ลำนำบุปผาพิษ 1253-1256
บทที่ 1253 จากไปตอนไหน?
คืนนั้นเธอทำตัวซุกซนยิ่งนักอยู่ทั้งคืน หลังจากให้ตี้ฝูอีแบกเธอลงเขาแล้ว ก็ให้เขาแบกเธอขึ้นเขาอีกครั้ง บอกว่าเธอชอบความรู้สึกที่ซบอยู่บนหลังแล้วฟังเสียงหัวใจเขา
เคราะห์ดีที่ตี้ฝูอีไม่ใช่คนธรรมดา การแบกเธอไม่เปลืองแรงเลยสักนิด สำหรับเขาแล้ว ง่ายดายเสมือนถือกระดาษแผ่นหนึ่ง
การเดินเล่นเช่นนี้ก็แปลกใหม่ดี บางทีอย่างไรเสียในใจตี้ฝูอีก็อาจรู้สึกผิดต่อเธอ ดังนั้นถึงเธอใช้วิธีทรมานเคี่ยวกรำเช่นนี้เขาก็ยอมรับ แบกเธอไว้แล้วเดินกลับไป และฟังเธอร้องเพลงไปตลอดทาง
เมื่อกลับมาถึงตำหนักน้ำแข็ง กู้ซีจิ่วก็หารือกับตี้ฝูอี บอกว่าอยากพาสัตว์เลี้ยงทั้งสามตัวกลับไปอวดโอ้ด้วย
ตี้ฝูอีใคร่ครวญแล้วว่าตำหนักน้ำแข็งแห่งนี้ก็ไม่ต้องใช้พลังวิญญาณของพวกมันหล่อเลี้ยงแล้ว จึงตอบตกลง ดูเหมือนเขาจะเสพติดการเดินเล่นไปเสียแล้ว “ไปเถอะ ข้าจะไปส่งเจ้ากลับ”
กู้ซีจิ่วยิ้ม “พอเถอะ ท่านก็เหนื่อยแล้ว ข้าเคลื่อนย้ายกลับไปเองก็ได้ ถ้าท่านไปส่งข้ากลับจะต้องรบกวนผู้อื่นอีก ทำให้คนของจวนแม่ทัพต้องวุ่นวายยิ่งนักเพื่อต้อนรับท่าน อีกอย่างข้าแอบออกมานะ มิสู้กลับไปแบบแอบๆ ด้วยดีกว่า เทพไม่รู้ผีไม่เห็น มิใช่เป็นการดีที่สุดหรอกหรือ?”
ที่เธอพูดมาก็มีเหตุผล ตี้ฝูอีจึงตกลง
คืนนี้นางติดเขายิ่งนัก ยามจะจากไปยังกอดเขาหนักๆ อีกคราหนึ่งด้วย แล้วถึงพาสัตว์เลี้ยงทั้งสามเคลื่อนย้ายจากไป
ตี้ฝูอีรอจนนางจากไป รู้สึกอยู่ตลอดว่านางดูไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ ครุ่นคิดแวบหนึ่ง แล้วติดต่อองครักษ์เงาที่ประจำการอยู่ทางนั้น องครักษ์เงาผู้นั้นบอกว่าแม่นางกู้กลับมาแล้ว กำลังอาบน้ำอยู่ เตรียมจะเข้านอนแล้ว…
กู้ซีจิ่วมีความเคยชินอยู่ย่างหนึ่ง ก่อนเข้านอนต้องแช่น้ำโรบกลีบบุปผา ดังนั้นตี้ฝูอีจึงคลายใจลง
เขาก็ค่อนข้างอ่อนล้าเช่นกัน ตัดสินใจนั่งสมาธิฟื้นฟูอีกครั้ง ก่อนนั่งสมาธิได้สั่งการลูกน้องว่าถ้าไม่มีเรื่องร้ายแรงเร่งด่วนห้ามรบกวนเขา ลูกน้องย่อมตอบรับไว้
….
การนั่งสมาธิเป็นวิธีฟื้นฟูที่เร็วที่สุดของเขา ยามนี้ไร้เรื่องกวนใจ การนั่งสมาธิครั้งนี้จึงกินเวลาทั้งคืน จวบจนแสงตะวันสว่างจ้าเขาถึงลืมตาขึ้นมา รู้สึกว่ากำลังวังชาของตนฟื้นฟูขึ้นไม่น้อย ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ติดต่อกับองครักษ์เงาคนนั้นอีกครั้ง กลับนึกไม่ถึงว่าครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ติดต่อไม่ได้เลย
เขาใจหายวาบ องครักษ์ผู้นั้นจัดการเรื่องราวได้ดียิ่งนัก หากไม่เกิดเรื่องขึ้นไม่มีทางติดต่อไม่ได้
เขาคร้านจะสั่งการให้พวกมู่เฟิงไปดู เลยใช้วิชาย่นระยะพันลี้ไปจวนแม่ทัพด้วยตัวเองทันที จากนั้นก็พบว่ากู้ซีจิ่วหายไปแล้ว!
ส่วนองครักษ์เงาผู้นั้นถูกมัดเหมือนบ๊ะจ่างวางไว้บนตั่งนุ่มตัวหนึ่งในห้องของนาง เมื่อเห็นตี้ฝูอีเข้ามา สีหน้าขององครักษ์เงาผู้นั้นเต็มไปด้วยความละอาย ส่งเสียงร้องอู้อี้ เสียงเบายิ่งกว่าเสียงหึ่งๆ ของยุง
ตี้ฝูอีโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง เชือกมัดเซียนบนร่างองครักษ์เงาผู้นั้นก็คลายออก เขาขยับนิ้วในอากาศอีกไม่กี่ครา จุดที่ถูกสกัดไว้ขององครักษ์เงาผู้นั้นก็คลายออก “เกิดอะไรขึ้น?!”
องครักษ์เงาผู้นั้นกระเด้งตัวขึ้นมา หน้าแดงเหมือนกวนอู “ข้าน้อยไร้ความสามารถ ถูกแม่นางกู้พบตัวและลอบโจมตีได้สำเร็จ…”
ตี้ฝูอีกำมือแน่น “เช่นนั้นนางไปที่ใด? จากไปตอนไหน?”
“ประมาณ…ประมาณเที่ยงคืนขอรับ ข้าน้อยเห็นนางสั่งการให้คนไปเตรียมถังน้ำเพื่ออาบน้ำ จึงหลบฉากไปพักหนึ่ง ออกไปลาดตระเวนนอกเรือนสักหน่อย คาดไม่ถึงว่าขณะที่ลาดตระเวนอยู่จะถูกนางลอบโจมตี ลากกลับมาที่ห้องของนาง…ใช่แล้ว ก่อนนางจะจากไปได้ยัดจดหมายฉบับหนึ่งใส่แขนเสื้อข้าน้อย ให้ข้าน้อยมอบให้ท่านขอรับ”
องครักษ์ผู้นั้นรีบล้วงจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากร่างตนแล้วยื่นให้
ตี้ฝูอีเปิดออกอ่านดูแวบหนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลาเขียวคล้ำ!
บนจดหมายมีเพียงข้อความสั้นๆ ไม่กี่ประโยค ‘ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย เห็นแก่มิตรภาพของพวกเรา ร่างนั้นข้ายินดียกให้ท่าน ข้าไม่ต้องการความรู้สึกและการชดเชยจากท่าน…’
————————————————————————————-
บทที่ 1254 ปล่อยมือจากไปอย่างไร้เยื่อใย…
บนจดหมายมีเพียงข้อความสั้นๆ ไม่กี่ประโยค ‘ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย เห็นแก่มิตรภาพของพวกเรา ร่างนั้นข้ายินดียกให้ท่าน ข้าไม่ต้องการความรู้สึกและการชดเชยจากท่าน พิธีแต่งงานนั้นล้มเลิกไปเสียเถิด นับแต่นี้ไปท่านกับข้าบุรุษแต่งงานสตรีออกเรือน มิมีอันใดเกี่ยวกันอีก’
เขาขยุ้มจดหมายฉบับนั้นไว้ ขยุ้มจนข้อนิ้วขาวซีด
ไม่จำเป็นต้องถามเลย เมื่อคืนนางได้ยินบทสนทนาของเขากับหลานเหยากวงหมดแล้ว
จากนั้นนางก็ปล่อยมือจากไปอย่างไร้เยื่อใย…
….
ในป่าทมิฬยังคงมืดทึบเช่นเดียวกับที่ผ่านมา
แต่ในสายตาของกู้ซีจิว เจ็ดยอดเขาของป่าผืนนี้ล้วนปลอดภัยอย่างยิ่ง ถึงแม้บนยอดเขาจะมีสัตว์ร้ายมากมาย แต่เมื่อพวกมันได้กลิ่นของลู่อู๋น้อยก็จะเผ่นหนีไปทันที ไม่เพียงแต่ไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่มีสัตว์ร้ายปรากฏตัวรายล้อมป็นชั้นๆ อีกแล้วเท่านั้น ถึงขั้นที่กู้ซีจิ่วคิดจะล่าสัตว์มากินสักหน่อยก็ไม่อาจทำได้ เนื่องจากแม้แต่กระต่ายสักตัวเธอก็หาไม่เจอเลย…
เจ้าหอยยักษ์ เพรียกวายุ ลู่อู๋หลังจากมาถึงป่าผืนนี้ก็ราวกับมัจฉาได้วารี กระโดดโลดเต้นไปทั่วอย่างลิงโลด ไม่ว่าจะสิ่งไปทางใดล้วนเกิดความโกลหาวุ่นวายขึ้นเป็นพักๆ
กู้ซีจิ่วขี่อยู่บนหลังของเพรียกวายุ ข้ามเขาข้ามห้วยปานย่างอยู่บนพื้นราบ
รอจนเจ้าสามตัวนี้หนำใจกันแล้ว เธอก็เริ่มมุ่งหน้าสู่ยอดเขาที่เจ็ด
สมุนไพรที่เธอต้องการอยู่บนยอดเขาที่เจ็ด ความสำเร็จคอยอยู่เบื้องหน้าแล้ว
ป่าทมิฬเป็นระบบนิเวศแบบปิดตัว ที่นี่จะไม่เห็นแสงสว่างจากภายนอกเลยทั้งปี และไม่อาจสื่อสารกับโลกภายนอกได้
ตามที่ฝูงชนกล่าวกันไว้ ที่นี่เป็นสถานที่แห่งความตาย เป็นสถานที่ที่ถูกเทพเซียนทอดทิ้ง เมื่อมาถึงด้านในนี้แล้วทำได้เพียงพึ่งพาตัวเองเท่านั้น อาศัยความสามารถของตัวเองรอดออกไป
กู้ซีจิ่วเงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยความเคยชิน สิ่งที่มองเห็นย่อมเป็นสีทึมทึบไปหมด…
เธอยกมือนวดหว่างคิ้ว เธอรู้สึกฉงนใจอยู่บ้าง ยามที่มาหนก่อนพลังวิญญาณของเธอต่ำต้อย แต่ตอนที่อยู่บนเรือของตี้ฝูอีแล้วมองลงมา สามารถมองเห็นสีสันต่างๆ ของแต่ละยอดเขาได้ ยอดเขาที่แปดที่ลึกลับที่สุดเป็นสีรุ้ง
และบางครั้งที่อยู่ในป่าก็ยังมองเห็นท้องฟ้าด้านนอกได้เป็นครั้งคราวด้วย
แต่ครั้งนี้ตอนที่เธอมองยอดเขาเหล่านี้จากด้านนอกเห็นเพียงสีเทาทึบทึมไปหมด มองไม่เห็นอะไรเลยสักนิด มองไม่เห็นสีสันที่งดงามพวกนั้นอีกแล้ว
และเมื่อเขามาในป่าทมิฬ ท้องฟ้าที่มองเห็นก็เป็นสีดำทะมึนอยู่ตลอด แสงสว่างสักสายก็มองไม่เห็นเลย
เพียงแต่เธอคำนวณเวลาดูแล้ว ตอนนี้ข้างนอกน่าจะเป็นช่วงเที่ยงของวันที่สองแล้ว เธอทิ้งจดหมายไว้ให้ตี้ฝูอี เขาคงจะได้อ่านแล้ว…
อันที่จริงตอนเขียนจดหมาย เธออยากเขียนถ้อยคำใจกว้างจำพวก ‘ขอให้นางในดวงใจของท่านฟื้นขึ้นมาในเร็ววัน ให้ท่านกับนางได้อยู่ร่วมกันโดยเร็ว ครองคู่โบยบิน’ ยิ่งนัก แต่ยาวที่จรดพู่กันเธอกลับรู้สึกว่าถ้อยคำใจกว้างเช่นนั้นเธอเขียนไม่ออก หลังจากฝืนใจเขียนออกมา เธอมองอักษรเหล่านั้นแล้วรู้สึกขัดเคืองนัยน์ตา อึดอัดใจยิ่งนัก เธอไม่อยากอวยพรเขาเช่นนี้…
ด้วยเหตุนี้คืนนั้นเธอเขียนออกมาหลายแผ่น กองกระดาษที่เขียนสามารถยัดได้เต็มตะกร้าทิ้งกระดาษแล้ว สุดท้ายเธอจึงเขียนไม่กี่ประโยคนั้นออกมา จากนั้นก็ทำลายก้อนกระดาษทั้งหมดในตะกร้าทิ้งกระดาษเสีย
เธอไม่อาจมอบคำอวยพรของเธอให้ได้ มากสุดก็คือยินยอมมอบร่างนั้นให้
เธอไม่อยากพบเขาอีกแล้ว กล่าวให้ถูกคือ เธอไม่อยากได้ยินข่าวคราวใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับเขาและอดีตประมุขเผ่าเงือกคนนั้นอีกแล้ว เช่นนี้ไม่ว่าประมุขสาวเผ่าเงือกผู้นั้นจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาตอนไหน เธอก็ไม่ต้องรับรู้ทั้งนั้น…
เขาดีต่อเธอ เธอรู้ดีดังนั้นถึงได้ยอมประคองร่างเดิมของตนส่งให้อย่างสันติเยือกเย็นเช่นนี้ นับว่าเป็นของกำนัลแก่น้ำใจของเขาที่คอยช่วยเหลือมามากมายหลายครั้ง
เธอก็หวังว่าเขาจะมีชีวิตที่ดี เธอชอบเขา แต่ไม่คิดจะปล่อยให้ตนต้องอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในภายภาคหน้า ไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นภรรยาขี้อิจฉาที่คอยแย่งชิงความโปรดปรานกับคนอื่น น่าเกลียดจนเกินไป แบบนั้นเธอคงจะรังเกียจตัวเองเช่นกัน
————————————————————————————-
บทที่ 1255 ตาท่านแดงจังเลย
เธอเชื่อว่าเวลาเป็นยารักษาที่ดีที่สุดสำหรับทุกอย่าง ต่อให้เจ็บปวดลึกล้ำเพียงใด ความรักลึกซึ้งแค่ไหนล้วนต้านทานการเคี่ยวกรำของกาลเวลาไม่ไหว
บางทีหลังจากผ่านไปสักสองสามปี เมื่อเธอได้ยินอีกครั้งว่าเขาครองคู่โบยบินกับคนอื่น จิตใจอาจจะสงบเยือกเย็น ส่งมอบคำอวบพรของตนให้ด้วยใจจริงก็ได้…
นับแต่นี้ไปต่างคนต่างยินดี ต่างคนต่างมีสุข
ความคิดของเธอดีมาก และกระทำเรื่องราวได้สมเหตุสมผลนักแม้กระทั่งลู่ทางในอนาคตเธอก็วางแผนไว้อย่างชัดเจนยิ่งแล้ว
แต่ว่า…หัวใจยังคงเจ็บปวดยิ่งนักเช่นเดิม! เจ็บเหมือนจะแตกสลาย เจ็บจนเธออยากเมามายโดยไม่สนใจไยดีทุกอย่างแล้ว
ในอดีตตอนที่หลงซีหักหลังเธอ หัวใจเธอเต็มไปด้วยคับแค้น ไม่ยินยอม
ยามนี้ตี้ฝูอีไม่นับว่าหักหลังเธอไปเสียทั้งหมด ทว่าเธอกลับรู้สึกราวกับโลกทั้งใบพังทลาย เหมือนถูกคนเสือกมีดแทงเข้าที่หัวใจ ปวดแปลบที่หัวใจ เต็มไปด้วยความสิ้นหวังอัดแน่นรัดรึง…
ยามนี้เมื่อได้รู้ความจริงเธอตกตะลึงจนแทบสิ้นสติ ถึงแม้จะจัดการอย่างเป็นระเบียบแบบแผนอยู่ แต่หัวใจกลับชืดชา ประสาทสัมผัสอืดอาดเชื่องช้า
สัญชาตญาณความเป็นนักฆ่าทำให้เธอสามารถจัดการสะสางทุกสิ่งได้อย่างรวดเร็วในยามที่ได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนัก จวบจนเธอแล่นมาที่ป่าทมิฬ เมื่อเธอระหกระเหินอยู่ในป่าทมิฬ ความเจ็บปวดด้านชานั้นถึงได้ทะลุม่านกำบังออกมา ราวกับมีใยแมงมุมที่ยุ่งเหยิงรุงรังพันอยู่ตรงทรวงอกเธอ ทั้งเจ็บปวดทั้งอัดอั้น อยากร้องไห้มากจริงๆ!
ริมตลิ่งแห่งหนึ่ง กองไฟหนึ่งกอง
บนกองไฟย่างแกะสี่เขาไว้ตัวหนึ่ง ที่นี่คือยอดเขาที่หก สัตว์ร้ายที่อาศัยอยู่บนยอดเขาที่หกย่อมไม่ใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน แกะสี่ตัวนี้ก็ไม่ใช่สัตว์กินพืชเช่นกัน รูปร่างดูเหมือนแกะ ทว่านิสัยกลับเหมือนหมาป่า
ก่อนหน้านี้สัตว์เลี้ยงทั้งสามล้วนถูกกู้ซีจิ่วส่งออกไปล่าสัตว์ กู้ซิ่วอยู่ลำพัง บางทีอาจเป็นเพราะรู้สึกว่าแม่นางน้อยอย่างกู้ซีจิ่วเป็นเหยื่อที่อ่อนแอรังแกได้ง่าย แกะสี่เขาตัวนี้จึงโผล่ออมาจากความมืด โจมตีกู้ซีจิ่วอย่างกะทันหัน คิดจะใช้เขาเสียบเธอเหมือนถังหูลู่แล้วค่อยกิน
ผลคือ…ผลคือพวกมันพบโศกนาฏกรรม ในสายตาของกู้ซีจิ่ว มันก็เป็นแค่เนื้อแกะอ้วนพีที่วิ่งได้เท่านั้น…
เธอกำลังรู้สึกว่ากระเพาะค่อนข้างว่างเปล่าอยู่พอดี ต้องการอะไรมาเติมเต็มเป็นการด่วน ดังนั้นหลังจากสังหารพวกมันแล้ว ก็เริ่มก่อไฟย่างแกะอยู่ตรงที่เดิม
ระหว่างที่ย่างอยู่เจ้าหอยยักษ์กลับมาถึงก่อน มันโยนของอร่อยเจ็ดแปดตัวออกมาจากฝาหอย กล่าวด้วยสีหน้าปรีดา “วันนี้ต้องได้กินของดีแน่นอน ข้ากินเจมานานเหลือเกิน!”
เมื่อเห็นกู้ซีจิ่วกำลังย่าง ‘แกะ’ ตัวนั้นอยู่ มันก็ตกตึง “เทาเที่ยนิภา! เจ้านาย ท่านล่าเทาเที่ยนิภาตัวหนึ่งได้!”
เทาเที่ยนิภาเป็นสัตว์ร้ายฉบับลอกเลียนแบบของเทาเที่ย รูปลักษณ์และนิสัยล้วนค่อนข้างมีส่วนคล้ายกับเทาเที่ย เพียงแต่ความสามารถด้อยกว่าเทาเที่ยอยู่บ้าง แต่ก็ดุดันห้าวหาญเพียงพอ ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญขั้นแปดเมื่อพบพานมันก็ต้องหนีให้ไกลเท่าที่จะไกลได้ นึกไม่ถึงว่ากู้ซีจิ่วจะจัดการมันได้ด้วยตัวคนเดียว
เจ้าหอยยักษ์จ้องเทาเที่ยนิภาตัวนั้นแวบหนึ่ง เห็นร่างเทาเที่ยนิภาตัวนั้นถูกบั้งเสมือนปลาราดพริกก็มิปาน มีรอยแผลอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง
มันจึงสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ มองเจ้านายอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง
นี่เป็นการทารุณกรรมของเจ้านายหรือ? อันที่จริงแทงกระบี่ใส่คอของเทาเที่ยนิภาทีเดียวก็เพียงพอจะเอาชีวิตมันได้แล้ว…
กู้ซีจิ่วไม่สนใจมัน ตั้งใจพลิกเนื้อย่างอยู่ตรงนั้น
จู่ๆ เจ้าหอยยักษ์ก็มองดวงตาของเธอ “เจ้านาย ตาท่านแดงจังเลย…ร้องไห้มาหรือ?”
กู้ซีจิ่วยกมือลูบตาเล็กน้อย “เพ้อเจ้อ! ข้าถูกควันรมต่างหาก ข้าไม่ได้ร้องไห้!” การลูบนี้ไม่สำคัญอีกแล้ว ลูบไปลูบมามือก็เปื้อนคราบน้ำแล้ว
เจ้าหอยยักษ์นิ่งงัน
หนูน้อยที่อยู่ในเปลือกหอยจ้องคราบน้ำมือเธอ ไม่ยอมเชื่อ “ยังจะอีกว่าไม่ได้ร้อง เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าน้ำตาไหลแล้ว…”
เจ้าหอยตัวนี้ช่างไม่เข้าอกเข้าใจผู้อื่นเอาเสียเลย กู้ซีจิ่วยิ้มหยันคราหนึ่ง “เจ้าโง่ ถูกควันรมจนตาแดงย่อมต้องน้ำตาไหลเป็นธรรมดา”
————————————————————————————-
บทที่ 1256 เธอถูกควันรม
เพื่อยืนยันจุดยืนของตัวเอง เธอจึงชักไม้ฟืนติดไฟท่อนหนึ่งออกมาแล้วไปตรงหน้าเจ้าหอยยักษ์
เธอเคลื่อนไหวว่องไว เจ้าหอยยักษ์จึงถูกรมควันอย่างไม่ทันตั้งตัว น้ำตาไหลพรากในทันใด มันรีบถอยหลังไปทันที ฝาหอยแทบจะกลิ้งเข้าไปในกองไฟ ใช้ฝาพัดสุดชีวิต “จะถูกรมตายแล้ว!”
“ตอนนี้เชื่อหรือยัง?” กู้ซีจิ่วถามมันโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา
เจ้าหอยยักษ์ย่อมเชื่อแล้ว เพียงแต่มันยังคงฉงนอยู่บ้าง “เจ้านาย ท่านย่างเนื้อมาตั้งหลายครั้งแล้ว เป็นครั้งแรกเลยนะที่ถูกควันรมตาเอา ท่านไม่ระวังเกินไปแล้วจริงๆ”
กู้ซีจิ่วไม่สนใจมันใช่แล้ว เธอถูกควันรม ดังนั้นถึงอยากร้องไห้ขนาดนี้…
คนเราเมื่อได้รับบาดเจ็บย่อมรู้สึกเจ็บปวด แต่พอตกสะเก็ดแล้ว ย่อมจะหายดีในเร็ววัน
ตอนนี้เธอเพิ่งบาดเจ็บมาอยู่ในช่วงที่เจ็บปวดที่สุด หลังจากผ่านพ้นช่วงนี้ไปแล้ว เธอก็จะไม่เจ็บปวดอีก บาดแผลถึงลึกล้ำเพียงใดก็ถูกลมเป่าจนแห้งกลายเป็นแผลเป็นรอยหนึ่งได้…
ลู่อู๋กับเพรียกวายุก็กลับมาแล้ว แต่ละตัวต่างล่าสัตว์กลับมาไม่น้อย เพียงพอให้หนึ่งคนสามสัตว์กินจนอิ่ม
เจ้าหอยยักษ์มองเจ้านายของบ้านตนอย่างเป็นกังวลยิ่งนัก วันนี้ดูเผินๆ เหมือนเจ้านายจัดการเรื่องราวได้เรียบร้อยเป็นขั้นเป็นตอน ความจริงแล้วมั่วซั่วเลอะเลือนอยู่บ้าง
ยกตัวอย่างเช่นนางเลาะหนังของเสือเขี้ยวดาบตัวหนึ่งออกมา โยนเนื้อทิ้งไปทางหนึ่ง แล้วเอาหนังเสือมาเสียบย่างไฟ ผลคือย่างๆ หนังเสืออยู่ ก็ลุกไหม้กลายเป็นลูกไฟดวงหนึ่ง เกือบจะเผามือนางแล้ว
ยังคงเป็นเจ้าหอยยักษ์ที่ตอบสนองว่องไว พ่นน้ำสายหนึ่งออกมาได้ทันเวลา ดับไฟให้นาง แต่หลังมือก็ถูกเผาจนพุพองไปแล้วสองจุด
“เจ้านาย?” เจ้าหอยยักษ์เปิดปากน้อยๆ เรียกนาง
ลู่อู๋น้อยก็โผเข้ามาเช่นกัน ตากลมแป๋วแหววทั้งสองข้างจ้องตุ่มน้ำมันวาวสองจุดนั้น ลองใช้ลิ้นเลียดู
เลียไปสองครั้งก็มองนางแวบหนึ่ง พบว่าเธอไม่มีท่าทีอึดอัดจึงหมอบลงแล้วเลียต่อ
ยังไม่ทันพูดอะไร เจ้าสองตัวนี้ก็จัดการให้เธออย่างตื่นตระหนกถึงเพียงนี้แล้ว ความรู้สึกที่ถูกไฟเผานั้นจึงทุเลาลงไน้อย
กู้ซีจิ่วสูดหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง ในใจยังคงอบอุ่นยิ่งนัก เธอสะกดอารมณ์ที่สับสนว้าวุ่นลงไป ยังคงมีแก่ใจเอ่ยล้อเล่น “ข้าเคยได้ยินมาว่าหนังเสือย่างไฟเลิศรสยิ่งนัก นึกไม่ถึงว่าคำร่ำลือจะหลอกลวงผู้อื่น”
หยกนภาที่อยู่ตรงข้อมือเธอเปล่งแสงหลายครั้ง เห็นได้ว่าหัวเราะเยาะคำโกหกของเธอ
กู้ซีจิ่วจงใจแปลงสารของมันเสีย “พวกเจ้าดูสิ แม้แต่เสี่ยวชางก็ยังเห็นด้วยกับข้าเลย!”
ด้วยเหตุนี้ สหายหยกนภาจึงเปล่งแสงต่อเนื่องกันสามครั้งด้วยความขุ่นเคืองยิ่งนัก รู้สึกว่ายังไม่เพียงพอจะแสดงความขุ่นเคืองได้ จึงเปล่งแสงอีกสามครั้ง
กู้ซีจิ่วเพียงทำเป็นไม่เห็น ด้านหยกนภาก็ไม่มีหนทางให้สื่อสารกับเธอมากนัก ไม่อาจตอบโต้แสดงตัวตนในสมองเธอได้อีกแล้ว…
ว่ากันตามจริง เธอยังคงพะวงเรื่องที่ขาดการเชื่อมต่อกับหยกนภาอยู่ยิ่งนัก ถึงแม้เจ้านี่จะเป็นตัวพูดจ้อตัวหนึ่ง ทว่าเป็นกุนซือที่แท้จริงของเธอ ความรู้มากมายของโลกใบนี้ล้วนป็นมันที่ประสิทธิ์ประสาทให้เธอ และเป็นเพื่อนคนแรกของเธอในโลกนี้
น่าเสียดายที่ต่อไปเธอจะเชื่อมต่อกับเสี่ยวชางไม่ได้อีกแล้ว…
จมูกของเธอดูเหมือนจะแสบร้อนขึ้นมาอีกครั้ง เธอจึงหยุดคิดไปเสีย หยิบสุราไหหนึ่งออกมา ตบผนึกโคลนออกอย่างผ่าเผยแล้วกล่าวว่า “มีเนื้อแล้วขาดสุราจะหนำใจได้อย่างไร พวกเรามาดื่มกันเถอะ!”
ลู่อู๋ร้องออกมาอย่างปรีดาสองครา รีบวิ่งไปนั่งอยู่เบื้องหน้าเธอ เจ้าหอยยักษ์ก็น้ำลายไหลแล้ว อ้าฝาหอยคอยท่า
กู้ซีจิ่วหยิบชามใหญ่ออกมาสี่ใบ รินใส่แต่ละใบจนเต็ม “วางใจเถอะ มีสำหรับทุกคน ลู่อู๋ เจ้ายังเล็กอยู่ เจ้าดื่มน้อยหน่อย แค่ชามนั้นก็พอ”
เจ้าหอยยักษ์แสดงออกอย่างฮึกเหิม “เจ้านาย ข้ากินหนัก ดื่มหนัก ข้าดื่มมากๆ ได้!”
ครั้งนี้กู้ซีจิ่วเตรียมข้าวของสำหรับเดินทางครบครันยิ่ง สุราเลิศรสก็เตรียมไว้ไม่น้อย เธอหยิบออกมาสามไหวางไว้ตรงนั้นเลย “ดื่ม! วันนี้เจ้าจะได้ดื่มอย่างเปรมปรีดิ์!”
————————————————————————————-
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น