ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 1254-1267
ตอนที่ 1254 โรคเจ้าหญิงกับตาจอมขี้อวด
เหมยเหมยไปตรงที่นั่งผู้ชมเพื่อบอกกับจ้าวอิงหัวสองสามีภรรยาเสียก่อน วันนี้ทั้งสองตั้งใจหาเวลามาให้กำลังใจลูกสาวโดยเฉพาะ นั่งปรบมือจนมือทั้งสองข้างแดงเถือกไปหมด
“ไปเถอะ ไปเถอะ พกเงินไปเยอะหน่อยนะ” จ้าวอิงหัวพูดไปพลางยิ้มไป
เขารู้สึกว่าลูกสาวของเขาสุดยอดมาก ๆ การแสดงเต้นรำบนเวทีของสองสาวเมื่อครู่ เขารู้สึกว่าลูกสาวของเขาเต้นได้ดีกว่า
แน่นอน ผู้ชมคนอื่นก็มีความคิดเห็นไม่ต่างจากเขา!
ไม่เห็นหรือว่าลูกสาวเขาได้รับเสียงปรบมือล้นหลามขนาดไหน!
เหมยเหมยชวนลู่ฮุ่ยกับลี่เมิ่งเฉินไปกินข้าวด้วยตามมารยาท แต่เธอรู้สึกว่าพวกเขาทั้งสองคนน่าจะไม่ไป เพราะคนหนึ่งเป็นโรคเจ้าหญิงอีกคนเป็นตาจอมขี้อวด พวกเขามีจุดที่คล้ายกันอย่างหนึ่งคือ
ดูถูกคนธรรมดาอย่างพวกเรา
แต่ว่า…
“ได้สิ กำลังอยากจะไปกินที่ภัตตาคารจุ้ยเซียนอยู่พอดีเลยไปด้วยกันเลยละกัน” ตาจรวดไล่บี้จอมขี้อวดกล่าวขึ้น
“ภัตตาคารจุ้ยเซียนเหรอ รสชาติก็ถือว่าพอใช้ได้นะ ไปก็ได้แหละ” ยัยโรคเจ้าหญิงพูดด้วยสีหน้าที่ดูไม่ค่อยเต็มใจ
เหมยเหมยเริ่มรู้สึกลำบากใจอีกแล้ว จริง ๆเธอแค่ชวนไปตามมารยาทเท่านั้น พวกเขาไม่จำเป็นต้องไปก็ได้เธอจะไม่ว่าอะไรเลย
หกอัจฉริยะกำลังมุ่งหน้าไปที่ภัตตาคารจุ้ยเซียนอย่างท่วงท่าทรงพลัง องค์หญิงลู่บอกว่าเธอสามารถโทรเรียกให้คนขับรถที่บ้านมารับพวกเขาได้ สยงมู่มู่ไม่ชอบผู้หญิงคนนี้จึงพูดขัดเธอด้วยความรำคาญว่า “เรียกแท็กซี่เถอะ ขืนรอคนขับรถที่บ้านเธอมา พวกเราก็ไม่ต้องกินข้าวกันพอดี”
ลู่ฮุ่ยโมโหจนหน้าซีดไปหมด ตาบ้านี่ตั้งแต่เริ่มอัดรายการมาก็ไม่ไว้หน้ากันบ้างเลย น่าโมโหจริง ๆ
แน่นอนว่าเธอไม่ได้เรียกคนขับรถมา รถของจ้าวอิงหัวขับผ่านมา เขาให้คนขับจอดรถแล้วชะโงกหน้าออกมาจากรถเพื่อทักทายพวกเขา พูดกำชับไม่กี่ประโยคแล้วจึงจากไป
ตอนบ่ายเขายังจะต้องไปจัดการการประชุมอีกยุ่งจะตายอยู่แล้ว
ลู่ฮุ่ยเหมือนจะคิดอะไรได้บางอย่างในระหว่างที่รถของจ้าวอิงหัวแล่นออกไปอย่างรวดเร็ว ทะเบียนรถดูไม่ธรรมดาเลย คนธรรมดาน่าจะไม่สามารถมีได้ คิดดูอีกทีแล้วจ้างอิงหัวก็ดูหน้าคุ้น ๆนะเหมือนเคยเห็นในทีวีมาก่อนเลย
เธอตีหัวตัวเองสองสามทีแล้วด่าความเลอะเลือนของตัวเองในใจ
พ่อของจ้าวเหมยเป็นคนมีอำนาจของเมืองจินมิใช่หรือ?
เมื่อวานยังเห็นออกข่าวในทีวีอยู่เลย!
ตอนนี้ลู่ฮุ่ยค่อยรู้สึกดีขึ้นหน่อย ไม่น่าพิธีกรเอาแต่สัมภาษณ์จ้าวเหมย น่าจะเป็นเพราะเธอเป็นลูกสาวของผู้มีอำนาจ แน่นอนว่าลูกสาวที่บ้านทำธุรกิจการค้าแบบเธอคงจะเทียบไม่ได้
ตอนนี้ถ้าดูจากชาติตระกูล ถึงแม้ว่าเธอจะมีความสามารถมากกว่านี้ก็ไม่สามารถเทียบกับจ้าวเหมยได้ ลู่ฮุ่ยรู้สึกดีขึ้นมา ความรู้สึกเจ็บปวดตอนถ่ายทำรายการจางหายลงไปมากเลยทีเดียว
พวกเขาหกคนเรียกรถสองคันและมาถึงภัตตาคารจุ้ยเซียนในเวลาอันรวดเร็ว ภายในภัตตาคารคนแน่นเต็มร้าน แต่ว่าเหมยเหมยเป็นแขกประจำของที่นี่ พอผู้จัดการเห็นเหมยเหมยก็รีบปรี่เข้ามาต้อนรับแล้วพาไปยังห้องรับรองด้วยตัวเองทันที
เหมยเหมยสั่งไก่ยัดไส้ห่อใบบัวอบมาสองตัว แล้วค่อยให้เฉินเจียกับลี่เมิ่งเฉินสั่งอาหาร “อยากกินอะไรก็สั่งเลยนะ วันนี้ฉันเอาเงินมาพออยู่แล้วล่ะ”
ลี่เมิ่งเฉินเหลือบไปมองเมนูเพียงแวบเดียว แล้วก็พูดอย่างเอื่อยเฉื่อยขึ้นมาว่า “ปลาเปรี้ยวหวานซีหู แกงเม็ดบัวซีหู ซี่โครงหมูผัดกระเทียม เต้าหู้ไซซี…”
“ทำไมไม่ดูเมนูล่ะ” เหมยเหมยรู้สึกประหลาดใจ
ลี่เมิ่งเฉินมองเธอด้วยท่าทีเย็นชา “เมื่อกี้ฉันดูแล้ว” เขากลัวว่าเหมยเหมยจะไม่เข้าใจความหมายของเขาก็เลยอธิบายว่า “ฉันมองแวบเดียวก็สามารถอ่านได้สิบบรรทัดแล้ว”
ปากของเหมยเหมยกระตุกเบา ๆ พ่อคุณ ไม่อวดหน่อยจะตายหรืออย่างไร?
รสชาติอาหารที่ภัตตาคารจุ้ยเซียนไม่เลวจริง ๆ เฉินเจียชมไม่หยุดปาก มีอาหารรสเลิศวางไว้อยู่ตรงหน้า เขาก็ไม่พูดมากอีกต่อไป โลกก็ดูเงียบสงบลงมาชั่วขณะ
“อร่อยจริง ๆครับ คุณปู่ไม่ได้หลอกฉันจริงๆด้วย ไก่ยัดไส้ห่อใบบัวอบอันนี้ห่อกลับบ้านได้ไหม? ตอนกลับไปฉันอยากห่อเอากลับไปฝากคุณปู่ด้วย ท่านก็อยากจะทานอาหารของที่นี่มากเช่นกัน” เฉินเจียนาน ๆทีจะไม่พูดจาติดตลกพลอยทำเอาคนอื่นรู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินนัก
“ได้สิ ตอนนายจะกลับก็บอกฉันแล้วกัน เดี๋ยวฉันให้ผู้จัดการที่นี่ห่อไว้ให้ ช่วงนี้อากาศค่อนข้างเย็น ทิ้งไว้สัก 3-4 วันน่าจะไม่มีปัญหา” เหมยเหมยพูดขึ้น
“ขอบคุณนะเหมยเหมย เธอเป็นคนดีจัง” เฉินเจียพูดอู้ ๆอี้ ๆในขณะที่มีอาหารอยู่เต็มปาก
…
รายการออกอากาศในวันถัดมาในช่วงเวลาที่มีคนดูจำนวนมาก เหมยซูหานกำลังนั่งดูทีวีเป็นเพื่อนแม่ เขาเห็นเหมยเหมยกำลังเต้นรำอยู่ในทีวี เขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
………………………………………
ตอนที่ 1255 แม้แต่เพื่อนก็เป็นไม่ได้เหรอ
เมื่อคืนเหมยซูหานไม่ได้พักอยู่ที่โรงแรมแต่กลับมาอยู่เป็นเพื่อนแม่ที่บ้าน ถึงแม้ว่าเฮ่อเหลียนเช่อจะไม่ยินดีเท่าไรนัก ไม่ว่าจะพูดจาหว่านล้อมออดอ้อนให้เหมยซูหานพักอยู่โรงแรมเพื่อจู๋จี๋กันสองคนแต่เหมยซูหานกลับปฏิเสธลูกเดียว
เขาจะต้องอยู่เป็นเพื่อนแม่ให้มาก หลายปีมานี้เขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวงจนกลับบ้านแทบจะนับครั้งได้ เขาช่างเป็นลูกที่อกตัญญูเสียจริง
หลังจากทานข้าวเย็นแสร็จคุณแม่เหมยก็อยากดูหนังรักของไต้หวัน เหมยซูหานเปิดทีวี ตอนเปลี่ยนช่องก็บังเอิญเห็นเหมยเหมยกำลังเต้นรำอยู่ในทีวี
“เหมยเหมย”
เหมยซูหานพึมพำเสียงเบา สีหน้าผิดหวังเสียใจเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ถอนหายใจเบา ๆ
“ซูหาน ทำไมไม่เปลี่ยนช่องแล้วล่ะ” คุณแม่เหมยรอมาตั้งนานก็ไม่เห็นทีท่าว่าหนังที่ชอบจะโผล่ออกมาเสียทีจึงรีบร้อนลุกขึ้นมาจะมาเปลี่ยนช่องเสียเอง
“ผู้หญิงคนนี้สวยจัง เอ๊ะ นี่ไม่ใช่หนูเหมยเหมยหรอกหรือ โตขนาดนี้แล้วหรือเนี่ย ผู้หญิงโตขึ้นก็หน้าเปลี่ยน ยิ่งโตยิ่งสวย” คุณแม่เหมยจำเหมยเหมยได้ในทันที
ถึงแม้ว่าโครงหน้าของหญิงสาวจะใหญ่ขึ้น แต่หูตาจมูกปากของเธอไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก ยิ่งปานแดงที่เห็นได้ชัดของเธอยิ่งทำให้จำเธอได้ง่ายมากขึ้นไปอีก
คุณแม่เหมยเห็นนัยย์ตาโศกเศร้าของลูกชายก็ได้แต่ถอนหายใจ เธอยังจำได้ว่าลูกชายตอนเด็กได้ทำสัญญากับสาวน้อยคนนี้ไว้ตอนเด็กว่า อีกหน่อยโตขึ้นจะไปสู่ขอมาเป็นภรรยา เห็นได้ชัดว่าลูกชายของเธอชอบผู้หญิงคนนี้มากจริง ๆ
“ซูหาน ป้าสวีมีผู้หญิงคนหนึ่งมาแนะนำ ท่าทางไม่เลวเลย ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ปี 2 ที่มหาวิทยาลัยเมืองจิน หน้าตาสะสวย พ่อแม่เป็นหมอทั้งคู่ ถึงแม้ว่าจะเป็นลูกคนเดียวแต่ป้าสวีบอกว่าเธอมีความเป็นผู้ใหญ่มาตั้งแต่เด็กแล้ว พรุ่งนี้ลูกอยากลองนัดเจอเธอดูหน่อยไหมล่ะ” คุณแม่เหมยโน้มน้าวด้วยความหวังดี
ตอนนี้เหมยเหมยเต้นเสร็จแล้วกำลังถูกพิธีกรสัมภาษณ์ เหมยซูหานดูด้วยความตั้งใจ ไม่ได้สนใจสิ่งที่แม่เหมยพูดเลยแม้แต่น้อย เขาส่งเสียงตอบรับแม่แบบไม่ได้ใส่ใจ
ตอนที่เหมยเหมยให้สัมภาษณ์ว่าเธอได้รับการช่วยเหลือจากคน ๆหนึ่งถึงได้เรียนรู้วิธีการเรียนที่เหมาะสมกับตัวเอง ทำให้มีผลการเรียนที่ดีขึ้นนั้น เหมยซูหานก็ตั้งใจฟังอย่างจดจ่อจนตัวเกร็งไปหมด แล้วยกมือขึ้นไม่ให้คุณแม่เหมยพูดอะไรอีก
คุณแม่เหมยไม่รู้ว่าทำไมลูกชายตัวเองถึงได้จริงจังขนาดนี้ เธอทำได้แค่เพียงเงียบลงแล้วนั่งดูทีวีไปด้วยกัน
“ไม่ใช่เพื่อนค่ะ แค่เมื่อก่อนเคยเรียนโรงเรียนเดียวกันเลยรู้จักกัน แต่ฉันรู้สึกขอบคุณเขามาก หวังว่าเขาจะใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข”
เสียงของเหมยเหมยลอยออกมาจากในทีวีอย่างชัดถ้อยชัดคำ เหมยซูหานได้ยินชัดทุกตัวอักษร สีหน้าซีดเผือก แม้แต่ปากก็ยังซีดตามไปด้วย
แม้แต่เพื่อนก็เป็นไม่ได้เลยหรือ?
เหมยเหมยทำไมถึงรังเกียจเขาถึงเพียงนี้นะ?
เห็น ๆอยู่ว่าเขาไม่เคยทำร้ายเหมยเหมยมาก่อนเลยด้วยซ้ำ!
“ซูหาน ลูกเป็นอะไรไปไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า เดี๋ยวแม่ไปเทน้ำมาให้” คุณแม่เหมยตกใจสีหน้าซีดเผือกของเหมยซูหาน กระวนกระวานรีบไปหาน้ำมาให้ลูกชายดื่ม สีหน้าของเขาก็พลันดีขึ้นเล็กน้อยเธอจึงค่อยโล่งใจขึ้นมาบ้าง
“แม่ครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรครับ” เหมยซูหานฝืนยิ้มปลอบประโลมแม่ของตน ในใจเจ็บปวดแปลก ๆ
คุณแม่เหมยดูออกว่าลูกชายมีเรื่องอะไรในใจและแน่นอนว่าต้องเกี่ยวข้องกับเหมยเหมยแน่ ตอนทานข้าวกันเมื่อครู่ยังดี ๆอยู่เลย แต่พอเห็นเหมยเหมยในทีวีสภาพก็กลายเป็นแบบนี้ไปเสียแล้ว
“ซูหาน ถ้าลูกยังลืมเหมยเหมยไม่ลงลูกก็ไปหาเธอเถอะ แม่ว่าหนูเหมยเหมยไม่น่าจะเป็นคนที่ใฝ่สูงอะไรมาก บางทีพวกเธออาจจะคบกันได้นะ!”
คุณแม่เหมยไม่สามารถทนเห็นลูกชายต้องทนทุกข์ทรมานเพราะความรักได้ จึงอยากจะให้ลูกชายลองดูสักตั้ง ถ้าได้ก็ดี ถ้าไม่ได้อย่างน้อยลูกชายของเธอจะได้ตัดใจ
เหมยซูหานฝืนยิ้มพลางส่ายหัว “แม่ครับ เหมยเหมยมีคู่หมั้นอยู่แล้ว ผมเป็นอย่างนี้ไม่ใช่เพราะเธอ แม่อย่าคิดมากเลยครับ แม่มาดูทีวีเถอะผมจะไปนอนแล้ว”
เขาเปลี่ยนช่องทีวีให้กลายเป็นหนังแนวดราม่า หลังจากนั้นเหมยซูหานก็รีบเดินไปที่ห้อง
เขาอยากจะอยู่คนเดียว ไม่อยากจะให้แม่ต้องเป็นห่วง
ตอนที่ 1256 สงสัย
พอกลับมาที่ห้องเหมยซูหานก็ไม่ได้เปิดไฟ เวลานี้เขาชอบอยู่มืด ๆมากกว่า
เขาอดไม่ได้ที่จะหยิบซองบุหรี่ออกมาจากลิ้นชัก เขาไม่ชอบสูบบุหรี่ แล้วก็ไม่ชอบเห็นใครสูบบุหรี่ต่อหน้าเขา แต่ตอนนี้เขาอยากจะสูบมันสักมวน
เขาจะต้องสงบสติอารมณ์!
รสชาติความขมของบุหรี่ทำให้ความเจ็บปวดในใจเขาเบาบางลง มองแสงไฟสีแดงที่เดี๋ยวติดเดี๋ยวดับในความมืด ทำให้เหมยซูหานเริ่มสงบสติอารมณ์ลงได้มาก เขานึกไปถึงเรื่องราวของเขากับเหมยเหมยตั้งแต่ตอนที่เริ่มรู้กันจนถึงตอนนี้และเรื่องราวในความฝันเหล่านั้น
ในหัวของเขาเหมือนมีเรื่องแวบผ่านเข้ามาแต่เหมยซูหานไม่สามารถจับมันไว้ได้ เขาถอนหายใจด้วยความสับสน จุดบุหรี่มวนใหม่ขึ้นมาอีกมวน อารมณ์ความคิดของเขาก็เริ่มกลับมาชัดเจนอีกครั้ง
เหมยซูหานเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง ไม่ใช่แล้ว…
มันทะแม่ง ๆ
ทำไมเขาถึงคิดไม่ได้ตั้งแต่แรก?
เหมยเหมยในความฝันกับเหมยเหมยในความเป็นจริงแตกต่างกันมาก นิสัยต่างกันอย่างสิ้นเชิงควรจะบอกว่าทั้งก่อนและหลังแตกต่างกันมาก
เหมยเหมยในความฝันอ่อนแอขี้กลัวดูถูกตัวเอง ไม่มีความคิดเป็นของตัวเองเหมือนนิสัยตอนเด็ก พูดให้ถูกก็คือ เหมือนเหมยเหมยตอนก่อนอายุ 12 ปี
แต่เหมยเหมยในตอนนี้มีความมั่นใจสูง มีความคิดเป็นของตัวเอง ถ้าไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอกละหม้ายคล้ายในตอนเด็ก เขายังสงสัยเลยว่าเหมยเหมยอาจจะเป็นคนละคนกันมากกว่า
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือตอนเด็ก ๆถึงแม้ว่าเหมยเหมยจะไม่สนใจเขาแต่นั่นก็เป็นเพราะว่าเธอขี้กลัว เธอจึงปฏิบัติตัวแบบนี้กับทุกคน ไม่ใช่เพราะว่าเธอไม่อยากสนใจ แต่เป็นเพราะเธอเขินอายและไม่มั่นใจในตัวเอง
แต่ตอนนี้…
เหมยเหมยมีความกล้าขึ้นมากแต่เธอกลับไม่สนใจเขาเหมือนเดิม อีกทั้งดูเหมือนจะเกลียดชังเขาด้วยซ้ำ หลายครั้งที่เขาสังเกตเห็นความเกลียดชังและความห่างเหินลึก ๆจากดวงตาของเหมยเหมย
ความห่างเหินเขาพอจะสามารถทำความเข้าใจได้ เพราะว่ายังไงเขากับเหมยเหมยก็ไม่เคยสนิทกันมากอยู่แล้ว
แต่เรื่องความเกลียดชังนี่สิ มันเกิดอะไรขึ้น?
เขาลองถามตัวเองดูกลับพบว่าเขาไม่เคยทำร้ายเหมยเหมยมาก่อน ทำไมเหมยเหมยถึงได้เกลียดชังเขานัก?
เหมยซูหานรู้สึกปวดขมับนิด ๆ เขารีบนวดขมับเอายาหม่องในลิ้นชักออกมาทาถึงสดชื่นมีชีวิตชีวาขึ้นมาก เขาก็กลับมาคิดต่อวันนี้เขาจะต้องคิดให้ออกให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็อย่าได้นอนเลย
เหมยซูหานเปิดไฟหยิบกระดาษและปากกาออกมา เขาจดข้อสงสัยต่าง ๆและความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆของเหมยเหมยลงในกระดาษ
นี่เป็นวิธีที่เขาได้มาจากในความฝัน ตอนที่มีเรื่องที่คิดไม่ออกเขาก็จะนำเรื่องราวที่คิดได้และสิ่งที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเขียนออกมา แล้วค่อยตัดทิ้งทีละอัน สิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่อาจจะเป็นคำตอบที่แท้จริง
เขาวงกลมและกากบาทลงในกระดาษไม่หยุด บนกระดาษของเขาเละเทะไปหมด เขาเปลี่ยนกระดาษแผ่นใหม่ แล้วเอาข้อที่สงสัยที่ยังหลงเหลืออยู่ เขียนลงไปในกระดาษแผ่นใหม่อีกรอบ
นิสัยเปลี่ยนแปลงไปมาก——สวยขึ้นมาก——เก่งขึ้นมาก…
อู่เยวี่ยก็เปลี่ยนแปลงไปเหมือนกัน——ในฝันนั้นเพอร์เฟคมาก——แต่ตอนนี้ไม่ไหวมาก ๆ——แซ่ของเหมยเหมยก็เปลี่ยนไป
……
เหมยซูหานสีหน้าเคร่งเครียด เขาค้นพบสิ่งที่ผิดปกติ การเปลี่ยนแปลงของอู่เยวี่ยเกิดขึ้นหลังการเปลี่ยนแปลงของเหมยเหมย อีกทั้งในฝันเหมยเหมยเหมือนจะชื่อว่า ‘อู่เหมย’ นั่นคือชื่อเดิมของเธอ ในฝันเหมยเหมยจะเรียก ‘อู่เยวี่ย’ ว่าพี่สาวมาตลอด
นั่นหมายความว่าเหมยเหมยที่อยู่ในฝันยังไม่ได้กลับไปอยู่กับจ้าวอิงหัวสองสามีภรรยา แต่ยังอาศัยอยู่ที่บ้านตระกูลอู่
ในฝันเหมยเหมยก็ชอบเล่นกับเขา ถึงแม้ว่าเหมยเหมยจะขี้กลัวไม่ชอบพูด แต่ทุกครั้งที่เขากลับบ้านเหมยเหมยจะดีใจมาก เธอจะเข้าครัวลงมือทำอาหารเอง ถ้าเขาบอกว่าเมนูไหนอร่อยเหมยเหมยก็จะลิงโลดราวกับเด็กน้อย เบิกบานใจไปหลายวันเลยทีเดียว
พอนึกถึงเหมยเหมยในฝันที่ขี้กลัวเหมือนกระต่ายน้อย เหมยซูหานก็เริ่มรู้สึกใจอ่อนขึ้นมาทันที มุมปากทั้งสองข้างถูกยกขึ้นเล็กน้อย
จู่ ๆเขาก็เข้าใจแล้ว ที่จริงเขาชอบเหมยเหมยที่อยู่ในความฝันของเขามากกว่า เขาไม่ได้ชอบเหมยเหมยที่มีความมั่นใจเต็มร้อยในตอนนี้
ถึงแม้ว่าพวกเธอจะรูปร่างหน้าตาคล้ายกัน แต่นิสัยของทั้งสองล้วนต่างกันโดยสิ้นเชิง
……………………………………
ตอนที่ 1257 ฝันอีกแล้ว
พอคลี่คลายปัญหาที่ค้างคาในใจได้ ความคิดของเหมยซูหานก็เริ่มชัดเจนยิ่งขึ้น เขามองกระดาษในมือของเขา ปลายปากกาของเขาหมุนวนอยู่แต่ตรงที่คำว่า “นิสัยเปลี่ยนแปลงไปมาก” วงแล้ววงอีก
เพราะสาเหตุอะไรถึงทำให้คน ๆหนึ่งนิสัยเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้?
มีความเป็นไปได้แค่อันเดียวก็คือได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก
แต่เขารู้ดีว่าตอนเหมยเหมยอายุ 12 ปีไม่ได้รับการกระทบกระเทือนด้านใดเลย อย่างมากก็แค่ถูกเหอปี้อวิ๋นกลั่นแกล้ง แต่การกลั่นแกล้งนั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นในทันทีมันเป็นมาตั้งแต่เธอยังเด็ก เพราะฉะนั้นเหมยเหมยไม่น่าจะนิสัยเปลี่ยนไปเพราะสาเหตุนี้
แล้วก็ยังมีความเกลียดชังที่เธอมีต่อเขาอีก
“อ่า…”
เขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาอีกแล้วเหมือนมีเข็มกำลังทิ่มแทงอยู่ในหัวของเขา เหมยซูหานอดทนไม่ส่งเสียงร้องออกมา เขาใช้มือทั้งสองข้างบีบหัวไว้ราวกับมันจะทำให้เขาลดความเจ็บปวดลงได้บ้าง แต่ความเจ็บปวดกลับยิ่งทวีคูณ ตอนนี้หัวของเขาเหมือนจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
เหมยซูหานสลบไปท่าทางเขาเหมือนกำลังนอนหลับ ใบหน้าซีดเผือด อารมณ์และสีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงไม่หยุด มีทั้งความเจ็บปวด ความเสียใจ ความโกรธแค้น…
ความมืดมิดเริ่มคืบคลานเข้ามา คุณแม่เหมยอยากจะเข้ามาในห้องเพื่อดูสภาพของลูกชาย แต่กลับเจอเขานอนอยู่บนเตียง แม้แต่ผ้าห่มก็ไม่ได้ห่ม เธอส่ายหัวเบา ๆแล้วเดินไปถอดเสื้อกันหนาวให้กับเหมยซูหาน แล้วค่อยห่มผ้าให้กับเขา จากนั้นเดินไปปิดไฟ แล้วค่อย ๆเดินออกจากห้องอย่างช้า ๆ
ประตูถูกปิดลงอย่างช้า ๆ เหมยซูหานลืมตาขึ้นมีแสงกระพริบขึ้นในความมืด
เขาฝันอีกแล้ว แต่ความฝันครั้งนี้ค่อนข้างยาวแล้วมีความเจ็บปวดเกิดขึ้นมากมาย
ในฝันเหมยเหมยท้องลูกของเขา เขาดีใจมาก เหมยเหมยก็ดีใจมากเช่นกัน แต่เรื่องราวในฝันนั้นวุ่นวายมาก จู่ ๆก็ปรากฏภาพที่เหมยเหมยตกตึกเพราะมีคนผลักตกลงไป แต่เขามองเห็นหน้าคนคนนั้นไม่ชัด แต่จำได้ว่าเป็นมือขาวเรียวยาวคู่นั้นใส่กำไลหยกสีมรกต น่าจะเป็นผู้หญิง
เหมยเหมยถูกผลักตกบันได เสียชีวิตทั้งแม่และเด็กในท้อง
เหมยซูหานรู้สึกเจ็บปวดจนต้องงอตัว แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ความฝันแต่เขากลับสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของเหมยเหมยในฝัน เจ็บปวดยิ่งกว่าการถูกห้าม้าแยกร่างเสียอีก
แล้วก็ลูกของเขา….ก็หายไปเสียอย่างนั้น
ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกันนะ?
ทำไมต้องทำร้ายเหมยเหมยด้วย?
ร่างของเหมยซูหานถูกความมืดปกคลุม แววตาของเขาแสดงให้เห็นถึงความโกรธแค้น
หวังว่าครั้งหน้าถ้าฝันอีกเขาจะฝันเห็นหน้าฆาตกรคนนั้น เขาจะแก้แค้นให้กับเหมยเหมย ให้ผู้หญิงคนนั้นได้รับความเจ็บปวดยิ่งกว่าเหมยเหมยหลายร้อยเท่า เขามีความรู้สึกได้ว่าเขาจะต้องรู้จักผู้หญิงคนนี้แน่ ๆ
เหมยซูหานจุดบุหรี่ขึ้นมาอีกมวน ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกดีใจ เขาแอบคาดเดาว่าที่เหมยเหมยนิสัยเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้สาเหตุเพราะเธอก็ฝันเหมือนกับเขาหรือเปล่า
ชีวิตของเขาก็ถูกเปลี่ยนแปลงไปหมดเหมือนกับเขาเพราะความฝัน แม้แต่นิสัยก็ยังเปลี่ยนไปมาก สถานการณ์ของเหมยเหมยคล้ายคลึงเขามาก ชีวิตของเหมยเหมยอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงมากกว่าเขาด้วยซ้ำ
ถ้าหากว่าเหมยเหมยฝันเช่นนี้จริง ๆก็จะสามารถอธิบายได้ว่า ทำไมเธอถึงเกลียดชังเขา
เขาเชื่อว่าสิ่งที่เหมยเหมยฝันเห็นน่าจะเหมือนกันกับเขา เหมยเหมยฝันเห็นว่าถูกคนทำร้ายจนตาย แล้วอาจจะฝันเห็นหน้าฆาตกร นิสัยเธอจึงได้เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน
เหมยซูหานยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าการคาดเดาของเขาน่าจะถูกต้อง ถ้าไม่ใช่เพราะว่าดึกแล้ว เขาอยากจะออกไปหาเหมยเหมยตอนนี้เลยด้วยซ้ำ อยากจะถามเธอว่าได้ฝันเห็นถึงเรื่องราวในชาติที่แล้วไหม ยังจำได้ไหมว่าเขาเป็นคนรักของเธอในชาติที่แล้วอยู่ไหม
ในค่ำคืนนี้คนที่นอนไม่หลับเหมือนเหมยซูหานยังมีอีกหลายคน อู่เยวี่ยเธอก็นอนไม่หลับเช่นกัน เป็นเพราะดูรายการทีวีของเหมยเหมยจึงทำให้ความอิจฉาริษยาบังตาของเธอเหมือนกับยาพิษที่แผ่ซ่าน
จ้าวเหมย ไม่ใช่เพราะเธอเป็นลูกสาวคนมีอำนาจของเมืองจินหรอกหรือ เธอจึงสามารถออกหนังสือและออกรายการทีวีได้
ขอเพียงแค่เธอได้แต่งงานกับหานป๋อหยวน ด้วยความสามารถของอู่เยวี่ยเธอจะต้องโดดเด่นมากกว่ายัยโง่จ้าวเหมยหลายร้อยเท่า
พรุ่งนี้เธอจะไปหาหานป๋อหยวนให้เขาพูดกับพ่ออีกครั้ง ได้ยินว่าช่วงนี้บริษัทกำลังลงทุนทำหนังจีนโบราณเรื่องหนึ่ง ถ้าเธอได้แสดงเป็นนางเอกหรือไม่ก็นางรอง เธอจะต้องโดดเด่นกว่าจ้าวเหมยแน่ ๆ
ตอนที่ 1258 ตามหลอกหลอนไม่เลิก
สองวันนี้หลังจากเลิกเรียน กลุ่มเพื่อนของเหมยเหมยก็มีคนเพิ่มมาสองคน——เฉินเจียกับลี่เมิ่งเฉิน
วันหยุดของเฉินเจียยังเหลืออยู่อีกไม่กี่วัน เขาบอกว่าเขาอยากลิ้มลองรสชาติอาหารของเมืองจิน พวกเหมยเหมยก็ทำได้เพียงให้เจ้ากวางโง่ตัวนี้สมความปรารถนา ช่วงกลางวันเซียวเซ่อกับสยงมู่มู่จะพาไปเที่ยว กลางคืนพวกเขาเจอหน้ากัน เป็นการใช้ชีวิตที่สนุกสนานมากเลยทีเดียว
พวกเขามีความสุขกันมาก เพราะว่าเจ้าโง่กวางน้อยเป็นคนที่ตลกมากจริง ๆ
“กลางคืนพวกเราไปกินเนื้อเสียบไม้กันเถอะ วันนี้ให้ฉันเป็นคนเลี้ยงบ้างนะ พรุ่งนี้ฉันต้องกลับแล้ว ฉันอยากขอบคุณพวกเธอที่ให้การต้อนรับฉันเป็นอย่างดี พวกเธออย่าปฏิเสธเลยนะมื้อนี้ฉันจะต้องเป็นคนเลี้ยงเอง แม่ฉันสอนไว้ว่าจะให้คนอื่นมาเลี้ยงเราตลอดไม่ได้ ไม่เช่นนั้นคนอื่นเขาจะดูถูกเราได้…
อีกหน่อยพวกเธอมาเที่ยวที่ฮ่องกง พอถึงตอนนั้นเดี๋ยวฉันเลี้ยงข้าวพวกเธอเอง รสชาติก็ไม่เลวเหมือนกัน ใช่แล้ว พี่สยง ปีหน้าฉันจะไปเข้าร่วมการแข่งขันที่ประเทศอังกฤษ พี่ต้องมาดูฉันแข่งนะ แต่ว่าไม่ต้องเลี้ยงฉันหรอกเพราะที่อังกฤษไม่มีอาหารรสเลิศอะไร มีแต่อาหารที่น่ากลัว ฉันต้มบะหมี่กินเองยังจะดีกว่า…”
…
พออยู่ด้วยกันหลายวัน ทุกคนเริ่มชินกับการพูดมากของเจ้ากวางโง่ตัวนี้ ไม่มีใครสนใจเขาปล่อยให้เขานั่งพูดอยู่คนเดียว
ถึงอย่างไรเสียพอเขาพูดจนน้ำลายแห้ง หมอนี่เขาก็จะเงียบไปเอง
“โอ้ย…คอแห้งจังเลย ฉันไปซื้อโค้กหน่อยนะ พวกเธอจะดื่มอะไรไหม”
ไม่ได้รอฟังคำตอบจากทุกคน เฉินเจียก็รีบวิ่งไปซื้อโค้กที่ร้านค้าด้านข้าง ซื้อมาหลายขวดเสียด้วย
“มาดื่มด้วยกันนะ โค้กอร่อยมาก ปกติโค้ชไม่ยอมให้ผมดื่มเยอะ ตอนนี้โค้ชไม่อยู่ ผมจะดื่มเยอะ ๆหน่อย พรุ่งนี้กลับไปก็ไม่ได้ดื่มแล้ว…อร่อยจัง…”
ขอบคุณโค้ก!
ตาหมอนี่หยุดพูดได้เสียที
กลางคืนพวกเขาก็ไม่ได้ไปกินเนื้อเสียบไม้กันแต่ไปกินร้านเนื้อย่างมองโกล เนื้อวัวเนื้อแพะของที่นั่นสดมาก รสชาติก็ดีมากเช่นกัน เหมยเหมยไม่ได้ให้เฉินเจียเลี้ยง หล่อนบอกเพียงแค่ว่ารอไปที่ฮ่องกงแล้วค่อยให้เขาเลี้ยง
ในบรรดาแขกรับเชิญทั้งหกคนเฉินเจียอายุน้อยที่สุด ไร้เดียงสาที่สุด แน่นอนว่าเงินก็น้อยที่สุดเช่นกัน
มีแต่เงินเบี้ยเลี้ยงจากการเป็นนักกีฬา เพราะว่าเขาอายุยังน้อยจึงไม่เคยเข้าร่วมการแข่งขันระดับชาติ เงินรางวัลจึงไม่ได้มากมายอะไร ถึงแม้ว่าจะมากกว่าพนักงานประจำทั่วไป แต่แน่นอนว่าก็ไม่สามารถเทียบกับพวกเหมยเหมยได้
“รอปีหน้าผมไปแข่งที่ประเทศอังกฤษ ถ้าได้รางวัลกลับมาผมก็จะได้เงินรางวัลไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนหยวน ปีหน้าผมมีการแข่งขันหกรายการ ถ้าโชคดีได้รางวัลทุกรายการล่ะก็ ฮ่า ๆ เราก็จะได้ย้ายไปอยู่บ้านที่หลังใหญ่ขึ้นสักที!”
เฉินเจียคิดถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับก็มีความสุขจนปล่อยเสียงหัวเราะออกมา คนอื่นเห็นก็พลอยมีความสุขตามไปด้วยเช่นกัน
เหมยเหมยเคยได้ยินเฉินเจียเล่าว่าพ่อแม่ของเขาเป็นครูมัธยมในฮ่องกง เงินเดือนไม่ได้สูงมาก ดังนั้นบ้านของพวกเขาก็ไม่ได้ใหญ่มาก ก็ประมาณ70-80ตารางเมตร แล้วก็ตั้งอยู่ในเขตที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
แน่นอนว่าที่ดินของฮ่องกงราคาสูงมาก สามารถมีบ้าน 70-80 ตารางเมตรได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว บางคนแค่ที่เท่าพอจะฝังศพของตัวเองได้ยังไม่มีเลย!
พวกเขาปิ้งเนื้อพูดคุยเฮฮาสนุกสนาน ส่วนมันของเนื้อกระทบลงบนเตาถ่านส่งเสียงซู่ซู่ เกิดเปลวไฟสีฟ้าลุกโชนขึ้นมา กลิ่นหอมของเนื้อลอยเตะจมูกเป็นระยะ ๆทำเอาน้ำลายสอได้เลยจริง ๆ
เหมยซูหานพาเฮ่อเหลียนเช่อมากินเนื้อย่าง เฮ่อเหลียนเช่อเป็นสัตว์กินเนื้อ ในวันหนึ่งถ้าเขาไม่ได้กินเนื้อก็จะรู้สึกอึดอัด
เพราะเมื่อไม่กี่วันก่อนไม่ได้อยู่กับเขาเฮ่อเหลียนเช่อเลยอารมณ์ไม่ดี เหมยซูหานต้องการจะทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นจึงพามากินเนื้อย่าง แต่ใครจะคิดล่ะว่าจะเจอกับพวกเหมยเหมยเข้า
เฮ่อเหลียนเชื่ออารมณ์เสียยิ่งกว่าเดิม แค่จะมากินเนื้อย่างก็ต้องมาเจอจ้าวเหมย ยัยนี่ตามหลอกหลอนไม่เลิกแฮะ
“อาเช่อ ฉันมีธุระจะถามจ้าวเหมย นายรอฉันเดี๋ยวเดียวนะ เดี๋ยวฉันรีบกลับมา” เหมยซูหานไม่มีเวลามาสนใจว่าเฮ่อเหลียนเช่อจะโกรธไหม เขาจะต้องไปถามให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปเลย
………………………………
ตอนที่ 1259 หยั่งเชิง
เฮ่อเหลียนเช่อจากเดิมที่อารมณ์ดีเพราะได้มากินเนื้อย่างกับเหมยซูหานบัดนี้ได้ถูกทำลายจนหมดสิ้น สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในทันทีราวกับจะมีพายุเข้า
เหมยซูหานพูดจาให้เขาอารมณ์เย็นลง สามปีมานี้เขาได้เรียนรู้จุดอ่อนต่าง ๆของเฮ่อเหลียนเช่อ เขารู้ว่าจะต้องพูดอย่างไรจึงจะสามารถทำให้หมอนี่อารมณ์เย็นลงได้
“ฉันมีธุระสำคัญจะถามจ้าวเหมยจริง ๆ นายเห็นไหม…ฉันไม่ได้แอบหนีไปหาเขา ฉันก็ถามเขาต่อหน้านายนี่ไง นายยังจะมีอะไรไม่สบายใจอีก”
อารมณ์ของเฮ่อเหลียนเช่อเริ่มเย็นลง ก็ใช่ พูดมันต่อหน้าเขายังจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นได้อีก
แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่พอใจอยู่ดี “นายมีเรื่องสำคัญอะไรจะถามเขา? มีความลับปิดบังฉันเหรอ?”
เหมยซูหานถอนหายใจเบา ๆ แล้วเอาใจพูดดี ๆกับเขาว่า “คืนนี้ฉันจะค้างที่โรงแรม เดี๋ยวเล่าเรื่องทั้งหมดให้นายฟัง โอเคไหม”
เฮ่อเหลียนเช่อค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย อารมณ์ดีขึ้นมาทันที เริ่มมีรอยยิ้มขึ้นมาบ้าง
“เรียกจ้าวเหมยมาตรงนี้สิ นายก็แค่ถามเขาไป ถ้าเขาไม่ตอบมาดี ๆ เดี๋ยวฉันจัดการเขาเอง!” เฮ่อเหลียนเช่อพูดด้วยน้ำเสียงถากถาง
เหมยซูหานหว่างคิ้วเต้นตึกตัก ต้องพูดจาดี ๆกับตาหมอนี่ถึงจะทำให้เขารับปากว่าจะไม่ลงไม้ลงมือได้
เหมยเหมยกินไปไม่กี่ชิ้นก็อิ่มแล้ว ถึงแม้ว่าเนื้อย่างจะรสชาติดีแต่เลี่ยนมาก เธอกินเยอะไม่ได้ไม่งั้นจะรู้สึกทรมานกระเพาะ
คนอื่นยังกินไม่เต็มอิ่ม เหมยเหมยนั่งย่างเนื้อแทนพวกเขาพลิกเนื้อบนเตาย่างไม่ขาด พร้อมทั้งฟังสยงมู่มู่กับอู่เชาแกล้งเจ้ากวางโง่สนุกสนานมากเสียจริง
ลี่เมิ่งเฉินที่กำลังจดจ่อกับการกินเนื้อก็เงยหน้าขึ้นมา เห็นเหมยซูหานกำลังเดินมาที่โต๊ะของพวกเขา ลี่เมิ่งเฉินก็เลยพูดกับเหมยเหมยว่า “มีคนมาหาน่ะ”
เหมยเหมยนั่งหันหลังให้กับพวกเหมยซูหาน ได้ยินเรื่องที่ไม่ดีมา พอเห็นเหมยซูหานก็อดที่จะมุ่นคิ้วไม่ได้
พอมองไปเห็นเฮ่อเหลียนเช่อที่นั่งอยู่อีกโต๊ะ เหมยเหมยก็เริ่มรู้สึกอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา
“เหมยเหมย ฉันมีอะไรอยากจะถามเธอหน่อย เธอไปโต๊ะนั้นหน่อยได้ไหม” เหมยซูหานร้องขอด้วยท่าทีอ่อนน้อม
“เรื่องอะไร พูดตรงนี้ไม่ได้เหรอ” เหมยเหมยเหลือบไปมองเฮ่อเหลียนเช่อที่หัวเราะใส่เธอ เธอไม่อยากจะไปตรงนั้นเลยด้วยซ้ำ
สมองเธอไม่ได้มีปัญหาเสียหน่อย ทำไมเธอต้องไปนั่งร่วมโต๊ะกับตาเฮ่อเหลียนเช่อนั่นด้วย
เหมยซูหานมองตามสายตาของเหมยเหมย เห็นเฮ่อเหลียนเช่อที่หุบยิ้มไม่ทันพอดีก็เลยส่งสายตาดุไปให้เขา เฮ่อเหลียนเช่อก็เลยต้องหุบยิ้มแล้วนั่งกินเนื้อต่อไปตามระเบียบ
“ไม่เป็นไรนะ อาเช่อไม่กล้าทำอะไรเธอหรอก ตรงนี้คนเยอะเกินไป” เหมยซูหานร้องขอ
เหมยเหมยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาคิดไม่ถึงว่าเฮ่อเหลียนเช่อจะเชื่อฟังเหมยซูหานขนาดนี้ ดูแล้วสงสัยสามปีมานี้เหมยซูหานจะสั่งสอนเฮ่อเหลียนเช่อมาได้ไม่เลวเลยทีเดียว
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหมยซูหานมาหาเธอเพราะเรื่องอะไร เหมยเหมยลองคิดดูดี ๆแล้วก็ตอบตกลง เธอบอกกับพวกสยงมู่มู่แล้วก็เดินตามเหมยซูหานไปที่โต๊ะของพวกเขา
“พี่สยง ผู้ชายคนนนั้นเป็นใครเหรอ ดูแล้วน่ากลัวจัง” เฉินเจียถามขึ้นด้วยเสียงอันเบา สีหน้าแสดงถึงความกังวลใจ
“ไม่มีอะไรหรอก กินต่อเถอะ”
สยงมู่มู่คีบเนื้ออุดปากไม่ให้เฉินเจียพูดอะไรต่อ ตอนนี้เฉินเจียจำเป็นต้องเงียบไว้
ลี่เมิ่งเฉินพูดแทรกขึ้นมาว่า “ไม่เป็นไรหรอก เฮ่อเหลียนเช่อไม่ทำอะไรจ้าวเหมยแน่ เมืองจินไม่ใช่ถิ่นของเขา”
สยงมู่มู่ใจสั่นเล็กน้อย ลี่เมิ่งเฉินรู้จักเฮ่อเหลียนเช่อด้วยงั้นเหรอ?
เขาเป็นใครมาจากไหนกันแน่?
เซียวเซ่อก็เงยหน้าขึ้นจ้องลี่เมิ่งเฉิน แล้วถามขึ้นว่า “นายเป็นคนจากบ้านตระกูลลี่ใช่ไหม”
สีหน้าของลี่เมิ่งเฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อยแต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว เขาไม่ได้ตอบอะไรเซียวเซ่อแค่ก้มหน้ากินเนื้อต่อไป
สยงมู่มู่อยากจะถามต่อ แต่เซียวเซ่อส่ายหัวเบา ๆให้เขา บรรยากาศรอบตัวเงียบลงมาในทันที
เหมยเหมยนั่งลงตรงข้ามเฮ่อเหลียนเช่อ เธอไม่ได้คิดจะสนใจตาโรคจิตนี่ เหมยซูหานคีบเนื้อที่ย่างสุกแล้วให้เธอ แต่เธอก็ไม่กิน เธอเร่งให้เขารีบ ๆถามมา
เหมยซูหานถอนหายใจเบา ๆกัดฟันเล็กน้อย แล้วพูดด้วยประโยคอันแสนประหลาดขึ้นว่า “เหมยเหมย เธอคิดว่าบ้านบนตึกชั้นสูงที่สุดเป็นยังไง ชั้น 33 โอเคไหม?”
ตอนที่ 1260 เกิดใหม่เหมือนกันเหรอ
เฮ่อเหลียนเช่อเลิกคิ้วเบา ๆ เหมยซูหานทำไมถึงถามคำถามแบบนี้ ถ้าจะซื้อบ้านก็ต้องถามเขาสิ จะไปถามจ้าวเหมยทำไมหรือว่าเขาอยากจะไปอยู่กับจ้าวเหมย?
ความหึงหวงทะลักออกมาในทันที เฮ่อเหลียนเช่อมองไปที่จ้าวเหมยด้วยความขุ่นเคือง ถ้าไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้เขาสัญญากับเหมยซูหานไว้แล้ว เขาต้องจัดการกับเธอแน่
เหมยซูหานไม่มีเวลามาสนใจอารมณ์ของคนที่นั่งข้าง ๆ พอเขาถามเสร็จ เขาก็จ้องไปที่เหมยเหมยแบบตาไม่กะพริบ เขาเห็นว่าภายใต้หน้าอันนิ่งสงบของเธอ เธอดูเหมือนจะแอบหลุดชั่วครู่ แววตาดูประหลาดใจทำให้เขารู้สึกโล่งใจลงไม่น้อย
เป็นแบบที่เขาคิดไว้จริง ๆด้วย เหมยเหมยน่าจะฝันเห็นเหมือนเขา
เหมยเหมยรีบปกปิดความรู้สึกของตัวเองอย่างรวดเร็ว หลุบตาลงต่ำมองเนื้อย่างในจาน แล้วพูดขึ้นมาด้วยเสียงเรียบนิ่งว่า “นายจะซื้อบ้านมาถามฉันทำไม ควรถามคนที่นายจะอยู่ด้วยสิ”
เธอต้องใช้สมาธิอย่างมากเพื่อกลบเกลื่อนอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ ตึกชั้น 33 งั้นหรือ
นั่นเป็นที่ฝังศพของเธอเอง!
เหมยซูหานทำไมต้องมาถามคำถามนี้กับเธอด้วย?
หรือว่าเขาไปรู้อะไรมา?
จู่ ๆเธอก็คิดถึงข้อสงสัยต่าง ๆในอดีต เหมยซูหานรู้ว่าเธอชอบกินอะไร อย่างเช่น ลูกอมรสนมถั่ว บัวลอยไส้งาดำ แล้วก็ข้าวปั้น
ลูกอมรสนมถั่วกับบัวลอยไส้งาดำยังไม่เท่าไรเพราะยังไงก็เป็นของกินเล่นที่พบเห็นได้ทั่วไป อาจจะเป็นความบังเอิญก็ได้ แต่ข้าวปั้นไม่ใช่ของกินเล่นของเมืองจิน ในชาติที่แล้วเธอกินครั้งแรกหลังจากตอนแต่งงานแล้ว เมื่อ 5 ปีที่แล้วทำไมเหมยซูหานถึงพูดว่าเธอชอบกินข้าวปั้นได้ล่ะ?
แล้วในชาตินี้เหมยซูหานทำมาค้าขายรุ่งเรือง ในชาติที่แล้วช่วงเวลานี้เหมยซูหานเป็นนักเรียนผู้ยากไร้ที่แม้แต่จะกินข้าวก็ยังต้องคิดแล้วคิดอีก ผ่านไปถึง 7-8 ปีชีวิตของเหมยซูหานถึงจะเริ่มดีขึ้น
หรือว่า…
เหมยเหมยมีความคิดบางอย่างแล่นผ่านขึ้นมากะทันหัน เธอด่าความโง่เง่าของตัวเอง ทั้ง ๆที่ในชาตินี้เหมยซูหานมีจุดที่น่าสงสัยมากมายเต็มไปหมดแต่เธอกลับไม่เคยคิดที่จะสงสัยมันเลย
ในเมื่อเธอสามารถกลับมาเกิดใหม่ได้ คนอื่นก็สามารถกลับมาเกิดใหม่ได้เหมือนกัน เหมยซูหานเป็นไปได้มากที่จะเป็นอย่างนั้น
เขาถามเธอเรื่องดาดฟ้าชั้น 33 หรือว่าเขาจะรู้เรื่องที่เขากลับมาเกิดใหม่แล้วเหรอ?
เหมยซูหานเริ่มมั่นใจแล้วว่าเหมยเหมยฝันเห็นเหมือนเขาแน่ เขาก็จะไม่พูดถึงเรื่องตึกชั้น 33 มาทำให้เธอไม่สบายใจอีก เขาหัวเราะเบาๆแล้วพูดว่า “เหมยเหมยพูดถูก ต้องถามคนที่จะอยู่ด้วยสิเนอะ”
เขาเริ่มใจเย็นลง เขาเห็นเหมยเหมยยังคงทำท่าทีสงบนิ่ง ในใจเขากลับรู้สึกเจ็บปวดมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ดูจากทรงแล้วเหมยเหมยคงจะเกลียดเขามากจริง ๆ!
“เหมยเหมย…เธอ…เธอเกลียดฉันมากเลยใช่ไหม” เหมยซูหานอดไม่ได้ที่จะถามออกไป
เหมยเหมยฟังแล้วก็รู้สึกประหลาดใจ วันนี้ทำไมเหมยซูหานทำตัวแปลก ๆ เธอเงยหน้าขึ้นมองเหมยซูหาน พอเห็นเขากำลังยิ้มด้วยความโศกเศร้าในใจก็อดรู้สึกหวั่นไหวไม่ได้
ถ้าหากว่าเหมยซูหานกลับมาเกิดใหม่จริง ๆ ถ้าอย่างนั้นก็จะสามารถอธิบายได้แล้วว่าทำไมเขาถึงดีกับเธอขนาดนี้ คิดไปแล้วคงน่าจะเป็นเพราะว่าเขารู้สึกผิดแน่เลย
เพราะว่าการตายของเธอในชาติที่แล้ว ถึงแม้ว่าเหมยซูหานจะไม่ใช่ฆาตกรแต่ก็ถือว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดอยู่ดี
เหมยเหมยส่ายหัวเบา ๆ พูดอย่างเฉยชาว่า “พวกเราไม่ได้เป็นเพื่อนกันด้วยซ้ำคงไม่ถึงขั้นเกลียดหรอก แต่นายชอบเอาเรื่องวุ่นวายมาให้ฉันอยู่เรื่อย หวังว่าอีกหน่อยนายจะอยู่ห่าง ๆฉันหน่อย เราสองคนไม่ต้องเกี่ยวข้องกันเลยมันจะดีต่อเราทั้งคู่มากกว่า”
ไม่ว่าจะเป็นในชาติที่แล้วหรือในชาตินี้ เหมยซูหานมักจะนำเรื่องวุ่นวายมาให้เธออยู่เสมอ จนกระทั่งอันตรายถึงชีวิต
ชาติที่แล้วอู่เยวี่ย
ชาตินี้เฮ่อเหลียนเช่อ
เหมยเหมยไม่ได้พูดอะไรอีกเธอลุกขึ้นแล้วก็เดินกลับไป หวังว่าเหมยซูหานจะเห็นแก่ที่เขาเป็นเหตุให้เธอต้องตายในชาติที่แล้วแล้วเลิกตอแยเธอเสียที
เหมยซูหานฝืนยิ้มพลางส่ายหัว เหมยเหมยเกลียดเขาจริง ๆด้วย
น่าจะเกี่ยวข้องกับการตายของเธอแน่ ๆ เขาจะต้องสืบเรื่องนี้ให้รู้เรื่องให้ได้
เหมยเหมยเดินกลับไปที่โต๊ะของเธอ ลี่เมิ่งเฉินมองไปที่เธอ แล้วก็มองไปที่โต๊ะของเฮ่อเหลียนเช่อ แววตาของเขาปรากฏความสนใจขึ้นมาแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรก้มหน้าก้มตากินเนื้อต่อไป
ครั้งนี้ที่เฮ่อเหลียนเช่อมาเมืองจินต้องเป็นเพราะยาวิเศษที่อยู่ในตัวของจ้าวเหมยแน่ คงจะมีเรื่องสนุกให้ได้ดูกันอีกสินะ
………………………………………..
ตอนที่ 1261 แลกเปลี่ยนกัน
เหมยซูหานและเฮ่อเหลียนเช่อทานข้าวเสร็จก็พากันกลับโรงแรม เฮ่อเหลียนเช่อไม่ได้รบเร้า เป็นฝ่ายรอให้เขาสารภาพก่อน
“อาเช่อ นายรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงได้ยอมที่จะอยู่กับนาย?” เหมยซูหานถอนหายใจเฮือก
เฮ่อเหลียนเช่อยักคิ้ว พร้อมตอบอย่างมั่นใจ “เพราะฉันมีอิทธิพลมากพอ นายเลยชอบฉัน”
เหมยซูหานพ่นขำ “เพราะว่าฉันฝันถึงอดีตชาติของเราสองคนต่างหาก เมื่อชาติก่อนเราสองคนก็อยู่ด้วยกัน หนำซ้ำยังมีความสุขมาก…”
เขาได้นำเอาความฝันที่ขาด ๆ หาย ๆเหล่านั้นเล่าออกไปคร่าว ๆ เฮ่อเหลียนเช่อมีท่าทีตกใจก่อนจะกลับดีอกดีใจอย่างรวดเร็ว นั่นหมายถึงชะตาฟ้าลิขิตให้เขาและเหมยซูหานต้องอยู่คู่กัน
เพียงแต่เขากลับไม่พอใจนัก เหตุใดเหมยซูหานถึงแต่งงานกับจ้าวเหมยได้?
ทั้งยังมีลูกด้วยกันอีก ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย!
ต้องเป็นเหมยเหมยที่ยั่วยวนเหมยซูหานแน่ รนหาที่ตาย!
เหมยซูหานกลับไม่รับรู้ความคิดในใจของเฮ่อเหลียนเช่อ เขาจึงพูดต่อไปว่า “อาเช่อ ฉันแค่อยากรู้ว่าใครเป็นคนทำให้จ้าวเหมยตาย ถึงอย่างไรการตายของจ้าวเหมย ฉันก็มีส่วนเอี่ยวที่ไม่อาจหลีกหนีพ้นได้”
เดิมเฮ่อเหลียนเช่ออยากจะพูดมากว่า จ้าวเหมยตายก็ยิ่งดี ในความฝันพวกเขาได้พบกันหลังจากที่จ้าวเหมยตายไป ในจุดนี้จึงทำให้เขาไม่สบอารมณ์นัก
มีสิทธิ์อะไรถึงได้จัดให้เขามาทีหลังจ้าวเหมย?
แต่ตอนนี้เฮ่อเหลียนเช่อก็เริ่มที่จะฉลาด เลือกที่จะไม่แสดงความคิดเห็นที่แท้จริงออกไป อีกทั้งยังได้แสดงออกเหมือนว่าจะช่วยเขาตามหาคนร้ายตัวจริง เหมยซูหานจึงรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง ทั้งคู่ข้ามผ่านค่ำคืนที่แสนอบอุ่นไปด้วยกัน ความรู้สึกยิ่งลึกซึ้งมากขึ้น
ส่วนที่เขาบอกว่าจะตามหาคนร้ายนั้น เฮ่อเหลียนเช่อพูดไปเดี๋ยวก็ลืม ต่อให้จ้าวเหมยตายตรงหน้า เขาก็ไม่มีทางจะเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องไร้สาระนั่น จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะช่วยตามหาคนร้ายที่ฆ่าเธอ!
เหมยซูหานมีหรือที่จะรู้ว่าเฮ่อเหลียนเช่อนั้นหน้าไว้หลังหลอก เขาเข้าใจเพียงว่าเฮ่อเหลียนเช่อรู้ว่าตนเกิดความละอายใจ จึงมีความคิดอยากจะชดเชยให้กับจ้าวเหมย และคงจะไม่คิดเจาะจงทำร้ายจ้าวเหมยอีก
แต่เขากลับนึกไม่ถึงว่าคนอย่างเฮ่อเหลียนเช่อ จะเอาความคิดคนธรรมดามาเปรียบเทียบได้อย่างไรเล่า
เกรงว่านับต่อแต่นี้ไป เฮ่อเหลียนเช่อจะคิดร้ายต่อจ้าวเหมยยิ่งกว่าเดิมอีก!
วันรุ่งขึ้น เฉินเจียต้องไปจากเมืองจินด้วยน้ำตาไหลพราก เหมยเหมยเห็นเช่นนั้นก็พลอยน้ำตาซึมปด้วย คัดจมูกอยู่เนืองๆ เพียงแต่…
“ไก่ยัดไส้ห่อใบบัว…หมูพะโล้ ซาลาเปาไข่ปู และยังมีขนมดอกเหมย จะไม่ได้เจอพวกเธออีกแล้ว ฮือๆ ฉันจะคิดถึงพวกเธอนะ…
พี่สยง เจ้าอ้วน เหมยเหมย…คราวหน้าพวกเธอต้องส่งของอร่อยๆ มาให้ฉันเยอะๆ นะ…อย่าลืมเด็ดขาดล่ะ!”
เจ้าเด็กนี่เอาแต่อาลัยอาวรณ์ต่อของกินไม่เลิก ร้องห่มร้องไห้ยกใหญ่ จนเหมยเหมยทำสีหน้าไม่ถูก ความเสียใจที่ต้องจากลากันกลับถูกขับไล่จนมลายสิ้น
เร่งให้เฉินเจียขึ้นเครื่องบิน ครู่เดียวโลกใบนี้ก็สงบลงไม่น้อย ไม่กี่วันก่อนชินชาต่อเสียงเจื้อยแจ้วของเจ้ากวางโง่นั่นแล้ว แต่บัดนี้กลับไม่ได้ยินมันอีกจึงรู้สึกหวิว ๆชอบกลและให้ความรู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
ลี่เมิ่งเฉินกลับอยู่ที่เมืองจินต่อ บ่อยครั้งที่มักจะมาวนเวียนอยู่ต่อหน้าเหมยเหมย ซึ่งไม่รู้ว่าเป้าหมายของเขาคืออะไร หรืออาจเพราะแค่ต้องการจะมาข่มเธอเท่านั้น
“นายไม่กลับบ้านหรือไง?” เหมยเหมยเอ่ยถามด้วยความรำคาญ
“ธุระยังจัดการไม่เสร็จเลยกลับไม่ได้” ลี่เมิ่งเฉินพูดขึ้น
ความรู้สึกบอกกับเธอว่าสิ่งที่ลี่เมิ่งเฉินพูดอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเธอ
เหมยเหมยปิดปากเงียบสนิท โดยไม่แม้จะโต้ตอบคำพูดของลี่เมิ่งเฉิน
ลี่เมิ่งเฉินเองก็ไม่ได้ต้องการให้เธอโต้ตอบ ทว่ากลับพูดขึ้น “จ้าวเหมย พวกเรามาแลกเปลี่ยนบางอย่างกันไหม?”
“แลกเปลี่ยนอะไร?” เหมยเหมยถาม
“ฉันบอกความลับอะไรเธออย่างหนึ่ง เธอเอายาวิเศษมาให้ฉัน เป็นไง?”
สีหน้าท่าทางเหมยเหมยเปลี่ยนไปมาก แววตาวูบไหวอย่างปิดไม่มิด ทำไมเจ้าเด็กนี้ถึงรู้ได้ว่าเธอมียาวิเศษ? เขาต้องการจะทำอะไร?
อันที่จริงลี่เมิ่งเฉินไม่ชอบใจต่อสมองโง่เง่าของเหมยเหมยเลย ตอนนี้ดูท่าคงไม่มีความสามารถเก็บอารมณ์ไว้ได้เลย นอกเสียจากใบหน้า สำหรับตัวเขาแล้วแทบจะไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง
เหตุใดเหยียนหมิงซุ่นถึงได้ชอบพอผู้หญิงซื่อบื่ออย่างจ้าวเหมยได้นะ?
ตอนที่ 1262 ดูออกแต่ไม่พูด
เหมยเหมยมองเห็นสายตาของลี่เมิ่งเฉินที่ฉายแววดูถูกเหยียดหยามไว้อย่างชัดเจน จึงอดไม่ได้ที่จะโมโห
แม้ว่าเธอจะไม่ได้ไอคิวสูงเหมือนไอ้จรวดขี้อวดนี่ แต่เจ้าหมอนี้มีสิทธิ์อะไรมาดูถูกกันแบบนี้?
อย่างแรกคือเธอไม่ได้กินข้าวของเขา อย่างที่สองคือเธอไม่ได้ใช้เงินเขา ต่อให้เธอต้องโง่เป็นหมู เธอก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเจ้าบ้านี่แม้แต่นิดเดียว!
“ลี่เมิ่งเฉิน นายคิดว่าตัวเองเก่งกาจนักหรือไง?” เหมยเหมยกัดฟันกรอดพลางเอ่ยถาม
“ก็พอได้ ถือว่าแกร่งกว่าคนบางคนหน่อย” ลี่เมิ่งเฉินแลมีท่าทีเรียบนิ่ง แสดงท่าทีดูภูมิฐาน
สำหรับเขาแล้ว คนธรรมดาบนโลกใบนี้ที่มีความสามารถเกินมาตรฐานอยู่นั้น แท้จริงมีอยู่น้อยไปหน่อย น้อยจนแทบนับนิ้วได้เลย
และแน่นอน การถ่อมตนคือคุณธรรมอันดีงาม ซึ่งเขามีคุณธรรมเป็นเลิศ
เหมยเหมยรู้สึกขุ่นข้องหมองใจ ไม่ต้องถามก็รับรู้ได้ว่าเจ้าหมอนี่ต้องจัดให้เธออยู่ต่ำกว่าคนธรรมดาทั่วไปแน่
“ในเมื่อนายเก่งกาจขนาดนี้ ทำไมถึงดูไม่ออกเลยล่ะ ตอนนี้ฉันไม่ชอบใจ ต่อให้จักรพรรดิหยก[1]ลงมาขอร้องอ้อนวอนฉันก็จะไม่ไว้หน้า นายคิดว่าตัวเองเทียบกับจักรพรรดิหยกได้หรือไง?”
เห็นสีหน้าอันแน่นิ่งของลี่เมิ่งเฉิน จู่ ๆก็หน้าเสียขึ้นมา เหมยเหมยจึงอารมณ์ดีขึ้นมาในชั่วพริบตา พลางยกยิ้มอย่างได้ใจ พร้อมกับฮัมทำนองเพลงเถียนมี่มี่(หวานปานน้ำผึ้ง) และเดินจากไปอย่างมีความสุข
เธอไม่ได้ฉลาด แต่ของอยู่ในมือเธอ เธอไม่เต็มใจจะยกให้แล้วจะทำไมเหรอ!
นายฉลาดนักไม่ใช่หรือไง ถ้างั้นก็ใช้สมองอันชาญฉลาดของตัวเองคิดหาวิธีเอาเองละกัน!
ลี่เมิ่งเฉินสงบลงอย่างรวดเร็ว พลางส่ายหน้าไปมาให้กับตัวเอง ผู้หญิงจัดเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารำคาญที่สุดในโลก ทำเรื่องใดก็ตามมักจะไม่ใช้สมอง ทำอะไรแค่ตามอำเภอใจเท่านั้น
เมื่ออยู่ในช่วงที่เป็นประจำเดือน ก็มักจะเอาประจำเดือนมาเป็นข้ออ้างปฏิเสธ
พอประจำเดือนหมดก็ไม่คิดจะหาข้ออ้างใดอีก ใช้คำว่า “ไม่ชอบใจ” มาเพื่อตัดบทกันตรง ๆเลย
เป็นผู้หญิงนี่ช่างหัวร้อนเอาแต่ใจเสียจริง!
ลี่เมิ่งเฉินเดินตามไปอย่างติดๆ โดยไม่แม้แต่จะหยุดพูดโน้มน้าวต่อ “เธอคิดดูดีๆ สิ ความลับที่ฉันพูดถึงมันเกี่ยวข้องกับการที่เฮ่อเหลียนเช่อมาเมืองจิน เธอไม่สนใจเรอะ?”
“ไม่สนใจ”
“เฮ่อเหลียนอาจจะทำร้ายเธอได้นะ!”
“เขาคิดจะทำลายฉันมาโดยตลอด ที่นายพูดยังจะนับว่าเป็นความลับอีกเหรอ?” เหมยเหมยปรายตามองอย่างดูแคลน
ลี่เมิ่งเฉินรู้สึกขมขื่น นี่เขาถูกพวกมนุษย์จอมโง่เขลาดูถูกเรื่องความฉลาดงั้นรึ?
“หรือเธอไม่สงสัยเลยว่าเหตุใดเฮ่อเหลียนเช่อถึงคิดจะทำร้ายเธอ?” ลี่เมิ่งเฉินไม่ยอมถอดใจ
“เขาคิดว่าฉันเป็นศัตรูหัวใจของเขา แต่ความจริงแล้วฉันไม่ใช่” เหมยเหมยอธิบายอย่างหนักแน่น
“ก็ถือเป็นอีกหนึ่งเหตุผล เขามาเมืองจินครั้งนี้ยังมีจุดประสงค์อื่นอีก” ลี่เมิ่งเฉินนึกได้ใจ คราวนี้เหมยเหมยคงไม่อาจต่อปากต่อคำกับเขาได้แล้วสินะ
แต่เหมยเหมยกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย การที่เฮ่อเหลียนเช่อต้องการฆ่าเธอนั้นไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเพียงวันสองวัน ลี่เมิ่งเฉินอย่าได้คิดจะเอายาวิเศษของเธอไปได้เชียว
“ต่อให้นายมีความลับยิ่งใหญ่เท่าผืนฟ้า ถึงฉันจะอยากรู้แค่ไหนแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ฉันไม่ได้มียาวิเศษอย่างที่นายต้องการ นายไปหาประโยชน์แลกเปลี่ยนกับคนอื่นเถอะ” เหมยเหมยปฏิเสธเสียงแข็ง
ยาวิเศษเป็นความลับของเธอ เธอไม่มีทางปล่อยให้ใครรู้ได้แน่ ต่อให้คนอื่นจะสงสัยมากแค่ไหน เพียงแค่เธอไม่ยอมรับ ต่อให้คนอื่นสงสัยมากถึงเพียงไหนก็ไม่อาจทำอะไรได้
แน่นอนว่าลี่เมิ่งเฉินไม่เชื่อ เขาคิดวิเคราะห์มาอย่างหนักจนได้บทสรุปออกมาว่าเหมยเหมยมียาวิเศษอยู่ เขาต้องได้ยาวิเศษนี้ครอบครอง
“นายฉลาดนักไม่ใช่หรือไง ทำไมไม่ลองคิดดูล่ะว่าหากในมือฉันมียาวิเศษอยู่จริง ทำไมถึงไม่ช่วยคุณย่าล่ะ” เหมยเหมยนึกถึงเหตุผลที่ดีที่สุดได้
ลี่เมิ่งเฉินยิ้มเหมือนเข้าใจบางอย่างเป็นอย่างดี “เธอกับคุณย่าไม่ลงลอยกัน ไม่แน่เธออาจจะอยากให้หล่อนตายไปเร็ว ๆ มากกว่ามั้ง!”
สีหน้าท่าทีของเหมยเหมยเปลี่ยนไป ทั้งยังจ้องเขาไม่วางตา พร้อมกับตะโกนด่าด้วยความโมโห “นายมันพูดจาไร้สาระ อย่าตามฉันมาอีกนะ…”
รำคาญพวกที่มองคนได้อย่าทะลุปรุโปร่งนี่แหละ!
ดูออกแต่ไม่พูด คิดว่าตัวเองฉลาดนักหรือไง?
ลี่เมิ่งเฉินไม่ได้ตามไปแต่อย่างใด เขาทอดสายตามองหลังของเหมยเหมยที่ค่อยๆ หายลับไปอย่างสนใจ ช่างหลอกยากเสียจริง!
น่าเสียดายที่เวลาของเขามีเหลือไม่มาก ต้องคิดหาวิธีแย่งเอายาวิเศษมาให้ได้ในเร็ววัน หรือไม่งั้นเขาคงต้องไปคุยกับเหยียนหมิงซุ่นตรง ๆแล้วล่ะ!
…………………………………………………..
[1] หรืออาจเรียก ทีกง ซึ่งเป็นบุคคลที่ชาวจีนยกย่องให้เป็นประมุขแห่งฟ้า ที่คอยปกป้องเหล่าเทพทั้งหลายอยู่บนพระราชวังสวรรค์
ตอนที่ 1263 สู้เว้ย วัยรุ่น
เฉินเจียกลับไปได้ไม่กี่วัน เซียวเซ่อเองก็กลับอังกฤษ สยงมู่มู่นั้นยังไม่ได้กลับไป เขาวางแผนที่จะอยู่ในประเทศต่ออีกสองสามเดือน เพราะเขาเกิดแรงบันดาลใจในการเขียนเพลงใหม่ นั่นคือการแสดงสตรีทแดนซ์ของเฉินเจียในรายการวันนั้น
“ฉันอยากจะผสมผสานสไตล์การร้องของต่างชาติเข้ามาด้วย แต่งเพลงวัยรุ่นอย่างที่พวกเราชื่นชอบขึ้นมาสักเพลง ฉันอย่างจะลองดู” สยงมู่มู่มีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม
“สู้เว้ย เซาเหนียน (วัยรุ่น) !”
เหมยเหมยนึกถึงคำพูดที่ใช้ติดปากและเป็นที่นิยมเมื่อชาติก่อนขึ้นมาได้กะทันหัน จึงหลุดปากโพล่งขึ้นมา
สยงมู่มู่ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะลูบแขนตนเองที่ขนลุกชันไปมา ๆ ก่อนจะหันไปมองตาขวางใส่เหมยเหมย “เธอบ้าหรือเปล่า เธอต่างหากที่เซา(วุ่นวาย)!”
“เหอะ!”
เหมยเหมยคร้านจะอธิบาย จึงกรอกตามองบนกลับไปให้
รอให้ผ่านไปอีกสักยี่สิบปี เจ้าเด็กนี่ก็จะเข้าใจคำพูดของเธอ แล้วก็จะต้องตกใจไม่น้อยแน่
สยงมู่มู่ซื้ออาหารจำนวนมากมากักตุนไว้ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเขียนเพลงใหม่ บอกว่าถ้าเพลงใหม่เขียนไม่เสร็จเขาก็จะไม่ออกไปไหน ส่วนเหมยเหมยนั้นต้องเข้าเรียน ไม่มีเวลามาใส่ใจเขานัก
กาลเวลาผ่านพ้นไปเป็นปกติ เมื่อเวลาล่วงเข้าสู่ช่วงเดือนที่สิบเอ็ด อากาศก็เริ่มหนาวขึ้นอย่างฉับพลัน นับวันก็ยิ่งหนาวขึ้นเรื่อย ๆ ใบไม้จากต้นอู๋ถงที่ตั้งตระง่านตามข้างถนน นับวันก็ยิ่งผัดใบจนเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองอร่าม
เมื่อเรียนเสร็จไปได้ครึ่งวัน เหมยเหมยและอู่เซาและเจียงซินเหมยทั้งสามคน เตรียมออกไปร้านอาหารขนาดเล็กที่เปิดใหม่หน้าโรงเรียนเพื่อทานอาหารกลางวัน อาหารในโรงอาหารไม่มีความหลากหลายยังรับได้ แต่ทุกครั้งที่เขาไปซื้อข้าวในโรงอาหารกลับกลายว่าอาหารล้วนเย็นชืดไปหมดแล้ว กินเข้าไปมักรู้สึกไม่สบายอยู่เรื่อย
ถ้าอากาศร้อนก็ยังพอไหว แต่ตอนนี้อากาศเย็นแล้ว กินอาหารที่เย็นชืดเข้าไปแบบนั้นจะทำให้ไม่สบายกระเพาะเอาได้
ไปกินที่ร้านอาหารแม้จะเพิ่มเงินขึ้นมาหน่อย แต่อาหารทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นของร้อนๆ จ่ายเงินเพิ่มหน่อยก็นับว่าคุ้มค่า
“เหมยเหมย มื้อเที่ยงไปกินข้าวที่บ้านลุงสิ”
เดินลงบันไดมาได้ไม่เท่าไหร่ เหมยเหมยก็เจอเหยียนโฮ่วเต๋อ จ้องมองเธอด้วยใบหน้าที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้ม เหมยเหมยขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ เหยียนโฮ่วเต๋อมาตามหาเธอได้อย่างไร?
แต่ก็นับว่าเป็นหนึ่งในสิ่งที่คาดเดาไว้ เมื่อก่อนเหยียนหมิงซุ่นไม่ได้เปิดเผยสถานะ และทุกครั้งที่เขากลับมาก็มักจะถ่อมตัวอยู่เสมอ โดยไม่แม้แต่จะพูดเอ่ยถึงเรื่องในกองเลย แม้แต่คุณตาเหยียนและคุณยายโม่เขาก็ไม่บอกให้รู้
ไม่ว่าจะเป็นคนในตระกูลเหยียนหรือจะเป็นคนในตระกูลโม่ต่างก็คิดว่าเหยียนหมิงซุ่นนั้นเป็นเพียงทหารชั้นผู้น้อยในค่ายก็เท่านั้น ซึ่งแน่นอนสำหรับทหารธรรมดา เป็นทหารมาสามปีก็ยังคงเป็นแค่ทหารธรรมดา ซึ่งนับเป็นเรื่องปกติ
กางปีกโผบินขึ้นฟ้า[1]ต่างหากที่ดูจะไม่ปกติ!
แต่ตอนนี้เหยียนหมิงซุ่นนั้นมีสถานะเป็นถึงบุตรบุญธรรมของเฮ่อเหลียนชิงและยังได้เปิดเผยไปทั่วทั้งเมืองหลวง กระทั่งยังเป็นพิธีการที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งไม่ช้าไม่นานข่าวคราวนี้ก็จะแพร่กระจายมาจนถึงเมืองจิน
แต่เธอนั้นคาดไม่ถึงว่าเหยียนโฮ่วเต๋อจะรู้เข้าเสียแล้ว
“ขอบคุณค่ะลุงเหยียน หนูจะออกไปทานข้าวกับเพื่อน ๆค่ะ ไม่รบกวนบ้านคุณลุงดีกว่า” เหมยเหมยปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม
มีหรือที่เหยียนโฮ่วเต๋อจะยอมปล่อยไปง่าย ๆ วันนี้ไม่ง่ายเลยกว่าที่เขาจะพูดเกลี้ยกล่อมพ่อกับแม่ตนเพื่อพาเหมยเหมยไปร่วมทานข้าวด้วย หากว่าเปลี่ยนเป็นเวลาอื่นพ่อกับแม่ของเขาคงไม่ได้เกลี้ยกล่อมได้ง่ายดายเช่นนี้
หากเปลี่ยนเป็นเลี้ยงข้าวที่ร้านอาหาร เหยียนโฮ่วเต๋อใช้เท้าคิดก็ยังรู้ได้ว่าเหมยเหมยไม่มีทางยินยอมแน่
ลูกสาวคนนี้ของท่านผู้ว่าเข้าข้างลูกทรพีของเขา จะทิศทางไหนก็เห็นเขาขัดตาอยู่ดี ในใจเขานั้นรู้ดีเสียยิ่งกะไร
“ลุงมีเรื่องจะถามหนู ตาเหยียนและยายหยางก็อยากคุยกับเธอด้วยนะ กับข้าวทำเสร็จหมดแล้ว ถือว่าเหมยเหมยเห็นแก่หน้าลุงหน่อยนะ?” เหยียนโฮ่วเต่อเอ่ยเสียงเบา แลดูน่าสงสารนัก
เพื่อนนักเรียนที่สัญจรไปมาต่างก็มองมาที่พวกเขาอย่างแปลกใจ และยังมีครูบางคนที่รู้จักกับเหยียนโฮ่วเต๋อด้วยจึงเดินเข้ามาทักทาย ผู้คนเริ่มพลุกพล่านขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเหมยเหมยไม่ชอบสายตาแปลก ๆพวกนั้นจึงจำใจต้องรับปาก
ถึงอย่างไรเธอก็แค่ไปทานข้าว อย่างอื่นนั้นเธอไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น
คุณยายหยางชื่นชอบเหมยเหมยเอามาก ๆ เธอทำกับข้าวเตรียมไว้มากมาย พอเห็นเธอจึงเข้ามาต้อนรับอย่างอบอุ่นพร้อมกับลากเธอให้นั่งลงทานข้าว เหยียนหมิงต๋าก็อยู่ด้วยแต่กลับไม่ได้ดูร่าเริงเหมือนแต่ก่อน เขาดูเงียบขรึมขึ้นมาก
……………………………………………….
[1] เปรียบเทียบการประสบความสำเร็จได้ในช่วงระยะเวลาอันสั้น และรวดเร็ว จนทำให้คนอื่นต่างตกใจอยู่ไม่น้อย
ตอนที่ 1264 ถามข่าวคราว
คุณตาเหยียนกลัวว่าหลานชายคนเล็กจะถูกอู่เยวี่ยหลอกล่อไป จึงตัดไฟตั้งแต่ต้นลมตัดสินใจลงสมัครทหารให้กับเหยียนหมิงต๋า เหยียนหมิงต๋ามีสมรรถภาพทางร่างกายที่ดี ตรวจร่างกายออกมาไม่พบปัญหาแต่อย่างใด การตรวจสอบอื่นๆ ก็ยิ่งไม่มีปัญหา
ตอนนี้ได้จัดการไว้หมดทุกขั้นตอนแล้ว แค่รอให้เวลามาถึงก็สามารถเข้ากองไปฝึกได้เลย
ตามกำหนดการรับทหารเข้าใหม่ของปีก่อน น่าจะราวๆ ปลายเดือนนี้ เขาพูดแค่ว่าเหยียนหมิงต๋ายังมีเวลาอยู่บ้านได้อีกราวๆ หนึ่งสัปดาห์
ไม่แปลกเลยที่เจ้าเด็กนี่จะดูซึมๆ เงียบๆ ไป ดูท่าจะทำใจห่างจากคนรักเก่าอย่างอู่เยวี่ยไม่ได้เสียมากกว่า!
เหมยเหมยนึกแปลกใจว่าคุณตาเหยียนใช้วิธีไหนในการพูดเกลี้ยกล่อมถานซูฟาง ผู้หญิงคนนี้กำราบยากมาก อีกทั้งเธอยังแน่วแน่มากที่จะให้ลูกชายเข้ารับราชการ เมื่อชาติที่แล้วเหยียนหมิงต๋าคือพนักงานราชการระดับล่าง จากนั้นเพราะความเอาใจใส่ของเหยียนหมิงต๋า ไม่ถึงสองปีก็ได้เลื่อนตำแหน่งอย่างราบรื่น จนอู่เยวี่ยกลายเป็นคุณผู้หญิงที่ใครๆ ต่างก็พากันอิจฉา
“เหมยเหมยรีบกินเถอะ ปูนี่ตัวโตมาก เธอต้องชอบกินแน่ ๆ” คุณยายหยางนั้นปฏิบัติต่อหลานสะใภ้อย่างรักใคร่และเอ็นดู โดยคีบอาหารให้เธอไม่หยุด
“ขอบคุณค่ะยายหยาง หนูคีบเองดีกว่าค่ะ”
เหมยเหมยปฏิเสธด้วยความเกรงใจ แม้ว่ากับข้าวจะเต็มไปหมดแต่ตอนนี้เธอกลับไม่ได้มีความอยากอาหารเลยสักนิด ไม่รู้ว่าเหยียนโฮ่วเต๋อจะมาไม้ไหนอีก
“ลุงเหยียนคะ ลุงมีอะไรก็พูดมาเถอะค่ะ หนูยังอยากกลับไปพักตอนเที่ยง” เหมยเหมยเร่งเร้า
เหยียนโฮ่วเต๋อยิ้มแห้งพลางกระแอ้มเสียงก่อนจะเอ่ย “เหมยเหมย หมิงซุ่นได้ฝากตัวเป็นลูกบุญธรรมที่เมืองหลวงแล้วใช่ไหม?”
แม้ว่าตัวเขาจะดูนิ่งๆ ไม่ออกอาการ แต่กลับปิดความตื่นเต้นดีใจไม่มิด
“ไม่รู้ค่ะ ขนาดลุงเหยียนเป็นพ่อของพี่หมิงซุ่นยังไม่รู้เลย หนูเป็นแค่คนนอกจะรู้ได้อย่างไรคะ” เหมยเหมยทำทีเฉไฉ พร้อมกับเอ่ยเหน็บแนม
เหยียนโฮ่วเต๋อถูกแทงใจดำจนอยากด่าเสียจริง
ถ้าเขารู้ยังจะต้องทำทีตีหน้าซื่อต่อหน้าหล่อนแบบนี้หรือ?
ที่แท้เจ้าเหมยก็ไม่ได้ไร้เดียงสา รู้ทั้งรู้ว่าเขากับลูกชายไม่ลงรอยกัน ยังจงใจที่จะพูดจาเหน็บแนมเขาอีก
เหอะ ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงจริง ๆ!
“เหมยเหมยก็พูดไป หนูจะเป็นคนนอกไปได้อย่างไรเล่า อีกไม่กี่ปีหนูก็ต้องเรียกลุงว่า…ฮ่าฮ่าฮ่า…” เหยียนโฮ่วเต๋อกลั้วหัวเราะ สีหน้าแววตาบ่งบอกว่า ’เป็นอันรู้กัน’ ปรากฏบนใบหน้า
“ลุงเหยียนระวังคำพูดด้วยค่ะ หนูยังเรียนอยู่ ยังเป็นสาวบริสุทธิ์อยู่เลย ลุงอย่าพูดซี้ซั้วสิคะ” เหมยเหมยเอ่ยตำหนิอย่างจริงจัง
“นั่นสิ แกพูดแบบนี้ได้ยังไง โง่จริง…เสียเวลากินข้าวมาตั้งหลายสิบปี”
คุณยายหยางตีหน้านิ่งขรึมพร้อมกับดุลูกชาย เธอมองออกว่ายัยหนูเหมยเหมยกับหลายชายคนโตของเธอนั้นเข้าข้างกันที่รู้สึกขัดตาขัดใจกับลูกชายของตน ซึ่งวันนี้เหยียนโฮ่วเต๋อถามอะไรไปก็ไม่มีทางได้คำตอบอยู่แล้ว
คุณยายต่างก็รู้สึกยินดีและเป็นกังวลไปพร้อมกัน เธอยินดีที่หลานชายคนโตทนลำบากมาตั้งหลายปี จนในที่สุดก็ได้เจอกับหญิงสาวที่พร้อมจะร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับเขาทั้งชีวิต แบบนั้นเธอก็นอนตายตาหลับแล้ว
แต่กังวลก็ตรงที่ความสัมพันธ์ของลูกชายและหลานชายคนโตนี่สิ ถึงอย่างไรก็เป็นพ่อลูกแท้ๆ นะ!
ในเมื่อแข็งกร้าวต่อกันขนาดนี้จะทำอย่างไรดีเล่า!
แต่อย่างไรคุณยายก็รู้สึกยินดีมากกว่าเป็นกังวล เธอคิดอย่างง่าย ๆ ไม่ว่าจะพูดอย่างไรขอแค่หลานชายของเธอมีชีวิตที่ดีก็เพียงพอแล้ว เธออายุมากแล้ว เรื่องอื่นไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีก!
เหยียนโฮ่วเต๋อมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก จึงหันไปขอความช่วยเหลือจากคุณตาเหยียน แต่คุณตาเหยียนเอาแต่กินข้าว ไม่แม้แต่จะสนใจเขาสักนิดเลย
ก่อนกินข้าวยายแก่เมียเขาพึ่งจะสั่งสอนเขาอยู่หยก ๆ สั่งห้ามไม่ให้เขาก้าวก่ายเรื่องของหลานชาย เพื่อวันข้างหน้าจะได้ไม่ต้องหิวโซ คุณตาเหยียนก็ไม่ได้โง่ถึงเพียงนั้น เขาจึงทำทีไม่สนใจต่อสิ่งใดก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างเดียว
อย่างไรเสียหลานชายคนโตก็มีอนาคตที่สดใส ก็ถือเป็นเกียรติของตระกูลเหยียนและแสงเจิดจรัสส่องบรรพบุรุษของตระกูเหยียน เขาดีใจยังนับว่าช้าไปด้วยซ้ำ!
……………………………………………….
ตอนที่ 1265 กระวนกระวายใจเป็นบ้า
เหมยเหมยพึงพอใจต่อท่าทีของผู้เฒ่าตระกูลเหยียนทั้งสองอยู่ไม่น้อย แม้ว่าจะทำผิดเรื่องของแม่เหยียนหมิงซุ่น แต่หลังจากนั้นก็นับว่าพวกเขาพยายามรับผิดชอบเหยียนหมิงซุ่นอย่างเต็มที่ อีกทั้งสถานการณ์ในตอนนี้ก็ดูจะชัดเจนมาก
ยืนหยัดที่จะสนับสนุนหลานชาย และขีดเส้นแบ่งกั้นเขตแดนระหว่างลูกชาย!
นี่ถือว่าเด็ดขาดกว่าชายชราและหญิงชราจอมเลอะเลือนในตระกูลเธอมากกว่าเสียอีก!
เหยียนโฮ่วเต๋อยังคงไม่ถอดใจ เขาแค่ได้ยินข่าวคราวแว่ว ๆมาว่าในเมืองหลวงมีผู้มีอิทธิพลเหลือล้นอยู่คนหนึ่ง ไร้ซึ่งบุตรชายและบุตรสาว จึงรับบุตรบุญธรรมไว้คนหนึ่ง คนภายนอกนั้นเรียกเขาว่าคุณชายหมิง ซึ่งคุณชายหมิงผู้นี้มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นลูกชายของเขา
เพราะเขาได้ยินมาว่า คุณชายหมิงจอมลึกลับผู้นี้มีคู่หมั้นอยู่แล้วซึ่งเป็นหลานสาวคนเล็กของตระกูลจ้าว อีกทั้งชาติตระกูลแต่กำเนิดของคุณชายหมิงนั่นมิได้มีฐานะแต่อย่างใด เป็นเพียงสามัญชนคนธรรมดาที่อาศัยอยู่ในเมืองจิน
เรื่องบังเอิญที่ดูจะสลับซับซ้อนนัก เป็นธรรมดาที่เหยีนโฮ่วเต๋อจะสงสัยว่าเป็นลูกชายคนโตของตน ซึ่งเขาเคยได้ยินว่าหลายปีมานี้ลูกชายคนโตของเขากับเหมยเหมยนั้นแลดูรักกันหวานชื่นนี่!
แม้ว่าในใจจะมั่นใจมากว่าคุณชายหมิงก็คือเหยียนหมิงซุ่น แต่เหยียนโฮ่วเต๋อก็ไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง เขายังไม่วางใจ จึงได้นัดเหมยเหมยมาร่วมทานข้าว หากได้ยินกับหูตัวเองใจดวงน้อยดวงนี้ของเขาถึงจะเบาใจ!
หากว่าลูกชายของเขาเป็นคุณชายหมิงจริง เขาจะกังวลอะไรอีก?
คนบรรลุเป็นเซียน หมูหมากาไก่รอบตัวก็พลอยได้ดีลอยขึ้นสวรรค์ไปด้วย นับประสาอะไรกับเขาที่เป็นถึงพ่อแท้ ๆ ของคุณชายหมิงเล่า!
เกรงว่าแม้แต่อำนาจในมือของจ้าวอิงหัวก็จะตกเป็นของเขาอย่างง่ายดาย!
เขาได้ยินมาแล้ว เวลาตระกูลจ้าวโชคร้าย ซึ่งไม่รู้เลยว่าจะปกป้องจ้าวอิงหัวไว้ได้ไหม?
“เหมยเหมยอย่าคิดมาก ลุงก็แค่คิดว่า หากหมิงซุ่นมีพ่อบุญธรรมจริง อย่างไรเสียลุงก็ต้องทำความรู้จักพ่อบุญธรรมเขาสักหน่อย ต่อไปก็ถือว่าเป็นญาติพี่น้องกันแล้ว อีกอย่างเมื่อถึงช่วงเทศกาลสำคัญก็ควรส่งมอบของขวัญให้บ้าง เพื่อเป็นการขอบคุณเขาที่ช่วยดูแลลูกชายลุงไง!”
เหยียนโฮ่วเต๋อเอ่ยด้วยท่าทีจริงใจ สีหน้าแววตาฉายความเป็นห่วงเป็นใยต่อลูกชาย เพียงแต่เหมยเหมยรับรู้มาเนิ่นนานถึงความเสแสร้งที่เขามีอยู่ จึงไม่หลงเชื่อเลยแม้แต่ประโยคเดียว
“ลุงเหยียนคะ หนูไม่รู้จริงๆ แต่หนูว่าลุงคิดมากเกินไปนะ ตั้งแต่เล็กจนโตพี่หมิงซุ่นก็อยู่กับคุณตาเหยียนและคุณยายหยางมาตลอด ได้รับการอบรมสั่งสอบจากท่านทั้งสอง หากว่าพี่หมิงซุ่นมีพ่อบุญธรรมจริง เป็นไปได้หรือที่จะไม่รู้ธรรมเนียม? เขาต้องคิดรอบคอบกว่าคุณลุงในทุก ๆด้านแน่นอนค่ะ”
เหมยเหมยเหน็บแนมเหยียนโฮ่วเต๋อไปที พร้อมทั้งประจบประแจงคุณตาเหยียนและคุณยายหยางไปด้วย ท่านทั้งสองที่ได้ยินต่างก็อารมณ์ดีไม่น้อย โดยเฉพาะคุณตาเหยียน ที่รู้สึกประทับใจเหมยเหมยมากกว่าเดิม
แม้ว่าหลานสาวตระกูลจ้าวจะดูหูตาสับปะรดไปบ้าง แต่สายตาหลักแหลมไม่เบา!
เหยียนโฮ่วเต๋อหน้าแดงปนซีด กัดฟันกรอดด้วยความโกรธจัด เพราะเป็นลูกสาวของผู้มีอำนาจ หากว่าเธอเป็นแค่ลูกสาวของคนธรรมดาทั่วไป เขาคงจะต่อว่าไปนานแล้ว
ความผิดที่ไม่เคารพต่อผู้หลักผู้ใหญ่ เพียงพอที่จะให้เขาอาละวาดได้!
“เหมยเหมยกินข้าวเถอะ กินเยอะ ๆล่ะ” เหยียนโฮ่วเต๋อกัดฟันยิ้ม จัดการเหมยเหมยไม่ได้เลยสักนิด อึดอัดใจเป็นบ้า
แต่เมื่อขบคิดได้สักพัก เหยียนโฮ่วเต๋อจึงคิดหาวิธีจัดการเหมยเหมยได้แล้ว
นางเด็กบ้านี่ไม่พูดความจริงดีนัก ให้มันกระวนกระวายใจจนเป็นบ้าไปเลย!
“พ่อครับ แม่ครับ ปีนี้ที่ผมกลับมายังมีอีกหนึ่งเรื่องที่จะคุยด้วยหน่อย อายุของหมิงซุ่นก็ไม่ใช่น้อย ๆแล้ว เขาอยู่ในกองก็ก้าวหน้าอยู่ไม่น้อย ถึงเวลาที่จะต้องมาคิดเรื่องที่จะต้องเป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว เพื่อนของผมมีลูกสาวอยู่หนึ่งคน สวยสง่า นิสัยอ่อนโยนความเอาใจใส่ รุ่นราวคราวเดียวกับหมิงซุ่น เรียนเอกศึกษาศาสตร์ ตอนนี้เป็นครูสอนอยู่ที่โรงเรียนทดลองฝ่ายประถมศึกษา”
เหยียนโฮ่วเต๋อเอ่ยไปพลางพร้อมลอบสังเกตปฏิกิริยาของเหมยเหมยไปพลาง เห็นมือที่กำลังคีบอาหารอยู่หยุดชะงักไป จึงนึกสนุกอยู่ภายในใจ
กระวนกระวายใจสิท่า?
เธอไม่เคารพต่อพ่อตาในอนาคตเองนี่!
เขาเป็นถึงพ่อของเหยียนหมิงซุ่น และแน่นอนต้องมีวิธีจัดการเจ้าเด็กอกตัญญูทั้งคู่นี่ด้วย!
“พ่อครับ แม่ครับ หรือไม่งั้นรอให้หมิงซุ่นกับมา แล้วก็ให้เขาไปดูตัวกับแม่สาวน้อยนั่น? หากคิดว่าใช้ได้ก็ให้พวกเขาจัดการเรื่องแต่งงานได้เลย หากไวหน่อย ไม่แน่ปีหน้าท่านทั้งสองก็จะได้อุ้มหลานแล้ว…ฮ่าฮ่า…”
เหยียนโฮ่วเต๋อจงใจหัวเราะอย่างได้ใจ คุณตาเหยียนต่างก็เห็นพ้องและเห็นว่าน่าสนใจดี
จ้าวเหมยอายุน้อยเกินไป ถ้ารอให้เธอมีหลานให้ ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสทันได้เห็นหรือเปล่า!
ตอนที่ 1266 เหน็บแนมพ่อตา
เหมยเหมยไม่กลัวการข่มขู่ของเหยียนโฮ่วเต๋อสักนิด หากว่าเหยียนหมิงซุ่นนั้นมีความสัมพันธ์อันดีต่อชายผู้นี้ เมื่อเธอได้ยินคำพูดเหล่านี้คงต้องกระวนกระวายใจอยู่แล้ว แต่เหยียนหมิงซุ่นแทบจะไม่เรียกเขาว่าพ่อด้วยซ้ำ เหยียนโฮ่วเต๋อจะเล่นใหญ่แค่ไหนก็เอาเลย เธอจะคิดแค่ว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ!
ซึ่งแน่นอนว่าในใจนั้นไม่ได้รู้สึกดีนัก!
ในเมื่อคิดจะยัดเยียดผู้หญิงให้กับผู้ชายของเธอ ก็ไม่นับว่าเป็นคนดีอะไร!
ไม่ต่างไปจากไอ้แก่จอมวิปริตนั่น!
คุณยายหยางที่ได้ยินคำพูดของลูกชายก็ได้แต่ตีหน้านิ่ง จ้าวเหมยเป็นถึงหลานสะใภ้ที่เธอหมายปอง เจ้าลูกอกตัญญูนี่คิดจะทำลายงั้นเหรอ?
อย่าได้แม้แต่จะคิด!
พลันเหลือบเห็นชายชราที่แสดงท่าทีเช่นนั้น ไฟโทสะจึงได้ปะทุขึ้น คุณยายหยางจึงใช้เท้าถีบใส่ใต้โต๊ะอย่างแรงครั้งหนึ่ง พร้อมทั้งจ้องกลับตาเขม็ง ในแววตานั้นฉายแววเตือนว่า ‘ยังคิดอยากจะกินข้าวดี ๆอยู่ไหม!’
คุณตาเหยียนเจ็บปวดหน้านิ่วเป็นก้อนกลม ยายแก่นี่เตะมาไม่ออมแรงเลย ช่างใจจืดใจดำเสียจริง!
แม้ว่าจะสนใจต่อหญิงสาวที่เหยียนโฮ่วเต๋อเอ่ยถึง แต่เพื่อปากท้องอีกหลายสิบปีของเขา คุณตาเหยียนจึงยินยอมที่จะอยู่ภายใต้การข่มขู่ของคุณยายหยางเสียดีกว่า จึงทำทีมองข้ามสายตาที่เห็นพ้องต้องกันของเหยียนโฮ่วเต๋อไป ได้แก่ก้มหน้าก้มตาทานข้าวต่อไป
ลูกหลานล้วนแล้วแต่มีความสุขของตัวเอง เขาไม่เข้าไปยุ่งเรื่องไร้สาระหรอก!
คุณยายหยางแค่นเสียงอย่างชอบใจ พร้อมกับยึดแย่งเอาจานกระดูกหมูที่เหยียนโฮ่วเต๋อจ้องจะคีบอยู่นั้นมาวางไว้ตรงหน้าเหมยเหมย ฉีกยิ้มด้วยความรักใคร่เอ็นดู “เหมยเหมยกินเยอะๆหน่อยนะ”
“แม่ครับ ผมยังไม่ได้คีบเลยนะ แม่จะยกไปทำไม?”
เหยียนโฮ่วเต๋อคีบได้เพียงแค่อากาศ แม้แต่ขิงดิบก็ยังคีบไม่ได้ จึงไม่พอใจเอามาก
คุณยายหยางมองอย่างนึกรังเกียจ ชี้ไปที่จานผักไม่กี่จานที่วางเรียงรายอยู่ตรงหน้าเขา “แล้วพวกนี้ไม่เรียกกับข้าวเหรอ? ให้เรียกว่าอะไร? ถ้าไม่ชอบกินก็กลับบ้านของตัวเองไปเสีย!”
เหยียนโฮ่วเต๋อ : …
นี่เป็นลูกแท้ ๆจริงใช่ไหม?
เหมยเหมยกินอิ่มหนำสำราญ เหลือบเห็นเหยียนโฮ่วเต๋อกินผักก็พลันอารมณ์ดีขึ้นมา เธอยิ้มพร้อมทั้งใช้มีดแทงซ้ำไปอีกหนึ่งครั้ง “ลุงเหยียนคะ ลุงไม่ลองโทรไปหาพี่หมิงซุ่นล่ะ? มีเรื่องอะไรลุงก็ถามเขาเองเลย แล้วก็ผู้หญิงที่ลุงเห็นดีเห็นงามด้วย ลุงก็บอกพี่หมิงซุ่นไปให้ชัดเจนเลยสิคะ ไม่แน่ว่าถ้าพี่หมิงซุ่นอารมณ์ดีก็อาจจะกลับมาเยี่ยมคุณลุงด้วยตัวเอง!”
เหอะ พี่หมิงซุ่นกลับมาคงได้ด่าไอ้แก่หนังเหนียวนี่เสีย!
เมื่อนึกถึงไอ้ลูกอกกตัญญูจอมโหดนั่น เหยียนโฮ่วเต๋อจึงเผลอหดคออย่างทำอะไรไม่ถูก
หากว่าเขากล้าถามต่อหน้าลูกชาย คงไม่ต้องมาญาติดีตีสนิทกับจ้าวเหมยถึงเพียงนี้หรอก?
“กินข้าว ๆ พี่หมิงซุ่นของเธอยุ่ง ลุงไม่รบกวนจะดีกว่า” เหยียนโฮ่วเต๋อกลั้วหัวเราะ
เหมยเหมยมองเหยียดเขาแวบหนึ่ง คิด ๆแล้วก็เอ่ยเสริมอีกว่า “แต่หนูว่าลุงเหยียนอย่าพูดกับพี่หมิงซุ่นเลยจะดีกว่าค่ะ ในเมื่อสายตาลุงเหยียนเองก็ไม่ได้เฉียบแหลมอะไร ปกติแล้วหญิงสาวที่ลุงมักจะมองข้ามนั้นเป็นดั่งไข่มุก ส่วนหญิงสาวที่คุณลุงชื่นชอบก็เป็นเพียงแค่ตาปลา!”
ก็เพราะเก็บเอาตาปลาอย่างถานซูฟางมา เลยทำให้ไข่มุกเม็ดล้ำค่าอย่างโม่เหวินเซียงต้องตาย!
เหยียนโฮ่วเต๋อและคนอื่นๆ ต่างก็หน้าถอดสี แม้ว่าคำพูดที่เหมยเหมยเอ่ยออกมานั้นจะติดตลกไปบ้าง แต่ความหมายโดยนัยแน่นอนว่าพวกเขาเข้าใจเป็นอย่างดี
คุณยายหยางถอนหายใจไปพลาง ทั้งชีวิตของเธอ สิ่งเดียวที่รู้สึกผิดก็คือเรื่องสะใภ้คนก่อนหน้า คงต้องรอวันหน้าลงไปรับผิดต่อเหวินเซียงแล้วล่ะ!
เหมยเหมยไม่มีอารมณ์จะพูดอะไรต่อจึงลุกขึ้นเพื่ออำลา
คุณยายหยางไปส่งเธอ เมื่อเห็นท่าทีของคุณยายผู้มีเมตตาแลดูจะหดหู่ เหมยเหมยจึงทำใจไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “คุณยายหยาง ตอนนี้พี่หมิงซุ่นสบายดี แล้วก็เก่งมากด้วย คุณยายไม่ต้องเป็นห่วงเขานะคะ!”
“อืม…ขอแค่พวกเธอคบกันดีก็ดีแล้ว ส่วนพ่อของหมิงซุ่น เหมยเหมยไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก คิดเสียว่าเขาพูดจาไร้สาระ!”
คุณยายหยางนิ่งไปสักพัก ก่อนที่พูดต่ออย่างผ่อนคลาย
ในคำพูดที่เหมยเหมยเอ่ยกับเขา เรื่องพ่อบุญธรรมที่เหยียนโฮ่วเต่อพูดถึงคงนับว่าเป็นเรื่องจริง
หมิงซุ่นของเธอมีอนาคตก้าวไกลแล้ว!
……………………………………………………
ตอนที่ 1267 ออดอ้อนเหมือนเด็ก
ตกเย็นเหมยเหมยทักหาเหยียนหมิงซุ่นไป ซึ่งไม่รู้ว่าเขาจะได้รับข้อความไหม เพราะเหยียนหมิงซุ่นติดออกปฏิบัติภารกิจ ไม่ว่าจะอยู่ในผืนป่าไม้หรือท้องทะเลทราย ต่างก็ไม่มีสัญญาณ ต่อให้ได้รับก็ไม่อาจโทรกลับมาได้อยู่ดี
เพียงแต่ครั้งนี่นับว่าโชคดีไม่น้อย ไม่นานนักเหยียนหมิงซุ่นก็โทรกลับมา
“พี่หมิงซุ่น เมื่อไหร่พี่จะกลับมาคะ?”
พอเหมยเหมยได้ยินเสียงของเหยียนหมิงซุ่น ไหนเล่าจะจดจำเหยียนโฮ่วเต๋อผู้ไร้ซึ่งจรรยาธรรม ได้แต่ทอดเสียงยาวออดอ้อนออเซาะ
ประเภทฉลาดเพียบพร้อมรู้ความดูจะไกลจากตัวเธอไปมาก อีกทั้งยังแลดูเหนื่อยหน่ายไปหน่อย เธอทำตัวเป็นผู้หญิงออดอ้อนเหมือนเด็กคงจะดีเสียกว่า!
เหยีนหมิงซุ่นกลั้วหัวเราะเสียงเบา “อีกไม่นานหรอก อีกแค่ประมาณหนึ่งอาทิตย์ ช่วงนี้เป็นเด็กดีไหมครับ?”
“เป็นเด็กดีค่ะ เชื่อฟังมากด้วย…” เหมยเหมยลากหางเสียงยาว ราวกับลากน้ำเชื่อมหยาดเยิ้มก็มิปาน ลากเสียงยืดยาว ให้ความหวานละมุนส่งผ่านไปยังปลายสาย
เหยียนหมิงซุ่นรู้สึกร้อนรุ่ม เจ้าปีศาจน้อย แค่โทรมาเฉย ๆยังยั่วยวนเขาได้ถึงขนาดนี้เชียว!
แม้จะมองไม่เห็นบุคคลจากปลายสาย แต่เขาก็จินตนาการได้ถึงสภาพแวดล้อมของอีกฝ่าย เหมยเหมยจะต้องอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย พร้อมกับเปลี่ยนมาสวมใส่ชุดนอนฮัลโหล คิตตี้สีชมพูที่เขาให้ ปล่อยผมที่ดกดำยาวสยาย ทั้งยังกอดเครื่องโทรศัพท์อยู่บนเตียง…
ก้นกลมกระดกเชิด เท้าเปล่าที่เหยียดยาวนั้นปัดป่ายไปมา…
หากนอนคว่ำอยู่ล่ะก็ เจ้าตัวแสบจะต้องบิดตัวไปมาจนเป็นเกลียว คอเสื้อก็คงจะ…
เหยียนหมิงซุ่นไม่อาจควบคุมความคิดและจินตนาการทั้งหกของเขาได้เลย อีกทั้งยิ่งคิดก็ยิ่งลึกขึ้น ยิ่งคิดก็ยิ่งหอมหวาน…จุดตันเถียน[1]ยิ่งรู้สึกร้อนเร่ามากขึ้น…
“พี่หมิงซุ่น ทำไมพี่ไม่พูดล่ะ?”
น้ำเสียงของเหมยเหมยได้ฉุดดึงความคิดที่เตลิดไปไกลของเหยียนหมิงซุ่นให้กลับมา พลันรีบหันกลับไปมองยังบรรดาป้าอ้วนๆ ข้างถนนอย่างเร็วพลัน ภารกิจในครั้งนี้อยู่ที่เขตชายแดนทางตอนเหนือ ผู้หญิงแถบนี้ช่วงก่อนยังไม่มีลูกรูปร่างดีเซ็กซี่ไม่น้อย แต่เมื่อคลอดบุตรแล้วรูปร่างก็ไม่ต่างไปจากลูกบอลที่เป่าลมเข้าไป ชั่วพริบตาก็กลายเป็นมารดาตัวใหญ่ดั่งภูเขาสูงใหญ่
บรรดาป้า ๆที่เดินพลุกพล่านตามท้องถนนต่างก็ตัวใหญ่ ความเร่าร้อนตรงจุดตานเถียนพลันสงบลงอีกครั้ง จนสามารถกลับมาพูดคุยได้ตามปกติ
“ไม่มีอะไรหรอก เป็นเด็กดีรอพี่อยู่ที่บ้าน พี่จะเอาเนื้อแห้งอร่อย ๆกลับไปฝาก” เหยียนหมิงซุ่นเอ่ยเอาใจด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล มุมปากเผยให้เห็นรอยยิ้มจาง ๆ ดึงดูดสายตาสาวน้อยสาวใหญ่ในเขตชายแดนไม่น้อย
หลายคนต่างพากันหยุดฝีก้าว สำรวจชายหนุ่มฮั่นที่มีร่างกายกำยำชวนดึงดูด หญิงสาวบางคนที่ใจกล้าหน่อย ได้แวะเวียนเดินเข้ามาตรงหน้าเหยีนนหมิงซุ่น ทอดมองเขาอย่างเย้ายวน
ริมฝีปากสีแดงก่ำ…เมืองติดชายแดนแห่งนี้ ไม่มีจุดไหนที่ไม่เย้ายวนเลย
เหยียนหมิงซุ่นใช้ภาษาถิ่นเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา “ผมพูดกับภรรยาของผมอยู่ เชิญคุณออกไปอยู่ห่าง ๆหน่อยครับ”
หญิงสาวทั้งหลายพอรู้ว่าเหยียนหมิงซุ่นมีภรรยาแล้วก็พลันหมดความสนใจในทันที จึงได้แต่ยิ้มเก้อก่อนเดินจากไป
“พี่หมิงซุ่น พี่คุยกับใครคะ? ใช่ผู้หญิงไหม? น่าตาดีไหม?”
ผู้หญิงมักมีลางสังหรณ์ที่แม่นมาก แม้ว่าความฉลาดของเหมยเหมยจะไม่ได้อยู่กับการเรียน แต่ในเวลานี้กลับคาดเดาได้อย่างตรงจุด อีกทั้งน้ำเสียงก็เริ่มแย่ลง
เหยียนหมิงซุ่นลูบหัวตัวเองไปมาอย่างหนักใจ พร้อมกับเอ่ยปลอบไปไม่กี่ประโยค แต่ก็สามารถพูดจนทำให้เด็กน้อยของตนนั้นอารมณ์ดีขึ้นมาได้
“พี่หมิงซุ่น ฉันมีอะไรจะบอกพี่ วันนี้พ่อของพี่ชวนฉันไปกินข้าวด้วย เพราะอยากถามถึงเรื่องของพี่ ฉันไม่ได้บอกอะไรเขาเลยนะ” เหมยเหมยเอ่ยพูดได้ใจอย่างต้องการคำชม เหยียนหมิงซุ่นเห็นหางของเธอที่ปัดป่ายไปมาราวกับหมาน้อย
“เก่งมาก กลับไปพี่ต้องให้รางวัลสักหน่อย”
ใช้วิธีการของเขาในการ ‘ให้รางวัล’ จะต้องทำให้เหมยเหมยไม่มีวันลืมเลือนและร่างกายของเขาได้ปลดปล่อยด้วย
ยิงปืนนัดเดียวได้นกตั้งสองตัวแหนะ!
เสียงแว่วดังมาจากทางถนนอีกฝากนั่นคือเสียงจากลูกน้องของเขา เหยียนหมิงจึงเอ่ยกำชับไปเพียงไม่กี่ประโยค ก่อนจะวางสายอย่างอาลัยอาวรณ์และรีบจากไปอย่างร้อนรน
………………………………………………
[1] จุดสัมผัส หรือจุดเลือดลมที่อยู่บริเวณใต้สะดือ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น