พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1257-1262
บทที่ 1257 ต้องการตัว แต่ไม่ให้!
โดย
Ink Stone_Fantasy
คำพูดนี้ฟังดูเหมือนถ่อมตัวเกรงใจ แต่อากัปกิริยาเต็มไปด้วยความโอ้อวดอย่างควบคุมไม่หยุด ทำให้เอ๋อเหมยที่อยู่ข้างๆ เม้มปากกลั้นยิ้ม
ราชินีสวรรค์เดินมาตรงหน้าเขา แล้วขานรับ “อืม” แสดงออกว่าเห็นด้วย “แดนอเวจีอันตรายจริงๆ ข้าได้ยินที่บ้านเจ้าบอกมาแล้ว ตอนอยู่ในนรกเจ้าหาที่ขุดถ้ำลึก แล้วซ่อนตัวเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี แค่นี้ก็รู้แล้วว่แดนอเวจีอันตราย”
เซี่ยโห้วหลงเฉิงกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ใช่แล้ว! ท่านอา คนหนึ่งล้านแปดแสนกว่าคน มีรอดกลับมาประมาณสามแสนคน หลานโชคดีที่ไม่ประมาท ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้เห็นหน้าท่านอาแล้วจริงๆ”
ราชินีสวรรค์เอียงหน้าช้าๆ เหล่ตามองเขาด้วยแววตาแปลกๆ เหมือนเห็นหมู่โง่ตัวหนึ่ง
เอ๋อเหมยที่อยู่ข้างๆ อมลมในกระพุ้งแก้ม แทบจะหลุดขำออกมาแล้ว ที่จริงคำพูดของราชินีสวรรค์ได้เปิดโปงอย่างชัดเจนแล้วว่า เซี่ยโห้วหลงเฉิงขุดถ้ำอยู่เป็นเวลาหนึ่งร้อยปี ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น คว้าอันดับเก้ามาจากไหนล่ะ? แต่เซี่ยโห้วหลงเฉิงดัน ‘ฉลาด’ ช้าไปหน่อย เห็นได้ชัดว่าราชินีสวรรค์ค่อนข้างพูดไม่ออกแล้ว
เดิมทีราชินีสวรรค์ก็ไม่อยากจะคิดว่าหลานชายวางมาดโอ้อวดต่อหน้าราชินีสวรรค์ ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องยากที่คนในครอบครัวจะมาหาได้สักครั้ง ดังนั้นจึงค่อนข้างพูดอย่างนิ่มนวล อยากจะให้หลานชายอธิบายมาเอง แต่เซี่ยโห้วหลงเฉิงสติปัญญาไม่เปิดกว้างเลย ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงกล่าวให้ชัดเจนขึ้นหน่อย “เจ้าไม่ได้ประมาทจริงๆ ขุดถ้ำซ่อนตัวไม่ยอมออกมา พอออกมาก็ได้อันดับเก้าเลย ขนาดสวรรค์ยังส่งคะแนนมาให้เจ้า แบบนี้ต้องมีความสามารถมากขนาดไหน”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา นที่สุดเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็คิดตามได้ทันแล้ว รอยยิ้มโอ้อวดค้างนิ่งอยู่บนใบหน้า สีหน้าชาวาบเหมือนโดนตะคริวกิน
ราชินีสวรรค์หันตัวเดินกลับมานั่งลงหลังโต๊ะยาว “หลงเอ๋อร์ อาไม่อยากเห็นเจ้าหลอกลวงข้าหรอกนะ บอกมาเถอะ! บอกมาว่าเจ้าได้อันดับเก้ามาได้อย่างไร”
เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็อยากหลอกอยู่เหมือนกัน แต่ว่าโดนเปิดโปงแล้ว และไม่รู้ด้วยว่าท่านอารู้มากแค่ไหน เขายังจะกล้าหลอกอีกได้อย่างไร ได้แต่อึกอักลังเลนิดหน่อย แล้วก็อธิบายออกมาอย่างซื่อสัตย์ “เป็นหนิวโหย่วเต๋อมอบให้ข้า…”
ล่าเหตุการณ์ที่บังเอิญเจอหนิวโหย่วเต๋อแล้วเตรียมจะปล้นผลงานให้ฟัง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” ราชินีสวรรค์พยักหน้าอย่างเจ้าใจ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ก็ถามอีกว่า “เจ้ามีความแค้นกับหนิวโหย่วเต๋อนั่นไม่ใช่เหรอ? ข้าได้ยินว่าเจ้ากับเขาลงนามจะสู้ตายกันไปข้างด้วย ยังจะสู้กันอีกมั้ย?”
เซี่ยโห้วหลงเฉิงยืดอกอีกครั้ง “ชายชาตรีจะจดจำความแค้นเล็กน้อยแบบนั้นได้อย่างไร เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันแล้วไป ข้าฉีกทำลายสัญญานั้นทิ้งไปแล้ว ข้ากับหนิวโหย่วเต๋อเป็นสหายกันแล้ว…” แล้วก็หัวเราะคิกคักเล่าว่าเวลาตัวเองอยู่กับเหมียวอี้นั้นมีมิตรภาพดีขนาดไหน
เจ้าคิดว่าเจ้ามีเสน่ห์ขนาดนี้จริงเหรอ? ราชินีสวรรค์จ้องหลานชายตัวเองอย่างพูดไม่ออกจริงๆ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี ทำได้เพียงเปลี่ยนประเด็นสนทนา กล่าวให้กำลังใจเรื่องเบ็ดเตล็ดหยุมหยิม จากนั้นก็ให้รางวัลนิดหน่อย ก่อนจะสั่งให้คนพาเขาออกจากวังสวรรค์ ให้กลับไปแล้ว
ตอนค่ำ ในอุทยานสายัณห์ นางในร่ายรำอย่างอ่อนช้อย นั่งขยี้หนวดเชยชมอยู่ในศาลา รอบข้างมีนางสนมสุดสวยมากมายรายล้อมขอความโปรดปราน หัวเราะเบาๆ เพื่อดึงดูดความสนใจของประมุขชิงไม่หยุด
ตรงด้านนอกประตูพระจันทร์ที่อยู่ปลายสุดของศาลายาว ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่นำลูกน้องสองสามคนเดินเข้ามาหยุดฝีเท้า กวาดสายตามองภาพเหตุการณ์ในอุทยานสายัณห์ สายตาเย็นเยียบไปหยุดอยู่บนตัวนางสนมสุดสวยหลายคนที่กำลังรายล้อมประมุขชิง
มีอยู่จุดหนึ่งที่จำเป็นต้องยอมรับ ว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่หน้าตาธรรมจริงๆ เทียบกับหญิงงามในวังหลังพวกนั้นไม่ติดเลย แต่เป็นเพราะสายเลือดของตระกูลเซี่ยโห้ว ตระกูลเซี่ยโห้วไม่มีหญิงชายที่หน้าตาดี ยกตัวอย่างเช่นเซี่ยโห้วหลงเฉิง
แต่หญิงงามในวังหลังพวกนั้นก็เทียบภูมิหลังกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่ติดเช่นกัน ใครจะเทียบหนึ่งหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ติด พอเห็นเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ปรากฏตัว ในดวงตาของหญิงงามพวกนั้นก็ฉายแววลนลาน รีบสำรวมท่าทีระริกระรี้แย่งความโปรดปราน
พวกนางเป็นฝ่ายเว้นที่ข้างประมุขชิงไว้ให้ กลัวว่าจะทำให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เข้าใจผิด
“ฝ่าบาท!” หลังจากเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก้าวขึ้นมาทำความเคารพ แล้วเห็นประมุขชิงดูการระบำจนเหม่อลอยไม่ตอบอะไร นางก็นั่งลงข้างกายประมุขชิงโดยไม่ต้องมีใครเชิญ ทั้งตำหนักสวรรค์มีนางคนเดียวที่มีสิทธิ์นั่งเทียบเสมอกับประมุขชิง
“ราชินีสวรรค์!” นางสนมทุกคนทำความเคารพ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เพียงพยักหน้าเบาๆ
เมื่อเห็นราชินีสวรรค์ทำสีหน้าเหมือนอารมณ์ไม่ค่อยดี พวกนางสนมสุดสวยก็อ่านสถานการณ์ออกและต่างคนต่างหาข้ออ้างเพื่อออกจากงานไป
อ่านสถานกาณ์ไม่ออกไม่ได้หรอก ถ้ากล้ามายั่วยวนต่อหน้าราชินีสวรรค์ก็เท่ากับรนหาที่ตาย แรงสนับสนุนที่อยู่เบื้องหลังราชินีสวรรค์ก็คือตระกูลเซี่ยโห้ว ถึงแม้เซี่ยโห้วจะไม่สามารถทำอะไรพวกนางที่อยู่ในวังได้โดยตรง แต่กลับสามารถกวาดล้างอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังพวกนางได้
ถ้าไม่มีกำลังสนับสนุนอยู่เบื้องหลังแล้ว ก็หมายความว่าในวังจะไม่มีใครพูดอะไรเพื่อช่วยเจ้าอีก ไม่มีใครอยากผิดใจกับคนที่มีอิทธิพลหนุนหลังเพื่อคนที่ไม่มีอิทธิพลหนุนหลังอย่างเจ้าหรอก แบบนั้นก็จินตนาการจุดจบได้เลย แค่ราชินีสวรรค์ส่งสายตาครั้งเดียวก็สามารถทำให้คนกลุ่มใหญ่ยัดข้อหาให้เจ้าได้แล้ว เล่นงานให้เจ้าตายได้ง่ายมาก และถ้าเจ้าไม่มีอิทธิพลหนุนหลัง ราชันสวรรค์ก็คงไม่ปล่อยให้คนไร้ความสำคัญคนหนึ่งมาทำให้วังหลังไม่สงบ ต่อให้ราชันสวรรค์มาซักถาม เจ้าก็เป็นได้เพียงคนมีความผิดติดตัวที่สมควรตาย แม้แต่คนที่จะร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมให้เจ้าสักคนก็ไม่มีด้วยซ้ำ
ดังนั้นแล้ว ผู้หญิงในวังหลังจะอยู่ในวังหลังได้อย่างมั่นคงหรือไม่ ปัจจัยที่ช่วยตัดสินก็ยังอยู่นอกวัง ในวังเป็นเป็นสถานที่หาความบันเทิงของราชันสวรรค์ คนที่ช่วยราชันสวรรค์ควบคุมคนในใต้หล้าก็ยังเป็นพวกขุนนางใหญ่ที่อยู่นอกวัง ไม่ใช่พวกผู้หญิงที่ยั่วยวนอยู่ในวัง ถ้าราชันสวรรค์ใช้ให้คนในตระกูลของนางสนมคนไหนปฎิบัติหน้าที่ในตำแหน่งสำคัญ ก็จะไม่มีใครกล้าแตะต้องสนามคนนั้นเมื่ออยู่ในวัง ไม่อย่างนั้นข้อหาก่อเรื่องในวังจนทำให้งานนอกวังของราชันสวรรค์เสียหายก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะรับผิดชอบไหว
ด้วยเหตุนี้ ผู้หญิงมากมายในวังจึงอยากได้รับความโปรดปรานจากราชันสวรรค์ ให้ราชันสวรรค์รักนางและคนในครอบครัวของตัวเองด้วย ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ด้วยการลงหลักปักฐานอย่างมั่นคงในวัง แต่ผู้หญิงพวกนั้นที่ไม่มีใครหนุนหลัง ก็หวังจะสร้างสัมพันธ์อันดีกับขุนนางคนสำคัญที่อยู่นอกตำหนักสวรรค์ เวลาประสบความยุ่งยากอะไร ขุนนางพวกนั้นก็จะพูดจามีน้ำหนักกว่าตนเมื่ออยู่ต่อหน้าฝ่าบาท
ด้วยเหตุนี้จะเห็นได้เลยว่า ตำแหน่งของราชินีสวรรค์ไม่ใช่ว่าใครจะมาเป็นก็ได้ ถ้าไม่มีกำลังหนุนหลังก็ไม่สามารถขึ้นนั่งในตำแหน่งนี้ได้เลย หน้าตาสวยหรืออัปลักษณ์นั้นไม่สำคัญ
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่ได้รบกวรการชมระบำของประมุขชิง ช่วยรินสุราหยกใส่จอกให้ประมุขชิงเบาๆ
“ได้ยินว่าหลานชายเจ้าเข้าวังเหรอ” ประมุขชิงที่ไม่ละสายตาจากการระบำพลันเอ่ยถาม
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่รู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ปิดบังเขาไม่ได้ จึงตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ใช่เพคะ เซี่ยโห้วหลงเฉิงมาแล้ว หม่อมฉันมีเรื่องถามเขานิดหน่อย ถ้าไม่ถามให้รู้ชัด หม่อมฉันก็ไม่สงบใจ”
“เซี่ยโห้วหลงเฉิง…คนที่ไปทดสอบที่แดนอเวจีมาใช่มั้ย?” ประมุขชิงถาม
“ฝ่าบาทช่างความจำดี เป็นคนนั้นเพคะ”
“ได้ยินว่าทดสอบได้อันดับเก้า คะแนนไม่เลวเลยนี่”
“หม่อฉันเรียกเขามาถามก็เพราะเรื่องนี้ สงสัยว่าคนบุ่มบามประมาทอย่างเขาจะได้อันดับเก้ามาได้อย่างไร ถ้าไม่ถามก็ไม่รู้ หลังจากถามจนรู้ชัดแล้วหม่อมฉันก็โมโหมาก ที่แท้คะแนนนั่นหนิวโหย่วเต๋อก็เป็นคนแบ่งให้เขาได้อาศัยบารมี…” หลังจากเล่าสถานการณ์ให้ฟังโดยละเอียด เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ยังกล่าวด้วยสีหน้าโกรธเคืองว่า “หม่อมฉันจัดการแล้ว เดี๋ยวจะถอดอันดับเก้าของเขาออก ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็เป็นคนจัดการทดสอบเองกับมือ ตัวเองจะไม่รักษาความยุติธรรมได้อย่างไร!”
“เจ้านี่นะ!” ในที่สุดประมุขชิงก็เผยรอยยิ้มออกมาแล้ว เอียงหน้ามองไปที่นางแล้วบอกว่า “คนที่ได้อันดับซ้ำกันในครั้งนี้มีไม่น้อยเลย คิดว่าข้าไม่รู้จริงๆ เหรอว่าเรื่องเป็นอย่างไร? ข้าแค่ไม่อยากทำเรื่องนี้ให้เด็ดขาดเกินไปจนโดนกระแสตีกลับมากเกินไป ถึงอย่างไรเกาก้วนก็ตัดหัวคนไปมากขนาดนั้นแล้ว ถ้าถึงได้ให้เกาก้วนหยุดตรวจสอบต่อ จะว่าไปเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็นับเป็นหลานของข้าครึ่งหนึ่งเหมือนกัน แค่ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ตำแหน่งเดียว เจ้าให้เขาไปเถอะ ไม่จำเป็นต้องนำเขามาพิสูจน์ให้คนอื่นดูหรอก ถ้ามีคนนำเรื่องนี้มาว่ากล่าว เจ้าก็แค่บอกว่าเป็นความคิดของข้า ข้าก็อยากจะเห็นว่าใครจะกล้าพูดอะไร”
ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เล็กๆ ตำแหน่งเดียวไม่ได้อยู่ในสายตาเขาเลยจริงๆ แต่เขาสนใจท่าทีของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่มีต่อเรื่องนี้ สนใจว่านางจะปิดบังตนหรือเปล่า
แต่เห็นได้ชัดว่าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็รู้ใจประมุขชิงเหมือนกัน ที่จริงนางถามคนของเซี่ยโห้วจนรู้เรื่องนี้ชัดเจนแล้ว แต่จงใจดักเซี่ยโห้วหลงเฉิงไว้กลางทางและเรียกมาที่นี่ก็เพื่อจะทำให้ประมุขชิงเห็น
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยิ้มเจื่อน “ในเมื่อฝ่าบาทช่วยพูดให้เขา ก็ถือเป็นวาสนาของเจ้าเด็กนั่น หม่อมฉันจะปฏิบัติตามคำสั่งเพคะ เพียงแต่การทดสอบครั้งถัดไป หม่อมฉันก็ยังกังวลว่ากลุ่มขุนนางจะมีปฏิกิริยามากเกินไป เลยอยากจะมาขอคำชี้แนะจากฝ่าบาท”
“เจ้าทำได้เต็มที่เลย มีข้าหนุนหลังเจ้าอยู่ เจ้าไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น เรื่องอันดับทดสอบซ้ำกันข้าก็จะเตรียมจะปิดตาข้างเดียว แต่ถ้าใครต้องการจะคัดค้าน ก็ต้องดูก่อนว่าก้นตัวเองสะอาดหรือเปล่า ควรจะตรวจสอบใครหรือไม่ตรวจสอบใคร ข้าก็มีอำนาจตัดสินใจ!” ประมุขชิงกล่าวเสียงเรียบ พลางยื่นมือหยิบจอกสุราหยกข้างกายมาดื่มอย่างเนิบนาบ
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เข้าใจในทันที ที่แท้การไม่ให้เกาก้วนสืบต่อก็เพราะมีแผนสำรองนี่เอง เป็นการปูทางเพื่อจะจัดการทดสอบต่อในภายหลัง
นางเพิ่งจะเข้าใจกระจ่าง ประมุขชิงก็ถามอีกว่า “เจ้ารู้สึกว่าหนิวโหย่วเต๋อนั่นเป็นอย่างไร?”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เขาถามเรื่องนี้อีก นางจึงไม่ได้ตอบแบบเด็ดขาดตรงไปตรงมา “สามารถได้ยินมาถึงหูสวรรค์ได้ ชื่อเสียงค่อนข้างโด่งดัง หม่อมฉันเพียงได้ยินมา แต่ความจริงเป็นอย่างไรไม่ค่อยรู้ชัด ฝ่าบาทคิดอย่างไรเพคะ?”
ประมุขชิงยิ้มบางๆ “ก็แค่ตาเฒ่าพวกนั้นเอ่ยถึงต่อหน้าข้านิดหน่อย แล้วตอนหลังเถิงเผยที่กลับมาประชุมในราชสำนักก็แสดงเจตนาชัดเจนมาก อยากจะดึงตัวเขาเข้ามา ต่างก็รู้สึกว่าปล่อยทหารกล้าแบบนี้ไว้ว่างๆ ที่ตลาดสวรรค์ก็จะเป็นการปิดกั้นคนมีความสามารถ เฮ้อ! ขนาดเกาก้วนยังเอ่ยปากกับข้าเอง อยากจะดึงตัวมาที่หน่วยตรวจการฝ่ายขวา ทำเอาข้าทำเอาข้าลำบากใจไม่รู้จะให้ใครถึงจะเหมาะสม ข้าเลยบอกไปแล้ว ว่าเขาเป็นคนของระบบตลาดสวรรค์ จะปล่อยคนหรือไม่ปล่อยคนก็ต้องถามความเห็นของเจ้า ให้พวกเขามาปรึกษาเจ้า คาดว่าอีกไม่นานก็คงจะมีคนมาคุยกับเจ้าแล้ว เจ้าเตรียมใจไว้ก่อนเลยนะ”
“ทูตขวาเกาก็เอ่ยปากด้วยเหรอ?” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทำสีหน้าประหลาดใจมาก
ประมุขชิงพยักหน้า “ก็เหมือนตอนที่เพิ่งเริ่มการทดสอบในปีนั้น ทูตขวาเกาก็เคยเอ่ยปากไปครั้งหนึ่งแล้ว ตอนนั้นข้าบอกไปว่า ตราบใดที่เจ้าไม่คัดค้านก็พอ ตอนนั้นอดทนไว้ก่อนเพราะยังไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อนั่นจะรอดชีวิตกลับมาได้หรือไม่ นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้เกาก้วนจะเอ่ยถึงอีกแล้ว เลยทำให้ข้าเริ่มสนใจหนิวโหย่วเต๋อขึ้นมาบ้างแล้ว”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่แววตาวูบไหว มีคนเอ่ยปากต้องการคนมากขนาดนี้ ขนาดเกาก้วนยังเอ่ยปากตั้งสองครั้ง…นางจึงยิ้มพลางถามหยั่งเชิงทันที “พอได้ยินฝ่าบาทพูดแบบนี้ หม่อมฉันก็เริ่มสนใจแล้วเหมือนกัน แล้วอีกอย่าง ที่บอกว่าปล่อยไว้ว่างๆ ที่ตลาดสวรรค์เท่ากับเป็นการปิดกั้นคนมีความสามารถ พูดแบบนั้นได้อย่างไรกัน หม่อมฉันได้ยินแล้วหงุดหงิดเพคะ ครั้งนี้หม่อมฉันคงจะต้องหักหน้าทูตขวาเกาสักหน่อยแล้ว”
ประมุขชิงหลุดขำ “นักพรตบงกชทองเล็กๆ คนหนึ่ง ยังไม่มีค่าพอให้ข้าไปสนใจหรอก รอให้เขาเติบโตขึ้นแล้วค่อยดูอีกทีแล้วกัน ตอนนี้ยังใช้ทำงานสำคัญอะไรไม่ได้ เป็นคนที่อยู่ในมือเจ้า เจ้าจัดการเองตามเห็นสมควรเถอะ”
เป็นอย่างที่ประมุขชิงบอกจริงๆ ไม่กี่วันต่อมา ก็มีฮูหยินของบรรดาผู้มีอำนาจทยอยกันเข้าวังมาเข้าเฝ้าราชินีสวรรค์ สิ่งที่คุยกันก็คือต้องการขอคน ยิ่งเป็นแบบนี้ก็ยิ่งทำให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เห็นคุณค่า จึงปฏิเสธไปทุกคน เหตุผลก็ไม่ซับซ้อนเลย คนที่มีคนต้องการเยอะเกินไป ถ้าจะให้คนนี้ก็กลัวจะขัดใจกับอีกคน จึงไม่ขัดใจใครเสียเลย นางไม่ให้ใครทั้งนั้น!
บทที่ 1258 รายงานผลการปฏิบัติงานที่จวนแม่ทัพภาค
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในตำหนักแห่งหนึ่ง ฝานอวี้เฟย หลัวชิ่งจื่อ หมานซาน หลู่ต๋าไค เจี่ยงจ้งเซินที่กลับจากการทดสอบมารวมตัวกันอยู่ตรงหน้าเซี่ยโห้วหู่เฉิง เพื่อเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในการทดสอบที่ผ่านมา
คำพูดบางอย่างถึงแม้จะไม่ได้เอ่ยต่อหน้าเซี่ยโห้วหลงเฉิง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเซี่ยโห้วหู่เฉิงก็ต้องพูดถึงสักหน่อย อย่างน้อยก็ต้องให้เซี่ยโห้วหู่เฉิงรู้ ถือว่าไว้หน้าผู้บัญชาการใหญ่แล้วจริงๆ
เขาย่อมรู้สันดานของพี่ชายตัวเองดี สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้แน่นอน เซี่ยโห้วหู่เฉิงยิ้มเจื่อนในใจ แล้วกุมหมัดคารวะทั้งห้าคน “รอบนี้ลำบากทุกคนแล้ว โชคดีเหมือนกันที่ไม่ทำให้ทุกคนเสียอนาคต แต่พี่ชายของข้าไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากครอบครัวมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาก็ต้องรอของเหลือจากคนอื่น หรือไม่ก็ไม่มีส่วนแบ่งของเขาเลย เขาจึงมีนิสัยโลภและชอบเอาเปรียบไปบ้าง หวังว่าทุกคนจะไม่เก็บเรื่องในใจครั้งนี้มาใส่ใจ ข้าอภัยแทนพี่ชายคนโตของข้าด้วย ต่อไปถ้ามีอะไรที่ข้าพอจะช่วยได้ ทุกคนก็เอ่ยปากได้เลย”
พวกเขาพูดถึงเรื่องนี้พอเป็นพิธีเฉยๆ พอได้ยินแบบนี้ก็กุมหมัดกล่าวพร้อมกันว่า “เป็นสิ่งที่พวกเราสมควรทำอยู่แล้ว”
จวนแม่ทัพภาคตงหัว เหมียวอี้กลับมาที่นี่เป็นเวลาหลายเดือนแล้ว เดิมทีอยากจะกลับดาวเทียนหยวนก่อนแล้วค่อยกลับมารายงานผลการปฏิบัติงานที่นี่ แต่ใครจะคิดว่าระหว่างทางจะได้รับข้อความจากปี้เยว่ฮูหยิน ว่าหลังจากเขากลับมาแล้วก็ให้ไปที่จวนแม่ทัพภาคก่อน
พอได้ทราบว่าผู้บัญชาการใหญ่ของตัวเองทั้งหมดกลับมาอย่างปลอดภัย ปี้เยว่ฮูหยินก็ไม่เมินเฉย คนที่ส่งมารับก็ไม่ใช่แค่ทหารยศเล็กๆ ที่คอยเฝ้ายาม พอเหมียวอี้เหาะลงมาเหยียบหน้าประตูจวนแม่ทัพภาคก็พบกันแล้ว ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นลูกน้องเก่าของเหมียวอี้นั่นเอง กงอวี่เฟยที่เคยเป็นผู้ช่วยเก่าของเขานั่นเอง
“ฮูหยินรออยู่ข้างใน เชิญ!” บนใบหน้าของกงอวี่เฟยบอกไม่ถูกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน อีกฝ่ายยื่นมือเชิญเขา
เหมียวอี้กลับยืนนิ่งอยู่ตรงประตู จ้องนางอย่างเย็นเยียบ ตอนแรกที่มารวมตัวกันที่นี่ก่อนการทดสอบ กงอวี่เฟยก็ควบตำแหน่งผู้ดูแลในคฤหาสน์ของที่นี่ชั่วคราว เรื่องที่นางร่วมมือกับพวกจางฮั่นฟางกลั่นแกล้งให้เขาอับอาย เขาไม่มีทางลืมได้
เมื่อเห็นเขาไม่มีปฏิกิริยาอะไร กงอวี่เฟยก็วางมือลง แล้วถามด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ทำไม? หรืออยากจะให้ฮูหยินออกมาเชิญด้วยตัวเอง?”
ใช่แล้ว ตอนแรกนางจงใจร่วมมือกับผู้บัญชาการใหญ่อีกเก้าคนสร้างความอับอายให้เหมียวอี้ แต่นางก็ไม่จำเป็นต้องกลัวเหมียวอี้ ปี้เยว่ฮูหยินคือผู้บังคับบัญชาของเหมียวอี้ ส่วนนางก็เป็นคนข้างกายปี้เยว่ฮูหยิน เหมียวอี้จะทำอะไรนางได้ล่ะ?
“มิบังอาจ!” เหมียวอี้ตอบเสียงเรียบ แล้วถามอีกว่า “พวกจางฮั่นฟางมาหรือยัง?”
คิดว่าข้าเป็นลูกน้องเจ้ารึไง? กงอวี่เฟยยกมุมปากแสยะยิ้ม นางไม่สนใจ หันตัวเดินจากไปแล้ว ทำท่าทางเหมือนกำลังบอกว่า ‘จะมาหรือไม่มาก็ตามใจเจ้า’
เหมียวอี้หรี่ตาจ้องเงาหลังผู้หญิงคนนี้ มีคนไม่รู้จักแยกแยะดีชั่วแบบนี้อยู่ข้างกายปี้เยว่ฮูหยิน ถ้านางเอาแต่พูดถึงเขาในทางที่ไม่ดีต่อหน้าผู้บังคับบัญชาของเขา แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไรสำหรับเขาเหมือนกัน แต่เขาก็ทำอะไรกงอวี่เฟยไม่ได้จริงๆ ทำได้เพียงเดินตามหลังเข้าไป
เหยียนซู่ จางฮั่นฟาง หลิ่วกุ้ยผิง เหยาสิ้ง ติงเจ๋อเฉวียน ซางหรูเยว่ เกาโย่ว เหลียนฟางอวี้ รุ่ยฝาน ที่จริงผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ทั้งเก้าก็เพิ่งมาถึงได้ไม่นาน มาถึงก่อนเหมียวอี้เพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น
เมื่อเดินตามหลังกงอวี่เฟยเข้ามาในตำหนักหัวหน้าภาค ภาคแรกที่เห็นก็คือเก้าคนนี้ยืนอยู่ในตำหนัก พอทั้งเก้าได้ยินเสียงก็หันมามองเขาพร้อมกัน ตอนอยู่ที่แดนอเวจีกลัวเหมียวอี้ แต่พอมาถึงที่นี่แล้วไม่เห็นเหมียวอี้อยู่ในสายตาเลย พวกเขาหันหน้าไปคนละทิศคนละทาง ทำเหมือนมองไม่เห็น
“ข้าน้อยหนิวโหย่วเต๋อ กลับมาจากการทดสอบที่แดนอเวจี รายงานผลการปฏิบัติงานต่อนายท่านแม่ทัพภาค!” พอเดินมาในโถง เหมียวอี้ก็กุมหมัดคารวะ
ปี้เยว่ฮูหยินที่นั่งสง่าอยู่เบื้องสูงมองเขาด้วยแววตาที่สื่ออารมณ์ซับซ้อน เรื่องในอดีตชัดเจนเหมือนเพิ่งเกิดขึ้น มาพูดอะไรตอนนี้ก็เกินความจำเป็นไปหน่อย ไม่ต้องพูดอะไรก็แสดงความรู้สึกทุกอย่างออกมาหมดแล้ว
นางอยากจะรู้อะไรบางอย่างจากปฏิกิริยาบนใบหน้าเหมียวอี้ แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะสงบนิ่งมาก สงบนิ่งยิ่งกว่าเหมียวอี้ที่นางเคยเจอเมื่อก่อน สุขุมเยือกเย็น
“กลับมาก็ดีแล้ว” ปี้เยว่ฮูหยินกล่าวพร้อมรอยยิ้ม แล้วยื่นมือเชิญให้เหมียวอี้ไปยืนประจำที่
เหมียวอี้รู้ตัวดีว่าต้องทำอะไร ไปยืนอยู่ข้างหลังสุดทางด้านขวา ยืนอยู่ข้างหลังของเกาโย่ว ทำเอาเกาโย่วอึดอัดไปทั้งตัว รู้สึกกังวลว่าจะโดนลอบโจมตี
ปี้เยว่ฮูหยินกวาดสายตามองพวกเขา พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “มากันครบหมดแล้ว ร้อยปีมานี้ลำบากทุกคนแล้ว”
“เป็นเรื่องที่อยู่ในหน้าที่” ทั้งสิบคนตอบเป็นเสียงเดียวกันตามมารยาท
“ที่เรียกพวกเจ้ามาครั้งนี้ ก็ไม่ใช่เพราะอะไร แค่อยากจะบอกพวกเจ้าไว้สักหน่อย ว่าการทดสอบที่แดนอเวจีจะจัดต่อเนื่องเป็นครั้งที่สอง” ปี้เยว่ฮูหยินถอนหายใจ
พวกจางฮั่นฟางตกตะลึง ส่วนเหมียวอี้ก็เงหยน้ามองปี้เยว่ฮูหยินแวบหนึ่ง ไม่ได้มีปฏิริยาอะไรมาก ตอนเขาได้เห็นสถานการณ์ที่ใจกลางแดนอเวจี เขาก็เดาได้แล้วว่าตำหนักสวรรค์อาจจะจัดการทดสอบอีก เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจะเร็วขนาดนี้
เร็วมากจริงๆ เร็วจนแม้กระทั่งปี้เยว่ฮูหยินเองก็ยังงง ทำเอานางทำอะไรไม่ถูก นางเองก็เพิ่งได้ข่าวมาไม่นานเช่นกัน
เหยียนซู่กุมหมัดถามอย่างตกใจ “นายท่าน ไม่ทราบว่าการทดสอบครั้งนี้จะดำเนินการอย่างไร? คงไม่ถึงขั้นจับพวกเราไปโยนในการทดสอบอีกครั้งหรอกใช่มั้ย?”
ปี้เยว่ฮูหยินถอนหาใจแล้วส่ายหน้าตอบ “การทดสอบครั้งนี้เลื่อนเป็นระดับบงกชรุ้ง ทดสอบเพื่อแย่งชิงตำแหน่งแม่ทัพภาคตลาดสวรรค์ แถมระดับความยากก็เพิ่มขึ้นด้วย จุดที่พวกเจ้าสำรวจก่อนหน้านี้ถูกวาดออกมาหมดแล้ว สถานที่พวกนั้นไม่ได้อยู่ในขอบเขตการทดสอบ ผู้ทดสอบทำได้เพียงสำรวจต่อเข้าไปให้ลึกหรือไม่ก็ไปสำรวจที่อื่น แล้วเวลาการทดสอบก็เพิ่มเป็นหนึ่งเท่า เพิ่มเป็นสองร้อยปี!”
เมื่อเห็นนางอารมณ์ไม่ค่อยดี ทุกคนก็มองหน้ากันเลิกลั่ก ซ่างหรูเยว่ถามหยั่งเชิงว่า “นายท่านเข้าร่วมด้วยมั้ยคะ?”
ปี้เยว่ฮูหยินยิ้มอย่างขื่นขม “กฎเหมือนกับครั้งก่อน ทั้งยังโหดร้ายกว่า แม่ทัพภาคอย่างข้าก็หนีไม่พ้นเหมือนกัน”
หลังจากได้รู้เรื่องการทดสอบครั้งนี้ ต่อให้นอนฝันนางก็นึกไม่ถึงจริงๆ อีกทั้งเบื้องบนก็บอกไว้แล้วด้วย ขนาดผู้บัญชาการใหญ่ระดับล่างยังทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดี แล้วแม่ทัพภาคจะหดหัวได้อย่างไร ถ้าไม่เข้าร่วมก็จะโดนลดขั้นเป็นเทพแห่งผืนดิน ผีหลักเมือง ทั้งยังจะไม่ถูกเลื่อนขั้นภายในหนึ่งหมื่นปีด้วย
นางย่อมต้องร้อนใจอยู่แล้ว นางถามท่านโหวเทียนหยวน คนที่นั่งตำแหน่งแม่ทัพภาคมีภูมิหลังไม่เล็กทั้งนั้น คนมากมายขนาดนั้นทำไมถึงโน้มน้าวห้ามราชันสวรรค์ไม่ได้?
ท่านโหวเทียนหยวนบอกว่า ทางฝั่งเทพประจำดาวมะโรงดินถูกสืบเจอว่าช่วยลูกหลานปลอมแปลงผลงานทดสอบ ทำให้กำลังพลของหน่วยตรวจการฝ่ายขวาและกำลังพลที่รักษาการณ์แดนอเวจีถูกโจรกบฏล้อมโจมตี มีคนตายไปแล้วพันกว่าคน ขนาดขนาดแม่ทัพใหญ่สองแถบยังรบตายไปแล้วสองคน ราชันสวรรค์เดือดดาลมาก! จึงจัดการเทพประจำดาวมะโรงดินเสียตรงนั้นในราชสำนักเลย แล้วสั่งประหารทั้งตระกูล ยึดทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของหลวง ที่จริงทุกคนต่างก็รู้ว่าในการทดสอบครั้งนี้มีคนโกงไม่น้อยเลย สร้างความเสียหายแก่กองทัพเชียวนะ! ถ้าโดนข้อหานี้ก็ไม่มีใครเถียงอะไรออกแล้ว ถ้าเอาจริงขึ้นมาตามกฎระเบียบกองทัพ แต่ละคนล้วนต้องโดนตัดหัวไปแล้ว ในมือราชันสวรรค์มีหลักฐานแน่นหนาที่เกาก้วนเตรียมไว้ ที่ไม่สืบสาวเอาเรื่องต่อก็นับว่าเมตตาแล้ว แล้วใครยังจะกล้ายั่วโมโหฝ่าบาทในเวลานี้อีก ถ้าทำแบบนั้นก็แปลว่าเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว
ประเด็นสำคัญคือปี้เยว่เป็นฮูหยินของท่านโหวเทียนหยวน จะให้ฮูหยินของท่านโหวเทียนหยวนหลบเลี่ยงการทดสอบของตำหนักสวรรค์เหรอ มันใช่เรื่องเหรอ? ในภายหลังจะต้องกลายเป็นจุดอ่อนให้คนอื่นโจมตีท่านโหวเทียนหยวนในการประชุมราชสำนักแน่ เมื่ออยู่ในตำแหน่งสูง เรื่องบางเรื่องก็ยุ่งยากเหมือนกัน
แต่ท่านโหวเทียนหยวนแสร้งทำเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของฮูหยิน ให้ปี้เยว่ฮูหยินไปเป็นเทพแห่งผืนดินหรือไม่ก็ผีหลักเมืองก็ได้ เขาจะเลี้ยงนางเอง แต่ปี้เยว่ฮูหยินจะยอมตอบตกลงได้อย่างไร ถ้าทำผิดนางก็คงยอมเพราะไม่มีทางเลือก แต่นี่นางอยู่ดีๆ โดยไม่ได้ทำอะไรผิด จะให้ไปเป็นเทพแห่งผืนดินกับผีหลักเมืองทั้งชีวิตเหรอ ล้อเล่นอะไรกัน เป็นแม่ทัพภาคมาจนชินแล้ว จู่ๆ จะให้ไปเป็นพวกผีหลักเมืองกับเทพแห่งผืนดิน ใครจะไปทนรับไหว ถึงตอนนั้นจะต้องโดนหัวเราะเยาะตายแน่นอน
ทำตามใจตัวเองไม่ได้ ไม่มีทางเลือก ปี้เยว่ฮูหยินทำได้เพียงเตรียมตัวไปอยู่ที่แดนอเวจีสองร้อยปี เรียนรู้จากการทดสอบครั้งก่อน ซ่อนตัวสองร้อยปีโดยไม่ออกมา ถึงตอนนั้นอย่างมากก็แค่ไม่ต้องเป็นแม่ทัพภาคตลาดสวรรค์อีกต่อไป เดี๋ยวให้เทียนหยวนส่งนางไปเป็นแม่ทัพภาคบนอาณาเขตของอำนาจท้องถิ่นต่อก็ได้ ดีกว่าเป็นเทพแห่งผืนดินกับผีหลักเมืองไปทั้งชีวิต ใช้ชีวิตมีหน้ามีตามาหลายปีขนาดนี้ อย่างน้อยก็ต้องรักษาภาพลักษณ์เอาไว้สิ
พอได้ยินแบบนี้ ทุกคนก็มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา พอจะเดาออกถึงความคิดของปี้เยว่ฮูหยินแล้ว
“เบื้องบนให้เวลาส่งต่องานเพียงสามเดือนเท่านั้น หลังจากนี้สามเดือนจะต้องไปรวมตัวกันที่จวนหัวหน้าภาค พวกเจ้าล้วนเป็นคนที่ผ่านประสบการณ์จากแดนอเวจีมาแล้วครั้งหนึ่ง จะว่าไปก็เป็นคนที่มีประสบการณ์ ที่เรียกพวกเจ้ามาที่นี่ ก็เพราะอยากจะขอคำชี้แนะจากประสบการณ์ของพวกเจ้าสักหน่อย” ปี้เยว่ฮูหยินกล่าวอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา มองคนนี้ทีมองคนนั้นที แล้วถามพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่ทราบว่าทุกคนพอจะมีอะไรแนะนำข้าสักหน่อยมั้ย?”
ชี้แนะ? ชี้แนะอะไร? พวกจางฮั่นฟางสบตากันเงียบๆ แวบหนึ่ง ตอนอยู่ในนรกพวกเขาก็ซ่อนตัวอยู่หนึ่งร้อยปี แทบจะไม่เคยได้ไปไหนเลย จะมีประสบการณ์อะไรมาชี้แนะนายท่านแม่ทัพภาค คะแนนเล็กน้อยของพวกเขาล้วนอาศัยเส้นสายเพื่อหามา มิหนำซ้ำเส้นสายของพวกเขาก็ไม่ได้ใหญ่โตเท่าไรด้วย ทั้งเก้าคนนำคะแนนมารวมกันถึงได้รักษาตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ไว้ได้
พอพูดถึงคะแนน พวกเขาก็ยังต้องขอบคุณเหมียวอี้ ในตอนนั้นเหมียวอี้ทำให้พวกเขาตกใจกลัวจนหนีจากทัพใหญ่ออกไปซ่อนตัว ไม่อย่างนั้นอาจจะอธิบายอะไรได้ไม่ชัดเจนแล้ว เกรงว่าอาจจะรักษาตำแหน่งในปัจจุบันไม่ได้ด้วยซ้ำ
พอดูจากปฏิกิริยาของพวกลูกน้อง ปี้เยว่ฮูหยินก็รู้ว่าเรื่องที่ตัวเองกังวลได้เกิดขึ้นแล้ว นางพอจะเดาออกตั้งแต่ได้รู้ว่าทั้งเก้าคนอยู่ในอันดับเดียวกันแล้ว
สายตาของปี้เยว่ฮูหยินไปหยุดอยู่บนหน้าเหมียวอี้ เห็นเพียงเหมียวอี้ยืนเงียบสงบอยู่ตรงนั้น ไม่พูดไม่จาอะไรทั้งนั้น และไม่มองหน้ากันไปมองหน้ากันมาเหมือนคนอื่นๆ
เรื่องราวค่อนข้างชัดเจน ด้วยสถานการณ์ของเหมียวอี้ในตอนนั้น ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีคนไปเป็นพันธมิตรกับเขา ปี้เยว่ฮูหยินเห็นกับตาตัวเองว่าหลังจากทำศึกเลือดแล้วเหมียวอี้ก็หายไปในจุดลึกของดาราจักรเพียงลำพัง ในบรรดาลูกน้องทั้งสิบคน คาดว่าคงจะมีเพียงคนนี้ที่คะแนนเป็นของจริง ทั้งยังได้คะแนนเป็นอันดับเก้าด้วย เกรงว่าคงจะเดินทางไปหลายที่ในแดนอเวจี คงจะมีเพียงเขาที่มีประสบการณ์การทดสอบที่แดนอเวจี
ส่วนเหมียวอี้กับเซี่ยโห้วหลงเฉิงที่ได้อันดับเดียวกัน เซี่ยโห้วหลงเฉิงเป็นลูกน้องนางมานานหลายปีขนาดนี้ มีหรือที่นางจะไม่รู้ถึงสันดานของเซี่ยโห้วหลงเฉิง การที่คนไม่เอาถ่านอย่างเซี่ยโห้วหลงเฉิงได้อันดับเก้าต่างหากที่เป็นเรื่องแปลก มีเพียงคนที่ไร้ทางถอยอย่างเหมียวอี้ถึงจะไปสู้ตายในนรกได้
พวกจางฮั่นฟางเหลือบมองเหมียวอี้ พวกเขามีความคิดเหมือนกับปี้เยว่ฮูหยิน
“ไม่มีอะไรจะชี้แนะข้าเลยเหรอ?” ปี้เยว่ฮูหยินถามอีก
หลิ่วกุ้ยผิงตอบอย่างไม่ค่อยเป็นธรรมชาติว่า “พวกเราก็รอดมาได้เพราะดวงดีเหมือนกัน ไม่กล้าแนะนำอะไรซี้ซั้วจริงๆ ขอรับ” ขอเองก็ไม่กล้าประกาศว่าผลงานของตัวเองก็ได้มาจากการปลอมแปลงตบตา
ปี้เยว่ฮูหยินถอนหายใจแล้วบอกว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ทุกคนก็รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ ถึงอย่างไรก็จากออกมาหลายปี เรื่องข้างล่างที่ควรจะจัดการก็จัดการให้เรียบร้อย”
“ข้าน้อยขอตัว!” หลังจากทั้งสิบรวมตัวกันคำนับ ก็หันตัวเดินออกไปพร้อมกัน
เพิ่งจะเดิมไปถึงประตู จู่ๆ ข้างหลังก็ได้ยินเสียงของปี้เยว่ฮูหยินดังมา “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าอยู่ต่อสักหน่อย”
บทที่ 1259 กลับมา
โดย
Ink Stone_Fantasy
เหมียวอี้หยุดฝีเท้า แล้วหันตัวช้าๆ กลับมา
อีกห้าคนก็หันหน้ากลับมามองเช่นกัน แต่กลับไม่สะดวกจะอยู่นาน พอจะเดาได้ว่าปี้เยว่ฮูหยินคิดจะทำอะไร ทั้งเก้าค่อนข้างเสียหน้า รีบเดินออกไปแล้ว จะได้ไม่ต้องอึดอัดกระดากอาย
ปี้เยว่ฮูหยินก็เดินเนิบนาบมาตรงประตูใหญ่ของตำหนักเช่นกัน มายืนอยู่ด้วยกันกับเหมียวอี้ มองคล้อยหลังเก้าคนนั้นเดินออกไป
“ไม่ทราบว่าฮูหยินมีอะไรจะกำชับขอรับ?” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะถาม
ปี้เยว่ฮูหยินเอียงหน้ามองมา แล้วยิ้มบางๆ พร้อมถามว่า “ต้องโทษที่ตอนแรกข้าไม่ได้ปกป้องเจ้า ยังโกรธข้าอยู่อีกเหรอ?”
“มิบังอาจ!” เหมียวอี้ตอบ
ปี้เยว่ฮูหยินจึงบอกว่า “เจ้าเองก็ต้องเข้าใจถึงความลำบากใจของข้าเหมือนกัน ข้าเองก็ทำตามใจตัวเองไม่ได้”
จะทำตามใจตัวเองได้หรือไม่นั้น เหมียวอี้ไม่รู้ แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เขารู้อย่างชัดเจน นั่นก็คือตอนแรกที่เขาถูกทำให้อับอาย แต่ผู้บังคับบัญชาท่านนี้กลับหลบเลี่ยงไปแล้ว แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ผู้หญิงคนนี้ก็ยังเป็นผู้บังคับบัญชาของตน ยังคงพูดประโยคเดียวแล้วตัดสินอนาคตของตนได้ ตอนนี้เขายังไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะไปแปรพักตร์ใส่นาง ดังนั้นจึงกล่าวยอมรับผิดเองว่า “เป็นข้าน้อยเองที่ล่วงเกินคนไว้เยอะเกินไป”
“เฮ้อ! ก็ใช่นั่นแหละ ตอนแรกทำอะไรทำไมต้องวู่วามขนาดนั้น?” ปี้เยว่ฮูหยินส่ายหน้าถอนหายใจ
วู่วามเหรอ? ฉากหน้าข้าวู่วาม แต่เจ้าคอยชุบมือเปิบอยู่เบื้องหลัง ได้รับรางวัลจากตำหนักสวรรค์แล้ว ยังมีหน้ามาบอกว่าข้าวู่วามอีกเหรอ? เหมียวอี้รู้สึกขำในใจ แต่ภายนอกยังคงยอมรับเองว่า “ข้าน้อยก็นึกเสียใจทีหลังไม่หายเหมือนกัน”
“เอาล่ะ! เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว เมื่อก่อนถือเสียว่าข้าทำผิดต่อเจ้า ในเมื่อเจ้ารักษาชีวิตกลับมาได้ ในภายหลังถ้ามีเรื่องอะไรเราก็จะได้ปรึกษากันสะดวกหน่อย ข้าพูดถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าไม่มีอะไรจะแนะนำข้าเกี่ยวกับการทดสอบครั้งต่อไปสักหน่อยเหรอ?” สิ่งที่ปี้เยว่จะสื่อก็คือ เจ้าเลิกปิดบังได้แล้ว
เหมียวอี้อยากจะให้ผู้หญิงคนนี้ตายอยู่ที่แดนอเวจี อันที่จริงขอเพียงปี้เยว่เข้าไปในแดนอเวจี เขาก็มีวิธีการทำให้นางตายอยู่แล้ว ต้องทราบไว้ว่าตอนนี้เขาเป็นหนึ่งในหัวหน้าของโจรกบฏนรก แต่โดนอีกฝ่ายเรียกมาแล้ว ถ้าเขายังกล้าตั้งตัวเป็นศัตรู อีกฝ่ายเป็นผู้บัญชาการของตน ก่อนที่อีกฝ่ายจะตายก็มีวิธีการทำให้ตนตายก่อนอยู่ดี
เห็นได้ชัดเจนมาก การที่นางกล้ามาถามเขา ก็แสดงว่านางไม่กลัวว่าเขาจะล่อลวงไปเจอกับดักอะไรในนรก ขอเพียงเกิดเรื่องขึ้นกับนาง คนที่คุมจวนแม่ทัพภาคตงหัวแทนนางจะต้องลงมือจัดการกับเหมียวอี้แน่นอน
และเขาก็กำลังครุ่นคิดเช่นกันว่า ยังมีความจำเป็นมากที่จะสานสัมพันธ์อันดีกับปี้เยว่ฮูหยิน การเสียเปรียบที่พูดไม่ได้แบบนี้เขาต้องรับไว้ ถึงอย่างไรก็ตัดสินไม่ได้ว่าหลังจากปี้เยว่ตายแล้วใครจะมาเป็นผู้บังคับบัญชาของตน ถ้าเปลี่ยนให้ผู้มีอำนาจคนอื่นมา ก็จะไม่ใช่เรื่องดีอะไร เขาคุ้นเคยกับปี้เยว่มากกว่า ถ้ามีเงื่อนไขอะไรก็ยังพอรับมือได้
ระหว่างทางที่มาเขาก็ได้ติดต่อกับโค่วเหวินหลานแล้ว หวังว่าจะได้ไปอยู่ที่อาณาเขตของตระกูลโค่ว แต่โค่วเหวินหลานตอบกลับมาว่า ข้างบนไม่ยอมปล่อยคน ทางเกาก้วนก็เย็นชาไม่แยแสอีก ไม่เข้าใจว่าเจ้าหมอนั่นมีเจตนาอะไรกันแน่
ทว่าเขาก็ไม่มีทางจะเปิดเผยเรื่องของตัวเองในนรกให้ปี้เยว่รู้เช่นกัน หลังจากรีบครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก็ถามกลับว่า “ไม่ทราบว่านายท่านอยากจะได้คำแนะนำแบบไหน”
ปี้เยว่ยิ้มพร้อมตอบว่า “ก็ย่อมต้องการคำแนะนำที่จะทำให้รักษาชีวิตไว้ได้อยู่แล้ว”
“ถ้าอยากจะรักษาชีวิตไว้ ที่จริงก็ไม่ยากเหมือนกัน อย่าติดตามกำลังพลกลุ่มใหญ่เพ่นพ่านไปทั่ว ยิ่งคนเยอะก็ยิ่งถูกโจรกบฏพบได้ง่าย พอนายท่านไปที่นรกแล้วก็หาดาวเคราะห์ซ่อนตัวทันที แบบนั้นก็น่าจะไม่เป็นอะไรแล้ว” เหมียวอี้ตอบ
ไม่ต้องให้เขาบอก ปี้เยว่ฮูหยินก็เข้าใจหลักการนี้ ในปีนั้นท่านโหวเทียนหยวนก็เคยเป็นคนที่เคยมาปราบในนรกเหมือนกัน มีหรือที่จะไม่รู้แม้กระทั่งหลักการนี้ ก่อนหน้านี้ท่านโหวเทียนหยวนก็เคยบอกนางถึงเรื่องที่ต้องระวังแล้ว ทว่าทุกเรื่องก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ ไม่อย่างนั้นนางก็ไม่จำเป็นต้องขอคำชี้แนะหรอก
“ถ้าเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน ควรจะจัดการยังไงถึงจะเหมาะสมที่สุด?” ปี้เยว่ถาม
“สู้ตาย! ถ้าหนีได้ก็หนี ถ้าหนีไม่ได้ก็ทำได้แค่สู้ตาย! นอกจากแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ก็ไม่มีวิธีการอื่นแล้ว!” เหมียวอี้ตอบ
ปี้เยว่พูดไม่ออก แบบนี้เท่ากับไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น
ก็เท่ากับไม่ได้พูดอะไรจริงๆ ตอนนี้เหมียวอี้ก็ไม่ได้คิดจะบอกอะไรด้วย ไม่อาจถ่ายทอดวิธีการได้ง่ายๆ ดังนั้นตอนหลังเหมียวอี้จึงถูกไล่ออกไปแล้ว…
ณดาวเทียนหยวน ตลาดสวรรค์ นอกประตูเขตเมืองตะวันออก กำลังพลกลุ่มใหญ่มาปิดประตูเมืองแล้ว ฝูชิง อิงอู๋ตี๋ อิงอู๋ตี๋ มู่หรงซิงหัว ผู้บัญชาการสี่เขตเมืองเดินไปเดินมาอยู่หน้าประตู
“มาแล้ว!” จู่ๆ อิงอู๋ตี๋ก็ชี้ขึ้นไปบนฟ้า ทุกคนจึงเงยหน้ามองตาม
ซวบ! เหมียวอี้เหาะลงมาจากฟ้า มาเหยียบลงนอกเมือง
ผู้บัญชาการทั้งสี่จัดระเบียบเสื้อผ้าทันที ยืนเรียงแถวหน้ากระดาน แล้วกุมหมัดคารวะพร้อมกัน “ยินดีต้อนรับผู้บัญชาการใหญ่!”
“ยินดีต้อนรับผู้บัญชาการใหญ่!” กองทัพหนึ่งพันตะโกนพร้อมกัน พลานุภาพทำให้คนในเมืองตกใจจนต้องมองมาทางนี้
เหมียวอี้ไม่พูดอะไรสักคำ สีหน้าท่าทางสุขุมเยือกเย็น ยกมือบอกใบ้ให้ยืนตรง แล้วเดินตรงเข้าไปในเมืองเลย
กำลังพลที่รวมตัวกันแยกออกเป็นสองฝั่งทันที หลีกทางให้หนึ่งทาง พวกฝูชิงสบตากันแวบหนึ่ง พบว่านายท่านกลับมาครั้งนี้เหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย แต่ก็บอกไม่ถูกว่าเปลี่ยนแปลงอย่างไร จากนั้นทั้งสี่ก็รีบเดินตามหลังเหมียวอี้ไป
พอเข้ามาในเมือง ก็เห็นสองข้างทางเต็มไปด้วยผู้จัดการร้านใหญ่ๆ อวิ๋นจือชิวกับหวงฝู่จวินโหรวก็รวมอยู่ในนั้นด้วย ทั้งยังยืนเคียงกันเหมือนเป็นพี่น้องที่สนิทกันด้วย จีเหม่ยลี่และอนุภรรยาคนอื่นๆ ก็เงยหน้ามองอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนเช่นกัน เพียงแต่ยืนไกลไปหน่อย
เมื่อเห็นนายท่านของอาณาเขตนี้กลับมาแล้ว ทุกคนก็ทยอยกันกุมหมัดคารวะ “ยินดีต้อนรับผู้บัญชาการใหญ่ที่ได้ชัยชนะกลับมา!”
เหมียวอี้กวาดสายตาเย็นเยียบมองสองข้างทาง ไม่ได้หยุดนั่งลงตรงไหน และไม่ได้มอบใบหน้ายิ้มให้ด้วย ซวบ! เหาะขึ้นฟ้าไปเหยียบลงในตำหนักคุ้มเมืองโดยตรง
ประตูเมืองเงียบลงในทันที ผู้จัดการร้านค้าใหญ่ๆ ที่อยู่สองข้างทางมองหน้ากันเลิกลั่ก ความเย็นชาของเหมียวอี้ทำให้คนกลุ่มนี้รู้สึกไม่สงบใจทันที รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ไร้รูปร่าง
ไม่ใช่หนิวโหย่วเต๋ออายุสั้นเหมือนที่ทุกคนคาดไว้ตอนแรก แต่หนิวโหย่วเต๋อในตอนนี้กุมอำนาจมหาศาลไว้อย่างมั่นคง อำนาจของผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ยังคงกุมอยู่ในมือของหนิวโหย่วเต๋ออย่างมั่นคงเหมือนเดิม ความเป็นความตายของทุกคนที่ตลาดสวรรค์ล้วนอยู่ในการตัดสินใจของผู้บัญชาการใหญ่ นี่ก็คืออำนาจที่ทุกคนจ้องอยากได้!
อวิ๋นจือชิวกับหวงฝู่จวินโหรวสบตากันแวบหนึ่ง ต่างก็รู้สึกได้ถึงความเย็นชาแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนจากตัวเหมียวอี้ พอมองดูปฏิกิริยาของกลุ่มผู้จัดการร้านค้าอีกครั้ง ทั้งสองก็กังวลนิดหน่อยว่าเหมียวอี้กำลังจะเปิดฉากสังหารใหญ่หรือเปล่า
หวงฝู่จวินโหรวรู้ว่าผู้จัดการร้านค้ากลุ่มนี้กังวล แต่อวิ๋นจือชิวกลับรู้ตั้งแต่แรกว่าเหมียวอี้กำลังจะลงมือแล้ว เหมียวอี้ถามแผนการจากหยางชิ่งโดยปิดบังนาง ตอนหลังไม่รู้ว่าหยางชิ่งมีจุดประสงค์อะไร มาบอกให้อวิ๋นจือชิวรู้อีก ก่อนหน้านี้เหมียวอี้ยังอยู่ระหว่างการทดสอบ อวิ๋นจือชิวไม่สะดวกจะไปรบกวนเขา นางกะว่ารอให้เหมียวอี้กลับมาแล้วค่อยเกลี้ยกล่อม
กลุ่มผู้จัดการร้านค้าก็ไม่ได้พูดอะไรมากแล้ว เพราะตกใจกับความเย็นชาของเหมียวอี้ รีบร้อนออกไปเตรียมรับมือ
สีหน้าของเหมียวอี้ตอนเข้าเมือง ก็ได้สร้างแรงกดดันมหาศาลให้ร้านค้าใหญ่ๆ ที่อยู่ในเมืองแล้ว ทำให้ทั้งตลาดสวรรค์ตกอยู่ในความอึดอัดกดดันอย่างประหลาด ขนาดลูกค้าขาจรที่เข้ามาซื้อของในร้านค้ายังรู้สึกได้ว่าบรรยากาศไม่ชอบมาพากล
ตำหนักคุ้มเมือง เหมียวอี้กำลังแช่อยู่ในอ่างอาบน้ำ หลับตานอนแช่อยู่ในน้ำ ฟองที่พ่นออกมาจากรูปสลักปลาราวกับเม็ดไข่มุก ไหลกลิ้งอยู่ข้างกายเขา
หวงฝู่จวินโหรวส่งข้อความมาบอกว่าอยากมาพบเขา แต่ถูกเขาปฏิเสธไปแล้ว อวิ๋นจือชิวที่อยากมาพบเขาก็ถูกปฏิเสธเช่นกัน บอกว่าเดี๋ยวค่อยไปหานางทีหลัง เขาจากที่นี่ไปนานเกิน ต้องจัดการงานราชการก่อน
ที่ด้านนอกห้องน้ำ เป่าเหลียนกำลังยืนเฝ้าประตูอยู่เงียบๆ
ผู้บัญชาการสี่เขตเมืองกำลังรออยู่ด้านนอก
เหมียวอี้ที่เดินออกมาจากห้องอาบน้ำปล่อยผมยาวสยาย ผมยาวห้อยไปด้านหลัง สวมชุดคลุมสีขาวเดินออกมา
“ผู้บัญชาการใหญ่!” พวกฝูชิงกุมหมัดคารวะพร้อมกัน
เหมียวอี้พยักหน้า แล้วเดินไปนั่งลงใต้เพิงเถาวัลย์ในลานบ้าน จากนั้นเป่าเหลียนก็หยิบหวีเดินเข้ามาข้างหลังเขาและช่วยหวีผมให้
“ตลาดสวรรค์ไม่มีเรื่องอะไรใช่มั้ย?” เหมียวอี้นั่งถามอยู่อย่างนั้น
ฝูชิงตอบว่า “ทุกอย่างปกติขอรับ เพียงแต่ก่อนหน้านี้ได้รับแจ้งมาจากเบื้องบน ว่าให้ยึดของในานค้าทุกร้านของตระกูลเทพประจำดาวมะโรงดินให้เป็นของหลวงให้หมด เคลื่อนไหวใหญ่โตมาก ได้ยินว่าโกงการทดสอบจนกำลังพลของตำหนักสวรรค์โดนโจรกบฏดักโจมตี ราชันสวรรค์เดือดดาลมาก แล้วสั่งให้ประหารทั้งตระกูลของเทพประจำดาวมะโรงดิน!”
เหมียวอี้ขานรับ แล้วจู่ๆ ก็พูดนอกประเด็นไปไกลมาก “สวีถังหราน ฝีมือของเจ้ายังไม่ตกใช่มั้ย?”
พวกเขาอึ้งไป ฝีมืออะไร? สวีถังหรานเข้าใจในทันที หัวเราะกลบเกลื่อนพร้อมตอบว่า “ยังไม่ตกๆ นายท่านอยากจะกินอะไรล่ะ? ข้าจะเตรียมให้ด้วยตัวเองเลย”
“เข้าไปที่ครัวของตำหนักคุ้มเมืองแล้วจัดการเอาเองแล้วกัน” เหมียวอี้ตอบ
“ได้! ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!” สวีถังหรานยิ้มหน้าบานแล้ววิ่งส่ายก้นไปทันที
ผ่านไปครู่เดียว ด้านนอกก็มีคนมารายงานอีกแล้ว บอกว่าข้างนอกมีผู้จัดการร้านค้าหลายคนนำของขวัญมา ต้องการจะขอพบผู้บัญชาการใหญ่
เหมียวอี้ที่เกล้าผมเรียบร้อยแล้วยืนขึ้น “มู่หรง เจ้าไปจัดการแทนข้าหน่อย บอกไปว่าข้ามีงานต้องทำ เป่าเหลียน เจ้าก็ไปด้วย รับของขวัญไว้!”
“ค่ะ!” มู่หรงซิงหัวและเป่าเหลียนเอ่ยรับคำสั่งแล้วออกไป
ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋สบตากันแวบหนึ่ง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าบนตัวเหมียวอี้ให้ความรู้สึกที่คาดเดาไม่ได้ รู้สึกว่าทั้งตัวเหมียวอี้ลึกล้ำขึ้นไม่น้อย มองไม่เห็นรอยยิ้มที่เคยเห็นตามปกติ
เหมียวอี้เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาในลานบ้าน ทั้งสองคนเดิมตามหลัง ฝูชิงถามหยั่งเชิงว่า “นายท่าน ทางสมาคมร้านค้าจะจัดการยังไงขอรับ?”
“ตอนนี้ยังไม่ต้องแตะต้องพวกเขา ทำงานตามปกติ” เหมียวอี้ตอบอย่างเรียบง่ายมาก
หลายวันต่อมาเหมียวอี้ก็ได้โผล่หน้าออกไปไหนเลย ผู้บัญชาการสวีถังหรานแห่งเขตเมืองตะวันตกทำครัวอยู่ที่ตำหนักคุ้มเมืองทุกวันอย่างเอาใจใส่ จะไม่มีความสุขได้อย่างไร!
ผู้จัดการทั้งร้านเล็กร้านใหญ่ทยอยกันมาหาหน้าประตู ไม่เจอตัวผู้บัญชาการใหญ่ก็ไม่เป็นอะไร แต่ของขวัญกลับไม่เคยขาด แถมครั้งนี้ยังให้ของขวัญล้ำค่าราคาแพงด้วย ไม่เคยให้เยอะขนาดนี้มาก่อน ไม่ได้ชักสีหน้าใส่เหมือนตอนก่อนที่เหมียวอี้จะไปทดสอบด้วย
เหมียวอี้ก็ได้รับคำเตือนมาจากปี้เยว่ฮูหยินเช่นกัน ว่าไม่ให้ทำซี้ซั้ว บอกว่าเบื้องบนมีคนสั่งมาแล้ว
เมื่อเห็นตำหนักคุ้มเมืองไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร ทุกอย่างยังเหมือนเดิม บรรดาผู้จัดการร้านค้าใหญ่ๆ ก็เริ่มโล่งใจแล้ว
หลังจากรับของขวัญครบแล้ว เหมียวอี้ก็โผล่หน้าออกมาแล้ว ไปที่ร้านโฉมเมฆาผ่านทางใต้ดิน
ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ของอวิ๋นจือชิว กลุ่มอนุภรรยามากันครบแล้ว ขนาดหงเฉินที่ไม่ค่อยจะโผล่หน้าออกมาก็อยู่แล้ว
กฎระเบียบของบ้านก็เหมือนจะถูกอวิ๋นจือชิวตั้งขึ้นเช่นกัน อวิ๋นจือชิวอยู่ข้างหน้า นำกลุ่มอนุภรรยาที่เรียงแถวอยู่ข้างหลังย่อตัวทำความเคารพพร้อมกัน “นายท่าน!”
อนุภรรยากลุ่มนี้ก็รู้เช่นกันว่าครอบครัวของพวกนางหักหลังผู้ชายของพวกนาง หมายจะเล่นงานเหมียวอี้ให้ถึงตาย เมื่อได้เจอเหมียวอี้อีกครั้ง ความรู้สึกก็ค่อนข้างซับซ้อน
เหมียวอี้อึ้งนิดหน่อย เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นผู้หญิงกลุ่มนี้ทำตัวเป็นระเบียบเรียบร้อยและให้ความสำคัญกับเขา เขาจึงเผยรอยยิ้มเป็นกันเองอย่างที่พบเห็นได้ยาก “ไม่ต้องมากพิธี”
ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา สุราอาหารชั้นเลิศถูกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ยิ้มพลางวนชนแก้วกับเกล่าอนุภรรยา พูดคุยกันอย่างสนุกสนานเหมือนเดิม
ทว่าอวิ๋นจือชิวรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าในรอยยิ้มของเหมียวอี้มีความห่างเหินซ่อนอยู่หนึ่งชั้น พอมองดูเหล่าอนุภรรยาที่กำลังยิ้มสู้ อวิ๋นจือชิวก็แอบทอดถอนใจ มีแค่นางเท่านั้นที่รู้ ว่าตอนแรกเหมียวอี้จะฆ่าอนุภรรยาตัวเองให้หมดบ้าน
แต่นางย่อมไม่เอ่ยเรื่องนี้ต่อหน้าใครอยู่แล้ว!
บทที่ 1260 แผนการของหยางชิ่ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ไม่ว่าบนใบหน้าของทุกคนจะมีรอยยิ้มหรือไม่ แต่หลังจากงานเลี้ยงรวมตัวคนในครอบครัวครั้งนี้จบลง แต่ละคนก็กลับไปพร้อมกลับความคิดบางอย่างในใจ ต่างก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง หรือว่าตัวเองจะคิดมากเกินไป
ในลานบ้านเหลือเพียงเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวแค่สองคน พออวิ๋นจือชิวส่งสายตาให้ เชียนเอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์ก็ย้ายเก้าอี้สองตัวมาวางข้างหลังและถอยออกไป
ตอนที่อวิ๋นจือชิวรินน้ำชาให้ เหมียวอี้ก็ยื่นกำไลเก็บสมบัติออกมาวงหนึ่ง “ของขวัญจากร้านค้าต่างๆ”
อวิ๋นจือชิววางกาน้ำชา รับกำไลเก็บสมบัติมาไว้ในมือ แกว่งไปแกว่งมาพร้อมพูดหยอกล้อว่า “เจ้าระแวงข้าไม่ใช่เหรอ ยังกล้านำทรัพย์สินมาไว้ในมือข้าอีกเหรอ?”
เหมียวอี้ตอบกลัวหัวเราะว่า “ฮูหยินพูดเกินไปแล้ว ข้ากับเจ้าเป็นสามีภรรยากัน ข้าจะระแวงเจ้าไปทำไม?”
“อย่ามาพูดเลย!” พอยัดถ้วยน้ำชาใส่มือเขา อวิ๋นจือชิวก็เอนกายบนเก้าอี้นอนก่อน “ท่านปู่ข้าทรยศเจ้า ตอนนั้นเกรงว่าเจ้าคงคิดจะฆ่าข้าแล้วล่ะสิ?”
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอียงหน้าสบตากับอวิ๋นจือชิว เขาหลบสายตาแล้วจิบน้ำชา ก่อนจะถอนหายใจ “ทุกย่างผ่านไปแล้ว”
อวิ๋นจือชิวนอนส่ายหน้าอยู่อย่างนั้น “สุดท้ายก็ยังทิ้งเงามืดไว้ในใจเจ้า เจ้านอนร่วมเตียงกับข้ามากี่ปีแล้ว ข้ายังไม่รู้จักเจ้าอีกเหรอ เจ้ากลับมาครั้งนี้ ดูไม่มีความสุขเลยสักนิด หนิวเอ้อร์ ข้าจะบอกเจ้าอีกครั้งนะ ข้าไม่รู้เรื่องที่ท่านปู่ทำจริงๆ แล้วข้าก็ไปยืนยันกับสองพี่น้องหลางหลางหวนหวนมาแล้ว พวกนางก็ไม่รู้ล่วงหน้าเลยจริงๆ ถ้าเจ้ายังไม่เชื่อข้า ข้าก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”
“ข้าเชื่อเจ้า” เหมียวอี้เอ่ยตอบ
อวิ๋นจือชิวพูดดูถูกว่า “ใครจะไปรู้ล่ะว่าเจ้าจะปากกับใจตรงกันหรือเปล่า ข้าว่านะ…”
สียงพูดเงียบลงกะทันหัน จู่ๆ เหมียวอี้ก็ยื่นมือมาจับแขนนาง ดึงนางขึ้นมาจากเก้าอี้ตัวเอง อุ้มนางไว้ในอ้อมกอด แล้วเดินก้าวยาวเข้าไปในบ้าน
“เจ้าจะทำอะไร? ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลยนะ ปล่อยข้า รีบปล่อยข้านะ!” อวิ๋นจือชิวยันเท้าสองข้าง ชกที่หน้าอกเขาไม่หยุด ตอนนี้วรยุทธ์สูงไม่เท่าอีกฝ่ายแล้ว
“ข้าไม่ได้แตะต้องผู้หญิงมาร้อยปี คิดถึงเจ้าแล้ว”
“ไปหลอกผีไป มีแมวที่ไหนไม่ชอบขโมยกินของคาว ข้าไม่ได้เห็นเสียหน่อย” พอเดินถึงประตูบ้าน อวิ๋นจือชิวก็ยื่นมือไปคว้าวงกบประตูไว้ จะเป็นจะตายก็ไม่ยอมเข้าไป นางเตือนว่า “หนิวเอ้อร์ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่สบายใจ แต่ข้าก็ไม่ใช่เครื่องมือให้เจ้าระบายอารมณ์นะ ต้องคุยเรื่องนั้นให้ชัดเจนก่อน ไม่อย่างนั้นจะทิ้งปมไว้ในใจ ต่อไปก็ไม่มีทางใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้แล้ว”
เหมียวอี้หยุดแล้ว สบตากับผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมกอด แล้วพูดอย่างจริงจังมากว่า “ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นข้าไม่เชื่อใจใครจริงๆ ข้าสงสัยเจ้าแล้วจริงๆ แต่ตอนหลังข้าก็คิดได้แล้ว ในปีนั้นขนาดอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากพวกเรายังอยู่ด้วยกันได้ ในเมื่อเลือกแล้ว ข้าก็จะไม่เสียใจทีหลัง ดังนั้นพอข้าใจเย็นแล้วข้าก็ตัดสินใจเลือกอีกครั้ง ต่อให้เจ้าจะทรยศข้า ต่อให้ตายด้วยน้ำมือเจ้า นั่นก็เป็นทางเลือกของข้าเอง ข้าจะไม่บ่นอะไรทั้งนั้น!”
นิ่งเงียบ! อวิ๋นจือชิวที่กำลังถูกอุ้มมองเขาเงียบๆ เบิกตากว้างจ้องมองเขา ในดวงตาเริ่มฉายแววอมยิ้มอย่างซาบซึ้งใจ ไม่นานก็น้ำตาคลอแล้ว มือที่จับวงกบประตูเริ่มคลายออก ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ชัดเจนด้วย จู่ๆ นากง็กางแขนคล้องคอเขา แล้วจูบบนริมฝีปากเขาอย่างดุเดือด
ทั้งสองจูบกันตลอดทางจนเข้าไปในห้อง เร่าร้อนรุนแรงเป็นพิเศษ ถอดเสื้อผ้าตลอดทางเหมือนอดทนรอไม่ไหว สุดท้ายก็ล้มลงบนเตียงพร้อมกัน ร่างเปลือยสองร่างที่พัวกันกันราวกับอยากจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกันใจจะขาดแล้ว…
หลังจากพายุฝนคลั่งสงบ อวิ๋นจือชิวที่ตัวอ่อนปวกเปียกเหมือนโคลนก็หอบหายใจ นอนกอดพันอยู่บนตัวเหมียวอี้ราวกับเป็นหนวดปลาหมึก อิ่มอกอิ่มใจจนใบหน้าแดงเรื่อ พึมพำว่า “มีความสุขจัง”
หลังจากอยู่กันเงียบๆ จนถึงเที่ยงคืน อวิ๋นจือชิวก็กลิ้งไปนอข้างกายเขา เอาแขนข้างหนึ่งหนุนศีรษะ ใช้ปอยผมเขี่ยบนใบหน้าเหมียวอี้ “หนิวเอ้อร์ ข้าถามเรื่องสำคัญกับเจ้าหน่อย เจ้าเตรียมจะลงมือกับร้านค้าพวกนั้นใช่มั้ย?”
“ทำไมคิดอย่างนั้น?” เหมียวอี้ถาม
ตุ้บ! นางชกหน้าอกเขาหนึ่งที “อย่ามาใช้มุกนี้ หยางชิ่งบอกข้าแล้ว”
เหมียวอี้ไม่ตอบอะไร หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็บอกว่า “เจ้าไม่ต้องห่วง ทางข้าเตรียมแผนการไว้อีกอย่าง ต่อให้เกิดอะไรขึ้น พวกเราก็ยังสามารถกลับพิภพเล็กได้อย่างปลอดภัยอยู่ดี”
อวิ๋นจือชิวลุกขึ้นมาทันที ดึงผ้ามุ้งบางขึ้นมาปิดเรือนร่างที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งงดงาม นั่งพับเข้าตรงหน้าเขา แล้วกล่าวด้วยสีหน้ากังวลว่า “เรื่องมันผ่านไปแล้ว เจ้าโจมตีฝ่าข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านที่แดนอเวจี ข่าวลือในปีนั้นกลายเป็นเรื่องตลกไปแล้ว อย่างมากคนอื่นก็เอ่ยถึงตอนกินข้าวเสร็จ จำเป็นต้องสร้างความขัดแย้งอีกด้วยเหรอ? หนิวเอ้อร์ ฟังข้าแนะนำนะ เรื่องบางเรื่องถ้าไม่ถึงขั้นทำให้เจ้าตาย เจ้าอดทนไว้เดี๋ยวก็ผ่านไปแล้ว เดินบนเส้นทางนี้แล้ว มีใครบ้างที่ไม่ได้อดทนรับความอยุติธรรมเลย?”
เหมียวอี้ก็ลุกขึ้นนั่งตัวตรงเช่นกัน ใช้สองมือประคองใบหน้านาง แล้วกล่าวด้วยแววตาเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ “เรื่องบางเรื่องข้าทนได้ แต่เรื่องบางเรื่องข้าทนไม่ได้หรอก ตั้งแต่ข้าเข้าสู่เส้นทางนี้มา มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าไม่ยอมถอยให้เด็ดขาด ภายใต้การปกครองของข้า ถ้าเบื้องล่างรังแกเบื้องบน ข้าประนีประนอมไม่ได้แน่นอน! ซูลี่ก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว ต่อให้ตอนนั้นข้าจะบาดเจ็บหนัก ข้าก็ยังจะฝ่าทัพใหญ่เข้าไปเอาหัวเขามา ปล่อยไปไม่ได้เด็ดขาด!”
อวิ๋นจือชิวแกะมือเขาออก นางทำสีหน้ากังวล แล้วพูดเกลี้ยกล่อมด้วยเจตนาดี “หนิวเอ้อร์ ทำไมเจ้าต้องลำบากแบบนี้ด้วยล่ะ? อยากเอาชนะแต่สร้างปัญหาให้ตัวเองทีหลัง แบบนี้มีความหมายเหรอ? เจ้าลำบากสู้เสี่ยงชีวิตมาตั้งกี่ครั้งกว่าจะเดินมาถึงวันนี้ได้ ทำไมต้องกำจัดให้ตายก่อนถึงจะยอม?”
“พอแล้ว เรื่องอื่นสามารถเจรจากันได้ แต่เรื่องนี้ไม่ต้องพูดถึงอีกแล้ว ข้าตัดสินใจแน่วแน่แล้ว!” เหมียวอี้ยิ้มพลางกดบ่าสองข้างของนาง จับนางเอนกายลง แล้วตัวเองก็เอนกายลงนอนข้างๆ จากนั้นตบมือนางเบาๆ “พักผ่อนเถอะ”
แต่อวิ๋นจือชิวจะวางใจได้อย่างไร นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นางลุกขึ้นมาพร้อมผมที่ยุ่งสยายอีกครั้ง จับแขนเขาไว้แล้วบอกว่า “หนิวเอ้อร์ หยางชิ่งเป็นคนยังไงเจ้าก็รู้ ถ้าไม่มีบางจุดที่ไม่เหมาะสม จู่ๆ เขาจะมาบอกเรื่องนี้กับข้าทำไม เขาจะต้องรู้สึกได้ถึงปัญหาบางอย่างแน่นอน ในเมื่อเจ้าถามแผนการจากเขาล่วงหน้าแล้ว ถามเขาอีกสักหน่อยจะเป็นไรไป เขาสมองใช้งานได้ดี เอาแบบปลอดภัยเชื่อถือได้จะดีกว่า”
“ตัวเขาอยู่ที่พิภพเล็ก เขาจะรู้อะไรได้?” เหมียวอี้ถาม
อวิ๋นจือชิวจึงบอกว่า “เจ้าลืมไปได้ยังไงว่าเวยเวยก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน หยางชิ่งจะต้องอาศัยสืบสถานการณ์ทางนี้ผ่านเวยเวยแน่นอน”
ด้วยสติปัญญาที่ทำให้คนต้องเตรียมพร้อมป้องกันอย่างหยางชิ่ง บวกกับบทเรียนที่เกือบเอาชีวิตไม่รอดเพราะไม่ฟังคำเตือนของหยางชิ่งตอนอยู่ที่ทะเลทรายม่านเมฆ ทำให้เหมียวอี้เริ่มไตร่ตรองขึ้นมาแล้ว หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ก็บอกว่า “ได้ พรุ่งนี้ข้าจะถามหยางชิ่ง เออใช่ เจ้าตรวจของนี่ดูหน่อย” เขาพลิกมือนำกล่องที่ได้มาจากที่ซ่อนสมบัติแดนอเวจีออกมา
อวิ๋นจือชิวยังอยากจะคุยเรื่องนั้นก่อน แต่พอเห็นเขาจงใจเปลี่ยนประเด็น นางก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วนั่งเปิดกล่องต่อไป ข้างในมีกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่ง แผ่นหยกสามแผ่น ลูมกลมโลหะสีแดงลูกหนึ่งสีดำลูกหนึ่ง
พอหยิบกำไลเก็บสมบัติออกมาดู ถึงแม้เหมียวอี้จะบอกเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว แต่นางก็ยังตกใจจนเอามือปิดปาก มีสมุนไพรเซียนซิงหัวเยอะมาก ทั้งยังเป็นแบบที่มีอายุมากด้วย
พอวางกำไลเก็บสมบัติ นางก็ทยอยหยิบแผ่นหยกสามแผ่นนั้นออกมาอ่านต่อ เป็นอย่างที่เหมียวอี้บอก เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง มหาเคล็ดวิชาหมื่นปีศาจ หฤทัยสูตรสุขาวดี ภาคดินของสามเคล็ดวิชาพิเศษมีครบ นางแกะมือที่กำลังลูบคลำหน้าอกของตัวเองออก “เลิกคลำได้แล้ว คุยเรื่องสำคัญกัน สามเคล็ดวิชานี้เจ้าจะมอบให้อวี้หนูเจียว จีเหม่ยลี่กับฝ่าอินรึเปล่า?”
เหมียวอี้ตอบเสียงเรียบว่า “ถ้าให้พวกนางก็เท่ากับให้พวกจีฮวนไปเปล่าๆ น่ะสิ ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีนั้นกับพวกเขาเลยนะ เก็บไว้ก่อน เก็บเอาไว้บีบคอพวกเขา ข้าเองก็อยากจะเห็นว่าใครจะได้หัวเราะจนถึงตอนสุดท้าย!”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้า แล้วก็หยิบลูกกลมโลหะสีดำมาเปิดอ่านอีก พอแน่ใจว่าเป็นแผนที่ซ่อนสมบัติของเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคฟ้า นางก็ถอนหายใจอีก สงสัยท่านปู่คงต้องเลิกคิดไปได้เลยว่าจะได้เคล็ดวิชาภาคฟ้ามาง่ายๆ อีก
นางหยิบลูกกลมโลหะสีแดงมาตรวจอ่าน ปรากฏภาพที่เหมือนกับตอนตรวจอ่านกับเหมียวอี้ในปีนั้นทุกอย่าง ในนั้นปรากฏแผนที่ดาวสี่ภาพ แบ่งระบุพิกัดไว้เป็นประตูดวงดาวสี่แห่ง ถึงแม้จะเคยได้ยินเหมียวอี้พูดถึงสิ่งนี้มาก่อน แต่นางก็ยังอดไม่ได้ที่จะถาม “ประตูดวงดาวสี่แห่งนี้หมายความว่ายังไง? ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นทางผ่านไปที่ไหน”
“เรื่องนี้เอาไว้ค่อยๆ สืบค้นวันหลัง คืนนี้เจ้าปรนนิบัติข้าให้ดีก็พอแล้ว” เหมียวอี้พลิกตัว กดหญิงงามยั่วราคะใหเนอนลงไปโดยตรง…
วันต่อมา หลังจากออกจากร้านโฉมเมฆา เดิมทีเหมียวอี้คิดจะไปหาฉินเวยเวยโดยตรง แต่พอนึกขึ้นได้ว่าทางนั้นมีฝ่าอินที่เป็นอุปสรรค เขาถึงได้ส่งข้อความไปบอกฉินเวยเวย ว่าให้นางมาที่ตำหนักคุ้มเมืองผ่านทางใต้ดิน
ตำหนักคุ้มเมือง ตำหนักหลัง เหมียวอี้ก็สั่งเป่าเหลียนแล้วเช่นกัน ว่าถ้าเขาไม่ได้สั่ง ก็ห้ามไม่ให้ใครบุกเข้ามา
หนึ่งชั่วยามหลังจากนั้น ฉินเวยเวยก็มาปรากฏตัวที่ตำหนักคุ้มเมืองผ่านทางใต้ดินแล้ว เหมียวอี้กำลังคอยนางอยู่ตรงปากบ่อ พอเห็นหน้านางก็พูดหยอกล้อทันที “เวยเวย เจ้าให้ข้ารอนานนะ” เขายืนมือไปจูงนางขึ้นมา นางยังคงสวมชุดกระโปรงสีขาวดุจหิมะ
ฉินเวยเวยหน้าแดงเรื่อ หลังจากได้รับข้อความ นางก็พอจะเดาได้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น นางรีบอาบน้ำแต่งตัว ทำให้เสียเวลานิดหน่อย
ถ้าพูดถึงบรรดาอานุภรรยา คนที่เหมียวอี้ไม่มีปมอะไรติดค้างในใจ ก็มีแค่ฉินเวยเวยแล้ว เรื่องที่ห้าปราชญ์ร่มมือกันทรยศไม่เกี่ยวอะไรกับฉินเวยเวย
ทั้งสองจูงมือกันเดินเล่นในสวนดอกไม้ของตำหนักหลัง หลังจากนั่งลงในศาลา เหมียวอี้ก็พาพูดเข้าประเด็นไปหาหยางชิ่ง “ช่วงนี้เจ้าได้ติดต่อกับหยางชิ่งหรือเปล่า? เขายังสบายดีใช่มั้ย?”
ฉินเวยเวยที่รินน้ำชาตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ยังสบายดีค่ะ ติดต่อกันบ่อย”
“ข้ากลับไม่ได้ติดต่อเขามานานมากแล้ว” ขณะที่พูด เหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราออกมา
ตอนนี้ที่แดนอู๋เลี่ยงของพิภพเล็กเป็นตอนกลางคืนพอดี หยางชิ่งกำลังนอนกอดสาวงามเช่นกัน เพิ่งจะหาความสำราญกับฉินซีไปยกหนึ่ง
ตอนที่แต่งงานกับฉินซีถึงแม้จะไม่ได้เต็มใจ แต่ด้วยความงดงามของฉินซี เมื่อแต่งมาอยู่ในมือแล้ว หยางชิ่งก็ไม่ใช่นักบุญอะไร ไม่มีทางปล่อยให้หญิงงามนอนเคียงหมอนอยู่เฉยๆ ถึงอย่างไรระหว่างทั้งสองก็มีลูกสาวที่ไม่มีทางตัดใจทิ้งได้
“เวยเวยบอกว่าเหมียวอี้กลับมาจากการทดสอบแล้ว เจ้าบอกว่าหลังจากเหมียวอี้กลับมาแล้วจะติดต่อเจ้าไม่ใช่เหรอ? ทำไมผ่านไปนานขนาดนี้แล้วยังไม่เห็นเหมียวอี้ติดต่อเจ้าเลย?” ฉินซีที่นอนหนุนแขนหยางชิ่งดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดบังหน้าอกที่ขาวดุจหิมะ นางถามอย่างกังวลนิดหน่อย หลายวันมานี้นางสนใจเรื่องนี้มาตลอด
หยางชิ่งใจเย็นอย่างเห็นได้ชัด “เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก นอกเสียจากอวิ๋นจือชิวจะไม่สนใจความเป็นความตายของเหมียวอี้ ไม่อย่างนั้นนางจะต้องสั่งให้เหมียวอี้ติดต่อมาหาข้าแน่นอน นี่ก็คือจุดประสงค์ที่ข้าบอกเรื่องนี้กับอวิ๋นจือชิว”
“ทำไมเจ้าไม่เป็นฝ่ายติดต่อไปก่อน ทำไมต้องให้เหมียวอี้เป็นฝ่ายติดต่อมาถามเจ้า?” ฉินซีขมวดคิ้วถาม
หยางชิ่งถอนหายใจแล้วตอบว่า “เจ้าไม่เข้าใจหรอก เหมียวอี้ป้องกันข้ามาตลอด ถ้ามอบอำนาจฝ่ายรุกไว้ในมือเขา ให้เขารู้สึกว่าตัวเองกุมอำนาจฝ่ายรุกเอาไว้ เขาถึงจะวางใจ…จู่ๆ พวกอนุภรรยาของเหมียวอี้ก็หายตัวไปช่วงหนึ่ง เหลือเวยเวยอยู่แค่คนเดียว เรื่องนี้ผิดปกติมาก เบื้องหลังจะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่นอน แต่เจ้าเด็กโง่เวยเวยดันบอกว่าไม่มีอะไร ข้าไม่รู้จะว่านางยังไงแล้ว ข้าต้องหาทางไปพิภพใหญ่ให้ได้ ไม่อย่างนั้นข้าไม่วางใจที่ปล่อยให้เวยเวยอยู่ที่นั่นคนเดียว เล่ห์เหลี่ยมความคิดของนางมีจำกัด ทั้งยังไม่มีภูมิหลังอะไร ไปเทียบกับพวกอวิ๋นจือชิวที่มีห้าปราชญ์หนุนหลังไม่ได้ ในบรรดาผู้หญิงพวกนั้นเวยเวยอ่อนแอที่สุด ข้ากลัวว่านางอยู่ที่นั่นแล้วจะเสียเปรียบ!”
บทที่ 1261 เสนอแผนการ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เจ้าแน่ใจนะว่าทำแบบนี้แล้วเหมียวอี้จะตอบตกลงให้เจ้าไปพิภพใหญ่?” ฉินซี
หยางชิ่งตอบว่า “ขอเพียงเหมียวอี้รู้สึกว่าข้ายังมีประโยชน์ให้ใช้งาน ไปช่วยเขาที่พิภพใหญ่ได้ เขาย่อมพิจารณาให้ข้าไป ดังนั้นข้าต้องเป็นฝ่ายสร้างผลงาน ตอนนี้สถานการณ์ที่พิภพเล็กถูกกำหนดแล้ว ต่อให้ข้าไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร เพียงแต่เขาระแวงป้องกันข้าตลอด ต่อให้ไปพิภพใหญ่แล้วก็อาจจะไม่ถูกใช้ให้ทำงานสำคัญ และเจ้าก็อาจจะถูกทิ้งให้เป็นตัวประกันที่นี่ บางทีความสำคัญของเจ้าก็อาจจะยังไม่พอให้เขาวางใจ ถ้าข้าดึงตัวเวยเวยกลับมาเป็นตัวประกันที่พิภพเล็กอีก ก็คงจะทำให้เขาวางใจลงไม่น้อย”
ฉินซีพลันลุกขึ้น หน้าขาวดุจหิมะสองข้างกระเพื่อมราวกับคลื่นในทะเล นางเบิกตากว้างจ้องเขา “เจ้าจะเอาลูกสาวตัวเองมาเป็นตัวประกันเหรอ?”
หยางชิ่งลุกขึ้นอย่างช้าๆ แล้วส่ายหน้าอธิบายว่า “ข้าไม่ได้หมายความอย่างที่เจ้าคิด และไม่ได้จะเอาพวกเจ้าสองแม่ลูกเป็นตัวประกันในความหมายนั้นด้วย ถ้าพวกเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าต้องไปพิภพใหญ่แบบมีข้อผูกมัด ถึงจะทำให้เหมียวอี้วางใจได้ ไม่อย่างนั้นข้าคงโดนขังตายอยู่ในพิภพเล็ก ถ้าครอบครัวของพวกเราตามจังหวะการก้าวเดินของเหมียวอี้ไม่ทัน ก็จะกลายเป็นสิ่งที่มีหรือไม่มีก็ได้ สักวันก็ต้องส่งผลกระทบต่อฐานะของเวยเวยข้างกายเหมียวอี้ บางทีตอนนี้เหมียวอี้ก็คงไม่คิดเหมือนกันว่าจะเกิดสถานการณ์อย่างนั้น แต่ถ้าเขาก้าวไปข้างหน้าตลอด ถ้าอยู่ตำแหน่งสูงในระดับหนึ่ง เรื่องบางอย่างย่อมต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”
ฉินซีพอจะเข้าใจเจตนาของเขาแล้ว เพียงแต่อดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย “เวยเวยจะตอบตกลงเหรอ? ให้นางกับเหมียวอี้แยกกันอยู่คนละที่ แบบนี้จะเหมาะสมเหรอ?”
หยางชิ่งถอนหายใจ “เหมียวอี้มีอนุภรรยาเป็นโขยง ตอนนี้สถานการณ์ของเวยเวยต่างอะไรกับการแยกกันอยู่คนละที่กับเขา? ให้เวยเวยกลับมาพิภพเล็กยังมีประโยชน์บ้าง อนุภรรยาของเหมียวอี้ล้วนอยู่ที่พิภพใหญ่ มีแค่เวยเวยอยู่ที่พิภพเล็กคนเดียว บางทีข้อยกเว้นที่เกิดขึ้นจากระยะห่างอาจจะทำให้เหมียวอี้เป็นห่วงบ้าง เวยเวยอยู่ท่ามกลางกลุ่มอนุภรรยาของเหมียวอี้ก็ไม่มีจุดไหนที่โดดเด่นเลย ถ้าให้เวยเวยอยู่เหมือนคนธรรมดาท่ามกลางกลุ่มอนุภรรยา ไม่สู้ให้เวยเวยอยู่แบบพิเศษดีกว่า สาเหตุรองก็คือสถานการณ์ที่พิภพใหญ่ซับซ้อน เหมียวอี้ยังไม่ถือว่าลงหลักปักฐานแบบมั่นคงจริงๆ แล้วข้าก็รู้จักนิสัยเหมียวอี้ดีเกินไป ก่อหายนะให้ตัวเองได้ง่ายๆ พาเวยเวยกลับมาที่พิภพเล็กก็เพื่อความปลอดภัยของเวยเวย ข้าเองก็พิจารณาเพื่อลูกสาวเหมือนกัน หวังว่าเจ้าจะเข้าใจความลำบากของข้า”
ฉินซีเข้าใจแล้ว แต่กลับน้ำตาคลอ “ทำไมลูกสาวข้าถึงชะตาลำเค็ญแบบนี้! ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า ลูกสาวอยู่ดีๆ ทำไมถึงส่งไปเป็นอนุภรรยาคนอื่นได้?”
“เฮ้อ! มาพูดเรื่องนี้ตอนนี้จะมีความหมายอะไร? ตอนนี้ข้าก็ทำได้เพียง…” เสียงพูดเงียบลงกะทันหัน หยางชิ่งงุนงง พลิกมือหยิบระฆังดาราที่สั่นไหวอันหนึ่งออกมา แล้วหันมาบอกว่า “เป็นอย่างที่คาดไว้ เหมียวอี้ส่งข้อความมาแล้ว”
ฉินซีรีบหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาช่วยสวมให้เขา รอจนกระทั่งหยางชิ่งเดินออกประตูไปแล้ว นางถึงได้รีบใส่เสื้อผ้าของตัวเอง
ในลานบ้านด้านนอก หยางชิ่งมองดูแสงจันทร์บนท้องฟ้า พลางเขย่าระฆังดาราตอบไปว่า : นายท่าน ไม่ทราบว่ามีธุระอะไร?
เหมียวอี้ : ข้ากับเวยเวยอยู่ด้วยกันพอดี เพิ่งจะพูดถึงเจ้า นึกขึ้นได้ว่าไม่ได้ติดต่อเจ้ามานานแล้ว ทางเจ้ายังสบายดีใช่มั้ย?
หยางชิ่ง : ทุกอย่างปกติดี!
พอมองดูฉินเวยเวยข้างกายที่อ่อนโยนดุจสายน้ำ เหมียวอี้ก็ถามต่อว่า : เจ้าบอกเรื่องที่ข้าเตรียมจะลงมือกับร้านค้าในตลาดสวรรค์ให้ฮูหยินรู้เหรอ?
หยางชิ่ง : ข้าน้อยกลัวว่าเรื่องนี้จะผิดพลาด เป็นห่วงความปลอดภัยของเวยเวย เลยอยากจะให้ฮูหยินช่วยเตือนอยู่ทางนั้นสักหน่อย หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด จะได้ปลีกตัวออกมาได้สะดวก
เหมียวอี้ : ฟังจากที่เจ้าพูด เจ้ารู้สึกว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไร?
ฉินซีที่ปล่อยผมยาวเดินออกมาจากเรือนพัก ดวงตาฉายแววสอบถาม หยางชิ่งจึงกดมือนางไว้ บอกใบ้ว่าอย่ารบกวน แล้วตอบเหมียวอี้ต่อว่า : มีความกังวลอยู่บ้างจริงๆ ขอรับ
เหมียวอี้ยิ้มยาหยีขณะที่รับถ้วยน้ำชาจากฉินเวยเวย เขายิ้มคำหนึ่งแล้วส่งคืน ก่อนจะตบตรงโต๊ะยาวข้างๆ กัน บอกใบ้ให้นางมานั่งข้างตัวเอง ส่วนมือก็เขย่าระฆังดาราต่อไป : จุดประสงค์ที่เจ้าบอกฮูหยิน ก็เพราะอยากจะห้ามไม่ให้ข้าลงมือใช่มั้ย?
หยางชิ่ง : มิบังอาจ! จะลงมือหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายท่าน
เหมียวอี้ : ลงมือแล้วยังไง ไม่ลงมือแล้วยังไง?
หยางชิ่งตอบว่า : ข้ารู้ถึงสถานการณ์ของตำหนักสวรรค์ผ่านทางเวยเวยมาบ้างแล้ว ข้าน้อยวินิจฉัยเหตุการณ์ได้อีกอย่างหนึ่ง นายท่านลุยเดี่ยวโจมตีในทัพใหญ่หนึ่งล้าน ทั้งยังได้อันดับเก้าในการทดสอบ กอปรกับความสำเร็จในอดีตของนายท่าน ตอนนี้กลายเป็นคนที่โดดเด่นไปแล้ว จะต้องดึงดูดความสนใจคนระดับสูงจำนวนมากของตำหนักสวรรค์แน่นอน สำหรับนายท่านในตอนนี้ ไม่ว่าจะไปอยู่ใต้บังคับบัญชาใคร ตราบใดที่ไม่ทำอะไรซี้ซั้ว ก็จะได้อยู่อย่างสงบสุขแน่นอน ถ้าอยากได้ความมั่นคงปลอดภัย นายท่านก็อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม ถ้าจะลงมือ ก็ไม่ต้องให้ข้าน้อยพูดอะไรมาก นายท่านเองก็รู้ ว่าจะต้องล่วงเกินผิดใจกับคนมากมายกว่าเดิม ไม่เป็นผลดีต่ออนาคตของนายท่าน
ดึงดูดความสนใจของคนระดับของตำหนักสวรรค์จำนวนมาก? ใช่เหรอ? เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ คิดในใจว่าทำไมข้าไม่รู้สึกแบบนั้นเลย? เหมือนจะไม่มีใครมาถามอะไรข้าสักคนเลยนะ เจ้าหมอนี่อยู่ไกลขนาดนี้ วินิจฉัยได้แม่นยำหรือไม่แม่นยำกันแน่?
เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วถามอีกว่า : แล้วถ้าข้าดื้อดึงจะลงมือล่ะ?
หยางชิ่ง : หากนายท่านดึงดันจะลงมือ ตราบใดที่เตรียมตัวให้เหมาะสม ก็จะยังไม่เกิดปัญหาอะไร ตอนนี้สถานการณ์มีแนวโน้มเอนเอียงมาทางฝั่งนายท่าน ชัดเจนมากว่าราชันสวรรค์มีเจตนาแน่วแน่ที่จะปรับปรุงตำหนักสวรรค์ นี่ก็คือแนวโน้มของสถานการณ์ สาเหตุที่ครั้งก่อนนายท่านลงมือกับร้านค้าพวกนั้นแต่สามารถรอดไปได้ ก็เป็นเพราะราชันสวรรค์เริ่มแสดงความตั้งใจออกมา ทำให้ขุนนางทั้งราชสำนักไม่กล้าบุ่มบ่ามต่อต้าน แต่ว่าครั้งนี้ ราชันสวรรค์แยกตลาดสวรรค์ออกมาให้ราชินีสวรรค์ควบคุมดูแล ก็เพราะอยากจะลดอิทธิพลที่ขุนนางในอาณาเขตนั้นมีต่อตลาดสวรรค์ หนึ่งในจุดประสงค์ของการทดสอบก็คือเปลี่ยนผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ ทำแบบนี้เพราะต้องการจะตัดอิทธิพลที่ขุนนางในอาณาเขตมีต่อตลาดสวรรค์ต่อไป ราชันสวรรค์จะต้องผลักดันแนวโน้มนี้ต่อไปแน่นอน ขุนนางทั้งราชสำนักของตำหนักสวรรค์จะต้องรู้อยู่แก่ใจ นายท่านอยู่ในระบบของตลาดสวรรค์ ถ้าอาศัยแนวโน้มนี้ลงมือ ก็ยังไม่มีอะไรต้องกังวล
เหมียวอี้ : งั้นก็หมายความว่า ถ้าข้าลงมือครั้งนี้ก็จะไม่เกิดปัญหาอะไรใช่มั้ย?
หยางชิ่ง : ถ้านายท่านต้องการจะลงมือจริงๆ ก็จะต้องเตรียมพร้อมให้เหมาะสม ไม่อย่างนั้นก็เป็นไปได้สูงว่าจะได้ผลตรงกันข้าม! นายท่านเคยลงมือไปแล้วครั้งหนึ่ง ถ้าลงมือซ้ำเป็นครั้งที่สอง ร้านค้าใหญ่ๆ ของตลาดสวรรค์ก็ไม่ใช่แพะที่รอโดนเชือดเหมือนกัน เป็นไปได้สูงว่าพวกเขาจะเตรียมพร้อมป้องกันไว้แล้ว ถ้านายท่านดันทุรังจะลงมือ ก็มีโอกาสสูงว่าจะเกิดปัญหา!
เหมียวอี้ : พวกเขายังจะกล้าขัดกฎระเบียบของตำหนักสวรรค์อีกเชียวเหรอ?
หยางชิ่งถามกลับว่า : ชีวิตสำคัญกว่าหรือกฎสวรรค์สำคัญกว่า? นายท่านตัดหัวอย่างไร้ความปรานี ถ้าแม้แต่ชีวิตยังรักษาไว้ไม่ได้ ใครจะยังกลัวกฎสวรรค์อีก? เพื่อป้องกันไม่ให้นายท่านเอาชีวิตพวกเขา พวกเขาย่อมให้ความสำคัญกับการปกป้องชีวิตตัวเองเป็นอันดับแรก!
คำพูดนี้ได้ปลุกเหมียวอี้ให้ตื่นขึ้นมาทันที ที่หยางชิ่งพูดนั้นมีเหตุผล เป็นไปได้สูงว่าหมาจนตรอกจะทำได้ทุกอย่าง ถ้าเปลี่ยนเป็นตัวเอง แทบจะเอาชีวิตไม่รอดอยู่แล้ว ยังจะสนใจกฎสวรรค์อะไรอีก ถ้าร้านค้าพวกนั้นรวมตัวกันต่อต้านขึ้นมา อาศัยกำลังพลใต้บังคับบัญชาของเขาก็ต้านไม่ไหว จึงถามยืนยันทันที : เจ้าหมายความว่า พวกเขาจะใช้กำลังสู้กับข้าเหรอ?
หยางชิ่ง : ถ้าอยากจะต่อต้านอำนาจของนายท่านที่ตลาดสวรรค์ วิธีการปกป้องชีวิตก็มีอยู่สามวิธี…หนึ่ง ให้เบื้องบนข่มระงับให้ นำคำสั่งลับจากเบื้องบนมาซ่อนไว้ในมือก่อน ถ้านายท่านลงมือ พวกเขาก็จะเผยคำสั่งนี้ทันที จะกดดันให้นายท่านถอนกำลัง หากนายท่านกล้าขัดคำสั่ง ความรับผิดชอบก็จะมาตกอยู่ที่ตัวนายท่านแล้ว แต่เบื้องบนน่าจะไม่มีใครออกคำสั่งแบบนี้ ถ้าเบื้องบนเดาออกว่าท่านจะลงมือ แล้วไม่ขัดขวางล่วงหน้า เบื้องบนก็จะหนีความรับผิดชอบไม่พ้นอยู่ดี วิธีการที่เป็นไปได้มากที่สุดที่เบื้องบนจะทำ ก็คือกดดันเตือนล่วงหน้า ไม่ให้ท่านทำอะไรซี้ซั้ว สอง ปิดกิจการแล้วหนีออกไปหลบภัยชั่วคราว แต่ข้าได้ฟังสถานการณ์มาจากเวยเวยแล้ว เหมือนจะไม่มีใครทำแบบนี้ เช่นนั้นวิธีที่สามก็มีความเป็นไปได้มาก เป็นไปได้สูงว่าร้านค้าพวกนั้นจะให้ยอดฝีมือมานั่งคุมร้านแล้ว ถ้าหากนายท่านใช้กำลัง พวกเขาก็อาจจะใช้กำลังเหมือนกัน ขอเพียงพวกเขาร่วมมือกันทำแบบนี้ นยาท่านก็จะตายสถานเดียว ถ้าไม่โดนสังหารตายคาที่ ก็โดนจับเป็น และจุดจบสุดท้ายก็คือโทษประหารแน่นอน!
เหมียวอี้ได้ยินแล้วตกใจทันที
เป็นเพราะหยางชิ่งเดาความเป็นไปได้แรกแม่นยำแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินได้บอกเขาแล้วจริงๆ ว่าไม่ให้เขาทำซี้ซั้ว ร้านค้าพวกนั้นก็กำลังดำเนินกิจการตามปกติ เท่ากับว่าความเป็นไปได้ที่สองก็ถูกตัดทิ้งแล้วเช่นกัน หรือพูดได้อีกอย่างว่าความเป็นไปได้อย่างที่สามที่หยางชิ่งบอกมีโอกาสเกิดขึ้นสูงมาก!
“เป็นอะไรไป?” ฉินเวยเวยที่ยังนั่งอยู่ข้างๆ รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเหมียวอี้มีสีหน้าแปลกไป นางกำลังเงยหน้าถามเขา
“ไม่มีอะไร กำลังปรึกษาเรื่องบางอย่างกับพ่อเจ้า” หลังจากเหมียวอี้ตอบส่งๆ ก็ถามหยางชิ่งต่อว่า : ถ้าพวกเขากล้าทำแบบนี้จริงๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับการก่อกบฏ เกรงว่าคนที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาก็จะรับผิดชอบผลที่ตามมาไม่ไหวเหมือนกัน!
หยางชิ่ง : นายท่าน ถ้าคนที่อยู่เบื้องหลังพวกเขารวมตัวกัน ก็เรียกได้ว่าอำนาจอิทธิพลสูงทะลุฟ้า! ก็เป็นเพราะผลลัพธ์แบบนี้ร้ายแรง ข้อหาหนักแบบนี้จึงไม่มีทางไปถึงตัวพวกเขา เป็นไปไม่ได้ที่ราชันสวรรค์จะประหารขุนนางที่ปกครองใต้หล้าให้เขาจนหมด ราชันสวรรค์จะประหารขุนนางใหญ่ของตัวเองทั้งหมดเพื่อผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ต่ำต้อยอย่างนายท่านคนเดียวเหรอ? เป็นไปไม่ได้แน่นอน! ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ราชันสวรรค์ก็กำลังกำลังปรับปรุงตำหนักสวรรค์ เดิมทีพวกขุนนางก็ไม่พอใจอยู่แล้ว มีอารมณ์ขัดแย้ง ราชันสวรรค์ไม่มีทางปล่อยให้เกิดผลกระทบกับสถานการณ์โดยรวมเพื่อนายท่านหรอก เพื่อเลี่ยงไม่ให้มีคนเอาเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้าง จะต้องเอานายท่านมาระงับความเดือดดาลของฝูงชนแน่นอน แบบนั้นคนที่ตายก็จะมีแค่นายท่านคนเดียว! ไม่ว่าพวกเขาจะสังหารนายท่านให้ตายคาที่ หรือจะจับเป็น แต่ก็จะต้องยัดข้อหาให้นายท่านเพื่อให้คำอธิบายคนคนในใต้หล้าแน่นอน ถึงตอนนั้นนายท่านก็จะตายสถานเดียว!
เหมียวอี้พลันหยุดหายใจ แทบจะเหงื่อแตกเต็มตัว ก่อนหน้านี้นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าผลที่ตามมาจะร้ายแรงขนาดนี้ พออาการบรรเทาแล้ว ก็ถามว่า : ถ้าพูดแบบนี้ อย่าบอกนะว่าครั้งนี้ข้าทำได้เพียงข่มความโกรธนี้ไว้?
หยางชิ่ง : ถ้านายท่านไม่อยากข่มความโกรธนี้ไว้จริงๆ ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ ก็อย่างที่ข้าบอก จะต้องเตรียมตัวล่วงหน้าให้เหมาะสม ถ้าจะลงมือก็ต้องพาตัวเองไปยืนอยู่ในจุดที่ไม่แพ้ก่อน! นายท่านมีเหตุผลในการลงมืออยู่แล้ว ปัญหาในตอนนี้ก็คือ ถ้าสู้กันซึ่งๆ หน้าแล้วใครจะแพ้ใครจะชนะ คนแพ้มักเป็นโจร คนชนะมักมีเหตุผลแก้ตัว ถ้าชนะแล้วก็ย่อมอธิบายเหตุผลของตัวเองได้ เพราะคนตายพูดอะไรไม่ได้ ถ้าแพ้แล้วก็ทำได้แค่ตายไป!
เหมียวอี้ : จะรับมืออย่างไรก็อธิบายมาให้ละเอียด!
หยางชิ่ง : นายท่านกุมอำนาจของตลาดสวรรค์เอาไว้ ก็เท่ากับมีอำนาจในการเริ่มก่อน ทั้งยังรู้ถึงทางหนีทีไล่ของอีกฝ่ายอย่างทะลุปรุโปร่ง ดังนั้นถ้าอยากจะชนะก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่! นายท่านสามารถแสดงท่าทีขอเจรจาสงบศึกเพื่อทำให้คู่ต่อสู้ประมาท แล้วจัดงานเลี้ยงที่ตำหนักคุ้มเมือง เชิญผู้จัดการร้านของเขตเมืองที่พอจะมีหน้ามีตามาร่วมงาน แบบนั้นจะต้องมีคนสงสัยในใจและไม่กล้ามาร่วมงานแน่นอน แต่นี่ก็ไม่ใช่อุปสรรคใหญ่โต! เมื่อผ่านไปสักระยะก็จัดงานเลี้ยงแล้วเชิญผู้จัดการร้านของอีกเขตเมืองมาร่วมงานอีก ถ้าไม่มีเรื่องต่อเนื่องกันซ้ำๆ แบบนี้ ก็จะทำให้คนคลายความระมัดระวังแน่นอน ตอนนี้ต้องคิดหาทางซื้อใจผู้จัดการร้านสักคนให้ประกาศต่อหน้าทุกคนว่าจะเลี้ยงนายท่านกลับ ด้วยสัมพันธภาพทางสังคมแบบนี้ คาดว่าคงจะไม่มีผู้จัดการร้านคนอื่นคัดค้าน การที่นายท่านตั้งใจขอเจรจาสงบศึก ก็ย่อมเป็นเรื่องยากที่จะปฏิเสธการเชื้อเชิญได้ หลังจากอำนาจฝ่ายรุกไปอยู่ในมือของพวกเขาแล้ว พวกเขาก็จะไม่สงสัยอะไรอีก จะต้องมาร่วมงานทั้งหมดแน่นอน คราวนี้นายท่านก็ต้องเตรียมพร้อม ภายใต้สถานการณ์ที่จำเป็น ถ้าไม่มีความมั่นใจเต็มร้อย เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด นายท่านก็สามารถลงมือได้เลย ไม่ให้โอกาสพวกเขาได้ขัดขืน ประหารทันที ในเวลานี้กำลังพลของนายท่านต้องออกมาเคลื่อนไหวทั้งหมดอย่างรวดเร็ว ไปยึดทรัพย์และสั่งปิดร้านค้าใหญ่ๆ! ตอนที่ตรวจค้นก็ต้องให้ลูกน้องถือหัวของผู้จัดการของร้านนั้นๆ ไปด้วย ประกาศว่าผู้จัดการร้านยอมรับผิดแล้ว แล้วสั่งว่าถ้าใครยอมรับผิดจะไม่ฆ่า พอในร้านไม่มีหัวหน้าคอยตัดสินใจ ลูกน้องที่ไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึกก็ย่อมไม่กล้าฝ่าฝืนกฎสวรรค์ แบบนี้ก็จะไม่มีใครรอดไปได้! แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่นายท่านต้องระวังไว้ ยอดฝีมือที่อยู่ในร้านค้าเหล่านั้นยังคงเป็นภัยคุกคาม ถ้าตอนนายท่านลงมือแล้วหลบไม่ทัน ก็อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามเด็ดขาด จะได้ไม่กลายเป็นสุนัขกระโดดกำแพงเสียเอง!
บทที่ 1262 ถ้าไม่ใช้งานก็จะเสียของเปล่าๆ
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากฟังจบ เหมียวอี้ก็ครุ่นคิดถึงขั้นตอนอย่างละเอียด พยักหน้าเบาๆ เพราะรู้สึกว่าแผนนี้ใช้ได้
เมื่อเห็นว่าใช้ระฆังดาราติดต่อนานขนาดนี้ บวกกับสีหน้าของเหมียวอี้ที่เปลี่ยนแปลงไม่หยุด ฉินเวยเวยจึงถามหยั่งเชิงว่า “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ พลางส่ายหน้า จับมือที่อ่อนนุ่มของนางมาวางบนตักของตัวเอง ลูบไล้เบาๆ พร้อมเขย่าระฆังดาราตอบหยางชิ่ง : ยังมีอะไรเสริมอีกมั้ย?
หยางชิ่ง : นี่คือการทำงานโดยใช้อารมณ์ ทำให้ได้เปรียบเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่กลับก่อความยุ่งยากไปทั้งชาติ! ข้าน้อยยังแนะนำว่า ถ้าไม่ถึงขั้นหมดทางเลือก ก็อย่าทำแบบนี้ ถ้าหากทำแล้ว ทำแบบนี้ต่อเนื่องกันสองครั้ง นายท่านก็จะไม่มีทางถอยแล้ว หลังจากนี้ไปก็มีแต่จะต้องก้าวไปข้างหน้าเท่านั้น มีเพียงการยืนอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่านี้ หาแต้มต่อให้ได้มากกว่านี้ ถึงจะปกป้องตัวเองได้ ไม่อย่างนั้นอาศัยตำแหน่งที่ตำหนักสวรรค์ของนายท่านตอนนี้ก็ยังค่อนข้างไร้ความสำคัญ ถ้าสบโอกาสก็จะมีคนไม่เกรงใจนายท่านทันที หวังว่านายท่านจะไตร่ตรองอีกที!
ตอนนี้ข้ากลายเป็นหัวหน้าโจรกบฏแล้ว ยังจะมีทางให้ถอยที่พิภพใหญ่ด้วยเหรอ? ถ้าจะถอยก็มีแต่ถอยกลับพิภพเล็กเท่านั้น!
เหมียวอี้พึมพำในใจ แต่คำตอบก็แทบจะเหมือนที่ตอบอวิ๋นจือชิวทุกอย่าง : ข้ามีพื้นเพมาจากตลาด เข้าใจทฤษฎีอะไรไม่เยอะหรอก ข้ารู้เพียงว่าถ้าข้างในไม่สงบแล้วจะมีสมาธิไปรับมือกับข้างนอกยังไง? ศึกภายในต้องสงบก่อน จึงค่อยสู้ศึกภายนอก! ภายใต้การปกครองของข้า ข้าไม่ยอมให้เบื้องล่างมารังแกเบื้องบนเด็ดขาด!
หยางชิ่งเงียบไป สามารถพูดจาแบบนี้ต่อหน้าเขาได้ เขาก็ฟังออกถึงความหมายที่แฝงอยู่ นี่คือเส้นตายที่เหมียวอี้วาดออกมา และเป็นการทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้เห็นด้วย ส่วนหยางชิ่งก็เป็นหนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาของเหมียวอี้ จึงรู้สึกว่าบางทีเหมียวอี้อาจจะกำลังเตือนหยางชิ่งอยู่ก็ได้
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หยางชิ่งก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรมากอีก ตอบไปว่า : ข้าน้อยเข้าใจแล้ว จะรอฟังข่าวดีจากนายท่านเงียบๆ แล้วกัน
เขารู้สึกว่าใกล้จะจบแล้ว แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะไม่ปล่อยเขาไป : ในเมื่อติดต่อกันแล้ว ก็มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าอยากจะฟังความเห็นของเจ้าสักหน่อย
หยางชิ่งขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร : ข้าน้อยจะล้างหูรอฟัง!
เหมียวอี้ : ข้ามีลูกน้องเก่าอยู่สองคน ตอนปี้เยว่ฮูหยินได้เลื่อนขั้นก็พาไปจวนแม่ทัพภาพตงหัวด้วย ตอนหลังข้าเข้าร่วมการทดสอบและต้องไปรวมตัวที่จวนแม่ทัพภาพตงหัว สองคนนั้นร่วมมือกับคนนอกสร้างความอับอายให้ข้า ข้าไม่คิดจะปล่อยไป เตรียมจะกำจัดไปพร้อมกันเลย เจ้ามีวิธีการที่เชื่อถือได้แนะนำบางหรือเปล่า?
ลูกน้องเก่า? หยางชิ่งพูดไม่ออก สงสัยเจ้าหมอนี่จะไม่ปล่อยคนที่รังแกเจ้านายตัวเองไปเลยสักคน เขาถามว่า : นายท่านบอกให้ละเอียดได้มั้ย ถ้าข้าน้อยไม่รู้สถานการณ์ชัดเจน ก็ไม่สะดวกจะคาดคะเน
ไม่มีอะไรที่น่าปิดบัง สองคนที่เหมียวอี้คิดจะกำจัด คนหนึ่งคือกงอวี่เฟย อดีตผู้ช่วยของเขา ส่วนอีกคนก็ตำแหน่งต่ำกว่านั้น เดิมทีเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการที่ตำหนักคุ้มเมือง ชื่อหลี่หวนถัง ตอนเหมียวอี้ไปรวมตัวที่จวนแม่ทัพภาพตงหัวก่อนการทดสอบ กงอวี่เฟยก็เป็นคนดูแลเรื่องคฤหาสน์รวมตัว หลี่หวนถังเป็นแค่เจ้าหน้าที่ต้อนรับแต่กลับกำเริบเสิบสานยิ่งกว่า ขึ้นเสียงตะคอกเรียกเจ้านายเก่าอย่างเขาแบบโจ่งแจ้ง บัญชีแค้นนี้เขาจดจำมาตลอด
แต่จนใจที่สองคนนี้ล้วนเป็นลูกน้องของปี้เยว่ฮูหยิน เป็นลูกน้องเก่าที่ปี้เยว่ฮูหยินพาไปด้วยตลอด ต่อให้ปี้เยว่ฮูหยินจะไปเข้าร่วมการทดสอบแล้ว แต่เหมียวอี้ก็ลงมือกับพวกเขาไม่ได้ง่ายๆ อยู่ดี
สถานการณ์ก็เป็นแบบนี้ เหมียวอี้เล่าให้หยางชิ่งฟัง
หยางชิ่งฟังจบแล้วขมวดคิ้วมุ่น ตอบไปว่า : นายท่าน เรื่องนี้เกรงว่าจะจัดการได้ยาก ไม่ว่าทั้งสองจะอยู่ในตำแหน่งสูงหรือต่ำ แต่ถึงอย่างไรก็ติดตามปี้เยว่ฮูหยินมาหลายปี ถ้าท่านแตะต้องสองคนนี้จริงๆ ก็เท่ากับตบหน้าปี้เยว่ฮูหยิน ถ้าแม้แต่ลูกน้องคนสนิทของตัวเองยังปกป้องไม่ได้ ในภายหลังปี้เยว่ฮูหยินจะคุมลูกน้องได้ยังไง? มิหนำซ้ำนายท่านยังเตรียมจะลงมือกับร้านค้าที่ตลาดสวรรค์อีก นางเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของท่าน เวลานี้ไม่เหมาะจะไปยั่วโมโหนางเลยจริงๆ ต่อให้นางจะไปเข้าร่วมการทดสอบแล้ว แต่ก็คงไม่ปล่อยให้ใครมาแตะต้องลูกน้องของนางง่ายๆ อยู่ดี ตัวนางอยู่แดนอเวจีก็จริง แต่ก็สามารถตอบโต้เอาคืนนายท่านได้เหมือนเดิม นายท่านต้องปล่อยวางก่อนชั่วคราว อย่าให้เรื่องเล็กน้อยทำให้สูญเสียสิ่งที่มีค่าไป
เหมียวอี้ : ถ้าเป็นแบบนี้ ก็ไม่สะดวกจะแตะต้องพวกเขาจริงๆ เหรอ?
หยางชิ่ง : ไม่สะดวกจะแตะต้องจริงๆ นอกเสียจากท่านจะมีหนทางบีบจุดอ่อนปี้เยว่ฮูหยินได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่เหมาะจะทำอะไรโดยพลการ
เหมียวอี้ : ถ้าพูดถึงบีบจุดอ่อน ตอนนี้ข้าก็มีวิธีการบีบบจุดอ่อนนางจริงๆ นางกำลังจะไปทดสอบรอบที่สองแล้ว ข้ามีวิธีการตัดสินคะแนนของเขา
หยางชิ่งอึ้งไปชั่วขณะ รู้สึกเหนือความหมายเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะมีความสามารถนี้ แต่ในใจก็สงสัยนิดหน่อย ตอนนี้เรื่องการทดสอบครั้งที่สองของตำหนักสวรรค์ไม่ใช่ความลับแล้ว เขาเองก็ได้ยินมาจากฉินเวยเวยเหมือนกัน ไม่น่าเชื่อว่าเหมียวอี้จะมีวิธีการตัดสินคะแนนทดสอบของนักพรตบงกชรุ้ง แล้วทำไมตัวเองถึงได้มาแค่อันดับเก้าล่ะ?
เขาเก็บความสงสัยนี้ไว้ในใจชั่วคราว แล้วตอบไปว่า : ถ้าหากนายท่านสามารถตัดสินคะแนนของนางได้จริงๆ เช่นนั้นเรื่องนี้ก็จัดการง่ายแล้ว ตกลงแลกเปลี่ยนกับนางโดยตรงเลย ดึงสองคนนั้นมาเป็นลูกน้องตัวเอง ถึงตอนนั้นนายท่านอยากจะจัดการอย่างไรก็สั่งเพียงคำเดียวเท่ากัน
เหมียวอี้ : ก่อนหน้านี้ข้าก็มีความคิดนี้ เกือบจะเสนอออกมาแล้ว แต่พอกลับมาคิดดู ก็เป็นอย่างที่เจ้าบอกไปเมื่อครู่นี้ ถึงอย่างไรสองคนนั้นก็เป็นลูกน้องคนสนิทของปี้เยว่ฮูหยิน การเอ่ยปากขอแลกเปลี่ยนเกรงว่าจะทำให้ปี้เยว่ฮูหยินโมโหเพราะอับอาย ทำให้ข้าค่อนข้างลังเล
หยางชิ่งยิ้มบางๆ แล้วเขย่าระฆังดาราพูดประจบนิดหน่อย : นายท่านช่างปราดเปรื่อง! แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่สามารถเสนอโดยใช้วิธีการแลกเปลี่ยน หากท่านเสนอก่อน ก็จะทำให้นางอับอายจริงๆ ดีไม่ดีนางจะกดดันให้ท่านมอบวิธีรับประกันคะแนนทดสอบให้นาง แล้วก็ไม่ส่งคนให้ท่านด้วย เรื่องนี้ต้องคำนึงถึงหน้าตาศักดิ์ศรีของนาง ก่อนที่นางจะไปเข้าร่วมการทดสอบ ท่านต้องเอ่ยขอสองคนนั้นมาเป็นลูกน้องของตัวเองก่อนครั้งหนึ่ง แต่อย่าเพิ่งเอ่ยถึงเรื่องรับประกันคะแนนทดสอบของนาง
เหมียวอี้ : ถ้าไม่เสนอเรื่องคะแนนทดสอบ งั้นนางก็ยิ่งไม่มอบคนให้ข้าน่ะสิ
หยางชิ่ง : แต่รอหลังจากที่นางเข้าแดนอเวจีไป ท่านค่อยหาโอกาสเปิดเผยว่าท่านมีวิธีรับประกันคะแนนทดสอบของนาง แต่ต้องพูดแบบคลุมเครือ ไม่ควรพูดให้ชัดเจน ถึงตอนนั้นนางย่อมเข้าใจความหมายว่าคืออะไร แล้วนางจะเป็นฝ่ายหาทางให้สองคนนั้นไปเป็นลูกน้องของท่านเอง ยกตัวอย่างเช่นให้คนของจวนแม่ทัพภาพตงหัวออกหน้าส่งคนไปให้เจ้า
เหมียวอี้พอจะเข้าใจอยู่บ้าง แต่ลองคิดในมุมของอีกฝ่าย ถ้าเปลี่ยนเป็นตัวเองจะยอมนำลูกน้องคนสนิทมาแลกเปลี่ยนแบบนี้เหรอ? ไม่มีทางแน่นอน ในใจเกิดความสงสัยมากมาย ตอบไปว่า : กลัวก็แต่ว่านางจะไม่ให้ความร่วมมือง่ายๆ แบบนี้ ถ้านางไม่ยอมและให้คนมากดดันข้าให้ส่งวิธีรับประกันคะแนนให้นางล่ะ จะไม่ไก่ก็บินหนี ไข่ก็แตก[1]หรอกเหรอ!
หยางชิ่ง : นายท่านไม่จำเป็นต้องกังวล นางจะมอบคนให้นายท่านแน่นอน ในเมื่อตอนแรกนางสามารถปล่อยให้นายท่านทนรับความอัปยศโดยแสร้งทำเป็นไม่เห็นได้ ก็แปลว่าคนประเภทนี้ค่อนข้างรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี คนประเภทนี้จะ ‘อ่านสถานการณ์ออก’ ถ้าอยู่นอกแดนอเวจีนางอาจจะไม่ตอบตกลง แต่พอเข้าไปในนรกแล้ว ภัยอันตรายก็จะสร้างแรงกดดันให้นางเอง ผู้หญิงไงล่ะ! โดยธรรมชาติไม่ได้มีความแข็งแกร่งอะไร ในช่วงเวลาจำเป็นท่านสามารถเอาเรื่องอันตรายมาขู่นางแบบเกินจริงได้ ถึงตอนนั้นก็ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการปกป้องชีวิตตัวเอง นางจะกังวลว่าถ้าสั่งคนให้กดดันท่าน แล้วท่านจะกลายเป็นสุนัขจนตรอกกระโดดกำแพง เล่นไม่ซื่อจนทำให้นางเกิดอันตรายถึงชีวิต ถึงตอนนั้นนางจะละทิ้งความคิดที่จะเดิมพันทุกอย่าง ดังนั้นนางจะส่งคนให้ท่านอย่าง ‘อ่านสถานการณ์ออก’ แน่นอน แล้วอีกอย่าง ในเมื่อนายท่านมีแผนสำรองแบบนี้แล้ว ข้าน้อยแนะนำว่าตอนที่นายท่านลงมือกับร้านค้าของตลาดสวรรค์ ก็ต้องคำนึงถึงปัจจัยด้านนี้ด้วยเช่นกัน สามารถรอให้นางเข้าไปนนรกแล้วได้วิธีการรับประกันคะแนนจากท่านก่อน ถึงตอนนั้นค่อยลงมือก็ยังไม่สาย มีนางคอยขวางเบื้องบนให้สักนิดก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย ต้องทำให้มั่นใจและเชื่อถือได้สักหน่อย
พอได้ยินว่าเขาแน่ใจขนาดนี้ แล้วนึกถึงความคิดเห็นที่บอกว่าขู่ปี้เยว่ฮูหยิน เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปาก ไม่รู้จริงๆ ว่าหยางชิ่งจะสมองดีขนาดนี้ มีแผนวางกับดักคนชุดแล้วชุดเล่า
ฉินเวยเวยคอยสังเกตคำพูดและการกระทำอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นเขายิ้มออกมา นางก็แอบโล่งอก ตอนแรกที่เห็นเหมียวอี้สีหน้าแปลกไป นางก็นึกว่าพ่อบุญธรรมของตัวเองทำอะไรให้ไม่พอใ ถ้ายิ้มออกแบบนี้ก็แสดงว่าไม่เป็นอะไร นางจึงยิ้มหวานพร้อมถามว่า “นายท่าน เป็นอะไรไปคะ?”
“ไม่มีอะไร!” เหมียวอี้ยื่นมือข้างหนึ่งไปช้อนเอวบาของนาง แล้วเขย่าระฆังดาราตอบหยางชิ่งต่อ : ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์อีกเก้าคนของจวนแม่ทัพภาพตงหัว ข้าก็อยากกำจัดไปพร้อมกันเลยเหมือนกัน เจ้ามีวิธีการอะไรมั้ย?
ตอนนี้เขารู้สึกว่าถ้าไม่ใช้งานก็จะเสียของเปล่าๆ
หยางชิ่งปวดหัวนิดหน่อย แค่คิดยังไม่อยากจะคิด จึงเกลี้ยกล่อมไปเสียเลยว่า : นายท่าน ถ้าเกิดเรื่องขึ้นที่ร้านค้าของตลาดสวรรค์ ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะมีผลลัพธ์ไม่คาดคิดอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า ท่านถือโอกาสจัดการแค่สองคนนั้นก็พอแล้ว ยังจะทำเรื่องนี้ให้ใหญ่โตขึ้นได้อย่างไรอีก! เก้าคนนั้นล้วนมีอำนาจท้องถิ่นหนุนหลัง ทั้งยังอยู่ในตำแหน่งเดียวกับท่านที่ตลาดสวรรค์อีก เรื่องของตลาดสวรรค์ยังไม่ทันจบ ถ้าท่านทำให้เรื่องนี้ใหญ่โตขึ้นอีก ก็ไม่ต่างอะไรกับความวัวไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรก นายท่านได้โปรดพักก่อน แก้ปัญหาเรื่องหนึ่งก่อน ในภายหลังถ้ามีโอกาสดีแล้วค่อยจัดการก็ยังไม่สาย กินคำเดียวไม่สามารถอ้วนได้ในทันที ต้องค่อยๆ วางแผน จะใจร้อนไม่ได้!
มีแต่คำพูดเกลี้ยกล่อมให้หยุด ทำให้เหมียวอี้ต้องล้มเลิกความคิดนี้ทิ้ง ที่จริงเขาเองก็รู้ว่าการจัดการรวดเดียวไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง แค่ถามส่งเดชไปอย่างนั้นเอง จึงตอบอีกว่า : ในเมื่อทำไม่ได้ งั้นก็ช่างเถอะ เอาตามนี้ก่อนแล้วกัน!
แต่ใครจะคิดว่าหยางชิ่งจะรีบห้ามว่า : นายท่าน ข้าน้อยมีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร้อง!
เหมียวอี้ : เรื่องอะไร?
หยางชิ่ง : ท่านเองก็รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างฉินซีกับเวยเวย ไม่ได้เจอลูกสาวนานแล้ว ฉินซีมักจะคิดถึงอยู่บ่อยๆ ให้เวยเวยกลับมาพิภพเล็กสักครั้งได้มั้ย ให้แม่กับลูกสาวได้อยู่ด้วยกัน?
เหมียวอี้เอียงหน้ามองฉินเวยเวยที่ซบอยู่ในอ้อมกอดตัวเอง พร้อมถามว่า : เจ้ากังวลใช่มั้ยว่าทางนี้จะเกิดเรื่องขึ้น อยากจะให้เวยเวยกลับไปหลบภัยที่พิภพเล็กล่ะสิ?
หยางชิ่ง : ไม่ได้มีเจตนานี้แน่นอน! ฉินซีคิดถึงลูกสาวมากเกินไปจริงๆ ถ้านายท่านคิดว่าข้าน้อยอยากจะหลบภัย ก็ให้เวยเวยกลับมาพิภพเล็ก แล้วให้ข้าน้อยไปรับใช้นายท่านที่พิภพใหญ่แทนสิ!
พอโดนเขาเตือนแบบนี้ ในใจเหมียวอี้ก็เกิดความคิดอะไรบางอย่างนิดหน่อย ตอนนี้สถานการณ์ที่พิภพเล็กนิ่งแล้ว ถ้าปล่อยคนแบบหยางชิ่งไว้ที่พิภพเล็กก็เสียของจริงๆ ภายใต้สถานการณ์ในปัจจุบัน ถ้ามาที่พิภพใหญ่ก็ยังช่วยงานเขาได้ ถ้าให้หยางชิ่งไปต่อสู้เล่นบทบู๊อาจจะไม่ไหว แต่สมองของเจ้าหมอนั่นใช้งานได้ดี ปัญหามากมายที่คนระดับล่างมองไม่ทะลุ แต่หยางชิ่งสามารถจี้ถูกสุดสำคัญ
แต่ก็เป็นเพราะสมองหยางชิ่งใช้งานได้ดีเกินไป เมื่อเวลาผ่านไปนานก็ทำให้เขาเกิดความกังวล บวกกับประวัติที่หยางชิ่งเคยก่อกบฏ ก็ทำให้คนต้องระแวดระวัง
แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรที่แน่นอน บอกเพียงว่า : เดี๋ยวค่อยว่ากัน!
พอเก็บระฆังดารา เหมียวอี้ก็ก็มองดูฉินเวยเวยที่ซบอยู่ในอ้อมอก แล้วยื่นจมูกไปดมดอมกลิ่นหอมบนผมของนาง
ฉินเวยเวยเงยหน้าขึ้น มองเขาด้วยแววตาเป็นประกาย ดวงตาทั้งสี่สบประสานกัน สายตาของฉินเวยเวยเปลี่ยนเป็นออดอ้อนออเซาะอย่างรวดเร็ว แล้วค่อยๆ ยื่นริมฝีปากออกมา ลมหายใจหอมสดชื่นดุจดอกกล้วยไม้ เป็นฝ่ายจูบบนริมฝีปากเหมียวอี้เบาๆ รอคอยมาหนึ่งร้อยปี วันนี้ดอกไม้ผลิบานอย่างอ่อนโยน
ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว เหมียวอี้อุ้มนางขึ้นมาเสียเลย แล้วเดินก้าวยาวเข้าไปที่ห้องนอน เขาเก็บกดจากแดนอเวจีมาหนึ่งร้อยปี นับว่าสามารถปลดปล่อยอารมณ์ได้เต็มที่แล้ว…
หยางชิ่งเก็บระฆังดาราภายใต้ดอกไม้และแสงจันทร์ เงยหน้ามองดวงจันทร์กระจ่างที่เคลื่อนย้ายตำแหน่งไปแล้ว พร้อมถอนหายใจเบาๆ
ฉินซีคล้องแขนเขาเบาๆ แล้วถามว่า “เป็นอะไรไป?”
“เป็นอย่างที่คาดไว้ เขายังคิดจะใช้กำลังจริงๆ ด้วย ข้าไม่อยากให้เขาทำแบบนั้น แต่เกลี้ยกล่อมไม่ได้ผล เขาดึงดันจะเดินไปสู่อันตราย” หยางชิ่งส่ายหน้า หันกลับมามองหน้าฉินซี พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มขื่นขม “ว่ากันว่านิสัยคือสิ่งที่ตัดสินชะตาชีวิต บางทีก็คงจะเกิดจากนิสัยจริงๆ! บางครั้งข้าก็คิดไม่ตกเหมือนกัน เขาชอบทำซี้ซั้วแต่ทำไมยังอยู่รอดมาจนวันนี้ได้ แต่ความจริงก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเขายังอยู่ได้อย่างสบายดี ไม่ว่าจะไปไหนก็เจอเรื่องหวาดเสียวแต่ไร้อันตราย ข้าเคยคิดว่าเขาเป็นคนดวงดี แต่จะเป็นไปได้อย่างไรที่โชคชะตาของคนคนหนึ่งจะได้เปรียบตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ ตอนนี้ข้าก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าข้าคิดผิด หรือว่าเขาที่คิดผิด”
ฉินซีไม่สนใจเรื่องนี้ ถามเพียงว่า “เขาตอบตกลงให้เวยเวยกลับมาหรือเปล่า?”
หยางชิ่งเงยหน้าจ้องดวงจันทร์อีกครั้ง แล้วกล่าวอย่างใจคอแห้งเหี่ยวว่า “มารดาอยากเจอลูกสาว เขามีอะไรให้ต้องขัดขวาง เพียงแต่ว่า…ข้าช่วยเขาวางแผนร้ายมากมาย เกรงว่าจะยิ่งทำให้เขาระแวงข้า ต่อให้ไปที่พิภพใหญ่แล้ว เกรงว่าเขาก็คงจะไม่มอบอำนาจที่แท้จริงให้ข้าอยู่ดี!”
…………………………
[1] ไก่ก็บินหนี ไข่ก็แตก 鸡飞蛋打 หมายถึงสุดท้ายแล้วไม่ได้อะไรสักอย่าง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น