ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 1250-1257
บทที่ 1250 ความฝันกับมหาสมุทร
จากนั้นคาเมรอนได้พูดแนะนำเกี่ยวกับกฎเกณฑ์บางส่วนของการทำภาพยนตร์ ในด้านการเลือกหัวข้อในการทำภาพยนตร์ จุดสำคัญที่สุดคือต้องคำนึงถึงความต้องการของผู้จัดกับผู้กำกับ
สำหรับผู้กำกับทั่วไปแล้ว จะเริ่มจากการมีบทละครที่เหมาะสมก่อน หลังจากผู้จัดสนใจแล้ว จะทำการเลือกผู้กำกับมาทำการถ่ายทำ จากนั้นก็คือการเลือกผู้แสดงและสถานที่ถ่ายทำ
สำหรับผู้กำกับชื่อดังระดับคาเมรอนแล้ว จะไม่เหมือนกัน เขาจะทำบทละครออกมาก่อน ค่อยไปหาผู้จัดร่วมลงทุน หรือก็คือว่า ขอแค่เงินไม่ขัดสน คาเมรอนอยากถ่ายทำอะไรก็ทำได้ตามใจ
สำหรับวงการภาพยนตร์แล้ว คาเมรอนถือว่าเป็นสุดยอดอัจฉริยะ เขาไม่เคยเข้าเรียนสาขาการถ่ายทำภาพยนตร์มาก่อน ความสามารถในด้านการถ่ายภาพยนตร์ของเขานั้นเกิดจากการเรียนรู้ด้วยตัวเอง หลังจากได้เข้าร่วมการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ‘แรมโบ้ นักรบเดนตาย 2’ แล้วตัวเขาก็ได้ทำภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามเช่น ‘เอเลี่ยน’ ‘ฅนเหล็ก’ และ ‘ไททานิก’ ออกมา
ระหว่างที่ช้อนคนกาแฟอยู่ คาเมรอนยิ้มแล้วพูดว่า “ผมเคยเป็นคนที่ชื่นชอบในการเป็นวีรบุรุษมาก ดังนั้นผมจึงเข้าร่วมการเขียนบท ‘แรมโบ้ นักรบเดนตาย’ ด้วย” แต่หลังจากนั้นผมก็พบว่า นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากทำ ผมควรจะทำอะไรที่ผมชอบ และมหาสมุทรก็คือสิ่งที่ผมชอบ”
ฉินสือโอวยักไหล่ พูดว่า “งั้นพวกเราก็มีความชอบเดียวกัน ผมก็ชอบมหาสมุทรเหมือนกัน”
คาเมรอนส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่เหมือนกันหรอก คุณชอบมหาสมุทรเพราะตัวตนที่แท้จริงของมัน ผมชอบมหาสมุทรเพราะชอบความน่าพิศวงของมัน ชอบสิ่งที่ยังไม่ถูกค้นพบของมัน นี่คือพลังชีวิตในการเขียนบทของผม”
เขาไม่ได้พูดอะไรต่ออีก แต่เปลี่ยนเรื่องพูดแทน เขาถามว่า “ตอนเรียนมหาวิทยาลัยคุณชอบอ่านนิยายประเภทไหนที่สุดครับ?”
ฉินสือโอวคิดสักพัก พูดว่า “น่าจะเป็นแนวจอมเทพนะครับ? เป็นวรรณกรรมในอินเทอร์เน็ตของจีนประเภทหนึ่ง น่าสนใจมากครับ”
ระหว่างพูด ก็มีความคิดโผล่ขึ้นมาในใจ “เฮ้ เพื่อน พวกเรามาร่วมกันถ่ายทำภาพยนตร์เกี่ยวกับจอมเทพกันดีไหมครับ? ประเทศของผมมีเนื้อหาที่เหมาะสมเยอะแยะเลย ผมสามารถช่วยเหลือคุณด้านหาข้อมูลได้นะ ว่าอย่างไรครับ?”
คาเมรอนหัวเราะออกมา แต่ไม่ได้พูดต่อคำพูดเขา เขายังคงพูดถึงหัวข้อของตัวเองต่อ “ตอนผมเรียนอยู่นั้นชอบอ่านนิยายไซไฟที่สุด ไม่ว่าจะเป็นตอนอยู่บนรถโรงเรียนหรือเวลาพักระหว่างคาบเรียน ขอแค่มีเวลาผมก็จะอ่านนิยายไซไฟ”
ฉินสือโอวพยักหน้าบ่งบอกว่าเข้าใจ คาเมรอนเป็นคนที่เกิดในศตวรรษที่แล้วในปี 50 ในช่วงปี 60 และปี 70 ที่เขาเข้าเรียนนั้น เพราะความทั่วถึงของโทรทัศน์รับสัญญาณดาวเทียม ทำให้แคนาดาเข้าสู่ช่วงการระเบิดของความรู้ครั้งใหญ่ เขาเคยได้ยินพ่อแม่ของวินนี่คุยกัน พวกเขาก็เหมือนกับคาเมรอน ในช่วงวัยรุ่นพวกเขาก็หลงใหลในนิยายไซไฟเหมือนกัน
“การสัมผัสกับนิยายไซไฟทำให้ผมคิดได้ว่า เอเลี่ยนไม่จำเป็นต้องอาศัยอยู่แต่นอกโลกเท่านั้น มีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาจะอาศัยอยู่บนโลกของเราด้วย ดังนั้นตอนอายุ 15 ปี ผมจึงตัดสินใจที่จะเป็นนักดำน้ำ คุณรู้ไหมว่าผมมีความคิดอย่างไร?” คาเมรอนถามพร้อมรอยยิ้ม
ฉินสือโอวตอบอย่างคาดเดาว่า “คุณคิดว่าเอเลี่ยนอาศัยอยู่ใต้ท้องทะเลลึก?”
คาเมรอนหัวเราะร่าพร้อมพยักหน้า ถามว่า “ผมในตอนนั้นโง่มากใช่ไหมครับ?”
ฉินสือโอวบอกว่า “ไม่ครับ บางทีใต้ทะเลลึกอาจมีเอเลี่ยนอาศัยอยู่จริงๆ นะครับ แม้ว่าจะไม่มีเอเลี่ยน แต่ก็ยังมีอะไรอีกมากมายที่มนุษย์ไม่เคยพบมาก่อน หากว่าพวกเราได้ทำความรู้จักใต้ทะเลอย่างถ่องแท้แล้ว จะต้องพบอะไรที่แปลกใจมากแน่”
มีจิตสำนึกแห่งโพไซดอนอยู่ ท้องทะเลก็คือสวนหลังบ้านของเขา ฉินสือโอวทำการวนเวียนอยู่แต่ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือที่เป็นเพียงพื้นที่เล็กน้อยของมหาสมุทรทั้งหมดเท่านั้น การได้คุยกับคาเมรอนแบบนี้ การได้ฟังเขาเล่าถึงการคาดเดาเกี่ยวกับท้องทะเล ฉินสือโอวรู้สึกว่าบางทีตัวเองน่าจะออกไปน่านน้ำอื่นๆ ดูบ้าง
เถ้าแก่เริ่มเสิร์ฟอาหาร ระหว่างทานอาหาร คาเมรอนก็พูดเกี่ยวกับชีวิตในวัยเด็กและวัยรุ่นของเขา
ฉินสือโอวรู้ว่าผู้กำกับใหญ่คนนี้คือคนแคนาดา แต่ไม่รู้ว่าเขาเกิดในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งในรัฐออนแทรีโอ ที่อยู่ห่างจากทะเลแถบนี้เพียง 6 ไมล์เท่านั้น
หลังได้รู้จักโลกนี้ผ่านทางโทรทัศน์และนิยายไซไฟแล้ว คาเมรอนก็ได้เกิดความคาดหวังกับมหาสมุทรขึ้นมา ตอนเด็กฉินสือโอวก็เต็มไปด้วยความคาดหวังกับมหาสมุทรเหมือนกัน แต่พ่อของเขาไม่ยอมให้เขาลงแม้กระทั่งแม่น้ำ ตอนสมัยประถมทุกครั้งที่เขาแอบไปจับปลาและอาบน้ำในแม่น้ำ ก็หนีไม่พ้นถูกลงโทษอย่างหนักทุกครั้ง
เทียบกันแล้ว คาเมรอนโชคดีกว่ามาก พ่อของเขาสนับสนุนความฝันที่จะสำรวจมหาสมุทรของเขา แถมยังหาโปรแกรมสอนดำน้ำในเมืองบัฟฟาโลที่อยู่ชายแดนทะเลฝั่งตรงข้ามของรัฐนิวยอร์กในอเมริกาให้เขาอีกด้วย หลังจากนั้นเขาก็ได้รับใบรับรองการดำน้ำจากสระว่ายน้ำใหญ่ในบัฟฟาโล
สมัยยังเด็ก เพราะความจำเป็นในงานของพ่อคาเมรอน พวกเขาจึงย้ายไปรัฐแคลิฟอร์เนียในอเมริกา แคลิฟอร์เนียมีแนวชายฝั่งทะเลที่ยาวมาก เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการดำน้ำในอเมริกา ที่นั่นคาเมรอนใช้ชีวิตวัยเด็กที่สุดวิเศษและได้กลายเป็นนักดำน้ำมืออาชีพที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง
หลังจากนั้นเขาก็เข้าเรียนมหาวิทยาลัย เรียนจบและได้สัมผัสกับวงการภาพยนตร์ ภาพยนตร์ที่ทำให้คาเมรอนโด่งดังสุดขีดก็คือ ‘ไททานิก’ ภาพยนตร์เรื่องนั้นทำให้ผู้กำกับใหญ่ได้รางวัลออสการ์ในฐานะผู้กำกับยอดเยี่ยม และทำให้เขาได้รู้จักกับความพิศวงและความงดงามของมหาสมุทรอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้คาเมรอนรู้จักมหาสมุทรผ่านการดำน้ำ ทีวีและหนังสือ ตอนที่ถ่ายทำไททานิก ทีมงานเช่าเรือดำน้ำมาหนึ่งลำ คาเมรอนได้เข้าไปสู่พื้นที่ที่ไม่เคยมีใครไปถึงมาก่อนผ่านเรือดำน้ำนั้น และได้สัมผัสกับสิ่งของมากมายในมหาสมุทร
และเพราะการค้นพบนี้ หลังจากถ่ายทำ ‘ไททานิก’ เสร็จแล้ว คาเมรอนก็หยุดอาชีพการถ่ายภาพยนตร์ของเขา แล้วไปร่วมกับกลุ่มสำรวจมหาสมุทรทันที จวบจนกระทั่งวันนี้ คาเมรอนก็ยังคงรู้สึกดีมากกับมหาสมุทร ภาพยนตร์ที่เขาถ่ายทำส่วนใหญ่จะเป็นแนวแฟนตาซี แล้วมหาสมุทรก็คือโลกแห่งแฟนตาซีที่สมบูรณ์แบบแห่งหนึ่ง
แม้การถ่ายภาพยนตร์ครั้งนี้จะเกี่ยวกับภัยพิบัติเหมือนกับ ‘ไททานิก’ แต่ว่าเป็นคนละแนวกัน ไททานิกเป็นภาพยนตร์แนวโศกนาฏกรรมความรัก แต่การถ่ายทำในครั้งนี้ เป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับภัยพิบัติทะเลที่นำเสนอเรื่องการเป็นวีรบุรุษเป็นหลัก
ความคิดนี้ได้เกิดขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงของสองปีก่อน จากนั้นก็พอดีกับที่มีเหตุการณ์ช่วยเหลือเรือฮาวิซทในพายุ ตอนนั้นเรื่องนี้ได้กลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ใหญ่มาก คาเมรอนจึงเกิดไอเดียขึ้นมา ที่จะใช้ IP นี้มาทำภาพยนตร์ที่คล้ายกัน
ดังนั้น จึงเกิดความคิดเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่อง ‘วีรบุรุษในทะเลคลั่ง’ ขึ้นมา และเกิดการร่วมมือกันของคาเมรอนและฉินสือโอว ก่อนหน้านี้ที่เขาตอบรับการเชิญของเคอร์ไปร่วมรับประทานอาหารค่ำกับตระกูลสเตราส์ ก็เพื่ออยากจะทำความรู้จักกับฉินสือโอว เพื่อจะบรรลุการถ่ายภาพยนตร์เรื่องนี้ผ่านตัวเขานั่นเอง
ตอนนี้ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วขาดก็เพียงแต่ลมบูรพา ขอแค่นิมิตส์กลับไปร่วมทีม เขาก็สามารถถ่ายทำภาพยนตร์ได้แล้ว
ความจริงอาหารมื้อนี้ก็คือคาเมรอนต้องการเร่งฉินสือโอวนั่นแหละ เขาหวังว่านิมิตส์จะรีบเข้าร่วมทีมถ่ายทำให้เร็วที่สุด
กินอาหารของคนอื่นแล้วทำให้ใจอ่อน ตอนจากกันฉินสือโอวตบอกรับรองว่ากลับไปแล้วจะรีบหาทางส่งนิมิตส์ไปให้เขาที่ไมอามี
เมื่อได้คำรับรองจากเขาแล้ว คาเมรอนก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วพูดว่า “ถ้ารู้ว่าข้าวมื้อเดียวก็จัดการปัญหานี้ได้ ทำไมผมถึงไม่เชิญคุณมาทานข้าวให้เร็วกว่านี้นะ?”
ฉินสือโอวยักไหล่แล้วพูดว่า “ตอนนี้ก็ยังไม่สายครับ นิมิตส์เป็นนกที่ฉลาดมาก คุณเตรียมการให้พร้อมก็พอแล้วครับ การถ่ายทำที่เกี่ยวกับมันจะต้องเป็นได้อย่างราบรื่น ไม่มีการใช้เวลามากไปแน่นอนครับ”
บทที่ 1251 ไทรโลไบต์
บอกลาผู้กำกับใหญ่คาเมรอนแล้ว ฉินสือโอวก็เตรียมขึ้นเฮลิคอปเตอร์กลับฟาร์มปลา แต่ตอนที่ออสเปรเพิ่งติดเครื่องขึ้นมา แผงควบคุมตรงที่นั่งคนขับก็แสดงไฟแดงขึ้นมาทั้งแถบ ส่งเสียงดังแสบแก้วหูขึ้นมา
ฉินสือโอวเพิ่งเคยเจอกับสถานการณ์นี้เป็นครั้งแรก เขากำลังพักสายตาอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับ เสียงดังนี้ทำให้เขาตกใจจนหัวใจเต้นรัว แล้วรีบถามว่า “เกิดอะไรขึ้น เพื่อน?”
ออสเปรทำท่าบอกให้เขาใจเย็น เขาปิดเครื่องยนต์แล้วไปตรวจสอบดู ตอนกลับมาเขาพูดว่า “ข้อต่อคอนเดนเซอร์อันหนึ่งในเครื่องยนต์เป็นสนิมครับ ผมต้องหาน้ำมันเครื่องมาล้างมันออกหน่อย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อีกเดี๋ยวก็บินได้แล้วครับ”
ฉินสือโอวรู้สึกว่าควรจะระวังไว้หน่อยดีกว่า เขาบอกว่า “ช่างเถอะ ออสเปร พวกเราทิ้งเจ้านี่ไว้ที่นี่แล้วให้คนจากศูนย์การบินมาจัดการดีกว่า พวกเราอย่าเสี่ยงกันเลย นั่งรถไฟกลับเซนต์จอห์นกันเถอะ”
ท่าเรือบาสก์ไม่มีสนามบิน สนามบินที่ใกล้ที่สุดคือเซนต์แอนโธนี่ที่อยู่ทางตอนเหนือ แบบนี้สู้นั่งรถไฟกลับไปดีกว่า
ออสเปรมีท่าทีผ่อนคลาย แล้วพูดว่า “นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรนะครับ บอส ผมเอาอยู่ครับ เมื่อก่อนตอนปฏิบัติติหน้าที่ในกองทหาร คอนเดนเซอร์ของเครื่องยนต์ระเบิดออกผมก็กล้าขับ”
“แต่ฉันไม่กล้าตาย” ฉินสือโอวพูดตรงๆ เขาเป็นเทพแห่งทะเลไม่ใช่เทพแห่งท้องฟ้า ท้องฟ้าไม่ใช่เขตอำนาจของเขา หากว่าเฮลิคอปเตอร์เกิดปัญหาระหว่างอยู่บนฟ้าล่ะ เขาไม่กล้าเสี่ยงจริงๆ
ออสเปรยักไหล่ หยิบมือถือออกมาซื้อตั๋วรถไฟสี่ใบจากท่าเรือบาสก์ไปยังเซนต์จอห์น
การคมนาคมของแคนาดาคล้ายกับอเมริกา มีสนามบินอยู่ทั่วทุกที่ สายการบินกลายเป็นเครื่องมือที่ง่ายและได้ผลที่สุดในการเดินทาง ราคาถูก ความปลอดภัยสูง ใช้เวลาน้อย ส่วนการเดินทางโดยรถไฟนั้นคือเครื่องมือในการเดินทางระดับกลางค่อนไปทางสูง
จุดนี้เป็นความแตกต่างที่ใหญ่โตระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วกับประเทศที่กำลังพัฒนา อย่างเช่นแคนาดา อัตราการครอบคลุมของทางด่วนในประเทศสูงกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ นอกจากตอนเหนือจะใกล้กับเขตขั้วโลกเหนือแล้ว พื้นที่อื่นๆ ล้วนมีทางด่วนทั้งนั้น แถมยังสามารถใช้ฟรีได้แทบทั้งหมดด้วย
เมื่อเป็นแบบนี้ คนที่ออกเดินทางไกลจึงเลือกใช้เครื่องบิน ทางใกล้ก็จะขับรถไปเอง ทำให้ตลาดรถไฟไม่มีลูกค้า
และบริษัทคมนาคมรถไฟก็เหมือนกับบริษัทรถไฟแปซิฟิกที่ต่างก็เป็นธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีมานาน เมื่อพวกเขาเห็นถึงวิกฤตนี้แล้วก็ทำการเปลี่ยนแปลงรูปแบบธุรกิจทันที เปลี่ยนการเดินทางทางรถไฟไปเป็นกิจกรรมสำหรับผ่อนคลายอย่างหนึ่ง
อัตราการครอบคลุมของรถไฟในรัฐนิวฟันด์แลนด์ค่อนข้างต่ำ อย่างไรเสียนิวฟันด์แลนด์ก็คือเกาะแยกกลางทะเลขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง คมนาคมทะเลจึงสำคัญที่สุด จากนั้นก็เป็นคมนาคมทางอากาศและพื้นดิน คมนาคมรถไฟมีการครอบคลุมน้อยมาก
แต่ถึงอย่างนั้น คมนาคมการรถไฟของนิวฟันด์แลนด์ก็ยังคงพัฒนาขึ้นอย่างมาก สถานีรถไฟของท่าเรือบาสก์ถูกสร้างขึ้นราวกับปราสาท ห้องรอรถไฟกว้างขวาง ทั้งห้องเป็นสีเหลืองนวล ทำให้แม้ว่าจะนั่งรอในช่วงฤดูหนาวก็ยังคงรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น
พอถึงสถานีรถไฟแล้ว ฉินสือโอวมองดูเวลา ยังเหลือเวลาก่อนรถไฟออกอีกหนึ่งชั่วโมงกว่า เขาไม่อยากนั่งเหงาอยู่ที่สถานี จึงไปซื้อแผนที่มาหนึ่งชุดตรงแผงขายหนังสือ แล้วพบว่ามีศูนย์อภิปรายอยู่ไม่ไกลนัก เรียกว่าศูนย์อภิปรายโกลเด้นเนล
ศูนย์อภิปรายนิวฟันด์แลนด์สามารถเรียกได้ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ หอที่ระลึก หรือหอศิลปะ สรุปก็คือที่ที่มีการอภิปรายก็จะเรียกว่าศูนย์อภิปราย ศูนย์อภิปรายนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น
ฉินสือโอว ออสเปร นีลเซ็น และแซนเดอร์สเดินเตร็ดเตร่เข้าไปที่ศูนย์อภิปราย หลักๆ แล้วที่นี่เป็นสถานที่ระลึกถึงเหตุการณ์ระเบิดครั้งใหญ่ในยุคแคมเบรียน ในนั้นเต็มไปด้วยฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตประเภทฟองน้ำทะเล ไฟลัมไนดาเรีย ไพรอะพูลา โลโบโพเดีย แบรคิโอพอด มอลลัสกา สัตว์ขาปล้อง อิคีเนอเดอร์เมอเทอ และสัตว์มีแกนสันหลัง
เกี่ยวกับเหตุการณ์ระเบิดครั้งใหญ่ในยุคแคมเบรียน เป็นเหตุการณ์ที่คุ้นหูของคนที่ศึกษาสิ่งมีชีวิตทุกคน ทางศาสตร์ของชีววิทยาเห็นพ้องกันว่าการพัฒนาของสิ่งมีชีวิตบนโลกในปัจจุบันได้ยึดตามหลัก ‘ศาสตร์วิวัฒนาการ’ ของดาร์วิน แต่ ‘ศาสตร์วิวัฒนาการ’ ไม่สามารถอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเหตุการณ์ระเบิดในยุคแคมเบรียนได้
ตอนนี้เป็นตอนที่แซนเดอร์สแสดงให้เห็นประโยชน์ของเขาแล้ว หลังจากเข้าไปในศูนย์อภิปรายเขาก็เริ่มพูดพล่ามไม่หยุด ให้ข้อมูลสิ่งมีชีวิตแต่ละชีวิตให้กับทั้งสามคน ไม่ว่าจะเจออะไร เขาก็สามารถให้ข้อมูลได้หมด หนำซ้ำยังมีแหล่งอ้างอิงอีกด้วย เขาอธิบายได้ออกรสออกชาติกว่าไกด์เสียอีก
ตอนที่เดินไปถึงกลางห้อง ฉินสือโอวพลันหันไปเห็นสิ่งมีชีวิตประเภทสัตว์ขาปล้องที่รูปร่างหน้าตาแปลกจำนวนหนึ่ง สัตว์พวกนี้มีเปลือกทรงกลมบนหลัง หนึ่งในนั้นมีเปลือกที่ทับกันเป็นชั้นๆ ขึ้นมา รอบตัวมีอวัยวะเป็นซี่ๆ ที่ยื่นออกมาเหมือนกับขา แถมยังมีปากตรงท้องด้วย ดูคุ้นตาเขามาก แมลงยักษ์สีดำก็รูปร่างแบบนี้ไม่ใช่เหรอ?
ฉินสือโอวเดินเข้าไปดูใกล้ๆ สิ่งมีชีวิตพวกนี้มีชื่อเสียงมาก พวกมันเป็นหนึ่งในไทรโลไบต์ที่มีชื่อเสียง มีชีวิตอยู่เมื่อห้าร้อยล้านปีก่อน อวัยวะที่เหมือนกับขารอบตัวนั้นไม่ใช่ขาของแมลงเปลือกดำ แต่เรียกว่ากระดูก สามารถมองได้ว่าเป็นกระดูกที่ยื่นออกมา
ถ้ามองดีๆ แล้ว ไทรโลไบต์กับแมลงเปลือกดำนั้นแตกต่างกันมากทีเดียว แต่ถ้ามองผ่านๆ รูปลักษณ์ภายนอกของทั้งสองเหมือนกันจริงๆ โดยเฉพาะส่วนท้องของพวกมันทั้งคู่ที่มีอวัยวะสำหรับกินอาหารเหมือนกัน จึงเป็นไปไม่ได้ที่ฉินสือโอวจะนึกถึงพวกมันทั้งสองพร้อมกัน
แซนเดอร์สเห็นเขาสนใจไทรโลไบต์พวกนี้ จึงเข้ามาอธิบายให้ฟังว่า “คุณสนใจแมลงพวกนี้เหรอครับ? พวกมันไม่ใช่ไทรโลไบต์เปลือกใหญ่ มีจำนวนค่อนข้างน้อย และยังไม่รู้ช่วงเวลาที่สูญพันธุ์ที่แน่ชัด”
ฉินสือโอวถามว่า “เป็นไปได้ไหมที่ตอนนี้พวกมันก็ยังไม่สูญพันธุ์?”
แซนเดอร์สหัวเราะขึ้นมา แล้วพูดอย่างมั่นใจว่า “ไม่ครับ เป็นไปไม่ได้แน่นอน สภาพแวดล้อมของมหาสมุทรเมื่อห้าล้านปีก่อนกับตอนนี้แตกต่างกันอย่างมาก โครงสร้างเซลล์ของไทรโลไบต์เรียบง่ายเกินไป ไม่มีความสามารถในการปรับตัว ดังนั้นพวกมันจึงไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมแบบนี้ได้”
ฉินสือโอวพยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก แต่ได้จำชื่อไทรโลไบต์เปลือกใหญ่ไว้ในใจ กะว่ากลับไปแล้วจะตั้งใจศึกษาอย่างจริงจัง
ในตอนท้าย ด้านหลังทั้งสี่คนมีนักท่องเที่ยวมาตามถึงสิบกว่าคน พวกคนเหล่านี้คงคิดว่าแซนเดอร์สเป็นไกด์ ยังมีคนถามขึ้นว่า “คุณครับ ไม่ทราบว่าคุณทำงานที่นี่มานานแค่ไหนแล้วครับ? ความรู้ของคุณช่างมากมายจริงๆ ครับ”
แซนเดอร์สกะพริบตา ตอบไปด้วยน้ำเสียงอึกอักว่า “ผมไม่ได้ทำงานที่นี่หรอกครับ เมื่อก่อนผมเคยอยู่ที่โทรอนโต ตอนนี้อยู่เซนต์จอห์น…”
เมื่อเกิดเรื่องเข้าใจผิดเล็กๆ นี้ขึ้น ทำให้เหลือเวลาก่อนรถไฟออกไม่เท่าไรแล้ว ฉินสือโอวตัดสินใจเดินกลับไปก่อน เพื่อจะได้ไม่ตกรถไฟ
ความกังวลของเขาเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ระหว่างที่เดินกลับไปสถานีรถไฟ และยืนรอไฟแดงอยู่ที่สี่แยกนั้น ฝั่งตรงข้ามมีกลุ่มคนที่กำลังโกรธจัดเดินเข้ามา ทำให้ฉินสือโอวตกใจไปทีหนึ่ง นึกว่าได้เจอกับกลุ่มคนอยากแก้แค้นเสียแล้ว
แซนเดอร์สมีประสบการณ์มากมาย มองทีเดียวก็เข้าใจแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรครับ บอส นี่เป็นกลุ่มประท้วงของโรงงานผลิตกระดาษในท้องที่ เห็นทีค่าแรงของพวกเขาคงจะออกช้าหรือไม่ก็ไม่มีโบนัสอีกแน่เลย”
ด้านหลังของท่าเรือบาสก์เป็นผืนป่าผืนใหญ่ที่สวยงาม ที่นี่เป็นสถานที่รวมโรงงานผลิตกระดาษที่ใหญ่ที่สุดของนิวฟันด์แลนด์ โรงงานผลิตกระดาษที่จัดอยู่ในอันดับที่สี่และห้าของแคนาดาทั้งสองโรงงานก็ตั้งอยู่ที่นี่
แต่ว่าเมื่อต้นปีปีนี้ โรงงานผลิตกระดาษฮันนิบาลที่อยู่อันดับที่ห้าได้ประกาศล้มละลาย จึงได้ทิ้งคนที่สูญเสียงานไว้กว่าพันคนและหนี้ธุรกิจอีกกว่าสิบล้านเหรียญ
บทที่ 1252 คนละชนชาติกับฉัน
ฉินสือโอวเห็นหลายคนในคนกลุ่มนี้สวมชุดพนักงานอยู่ แม้ว่าจะอยู่ห่างกันค่อนข้างไกล จนเขามองไม่เห็นโลโก้และชื่อบนเสื้อ และไม่รู้ว่าเป็นกลุ่มประท้วงของโรงงานไหน
นีลเซ็นเข้าไปเดินวนดูสักพัก ก็กลับมาพร้อมกับสีหน้าเคร่งเครียดแล้วพูดว่า “เป็นพนักงานของโรงงานผลิตกระดาษคัตเตลานครับ ดูเหมือนว่าจะไม่ได้จ่ายเงินเดือนมาสามเดือนแล้ว พวกพนักงานทนไม่ไหว จึงรวมตัวกันขึ้นมาประท้วง”
ฉินสือโอวส่ายหัวแล้วพูดว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น อยู่ดีๆ ทำไมเศรษฐกิจของแคนาดาถึงได้แย่ขนาดนี้? ดูท่าว่าจะไม่ใช่แค่ธุรกิจการประมงของพวกเราเท่านั้นที่ลำบาก คนอื่นๆ ก็ลำบากเหมือนกันนะ”
นีลเซ็นกับออสเปรมองตากันทีหนึ่ง แล้วก็รู้สึกว่าคำพูดนี้ของบอสนั้นไม่ใช่ความจริงเลย คนอื่นลำบากแต่เหมือนคุณจะมีชีวิตที่ดีมากเลยไม่ใช่เหรอ?
แน่นอนว่า ชีวิตของพวกชาวประมงเองก็ดีไม่แพ้กัน
เมื่อมีนักประท้วงขวางทางอยู่ กลุ่มของฉินสือโอวจึงไม่สามารถเดินกลับไปได้ แต่ตอนนี้เหลือเวลาจากเวลาที่รถไฟจะออกไม่มากแล้ว เขาจึงบอกกับนีลเซ็นและออสเปรว่า ทุกคนตัดสินใจกันแล้วว่าจะฝ่าออกไป
ทั้งสี่คนพากันเดินไปทางกลุ่มประท้วง คนเยอะเกินไปทำให้การเดินชนกันเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ นีลเซ็นที่อยู่ข้างหน้าชนคนมากที่สุด แต่ก็ไม่มีใครว่าอะไร คนที่ฉินสือโอวเดินชนมีน้อยลงมาหน่อย เขารู้สึกเกรงใจเล็กน้อย จึงพลางเดินพลางขอโทษไปด้วย
ภายหลังมีคนสังเกตเห็นเขาจึงถามว่า “เพื่อน นายเป็นคนญี่ปุ่นหรือเปล่า?”
ฉินสือโอวอึ้งไปชั่วครู่ เมื่อได้สติแล้วก็พูดไปว่า “ไม่ครับ ผมเป็นคนจีน”
เขาไม่รู้สึกว่าคำพูดเขามีปัญหาตรงไหน แต่หลังจากเขาพูดออกไปแบบนี้แล้ว คนขาวคนนั้นก็ผลักเขาทันที แล้วตะโกนว่า “คนจีน? เฮ้ย นายชนฉันเจ็บแล้วรู้หรือเปล่า?!”
ฉินสือโอวนึกไม่ถึงว่าปฏิกิริยายาของคนคนนี้จะรุนแรงขนาดนี้ เขากำลังจะขอโทษ แต่ผู้คนรอบๆ ก็ล้อมกันเข้ามาเสียก่อน แล้วใช้สายตาที่ไม่เป็นมิตรเลยจ้องมาที่เขา แถมมีคนด่าทอเขาไม่หยุดด้วย ชัดเจนเลยว่ามาเพื่อหาเรื่องนี่เอง
ฉินสือโอวไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขายกมือทั้งสองข้างเป็นความหมายว่าเขาไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเรื่องเลย แต่คนรอบด้านเขาก็ยังคงไม่ปล่อยเขาไป หลังพวกเขาพากันล้อมเขาไว้ตรงกลางแล้วก็มีคนยื่นมือมาผลักเขาด้วย
แถมยังมีคนด่าไม่หยุดปากอีกว่า “ฟัค! ไอ้คนจีนสารเลว พวกนายมาที่ท่าเรือบาสก์ของพวกเราทำไม? งานของพวกเราก็ถูกพวกนายนี่แหละที่แย่งไป…ฟัค! ให้พวกมันไสหัวออกไปจากที่ของเราซะ!”
นีลเซ็นที่เดินเปิดทางอยู่ข้างหน้ากับออสเปรที่เดินปิดท้ายอยู่เห็นฉากนี้แล้วก็ร้อนใจขึ้นมา ทั้งสองคนพยายามเบียดตัวเข้าไปปกป้องฉินสือโอวหน้าคนหลังคน จากนั้นก็จ้องตาเขม็งไปที่ผู้คนที่ล้อมเข้ามา แล้วใช้น้ำเสียงแหบแห้งตะโกนออกไปว่า “ไอ้พวกกลุ่มลูกหมา! ไป รีบไป! พวกเราเป็นเจ้าของฟาร์มปลาจากเซนต์จอห์น ถ้าไม่อยากโดนฟ้องก็รีบถอยห่างจากพวกเราเดี๋ยวนี้!”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘เจ้าของฟาร์มปลา’ แล้ว ก็มีคนมองสำรวจตัวฉินสือโอวทีหนึ่ง แล้วก็ถามอย่างลองเชิงว่า “เฮ้ เพื่อน นายเป็นเจ้าของฟาร์มปลาจากเซนต์จอห์นเหรอ? ฉินคนจีนคนนั้นเหรอ? ฉินคนจีนที่ขับเรือฮาวิซท แล้วก็พานักแสวงบุญของพระเจ้าไปช่วยคนน่ะเหรอ?”
เมื่อคำพูดของคนคนนี้เปล่งออกมาแล้ว กลุ่มคนที่ผลักฉินสือโอวไปมาก็พากันสงบลงนิดหนึ่ง แล้วพากันมองสำรวจฉินสือโอวด้วยสายตาแปลกใจ
ฉินสือโอวพยักหน้าอย่างเยือกเย็น ผู้คนที่ล้อมรอบตัวเขาได้เผยสีหน้ากระอักกระอ่วนออกมาแล้วก็จากไป แต่ก็ยังมีคนไม่ขยับตัวไปไหน แล้วตะโกนว่า “ฉินคนจีนแล้วอย่างไร? เจ้าของฟาร์มปลาก็เป็นนายทุนสารเลวเหมือนกัน! พวกเขาปอกลอกพวกเรา..โอ้ ฟัค!”
นีลเซ็นเข้าไปกระโดดเตะคนที่ตะโกนจนตัวลอยออกไป แล้วชี้ไปที่ฝูงคนพวกนั้นด้วยท่าทีดุดันแล้วตะโกนด่าว่า “พากันไสหัวไปซะ! พวกนายคิดจะทำอะไร? ปีที่แล้วฉินได้ทำให้ท่าเรือบาสก์กลายเป็นเมืองแห่งความภาคภูมิใจของแคนาดา แล้วยังได้ช่วยคนที่นี่ไปกว่าร้อยคน! ตอนนั้นพวกนายกำลังทำอะไรกัน? ไสหัวไป! ไสหัวไปให้หมด!“
หลังจากนีลเซ็นทำท่าทางคลุมสถานการณ์ได้แล้วก็พุ่งตัวไปข้างหน้าราวกับกำลังไล่เป็ด ออสเปรจึงถือโอกาสพาฉินสือโอวเบียดออกไปทันที
อย่างไรเสียกลุ่มคนประท้วงพวกนี้ก็เป็นเพียงคนงานทั่วไปเท่านั้น การก่อกวนครั้งนี้ก็ทำเพียงแค่อยากเรียกความสนใจจากรัฐบาล ให้มาจัดการเรื่องการค้างจ่ายเงินเดือนของโรงงานผลิตกระดาษเท่านั้น ไม่ได้ทำเพราะอยากจะหาเรื่องเลย พอได้รู้ถึงตัวตนของฉินสือโอวบวกกับการขู่ของนีลเซ็นแล้ว คนที่ขวางอยู่ข้างหน้าก็พากันหลบให้
การเบียดออกมาจากฝูงชน ทำเอาหน้าผากของนีลเซ็นกับออสเปรเต็มไปด้วยเหงื่อ พวกเขากลัวว่าคนเหล่านั้นจะเลือดขึ้นหน้าแล้วลงไม้ลงมือกัน หากว่าเป็นอย่างนั้นแล้ว กำปั้นคู่ยากจะต่อกรกับสี่มือ โดยเฉพาะที่นั่นที่มีสี่มือกว่าร้อยคนด้วย คงจะตีจนพวกเขากลายเป็นหมาได้เลย
หลังจากออกมาแล้วเพิ่งจะวางใจได้ไม่นาน นีลเซ็นมองซ้ายทีขวาทีแล้วก็อึ้งไปทันที พูดว่า “แม่ง! แม่ง! ศาสตราจารย์แซนเดอร์สล่ะ? ศาสตราจารย์อยู่ที่ไหน?”
ออสเปรก็อึ้งไปด้วย เขาพูดเสียงอ่อนแรงว่า “เมื่อกี้ฉันมัวแต่สนใจบอส ไม่ได้สังเกตศาสตราจารย์เลย พวกนายรอก่อน ฉันจะกลับไปหาเอง”
แซนเดอร์สไม่เป็นอะไร เขาเป็นคนขาว แถมยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายของคนมีความรู้ด้วย กลุ่มประท้วงจึงไม่ได้หาเรื่องเขา เขาเพียงแค่ต้องเหนื่อยหน่อยเพราะต้องเดินอ้อมไปทางด้านหลังของฝูงคน ไม่นานก็เดินมารวมพลกับพวกฉินสือโอวได้แล้ว
คนครบแล้ว ฉินสือโอวเดินอยู่ข้างหน้าด้วยสีหน้าถมึงทึง นีลเซ็นเดินเข้าไปพูดด้วยน้ำเสียงระมัดระวังว่า “บอส พวกเราต้องเดินเร็วหน่อยนะครับ รถไฟใกล้จะออกแล้ว”
ฉินสือโอวปรายตามองเขาทีหนึ่ง หยิบมือถือออกมาโทรหาเจนนิเฟอร์ แล้วพูดว่า “ตอนนี้ผมกำลังจะไปขึ้นรถไฟ แต่คงไปไม่ทันแล้ว เจนนิเฟอร์ คุณบอกให้สถานีรถไฟชะลอการออกรถก่อนครับ”
พูดจบ เขาก็ยื่นมือถือให้ออสเปรแล้วพูดว่า “บอกหมายเลขเที่ยวรถไฟของเราให้เธอที”
นี่ก็คือความเผด็จการของบัตรอเมริกันเอ็กซ์เพรส ฉินสือโอวเป็นลูกค้าระดับสอง อย่าว่าแต่ชะลอการออกของรถไฟเลย แม้กระทั่งการชะลอการออกของเครื่องบิน หรือการชะลอการเปิดคอนเสิร์ตของดาราดังก็ไม่มีปัญหา
ตอนนี้ฉินสือโอวอารมณ์ไม่ดีเอามากๆ ไม่อย่างนั้นเขาไม่ทำอย่างนี้แน่ การกระทำแบบนี้ออกจะเป็นการใช้อำนาจข่มเหงไปหน่อย
แต่เขาในตอนนี้คิดอยากข่มเหงคนจริงๆ เพราะว่าเขาโกรธจัดแล้ว หากว่าเมื่อกี้ไม่มีคนจำเขาได้ หากว่าเขาไม่เคยเป็นวีรบุรุษที่อ่าวเซนต์ลอว์เรนซ์มาก่อน คาดว่าเมื่อกี้คงออกมาไม่ได้แล้ว
และเหตุผลที่ทำให้เขาเดินออกมาไม่ได้ก็เพียงเพราะเขาเป็นจีนแค่นั้นเหรอ เรื่องอะไร?!
ระหว่างก้าวเท้าอย่างเร่งรีบอยู่นั้น ฉินสือโอวก็พลันถามออกมาว่า “ศาสตราจารย์ นีลเซ็น ออสเปร การเหยียดคนจีนในท่าเรือบาสก์นั้นรุนแรงมากเลยเหรอ?”
นีลเซ็นกับออสเปรจะรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร? ทั้งสองคนเหงื่อท่วมหน้า แล้วพูดว่า “ไม่นี่ครับ สมัยนี้แล้วจะยังมีปัญหาเรื่องการเหยียดผิวได้อย่างไรครับ? เรื่องนี้สามารถทำให้ถูกฟ้องได้เลย ใครจะกล้าครับ?”
แซนเดอร์สพอจะรู้อยู่บ้าง เขาพูดว่า “อุตสาหกรรมการผลิตกระดาษของบาสก์ถูกโจมตีจากอุตสาหกรรมต่างประเทศ รู้สึกว่าอุตสาหกรรมของประเทศจีนจะส่งผลกระทบกับพวกเขาค่อนข้างมาก เพราะว่ากระดาษที่จีนผลิตนั้นคุณภาพดี ราคาก็ถูก บวกกับชาวจีนที่ทนลำบากได้ มีวินัยอย่างมาก เลยแย่งตำแหน่งงานจำนวนหนึ่งในท้องถิ่นไป ดังนั้นคนพวกนี้จึงค่อนข้างอ่อนไหวกับชาวจีนมั้งครับ?”
เมื่อได้ยินคำนี้แล้ว ฉินสือโอวก็โกรธขึ้นมาทันที เขาตะคอกออกไปว่า “นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน? คุณก็พูดอยู่ พวกเราคนจีนทนความลำบากได้ มีวินัยสูง ดังนั้นทางเจ้าของจึงเลือกใช้งานพวกเรา ไอ้พวกเดนคนขี้เกียจพวกนี้มีสิทธิ์อะไรที่จะให้พวกเรารับผิดชอบเรื่องที่สังคมปฏิเสธพวกเขากันล่ะ?”
นีลเซ็นและออสเปรต่างก็เงียบไม่พูดอะไร หัวข้อสนทนานี้พวกเขาไม่ควรมีส่วนร่วมด้วย พวกที่ไม่ใช่เชื้อชาติเดียวกันล้วนมีใจไม่เป็นมิตร ปัญหาการเหยียดผิวนั้นเป็นปัญหาที่แก้ยากในทุกประเทศทั่วโลกเสมอมา ปัจจุบันก็ยังไม่มีรัฐบาลของประเทศไหนที่กล้าพูดว่าตัวเองแก้ปัญหาความขัดแย้งเรื่องชนชาติ ชาติพันธุ์และความเชื่อได้เลยแม้แต่ที่เดียว
บทที่ 1253 รถไฟดังปู๊นๆ
ขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ด แซนเดอร์สวางมือทั้งสองลงอย่างใจเย็นแล้วพูดว่า “ไม่ต้องร้อนใจไปครับ บอส นี่ไม่ใช่เรื่องอะไรเลย อย่าไปสนใจความคิดของพวกคนล้มเหลวเลย และก็อย่าไปสนใจว่าพวกเขาพูดอะไร พวกเราหาเงินของพวกเราต่อไป ใช้ชีวิตของเราต่อไป แค่นี้ก็พอแล้วไม่ใช่เหรอครับ?”
ในใจฉินสือโอวเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ แซนเดอร์สพูดไม่ผิดเลย เป็นคนนานๆ ทีจะได้ทำตัวงี่เง่าบ้าง ตัวเองก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ใช่ผู้นำประเทศหรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่รัฐด้วยซ้ำ เรื่องใหญ่อย่างชนชาติหรือประเทศชาติอะไรพวกนี้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาเลย
ปกติแล้ว ฉินสือโอวก็คิดแบบนี้เหมือนกัน แต่พอเขาเจอกับเรื่องเหยียดผิวแล้วก็ยังคงรับไม่ได้อยู่ดี
แต่ก็เหมือนกับที่แซนเดอร์สพูด เขาทำอะไรกับเรื่องนี้ไม่ได้ ที่ไหนที่ไม่มีการเหยียดชนชาติกัน? แม้แต่ประเทศเดียวกัน ชนชาติเดียวกัน ก็ยังมีการเหยียดพื้นที่กันเลยไม่ใช่เหรอ?
จากนั้นฉินสือโอวก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เรื่องนี้ทำให้เขาเข้าใจได้แจ่มแจ้งเกี่ยวกับความลำบากในการใช้ชีวิตอยู่ต่างถิ่น แคนาดาไม่ใช่สรวงสวรรค์ แม้ว่าเขามีเงินก็สามารถพูดได้เพียงว่าเขามีชีวิตที่สุขสบายหน่อยเท่านั้น ที่นี่ไม่มีวันกลายเป็นบ้านเกิดของเขาได้
เมื่อเป็นแบบนี้ เขาก็ยิ่งมีความจำเป็นในการจัดการแฟร์เวลให้ดีแล้ว สถานที่นั้นก็คือรังของเขา เขาอยากสร้างให้มันกลายเป็นถิ่นของเขา ถิ่นที่ไม่ถูกน้ำพัดหายไปได้
ตั้งแต่มาถึงแคนาดา มาถึงเกาะแฟร์เวล และครอบครองฟาร์มปลาต้าฉินแล้ว ความจริงฉินสือโอวไม่เคยรู้สึกถึงความปลอดภัยเลย
คนรอบตัวเขาไม่มีคนที่จะสามารถเข้าใจการกระทำต่างๆ ของเขาได้ อย่างเช่นตอนที่เขาซื้อเรือกำปั่นทะเลที่เป็นเรือยอชต์ติดอาวุธความเร็วสูงสี่ลำ หรือที่เขาซื้ออาวุธจำพวกเครื่องป้องกันกระสุนติดตามตัว หรือจรวดติดตามตัว หรือการที่เขาคิดหาวิธีทำให้ตัวเองได้รับสถานะเป็นทหารพลเรือนด้านทะเล เป็นต้น
ความจริงแล้วเรื่องพวกนี้เป็นเพียงการเตรียมพร้อมในการปกป้องตัวเองและทรัพย์สินเท่านั้น ก็เหมือนกับสัตว์ป่าที่ลับเขี้ยวตัวเอง การทำแบบนี้ล้วนทำเพราะหวังว่าตัวเองจะแข็งแกร่งขึ้น แม้ว่าความแข็งแกร่งแบบนี้เป็นเพียงความแข็งแกร่งภายนอกเท่านั้น แต่ความจริงแล้วไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย
แต่ถ้าสามารถนำความสบายใจมาให้ตัวเองได้ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
เรื่องที่ได้พบเจอวันนี้ยิ่งตอกย้ำความคิดของฉินสือโอวที่อยากจะควบคุมเกาะแฟร์เวล การที่ชาวจีนใช้ชีวิตในต่างแดนนั้นไม่ง่ายเลย เรื่องบางเรื่องก็ไม่สามารถพึ่งคนอื่นได้ พึ่งได้แต่ตัวเองเท่านั้น
เมื่อเป้าหมายแน่ชัดแล้ว ฉินสือโอวก็อารมณ์ดีขึ้นมากมาย เมื่อกี้ที่เขาอารมณ์ร้าย เหตุผลส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะเมื่อเขาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้แล้วเขาไม่สามารถรับมือได้เลย ขอแค่มีวิธีรับมือได้ งั้นที่เหลือก็แค่ทำตามวิธีนั้น ไม่ใช่คิดว่าควรจะเครียดอย่างไร
ออสเปรรับตั๋วมาแบ่งให้ทั้งสี่คน ฉินสือโอวก้มหน้ามองทีหนึ่งแล้วก็พูดด้วยเสียงตกใจว่า “ฟัค ตั๋วใบหนึ่งราคาตั้งเก้าร้อยดอลลาร์แคนาดาเลยเหรอ? คิดผิดหรือเปล่าเนี่ย ตั๋วเครื่องบินยังไม่ถึงสองร้อยเหรียญเลย!”
ออสเปรอธิบายว่า “ที่นั่งที่พวกเราจองไว้คือที่นั่งผู้โดยสารระดับพรีเมียมที่เตียงนุ่มกว่าครับ ราคาจึงสูงเป็นพิเศษ แล้วก็ บอสครับ อันนี้ถือว่าผมจ่ายให้คุณนะครับ คุณไม่ต้องคืนเงินให้ผมหรอก เหอๆ คือว่า ชีวิตคนเราอะนะ มีความสุขก็พอแล้ว ใช่ไหมครับ?”
เขายังคงอยากปลอบใจฉินสือโอวอยู่
ท่านชายฉินกลอกตาทีหนึ่ง แล้วพูดว่า “ฉันก็ไม่คิดจะให้เงินนายอยู่แล้ว”
ออสเปร “…”
นีลเซ็นตบไหล่เขาเบาๆ แล้วพูดว่า “เพื่อนรัก นายนี่ช่างใจกว้างจริงๆ ขอบคุณที่จ่ายตั๋วรถไฟระดับพรีเมียมให้ฉันนะ กลับไปฉันพานายไปสนุกที่ร้านเหล้าดวงดาวเปล่งประกายแล้วกัน”
ออสเปรจับไหล่ของเขาไว้ แล้วพูดว่า “อย่าคิดมากเลย เพื่อน ฉันจ่ายให้แค่บอสเท่านั้น นายยังคงต้องจ่ายของตัวเองอยู่ เก้าร้อยยี่สิบเหรียญ ห้ามขาดแม้แต่เซนต์เดียว!”
การหัวเราะพูดคุยกันแบบนี้ ทำให้บรรยากาศของคนทั้งกลุ่มคลายลงไปมาก ออสเปรกับนีลเซ็นเดินอยู่ข้างหลังแอบคุยกันเสียงเบา ต่อไปก่อนจะออกไปไหนจะต้องหาข่าวล่วงหน้าก่อนแล้ว ต้องไม่ให้บอสเจอกับเรื่องที่เกี่ยวกับการเหยียดผิวแบบนี้อีก
พวกเขาทั้งสี่คนสายแล้ว แต่เพราะมีบริษัทเอ็กซ์เพรสจัดการให้ รถไฟจึงยังคงจอดรออยู่
ผู้โดยสารทั่วๆ ไปบนรถไฟไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงพากันส่งเสียงโวยวาย ดังนั้นเมื่อนายสถานีของสถานีรถไฟเห็นพวกฉินสือโอวทั้งสี่คน จึงรีบพาพวกเขาไปส่งที่ที่นั่งผู้โดยสารระดับพรีเมียมอย่างรีบร้อน
ไม่แปลกที่ราคาแพงลิบ ที่นั่งระดับพรีเมียมบนรถไฟนั้นตกแต่งได้หรูหรามาก โบกี้ที่พวกฉินสือโอวอยู่นั้นสามารถบรรจุผู้โดยสารได้เพียงสิบหกคนเท่านั้น เนื้อที่กว้างขวางมาก
หลังจากขึ้นรถแล้วเขามองไปรอบๆ ทีหนึ่ง พบว่าโบกี้นี้มีทั้งห้องน้ำส่วนตัวและอุปกรณ์ทำความสะอาดหน้า ส่วนหัวของโบกี้มีที่นั่งไว้สำหรับชมวิว ส่วนท้ายยังมีห้องครัวเล็กๆ ไว้สำหรับบริการของว่าง แถมยังมีห้องอาบน้ำและรถเข็นอาหารอีกด้วย
หลังจากรถไฟขับผ่านเมืองท่าเรือบาสก์แล้ว ก็เข้าไปสู่ป่าไม้อย่างรวดเร็ว เมืองนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยป่าไม้ หรือพูดได้ว่าเป็นเมืองที่สร้างจากป่าไม้นั่นเอง และด้วยเหตุนี้ ทำให้รอบเมืองมีโรงงานผลิตกระดาษมากมาย
ผืนดินอุดมสมบูรณ์ที่ถูกโขดหิน และชุมสายแม่น้ำมากมายแบ่งเขตมานั้นได้กลายเป็นป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ ฉินสือโอวนั่งอยู่ที่นั่งชมวิวมองออกไปข้างนอก บางครั้งเขายังได้เห็นฝูงกวางอูฐ แพะป่าและหมาป่าใช้ชีวิตอย่างอิสระ
แน่นอนว่าบางครั้งยังสามารถมองเห็นปล่องควันเป็นแท่งๆ อีกด้วย นั่นก็คือสัญลักษณ์ของโรงงานผลิตกระดาษและโรงหลอมทองนั่นเอง
หลังจากรถไฟเข้าไปในป่าไม้แล้ว เริ่มแรกเป็นป่าเล็กๆ ก่อน จากนั้นป่าไม้ก็ค่อยๆ อุดมสมบูรณ์ขึ้นมา ต้นสพรูสสูงใหญ่จำนวนหนึ่งโผล่ออกมาแล้ว ทำให้ทิวทัศน์เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ฉินสือโอวสังเกตเห็นว่า การเคลื่อนของรถไฟไม่เหมือนกับในจีน รถไฟขบวนนี้ดึงหวีดรถไฟตลอดเวลา เสียงหวีดก็ไม่ใช่เสียง ‘ปู๊นๆ’ ทั่วไป แต่มีการเปลี่ยนจังหวะด้วย ราวกับเสียงดนตรีง่ายๆ อย่างไรอย่างนั้น
แซนเดอร์สเห็นเขาสงสัย จึงอธิบายว่า “นี่คือกำลังไล่พวกสัตว์ป่าอยู่น่ะครับ รอบๆ รางรถไฟไม่มีหินหรือหญ้า ทำให้สัตว์ป่าจำพวกหนึ่งมาผสมพันธุ์กันที่นี่ ดังนั้นรถไฟจึงต้องทำการดึงหวีดรถไฟตลอดเพื่อไล่พวกมันไป”
“และถึงแม้จะเป็นอย่างนี้ ในแต่ละปีรถไฟก็ยังทำร้ายสัตว์ป่าไปหลายหมื่นตัวอยู่ดี” สตรีวัยกลางคนคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงรังเกียจว่า “มนุษย์ช่างน่ารังเกียจจริงๆ ใช่ไหมคะ? เพื่อการอยู่รอดของตัวเอง จึงทำการรุกรานพื้นที่อาศัยของสิ่งมีชีวิตตั้งเท่าไรแล้ว?”
ฉินสือโอวยิ้มอย่างเก้ๆ กังๆ ไม่รู้ว่าจะตอบสตรีท่านนี้ว่าอย่างไร เมื่อกี้เขาเพิ่งถูกคนขาวพวกนั้นเหยียดคนจีนอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับยิ่งกว่า เหยียดกระทั่งมนุษยชาติเลย
พลบค่ำรถไฟได้ขับเข้าไปในเมืองคอเนอร์บลังก้า ความรู้สึกในการนั่งรถไฟไม่เหมือนกับการอยู่บนท้องทะเล รถไฟเคลื่อนผ่านเข้าไปในตัวเมืองโดยตรง นิวฟันด์แลนด์มีเมืองใหญ่น้อยมาก แต่มีเมืองเล็กๆ มากเอาการทีเดียว รางรถไฟจึงสร้างไว้ผ่านเมืองเล็กๆ เหล่านี้ ทำให้ทิวทัศน์เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
คอเนอร์บลังก้าเป็นหนึ่งในเมืองฟาร์มเกษตรที่มีไม่มากในเขตนิวฟันด์แลนด์ รอบๆ เมืองนี้ล้วนเป็นพื้นที่ฟาร์มเกษตรทั้งนั้น พื้นที่ราบสุดลูกหูลูกตา เส้นขอบผืนดินเป็นแนวเดียวกับเส้นขอบฟ้า กลางทางจะต้องทำการจอดที่นี่เป็นเวลาสี่สิบนาทีเพื่อถ่ายสินค้าลง ฉินสือโอวได้รับอนุญาตให้ลงรถไปชมวิวได้ จึงเดินลงรถไป
นีลเซ็นกับออสเปรรีบเดินตามไป พวกเขาหยิบบุหรี่ออกมาด้วยบอกว่าจะเปลี่ยนบรรยากาศ แต่ความจริงแล้วเพราะกลัวฉินสือโอวจะเป็นอะไรมากกว่า
สวรรค์ไม่เป็นใจ วันนี้อากาศมืดครึ้ม ทำให้มองไม่เห็นวิวพระอาทิตย์ตกอันสวยงามจากพื้นที่ราบแห่งนี้
เมืองเล็กแห่งนี้ไม่ค่อยมีสิ่งก่อสร้างที่สูงมากนัก ฉินสือโอวยืนอยู่ในสถานีรถไฟแล้วมองออกไปไกล รู้สึกเหมือนว่าตัวเองสามารถเห็นชายแดนของเมืองนี้ได้เลย เพราะเมืองนี้เล็กจริงๆ
ในสถานีรถไฟมีคนเข็นรถมาขายของพื้นเมือง ฉินสือโอวซื้อชีสเค้กคลาวด์เบอร์รี่ คุกกี้ถั่วลิสง ข้าวสาลีคั่วและน้ำผลไม้เป็นอาหารว่าง คุณภาพของของเหล่านี้ได้ผ่านการวิเคราะห์มาอย่างดี รสชาติก็ไม่เลว เขาชิมแล้วรู้สึกว่ารสชาติไม่เลวเลยจึงซื้อมาอีกจำนวนหนึ่ง เพื่อเอากลับไปให้วินนี่และพวกเด็กๆ กิน
บทที่ 1254 ถึงบ้านแล้ว
รถไฟออกตัวอีกครั้ง เท่ากับว่าได้เวลาอาหารค่ำแล้ว
ผู้โดยสารระดับพรีเมียมมีสองตัวเลือก คือพวกเขาสามารถไปทานอาหารที่รถอาหารหรือสั่งอาหารกับเจ้าหน้าที่บนรถไฟ ฉินสือโอวอยากไปที่รถอาหาร นีลเซ็นหยุดเขาไว้ แล้วพูดว่า “บอส จ่ายเงินตั้งมากมายก็ต้องได้รับการบริการคุณภาพสูงสิครับ คุณอยากทานอะไรครับ? พวกเราสั่งอาหาร แล้วให้พวกเขามาส่งกัน”
ออสเปรพูดอย่างไม่เข้าใจว่า “ทำไมต้องให้พวกเขามาส่งด้วย? พวกเราไปที่รถอาหารแทนไม่ดีกว่าเหรอ?”
ถ้าหากอยากให้พนักงานมาบริการ งั้นพวกเขาก็ต้องจ่ายทิปด้วย ออสเปรเป็นผู้ชายที่ใช้ชีวิตเป็นคนหนึ่ง
นีลเซ็นพาดหัวไปบนไหล่แล้วแนบไปที่หูเขา “เจ้าโง่ ถ้าเกิดเจอเข้ากับพวกคนโง่อีกจะทำอย่างไร? หากว่าได้รับการกระตุ้นถึงสองครั้งภายในวันเดียว ฉันว่าบอสน่าจะระเบิดได้นะ”
ออสเปรพยักหน้าทันที แล้วพูดพร้อมเหตุผลว่า “ก็คือ บอสครับ รถไฟที่พวกเรานั่งอยู่นั้น เสียเงินไปเกือบสี่พันเหรียญ…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาเบะปาก รู้สึกปวดใจขึ้นมานิดๆ ไอ้สารเลวนีลเซ็นต้องไม่คืนเงินเขาแน่นอน และเขาก็ไม่กล้าไปขอเงินจากศาสตราจารย์แซนเดอร์สด้วย เมื่อเป็นแบบนี้เขาคงต้องคนจ่ายแล้วล่ะ
“ดังนั้น พวกเราจึงต้องใช้บริการของพวกเขาให้เต็มที่สิครับ” ออสเปรดีดนิ้วเรียกพนักงานมาหา แล้วถามว่า “เมนูหลักของอาหารค่ำมื้อนี้มีอะไรบ้างครับ?”
พนักงานที่สวยและอ่อนโยนยิ้มแล้วพูดว่า “มีทั้งหมดสี่ตัวเลือกค่ะ อาหารของพวกเราพยายามรวบรวมอาหารขึ้นชื่อของเมืองที่รถไฟผ่านให้ได้มากที่สุด คืนนี้ได้ผ่านเมืองคอเนอร์บลังก้า ดังนั้นอาหารทั้งสี่อย่างคือเมนูกุ้งฝอยและหอยเชลล์ ซอสเปรี้ยวหวานซาซคาทูน ปลาเทราต์แม่น้ำจิ้มวาซาบิ และขนมปังจิ้มซอสเปรี้ยวหวาน”
“สี่ชุด ราคาเท่าไรครับ?” ออสเปรยิ้มตอบกลับไปเช่นกัน พนักงานของรถไฟระดับพรีเมียมของแคนาดามีคุณภาพสูงมาก ไม่ต่างจากแอร์โฮสเตสของเครื่องบินนานาชาติระดับเฟิร์สคลาสเลย
พนักงานคนสวยกล่าว “แต่ละชุดราคาหนึ่งร้อยยี่สิบเหรียญค่ะ หากว่าคุณสั่งสี่ชุด ก็เป็นสี่ร้อยแปดสิบเหรียญค่ะ”
น้ำผลไม้ในปากของฉินสือโอวแทบพุ่งไปโดนหน้าของศาสตราจารย์ที่อยู่ตรงหน้า นี่มันปล้นกันชัดๆ คอเนอร์บลังก้าเป็นเมืองเล็กๆ ที่ไม่ได้ขึ้นชื่อเลย ค่าครองชีพต่ำมาก พวกเขาทั้งสี่คนไปกินเที่ยวกันในโรงแรมที่ดีที่สุดในท้องถิ่นก็น่าจะราคานี้แหละ แต่ที่นี่กลับได้แค่อาหารสี่อย่างเท่านั้นเหรอ?
ออสเปรไม่สนใจ เขาเตะนีลเซ็นทีหนึ่ง แล้วพูดว่า “ตานายแล้ว เร็ว จ่ายเงิน”
นีลเซ็นพูดอย่างไม่เต็มใจว่า “ฉันไม่หิวสักหน่อย นายสั่งแค่สามชุดก็พอแล้ว นายจ่ายเอง”
พนักงานสาวใช้ตาใสดวงโตนั้นจ้องไปที่ออสเปร ออสเปรหัวเราะเหอๆ แล้วพูดว่า “เพื่อนของผมล้อเล่นน่ะครับ ความจริงแล้วเขาไม่ใช่คนขี้เหนียวหรอก ผมถามนิดหนึ่งครับ คุณคนสวย ไม่ทราบว่าคุณมีแฟนหรือยังครับ?”
เมื่อออสเปรพูดแบบนี้ นีลเซ็นจึงไม่กล้าเล่นต่ออีก เขาหยิบเงินจากกระเป๋าเงินออกมาห้าร้อยเหรียญ ค่าทิปยี่สิบเหรียญค่าข้าวอีกสี่ร้อยแปดสิบเหรียญ ห้าร้อยเหรียญพอดี
พนักงานเก็บเงินไปทันที จากนั้นยิ้มแล้วก็พูดว่า “ใช่ค่ะคุณผู้ชาย ดิฉันมีแฟนแล้วค่ะ”
ออสเปรเห็นเธอเดินจากไปแล้ว ก็รีบยิ้มหน้าทะเล้นดึงเธอไว้แล้วพูดว่า “แล้วคุณคิดอยากจะเปลี่ยนแฟนไหมครับ? อ่าๆ อย่าเพิ่งรีบไปครับ ไม่อยากเปลี่ยนแฟน แล้วคุณอยากมีแฟนเพิ่มมาอีกคนไหมครับ?”
สุดท้ายนีลเซ็นที่ทนมองต่อไปไม่ไหวแล้ว เลยดึงออสเปรไว้กับที่นั่งแล้วบอกว่าอย่าขายหน้าไปมากกว่านี้เลย รอกับข้าวมาถึงอย่างเงียบๆ ก็พอ
ตอนฉินสือโอวกินข้าวแล้วเพิ่งจะรู้ว่า ท้ายรถไฟมีโบกี้ชื่อว่า Park-Car ที่นั่นเป็นโบกี้สำหรับพักผ่อน ที่มีทั้งบาร์เครื่องดื่ม หน้าต่างและหลังคาชมวิว ด้านหลังของโบกี้นั้นยังมีห้องพักผ่อนสำหรับดูดีวีดี และยังสามารถร้องคาราโอเกะได้อีกด้วย
เมื่อรู้เรื่องอย่างนี้แล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจออกมา ไม่แปลกที่รถไฟของแคนาดาจึงเรียกว่ามีไว้สำหรับคนชนชั้นกลาง เจ้าสิ่งนี้ไม่ใช่เครื่องมือการคมนาคม แต่เป็นที่สำหรับสังสรรค์มากกว่า
รถไฟระดับพรีเมียมก็เหมือนกับโรงแรมขนาดเล็กแห่งหนึ่ง มีเก้าอี้ที่เก็บที่พนักแขนได้ เพื่อใช้ในการเพิ่มเนื้อที่ให้กับเตียงในตอนกลางคืนได้ บนหัวเตียงยังมีตู้เสื้อผ้า บนนั้นมีเต้าเสียบอยู่ ในโบกี้มีเครื่องกระจายสัญญาณ WIFI สามารถต่ออินเทอร์เน็ตได้ตลอดการเดินทาง
มองออกได้เลยว่าแคนาดามีพื้นที่กว้างใหญ่มาก หลังตื่นนอนแล้วรถไฟยังคงวิ่งอยู่บนผืนหญ้าอยู่เลย
ฉินสือโอวมองออกไปนอกหน้าต่าง ยังคงไม่มีแสงอาทิตย์ ดูท่าว่าวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ครึ้มฝน
ในแต่ละช่วงบนผืนหญ้านั้นจะมีโรงเก็บข้าวเปลือกอยู่ ส่วนข้างๆ โรงเก็บข้าวเปลือกนั้นก็จะมีลิฟต์กระเช้าอยู่ บางครั้งยังสามารถเห็นเจดีย์คอนกรีตอีกด้วย
แซนเดอร์สอธิบายให้ฉินสือโอวฟังว่าที่นี่เคยเป็นฟาร์มเกษตรที่อุดมสมบูรณ์มาก แต่ว่าพวกเจ้าของฟาร์มเกษตรโลภมาก จนทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของดินลดลง ตอนนี้จึงจำเป็นต้องปลูกหญ้าเพื่อเพิ่มสารอาหารให้กับดิน
เมื่อคิดถึงการทรุดโทรมของฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์แล้ว ฉินสือโอวรู้สึกว่าแคนาดาก็ไม่ได้สูงส่งอย่างที่เลื่องลือเลย ดูท่าว่าความละโมบจะเป็นสันดานของมนุษย์ ดินที่อุดมสมบูรณ์ขนาดนี้ยังถูกใช้เสียจนต้องพึ่งการปลูกหญ้าในการเพิ่มสารอาหาร เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้พวกเจ้าของฟาร์มเกษตรลงแรงในการทำร้ายดินพวกนี้แค่ไหน
ผ่านผืนหญ้าไป รถไฟได้เข้าไปสู่ทางภูเขาที่ขรุขระ เริ่มจากการเห็นโรงงานสกัดน้ำมันขนาดเล็กหลายที่ก่อน ที่นี่คือที่ที่มีนาน้ำมันบนดินที่มีอยู่น้อยนิดในนิวฟันด์แลนด์ ต่อมาก็เป็นกลุ่มโขดหิน ผืนต้นสนหนามจีนและต้นสน จากนั้นก็เข้าไปในเขตภูเขาอีกรอบ
เขตภูเขามีหุบผาชันแห่งหนึ่ง ทางรถไฟทะลุผ่านไปทางนี้ หุบผานี้แคบมาก แต่ละฝั่งสามารถรองรับรางรถไฟได้เพียงเส้นเดียวเท่านั้น การที่รถไฟเคลื่อนผ่านในที่แบบนี้ ก็เหมือนกับการอยู่แนบกับผนังหุบเขาอย่างไรอย่างนั้น ซึ่งอันตรายเป็นอย่างมาก
รถไฟเคลื่อนที่ค่อนข้างช้า อย่างไรเสียเป้าหมายของมันก็ไม่ใช่เพื่อการคมนาคมขนส่งผู้โดยสารเท่านั้น ยังต้องให้ผู้โดยสารสัมผัสกับประสบการณ์ได้อย่างเต็มที่ โดยการชมวิวระหว่างทางอีกด้วย
ท่าเรือบาสก์ถึงเซนต์จอห์น รถไฟเคลื่อนที่ช้าๆและใช้เวลาไปสองวันสองคืน หากว่าอยู่บนรถไฟขบวนปกติ เวลาเท่านี้แม้ว่าจะนอนอยู่ตลอดเวลา ฉินสือโอวก็ยังคงเบื่ออยู่ แต่พออยู่บนรถไฟขบวนนี้แล้ว เขาพักผ่อนได้สบายมาก สุดท้ายตอนลงรถไฟแล้ว เขาจึงรู้สึกสบายไปหมดทั้งกายและใจ แถมร่างกายกระปรี้กระเปร่าด้วย
ก่อนลงรถฉินสือโอวถ่ายเซลฟี่กับโบกี้ก่อน ออสเปรถามอย่างมีความสุขว่า “บอสครับ เป็นอย่างไรบ้าง ความรู้สึกในการนั่งรถไฟไม่เลวเลยใช่มั้ยครับ?”
ฉินสือโอวพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว ไม่เลวเลยทีเดียว”
ออสเปรพูดว่า “ความจริงรถไฟระดับนี้ยังไม่สูงพอนะครับ ต่อไปถ้ามีโอกาส คุณลองนั่งรถไฟนานาชาติดูนะครับ ที่นั่นมีชั้นเฟิร์สคลาส หนึ่งโบกี้มีแค่สองห้อง แต่ละห้องทั้งล้วนเป็นห้องสวีทระดับประธานาธิบดีทั้งนั้นเลยครับ!”
ฉินสือโอวพูดอย่างใจจดใจจ่อว่า “งั้นก็ดีสิ ถ้ามีโอกาสต้องลองสักครั้ง ถึงตอนนั้นนายยังจะจ่ายให้อีกใช่ไหม?”
ออสเปร “ฮ่าๆๆ บอสเข้าใจพูดเล่นนะครับ คือผมไม่ค่อยสบายท้องไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ ไม่คุยแล้ว”
ก่อนรถไฟใกล้ถึงเซนต์จอห์นฉินสือโอวได้โทรศัพท์ไปก่อน มีคนขับเรือลาดตระเวนมารับพวกเขา พอฉินสือโอวขึ้นเรือแล้วก็พบว่า คนที่ขับเรือมาก็คือเบิร์ดนี่เอง
ก่อนหน้านี้เบิร์ดถูกเขาส่งไปบริษัทแองเจิ้ลเพื่อสอบใบขับบอลลูน จากนั้นบีบีซวงก็ถูกส่งไปด้วยอีกคน ดังนั้นการไปท่าเรือบาสก์ครั้งนี้จึงให้ออสเปรเป็นคนขับเฮลิคอปเตอร์ แต่ว่าเขาโชคไม่ดี ขับครั้งแรกก็เกิดปัญหาเลย
เมื่อได้เห็นเบิร์ด ฉินสือโอวดีใจอย่างมาก ถามเขาไม่หยุดว่าเป็นอย่างไรบ้าง
เบิร์ดหยิบบัตรสีเงินออกมาใบหนึ่ง นี่ก็คือใบอนุญาตในการขับบอลลูนนี่เอง มีเจ้าสิ่งนี้แล้ว จากนี้ฉินสือโอวก็สามารถบินขึ้นฟ้าได้แล้ว
บทที่ 1255 เพาะเลี้ยงตัวอ่อน
ฉินสือโอวหวังมากๆ ว่าเบิร์ดจะนั่งบอลลูนมารับเขากลับเกาะแฟร์เวล เสียเงินซื้อของพวกนี้ไม่ใช่เพื่อเอาไว้ใช้หรอกเหรอ?
เบิร์ดเหงื่อออกเต็มหัว ถ้าขับบอลลูนมารับคนจริงๆ คงได้ยุ่งโน่นนี่ทั้งวัน บอสช่างเข้าใจล้อเล่นจริงๆ
กลับมาถึงฟาร์มปลา ฉินสือโอวก็เตรียมบริเวณเพาะเลี้ยงลูกปลา จากนั้นก็ขายให้กับหุ้นส่วนที่รู้จักกันในงานประมูล
งานประมูลในครั้งนี้เขาก็ได้มาไม่น้อย เขาเอาสัตว์น้ำไปทั้งหมดสิบสองชนิดซึ่งโดนแย่งหมดไม่เหลือ ครั้งนี้เงินที่เข้าบัญชีเขามีมากกว่าสี่ล้าน พวกฟาร์มปลาขนาดกลางทำงานทั้งปีก็ได้เงินเท่านี้
ตอนเช้าพอเตรียมของเสร็จฉินสือโอวถามว่าจะเริ่มทำงานแล้วหรือเปล่า ชาร์คถามว่าเขาจะไปด้วยเหรอ ถ้าเขาไปด้วยก็ต้องเปลี่ยนเป็นชุดดำน้ำ งานต้อนลูกปลามาเพาะเลี้ยงไม่ใช่งานสบาย
นอกจากฟาร์มปลาที่เพาะเลี้ยงลูกปลาโดยเฉพาะ โดยปกติเหล่าเจ้าของฟาร์มปลาจะไม่อยากทำงานนี้ เพราะเปลืองแรงมาก ต้องเลือกชนิดปลาเฉพาะจากฝูงปลามากมายในฟาร์มปลา เหมือนอย่างที่ชาร์คบอก งานนี้ไม่ง่าย
นอกจากจะเปลืองแรงแล้ว งานนี้ยังต้องใช้แรงงานคนและทรัพยากรเยอะ เรือประมงที่ออกยิ่งเยอะยิ่งดี เรือแค่ลำสองลำนั้นยังไม่พอ
ดีที่ฟาร์มปลาต้าฉินมีเรือให้ใช้มากพอ เรือกำปั่นทะเลสี่ลำเป็นเรือเร็ว แต่เปลี่ยนสักหน่อยก็เป็นเรือประมงได้ รวมถึงเรือฮาวิซท เรือประมงสองลำที่ชาร์คกับซีมอนสเตอร์ยืมมาจากในเมือง ยังมีเรือนกนางนวลอีก เรือทั้งแปดลำออกทะเลอย่างยิ่งใหญ่
ฉินสือโอวยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือนกนางนวลเพื่อรับลมทะเล อีวิลสันผู้มีหุ่นอ้วนท้วนกำยำยืนอยู่ข้างเขาราวกับเป็นเทพทวารบาล สองมือเขาประสานอยู่ข้างหลังด้วยความรู้สึกดีกับตัวเอง “ฉันเป็นราชาโจรสลัด! ราชาแห่งท้องทะเล! ราชาของราชานับร้อย!”
บูลกับนีลเซ็นที่กำลังยุ่งถกเถียงกันเสียงเบา “บอสกำลังพูดอะไร?” “ไม่รู้สิ เขาเคยเจอเรื่องสะเทือนใจที่ท่าเรือบาสก์ คงจะกำลังระบายมั้ง?”
“ไปทำงานให้ข้าให้หมด!” ฉินสือโอวหันมาตะโกนอย่างน่าเกรงขาม สีหน้าเคืองๆ เขาโกรธอีวิลสันก็โกรธ ยกกำปั้นที่เหมือนไหแล้วตะโกน “ไปๆๆ!”
พออีวิลสันโกรธ บูลก็สะดุ้งโหยง เขาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “กัปตันมีอะไรก็พูดดีๆ สิ พูดเองนะว่าจะไม่ใช้อีวิลสันก่อน เอะอะก็เอาเขาออกมา แบบนี้จะล้อเล่นกันหรือไง?”
อีวิลสันเห็นว่าเขายังคงอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ แต่ไม่ว่าเขาพูดว่าอะไร ขาราวขาช้างก็ขยับแล้ววิ่งมา ‘ตึกๆ’ ก่อนจะตะโกน “ไม่ฟังคำสั่งฉิน ฉันจะอัดแกให้เละ!”
“อ๊าก กัปตันช่วยด้วย!”
ขั้นตอนแรกของการเพาะเลี้ยงลูกปลาก็คือรวบรวมลูกปลา วิธีก็คล้ายกับการลากอวนจับปลา เพียงแต่ครั้งนี้อวนจะปิดปาก เรือประมงจะลากอวนอันใหญ่แล่นช้าๆ ไปในทะเล
คนบนเรือต้องหว่านอาหารที่ดึงดูดปลาไปที่อวน ปลาต่างชนิดกันชอบอาหารปลาแตกต่างกัน นี่เป็นการให้โอกาสได้เลือก
ตาของอวนมีขนาดเพียงครึ่งฝ่ามือ มีเพียงลูกปลาที่มุดเข้าไปได้ ปลาตัวใหญ่เข้าไม่ได้ พอผ่านไปช่วงหนึ่งในอวนก็จะมีลูกปลา และถูกลากกลับเข้าชายฝั่งพร้อมอวน ลูกปลาก็ถึงมือแล้ว
แน่นอนว่านี่เป็นแค่ขั้นตอนคร่าวๆ ตอนทำจริงนั้นยุ่งยากกว่านี้มาก ชาร์คให้ฉินสือโอวใส่ชุดดำน้ำ เพราะตอนที่ทำงานต้องคอยลงน้ำไปเติมอาหารปลาในอวนเรื่อยๆ
นอกจากนี้ อวนจะล่อปลาได้ไม่ใช่แค่อาหารเท่านั้น ยังต้องมีไฟด้วย
ก่อนจะโยนอวนลงทะเล ฉินสือโอวกับบูลก็เอาไฟล่อปลาที่เตรียมไว้ใส่ลงไป
เขาซื้อไฟล่อปลามาด้วยราคาสูง ตอนที่เขาเพิ่งมาถึงฟาร์มปลา ตอนนั้นสาหร่ายและพืชน้ำในฟาร์มปลายังมีพลังโพไซดอนไม่มาก ความล่อตาล่อใจต่อลูกปลาจึงไม่มากพอ ฉินสือโอวกลัวว่าลูกปลาลงทะเลแล้วจะหนีไป จึงซื้อไฟล่อปลามาดึงดูดให้พวกมันอยู่โดยเฉพาะ
ในอวนหนึ่งใส่ไฟล่อปลาไว้สองพรวน แสงไฟสลัวแต่ส่องสว่างเป็นวงกว้าง อวนปลาใหญ่โตกลายเป็นลูกบอลไฟใต้ทะเล ปลาค็อดชอบแสงจึงถูกล่อเข้ามา
นี่เป็นงานที่ใช้ความอดทน ใจร้อนไม่ได้ ฉินสือโอวนั่งอยู่บนดาดฟ้ากับเบียร์สองกระป๋อง เรือนกนางนวลเดิมเป็นเรือยอชต์สุดหรู แค่มีคุณสมบัติลากอวนได้ ฉะนั้นเลยเหมาะกับการพักผ่อนแบบนี้มาก
นีลเซ็นเข้ามาแบ่งไปหนึ่งกระป๋องด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ฉินสือโอวถาม “ไง เพื่อน นายกับแพรีสไปถึงไหนกันแล้ว? ออกทะเลคราวที่แล้วจีบสาวคนนี้ติดแล้วเหรอ?”
ได้ยินแบบนี้ นีลเซ็นก็แสดงท่าทีจริงจังออกมาแล้วพูดว่า “บอส อะไรคือ ‘จีบติด’?”
บูลเดินเข้ามาพูดเสริม “นั่นสิ บอส ไม่รู้สึกว่าถามแบบนี้จะดูเล่นๆ ไปหน่อยเหรอ? ดูผมนี่ เพื่อน ครั้งที่แล้วที่ออกทะเลแกจัดการสาวน้อยคนนั้นไปแล้วหรือยัง? กี่รอบแล้วล่ะ? ยอมยัง?”
พูดไปบูลก็หัวเราะร่าออกมา ฉินสือโอวมองดูนีลเซ็นที่มีสีหน้าเหมือนท้องผูกก็หัวเราะออกมาเหมือนกัน
นีลเซ็นชูนิ้วกลางให้ทั้งสองคน ด่าว่า ‘งี่เง่า’ แบบโกรธๆ แต่ก็ตอบคำถามแบบจริงจัง “แน่นอนว่าเรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์ปรากฏตัวออกมา แพรีสก็กลัวมาก พวกเราเลยมีอะไรกัน”
ฉินสือโอวถาม “พวกแกได้ป้องกันหรือเปล่า? ถ้าไม่ละก็งั้นฉันก็เป็นตัวอย่างของแก”
นีลเซ็นพูดแบบไม่ใส่ใจ “ผมกับแพรีสรักกันจริงๆ ไม่ต้องป้องกัน พวกเราเตรียมงานแต่งกันแล้ว บางทีหลังบอสแต่งงานไม่นาน ผมก็จะจัดงานเหมือนกัน”
ฉินสือโอวชะงักไป นีลเซ็นเป็นหนึ่งในคนแรกๆ ที่ติดตามเขา ขยันขันแข็งมาตลอด เป็นลูกน้องคู่ใจตามแบบมาตรฐาน ถ้าเขาแต่งงาน ในฐานะเจ้านายก็ต้องสนับสนุนหน่อย
เขาเลยถามว่า “แกเตรียมแหวนแต่งงานไว้พร้อมหรือยัง?”
นีลเซ็นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ยังเลยครับ ผมกะว่าพอได้โบนัสปลายปีนี้จะใช้เส้นสายซื้อเพชรที่เม็ดใหญ่หน่อย ผมมีเพื่อนร่วมรบที่เป็นยามให้เจ้าของเหมืองที่แอฟริกาใต้ พวกเขามีของดีในมือ บอสจะเอาด้วยไหมครับ?”
ฉินสือโอวตอบ “ฉันไม่ต้องแล้ว แหวนแต่งงานฉันเตรียมแล้ว เพียงแต่ นายก็ไม่ต้องดิ้นรนขนาดนั้น ฉันยังมีหินปะการังก้อนใหญ่อยู่ที่ทิฟฟานี่ นายเอาแบบขนาดนิ้วไปทำคู่หนึ่งก็ได้แล้ว”
พอได้ยินแบบนั้น นีลเซ็นก็ดีใจทันที แต่จากนั้นก็เกาจมูกอย่างเกรงใจแล้วพูดว่า “ไม่ดีกว่า แบบนี้คงไม่ดี ของนั้นแพงเกินไป”
แหวนหมั้นที่ฉินสือโอวให้วินนี่มีมูลค่าเป็นล้าน แม้ว่าราคาต่อหน่วยของปะการังทะเลน้ำลึกไม่แพงมาก แต่เพื่อจะทำแหวนคู่นี้ ก่อนหน้านี้ทางทิฟฟานี่ทำแหวนพังไปสี่คู่จนสุดท้ายถึงได้คู่นี้มา
“ไม่เป็นไรหรอก ถือว่าเป็นของขวัญแต่งงานจากบอสอย่างฉัน” ฉินสือโอวกล่าว “บูลแต่งงานอีกครั้งฉันก็จะให้วิลล่าหนึ่งหลังกับบูลไม่ใช่เหรอ? มูลค่าขอทั้งสองอย่างนี้ก็พอๆ กัน”
บูลเลียปากแล้วพูดขึ้น “บอส ช่วงนี้ผมกับแอนนาก็ระหองระแหงกัน อาจจะหย่าอีก”
ฉินสือโอวรู้ความหมายของเขาจึงพูดอย่างหน้าชื่นตาบานว่า “ไม่เป็นไร หย่าสิ อย่ากังวลไป ฉันจะแนะนำคนรวยๆ ให้แอนนารู้จัก ต่อไปเธอกับลูกต้องอยู่อย่างสุขสบายแน่”
บูล “…”
บทที่ 1256 ราชาหอยนางรม
ระหว่างที่คุยล้อเล่นกับบูล ฉินสือโอวก็ส่งจิตสำนึกแห่งโพไซดอนลงน้ำไป ไม่นานเขาก็ถึงเขตน่านน้ำแนวปะการังและไปที่เขตเพาะหอยนางรมลอย นับดูคร่าวๆ หลังจากการเพาะมาสองปี ในที่สุดเหล่าหอยนางรมลอยก็เข้าสู่ช่วงเวลาของการขยายจำนวนของประชากร
ปีที่แล้วหอยนางรมลอยยังมีแค่ร้อยกว่าไม่ถึงสองร้อยตัว ตอนนี้จำนวนขยายไปจนถึงหลักพันแล้ว
แน่นอนว่าหอยตัวใหญ่มีเพียงร้อยกว่าตัว ที่เหลือเป็นหอยตัวเล็กหลายร้อยตัวที่ยังผลิตไข่มุกไม่ได้
แต่ว่าพวกมันก็เป็นรุ่นต่อไปของพื้นที่เพาะเลี้ยงแห่งนี้ ไม่นานก็จะกลายเป็นหอยนางรมลอยที่เป็นตัวผลิตหลัก และมีการหล่อเลี้ยงจากพลังโพไซดอน เวลานั้นก็ไม่ไกลออกไป
เรือนกนางนวลแล่นไปบนผืนน้ำอย่างเอื่อยเฉื่อย ชาร์คตั้งค่าควบคุมของคอมพิวเตอร์ เขากับนีลเซ็นคอยสังเกตดูอวนที่ท้ายเรือ ผ่านไปช่วงหนึ่งก็จะเติมอาหารปลาลงไปในอวน
ฉินสือโอวตั้งอกตั้งใจตรวจดูสถานการณ์ใต้ทะเล เขาถ่ายพลังโพไซดอนจำนวนมากให้พวกหอยนางรมลอย โดยเฉพาะพวกหอยที่ขนาดประมาณเท่าเล็บมือ
ในหมู่หอยนอกจากพวกตัวใหญ่อย่างหอยมือเสือแล้วก็มักจะอยู่ล่างสุดของห่วงโซ่อาหาร ขอแค่มีพละกำลังก็จะกินพวกมันเป็นอาหาร
หอยนางรมลอยพวกนี้ก็มีหอยตัวเล็กส่วนหนึ่งที่ถูกกินไปแล้ว ทั้งสามตัวไม่สามารถดูพวกมันอยู่ได้ตลอด ฉินสือโอวมองดูปลาหมึกที่ว่ายวนอยู่รอบข้างอย่างไม่ประสงค์ดีจึงรีบไล่พวกมันไป จากนั้นก็คิดหาวิธีปกป้องพวกหอยนางรมลอย
หอยนางรมลอยต่อสู้ไม่ได้ ฉินสือโอวเลยได้แต่หาวิธีเพิ่มความสามารถในการซ่อนตัวของพวกมัน เขาถ่ายพลังโพไซดอนให้สาหร่ายแถวนั้นเพิ่ม ต่อไปพอสาหร่ายพืชน้ำโตขึ้นก็จะบังหอยนางรมลอยได้
ถ้าพูดถึงเรื่องการผลิตของล้ำค่า นอกจากแนวปะการังแดงในทะเลลึกแล้ว ก็คือหอยนางรมลอยพวกนี้ แม้แต่ปลาทูน่าครีบน้ำเงินก็เทียบพวกมันไม่ได้ ฉะนั้นต้องคุ้มครองให้ดีๆ
จัดการเรื่องยิบย่อยเสร็จ ฉินสือโอวหาหอยนางรมลอยตัวใหญ่ที่สุด นี่คือราชาหอยของฝูงหอยนางรมลอย เส้นทแยงมุมยาวถึงครึ่งเมตร น้ำหนักโดยประมาณคงถึงสิบกว่ากิโลกรัม เป็นยักษ์ใหญ่ในหมู่หอยนางรมลอย
เห็นหอยนางรมลอยตัวนี้ ฉินสือโอวก็ผุดยิ้มออกมา แหวนแต่งงานที่เขาเตรียมไว้ให้วินนี่ก็อยู่ในนี้แหละ
เขาควบคุมให้ราชาหอยเปิดฝาเผยให้เห็นเนื้อหอยนุ่มนิ่มข้างใน สีชมพูใสๆ ปกคลุมเนื้อเยื่อมันวาว เบื้องล่างของเนื้อเยื่อนั้นมีไข่มุกดำที่มีขนาดแตกต่างกันอยู่
จำนวนของไข่มุกดำมีเม็ดใหญ่ประมาณสี่ห้าสิบเม็ด เม็ดที่ใหญ่ที่สุดมีขนาดพอๆ กับส้มจีน!
เม็ดไข่มุกดำเม็ดอื่นในตัวของราชาหอยก็ไม่เล็ก รวมๆ แล้วก็ใหญ่กว่านิ้วหัวแม่โป้งของผู้ใหญ่ เปล่งแสงสีเทาดำที่นุ่มนวลและลึกลับภายใต้การปกคลุมของเนื้อเยื่อสีชมพู
ถ้าพูดถึงขนาด ไข่มุกพวกนี้ก็ไม่ใหญ่มากนัก ไข่มุกที่ใหญ่ที่สุดในโลก ‘ไข่มุกแห่งอัลเลาะห์’ ที่จัดแสดงบนบรอดเวย์ในนิวยอร์กในเดือนกรกฎาคม ปี1939
ไข่มุกแห่งอัลเลาะห์มีทั้งหมดแปดเม็ด หนัก 266 กิโลกรัม แต่มันไม่ได้เป็นทรงกลม สูง 24.13 เซนติเมตร กว้าง 13.97 เซนติเมตร เส้นรอบวง 63.50 เซนติเมตร รูปทรงบิดเบี้ยว เนื่องจากมุกนี้มีลักษณะเหมือน ‘อัลเลาะห์’ จากบางมุมจึงมีชื่อเรียกว่า ‘ไข่มุกแห่งอัลเลาะห์’
แต่ไข่มุกที่มีค่าที่สุดก็คือทรงกลม ยิ่งกลมยิ่งดี พวกที่รูปร่างไม่เป็นทรงจะมีมูลค่าไม่สูงเว้นเสียแต่ว่าจะเม็ดใหญ่อย่างไข่มุกแห่งอัลเลาะห์
เม็ดไข่มุกดำพวกนี้ในท้องของราชาหอยล้วนแต่กลมเป็นมันเงา สีสม่ำเสมอ เป็นของล้ำค่าแห่งทะเลอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ต้องรู้ด้วยว่าไข่มุกดำกับไข่มุกธรรมดาต่างกัน เพราะข้อจำกัดทางการเจริญเติบโตของหอยนางรมลอยซึ่งมีน้อยที่เส้นผ่าศูนย์กลางของไข่มุกดำจะเกิน 18 มิลลิเมตร พอถึงหรือใกล้เคียงขีดจำกัดนี้ราคาก็แพงมากแล้ว
อย่างเช่น ปี 2010 ในการประมูลคริสตีส์นิวยอร์กฤดูใบไม้ผลิ ไข่มุกดำจากแม่น้ำขนาด 19 มิลลิเมตรประมูลออกไปได้สูงถึง 2.42 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากนั้นในงานประมูลโซเธบี้ฤดูใบไม้ร่วง มงกุฎฝังไข่มุกดำขนาด 17 มิลลิเมตรห้าเม็ดถูกเศรษฐีรัสเซียประมูลไปในราคา 5.2 ล้านเหรียญสหรัฐ!
ไข่มุกพวกนี้ที่อยู่ในท้องราชาหอยเป็นวัตถุดิบทำแหวนแต่งงานที่ฉินสือโอวคิดหาวิธีเพาะเลี้ยงแทบตาย เขาถ่ายพลังโพไซดอนให้ราชาหอยมากที่สุด และบ่อยครั้งที่เคลื่อนเนื้อเยื่อของราชาหอยเพื่อให้มุกม้วนตัวช้าๆ และสร้างวงกลมที่สวยงามที่สุด
ครั้งนี้ถือว่าเขาลงทุนหนักทีเดียว การเก็บไข่มุกจากหอยเป็นการฆ่าหอยให้ตาย เพราะครั้งที่แล้วไข่มุกเม็ดเล็กเกินไป พอเนื้อหอยเสียหายไปก็ได้พลังโพไซดอนมาเสริมพลังชีวิตให้เหล่าหอย จึงพอจะรักษาชีวิตของพวกมันไว้ได้
แต่ว่าไข่มุกที่อยู่ในราชาหอยใหญ่ขนาดนี้ได้แต่เก็บด้วยมือ แถมไข่มุกข้างในยังเยอะขนาดนี้ ถ้าเก็บออกมาหมด ราชาหอยนั่นต้องโดนกรีดเป็นชิ้นๆ จนมีชีวิตต่อไปไม่ได้แน่
ดูเขตเพาะไข่มุกดำแล้ว ฉินสือโอวก็ดูปลาไส้ตันฟลอริดาลูกรักอีก
ตอนนี้ปลาไส้ตันทั้งฝูงกำลังว่ายเข้าไปในแม่น้ำภูเขา ปลาตัวผู้ว่ายวนอยู่ที่บริเวณปากอ่าว ปลาตัวเมียวางไข่ในสระน้ำและต้นน้ำ ทำการแพร่ขยายเผ่าพันธุ์
เทียบกับตอนอยู่ในทะเลแล้ว สีบนตัวของปลาไส้ตันจะอ่อนลง สีเหลืองเข้มบนหลังได้กลายเป็นสีเหลืองอ่อนไปแล้ว นี่เป็นสัญญาณของการใช้พลังงานไขมันมากเกินไป ในแม่น้ำมีอาหารที่เหมาะสมกับพวกมันน้อยเกินไป
ปลาทะเลทุกชนิดที่ต้องอพยพไปยังแหล่งน้ำจืดเพื่อวางไข่จะมีปัญหานี้ ปลาแซลมอนโคโฮยิ่งกว่านี้อีก พวกมันเผาผลาญมากเกินไปจนสุดท้ายว่ายกลับทะเลไม่ได้ ได้แต่ตายในที่วางไข่
ปลาตัวผู้กลับอยู่ดีทีเดียว ปากอ่าวเป็นจุดที่อาหารอุดมสมบูรณ์ที่สุด พวกมันไม่ขาดแคลนอาหาร อีกอย่าง ทุกครั้งที่ปลาตัวเมียวางไข่ ปลาตัวผู้จะกินเยอะๆ ถ้าอยู่ในน่านน้ำเดียวกัน ปลาตัวเมียก็จะสละอาหารให้ปลาตัวผู้แม้จะหิวก็ตาม
ที่เป็นแบบนี้ก็อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ ปลาตัวผู้ต้องกินให้ตัวอ้วนใหญ่ ถ้ามีศัตรูโผล่มาจะได้อัดให้พวกมันอิ่มท้อง…
ฉินสือโอวรู้เรื่องนี้มาจากข้อมูล แต่พออ่านไปถึงข้างหลังก็จนใจ ปลาชนิดนี้นี่ก็ไร้ศักดิ์ศรีจริงๆ การเป็นรองตามธรรมชาติคืออะไร? ก็คือแบบนี้
ยุ่งกับปลาไส้ตันฟลอริดาจนเสร็จก็ถึงเวลาอาหารกลางวัน ฉินสือโอวถามว่ากินอะไรดี บูลบอกว่าเขาเตรียมสเต๊กเนื้อแกะไว้ ตอนกลางวันกินสเต๊กแกะตุ๋นกัน
อาหารการกินของคนแคนาดาค่อนข้างหนักไปทางเนื้อ เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับชาติพันธุ์ อย่างไรก็ตาม ฉินสือโอวก็ออกกำลังมากในหนึ่งวันระบบการย่อยของเขาจึงแข็งแกร่งมาก แต่ก็ยังรับวิถีการกินที่มีแต่เนื้อสัตว์ไม่ไหว
แน่นอนว่าเนื้อปลาไม่มีปัญหา เพราะเนื้อปลาย่อยง่ายโปรตีนที่มีอยู่ล้วนเป็นโมเลกุลขนาดเล็ก ดูดซึมได้ง่าย ไม่เหมือนพวกเนื้อวัวหมูแกะ กินเนื้อเข้าไปเต็มท้องทีไรเขาก็รู้สึกเหมือนในกระเพาะมีหินอัดอยู่
สเต๊กแกะที่บูลเตรียมเป็นของที่พ่อแม่แอนนาเอามาจากบ้านตอนที่มาเยี่ยมเขา เขาพูดว่า “บ้านของแอนนาอยู่ที่บูแคนัน ที่นั่นมีฟาร์มมากมาย แต่ล่ะบ้านเลี้ยงวัวเลี้ยงแกะ เนื้อวัวแกะที่ผลิตต่างกับของเซนต์จอห์น รสดีมาก บอสต้องลอง”
บูแคนันอยู่ตรงกลางของเกาะนิวฟันด์แลนด์ ทางทิศตะวันตกก็คือแกรนด์เลค ภูมิประเทศหลักเป็นทุ่งราบ เป็นเมืองเล็กที่ฟาร์มมารวมตัวกัน
บทที่ 1257 ตุ๋นเนื้อแกะในทะเล
บูลสับเนื้อแกะแล้วโยนลงไปต้มในหม้ออัดแรงดันที่อยู่บนเรือยอชต์
ฉินสือโอวกลอกตาอย่างโมโหแล้วถามว่า “ที่บ้านนายทำสเต๊กแกะตุ๋นแบบนี้เหรอ?”
บูลพูดแบบแน่ใจ “แน่นอนว่าไม่ใช่…ที่บ้านแอนนาเป็นคนทำกับข้าว แต่ผมเห็นเธอก็ใช้น้ำต้มแบบนี้ ทำออกมาก็อร่อยดี”
ท่านชายฉินเตะเขาไปแบบไม่ปรานีให้เขาถอยไปแล้วพูดอย่างโกรธๆ “ไอ้ไร้ประโยชน์ ดูฉันทำนี่”
บูลยิ้มแฉ่งแล้วรีบเปิดปากพูด “งั้นบอสทำดีกว่า แน่นอนว่าฝีมือทำอาหารของบอสดีที่สุด”
นีลเซ็นที่พิงประตูอยู่พูดขำๆ “บูล ประจบได้ไม่เลวนี่ เอาอีกสิ ประจบฉันสักที”
“ไอ้เวรนีลเซ็น!” บูลชูนิ้วกลางใส่เขา “ฉันตบหน้านายได้ทีหนึ่ง นายจะเอาไหม?”
คุณภาพเนื้อแกะบูแคนันค่อนข้างดี แต่ปริมาณน้อย ไม่อย่างนั้นคงสามารถครองตลาดตะวันออกของแคนาดาได้เลยทีเดียว
ปกติเวลาฉินสือโอวซื้อเนื้อจะซื้อแบบดีๆ เนื้อแกะบางครั้งก็ซื้อเนื้อจากบูแคนัน พวกชาวประมงต่างก็ว่าเขาฟุ่มเฟือย
คนแคนาดากินเนื้อเป็นหลัก วัวแกะและปศุสัตว์ล้วนเลี้ยงเป็นจำนวนมาก ซื้อเนื้อแต่ละทีจึงถูกมาก เนื้อแกะปกติปอนด์ล่ะประมาณสี่ห้าดอลลาร์แคนาดา ส่วนเนื้อแกะบูแคนันล่ะ? หนึ่งปอนด์ราคาสิบห้าดอลลาร์แคนาดา แพงขึ้นมาถึงสามสี่เท่า!
แน่นอนว่าฉินสือโอวคิดว่ามันมีคุณค่าของมัน เนื้อชั้นดีของแคนาดาไม่ใช่แค่อร่อยกว่าเนื้อทั่วไป แต่ยังปลอดภัยและดีต่อสุขภาพมากกว่าด้วย
แม้ว่าหน่วยงานตรวจสอบความปลอดภัยด้านอาหารของแคนาดาจะบอกตลอดว่าพวกเขาควบคุมการใช้ฮอร์โมนและยาอย่างเคร่งครัด แต่พวกเขาไม่มีทางตรวจดูได้ทุกอย่าง เนื้อที่เข้าสู่ตลาดก็ต้องมีปัญหาบ้าง
ปัญหาความปลอดภัยด้านอาหารของแคนาดา ตอนนี้ก็เป็นหนึ่งในปัญหาหลักที่ประชาชนให้ความสนใจ
เนื้อแกะบูแคนันแทบไม่ต้องกังวลเรื่องการใช้ฮอร์โมนและยาเกินขนาดเลย เพราะเนื้อที่นี่ตรวจเข้มงวดมาก ในที่สุดยอดขายก็ตกอยู่ในรถเข็นของคนรวย ดังนั้นจึงสามารถกินมันได้อย่างมั่นใจ
ถ้าใช้สเต๊กเนื้อแกะธรรมดามาตุ๋นซุปก็ต้องลวกทิ้งหนึ่งรอบก่อน ไม่อย่างนั้นในเนื้อจะมีไขมันอิ่มตัวและของไม่สะอาด ที่ไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย สเต๊กเนื้อแกะบูแคนันก็ไม่จำเป็น ตอนที่ใช้น้ำตุ๋นก็ไม่มีไขมันสีขาวลอยอยู่เหนือน้ำ ตุ๋นออกมาก็มีแต่น้ำมันใสๆ
ฉินสือโอวเคยลองแล้ว เนื้อแกะแบบนี้อย่าเพิ่งตุ๋นในทันที ต้องใช้น้ำมันทอดก่อน
ตอนที่เขาตั้งน้ำมันจนเดือดแล้วเอาเนื้อสเต๊กแกะที่สับแล้วลงทอด บูลก็เกาหัวแล้วพูดว่า “โอ้ กัปตัน คุณอยากกินสเต๊กทอดเหรอ? ที่บ้านผมมีเนื้อสเต๊กแกะชิ้นเล็ก อันนั้นเหมาะจะทอดมาก เดี๋ยวผมเอาไปส่งให้”
ฉินสือโอวกลอกตาต่อไปอีก แน่นอนว่าเขาไม่ได้จะกินเนื้อสเต๊กแกะทอด เนื้อนี้แค่ต้องทอดในน้ำมันจนมีสีเหลืองทองก็เอาออกมาได้แล้ว อีกเดี๋ยวก็เสร็จ
จากนั้นเขาก็หาในตู้เย็น ในนั้นมีเห็ดหอมภูเขาที่เก็บมาตากแห้งตอนฤดูใบไม้ผลิ
แช่ในน้ำร้อนเสร็จ ฉินสือโอวก็เอาเห็ดใส่ลงในหม้อตุ๋น เสร็จแล้วก็เทเหล้าจีนลงไป ตามด้วยต้นหอม ขิงที่หั่นชิ้นใหญ่ไว้ แล้วต้มก่อนสักสองสามนาทีค่อยเอาสเต๊กแกะที่ทอดจนเป็นสีเหลืองทองใส่ลงไป
รอจนซุปในหม้อเริ่มเดือดปุดๆ เขาก็ใส่แครอทที่ฟาร์มปลาปลูกเองลงไปด้วย เนื้อแกะตุ๋นหนึ่งหม้อจึงจะแล้วเสร็จ
บูลมองดูด้วยสายตาอึ้งๆ “แค่ตุ๋นเนื้อแกะต้องยุ่งยากขนาดนี้เลยเหรอ?”
ฉินสือโอวตอบ “ไอ้โง่ นี่ถึงจะเป็นขั้นตอนการทำเนื้อแกะตุ๋นตามปกติ อะไรของนาย? ของกินที่วินนี่ให้หู่จือเป้าจือกินยังดีกว่าของนายซะอีก”
“แต่บ้านผมเขาก็ทำกันแบบนี้ พ่อแม่ผมแต่ก่อนเวลาตุ๋นแกะก็ทำแบบนี้” บูลเถียงอย่างไม่ยอม
ฉินสือโอวยิ้มอย่างจนใจ “ให้ตายสิ บูล นายโตมาขนาดนี้ได้อย่างปลอดภัยนี่ไม่ง่ายเลยจริงๆ”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ไอน้ำในหม้อก็ฟุ้งกระจายออกมา ห้องครัวบนเรือยอชต์อบอวลไปด้วยกลิ่นของเนื้อแกะ อีวิลสันเตรียมชามและตะเกียบ มีด ส้อมไว้เรียบร้อย สรุปก็คืออุปกรณ์กินข้าวมีครบหมด ไม่ว่าจะเป็นอาหารจีนหรือฝรั่งก็สามารถกินได้
อย่างที่บอกว่าอีวิลสันทึ่มโดยธรรมชาติ ฉินสือโอวกลับรู้สึกว่าไม่ใช่แบบนั้น ดูจากความคิดอ่านเวลากินข้าวก็ฉลาดใช้ได้ อย่างเช่นจนถึงตอนนี้พวกชาวประมงยังไม่มีคนไหนที่รู้จักเตรียมอุปกรณ์กินข้าวให้ครบ เวลากินพวกผัดหมูเส้นกับปลาหรือมันฝรั่งเส้น พวกเขาก็ได้แต่มองดูเฉยๆ
ฉินสือโอวเปิดฝาหม้อดู สเต๊กแกะที่ทอดจนเป็นสีเหลืองทองกลับมาเป็นสีขาวราวหิมะ น้ำซุปก็เปลี่ยนเป็นสีขาวน้ำนม บนผิวซุปมีไขมันที่หนาแต่ไม่เลี่ยนอยู่ กลิ่นหอมเตะจมูก
เอาต้นหอมและผักชีถ้วยหนึ่งที่เตรียมไว้โรยลงไปก็เสร็จ ฉินสือโอวพูดอย่างพอใจ “โอเค กินข้าวกันได้แล้ว”
อีวิลสันรีบยื่นชามใบโตของตัวเองออกไปทันที
บูลเห็นแบบนั้นก็พูดอย่างประหลาดใจ “อีวิลสัน ทำไมนายถึงเอากะละมังอาบน้ำของเสี่ยวเถียนกวามาด้วยล่ะ?”
อีวิลสันส่ายหน้ารัว “ไม่ใช่นะ นี่เป็นชามของอีวิลสัน กะละมังอาบน้ำยังอยู่ที่บ้าน! อีวิลสันไม่ได้เอาไป นั่นของเถียนกวา!”
ฉินสือโอวพูดยิ้มๆ “บูล นายนี่มันไม่รู้จักจำ อย่าไปแหย่อีวิลสันได้ไหม? ฉันจะบอกให้ ถ้านายแกล้งเขา งั้นฉันก็พูดได้แค่อย่างเดียว”
“พูดว่าอะไรครับ?” นีลเซ็นประชิดเข้ามาถาม
ฉินสือโอวพูดกับอีวิลสันหน้าชื่นตาบาน “ไป อัดบูลซะ อัดเสร็จแล้วค่อยกลับมากิน!”
บูลรีบหันหลังวิ่งหนี อีวิลสันตามมาด้านหลังราวกับลมกรดแล้วยกตัวเขาที่สูงหนึ่งร้อยแปดสิบเก้าขึ้นมาราวกับกำลังยกไก่ตัวหนึ่ง จากนั้นก็โยนลงไปบนโซฟา แล้วอัดตุบตับอย่างกับตีกลองอยู่
นีลเซ็นไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ เขาเลือกเนื้อกินไปพูดไป “อีวิลสัน ฉินถามว่ากำลังนวดให้บูลอยู่เหรอ? แรงน้อยไปแล้ว”
อีวิลสันพูดอย่างจริงจัง “ไม่ได้นวด อีวิลสันกำลังอัดเขาอยู่”
อีวิลสันไม่เข้าใจคำพูดของเขา บูลกลับเข้าใจเลยร้องโหยหวนออกมา “นีลเซ็น ไอ้เวร! ฉันจะล้างแค้นนายแน่! รีบมาช่วยฉันเร็ว! ไม่อย่างนั้นกลับไปฉันพูดอะไรกับแพรีสไม่รู้ด้วยนะ!”
นีลเซ็นได้ยินแบบนั้นก็รีบยกชามเหล็กของอีวิลสันไปให้พลางพูดว่า “มา เพื่อน ฉินบอกว่ากินข้าวได้แล้ว!”
อาหารเป็นชีวิตของอีวิลสัน เขายกชามอย่างดีใจแล้วทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาก่อนจะเริ่มกินแจ๊บๆ ด้วยสีหน้ามีความสุข “อร่อยจริงๆ เลย!”
บูลขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา ฉินสือโอวยื่นชามให้เขา เขากัดลงไปบนเนื้อแกะก็ต้องร้องออกมาอย่างประหลาดใจ “โอ้โห บอสทำอร่อยจริงๆ ด้วย อืม ทำไมเนื้อแกะถึงหอมขนาดนี้?”
ฉินสือโอวกินไปอธิบายไป “เนื้อแกะชั้นเยี่ยมแบบนี้เนื้อจะนิ่มมาก กินไปแม้เนื้อสัมผัสจะดี แต่ถ้าต้มเลยน้ำข้างในเนื้อก็จะลงไปในซุปหมด เพราะฉะนั้นทอดหนึ่งรอบเพื่อล็อกหนังชั้นนอกไว้ แบบนี้ด้านในจะยังมีน้ำอยู่ส่วนหนึ่ง กลิ่นหอมของเนื้อแกะจะอยู่ในน้ำนั้น”
เนื้อแกะตุ๋นที่เขาทำไม่ใช่แค่หอมเท่านั้น ยังมีรสของผักด้วย เวลาทำเนื้อตุ๋นคนแคนาดาไม่ชอบใส่เครื่องเทศอย่างต้นหอม ขิง กระเทียม ผักชี มีแค่เนื้อก้อนโต กินไปไม่กี่ชิ้นก็ไม่หอมแล้ว ไม่อร่อยเลย
ทั้งสี่คนรุมกินกันจนเนื้อแกะตุ๋นทั้งหม้อหายไปในพริบตา สุดท้ายแม้แต่แครอทก็ไม่เหลือ อีวิลสันกินจนหมด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น