา “อีวิลสัน อัดไอ้งั่งนั่น!”


เป็นคนซื่อตรง ทำธุรกิจสุจริต ฉินสือโอวเรียกตัวเองแบบนี้ก็ไม่ผิด เขาสุจริต และซื่อตรงกับนิโค ตู้และคนอื่นๆ แต่กับคาร์เตอร์ก็ไม่ใช่แบบนั้นแล้ว


ลูกปลาพวกนี้ ที่จริงฉินสือโอวเป็นคนเลือกออกมา ลูกปลาที่ดีกว่านี้เอาไปให้ฟาร์มปลาอื่น ส่วนลูกปลาพวกนี้ล้วนแล้วแต่คุณภาพค่อนข้างแย่ทั้งนั้น


อีกอย่างกับเจ้าของฟาร์มปลาอื่นเขายังเตรียมพวกสาหร่ายกับพืชน้ำจากฟาร์ม เพื่อให้พวกเขาเอาไว้เป็นอาหารปลาดึงดูดให้ปลาอยู่ แต่กับคาร์เตอร์เขาไม่ได้เอาของพวกนี้มาด้วย


เรื่องพวกนี้คาร์เตอร์ไม่รู้ ได้ฟังฉินสือโอวพูดแบบนั้น เขาก็พูดยิ้มๆ อย่างเห็นด้วย “ใช่ ใช่ เพื่อน คุณเป็นคนดีแบบนั้นเลย ผมต้องขอโทษคุณด้วย ไม่กี่วันก่อนที่ท่าเรือบาสก์ ผมเลอะเลือนไปหน่อย เลยทำเรื่องที่ไม่ค่อยเป็นมิตรกับคุณไป ขอโทษจริงๆ”


ฉินสือโอวรีบโบกมือแล้วบอกว่าไม่มีปัญหา พอคาร์เตอร์ได้คำอภัยจากเขาก็พูดโทษตัวเองอีกสองสามคำ หลังจากนั้นเขาก็พูดอย่างสบายๆ ว่า “ผมได้ยินมาว่า เพื่อน คุณรู้วิธีการเพาะเลี้ยงปลาทูน่า? จริงหรือเปล่า?”


ฉินสือโอวพูดยิ้มๆ “จะเป็นไปได้อย่างไร? ใครก็รู้ว่าปลาทูน่าไม่สามารถเพาะเลี้ยงได้ พวกมันไม่อยู่ในแถบทะเลเดียวนานๆ ไม่ใช่เหรอ?”


คาร์เตอร์ยิ้มพลางพยักหน้าตอบว่าใช่ ฉินสือโอวมองไปทางเขา และถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ เช่นกัน “คุณไปฟังใครมา ว่าฟาร์มปลาของผมสามารถเพาะเลี้ยงปลาทูน่าได้?”


ต้องขอบคุณพลังโพไซดอนที่ปรับเปลี่ยนสมองของเขา ตอนนี้แม้ว่าเขาจะไม่ใช่อัจฉริยะ แต่ปฏิกิริยาตอบโต้ ความจำต่างก็พัฒนาขึ้นมาก คาร์เตอร์เพิ่งจะพูดคำนั้นออกมา เขาก็พอจะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น


โดนัลด์เคยบอกเขาว่า คาร์เตอร์กับตระกูลมอร์รี่สนิทกันมาก และตระกูลมอร์รี่รู้ว่าฟาร์มปลาของเขามีปลาทูน่าครีบน้ำเงินกับฝูงปลาโอแถบ ปีที่แล้วยังส่งเรือดำน้ำมาขโมยปลาด้วย


นอกจากตระกูลมอร์รี่ คนที่รู้ว่าฟาร์มปลาเขามีฝูงปลาทูน่าก็คือบัตเลอร์ เทซึกะ โกดะ นิชิมุระ เร็น เป็นต้น


แต่บัตเลอร์จะไม่สะพัดข่าวนี้ออกไปแบบโง่ๆ แน่ นิชิมุระ เร็นกับคาร์เตอร์ไม่มีความเกี่ยวข้องกันเห็นๆ อยู่แล้ว ส่วนเทซึกะ โกดะกำลังตีกับอิสึซาโอะ อาโอยาม่าที่โตเกียว


แบบนี้เกิดอะไรขึ้นไม่ต้องอธิบายก็รู้ๆ กันดี


ตระกูลมอร์รี่รู้ว่าคาร์เตอร์กับเขาทำงานร่วมกัน หลังจากนั้นคงจะมาหาคาร์เตอร์ ให้เขาไปผูกมิตรกับฉินสือโอวดีๆ แล้วล้วงวิธีเพาะเลี้ยงปลาทูน่ามาให้ได้


ใครจะทำอะไรฝืนใจถ้าไม่มีแรงจูงใจ ถ้าไม่ใช่เพราะมีผลประโยชน์ล่อตาอยู่ คาร์เตอร์จะดีกับฉินสือโอวขนาดนี้เหรอ? ท่านชายฉินไม่เชื่อเด็ดขาด!


พอได้ยินฉินสือโอวถามแบบนั้น รอยยิ้มของคาร์เตอร์ก็ดูฝืนขึ้นมาสักหน่อย จากนั้นเขาก็รีบเปลี่ยนเรื่องคุยว่า “ผมออกไปดูหน่อยนะ ให้ตาย ตอนนี้ชาวประมงทั้งขี้เกียจทั้งเหลี่ยมเยอะ ผมต้องคอยคุมพวกเขาทำงาน”


รอจนคาร์เตอร์ออกไป ฉินสือโอวถึงพูดขึ้น “โอเค ทุกคนผ่อนคลายเถอะ คืนนี้พวกเราพักผ่อนดีๆ หมอนั่นมีเรื่องขอฉัน เขาไม่กล้าหาเรื่องฉันหรอก”


พวกชาวประมงถอนหายใจ จากนั้นบูลก็เอาฉมวกปลาสั้นออกมาจากเข็มขัด ชาร์คโยนมีดแล่ปลาลง ซีมอนสเตอร์เอาประแจขนาดใหญ่ออกมา อีวิลสันยิ้มทึ่มๆ พลางหยิบปืนพกออกมาจากกระเป๋ากางเกง


“ให้ตาย แกไปเอาสิ่งนี้มาจากไหน?” ฉินสือโอวเหงื่อตก


อีวิลสันยิ้มซื่อบื้อ “แบล็คไนฟ์ให้ผมมา ฮ่ะๆ”


สภาพอากาศขมุกขมัวขึ้นเรื่อยๆ ทะเลก็เป็นแบบนี้ ตอนกลางวันอาจจะท้องฟ้าปลอดโปร่ง ตกกลางคืนก็คลื่นสูงโหมซัด ฝนตกโปรยปราย


เม็ดฝนยามเที่ยงคืนตกเปาะแปะลงมา ตอนเช้าฉินสือโอวตื่นนอน เห็นฝนข้างนอกตกหนักอึมครึม ฝนโหมซัดลงมาจากฟ้าราวกับเปิดก๊อกน้ำ


ฉินสือโอวยักไหล่จนใจแล้วพูดกับพวกชาวประมง “ดูท่าว่าพวกเราคงไปไหนไม่ได้ชั่วคราว ชาร์ค ไปดูพยากรณ์อากาศหน่อย แล้วมาบอกฉันทีว่าหลายวันหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร”

 

 

 


บทที่ 1273 คืนที่ไฟตัด

 

ชาร์คล้วงมือถือออกมาเลื่อนไปมาอยู่หลายนาทีก็ยังหาคำตอบไม่ได้ ฉินสือโอวเริ่มรำคาญจึงเอ่ยขึ้น “ไม่มีใครเอาแล็ปท็อปมาด้วยเหรอ? ใช้คอมพิวเตอร์สิ เวลาแบบนี้ยังจะใช้มือถือทำไม?”


ใครจะรู้ว่าชาร์คกำลังรอเขาพูดคำนี้อยู่ พอเขาเพิ่งพูดจบ ชาร์คก็ชูมือถือสีทองหรูหราขึ้นมาอวด “มือถือผมเจ๋งมากนะ แอปเปิล 6s ผมเพิ่งเปลี่ยนมา ฟังก์ชันเยี่ยมมาก”


ฉินสือโอวจนใจ เขาพูดแบบไม่ไยดี “ฉันเกลียดมือถือ รีบบอกเรื่องสภาพอากาศฉันมาเร็วๆ”


ชาร์คเบ้ปากแบบเคืองๆ ผ่านไปสองสามวินาที ใบหน้าเขาก็เผยสีหน้าแปลกๆ ออกมา “เอ๋ โชคพวกเราดีขนาดนี้เลยเหรอ?”


ฉินสือโอวนึกว่าเขาพูดประชดจึงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เป็นอะไรไป ไม่ใช่ว่าฝนจะตกหนักไปหลายวันนะ? ให้ตายเถอะ เสี่ยวเถียนกวาคิดถึงฉันแย่”


บูลหัวเราะออกมาอย่างร่าเริง “ฮ่ะๆ บูลน้อยไม่คิดถึงผม ผมก็ไม่คิดถึงเขา”


พวกชาวประมงอึ้ง พวกเขากวาดมองดูระหว่างบูลและอีวิลสันด้วยสายตาแปลกๆ หรือว่าความทึ่มมันจะติดต่อกันได้?


ชาร์คไม่ได้แซวบูล เขาส่ายมือถือในมือไปมาแล้วพูดขึ้น “เปล่า ที่ฝนตกหนักครั้งนี้เพราะพายุไซโคลนเข้า ทางตอนเหนือของรัฐโนวาสโกเชียและทางตอนใต้นิวฟันด์แลนด์ก็มีพายุฝนเข้า แต่ไม่นานนักหรอก ช้าสุดพรุ่งนี้ก็อากาศปลอดโปร่งแล้ว”


“ที่ผมบอกว่าโชคดี เพราะครึ่งเดือนให้หลังนี้จะมีซูเปอร์พระจันทร์สีเลือด!”


ฉินสือโอวรับมือถือมาดู กรมอุตุประกาศข่าวออกมา บอกว่าครึ่งเดือนให้หลังจะมีปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวง ถึงตอนนั้นที่ต่างๆ ในเซนต์จอห์นก็สามารถเห็นปรากฏการณ์นี้ได้


จันทรุปราคาเต็มดวงเป็นจันทรุปราคาแบบหนึ่ง ดวงจันทร์ โลก ดวงอาทิตย์จะโคจรมาอยู่เรียงเป็นเส้นเดียวกัน พอดวงจันทร์ทั้งดวงโคจรไปอยู่ในเงาของโลก พื้นผิวดวงจันทร์ก็จะมืดและเกิดเป็นจันทรุปราคาเต็มดวง


นอกจากนี้ เพราะพอดวงจันทร์เข้าสู่เงาของโลกโดยสมบูรณ์ แสงแดดที่สะท้อนจากพื้นผิวโลกจนทำให้ดวงจันทร์ดูมีสีเลือด ดังนั้นคนแคนาดาจึงเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า พระจันทร์สีเลือด


อเมริกาเหนือมีตำนานเกี่ยวกับพระจันทร์สีเลือดมากมาย ที่แพร่หลายมากที่สุดคงหนีไม่พ้นการต่อสู้แห่งศตวรรษระหว่างมนุษย์หมาป่าและแวมไพร์


ตำนานมนุษย์หมาป่าและแวมไพร์ถูกเล่าขานในยุโรปมาสิบกว่าศตวรรษแล้ว ชาวอเมริกาเหนือก็คือลูกหลานของคนยุโรป แน่นอนว่าก็มีความเชื่อแบบเดียวกัน


ทุกคนรู้ดี คนมักคิดว่ามนุษย์หมาป่าจะแปลงร่างในคืนพระจันทร์เต็มดวง ส่วนแวมไพร์ก็หนีเลือดสดๆ ไม่พ้น ในคืนจันทรุปราคาเต็มดวง ดวงจันทร์ก็จะเต็มดวงเช่นกัน แล้วยังเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดด้วย ตำนานมนุษย์หมาป่าและแวมไพร์จึงเข้ามาข้องเกี่ยวไปโดยปริยาย


ฉินสือโอวไม่สนใจตำนานแบบนี้ สำหรับเขาแล้ว ตำนานจีนอย่างสวี่เซียนแทงงู หนิงไฉ่เฉินหลับนอนกับผียังน่าสนใจกว่าเยอะ


แต่พวกชาวประมงกลับชอบตำนานประเภทนี้มาก พอรู้มาว่าอีกไม่นานจะได้เห็นซูเปอร์พระจันทร์สีเลือด พวกเขาก็ตื่นเต้นขึ้นมา ยื้อแย่งมือถือกันยกใหญ่


ปรากฏว่าแย่งกันไปมา ไม่รู้ว่าใครออกแรงเยอะไปหน่อย แอปเปิล 6s ของชาร์คปลิวออกไปทันที


ตอนนี้ข้างนอกฝนตกหนัก มีแต่โคลนเต็มไปหมด พอแอปเปิล 6s ร่วงลงไปก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย


ชาร์คร้องเสียงหลง รีบวิ่งออกไปแล้วก็รีบวิ่งกลับมา ในมือถือโทรศัพท์ไว้อย่างระมัดระวังด้วยสีหน้าเจ็บปวด


แลนซ์พูดอย่างไม่ใส่ใจ “ปกตินายก็ไม่เล่นโทรศัพท์สักหน่อย ใช้มือถืออะไรแล้วมันจะต่างกันตรงไหน?”


ชาร์คตอบ “ไอ้บ้า มือถือนี้ฉันเตรียมไว้ให้แพรีส! เธอใกล้จบมหาวิทยาลัยแล้ว ฉันจะให้ของขวัญวันจบกับเธอ”


แบบนี้ทุกคนก็กระอักกระอ่วนกันถ้วนหน้า แลนซ์พูดขึ้น “งั้นฉันซื้อให้ใหม่แล้วกัน”


แอปเปิลราคาถูกมากในแคนาดา ไม่ถึง 900 ดอลลาร์แคนาดา ด้วยรายได้ของแลนซ์การซื้อสิ่งนี้ก็ไม่ต่างจากซื้อแอปเปิลที่เอาไว้กิน ไม่ได้กดดันอะไร


แต่ของที่จอบส์ทำคุณภาพดีจริง ขนาดตกแถมยังเปียกน้ำก็ยังไม่เป็นไร มือถือแช่ในน้ำโคลนมา เครื่องก็ไม่ได้ปิด พอเช็ดโคลนออกจนสะอาดก็ใช้ได้เหมือนเดิม


คนทั้งกลุ่มหยอกล้อเล่นกัน เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันหนึ่งวันผ่านไป พอเที่ยงคืนฝนก็หยุดตก


ลูกปลาเอาลงจากเรือเรียบร้อย ฉินสือโอวรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ต่อจึงพาพวกชาวประมงขึ้นเรือแล้วออกเดินทาง


ตอนประมาณบ่ายสี่โมงพอดิบพอดี เรือขนส่งก็กลับมาถึงฟาร์มปลาต้าฉิน พอฉินสือโอวลงจากเรือก็รีบกลับบ้านไปหาลูกสาว ปรากฏว่าเจอกับเสี่ยวเถียนกวาที่กำลังเล่นในอ้อมอกของวินนี่อย่างมีความสุข


“เอ๋ วันนี้คุณไม่ทำงานเหรอ?” ฉินสือโอวถามอย่างแปลกใจ


วินนี่พูดยิ้มๆ “ทั้งเกาะไฟดับน่ะ เมื่อคืนทั้งฝนตกทั้งลมแรงจนเครื่องจ่ายไฟพัง รัฐก็เลยหยุดได้หนึ่งวัน พรุ่งนี้ซ่อมเครื่องจ่ายไฟเสร็จค่อยไปทำงาน”


พอได้ยินว่าไฟตัด ฉินสือโอวก็รีบไปหาเครื่องกำเนิดไฟฟ้า วินนี่บอกเขาว่าไม่ต้องห่วงห้องแช่ พอไฟดับแบล็คไนฟ์ก็พาคนไปเปิดเครื่องกำเนิดไฟ ห้องแช่ตอนนี้ทำงานปกติดี


ได้ยินวินนี่บอกแบบนั้นฉินสือโอวถึงวางใจลง ตอนนี้ห้องแช่ต่างจากเมื่อก่อน ในนั้นมีแต่อาหารทะเลกับอาหารต่างๆ ที่เขาเก็บไว้อย่างเช่น จักจั่นที่กะเอาไว้กินอีกห้าหกปี ถ้าเกิดว่าเสียก็แย่สิ


ฤดูหนาวปีที่แล้วมีหิมะตกหนัก เกาะแฟร์เวลเคยไฟดับมาแล้ว ตอนนั้นฉินสือโอวก็ใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้ามาเดินกระแสไฟในฟาร์ม ฉะนั้นตอนบ่ายเขาไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแค่ว่าตกกลางคืนผลิตไฟฟ้าเองก็โอเคแล้ว


แต่รอจนพลบค่ำฟ้ามืดลง เขาเตรียมจะผลิตกระแสไฟแต่กลับถูกแบล็คไนฟ์ติง “อย่าเลยบอส แรงไฟของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าไม่พอ ตอนนี้ที่เดินกระแสไฟให้ห้องเย็นก็อันตรายมากแล้ว ถ้าเพิ่มแรงดันไฟฟ้าให้สูงขึ้นไปอีก เครื่องคงจะไหม้แน่!”


ฉินสือโอวอึ้ง เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าฤดูหนาวปีที่แล้วในโกดังมีแค่องุ่น แต่ตอนนี้ในนั้นมีอาหารทะเลหลายสิบตัน ความเย็นที่ต้องการก็ต่างกัน แรงดันไฟฟ้าที่ต้องการก็ต่างกัน


แบบนี้ก็แย่สิ? ฉินสือโอวมองดูท้องฟ้าและรอบข้างที่มืดมนแล้วอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปเห็นดวงตาสีเขียวสดที่จ้องมองเขาอยู่ ทำเอาเขาตกใจจนตะโกนสุดเสียง


พอจู่ๆ เขาตะโกนออกมา ดวงตาสีเขียวพวกนั้นก็ตกใจตัวโยน ต่างกระจายตัวกันวิ่งหนี เสียงหมาเห่าหอนเซ็งแซ่ไม่หยุด


ได้ยินเสียงร้องตกใจของหู่เป้าฉงหลัว ฉินสือโอวถึงรู้ว่าดวงตาพวกนั้นคือตาของพวกเด็กๆ ดวงที่ใหญ่เป็นของฉงต้า ดวงเล็กเป็นของราชาเจ้าป่าซิมบ้า ส่วนที่เล็กกว่านั้นเป็นของพี่น้องเฟอเรท…


“งั้นตอนกลางคืนคงต้องนอนไวหน่อย?” ฉินสือโอวถอนหายใจ


ไวส์ปลอบเขาว่า “ไม่เป็นไรครับ อาจารย์ นี่ไม่ใช่โอกาสฝึกวิชาที่ดีเหรอ? คุณสอนกังฟูที่ใช้ตาให้ผมเถอะ”


ฉินสือโอวอับจนคำจะพูด เขาแบมือออกไปข้างลำตัวก่อนจะเอ่ยขึ้น “วรยุทธ์สำนักเรามีที่เกี่ยวกับตาที่ไหน?”


“คุณสอนเนตรวงแหวนให้ผมก็ได้นี่” กอร์ดอนเขยิบเข้ามาแล้วพูดกลั้วหัวเราะ


ไวส์ผลักเขาออกแล้วพูดอย่างโกรธๆ “อย่ามาเข้าร่วมมั่วๆ นะ เนตรวงแหวนเป็นสกิลในวันพีชชัดๆ นึกว่าฉันไม่เคยดูการ์ตูนญี่ปุ่นหรือไง?”


“เนตรวงแหวน? วันพีช? เอ่อ นั่นไม่ใช่จากดราก้อนบอลเหรอ? นึกว่าฉันไม่เคยดูการ์ตูนญี่ปุ่นหรือไง?” เชอร์ลี่ย์พูด


“เนตรวงแหวน? เอ่อ นั่นไม่ใช่จากคุโรโกะ โนะ บาสเก็ตเหรอ? นึกว่าฉันไม่เคยดูการ์ตูนญี่ปุ่นหรือไง?” เด็กจริงจังอย่างพาวลิสก็โดนลากเข้ามาร่วมวงด้วย


ฉินสือโอวให้พวกเขารีบๆ กลับไป เขาจะต้องไปซื้อเทียนในเมือง


ไวส์ดึงเขาไว้แล้วพูดว่า “อาจารย์ ผมนึกได้แล้ว คุณสอนวิชาเนตรอัคคีให้ผมก็ได้นี่”


ฉินสือโอวหัวหมุนไปหมด นี่มันเปลี่ยนจากโลกยุทธภพมาเป็นโลกแฟนตาซีหรือไง ออกจะพลิกเยอะไปหน่อย


แต่เขารู้ว่าไวส์เป็นพวกหัวดื้อ อธิบายอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ ได้แต่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ก็ได้ งั้นอาจารย์จะสอนให้”

 

 

 


บทที่ 1274 ผีในคืนมืด

 

ฉินสือโอวขับรถไปที่ร้านสะดวกซื้อของฮิวจ์ก่อน ฮิวจ์กำลังอ่านอะไรบางอย่างใต้โคมไฟที่เคาน์เตอร์ พอเขาเข้าไปก็ถามทันที “ที่นี่มีเทียนไหม?”


“ใครใช้?” ฮิวจ์ถาม


ฉินสือโอวแปลกใจ ถึงตอนนี้ฟ้าจะมืดมากแล้ว แต่ก็ไม่น่าถึงขนาดมองไม่ออกว่าตัวเขาเป็นใครมั้ง? เขาได้แต่บอกว่า “ฉันใช้เอง ฉัน ฉินสือโอว”


ฮิวจ์หัวเราะแบบมีเลศนัย จากนั้นก็พลิกหาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยื่นเทียนยาวประมาณสิบเซนติเมตรให้เขา


ฉินสือโอวพึมพำ “สั้นไปไหมเนี่ย?”


ฮิวจ์พูดด้วยน้ำเสียงอย่างคนมีประสบการณ์มาก่อน “พ่อหนุ่ม นายต้องยับยั้งชั่งใจหน่อย เทียนเล่มนี้ทางที่ดีต้องแบ่งใช้สี่ครั้ง! ไม่อย่างนั้นฉันไม่แน่ใจว่าสุดท้ายนายจะนอน**อยู่บนเตียงหรือนอนอยู่ในห้องฉุกเฉินของโอดอม**”


ฉินสือโอวงง ไม่เข้าใจว่าหมอนี่พูดเรื่องอะไร เขาหยิบเทียนขึ้นมาแล้วพูดแซวไปตามประสา “นายเล่นยามาหรือไง? เอ๊ะ ทำไมมันเป็นหลอดแก้ว? ฉันต้องการเทียนนะ”


ฮิวจ์ตอบ “ก็ต้องเป็นหลอดแก้วสิ วัสดุเทียนอุณหภูมิต่ำเป็นขี้ผึ้งธรรมชาติไม่ใช่ขี้ผึ้งพาราฟิน มันนิ่มและเสียรูปง่ายมาก ถ้าไม่เอาไว้ในหลอดแก้ว พอนายจุดมันก็ละลายหมดแล้ว”


ฉินสือโอวยิ่งงุนงงสับสนหนักกว่าเดิม เขาพูดอึ้งๆ “เทียนอุณหภูมิต่ำ? หมายความว่าไง? ตอนนี้ที่แคนาดานิยมใช้เทียนชนิดนี้กันเหรอ? มันสว่างไหม?”


คราวนี้ถึงตาฮิวจ์อึ้งบ้าง เขาจ้องตรงมาที่ฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “เพื่อน นายไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม? นายจะซื้อเทียนไปทำไม?”


ฉินสือโอวเริ่มจะเข้าใจความหมายของเขาแล้ว เขาชี้ไปที่เทียนบนโต๊ะแล้วพูดยิ้มๆ “เฮ้ย นี่ไม่ใช่เทียนแบบนั้นใช่ไหม? เทียนเร้าอารมณ์? ฉันจะซื้อเทียนธรรมดา ไฟมันดับ ฉันจะจุดให้แสงสว่าง!”


ฮิวจ์เขินขึ้นมาทันใด เขาพูดว่า “ฉันถามว่าใครใช้ นายก็บอกว่านายใช้เอง? ฉันนึกว่านายจะเล่นอะไรกับวินนี่เสียอีก”


เขายื่นมือจะเก็บเทียนอุณหภูมิต่ำนั้นกลับมา ฉินสือโอวเอามือกดไว้ แล้วพูดยิ้มๆ “อันนี้ฉันก็เอา แล้วก็เอาเทียนธรรมดาด้วย”


“อันนั้นไม่มี” ฮิวจ์ยักไหล่สบายๆ จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่โคมไฟแบบชาร์จไฟได้บนโต๊ะ “ฉันเข้าใจความหมายของนายแล้ว แต่ว่าฉิน นี่มันศตวรรษที่ 21 แล้วนะ ยังมีใครใช้เทียนอีกล่ะจริงไหม? ฉันไม่เคยสำรองเทียนไว้เลย”


ฉินสือโอวถอนหายใจแล้วพูดว่า “งั้นคืนนี้ตอนกินข้าวคงต้องลำบากหน่อย”


ฮิวจ์มองดูเทียนอุณหภูมิต่ำในมือเขาแล้วเขยิบเข้ามาบอก “ไอ้สิ่งนี้ก็ให้แสงสว่างได้ แน่นอนว่าแสงมีไม่มาก”


ฉินสือโอวถามราคาจนรู้เรื่องและจ่ายเงิน หิ้วเทียนแบบใหม่แล้วกลับบ้านอย่างตื่นเต้น ส่วนซูเปอร์มาร์เก็ตในเมือง? เขาไม่ไปหรอก อย่างไรเสียคืนนี้ก็มีโปรแกรมแล้ว เขาซื้อเทียนมาก็เพราะกลัวกลางคืนไม่มีอะไรทำแล้วจะเบื่อ อย่างน้อยก็จะได้จุดเทียนเล่นไพ่อะไรแบบนี้


ฉินสือโอวกลับวิลล่าไปอย่างตื่นเต้น พอเข้าบ้านไปก็พบว่าในห้องอาหารสว่างมาก เขาเข้าไปดูก็พบว่าเป็นแบตเตอรี่สำรองที่เชื่อมกับหลอดไฟ


วินนี่ถามเขาว่าไปทำอะไรมา ฉินสือโอวก็ตอบพร้อมรอยยิ้มขมขื่น “ซื้อเทียน ผมกลัวว่าตอนกินข้าวจะไม่มีอะไรให้ความสว่าง ดูท่าผมจะคิดมากไปเอง”


เชอร์ลี่ย์เข้ามาหาแล้วพูดขึ้น “ฉิน ให้เทียนหนูหน่อยสิคะ หนูกลัวความมืด”


ฉินสือโอวรีบเก็บเทียนไปทันที ของแบบนี้ให้ใครมั่วๆ ได้เสียที่ไหน? เชอร์ลี่ย์เบ้ปากแล้วบ่นว่าขี้เหนียวก่อนจะเดินจากไปแบบไม่สบอารมณ์


วินนี่เรียกทุกคนให้กินข้าว ทุกคนต่างก็นั่งลง มีแค่ไวส์ที่ยังคงยุ่งกับบางอย่างอยู่


“รีบมากินข้าวสิไวส์” วินนี่ตะโกนเรียก


ไวส์ตอบ “อาจารย์หญิงกินก่อนเลยครับ ผมฝึกวิชาเนตรอัคคีของวันอาทิตย์นี้เสร็จแล้วค่อยไป ผมฝึกนวดจุดฟ้าสนอง กดจุดจิงหมิง กดนวดจุดซื่อไป๋สามกระบวนท่านี้เสร็จแล้ว ที่เหลือก็คือกดจุดไท่หยางแล้วก็นวดวนเบ้าตา”


พ่อฉินมองดูอย่างสนใจแล้วพูดว่า “เจ้าเด็กนี่วินัยดีจริงๆ ไฟดับก็ยังนวดบำรุงตา”


ฉินสือโอวแอบยิ้ม วินนี้ดึงเขาอย่างจนใจทีหนึ่งและว่าเขาว่าหลอกไวส์ได้อย่างไร


ตอนกินข้าวฉินสือโอวกำลังวางแผนอย่างอารมณ์ดีว่าอีกสักพักจะเล่นอะไรกับวินนี่ดี ปรากฏว่าก็มีคนมาหา ชาร์คนั่นเอง ซีมอนสเตอร์กับคนอื่นๆ และภรรยา มาหาวินนี่เพื่อขอน้ำแข็ง


“น้ำแข็งอะไร?” ฉินสือโอวถามอย่างแปลกใจ


วินนี่วางส้อมลงแล้วเช็ดปากจากนั้นก็เอ่ยขึ้น “ในเมืองไฟดับหมดไม่ใช่เหรอ? ตู้เย็นของทุกคนมีของไม่น้อย อาจจะเสียได้ ฟาร์มปลาเรามีห้องแช่ ฉันทำน้ำแข็งไว้เยอะให้ทุกคนเอาไปใส่ในตูเย็น ช่วยในการแช่แข็งได้ในระดับหนึ่ง”


พ่อฉินชื่นชม “วินนี่คิดดี ทำหน้าที่นายกเทศมนตรีได้ไม่เลวเลย ต้องทำสิ่งที่เป็นประโยชน์สำหรับประชาชนแบบนี้แหละ”


ฉินสือโอวกลืนน้ำลายแล้วเอ่ยถาม “ทั้งเมือง?”


วินนี่พยักหน้าแล้วพูดว่า “มันใช้ไฟไม่เยอะ อย่างไรห้องแช่ก็อุณหภูมิต่ำพอ ทำไมไม่เอามาใช้ประโยชน์ล่ะคะ ใช่ไหม?”


ฉินสือโอวทำหน้าเศร้าสร้อยพลางตอบว่าถูกต้องแล้ว พ่อฉินส่งสายตาพิฆาตมาให้ ความหมายประมาณว่าวินนี่ทำเรื่องดีให้เมือง แกที่เป็นสามีจะไม่สนับสนุนได้อย่างไร?


ฉินสือโอวอยากร้องไห้ ใครสนับสนุนเขาล่ะ? ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคืนนี้จะต้องมีคนมาเอาน้ำแข็งเรื่อยๆ ไม่ขาดสายแน่ งั้นเขาจะไปจู๋จี๋กับวินนี่ได้อย่างไร?


เขาเดาถูกแล้ว เริ่มตั้งแต่ที่พวกเขากินข้าวเสร็จก็มีคนมาเอาน้ำแข็งอยู่เรื่อยๆ


ชาร์คและคนอื่นๆ ไม่มีไฟที่บ้าน ก็เลยพากันมาหาฉินสือโอวบอกเรามาหาอะไรทำกันเถอะ อย่างจุดเทียนเล่นไพ่กันอะไรแบบนี้


ฉินสือโอวหน้าบูด เล่นไพ่อะไรกันเล่า วันดีจะตาย ทำไมไม่ไสหัวไปนอนกันให้หมด?


ตอนที่ชาวเมืองมารับน้ำแข็งก็ถือโอกาสเล่าถึงวิธีที่พวกเขาใช้ฆ่าเวลาในค่ำคืนอันยาวนาน แบ่งปันพูดคุยกัน ฉินสือโอวก็ถือโอกาสฟังไปด้วย


เมืองไม่ได้ไฟดับครั้งแรก ทุกคนต่างก็เคยมีประสบการณ์ บางคนจุดเทียนเล่นเกมกระดาน บางคนจุดเตาผิงแล้วย่างพิซซ่าในไฟ บางคนตั้งเตาปิ้งบาร์บีคิว บางคนใช้เตาก๊าซซิไฟเออร์ต้มกาแฟ…


ฟังมาถึงตรงนี้ ชาร์คก็ดันฉินสือโอวแล้วพูดอย่างตื่นเต้น “บอส คุณมีเตาเผาไม้ไม่ใช่เหรอ? เอามาต้มกาแฟเถอะ? ผมนึกอะไรดีๆ ออกแล้ว คุณต้องไม่เคยเล่นมาก่อนแน่ พวกเราดื่มกาแฟไปเล่นไปกันดีกว่า”


“กิจกรรมอะไรที่ฉันไม่เคยทำ?” ฉินสือโอวถามแบบไม่เชื่อ


ชาร์คกระแอมไอปรับอารมณ์แล้วพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ค่ำคืนไร้แสงสว่าง วิญญาณภูตผีจะออกมา!”


ฉินสือโอวกลืนน้ำลายแล้วถามอย่างระมัดระวัง “พวกนายจะเล่นเกมอัญเชิญผีเหรอ?”


อันนี้เขาก็ไม่เคยเล่นจริงๆ เพราะที่จริงเขาขี้กลัวมาก กลัวผีกลัววิญญาณอะไรพวกนี้ ตอนมัธยมต้นมีคนเล่นเกมพวกกระดานวีจี เวียนเปลี่ยนสี่มุมห้อง เขาก็ไม่เคยเล่นด้วย


ชาร์คหัวเราะออกมาอย่างร่าเริงแล้วพูดว่า “เชิญผีอะไร? ไม่ใช่ พวกเราจะเล่าเรื่องผี มาเล่าด้วยกัน”


คนอื่นก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมา บูลพูดขึ้นว่า “ไอเดียดี มา เรายังไม่เคยเล่าตำนานผีของเกาะแฟร์เวลให้บอสฟังเลย พอดีเลย วันนี้บอสจะได้เปิดหูเปิดตา”


ฉินสือโอวกลอกตา เปิดหูเปิดตาบ้านแกสิ วัตนธรรมผีสางกับระยะเวลาที่เผ่าพันธุ์หนึ่งดำรงอยู่นั้นมันสัมพันธ์กัน ด้านนี้อเมริกาเหนือเทียบไม่ได้แม้ปลายก้อยของจีน สรุปใครเปิดหูเปิดตาใครกันแน่?


วินนี่ได้ยินแบบนั้นก็ตื่นเต้นขึ้นมาบ้าง เธอพูดว่า “ดีเลย ฉันเอาด้วย ฉันเล่าก่อนเป็นไง? เล่าเรื่องให้ฟัง เรื่องจริงที่เจอมากับตัว…”


ชาร์คพูด “ให้บอสเล่าก่อนดีกว่า นี่เป็นธรรมเนียม”


ชาวประมงเป็นแถวต่างหาที่นั่งลงทันใด แม้แต่พวกหู่เป้าฉงหลัว พี่น้องเฟอเรท แม้แต่แมวป่าซิมบ้าก็มานั่งเรียงกัน


ฉินสือโอวคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “โอเค งั้นฉันเล่าก่อน เรื่องที่ฉันจะเล่าชื่อว่าผีเป่าไฟ!”

 

 

 


บทที่ 1275 เด็กสองคน

 

คนขุดสุสาน คือหนึ่งในนิยายที่ฉินสือโอวชอบมากที่สุด อย่างเมื่อสามปีก่อนที่เขาจะมาแคนาดา ด้วยความกลัวว่าตัวเองจะเหงาไม่มีกิจกรรมจรรโลงใจจึงดาวน์โหลดอีบุ๊กของนิยายเรื่องนี้มาด้วย


อย่างนี้ จึงพอดีกับที่จะเอามาใช้อ่านในเย็นนี้ เพียงแต่น่าเสียดายเล็กน้อยที่หนังสือเล่มนี้เป็นนิยายแนวผจญภัย ไม่ใช่แนวสยองขวัญ


ฉินสือโอวบรรยายวรรคหนึ่งขึ้นด้วยเสียงทำนองอันไพเราะนุ่มนวล ชาวประมงที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ ก็มีบางครั้งที่พากันอุทานออกมาบ้าง ทุกอย่างนั้นเพอร์เฟกต์ไปหมด


แต่พอเมื่อฉินสือโอวบรรยายจนถึงจุดที่เขาคิดว่าเป็นจุดไคลแมกซ์ที่สุดแล้ว ซึ่งก็คือตอนที่หูปาอีกับหวังพ้างจื่อเตรียมตัวที่จะลงไปสำรวจสุสาน พวกชาวประมงก็ไม่ฟังกันแล้ว พวกเขาพากันส่ายหน้า พร้อมกับพูดขึ้นด้วยความผิดหวังว่า “เจ้าพวกนี้คือโจรขโมยขุดสุสานงั้นเหรอ?”


ฉินสือโอวตอบ “ใช่แล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีแค่การปล้นสุสานเท่านั้น เขายังมีเรื่องสนุกๆ ให้ต้องทำอีกเยอะเลยล่ะ”


ชาร์คจึงพูดขึ้นว่า “ก็ช่าง การขโมยขุดสุสานถือว่าเป็นเรื่องที่เลวทรามต่ำช้ามาก ไม่ว่าคนคนหนึ่งจะทำไปด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ผมว่ายังไงมันก็ไม่เหมาะสมอยู่ดี หึ ก็พวกเราจะไปรบกวนการนอนหลับสนิทของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วได้ยังไงกัน ใช่ไหมล่ะ?”


นี่คือความน่าแปลกใจของวัฒนธรรมจีนและตะวันตก ชาวแคนาดาจะเคารพต่อผู้ที่ล่วงลับไปแล้วเป็นอย่างมาก และคนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยกลัวหรือเชื่อพวกเรื่องผีสางเท่าไร ดังนั้นจึงมีการสร้างที่พักอาศัยใกล้ๆ กับสุสาน เพราะพวกเขาคิดว่าสุสานเป็นสถานที่ที่โลกอยู่ใกล้กับสวรรค์มากที่สุด


ด้วยเหตุนี้ ถ้าพูดถึงชาวแคนาดา ความกลัวไม่ใช่ปัจจัยที่จะห้ามไม่ให้พวกเขาแอบไปขุดสุสานเพื่อขโมยของ แต่เป็นความเคารพยำเกรงต่างหาก เพราะโจรขโมยขุดสุสานจะเป็นที่น่ารังเกียจมาก และพวกที่ทำงานแบบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นพวกติดยา เป็นชนชั้นที่ต่ำที่สุดในสังคม


ฉินสือโอวไม่อยากที่จะต้องมาพูดถึงคุณค่าและความสำคัญของการปล้นสุสาน จึงต้องตามน้ำไป เพราะเขาเคารพในค่านิยมของชาร์คและคนอื่นๆ เพียงแต่มีบางที่เขายอมไม่ได้ เขาจึงพูดขึ้น “งั้นศึกษาโบราณคดีล่ะ? ศึกษาโบราณคดีก็เป็นการขโมยขุดสุสานไม่ใช่เหรอ?”


แลนซ์กลอกตาอย่างดูหมิ่น พร้อมกับพูดว่า “ก็แล้วแคนาดามีวิชาโบราณคดีหรือไงกันครับ? ประเทศนี้จะไปมีประวัติศาสตร์อะไรให้ศึกษาล่ะ”


ฉินสือโอวคิดไปคิดมาก็ถึงกับเถียงไม่ออก


“คุณเล่าเรื่องผีก็ให้มันสั้นกระชับและเล่าถึงจุดที่มันน่ากลัวหน่อย ดีที่สุดคืออย่าเล่าที่พอเปิดมาแล้วทุกคนก็เดาถึงตอนจบได้ก็พอ” ชาร์คพูด


ฉินสือโอวยักไหล่และตอบกลับ “ก็ได้ มีเรื่องผีคลาสสิคประจำหมู่บ้านของฉันอยู่เรื่องหนึ่ง เย็นวันหนึ่งฉันเจอผีผู้หญิงตนหนึ่ง เธอตดออกมา จากนั้นตัวเธอก็แตกตาย”


เมื่อเสียงของเขาเงียบลง พวกชาวประมงก็ค่อยๆ หันไปมองที่เขาอย่างนิ่งสงบ มีเพียงกาแฟบนกองไฟที่ส่งเสียงเดือด ‘ปุดปุด’


วินนี่เดินเข้ามาถาม “เฮ้ พวกคุณกำลังเล่าเรื่องผีอะไรอยู่เหรอ? น่ากลัวมากเลยเหรอ? ถึงกับไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลยสักคนน่ะ?”


พวกชาวประมงค่อยๆ พากันพยักหน้าอย่างเงียบๆ เพราะพวกเขาเหนื่อยที่จะแขวะการเล่าเรื่องของฉินสือโอวแล้ว


ส่วนท่านชายฉินก็เหนื่อยกับสมรรถภาพในความเข้าใจของพวกเขาด้วยเหมือนกัน เรื่องผีคลาสสิคก็เยอะอยู่ แต่นี่เป็นหนึ่งในเรื่องสั้นที่โดนแชร์เยอะที่สุดบนอินเทอร์เน็ตจีนเลยนะ


ชาร์คเลยเตะสะกิดซีมอนสเตอร์ให้เขาเล่าเรื่องสักเรื่อง


ซีมอนสเตอร์ส่งเสียงครวญครางพร้อมกับหายใจหอบ จากนั้นก็พูดขึ้น “งั้นก็คงจะเป็นเรื่องในโรงละครโอเปราที่นิวยอร์ก มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นบ่อยครั้ง นักแสดงนำหญิงคนเดิมเกือบจะถูกฆ่าตาย เพราะเห็นภาพลวงตาที่น่าหวาดกลัวในโรงละคร…”


“ภาพลวงตาบ้านแกสิ นี่มันเดอะแฟนธอม ออฟ ดิ โอเปราไม่ใช่รึไง? นายเปลี่ยนจากปารีสเป็นนิวยอร์กก็นับว่าเป็นเรื่องใหม่แล้วงั้นสิ? แถมยังคิดว่าเป็นเรื่องผีอีก?” นีลเซ็นพูดตัดตอนเขาอย่างไม่สบอารมณ์


ส่วนบูลที่อยู่ข้างๆ ก็ถึงกับปาดเหงื่อและพูดขึ้น “ให้ตายสิ ฉันก็ตกใจหมด ก็ว่าแล้วว่าทำไมเรื่องนี้มันฟังดูคุ้นได้ขนาดนี้น่ะ”


แล้วบรรยากาศในห้องนั่งเล่นก็กลับมาเงียบอีกครั้ง ครั้งนี้ทุกคนต่างพากันมองไปยังบูล แม้แต่วินนี่ก็ยังต้องเอามือป้องปากแอบหัวเราะ


กิจกรรมยามเย็นจัดได้ว่าล้มเหลวมาก เพราะว่าความต่างของวัฒนธรรมทั้งสองฝ่าย ฉินสือโอวก็คิดไปเองว่าพวกเขาจะกลัว แต่พอเขาเล่าพวกเรื่องวิญญาณ ผีดูดเลือดให้ชาวประมงฟังพวกเขากลับไม่มีความรู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย


ชาวประมงก็รู้สึกอย่างเดียวกันกับตอนที่เขาเล่าเรื่องผี จุดขายของเรื่องผีจีนจะเน้นในเรื่องของความลึกลับ และเดาตอนจบไม่ได้ บางเรื่องก็ไม่มีผีออกมา แต่พอเวลามีผีปรากฏออกมาคนกลับไม่สามารถรับมือได้


และนี่ก็ทำให้พวกชาวประมงไม่เข้าใจ พวกเขาไม่เข้าใจว่าในเรื่องที่ไม่มีผีมันมีอะไรให้น่ากลัว? หรือแม้กระทั่งถึงเรื่องที่คนไม่สามารถรับมือได้เหล่านั้นอีก หรือพระเจ้าเป็นคนทำงั้นเหรอ?


เช่นนี้ค่ำคืนแห่งเรื่องราวสยองขวัญที่ได้กำหนดไว้ก่อนหน้านี้ก็ได้กลายเป็นค่ำคืนแห่งการจับผิด เมื่อมีคนหนึ่งเล่าเรื่องผี คนอื่นๆ ก็คอยแต่จะหาจุดที่ดูไม่สมเหตุสมผล บรรยากาศจึงดูเร่าร้อน


พอถึงเวลาที่ควรนอน ฉินสือโอวก็ส่งชาวประมง ส่วนวินนี่ขึ้นไปชั้นบนแล้ว เขาเลยต้องจัดการเก็บกระป๋องเบียร์ ก้นบุหรี่เถ้าบุหรี่และคราบกาแฟที่เปื้อนอยู่เต็มพื้น


เชอร์ลี่ย์ที่เข้ามาหาอะไรดื่มในห้องครัว หันมาเห็นฉินสือโอวกำลังทำความสะอาดอยู่ก็เข้ามาช่วย


ฉินสือโอวที่กวาดขยะมารวมกันและให้เชอร์ลี่ย์จับที่ตักผงไว้ แต่เรียกเท่าไรเชอร์ลี่ย์ก็ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ เขารู้สึกแปลกใจเลยเงยหน้าขึ้นดู ก็เห็นเชอร์ลี่ย์กำลังมองไปที่ครัวด้วยความสงสัย


“มีอะไรเหรอ?” ฉินสือโอวหัวเราะถาม


เชอร์ลี่ย์จึงถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า “ฉิน เมื่อกี้มีใครมาเล่นบ้าง? พวกเขาได้พาเด็กมาด้วยเหรอคะ? ทำไมถึงมีเด็กผู้ชายสองคนนั่งรออยู่ที่มุมครัวล่ะ”


ฉินสือโอวเลยมองเข้าไปในครัว แต่มันมืดมากจนมองอะไรไม่เห็น ส่วนข้างนอกก็ครึ้มฟ้าครึ้มฝน จนทำให้มองอะไรไม่ชัดได้เหมือนกัน


“เด็กผู้ชายที่ไหนกัน? พอเลย เชอร์ลี่ย์ ฉันรู้นะว่าเธอคิดจะทำอะไร เธอจะแกล้งให้ฉันขวัญเสียใช่ไหมล่ะ?” แล้วฉินสือโอวก็หัวเราะขึ้นมา


เชอร์ลี่ย์จูงแขนเขาพร้อมกับพูดอย่างร้อนใจว่า “จริงๆ นะฉิน หนูไม่ได้จะแกล้งให้คุณขวัญเสีย คุณมองไม่เห็นเหรอคะ? ตรงนั้นมีเด็กผู้ชายสองคนน่ะ? คนหนึ่งผมสีเหลือง อีกคนผมสีดำ หนูก็นึกว่าใครพาลูกของนักท่องเที่ยวมาเล่นด้วยซะอีก”


พอเห็นเชอร์ลี่ย์มีท่าทีจริงจัง ฉินสือโอวก็รู้สึกสั่นเล็กน้อย แต่เขาก็ยังคงพูดด้วยความแน่วแน่ว่า “ไม่นะ ไม่เห็นมีอะไร เชอร์ลี่ย์ข้างในนั้นน่ะไม่มีคน!”


แต่เชอร์ลี่ย์ยังคงชี้นิ้วไปยังมุมครัวพร้อมกับพูดว่า “นั่นไงทำไมจะไม่มี ก็ที่กำลังมองพวกเราอยู่ตรงนั้นไง! หนูสาบานเลยฉิน ถ้าตรงนั้นไม่มีเด็กนะ คุณไล่หนูไปอยู่หอพักโรงเรียนประจำได้เลย”


ฉินสือโอวรู้ว่า คำสาบานสำหรับเชอร์ลี่ย์แล้วแรงมาก แรงกว่าคำปฏิญาณต่อพระเจ้าอะไรเทือกนั้นมาก


จากนั้นเขาก็ชาเล็กน้อยไปทั่วหัว มันไม่จริงใช่ไหม หรือว่าในครัวจะมีผีอยู่จริงๆ ล่ะ?


เขาถึงกับกลืนน้ำลาย พลางจับไปที่บ่าของเชอร์ลี่ย์และพูดอย่างจริงจังว่า “เธอเห็นเด็กสองคนตรงมุมนั้นใช่ไหม?”


เชอร์ลี่ย์พยักหน้าอย่างมั่นใจ แต่ยังถามขึ้นด้วยความสงสัย “คุณมองไม่เห็นเหรอ?”


ฉินสือโอวรีบควักโทรศัพท์มือถือออกมา แต่โชคไม่ดี เพราะเมื่อกี้เขาใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปจนตอนนี้แบตหมดไปเป็นที่เรียบร้อย ถึงเขาจะพยายามเปิด แต่พอมีแสงกะพริบที่โทรศัพท์หนึ่งที แล้วหน้าจอก็กลับมามืดสนิทเหมือนเดิม


“ซวยล่ะ มาดับอะไรเอาตอนนี้!” ฉินสือโอวด่าไปหนึ่งที จากนั้นเขาก็หันไปเห็นหู่จือเป้าจือ เลยนึกถึงคำบอกเล่าที่เล่าต่อๆ กันมาว่าหมาสามารถเห็นผีได้ แล้วเขาก็รีบลากพวกมันมา


หู่จือและเป้าจือมองเขาอย่างไร้เดียงสา พลางกระโดดโลดเต้นต้องการความสนใจ ฉินสือโอวเลยปล่อยพวกมันลงพร้อมทั้งด่าไปอีกหนึ่งที “แม่งเอ๊ยนี่ก็ไม่ได้เรื่อง!”


แล้วอยู่ๆ ก็มีแสงสาดมา ฉินสือโอวถึงกับตกใจเล็กน้อย พอหันหน้ากลับไปก็เป็นเชอร์ลี่ย์เองที่เปิดไฟฉายในโทรศัพท์ของเธอ


“คุณดูสิ ตรงนั้นมีเด็กสองคนใช่ไหม? เด็กผู้ชายสองคน คนหนึ่งผมสีเหลือง อีกคนผมสีดำน่ะ?” เชอร์ลี่ย์ใช้ไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือส่องไปยังมุมห้องพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก


แล้วฉินสือโอวก็รวบรวมความกล้ามองตามไปยังที่เชอร์ลี่ย์ชี้ จากนั้นก็เห็นเด็กสองคนจริงๆ คนหนึ่งผมสีเหลือง อีกคนผมดำ แต่พวกเขาติดอยู่ที่ประตูตู้เย็น นอกจากนั้นยังมีตัวอักษรติดอยู่ด้านบนหัวของเด็กทั้งสองว่า ไฮเออร์…

 

 

 


บทที่ 1276 ทวิตเตอร์บ้าเอ๊ย

 

“เชอร์ลี่ย์มานี่หน่อย ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอก!” ฉินสือโอว เรียกด้วยใบหน้าบึ้งตึงในตอนเช้า


เชอร์ลี่ย์มองเขาโดยถือไวโอลินอยู่ด้านหลัง พร้อมกับผมหางม้าสีทองด้านหลังศีรษะก็สะบัดไปมา “ทำไมคุณถึงโมโหหนูล่ะ? เมื่อคืนหนูก็ไม่ได้โกหกนะ มีเด็กอยู่สองคนไม่ใช่เหรอ? หนูก็ไม่ได้บอกว่าพวกเขาหายใจและพูดได้สักหน่อย”


ฉินสือโอวจึงพูดด้วยความโกรธ “ยังจะมาเล่นลิ้นอีกหรือไง? แกล้งให้คนหวาดกลัวคือพฤติกรรมที่ไม่ดีมากๆ เข้าใจไหม?”


เชอร์ลี่ย์จ้องมองด้วยดวงตาที่มีน้ำตาเอ่อคลอ พลางตอบไปด้วยความตกใจ “ไม่ใช่ว่าพวกคุณกล้าหาญกันหรอกเหรอ? ยังเอาเรื่องผีมาเล่ากันอยู่เลย แล้วกับแค่หนูบอกว่า บนตู้เย็นมีสติกเกอร์เด็กสองคนนั้น มันถึงกับทำให้คุณตกใจได้เลยเหรอคะ?”


ส่วนวินนี่ที่กำลังจะเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เสี่ยวเถียนกวาก็ถามขึ้นมาด้วยความสงสัยว่า “พวกคุณกำลังพูดเรื่องอะไรกัน? เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?”


ฉินสือโอวสบตากับเชอร์ลี่ย์เป็นเชิงบอกว่าไม่ให้พูด เขาเดินเข้าไปวนๆ อยู่ในครัว หลังจากนั้นก็ออกมาแล้วถามว่า “นี่ไง ที่รัก ก็ในห้องครัวของพวกเราทำไมถึงมีเด็กผู้ชายสองคนล่ะ? เมื่อคืนมีคนมาเอาก้อนน้ำแข็งแล้วลืมไว้เหรอ?”


วินนี่หัวเราะ “ไม่ เป็นไปไม่ได้ ห้องครัวจะมีเด็กผู้ชายได้อย่างไร? ถ้าหากว่ามีเด็กที่ไม่คุ้นหน้าเข้ามา หู่จือกับเป้าจือพวกมันก็ต้องร้องสิ ใช่เด็กพวกนั้นรึเปล่าน่ะ?”


หู่จือกับเป้าจือนั่งยองๆ กระดิกหางอยู่ข้างๆ เธอ พลางจ้องมองไปที่ผ้าอ้อมของเสี่ยวเถียนกวาอย่างอยากรู้อยากเห็น และแลบลิ้นเลียริมฝีปากไม่หยุด


ฉินสือโอวคว้าผ้าอ้อมในมือของวินนี่ และพูดว่า “จริงๆ นะที่รัก มีเด็กน้อยสองคนอยู่ข้างในด้วยล่ะ! ผมไม่ได้โกหกคุณ ผมสาบาน ถ้าผมโกหกคุณ…”


วินนี่มองเขาด้วยสายตาที่บริสุทธิ์ใสแจ๋ว มุมปากยิ้มยกขึ้นเล็กน้อย เป็นการแสดงออกที่สวยงามเพียงแค่เธอยิ้ม


แท้จริงแล้วฉินสือโอวอยากจะสาบานว่าถ้าหากว่าโกหกเธอจริงๆ  ปีนี้เธอไม่ต้องแต่งงานกับเขาก็ได้ แต่ว่าเมื่อจ้องตาใสๆ ของวินนี่แล้วเขาไม่สามารถทำให้เป็นเรื่องตลกได้ นี่คือผู้หญิงที่เป็นรักแรกของเขา เขารองานแต่งครั้งนี้มานานแสนนานแล้ว


“ถ้าคุณโกหกฉันจะเป็นอะไรเหรอคะ?” วินนี่ยิ้มถาม


ฉินสือโอวจับใบหน้าที่สวยงามของวินนี่ และพึมพำว่า “ก็ไม่เป็นอะไรครับ ที่รัก ผมไม่ได้โกหกคุณ จริงๆ นะ”


หลังจากได้ยินคำพูดของเขาวินนี่ยิ้มหวานและพูดว่า “ฉันเชื่อคุณค่ะ ฉิน ไม่ว่าคุณจะพูดอะไรฉันก็เชื่อที่คุณพูดค่ะ ฉันเชื่อว่าในห้องครัวมีเด็กสองคนค่ะ แต่เป็นตุ๊กตาเด็กของไฮเออร์ ไม่ใช่เหรอคะ?”


ทันใดนั้นดวงตาของฉินสือโอวก็เบิกกว้าง “นี่คุณอ่านความคิดของผมได้?”


วินนี่ยิ้มอย่างอบอุ่น พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ออกมาและเปิดทวิตเตอร์เพื่อแสดงสิ่งที่เชอร์ลี่ย์โพสต์เมื่อคืนนี้ ในภาพคือฉินสือโอวหมอบอยู่ที่หน้าประตูห้องครัวและยื่นหัวเข้าไปและมองไปรอบๆ ซึ่งในภาพก็ได้เขียนบรรยายเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ


ซึ่งก็ได้มีผู้คนจำนวนมากทิ้งข้อความไว้ใต้โพสต์ และข้อความแรกก็คือวินนี่นั่นเอง สามีของฉันอยู่ที่ประตูห้องครัวกับผู้หญิงคนหนึ่งในตอนกลางคืน ใครสามารถบอกฉันได้บ้างว่าเกิดอะไรขึ้น?


บูลตอบกลับ ฮ่าๆ ดูเหมือนว่ากัปตันจะกลัวจนฉี่เล็ดแล้วล่ะ เขาเป็นคนขี้กลัว ไม่ผิดแน่ เพราะฉันรู้ดี


เมื่อเขาอ่านจบ วินนี่หยิบเอาโทรศัพท์มมือถือคืน ตอนที่เธอกำลังจะแกล้งอะไรบางอย่าง แต่พอเธอเห็นข้อความพลันก็ขมวดคิ้วขึ้นและพูดว่า “มีเรื่องด่วนในเมือง เดี๋ยวมื้อเช้าฉันกินอาหารเดลิเวอรี่เอาแล้วกัน ไม่ต้องรอฉันนะคะ”


พูดจบ เธอก็เก็บโทรศัพท์มือถือและใส่เสื้อโค้ตแล้วเดินออกไปที่ประตู พอเธอไปถึงประตูเธอก็หันกลับมาและพูดว่า “ถ้าเมื่อกี้คุณใช้การแต่งงานของเรามาเป็นเรื่องสาบาน ตอนนี้ฉันคงจะเสียใจมาก แต่ฉันก็ยังจะแต่งงานกับคุณอยู่ดี อย่างนั้นแหละที่รักแล้วก็อย่าลืมเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกสาวคุณด้วยล่ะ”


ฉินสือโอวไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร รู้สึกอีกแล้วว่าวินนี่มีเครื่องอ่านใจเขาได้


เสี่ยวเถียนกวานอนอยู่บนโซฟาดันขาเล็กๆ ขึ้นอย่างหงุดหงิด หู่จือกับเป้าจือกระดิกหางและเข้าไปใกล้ๆ ก้นของเธอเพื่อดมกลิ่น ฉินสือโอวรีบเข้าไปและตบหัวพวกมันพลางพูดอย่างโกรธๆ ว่า “เป็นหมานี่มันเปลี่ยนแปลงไม่กินขี้ไม่ได้เลยจริงๆ ใช่ไหม?”


หู่จือกับเป้าจือแลบลิ้นออกมาเพื่อเลียฝ่ามือของเขาและยังคงกระดิกหางอย่างเซ่อซ่าไม่หยุด


เป็นครั้งแรกที่ฉินสือโอวเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกสาว งานนี้เป็นของวินนี่ หรือเวลาแม่เขามาก็จะให้แม่ของเขาเป็นคนเปลี่ยนให้ เขายังไม่เคยทำเองเลย และครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะว่าวินนี่มีธุระด่วน ก็คงจะไม่ใช่เขาที่ได้ทำ


เขานั่งยองๆ ที่หน้าโซฟามองดูลูกสาว ฉินสือโอวเช็ดฝ่ามือของเขาและพูดว่า “โอเค ลูกรักโอเค ไม่ต้องห่วง พ่อจะเปลี่ยนกางเกงให้ลูก ลูกจะได้สบายตัวไง ดีไหม?”


เชอร์ลี่ย์เอนตัวไปข้างๆ เพื่อดูและถามอย่างสงสัย “ฉิน คุณเปลี่ยนเป็นเหรอคะ? หนูเห็นตอนที่พี่วินนี่ทำ มันดูยุ่งยากมากเลยนะ”


ฉินสือโอวตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่เย็นชา “ฉันสามารถขับเฮลิคอปเตอร์ได้เลยนะ มีหรือจะเปลี่ยนผ้าอ้อมไม่ได้น่ะ? ล้อกันเล่นหรือไง?”


พูดแล้วเขาก็เปิดโทรศัพท์มือถือและค้นหาคำแนะนำขั้นตอนการเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็กในเบราว์เซอร์ และทำตามทีละขั้นตอนตามที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ


“ก่อนอื่นต้องแกะผ้าอ้อมผืนใหม่ โอ๊ย จะพูดสิ่งที่รู้อยู่แล้วทำไมเนี่ย?” ฉินสือโอวบ่นและหยิบผ้าอ้อมผืนใหม่ที่วินนี่ได้เตรียมไว้ให้ก่อนแล้ว


ตามคำแนะนำ เขาเอาผ้าอ้อมที่มีเทปพันเอวด้านข้างวางไว้ใต้ผ้าอ้อมที่สกปรกของเสี่ยวเถียนกวา จากนั้นก็แกะเทปของผ้าอ้อมที่สกปรกออก และกลิ่นเหม็นๆ ก็ลอยมาปะทะหน้าเขา แสดงว่าเสี่ยวเถียนกวาได้อุจจาระแล้ว!


“แม่งเอ๊ย!” ฉินสือโอวยังไม่ได้เตรียมตัวให้ดี ทันใดนั้นกลิ่นนี้ก็ตีขึ้นพร้อมทั้งมีโบนัสพิเศษจากผ้าอ้อมที่สกปรก กลิ่นที่รุนแรงหนักมากจนเกือบทำให้เขาเป็นลม


แต่นี่คือลูกสาวของตัวเอง ท่านชายฉินจำต้องสูดกลิ่นเหม็นและเข้าใกล้อีกครั้ง เขาเสียใจมากที่ไม่ได้เตรียมหน้ากากไว้ ตอนนี้ฉันทำได้แค่อดทนกับอาการคลื่นไส้


และที่ก้นของเสี่ยวเถียนกวาก็มีแต่อุจจาระเต็มไปหมด ฉินสือโอวจึงยกข้อเท้าสองข้างขึ้นด้วยมือเดียว เพื่อเขาจะได้เช็ดมัน


สุดท้ายเขายังไม่ทันจะได้นับ ด้วยแรงที่ใช้จับเท้าของลูกสาวนั้นแรงไปหน่อย ทำให้เสี่ยวเถียนกวาเจ็บ จึงร้องไห้และดิ้นอย่างหนัก


และการดิ้นนี้ก็ทำให้อุจจาระสีเหลืองอุ่นๆ ลอยกระเด็นขึ้นมา ฉินสือโอวไม่กล้าปล่อยมือเพราะกลัวว่าลูกสาวของเขาจะเจ็บ ด้วยเหตุนี้เขาจึงทำได้เพียงแค่มองดูโคลนสีเหลืองที่ลอยอยู่บนร่างของเขาด้วยความตกใจ


พอเห็นฉากนี้ เชอร์ลี่ย์ซึ่งอยู่ข้างๆ ที่กำลังหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายวิดีโอก็ถึงกับกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ จึงลากถังขยะมาอ้วก  แต่เธอก็ถือว่าทำได้ดีที่สุดแล้ว และกล้องโทรศัพท์มือถือก็ยังคงหันหน้าไปทางฉินสือโอว


จากนั้นเสี่ยวเถียนกวาที่ดิ้นอยู่พักหนึ่งก็รู้สึกว่ามันสนุก จากนั้นเธอก็ดิ้นหนักขึ้นไปอีก ทันใดนั้น ฉินสือโอวก็รู้สึกว่ามีอะไรแข็งๆ บางอย่างในลำคอกำลังพลุ่งพล่าน และท้องของเขาเหมือนกับภูเขาไฟที่จะระเบิดซ้ำแล้วซ้ำอีก!


“โอ้ สวรรค์! โอ้ พระเจ้า! โอ้ วินนี่! ช่วยผมด้วย!” ฉินสือโอวคร่ำครวญขณะจับเท้าเล็กๆ ของลูกสาว


และเชอร์ลี่ย์ก็ตะโกนขึ้น “ฉิน รีบปิดปาก ระวังจะโดนอุจจาระของเสี่ยวเถียนกวากระเด็นเข้าปากนะคะ!”


“ชิท!” ฉินสือโอวรับศึกหนักมาก ด้านหนึ่งเขาต้องพยายามปราบปรามกบฏในลำคอ ส่วนอีกด้านก็ต้องใช้ทิชชูเปียกเช็ดก้นให้ลูกสาวอย่างละเมียดละไม


ในที่สุดก็เช็ดทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อย เขารีบวางเด็กหญิงตัวเล็กๆ ลงบนผ้าอ้อมที่สะอาด จากนั้นเขาถึงตะเกียกตะกายและคว้าถังขยะตรงหน้าเชอร์ลี่ย์แล้วก็ขย้อนออกมา


หู่จือกับเป้าจือโน้มตัวไปหาเสี่ยวเถียนกวาพลางจ้องมองไปที่ผ้าอ้อมสกปรก พอเชอร์ลี่ย์เห็นจึงกรีดร้องและตะโกนว่า “ฉิน หู่จือกับเป้าจือกำลังจะกินอึ!”


แล้วฉินสือโอวก็หันไปและคำรามใส่ “หยุดนะ! หู่จือ เป้าจือ ออกไปเดี๋ยวนี้! ฉันเนี่ยจูบปากพวกนายทุกวัน! ถ้าพวกนายกล้ากิน ฉันก็จะใช้น้ำยาฆ่าเชื้อสี่สิบแปดชนิดล้างปากพวกนาย!”


เมื่อได้ยินเสียงของทั้งสองคน แม่ฉินก็รีบเดินออกมาและถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกันล่ะเนี่ย?”


ฉินสือโอวมองไปที่แม่ของเขาพลางมองไปยังลูกสาวที่รัก เขากัดฟันแล้วรีบเช็ดคราบน้ำที่ก้นของลูกสาวออกด้วยทิชชู จากนั้นก็คลี่ผ้าอ้อมออกและติดไว้แบบเบี้ยวไปเบี้ยวมา บวกกับต้องทนกับอาการคลื่นไส้จึงตอบไปว่า “ไม่มีอะไรครับแม่! ลูกสาวผม ผมเก็บเอง!”

 

 

 


บทที่ 1277 กะปิหวาน

 

หลังจากจัดการลูกสาวของเขาเรียบร้อยแล้ว ฉินสือโอวก็นั่งลงบนโซฟาและส่ายหัว การเลี้ยงลูกนั้นยากจริงๆ วินนี่ต้องเหนื่อยมากแน่ๆ


แม่ฉินทำอาหารเช้าเสร็จแล้วจึงเรียกเขามากินข้าว หลังจากที่ฉินสือโอวเห็นโจ๊กสีเหลืองๆ ส้มๆ และไส้กรอกชิ้นเล็กที่ทอดแล้ว ท้องและลำคอของเขาซึ่งสงบลงแล้วก็กลับมาปั่นป่วนอีกครั้งจนเขาแทบจะอ้วกลงบนโต๊ะ


เมื่อไม่รู้เรื่องไหนก็มักจะถามถึงเรื่องนั้น เมื่อพาชาวประมงออกทะเลในตอนเช้า ชาร์คก็ถามด้วยใบหน้าทะเล้นว่า “อาหารเช้าเป็นยังไงบ้างล่ะบอส? เปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกสาวตั้งแต่เช้าตรู่ น่าจะเรียกน้ำย่อยได้ดีเลยใช่ไหมครับ?”


“ฟัค ยู!”ฉินสือโอวชูนิ้วกลางใส่ “บ้าเอ๊ย นายรู้ได้ยังไงเนี่ย? เชอร์ลี่ย์โพสต์ทวีตบ้านั่นอีกแล้วเหรอ?”


แลนซ์ส่ายหน้า ฉินสือโอวก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ไม่ใช่ทวิตเตอร์ก็ดี ยังถือว่าเด็กนี่ยังมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอยู่”


แลนซ์จึงพูดขึ้นว่า “ไม่ใช่กัปตัน ที่ผมส่ายหัวคือ เธอไม่เพียงโพสต์ลงบนทวิตเตอร์เท่านั้น แต่ยังมีเฟซบุ๊กและเอ็มเอสเอ็นพวกนั้นด้วย” เขายังส่ายหัวต่อ “ทุกช่องทางที่คุณสามารถรู้ได้ เธอโพสต์ลงหมดเลย!”


“บ้าเอ๊ย!” ฉินสือโอวอดไม่ได้ที่จะสบถออกมา


และบูลก็พูดปลอบใจเขา “ไม่เป็นไรหรอกกัปตัน การเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็กมันก็น่าขยะแขยงแบบนี้ ทุกครั้งที่ผมเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกชายมันก็น่าขยะแขยงมากเหมือนกัน นี่เป็นเรื่องปกติ”


เมื่อดูอาการอยากจะอ้วกของบูลในเฟซบุ๊ก ฉินสือโอวก็รู้สึกดีขึ้นบ้างเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดถึงว่าลูกชายของบูลสามารถกินได้เยอะ เขาก็รู้สึกดีขึ้นกว่าเดิม


เขารู้สึกว่าตัวเองและบูลมีหัวอกเดียวกัน ชาวประมงคนอื่นๆ น่ะไม่มีทางเข้าใจหรอก เขาเลยถามขึ้นว่า “พวก ลูกชายใช้นายใช้ผ้าอ้อมยี่ห้ออะไร แล้วเป็นอย่างไรบ้าง?”


บูลเลยตอบว่า “ยี่ห้อมามี๊เบบี้น่ะ แต่มันอาจจะไม่เหมาะกับคุณ เพราะมีเด็กสองคนอยู่บนผ้าอ้อมด้วย ฮ่าๆ”


“ฟัค ยู!” ฉินสือโอวยกนิ้วกลางให้บูล


หลังฝนตกหนักหยุดลง ฟาร์มปลาต้าฉินยังคงต้องขนส่งลูกปลาออกไป และก็ยังมีคนส่งมาให้เขา ครั้งนี้ฟาร์มปลาแห่งหนึ่งของอ่าวเซนต์ลอว์เรนซ์ได้ส่งหอยนางรมจำนวนหนึ่งมา ฉินสือโอวไปรับพวกมันและเจ้าของฟาร์มปลานั้นก็ให้กุ้งตัวเล็กๆ แถมเพิ่มมาอีกหนึ่งถัง


ฉินสือโอวมองไปที่มันและพบว่าเป็นกุ้งกึ่งสุกกึ่งดิบที่ยังสดใหม่ มีขนาดเล็กมาก แต่คุณภาพดี มีผิวมันวาวและตัวอวบอ้วนเห็นได้ชัดเลยว่าเนื้อแน่นเต็ม


“นี่คือกุ้งแดงเหรอครับ? ดูไปแล้วก็ไม่เลวเลย ในฟาร์มปลาของผมก็มี” ฉินสือโอวยิ้ม


เจ้าของฟาร์มปลานั้นรีบส่ายหัวตอบทันที “เปล่าครับ นี่คือกุ้งน้ำเย็นอเมริกา มันเป็นกุ้งหวานอเมริกา รสชาติดีมากเลยล่ะ ผมแนะนำให้คุณลองชิม ฟาร์มปลาของผมเพาะเลี้ยงกุ้งพวกนี้ไว้ หากคุณสนใจพวกเราสามารถมาร่วมมือกันต่อไปได้นะครับ”


กุ้งน้ำเย็นสามารถรับประทานแบบดิบๆ ได้ เพราะกุ้งพวกนี้จะสุกแบบครึ่งๆ กลางๆ จึงสามารถรับประทานได้เลย


ฉินสือโอวไม่อยากที่จะปฏิเสธน้ำใจเลยหยิบไปกินหนึ่งตัว ก็สัมผัสได้ถึงหนังกุ้งที่ค่อนข้างนุ่มและเนื้อกุ้งที่เยอะมาก นอกจากนี้ยังมีกุ้งตัวอวบๆ รสชาติหวานนิดๆ ซึ่งมันดีจริงๆ


แต่การเพาะเลี้ยงกุ้งชนิดนี้ก็เหมือนกับการเพาะเลี้ยงกุ้งแดง เพิ่มเติมคือเป็นชั้นอาหารต่ำสุดสำหรับฟาร์มปลาซะมากกว่า ไม่ใช่เพื่อการจับไปขาย


แน่นอนว่า อเมริกาเหนือก็มีหลายที่มากที่ผลิตกุ้งพวกนี้ เช่นชายฝั่งทะเลตะวันตกของรัฐวอชิงตัน รัฐออริกอน และน่านน้ำแคลิฟอร์เนียตอนเหนือ ในเดือนเมษายนถึงเดือนตุลาคมของทุกปีจะสามารถตกได้หลายหมื่นตัน ซึ่งก็เปรียบเป็นโภคทรัพย์อีกอย่างได้เหมือนกัน


แต่ฉินสือโอวไม่ได้สนใจอะไร เพราะฟาร์มปลาของเขามีกุ้งแดงอยู่แล้ว จริงๆ แล้วกุ้งหวานอเมริกาก็คือกุ้งแดงแห่งมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ เพียงแต่พวกมันใช้ชีวิตอยู่ที่น่านน้ำทะเลแปซิฟิกเหนือก็เท่านั้น


เหมือนกับกุ้งแดง กุ้งชนิดนี้ตัวไม่ใหญ่ พอโตเต็มวัยก็มีน้ำหนักแค่สามสี่กรัม หนึ่งปอนด์ขายได้เพียงร้อยตัว มูลค่าทางเศรษฐกิจก็ค่อนข้างน้อย เวลาตกขึ้นมาขายส่วนมากก็เอาไปเป็นอาหารหมาแมวหรือไม่ก็เอามาเป็นเหยื่อล่อปลาในฟาร์มปลา


อีกทั้งกุ้งน้ำเย็นเติบโตช้าเป็นพิเศษ สี่ปีถึงจะสามารถตกได้ตามกำหนด แล้วเช่นนี้จะเพาะเลี้ยงไปทำไม


แต่ก็มีอีกความหมายหนึ่งซึ่งก็คือ ระยะเวลาการเติบโตของกุ้งชนิดนี้แปลกมาก ช่วงแรกสุดของพวกมันเป็นเพศผู้ ต่อมาก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเพศเมีย สุดท้ายถึงค่อยวางไข่และฟักไข่


ฉินสือโอวขอบคุณความหวังดีของเจ้าของฟาร์มปลาผู้นี้เป็นอย่างมาก แต่สุดท้ายเขาก็ยังไม่ได้สั่งพันธุ์กุ้งน้ำเย็น เอาเงินไปซื้อกุ้งแดงยังจะดีซะกว่า เจ้าตัวนี้ยังถูกกว่าเจ้าพวกนี้มากโข


หลังจากเจ้าของฟาร์มปลาเดินไป ถังกุ้งหวานนี้ก็ถูกทิ้งไว้ตรงนั้น


กุ้งหวานค่อนข้างเล็กไปหน่อย เอาไปทำอะไรกินก็ไม่อร่อย ถ้าจะเอาไปทอดหรือนึ่งกินก็ดูจะไม่เหมาะ ถ้าจะเททิ้งก็ดูจะเสียของเกินไป อีกอย่างนี่ก็เป็นความหวังดีของเจ้าของฟาร์มปลา ถ้าจะเททิ้งตรงๆ ก็จะดูไม่ดี


ฉินสือโอวจึงถามพวกชาวประมงว่ามีใครอยากได้ไหม โดยบอกว่านี่คือสวัสดิการจากฟาร์มปลา สุดท้ายพวกชาวประมงที่ฉลาดแกมโกงเลยพูดขึ้นว่าถ้าพวกเขาอยากกินกุ้งก็จะไปตกกุ้งล็อบสเตอร์ ใครจะไปอยากกินกุ้งตัวจ้อยแบบนี้กัน?


แลนซ์มองเขาที่ดูกลุ้ม แล้วพูดขึ้นว่า “หรือว่าคุณจะเอาไปทำเป็นกะปิก็ได้นะ สมัยก่อนตอนที่ผมทำงานที่เรือตกปลาลำหนึ่ง พวกเขาเป็นเรือตกกุ้งหวานเอามาทำเป็นกะปิโดยเฉพาะ จากนั้นก็นำไปขายให้ชาวจีน ผมจำได้ว่าพวกคุณชาวจีนชอบกินกะปิกันไม่ใช่เหรอ?”


พอได้ฟังที่แลนซ์พูด ฉินสือโอวพยักหน้าแล้วรู้สึกว่านี่ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ดูไม่เสียเปล่าดี


ตอนที่ฉินสือโอวอยู่ที่บ้านเกิดก็กินของสิ่งนี้ไม่น้อย และสำหรับบ้านเขาตอนเด็กๆ อาหารทะเลมีเพียงแค่สองชนิดเท่านั้น ชนิดหนึ่งคือสาหร่ายทะเล อีกชนิดก็หนึ่งคือกะปิ…


กะปิคืออาหารที่เกิดจากการหมักเก็บไว้ โดยระหว่างระยะเวลาที่หมักเก็บไว้โปรตีนจะย่อยสลายกลายเป็นกรดอะมิโน จึงทำให้มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ สามารถนำไปทำอาหารได้โดยตรงเลยหรือจะนำไปทำเป็นน้ำจิ้มเลยก็ยังได้


นอกจากนี้ มันยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมากอีกด้วย และปริมาณแคลเซียมของกุ้งจะกลายเป็นแคลเซียมที่มนุษย์สามารถดูดซึมเข้าไปได้ง่าย และไขมันก็เปลี่ยนเป็นกรดไขมัน ดังนั้นกะปิจึงสามารถเสริมโปรตีน แคลเซียม และกรดไขมันให้กับร่างกายได้ในเวลาเดียวกัน


พอคิดก็ลงมือทำเลย หลังจากกลับจากออกทะเลไม่มีอะไรทำพอดี ฉินสือโอวเลยหยิบถังกุ้งหวานกลับวิลล่า และหากระปุกสะอาดที่ว่างจากการทำไข่เป็ดเค็มมาเริ่มทำ


การทำสิ่งนี้ไม่ยาก หลังจากเขาล้างกุ้งจนสะอาดแล้วก็เอาไปใส่ไว้ในกะละมังเหล็ก จากนั้นก็ใส่เกลือลงไป


กุ้งหวานอุดมไปด้วยโปรตีนและไขมัน ทำให้เชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตได้ง่าย ดังนั้นจึงต้องใส่เกลือจำนวนมาก โดยให้ใส่ประมาณห้าเปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัวกุ้ง


คลุกเคล้าให้ทั่ว จากนั้นฉินสือโอวก็เรียกอีวิลสันที่กำลังเบื่อๆ อยู่เข้ามา แล้วให้เขาใช้ไม้กระบองตำกุ้งหวานให้ละเอียด


รอหลังจากที่มันเหนียวจนถึงที่สุด ฉินสือโอวก็ใส่ถั่วลิสงบด เมล็ดเอไนส์ พริกไทยเสฉวน อบเชย ซีอิ๊วขาวและน้ำมันงาจำนวนมากลงไป และให้อีวิลสันคนให้เข้ากันต่อ


ตำจนมันกลายเป็นน้ำจิ้มที่เหนียวข้นมากๆ ถึงจะถือว่าใช้ได้ ฉินสือโอวบรรจุกะปิลงในไห และใช้พลาสติกคลุมอาหารคลุมไว้อย่างมิดชิด จากนั้นก็เอาไปวางไว้ในห้องแล้วปัดมือและพูดขึ้น “โอเค ผ่านไปสักพักก็เอามากินได้แล้ว”


อีวิลสันลองเอามาแตะๆ ลิ้น และพูดขึ้น “ไม่เห็นอร่อยเลย โคตรเค็ม!”


ฉินสือโอวหัวเราะออกมา เจ้าคนนี้ไม่ว่าจะอะไรก็ต้องลองชิมก่อน ถ้าคำว่า ‘ไม่อร่อย’ ได้หลุดออกมาจากปากเขาแล้วล่ะก็ ต้องเป็นเรื่องที่รับมือได้ยากแน่ๆ


ก่อนหน้านั้น ฉินสือโอวแค่นึกว่าสำหรับอีวิลสันแล้ว มีแค่ของที่กินได้กับกินไม่ได้สองอย่างเท่านั้น ที่แท้เขาก็มีของที่ชอบกินกับไม่ชอบกินอยู่ด้วยนี่เอง


แต่ฉินสือโอวไม่เชื่อในจุดจุดนี้ เขาเลยพูดขึ้น “สิ่งนี้มันไม่ได้ให้กินเลย มันเอาไว้ทำกับข้าว รอดูนะอีวิลสัน ฉันจะใช้มันทอดซี่โครงหมู รสชาติอร่อยอย่าบอกใครเลยล่ะ”


พอได้ฟังเขาพูดแล้ว อีวิลสันก็มองไปยังไหอย่างรอคอย และพูดว่า “วันนี้กินได้เลยไหม?”


“ไม่ได้สิ” ฉินสือโอวหัวเราะ “อันนี้มันต้องใช้เวลาหมักนะ”


“แล้วพรุ่งนี้กินได้หรือยัง?”


“ก็ยังไม่ได้อยู่ดี ต้องรอประมาณสิบกว่าวันนู้น”


อีวิลสันถอนหายใจอย่างผิดหวัง แล้วถามว่า “แล้วเย็นนี้กินอะไรล่ะ?”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)