เทพปีศาจหวนคืน 1250-1256
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1250 ภายนอกและภายใน
แปลโดย iPAT
“แดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะ!?” จ้าวเหลียนหยุนอุทานด้วยความประหลาดใจ
นางเงยหน้าขึ้นและเห็นผู้อมตะหญิงอยู่ด้านหน้า
คนผู้นี้กำลังนอนอยู่บนเตียงเมฆ นางอยู่ในชุดคลุมผ้าไหมและมีเส้นผมสีฟ้าที่ดูสะดุดตา
ผู้อมตะหญิงถามกลับด้วยการแสดงออกที่แปลกประหลาด “ดูเหมือนพวกเจ้าทั้งห้าจะไม่ได้ตั้งใจบุกเข้ามาในแดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะงั้นหรือ?”
“อา…” จ้าวเหลียนหยุนมองไปรอบๆและพบว่านางอยู่ในห้องโถงขนาดใหญ่ นอกจากนั้นยังมีสหายผู้อมตะภาคกลางอีกสี่คนอยู่กับนาง
เป็นเพียงเวลานี้ที่ผู้อมตะทั้งสี่ตื่นขึ้น
จ้าวเหลียนหยุนจำคนทั้งสี่ได้
คนที่นางคุ้นเคยที่สุดคือปู้เจิ้งซือ เขาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ ผู้อมตะระดับเจ็ดที่ได้รับภารกิจปกป้องจ้าวเหลียนหยุน
อวี๋อี้เย่ซือ ผู้อมตะหนุ่มจากนิกายจิตวิญญาณบรรพกาล ผู้อมตะระดับหกบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมที่มีความรู้กว้างขวาง
ซือเจิ้งอี้ เด็กหนุ่มที่มีดวงตายาวและคิ้วเรียวบาง เขาอยู่บนชั้นสูงสุดของหอคอยวายุเช่นเดียวกับจ้าวเหลียนหยุนมาก่อนหน้านี้ แม้จ้าวเหลียนหยุนจะไม่ได้พูดคุยกับเขา แต่นางเห็นบิดาของเด็กหนุ่มตาบอดจากโคมทมิฬ สิ่งนี้ทำให้นางสามารถจดจำคู่พ่อลูก
คนสุดท้ายเป็นคนที่จ้าวเหลียนหยุนไม่รู้จักและไม่เคยเห็น
อย่างไรก็ตามซือเจิ้งอี้รู้จักคนผู้นี้ เขารีบวิ่งเข้าไปหาบุคคลดังกล่าวและทักทาย “ผู้อาวุโสมู่หลิงหลาน พวกเรามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
คนผู้นี้คือมู่หลิงหลาน ผู้อมตะระดับเจ็ดบนเส้นทางแห่งวารีของนิกายผีเสื้อจิตวิญญาณ
“ข้าก็ไม่เข้าใจเช่นกัน ห้องมิติแตกออกอย่างกะทันหันและผลักพวกเจ้าทั้งห้าเข้ามาที่นี่” ผู้อมตะหญิงกล่าวเบาๆ “เข้าสู่แดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะโดยไม่ได้รับอนุญาต ข้ากำลังรอให้พวกเจ้าตอบข้อสงสัยของข้า”
“แดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะ…ที่นี่คือแดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะงั้นหรือ?” ซือเจิ้งอี้อุทาน เขามองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นโลกสีขาว มองไปในระยะไกลยังสามารถเห็นยอดเขาหิมะมากกว่าสิบยอดตั้งอยู่
ในเวลาเดียวกันซือเจิ้งอี้ก็พบว่าพวกเขาอยู่ในห้องโถงบนยอดเขาหิมะลูกหนึ่ง
ผู้อมตะภาคกลางตอบสนองอย่างรวดเร็ว
ปู้เจิ้งซือวิ่งไปด้านหน้าจ้าวเหลียนหยุนและมองผู้อมตะหญิงด้วยสายตาเคร่งเครียด “หากข้าจำไม่ผิด เจ้าก็คือผู้นำลำดับที่เก้าของแดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะ สนมผมฟ้า!”
“แดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะ…หงหยุนอยู่ที่นี่!” ดวงตาของจ้าวเหลียนหยุนส่องประกายขึ้น
ผู้อมตะหญิงยืดร่างกายส่วนบนขึ้นและแสดงออกด้วยความกังวล “เช่นนั้นพวกเจ้าก็มาเพราะหม่าหงหยุน!”
“ถูกต้อง ส่งหม่าหงหยุนมา!” จ้าวเหลียนหยุนตะโกน
สนมผมฟ้ามองจ้าวเหลียนหยุน “หม่าหงหยุนไม่ได้อยู่ที่นี่ หากพวกเจ้าต้องการพบเขา พวกเจ้าต้องไปยอดเขาที่หนึ่ง แต่ที่นั่นมีท่านหญิงหว่านซูและนายท่านเซี่ยหูปกป้องอยู่ พวกเจ้าห้าคนไม่แม้แต่จะสามารถสร้างแรงกดดันใดๆ”
“หากมีความมุ่งมั่นย่อมมีหนทางเสมอ!” ซือเจิ้งอี้ป้องหมัดกล่าว
“แม้ข้าจะตาย ข้าก็ต้องช่วยหงหยุน!” จ้าวเหลียนหยุนเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
มู่หลิงหลานก้าวไปข้างหน้า “เราห้าคนมาถึงเป็นกลุ่มแรก ผู้อมตะระดับแปดหลายคนกำลังตามพวกเรามา แม้แดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะจะมีข้อได้เปรียบ พวกเจ้าก็ยังมีผู้อมตะระดับแปดเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น”
มู่หลิงหลานข่มขู่
ในความเป็นจริงผู้อมตะที่ติดอยู่ในอุโมงค์มิติอาจโชคร้ายมากกว่าโชคดี
อาจมีพวกเขาเพียงกลุ่มเดียวที่รอดชีวิตด้วยความช่วยเหลือจากวิญญาณแห่งความรัก
การแสดงออกของสนมผมฟ้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางเป็นเพียงผู้อมตะระดับหก ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามมีจำนวนมากกว่าและยังมีผู้อมตะระดับเจ็ดอยู่ในกลุ่มถึงสองคน
แดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะมียอดเขาสิบห้ายอด
สนมผมฟ้าเป็นเจ้าของยอดเขาที่เก้า นางไม่คาดหวังว่าความสงบสุขของนางจะถูกทำลายลงโดยการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของผู้อมตะห้าคน
“ข้าจะเป็นผู้โจมตีหลัก พวกเจ้าอยู่ด้านหลัง” มู่หลิงหลานลอบส่งเสียงไปหาคนอื่นๆ
สนมผมฟ้าตระหนักถึงสิ่งผิดปกติ นางรีบยกมือขึ้น “เดี๋ยว! เราเป็นสหายไม่ใช่ศัตรู!”
“หมายความว่าอย่างไร?” ปู้เจิ้งซือหยุดมู่หลิงหลานและเปิดปากถาม
สนมผมฟ้าตอบ “พวกเจ้าคิดว่าข้าจะยอมสละชีวิตปกป้องเจ้านายที่ทำทุกสิ่งเพื่อตนเองงั้นหรือ? ปีศาจเฒ่าเซี่ยหูบังคับให้พวกเราออกไปรวบรวมทรัพยากรอมตะ พวกเราพบกับความทุกข์ทรมานอย่างมากแต่พวกเราก็ไม่สามารถต่อต้านเขา”
“กล่าวตามตรง ข้าต้องการยอมแพ้และกำลังคิดว่าเมื่อใดที่กองกำลังฝ่ายธรรมะของภาคเหนือจะบุกโจมตีแดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะ แต่ข้าไม่เคยคาดหวังว่าพวกเจ้าจะมาจากภาคกลาง”
“ข้าไม่ต้องการต่อสู้กับพวกเจ้า หากพวกเจ้ามาเพื่อจัดการปีศาจเฒ่าเซี่ยหู ข้ายินดีต้อนรับพวกเจ้าและจะไม่ขัดขวาง”
“อา…เป็นเช่นนั้น…” ปู้เจิ้งซือและมู่หลิงหลานมองหน้ากันด้วยความสงสัย
สนมผมฟ้ากล่าวต่อ “เมื่อพวกเจ้าวางแผนโจมตีแดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะ พวกเจ้าย่อมต้องรวบรวมข้อมูลมากมาย ข้าจะไม่ซ่อนมันจากพวกเจ้า มีความขัดแย้งภายในกองกำลังพันธมิตรภูเขาหิมะ ปีศาจเฒ่าเซี่ยหูต้องการหลอมรวมวิญญาณอมตะโชคชะตาท้าทายสวรรค์และไม่สนใจความรู้สึกของสมาชิก น่าเสียดายที่พวกเราอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาและไม่สามารถก่อกบฏ เราทำได้เพียงรอให้กองกำลังจากภายนอกบุกเข้ามาช่วยพวกเราเท่านั้น”
ผู้อมตะภาคกลางทั้งห้ารู้สึกพูดไม่ออก พวกเขาไม่คาดหวังว่าจะพบกับสถานการณ์นี้
มู่หลิงหลานกล่าว “หากเจ้าต้องการยอมจำนน ข้อมูลนี้ยังไม่เพียงพอ เข้าร่วมกับพวกเราเพื่อแสดงความจริงใจ”
สนมผมฟ้าเผยรอยยิ้มขมขื่น “หากข้าโจมตีได้ ข้าคงกบฎไปนานแล้ว พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องตรวจสอบข้าอีก พวกเจ้าจะเชื่อข้าเพียงเพราะข้าเข้าร่วมกับพวกเจ้างั้นหรือ? มีวิธีที่ข้าสามารถแสดงความจริงใจ ข้าจะบอกแผนการป้องกันของกองกำลังพันธมิตรภูเขาหิมะ”
“อา…พูดมา” มู่หลิงหลานพยักหน้า
สนมผมฟ้ามองผู้อมตะทั้งห้าก่อนจะกล่าวอย่างช้าๆ “ปีศาจเฒ่าเซี่ยหูดัดแปลงแดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะเพื่อหลอมรวมวิญญาณอมตะโชคชะตาท้าทายสวรรค์ ไม่นานมานี้เขาเชิญซุนหมิงลู่ให้มาวางค่ายกลวิญญาณขนาดใหญ่ขึ้นที่นี่”
“ค่ายกลวิญญาณนี้มีพลังมหาศาล มันสามารถเชื่อมต่อกับสายธารแห่งกาลเวลา หากผู้บุกรุกบุกโจมตี มันจะช่วยยกระดับการบ่มเพาะของผู้นำยอดเขาทั้งหมดจากระดับหกขึ้นสู่ระดับเจ็ด ขณะเดียวกันผู้บุกรุกจะอ่อนแอลงแม้พวกเขาจะเป็นผู้อมตะระดับแปดก็ตาม กระทั่งพวกเขาจะต้องการทำลายค่ายกลวิญญาณนี้ พวกเขายังต้องใช้เวลาพอสมควร”
“พวกเราจะรู้ได้อย่างไรว่าข้อมูลของเจ้าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ?” มู่หลิงหลานถาม
สนมผมฟ้าเผยรอยยิ้มขมขื่น “คำกล่าวของข้าเป็นเรื่องจริงทั้งหมด หากพวกเจ้าไม่เชื่อ พวกเจ้าสามารถทดสอบด้วยตนเอง”
“ดี!” มู่หลิงหลานสะบัดแขนเสื้อและส่งคลื่นน้ำพุ่งเข้าโจมตีสนมผมฟ้า
สนมผมฟ้าไม่ตื่นตระหนก นางสะบัดแขนเสื้ออย่างไม่ตั้งใจมากนักแต่สามารถป้องกันคลื่นน้ำได้อย่างง่ายดาย
มู่หลิงหลานขมวดคิ้ว เขามองเห็นปัญหาในการโจมตีเดียวและไม่เคลื่อนไหวอีก
ผู้อมตะภาคกลางทั้งสี่มองหน้ากัน
เป็นดังคำกล่าวของสนมผมฟ้า นางสามารถแสดงพลังการต่อสู้ระดับเจ็ด ขณะที่การโจมตีระดับเจ็ดของมู่หลิงหลานอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
“ค่ายกลวิญญาณนี้แข็งแกร่งเกินไป” ซือเจิ้งอี้อุทานด้วยความตกใจ
ปู้เจิ้งซือถาม “แล้วจุดอ่อนของค่ายกลวิญญาณนี้อยู่ที่ใด?”
สนมผมฟ้าส่ายศีรษะ “ข้าไม่คุ้นเคยกับค่ายกลวิญญาณนี้ แต่ข้ามีประสบการณ์บางอย่างที่สามารถบอกพวกเจ้า”
“ประการแรก ค่ายกลวิญญาณจะแยกสิ่งที่อยู่ภายในออกจากภายนอก พวกเจ้าจะไม่สามารถเชื่อมต่อสวรรค์สีเหลือง มีเพียงปีศาจเฒ่าเซี่ยหูเท่านั้นที่สามารถเชื่อมต่อ กระทั่งผู้นำยอดเขาหิมะเช่นข้าก็ยังไม่สามารถ”
“ประการที่สอง ผู้นำยอดเขาหิมะแต่ละคนเป็นแกนกลางของค่ายกลวิญญาณ ดูเหมือนพวกเราจะสามารถป้องกันศัตรูเมื่ออยู่ที่นี่เท่านั้น พวกเราไม่สามารถออกจากยอดเขาของตนเอง ประเด็นนี้เป็นเพียงการคาดเดาของข้า แต่ข้าคิดว่ามันถูกต้อง”
“สุดท้าย…ถึงเวลาที่พวกเจ้าต้องตายแล้ว!”
การแสดงออกของสนมผมฟ้าเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน เส้นผมสีฟ้าของนางพุ่งเข้าโจมตีผู้อมตะทั้งห้าอย่างกะทันหัน
มู่หลิงหลานระวังตัวตลอดเวลา เขารีบบินออกจากห้องโถง
ด้วยความช่วยเหลือจากปู้เจิ้งซือ จ้าวเหลียนหยุนสามารถหลบหนีเช่นกัน
ในห้องโถง เส้นผมสีฟ้าพัวพันอยู่รอบๆซือเจิ้งอี้กับอวี๋อี้เย่ซือและสร้างรังไหมสีฟ้าขนาดใหญ่ขึ้น
“นังแม่มดเจ้าเล่ห์!” มู่หลิงหลานโกรธมาก
แต่ก่อนที่เขาจะสามารถกล่าวสิ่งอื่นใด ปู้เจิ้งซือและจ้าวเหลียนหยุนก็เริ่มเปิดฉากโจมตีแล้ว
การต่อสู้ปะทุขึ้นบนยอดเขาที่เก้าและส่งเสียงดังราวกับฟ้าร้อง
…..
ทะเลตะวันออก
ลมหายใจมังกรพุ่งเข้าปะทะค่ายกลวิญญาณและทำให้มันสั่นสะเทือนขึ้นอย่างรุนแรง
“ฟางหยวนระวังตัวเกินไป เขาไม่ได้เข้ามาในค่ายกลวิญญาณ ตอนนี้เราควรทำอย่างไร?” ไป่หนิงปิงถามอิงอู๋เซี่ย
อิงอู๋เซี่ยถอยหายใจ “ข้าต้องการใช้ค่ายกลวิญญาณนี้กำหราบอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดและตรวจสอบความแข็งแกร่งของฟางหยวน แต่ผู้ใดจะคิดว่าเขาจะโจมตีจากระยะไกลโดยไม่เปิดโอกาสให้พวกเราเลย”
มีดที่ซ่อนอยู่น่ากลัวที่สุด
โดยธรรมชาติแล้วฟางหยวนสามารถพึ่งพาอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดเพื่อทะลวงเข้าไปในค่ายกลวิญญาณ แต่หากเขาทำเช่นนั้น เขาจะเปิดเผยความจริงที่ว่าอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดของเขามีพลังการต่อสู้ระดับหกเท่านั้น
แล้วฟางหยวนจะเปิดเผยจุดอ่อนของตนเองได้อย่างไร?
“แม้เราจะได้รับการปกป้องจากค่ายกลวิญญาณ แต่ฟางหยวนไม่มีความคิดที่จะบุกเข้ามา เขาใช้ท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงขณะที่ค่ายกลวิญญาณดูดกลืนพลังงานอมตะของพวกเราไปอย่างรวดเร็ว” ไป่หนิงปิงกล่าว
ซื่อหนิวต้องการต่อสู้ “เหตุใดไม่ให้ข้าออกไปล่อเขา?”
ไป่หนิงปิงเย้ยหยัน “ฟางหยวนเป็นคนเจ้าเล่ห์ เขาจะถูกล่อลวงให้เข้ามาในค่ายกลวิญญาณโดยเจ้าได้อย่างไร?”
ซื่อหนิวมองไป่หนิงปิงด้วยความโกรธ “แล้วเจ้าคิดว่าเราควรทำอย่างไร?”
“พอแล้ว!” อิงอู๋เซี่ยจัดบท “รอให้ข้าเตรียมการบางอย่างเพื่อทำให้เขาสับสน จากนั้นเราจะใช้ค่ายกลวิญญาณท่องรอบทิศเดินทางออกจากที่นี่อย่างเงียบๆ ตราบเท่าที่เราเร่งเดินทาง เราจะไปถึงภาคเหนือและพบกับผู้อมตะระดับแปด เราจะจัดการฟางหยวนที่นั่น”
การแสดงออกของไป่หนิงปิงกลายเป็นมืดครึ้ม “เจ้าขอให้ข้าใช้ค่ายกลวิญญาณนี้เพียงเพื่อที่จะยอมแพ้และลืมวิญญาณระดับมนุษย์เหล่านี้ แต่เจ้าต้องการให้ข้าทิ้งวิญญาณอมตะไว้ที่นี่ด้วยงั้นหรือ!?”
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1251 การต่อสู้ของสนมผมฟ้า
แปลโดย iPAT
“เพียงวิญญาณอมตะไม่กี่ดวง แล้วอย่างไร?” อิงอู๋เซี่ยกล่าว “ตราบเท่าที่แผนการของเราประสบความสำเร็จ การสูญเสียทั้งหมดของเจ้าจะได้รับการชดเชย การปล่อยวางเป็นเครื่องหมายของคนฉลาด ยิ่งไปกว่านั้นเราไม่ได้ละทิ้งพวกมันอย่างไร้เหตุผลแต่เราทิ้งพวกมันไว้เบื้องหลังเพื่อสร้างความสับสนให้กับศัตรูและสร้างโอกาสอันล้ำค่าให้กับตนเอง”
ไป่หนิงปิงบ่น “เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าพยายามลดความแข็งแกร่งของข้า?”
“เจ้ากำลังคิดมากเกินไป แต่เจ้ายังสามารถเลือกที่จะอยู่ที่นี่เพื่อยื้อเวลาให้พวกเราหลบหนี” อิงอู๋เซี่ยมองไป่หนิงปิง
ดวงตาของไป่หนิงปิงส่องประกายเย็นเยียบก่อนที่นางจะพยักหน้าในที่สุด “ข้าจะไปกับพวกเจ้า”
ไม่ใช่ว่านางไม่ต้องการต่อสู้ แต่เผชิญหน้ากับฟางหยวนที่มีพลังการต่อสู้ระดับนี้ นางไม่มีความมั่นใจในชัยชนะ
…..
ภาคเหนือ แดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะ ยอดเขาที่เก้า
กลุ่มผู้อมตะภาคเหนือทั้งห้าถูกปิดล้อมด้วยเส้นผมสีฟ้าของสนมผมฟ้า
“นี่เป็นท่าไม้ตายชนิดใดกัน?”
“พลังงานอมตะของข้าถูกดูดกลืนไปอย่างรวดเร็ว”
“อา…” อวี๋อี้เย่ซือกรีดร้องเมื่อเปลวไฟลุกไหม้ขึ้นบนร่างกายของเขา
แต่ไฟชนิดนี้กลับไม่ได้เผาทำลายเส้นผมสีฟ้า นอกจากนั้นเส้นผมสีฟ้ายังปล่อยไอน้ำจำนวนมากออกมาทำให้ร่างกายของอวี๋อี้เย่ซือกลายเป็นเปียกชุ่ม
“ไฟของข้าคือไปจากเตาดิน กระทั่งทรัพยากรอมตะระดับเจ็ดยังหลอมละลายในเวลาไม่กี่นาที แต่มันไม่สามารถเผาทำลายเส้นผมของข้า” เสียงของสนมผมฟ้าดังขึ้น
อวี๋อี้เย่ซือตกใจมาก
“ฮ่าฮ่าฮ่า อย่าดิ้นรนอย่างไร้ประโยชน์ ยิ่งดิ้นรน เส้นผมของข้าก็ยิ่งรัดแน่น ตั้งแต่นายท่านเซี่ยหูหลอมรวมวิญญาณอมตะโชคชะตาท้าทายสวรรค์ ข้าก็กระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะนี้อย่างไม่หยุดยั้ง พวกเจ้าคิดว่าตอนนี้ผมของข้าจะยาวถึงเพียงใด?”
สนมผมฟ้าเอนกายนอนบนเตียงของนางอีกครั้งและหัวเราะอย่างมีความสุข
“ยิ่งไปกว่านั้นข้าไม่ได้โกหกพวกเจ้า แดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะอยู่ภายใต้การปกป้องจากค่ายกลวิญญาณที่ยอดเยี่ยม พลังการต่อสู้ของข้าบรรลุถึงระดับเจ็ดขณะที่พวกเจ้าอ่อนแอลง ยอมจำนนอย่างเชื่อฟัง บางทีพวกเจ้าอาจมีโอกาสรอดชีวิต”
“ฮืม เจ้าคิดง่ายเกินไป” เป็นเพียงเวลานี้ที่เงาร่างสายหนึ่งบินออกมาจากรังไหม
รังไหมไม่ได้รับความเสียหายแต่เงาร่างสายนี้สามารถเคลื่อนที่ผ่านรังไหมออกมาได้อย่างอิสระ
ร่างภูตผีชนิดนี้ไม่ได้มาจากผู้ใดนอกจากผู้อมตะระดับเจ็ดบนเส้นทางแห่งภูตผีของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ
ปู้เจิ้งซือ!
การแสดงออกของสนมผมฟ้ากลายเป็นมืดครึ้ม “ดังนั้นก็มีผู้อมตะบนเส้นทางแห่งภูตผี ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าสามารถหลบหนีจากเส้นผมของข้า!”
ขณะที่นางกล่าว เสียงผมสีฟ้าจำนวนมากก็พุ่งขึ้นมาจากพื้นราวกับอสรพิษ
ปู้เจิ้งซือเผยรอยยิ้มสดใส “เจ้ายังขาดแคลนประสบการณ์ คิดว่าสามารถทำร้ายข้าได้งั้นหรือ?
ร่างภูตผีของเขากลับเข้าไปในรังไหมอีกครั้ง
ภายในรังไหมจ้าวเหลียนหยุนกำลังกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะสายป้องกันของนางเพื่อต่อต้านเส้นผมสีฟ้า
ปู้เจิ้งซือเข้ามาด้านข้างและทำให้จ้าวเหลียนหยุนสะดุ้งตกใจ
“ข้าจะนับหนึ่งถึงสาม ยกเลิกท่าไม้ตายสายป้องกันของเจ้าและตามข้ามา” ปู้เจิ้งซือวางมือบนไหล่ของนางและออกคำสั่ง
จ้าวเหลียนหยุนคิด ‘หากข้าหยุดใช้ท่าไม้ตายสายป้องกัน ข้าจะถูกเส้นผมสีฟ้าฉีกเป็นชิ้นๆหรือไม่?’
อย่างไรก็ตามจ้าวเหลียนหยุนคิดอีกครั้งและตัดสินใจเชื่อปู้เจิ้งซือ
เมื่อนางยกเลิกท่าไม้ตายสายป้องกัน เส้นผมสีฟ้าพุ่งเข้าโจมตีนางทันที แต่ร่างกายของจ้าวเหลียนหยุนกลับเปลี่ยนเป็นร่างภูตผีและพุ่งออกจากรังไหมพร้อมกับปู้เจิ้งซือ
ใบหน้าของสนมผมฟ้ากลายเป็นซีดขาวด้วยความตกใจ
ปู้เจิ้งซือบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งภูตผี เป็นเรื่องปกติที่เขาจะสามารถเปลี่ยนร่างเป็นภูตผี แต่การเปลี่ยนผู้อื่นเป็นภูตผีถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งภูตผีมีอยู่ไม่มาก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าปู้เจิ้งซือเป็นอัจฉริยะท่ามกลางพวกเขา
ด้วยความสามารถนี้ นิกายคฤหาสน์วิญญาณจึงไว้วางใจให้เขาเป็นผู้ปกป้องจ้าวเหลียนหยุน
หลังจากช่วยชีวิตจ้าวเหลียนหยุน ปู้เจิ้งซือยังทำสิ่งเดียวกันกับคนอื่นๆ
ผู้อมตะของภาคกลางทั้งห้าเริ่มปิดล้อมและโจมตีสนมผมฟ้า
อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นการต่อสู้หนึ่งต่อห้าแต่สนมผมฟ้ากลับไม่เสียเปรียบ
เส้นผมสีฟ้าของนางเคลื่อนไหวไปรอบๆราวกับอสรพิษ
“เห็นได้ชัดว่านางเป็นผู้อมตะระดับหกแต่นางกลับมีพลังการต่อสู้ระดับเจ็ด!”
“มีร่องรอยของค่ายกลวิญญาณในแดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะอยู่จริงๆ”
“หลีกทาง ให้ข้าโจมตี!” มู่หลิงหลานก้าวออกไปข้างหน้าและกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะของเขา
“อะวู้…”
หมาป่าวารีสีฟ้าอ่อนสามตัวปรากฏขึ้นกลางอากาศและพุ่งเข้าโจมตีสนมผมฟ้าด้วยกรงเล็บและคมเขี้ยวของพวกมัน
สนมผมฟ้าลุกขึ้นจากเตียงและทะยานขึ้นสู่อากาศ
ผู้อมตะทั้งห้าไล่ล่านางทันที
สนมผมฟ้ากลายเป็นฝ่ายป้องกัน เส้นผมสีฟ้าขดตัวเป็นรังไหมสีฟ้าปกป้องนางจากการโจมตีของศัตรู
“ท่าไม้ตายอมตะของนางน่ากลัวมาก มันสามารถดูดกลืนพลังงานอมตะของศัตรูและใช้มันโจมตี”
“พลังอำนาจของท่าไม้ตายอมตะส่วนหนึ่งของพวกเราถูกดูดซับและย้อนกลับมาโจมตีพวกเรา”
“กระทั่งอสรพิษของข้าก็ไม่สามารถทะลวงรังไหมนี้เข้าไปได้” มู่หลิงหลานกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
ปู้เจิ้งซือถ่ายทอดเสียงไปหามู่หลิงหลาน
ร่างกายของมู่หลิงหลานสั่นสะท้านขึ้นก่อนที่เขาจะเปิดปากกล่าว “เช่นนั้นให้ข้าลองอีกครั้ง”
เขาสะสมพลังงานก่อนจะชี้นิ้วไปที่รังไหมสีฟ้าของสนมผมฟ้า
อสรพิษวารียาวครึ่งเมตรพุ่งออกจากเล็บของเขา
ภายใต้การควบคุมของมู่หลิงหลาน อสรพิษวารีเคลื่อนที่ช้ามาก
ในเวลาเดียวกันปู้เจิ้งซือก็ใช้ท่าไม้ตายอมตะเช่นกัน อสรพิษวารีกลายเป็นอสรพิษภูตผีและสามารถทะลวงเข้าไปในรังไหมของสนมผมฟ้าได้อย่างง่ายดาย
สนมผมฟ้าตกใจมาก นางกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายสายป้องกันท่าที่สองอย่างรวดเร็ว
แต่อสรพิษภูตผีกลับเปลี่ยนเป็นอสรพิษวารีอีกครั้ง มันทำลายการป้องกันของสนมผมฟ้าและเจาะเข้าไปในหัวใจของนาง
สนมผมฟ้ากรีดร้องเสียงดังขณะที่ดวงวิญญาณของนางหลุดออกจากร่าง
เส้นผมสีฟ้าระเบิดออกไปทุกทิศทุกทางราวกับลูกศรอันแหลมคม
ผู้อมตะของภาคกลางทั้งห้าปกป้องตนเองและปล่อยให้ดวงวิญญาณของสนมผมฟ้าหลบหนีไป
“เราชนะแล้ว! สนมผมฟ้าตายไปแล้ว นางเหลือเพียงดวงวิญญาณเท่านั้น!” ซือเจิ้งอี้ตื่นเต้นมาก
“การร่วมมือเป็นสิ่งที่ดี” ปู้เจิ้งซือและมู่หลิงหลานเผยรอยยิ้มพึงพอใจ
ผู้อมตะระดับเจ็ดทั้งสองเป็นกำลังสำคัญในการเอาชนะสนมผมฟ้า อวี๋อี้เย่ซือ จ้าวเหลียนหยุน และซือเจิ้งอี้เป็นเพียงผู้สนับสนุนเท่านั้น
การต่อสู้สิ้นสุดลง ยอดเขาที่เก้ากลายเป็นเงียบสงบ
แต่พวกเขาควรทำอย่างไรต่อไป?
ผู้อมตะทั้งห้าพูดคุยและตัดสินใจ
พวกเขาจะล่าถอยและรอให้กำลังเสริมจากภาคกลางมาถึง
พวกเขาเพียงห้าคนจะสามารถต่อต้านแดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะทั้งหมดได้อย่างไร? ลืมผู้อมตะคนอื่นไปได้เลย เพียงปีศาจอมตะเซี่ยหูผู้เดียว พวกเขาก็ไม่สามารถเอาชนะได้
อย่างไรก็ตามผู้อมตะทั้งห้าพบว่าพวกเขาไม่สามารถออกจากสถานที่แห่งนี้
แดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะเป็นการร่วมตัวของแดนศักดิ์สิทธิ์จำนวนมาก การป้องกันของมันเหนือกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ทั่วไป นอกจากนั้นยังมีค่ายกลวิญญาณที่กระทั่งร่างภูตผีของปู้เจิ้งซือก็ยังกลายเป็นไร้ประโยชน์
“บัดซบ! เราไม่มีผู้อมตะบนเส้นทางแห่งค่ายกล มิฉะนั้นเราอาจสามารถถอดรหัสค่ายกลวิญญาณนี้!” มู่หลิงหลานรู้สึกผิดหวัง
มีผู้อมตะหลากหลายเส้นทางร่วมเดินทางมาในครั้งนี้ แต่โชคไม่ดีที่พวกเขาติดอยู่ในอุโมงค์มิติและไม่มีผู้อมตะบนเส้นทางแห่งค่ายกลอยู่ในกลุ่มคนทั้งห้า
แม้ผู้อมตะทั้งห้าจะสามารถเอาชนะสนมผมฟ้า แต่ดวงวิญญาณของนางสามารถหลบหนีขณะที่พวกเขาติดอยู่บนยอดเขาที่เก้าและไม่สามารถปลดปล่อยตนเอง
“เราควรทำอย่างไร?” พวกเขามองหน้ากันและรู้สึกถึงแรงกดดัน
พวกเขาจะไม่กดดันได้อย่างไร?
นี่คือฐานทัพของศัตรู
ปีศาจอมตะเซี่ยหูเป็นผู้อมตะระดับแปดที่สามารถบดขยี้พวกเขาได้ด้วยนิ้วเดียว
“พวกท่านรู้สึกแปลกๆหรือไม่? เราอยู่ที่นี่มาระยะหนึ่งแล้วแต่กลับไม่มีผู้ใดปรากฏตัวออกมา” อวี๋อี้เย่ซือกล่าว
ผู้อมตะอีกสี่คนรู้สึกเช่นเดียวกัน
“มันแปลกจริงๆ เราบุกแดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะและต่อสู้อย่างดุเดือดกับสนมผมฟ้า แต่นอกจากสนมผมฟ้ากลับไม่มีผู้ใดปรากฏตัวขึ้นอีก”
“การต่อสู้ระหว่างพวกเรากับสนมผมฟ้าไม่ใช่ระยะเวลาสั้นๆ แต่มันกลับไม่มีผู้ใดออกมาสนับสนุนนาง”
“ปีศาจอมตะเซี่ยหูไม่ปรากฏตัวอาจเป็นเพราะความภาคภูมิใจในฐานะผู้อมตะระดับแปด แต่ผู้อมตะคนอื่นๆควรจะออกมาปิดล้อมพวกเรา ไม่มีทางที่พวกเขาจะนิ่งเฉย!”
มู่หลิงหลาน ปู้เจิ้งซือ และอวี๋อี้เย่ซือไตร่ตรองเรื่องนี้และรู้สึกว่ามันแปลกมาก
เป็นเพียงเวลานี้ที่วิญญาณแห่งความรักปลดปล่อยกลิ่นอายอันทรงพลังของมันออกมาจากร่างของจ้าวเหลียนหยุน
กลิ่นอายนี้ทำให้การแสดงออกของผู้อมตะอีกสี่คนเปลี่ยนแปลงไป
“เป็นกลิ่นอายที่ทรงพลังนัก! นี่คือวิญญาณอมตะระดับเก้างั้นหรือ?”
“ข้าจำได้ กลิ่นอายนี้ปรากฏขึ้นในอุโมงค์มิติเช่นกัน”
“ดังนั้นมันก็ปกป้องพวกเรา!”
มู่หลิงหลาน อวี๋อี้เย่ซือ และซือเจิ้งอี้มองจ้าวเหลียนหยุนด้วยความตกตะลึง
อย่างไรก็ตามจ้าวเหลียนหยุนไม่สามารถควบคุมร่างกายของนางได้ ดวงตาของนางกลอกไปมา ขาของนางลอยขึ้นจากพื้น ขณะที่นางส่งเสียงหัวเราะคิกคักออกมาอย่างน่าขนลุก
“อย่ารบกวนนาง นี่คือพลังอำนาจของวิญญาณแห่งความรัก!”
“วิญญาณแห่งความรัก!”
“วิญญาณหลักของนิกายคฤหาสน์วิญญาณถูกนำมาที่นี่โดยจ้าวเหลียนหยุนจริงๆ!”
ผู้อมตะอีกสามคนตกใจมาก
ปู้เจิ้งซือเผยรอยยิ้มขมขื่นขณะอธิบายเรื่องราวให้คนที่เหลือฟัง
หลังจากไม่นานจ้าวเหลียนหยุนก็ตื่นขึ้น “ข้ารู้ความลับทั้งหมดของค่ายกลวิญญาณนี้แล้ว”
ผู้อมตะทั้งสี่มีความสุขมาก
“นี่คือพลังอำนาจของวิญญาณแห่งความรักงั้นหรือ?” ดวงตาของมู่หลิงหลานเบิกกว้างขึ้น
จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้า
“อธิบายให้พวกเราฟังเร็วเข้า!” ปู้เจิ้งซือกระตุ้น
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1252 ชะตากรรมพลิกผัน
แปลโดย iPAT
“ค่ายกลวิญญาณนี้เรียกว่าชะตากรรมพลิกผัน มันถูกสร้างขึ้นโดยซุนหมิงลู่และใช้วิญญาณอมตะมากกว่าสิบดวง จุดสำคัญคือมันเชื่อมต่อกับแม่น้ำหวนคืน ดังนั้นมันจึงมีพลังอำนาจที่น่าอัศจรรย์”
จ้าวเหลียนหยุนอธิบาย
วิญญาณแห่งความรักปลดปล่อยพลังอำนาจออกมาด้วยตัวของมันเองโดยใช้พลังงานอมตะจำนวนมากที่อยู่ในมิติช่องว่างของจ้าวเหลียนหยุนเป็นเชื้อเพลิง ครั้งนี้มันทำให้จ้าวเหลียนหยุนได้รับข้อมูลเกี่ยวกับค่ายกลวิญญาณชะตากรรมพลิกผัน
“แม่น้ำหวนคืน? เจ้าหมายถึงแม่น้ำหวนคืนในตำนานมนุษย์คนแรกงั้นหรือ?” ดวงตาของอวี๋อี้เย่ซือเบิกกว้างขึ้น
“ถูกต้อง มันคือแม่น้ำหวนคืนในตำนาน” จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้า
ตำนานมนุษย์คนแรกกล่าวถึงภูเขาตงฮัน หุบเขาเหล่าโป และแม่น้ำหวนคืน พวกมันเป็นสามอุปสรรค์ที่อยู่ด้านหลังประตูแห่งชีวิตและความตาย มนุษย์คนแรกเข้าไปในประตูแห่งชีวิตและความตายเพื่อช่วยหยางเมิ้ง แต่เขาล้มเหลว เขาทำได้เพียงเดินทางผ่านอุปสรรคทั้งสามเพื่อฟื้นคืนสู่ชีวิตเท่านั้น
อย่างไรก็ตามมนุษย์คนแรกสามารถผ่านภูเขาตงฮันและหุบเขาเหล่าโป แต่เขาล้มเหลวในแม่น้ำหวนคืน
“แม่น้ำหวนคืนเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรค์พิภพ ผู้ใดจะคิดว่ามันจะอยู่ในมือของปีศาจอมตะเซี่ยหู” ปู้เจิ้งซือถอนหายใจ
มู่หลิงหลานกล่าว “ในอดีตเทพปีศาจปล้นสวรรค์เคยใช้ท่าไม้ตายอมตะผนึกภูตผีลอบเข้าสู่ประตูแห่งชีวิตและความตาย เขานำภูเขาตงฮันและหุบเขาเหล่าโปออกมา แต่เขาไม่สามารถเคลื่อนย้ายแม่น้ำหวนคืน ข้าไม่คาดหวังว่าแม่น้ำหวนคืนจะอยู่ในมือของบางคน”
มู่หลิงหลานเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายผีเสื้อจิตวิญญาณที่มีทักษะในการรวบรวมข้อมูล ดังนั้นมู่หลิงหลานจึงล่วงรู้ความลับมากมาย
กลุ่มผู้อมตะค่อยๆยอมรับความจริงเรื่องนี้อย่างช้าๆ
เนื่องจากภูเขาตงฮันและหุบเขาเหล่าโปถูกนำออกมา มันจึงไม่แปลกหากแม่น้ำหวนคืนจะปรากฏขึ้นเช่นเดียวกัน
“สิ่งสำคัญในเวลานี้คือทำลายค่ายกลวิญญาณชะตากรรมพลิกผัน” ปู้เจิ้งซือเน้นย้ำ
แต่จ้าวเหลียนหยุนส่ายศีรษะ “แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะทำลายค่ายกลวิญญาณนี้ กระทั่งผู้อมตะระดับแปดยังไม่สามารถคลี่คลายมันเพราะมันใช้ประโยชน์จากแม่น้ำหวนคืน”
จ้าวเหลียนหยุนอธิบายอย่างช้าๆ หลังจากนั้นกลุ่มผู้อมตะจึงล้มเลิกความคิดที่จะทำลายค่ายกลวิญญาณ
ค่ายกลวิญญาณชะตากรรมพลิกผันใช้ยอดเขาทั้งสิบห้าเป็นแกนกลาง หากพวกเขาต้องการทำลายมัน พวกเขาต้องบุกโจมตียอดเขาทั้งสิบห้า
คำกล่าวของสนมผมฟ้ามีทั้งเรื่องจริงและคำลวง แต่มันไม่ใช่เรื่องไร้สาระ
ค่ายกลวิญญาณชะตากรรมพลิกผันสามารถยกระดับพลังการต่อสู้ของผู้อมตะ ผู้อมตะระดับหกจะได้รับพลังอำนาจระดับเจ็ดขณะที่ผู้อมตะระดับเจ็ดจะได้รับพลังอำนาจของผู้อมตะระดับแปด
นอกจากนี้หากผู้อมตะเสียชีวิตภายในค่ายกล พวกเขาจะกลายเป็นเชื้อเพลิงที่ช่วยสนับสนุนค่ายกลวิญญาณรวมถึงการหลอมรวมวิญญาณของท่านหญิงหว่านซูที่กำลังปรับแต่งหม่าหงหยุน
“ไม่แปลกใจเลยที่ร่างกายและมิติช่องว่างของสนมผมฟ้าแตกสลายไป”
“แม้ดวงวิญญาณของนางจะยังอยู่แต่มันจะถูกดูดกลืนไปโดยค่ายกลวิญญาณชะตากรรมพลิกผันในที่สุด”
“ผู้ใดจะคิดว่าซุนหมิงลู่จะสามารถสร้างค่ายกลวิญญาณที่ทรงพลังถึงเพียงนี้ กระทั่งสิบนิกายโบราณก็อาจไม่สามารถแข่งขัน”
“ซุนหมิงลู่เป็นปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งค่ายกลอันดับหนึ่งของภาคเหนือ ตามข่าวลือ เขามีนิสัยไม่ยอมคนแต่ให้ความสำคัญกับมิตรภาพ เขาไม่ใช่ปีศาจอมตะ ก่อนหน้านี้ปีศาจอมตะเซี่ยหูต้องลดความยโสและเชิญเขามาซ้ำแล้วซ้ำอีก ในที่สุดซุนหมิงลู่ก็ประทับใจในความรักของปีศาจอมตะเซี่ยหูที่มีต่อท่านหญิงหว่านซู ดังนั้นเขาจึงช่วยสร้างค่ายกลวิญญาณนี้ขึ้น”
ผู้อมตะภาคกลางวิพากษ์วิจารณ์
“หมายความว่าหากเราออกจากยอดเขาแห่งนี้ เราต้องแยกย้ายกันไปและปกป้องตนเองงั้นหรือ?” ปู้เจิ้งซือถาม
จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้า “มันควรเป็นเช่นนั้น เรามาที่นี่ได้เพราะพลังอำนาจของวิญญาณแห่งความรัก”
วิญญาณแห่งความรักเป็นวิญญาณอมตะระดับเก้า มันอาจเหนือกว่าค่ายกลวิญญาณทั้งหมด ดังนั้นมันจึงสามารถนำผู้อมตะทั้งห้าเข้ามาที่นี่
อย่างไรก็ตามหากวิญญาณแห่งความรักไม่ทำงาน เมื่อคนทั้งห้าออกจากยอดเขาลูกนี้ พวกเขาจะถูกค่ายกลวิญญาณส่งไปสถานที่ต่างๆ
ปู้เจิ้งซือขมวดคิ้วลึก นี่เป็นข่าวร้ายมาก
เขาได้รับมอบหมายให้ดูแลความปลอดภัยของจ้าวเหลียนหยุน แต่ค่ายกลวิญญาณนี้จะแยกพวกเขาออกจากกันขณะที่พวกเขาไม่สามารถทำสิ่งใด
“เช่นนั้นหากเจ้าเข้าไปในมิติช่องว่างของข้า ค่ายกลวิญญาณจะส่งผลกระทบต่อมิติช่องว่างของข้าด้วยหรือไม่?” ปู้เจิ้งซือถาม
มิติช่องว่างของผู้อมตะเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขา โดยปกติแล้วพวกเขาจะไม่ยอมให้คนนอกเข้าไป
อย่างไรก็ตามปู้เจิ้งซือรูสึกถึงความสำคัญของเรื่องนี้และตัดสินใจเสียสละโดยปล่อยให้จ้าวเหลียนหยุนเข้าไป
เขาทำได้เพียงสิ่งนี้
เนื่องจากจ้าวเหลียนหยุนไม่มีมิติช่องว่างที่แท้จริง นางเป็นผู้อมตะเทียม มิติช่องว่างเทียมของวังสวรรค์มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อเสียคือมันสามารถเก็บเฉพาะพลังงานอมตะ วิญญาณ และเจตจำนง แต่ไม่สามารถจัดการหรือพัฒนาได้เหมือนมิติช่องว่างทั่วไป นอกจากนี้มันยังต้องได้รับการดูแลในเวลาที่กำหนด มิฉะนั้นมันจะไม่สามารถคงอยู่ต่อไป ข้อดีของมันคือสามารถเก็บวิญญาณอมตะระดับใดก็ได้ ตัวอย่างเช่นจ้าวเหลียนหยุนสามารถเก็บวิญญาณแห่งความรักซึ่งเป็นวิญญาณอมตะระดับเก้า หากเป็นมิติช่องว่างทั่วไป การเก็บวิญญาณอมตะระดับเก้าเอาไว้จะทำให้มิติช่องว่างของพวกเราระเบิด
อย่างไรก็ตามหลังจากทดลอง กลุ่มผู้อมตะภาคกลางกลับพบว่าพวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะเปิดทางเข้ามิติช่องว่างของตน
เห็นได้ชัดว่าซุนหมิงลู่ได้พิจารณาปัญหานี้เอาไว้ตั้งแต่แรก
กลุ่มผู้อมตะภาคกลางตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจ
แม้พวกเขาจะสามารถกำจัดสนมผมฟ้าแต่พวกเขากลับติดอยู่ที่นี่
แต่ข่าวดีคือพวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าศัตรูจะปรากฏตัว
เพราะค่ายกลวิญญาณนี้ไม่อนุญาตให้ผู้นำยอดเขาออกมาจากยอดเขาของตน
นี่คือพลังอำนาจของแม่น้ำหวนคืน
ซุนหมิงลู่ใช้ประโยชน์จากแม่น้ำหวนคืนเพื่อสร้างค่ายกลวิญญาณชะตากรรมพลิกผัน
ด้วยรูปแบบของมัน กระทั่งปีศาจอมตะเซี่ยหูก็ไม่สามารถต่อต้านกฎข้อนี้
แต่ไม่ว่าค่ายกลวิญญาณชะตากรรมพลิกผันจะมีข้อบกพร่องดังกล่าว แต่แดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะยังเป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่ง สิ่งนี้ทำให้ปีศาจอมตะเซี่ยหูมั่นใจว่าจะไม่มีผู้ใดสามารถสร้างความปั่นป่วนระหว่างการหลอมรวมวิญญาณอมตะโชคชะตาท้าทายสวรรค์
“ในกรณีนี้พวกเราอาจอยู่ที่นี่และรอกำลังเสริม” ปู้เจิ้งซือแนะนำ
ข้อเสนอแนะนี้ได้รับการอนุมัติจากผู้อมตะภาคกลางคนอื่นๆทันที
ตอนนี้พวกเขาเข้าใจการทำงานของค่ายกลวิญญาณชะตากรรมพลิกผันแล้ว มันไม่มีประโยชน์ที่พวกเขาจะเคลื่อนไหว
จ้าวเหลียนหยุนขมวดคิ้ว แต่นางไม่ได้โต้แย้ง ท้ายที่สุดหม่าหงหยุนก็อยู่บนยอดเขาที่หนึ่ง แม้จ้าวเหลียนหยุนจะพุ่งทะยานไปยังยอดเขาที่หนึ่งทันที แต่นางยังต้องเผชิญหน้ากับผู้อมตะระดับแปด
…..
สวรรค์สีดำ วังสวรรค์แห่งโชค
“เราพบกลุ่มเล็กๆของพวกเขาแล้ว” ราชันใต้สูดหายใจลึก
“อา…พวกเขาอยู่ที่ใด?” เหยากวงถาม
“พวกเขาปรากฏตัวขึ้นในแดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะ แปลก…” ราชันใต้ไม่แน่ใจ
แม้เขาจะรู้ว่ากลุ่มผู้อมตะภาคกลางเข้าไปในอุโมงค์มิติ แต่เขาไม่รู้ว่ามีเหตุร้ายที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นที่นั่น
เขาคิดว่าตนเองจะสามารถค้นหากองกำลังส่วนใหญ่ของภาคกลางแต่เขากลับพบเพียงคนกลุ่มเล็กๆเท่านั้น
อย่างไรก็ตามการค้นพบนี้รวมถึงจ้าวเหลียนหยุนซึ่งเป็นบุคคลสำคัญ
วิญญาณแห่งความรัก!
นี่เป็นสาเหตุที่ราชันใต้ตื่นขึ้น
“แดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะ?” เหยากวงขมวดคิ้ว “ไม่ใช่ทุกคนที่ปรากฏตัวขึ้นงั้นหรือ?”
ราชันใต้ส่ายศีรษะ “บางทีนี่อาจเป็นแผนการล่อลวงของศัตรู ท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านี้ไม่มีผู้อมตะระดับแปดหรือคฤหาสน์วิญญาณอมตะปรากฏขึ้นเลย”
เหยากวงขมวดคิ้วลึกขึ้น
เช่นเดียวกันเมื่อฟางหยวนเผชิญหน้ากับอิงอู๋เซี่ย เขาไม่ได้ใช้อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดแต่มันยิ่งทำให้อิงอู๋เซี่ยรู้สึกวิตกมากขึ้น
สถานการณ์นี้คล้ายกับสถานการณ์ของเหยากวงและราชันใต้
หากผู้อมตะภาคกลางปรากฏตัว พวกเขาจะสามารถจัดการศัตรูทั้งหมดได้ในครั้งเดียว
อย่างไรก็ตามมีเพียงห้าคนที่ปรากฏตัวขึ้น นี่ทำให้ราชันใต้กับเหยากวงไม่เข้าใจแผนการของฝ่ายตรงข้าม
มันเป็นแผนการบางอย่างใช่หรือไม่? พวกเขากำลังวางแผนใดอยู่?
ราชันใต้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และตัดสินใจ “ให้กลุ่มผู้อมตะภาคกลางต่อสู้กับกองกำลังภูเขาหิมะก่อน สิ่งสำคัญคือกลุ่มผู้อมตะภาคกลางส่วนใหญ่จะปรากฏตัวขึ้นเมื่อใด เราจะรอดูอยู่ข้างสนาม”
“ตกลง” เหยากวงพยักหน้าแต่คาดเดาอยู่ภายใน ‘ท่านราชันใต้เข้าใจสถานการณ์ในแดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะ นี่ไม่ใช่ความสามารถของวังสวรรค์แห่งโชค หมายความว่าฝ่ายเรามีสายลับอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะงั้นหรือ?”
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1253 รนหาที่ตายในกำแพงภูมิภาค
แปลโดย iPAT
ทะเลตะวันออก
มังกรดาบบรรพกาลยังส่งลมหายใจมังกรออกมา
สิ่งนี้ทำให้ค่ายกลวิญญาณของฝ่ายตรงข้ามเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
‘มีบางอย่างไม่ถูกต้อง อิงอู๋เซี่ยและคนอื่นๆไม่ใช่คนโง่ ค่าใช้จ่ายในการกระตุ้นใช้งานค่ายกลวิญญาณของพวกเขาสูงกว่าข้า แต่พวกเขากลับไม่ถอยและปล่อยให้ข้าโจมตีต่อไป พวกเขามีแผนใด?’
ฟางหยวนโจมตีอย่างดุเดือด แม้เขาจะไม่สามารถทำลายค่ายกลวิญญาณ แต่เขายังไม่หยุดวิเคราะห์
‘พวกเขารู้ว่าข้ามีอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด พวกเขาไม่กลัวข้าใช้มันทะลวงเข้าไปงั้นหรือ? เป็นไปได้หรือไม่ว่านี่เป็นค่ายกลวิญญาณที่ใช้จัดการอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดของข้าโดยเฉพาะ?’
‘หรืออาจเป็นเพราะผมที่หกรู้แล้วว่าอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดของข้ากลายเป็นไข่ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กลัว?’
‘เดี๋ยว!’
ฟางหยวนหยุดโจมตีและดำลงไปใต้ทะเล
เขารอการตอบสนองของอิงอู๋เซี่ย ในเวลาเดียวกันเขาก็กระตุ้นใช้งานท่าไม้ตายอมตะสัมผัสแห่งโชค
‘พวกเขาอยู่ในค่ายกลวิญญาณ’ ฟางหยวนผ่อนคลายลง ‘ดูเหมือนข้าจะคิดมากเกินไป’
ฟางหยวนยังโจมตีค่ายกลวิญญาณต่อไป แต่เขาค่อยๆค้นพบว่าค่ายกลวิญญาณนี้ทำได้เพียงป้องกันขณะที่กลุ่มของอิงอู๋เซี่ยไม่พยายามที่จะตอบโต้
ฟางหยวนไตร่ตรองอีกครั้งและตัดสินใจรักษาสถานการณ์นี้เอาไว้ เนื่องจากการโจมตีของเขาใช้พลังงานอมตะน้อยกว่า
การเผชิญหน้าอย่างเงียบๆดำเนินต่อไปเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง
‘ดูเหมือนอิงอู๋เซี่ยจะมีเป้าหมายอื่น แต่ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ข้าก็ไม่สามารถปล่อยให้พวกเขาดำเนินการต่อไปได้อย่างราบรื่น ข้าไม่สามารถเก็บซ่อนไพ่ตายได้อีกต่อไป ข้าต้องใช้มันเดี๋ยวนี้!’
ฟางหยวนตัดสินใจใช้ไพ่ตายในที่สุด
หากเป็นก่อนหน้า ลมหายใจมังกรคืออาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา แต่ตอนนี้มันแตกต่างออกไป
อย่างไรก็ตามในวินาทีต่อมา
ค่ายกลวิญญาณท่องรอบทิศ!
วิสัยทัศน์ของอิงอู๋เซี่ยเปลี่ยนแปลงไป ด้านหน้าเขาคือกำแพงภูมิภาค
มันเป็นกำแพงพลังงานสีน้ำเงินที่กว้างใหญ่
เมื่อพวกเขาเข้าไป พวกเขาจะไม่สามารถใช้ค่ายกลวิญญาณท่องรอบทิศและสามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยตนเองเท่านั้น
แต่ในจังหวะที่พวกเขากำลังมองกำแพงภูมิภาค การแสดงออกของอิงอู๋เซี่ยกลับเปลี่ยนแปลงไป ไป่หนิงปิงหันหน้าหลับไปด้านหลังโดยไม่รู้ตัว
“ค่ายกลวิญญาณถูกทำลายแล้ว” ไป่หนิงปิงกล่าวด้วยเสียงทุ่มต่ำ
“รวดเร็วนัก!” ไห่ลั่วหลันตกใจ
นางนึกถึงช่วงเวลาก่อนหน้านี้ การโจมตีของฟางหยวนทำให้นางตระหนักถึงพลังการต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวของเขา
“เขาใช้อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดหรือไม่?” ไห่ลั่วหลันคิดถึงความเป็นไปได้
“ไม่” ไป่หนิงปิงส่ายศีรษะ
เมื่อฟางหยวนทำลายค่ายกลวิญญาณ วิญญาณทั้งหมดจะระเบิดตัวเอง แน่นอนว่าไป่หนิงปิงจะไม่ทิ้งทรัพยากรใดๆไว้ให้ศัตรู
แต่ถึงกระนั้นฉากที่ฟางหยวนโจมตีค่ายกลวิญญาณก็ยังถูกบันทึกไว้
ในการต่อสู้ระหว่างผู้อมตะ ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ
ไป่หนิงปิง อิงอู๋เซี่ย และคนอื่นๆจะไม่ปล่อยโอกาสที่ดีในการรวบรวมข้อมูลนี้ไป
“ฟางหยวนใช้ท่าไม้ตายใหม่ทั้งหมด มันน่าจะเป็นผลงานใหม่ของเขา”
“ท่าไม้ตายนี้ทรงพลังมาก” การแสดงออกของไป่หนิงปิงกลายเป็นมืดครึ้ม “หากเราไม่มีวิธีตรวจสอบที่ดี แม้เราจะร่วมมือกันแต่เราก็ยังไม่สามารถอดทนได้แม้แต่สองหรือสามลมหายใจ”
“กระไรนะ!?” ไห่ลั่วหลันสูดหายใจลึก กระทั่งซื่อหนิวก็ยังเปิดเผยความหวาดกลัวออกมาอย่างชัดเจน
สถานการณ์ของอิงอู๋เซี่ยยังไม่ถือว่าดี แม้แผนการของเขาจะประสบความสำเร็จ แต่เขาก็ไม่คาดคิดว่ามันจะยื้อเวลาได้เพียงสั้นๆ
หลังจากทั้งหมดพวกเขาต้องใช้เวลาอีกมากในการเดินทางข้ามกำแพงภูมิภาค
สิ่งสำคัญที่สุดคือร่างทารกอมตะสามารถเดินทางในกำแพงภูมิภาคได้อย่างอิสระ อิงอู๋เซี่ยเข้าใจเรื่องนี้อย่างชัดเจน
‘ค่ายกลวิญญาณถูกทำลายแล้ว ฟางหยวนจะค้นพบว่าพวกเราไม่ได้อยู่ที่นั่น เขาจะใช้ท่าไม้ตายตรวจสอบโชคอีกครั้งเพื่อค้นหาพวกเรา หากเราเข้าไปในกำแพงภูมิภาค แม้ข้าจะพิจารณาถึงสถานการณ์ที่ดีที่สุด ฟางหยวนก็ยังสามารถติดตามพวกเราได้ทัน จากนั้นพวกเราต้องต่อสู้กับเขาในกำแพงภูมิภาค แล้วข้าควรเข้าไปในกำแพงภูมิภาคหรือไม่?’
อิงอู๋เซี่ยรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล
เขารู้ว่าหากพวกเขาไม่สามารถจัดการสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม พวกเขาอาจตายได้ทุกเมื่อ
พวกเขาจะรอดพ้นจากภัยพิบัติครั้งนี้ได้หรือไม่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับแผนการของพวกเขา
อิงอู๋เซึ่ยไม่สนใจความปลอดภัยของผู้อมตะคนอื่นๆ เขาไม่กลัวแม้แต่ความตาย แต่หากเขาตาย แล้วผู้ใดจะช่วยร่างหลักของเขา นิกายเงากลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว เขาเป็นความหวังเดียวที่เหลืออยู่
‘ความแข็งแกร่งของฟางหยวนพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาสั้นๆได้อย่างไร?’
‘เขาไม่สามารถใช้วิญญาณสติปัญญา แล้วเขาอนุมานสิ่งต่างได้อย่างไร? เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาได้รับวิธีบนเส้นทางแห่งปัญญาที่ทรงพลังบางอย่าง?’
ท่าไม้ตายอมตะไม่ใช่สิ่งที่สามารถคิดค้นขึ้นภายในเวลาไม่กี่วัน ไพ่ตายของฟางหยวนเป็นเรื่องกะทันหันเกินไป นี่ทำให้อิงอู๋เซี่ยรู้สึกหนักใจมาก
‘ข้าใช้วิธีสร้างความสับสนให้แก่ศัตรูไปแล้ว หากเราเข้าไปในกำแพงภูมิภาค เราต้องต่อสู้กับฟางหยวนอย่างแน่นอน หากเป็นเช่นนั้นฝ่ายเราจะเสียเปรียบมาก!’ อิงอู๋เซี่ยตระหนักถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจน
กำแพงภูมิภาคเป็นสนามรบที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับฟางหยวน กระทั่งผู้อมตะระดับแปดก็อาจตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย เพราะยิ่งการบ่มเพาะสูงเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งได้รับแรงกดดันจากกำแพงภูมิภาคมากเท่านั้น
โดยปกติผู้อมตะระดับแปดจะเดินทางผ่านสวรรค์สีดำหรือสวรรค์สีขาว พวกเขาไม่โง่พอที่จะเดินทางผ่านกำแพงภูมิภาค
หากอิงอู๋เซี่ยเข้าไปในกำแพงภูมิภาค ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาจะเสียเปรียบมากโดยเฉพาะเมื่อฟางหยวนแสดงไพ่ตายของเขาออกมาแล้ว แม้ฟางหยวนจะไม่ใช้อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด แต่ไพ่ตายใบนี้ของฟางหยวนก็ทำให้อิงอู๋เซี่ยรู้สึกว่าไม่สามารถต่อสู้กับเขา
‘ไม่ ยังมีไป่หนิงปิงอยู่!’ อิงอู๋เซี่ยลอบมองไป่หนิงปิง
เขารู้สึกว่าการเป็นพันธมิตรกับไป่หนิงปิงเป็นการตัดสินใจที่ฉลาด เขาอาจต้องพึ่งพาความแข็งแกร่งของคนผู้นี้
โชคชะตาเป็นสิ่งลึกลับ อิงอู๋เซี่ยไม่เคยคิดว่าตนเองจะต้องพึ่งพาไป่หนิงปิงที่เคยถูกจัดเป็นตัวหมากเบี้ยของเขามาก่อน
‘แต่ไป่หนิงปิงมีพลังมากเพียงใด? นางพึ่งกลายเป็นเจ้าของถ้ำสวรรค์ไป่เซียงเมื่อไม่นานมานี้’ อิงอู๋เซี่ยยังลังเล
เขาคิดต่อ ‘แต่หากไม่เข้าไปในกำแพงภูมิภาคตอนนี้ เราต้องเดินทางไปรอบๆทะเลตะวันออกเท่านั้น ค่ายกลวิญญาณท่องรอบทิศไม่ใช่สิ่งที่สามารถใช้ซ้ำได้ตลอดไป มันมีค่าใช้จ่ายสูงมากและพวกเราจะพบกับฟางหยวนไม่ช้าก็เร็ว’
‘สิ่งสำคัญที่สุดคือกลุ่มของเราไม่ใช่ผู้อมตะของทะเลตะวันออก พวกเขามาจากภูมิภาคอื่น!’
ร่างผีดิบอมตะของอิงอู๋เซี่ยมาจากทะเลทรายตะวันตก ไป่หนิงปิงเป็นผู้อมตะของภาคใต้ ไท่เป่ยหยุนเฉิงและไห่ลั่วหลันเป็นผู้อมตะภาคเหนือ ขณะที่ซื่อหนิวเป็นผู้อมตะภาคกลาง ไม่มีผู้ใดเป็นผู้อมตะของทะเลตะวันออกแม้แต่คนเดียว
ผู้อมตะต่างภูมิภาคจะถูกต่อต้านจากผู้อมตะเจ้าถิ่น แม้ทะเลตะวันออกจะต้อนรับคนต่างถิ่นมากที่สุด แต่ต้องไม่ลืมว่าฟางหยวนเป็นผู้อมตะของทะเลตะวันออก
ร่างทารกอมตะ!
มันสามารถเปลี่ยนกลิ่นอายและทำให้เขากลายเป็นผู้อมตะของภูมิภาคนั้นๆได้อย่างสมบูรณ์
หากพวกเขาพบผู้อมตะของทะเลตะวันออก มันจะกลายเป็นการเติมเชื้อเพลิงลงในกองไฟ
‘ในทะเลตะวันออกนอกจากฟางหยวน เราอาจต้องเผชิญหน้ากับผู้อมตะคนอื่นๆของทะเลตะวันออกอีกด้วย’ อิงอู๋เซี่ยเผยรอยยิ้มขมขื่น
หลังจากพบกับความพ่ายแพ้มาหลายครั้ง อิงอู๋เซี่ยเติบโตขึ้นมาก เขาแตกต่างจากอดีตอย่างสิ้นเชิง
‘ยิ่งไปกว่านั้นฟางหยวนยังมีอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด!’
‘เราต้องไปภาคเหนือ! แดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะเป็นความหวังเดียวของพวกเรา ที่นั่นพวกเราจะสามารถหยิบยืมพลังอำนาจของผู้อมตะระดับแปดเพื่อกำจัดเขา!’
หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ในที่สุดอิงอู๋เซี่ยก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่และบินเข้าไปในกำแพงภูมิภาคทันที
หลายชั่วโมงต่อมา มังการดาบบรรพกาลบินมาจากระยะไกล
‘พวกเขาพยายามเข้าสู่ภาคเหนืองั้นหรือ?’ มังกรดาบบรรพกาลตัวนี้ก็คือฟางหยวน
ทุกอย่างเป็นไปตามการคาดเดาของอิงอู๋เซี่ย หลังจากทำลายค่ายกลวิญญาณและไม่พบร่องรอยของอิงอู๋เซี่ย ฟางหยวนตระหนักได้ทันทีว่ามันเป็นแผนการหลบหนี โชคดีที่เขาไม่ลังเลที่จะเปิดเผยไพ่ตายเพื่อทำลายค่ายกลวิญญาณ มิฉะนั้นเขาจะถูกขังอยู่ในที่มืดไปอีกนาน
‘แม้ท่าไม้ตายอมตะสัมผัสแห่งโชคจะสามารถตรวจจับเป้าหมายแต่มันก็อาจทำให้ข้าเข้าใจผิด’
‘หากเป็นเช่นนั้นตำแหน่งที่ข้าสัมผัสได้ มันจะใช่ตำแหน่งจริงหรือไม่?’
หากเกิดข้อผิดพลาด ฟางหยวนจะไม่สามารถทำสิ่งใดเพราะนี่เป็นเพียงเบาะแสเดียวของเขา
แต่หากมันถูกต้อง…
ฮ่าฮ่า
‘ข้าจะกำจัดพวกเจ้าทั้งหมดในกำแพงภูมิภาค! พวกเจ้ากล้าเข้าไปในกำแพงภูมิภาคต่อหน้าข้า นี่เป็นเพียงการรนหาที่ตายเท่านั้น!’
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1254 ความรักมาพร้อมกับปัญหา
แปลโดย iPAT
การรอคอยมักยาวนานและยากที่จะอดทน
ซือเจิ้งอี้ไม่สามารถนั่งนิ่ง เขาเดินไปรอบๆห้องโถง
อวี๋อี้เย่ซือนั่งไขว้ขาและปิดเปลือกตาอยู่บนพื้น เขากล่าวด้วยความไม่พอใจ “เจ้าควรพักบ้าง อย่าเดินไปมา”
ซือเจิ้งอี้ตะโกน “ข้าพักมากพอแล้ว เห้อ…เราต้องรออีกนานเท่าใด?”
“จนกว่ากำลังเสริมจะมาถึง” ปู้เจิ้งซือตอบ
“หากพวกเขาไม่มา เราต้องรอตลอดไปหรือไม่?” จ้าวเหลียนหยุนขมวดคิ้ว นางค่อนข้างร้อนใจ
ตอนนี้พวกนางถูกขังอยู่ที่นี่ ทุกวินาทีมันยากที่จะอดทน
จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกราวกับกองไฟกำลังเผาผลาญหัวใจของนาง
ปู้เจิ้งซือขมวดคิ้วและกำลังจะกล่าว
แต่ในจังหวะนี้จ้าวเหลียนหยุนกลับชิงกล่าวอีกครั้ง “พวกท่านต้องทำบางสิ่ง พวกท่านได้เห็นและกระทั่งผ่านช่วงเวลาสุดท้ายในอุโมงค์มิติมาด้วยตนเอง พวกท่านคิดว่าพวกเขาจะตายอยู่ที่นั่นหรือไม่?”
“เป็นไปไม่ได้!” ซือเจิ้งอี้เป็นคนแรกที่ตอบโต้และจ้องมองจ้าวเหลียนหยุนด้วยความโกรธ
บิดารของเขา ซือเก้อเป็นหนึ่งในผู้อมตะที่จ้าวเหลียนหยุนกล่าวถึง ดังนั้นคำกล่าวของนางจึงไม่ต่างจากการสาปแช่งบิดาของเขา
จ้าวเหลียนหยุนเพิกเฉยต่อทัศนคติของซือเจิ้งอี้และกล่าวต่อ “พวกท่านรู้ว่าเรามาที่นี่ได้เพราะวิญญาณแห่งความรัก แต่ผู้อมตะคนอื่นๆไม่ได้รับความช่วยเหลือ กระทั่งคฤหาสน์วิญญาณอมตะยังพังทลายลงโดยไม่ต้องกล่าวถึงผู้อมตะ หากปราศจากกำลังเสริม แล้วเราต้องรอถึงเมื่อใด?”
การแสดงออกของทุกคนเปลี่ยนไปเล็กน้อย แท้จริงแล้วพวกเขากังวลเรื่องนี้เช่นกันแต่ไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวออกมา
ตอนนี้จ้าวเหลียนหยุนได้เปิดประเด็นนี้ขึ้น ปู้เจิ้งซือจึงต้องกล่าวอย่างจริงจัง “การคาดเดาของเจ้าไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น สิบนิกายโบราณของภาคกลางก็ต้องส่งกำลังเสริมกลุ่มที่สองออกมา”
จ้าวเหลียนหยุนกล่าวต่อ “กำลังเสริมกลุ่มที่สองจะมาถึงที่นี่หรือไม่? พวกท่านได้รับประสบการณ์ตรงและเผชิญหน้ากับอันตรายมากมายระหว่างทาง ตอนนี้อุโมงค์มิติไม่สามารถใช้งานได้อีก กระทั่งมันจะสามารถใช้งาน แล้วพวกเรายังจะกล้าใช้งานมันอีกหรือไม่?”
ปู้เจิ้งซือมองจ้าวเหลียนหยุนและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เจ้าต้องเชื่อมั่นในนิกายของเรา จ้าวเหลียนหยุน เจ้าคือผู้นำนิกายคฤหาสน์วิญญาณ นิกายเป็นผู้สนับสนุนที่ยิ่งใหญ่ของเจ้า หากเจ้าไม่เชื่อในนิกาย แล้วเจ้าจะเชื่อผู้ใดได้อีก?”
จ้าวเหลียนหยุนสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจของปู้เจิ้งซือ แต่นางเลือกที่จะเพิกเฉย “แม้นิกายจะส่งกำลังเสริมมาและพวกเขาจะมาถึงที่นี่ แต่พวกเขาจะมาถึงเมื่อใด? พวกเขาต้องจ่ายด้วยสิ่งใด? จะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นอีกหรือไม่? ที่นี่คือภาคเหนือ ไม่ใช่ภาคกลาง!”
ปู้เจิ้งซือเงียบ เขาไม่สามารถโต้แย้งคำกล่าวของจ้าวเหลียนหยุน
จ้าวเหลียนหยุนถอนหายใจ “กล่าวตามตรง ข้าไม่ต้องการรออีกต่อไป”
“เจ้าต้องรอแม้จะไม่ต้องการ” ปู้เจิ้งซือขมวดคิ้วด้วยความโกรธ
ทั้งคู่ไม่มีฝ่ายใดยอมแพ้
ในไม่ช้าดวงตาของจ้าวเหลียนหยุนก็กลายเป็นพร่ามัว นางหันหน้าไปทางอื่น “หากหงหยุนถูกสังหารในช่วงเวลานี้ เราจะทำอย่างไร? ผู้ใดจะสามารถรับประกันความปลอดภัยของเขา?”
ในความเป็นจริงจ้าวเหลียนหยุนรู้สึกกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งที่นางกลัวไม่ใช่ความปลอดภัยของตนเอง
แต่ภายใต้สถานการณ์ที่กำลังเสริมอยู่ห่างไกล การรอคอยไม่สามารถแก้ปัญหา
หากในช่วงเวลานี้หม่าหงหยุนได้รับอันตรายใดๆหรือปีศาจอมตะเซี่ยหูประสบความสำเร็จในการหลอมรวมวิญญาณอมตะโชคชะตาท้าทายสวรรค์ นี่จะเป็นความเสียใจตลอดชีวิตของจ้าวเหลียนหยุน
ในอนาคตเมื่อนางคิดถึงเรื่องนี้ นางจะเสียใจอย่างที่สุด
นางจะเสียใจที่ครั้งหนึ่งนางพุ่งทะยานเข้ามาในแดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะและมีโอกาสช่วยเหลือหม่าหงหยุนแต่นางกลับไม่คว้าโอกาสนี้เอาไว้
จ้าวเหลียนหยุนไม่ต้องการเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้น ผลลัพธ์ก็คือนางรู้สึกโศกเศร้าและเจ็บปวดยิ่งกว่าความตาย
ผู้อมตะอีกสามคนรู้สึกไม่สะดวกที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการทะเลาะวิวาทระหว่างจ้าวเหลียนหยุนกับปู้เจิ้งซือเพราะมันถือเป็นเรื่องภายในของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ
ปู้เจิ้งซือโต้กลับ “แม้เจ้าจะไม่ต้องการแต่เจ้าจะช่วยหม่าหงหยุนได้งั้นหรือ? แม้เจ้าจะสามารถเอาชนะผู้นำยอดเขาอื่นๆแต่อย่าลืมว่าเจ้าต้องเผชิญหน้ากับปีศาจอมตะเซี่ยหูในตอนสุดท้ายเพราะหม่าหงหยุนอยู่ที่นั่น!”
“ข้ารู้” จ้าวเหลียนหยุนกำหมัดแน่นและกล่าวด้วยน้ำเสียงคมชัด “แต่ท่านกล่าวว่าพวกเราต้องกำจัดผู้นำยอดเขาทั้งหมดก่อนจะพบกับปีศาจอมตะเซี่ยหู ในกรณีนี้เราสามารถจัดการพวกเขาก่อน เมื่อกำลังเสริมมาถึง เราจะบุกยอดเขาที่หนึ่ง นี่จะช่วยประหยัดเวลาและพลังงานไปได้มาก”
ปู้เจิ้งซือโกรธมาก ใบหน้าของเขากลายเป็นมืดครึ้ม “เช่นนั้นข้าคงต้องกล่าวตามตรง ค่ายกลวิญญาณนี้สามารถเพิ่มพลังการต่อสู้ให้กับพวกเขาขณะที่พวกเราจะอ่อนแอลง หากเราออกจากสถานที่แห่งนี้ เราจะถูกแยกกัน พวกเจ้าแต่ละคนสามารถต่อสู้กับผู้นำยอดเขาแต่ละยอดเพียงลำพังหรือไม่? ในการต่อสู้ครั้งก่อนข้ากับมู่หลิงหลานยังต้องร่วมมือกันจึงจะประสบความสำเร็จ!”
ผู้อมตะระดับหกทั้งสามไม่สามารถโต้แย้งเรื่องนี้เพราะสิ่งที่เขากล่าวเป็นเรื่องจริง
จ้าวเหลียนหยุนก้มศีรษะลงอย่างเงียบๆก่อนที่นางจะเงยหน้าขึ้นและกล่าว “เช่นนั้นข้าจะใช้วิญญาณแห่งความรักอีกครั้ง!”
ปู้เจิ้งซือเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นผู้ใด? วิญญาณแห่งความรักจะเชื่อฟังเจ้าและอนุญาตให้เจ้าควบคุมมันได้อย่างง่ายดายงั้นหรือ? ย้อนกลับไปกระทั่งเทพอมตะตะวันเดือดก็ยังไม่สามารถปรับแต่งมัน!”
“นั่นเป็นเพราะเขาไม่ได้รับการยอมรับจากวิญญาณแห่งความรัก” จ้าวเหลียนหยุนโต้กลับ
“เจ้าต้องการกล่าวว่าผู้นำคนอื่นๆของนิกายคฤหาสน์วิญญาณต่างไร้ประโยชน์เพราะไม่มีแม้แต่คนเดียวที่สามารถควบคุมวิญญาณแห่งความรักงั้นหรือ?” ปู้เจิ้งซือกล่าวอย่างดุเดือด
“จะรู้ได้อย่างไรหากไม่ทดลอง” จ้าวเหลียนหยุนไม่ยอมแพ้
ปู้เจิ้งซือหัวเราะและกำลังจะกล่าว อย่างไรก็ตามจ้าวเหลียนหยุนได้ดำเนินการไปแล้ว นางกรีดร้องอยู่ในใจ “วิญญาณแห่งความรักโปรดแสดงพลังอำนาจของเจ้าออกมาและพาพวกเราไปยังยอดเขาอื่น!”
วิญญาณแห่งความรักไม่ขยับเขยื้อนราวกับมันตายไปแล้ว
จ้าวเหลียนหยุนยังไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้ นางยังสวดอ้อนวอนต่อไป
ปู้เจิ้งซือสังเกตเห็นท่าทีของจ้าวเหลียนหยุนและกำลังจะกล่าวต่อ แต่ในจังหวะนี้กลิ่นอายของวิญญาณแห่งความรักกลับปะทุขึ้นจากร่างของจ้าวเหลียนหยุน
ผู้อมตะทั้งสี่ตกตะลึง ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้างเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้
มู่หลิงหลานอดไม่ได้ที่จะกล่าว “นี่…ดูเหมือนเราจะหลบหนีจากอุโมงค์มิติได้เพราะสิ่งนี้จริงๆ!”
“ทำต่อไปอย่าหยุด!” ซือเจิ้งอี้กระตุ้น
ในเวลาต่อมาแสงสว่างจากร่างของจ้าวเหลียนหยุนก็แผ่ขยายไปยังถึงกลุ่มผู้อมตะทั้งสี่
“ด้วยวิธีนี้เราอาจสามารถไปยังยอดเขาอื่น อา…บางทีมันอาจพาเราออกจากแดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะโดยตรง!” ซือเจิ้งอี้เต็มไปด้วยความคาดหวัง
ปากของปู้เจิ้งซืออ้าค้าง เขาไม่สามารถกล่าวสิ่งใดออกมาได้อีก
ความตกใจของเขารุนแรงกว่าคนอื่นๆมาก
‘วิญญาณแห่งความรักไม่สามารถควบคุมได้ นี่เป็นเรื่องจริงจากประวัติศาสตร์! กระทั่งเทพอมตะตะวันเดือดยังไม่สามารถทำสิ่งใด แล้วเหตุใด?’
‘เหตุใดวิญญาณแห่งความรักจึงเชื่อฟังจ้าวเหลียนหยุน!?’
‘เป็นไปได้หรือไม่ว่าจ้าวเหลียนหยุนคือผู้นำที่โดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์ของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ!?’
‘ไม่ มันอาจเป็นเพราะสถานะของนาง นางเป็นปีศาจต่างโลก เป็นไปได้หรือไม่ว่าปีศาจต่างโลกและวิญญาณแห่งความรักสามารถเติมเต็มซึ่งกันและกัน? ผู้อื่นไม่สามารถควบคุมวิญญาณแห่งความรักแต่ปีศาจต่างโลกเป็นข้อยกเว้นงั้นหรือ?’
ความคิดนับไม่ถ้วนผุดขึ้นในใจของปู้เจิ้งซือราวกับคลื่นสมุทร
ขณะที่เขากำลังคิด พื้นที่ด้านหลังเขาก็แตกออกและกลายเป็นหลุมดำขนาดเท่ากำปั้นมนุษย์ หลุมดำปล่อยแรงดึงดูดที่รุนแรงออกมาและลากปู้เจิ้งซื่อเข้าไปด้วยพลังอำนาจที่น่าเหลือเชื่อ
กระทั่งผู้อมตะระดับเจ็ดปู้เจิ้งซือก็ไม่สามารถต่อต้าน เขาถูกลากเข้าไปและหายตัวไปจากจุดนั้นในพริบตา
สิ่งเดียวกันเกิดขึ้นกับผู้อมตะคนอื่นๆเช่นกัน ภายในระยะเวลาสั้นห้องโถงแห่งกลายเป็นว่างเปล่าและเงียบงัน
“เราออกจากยอดเขาที่เก้าแล้ว!” ปู้เจิ้งซือตกใจขณะที่เขากวาดตามองสภาพแวดล้อม
ที่นี่ดูเหมือนห้องโถงแต่ไม่ใช่ห้องโถงเดิม ห้องโถงก่อนหน้านี้ตกแต่งอย่างงดงามและมีกลิ่นอายของหญิงสาว แต่ห้องโถงแห่งนี้ทั้งสง่างามและยิ่งใหญ่ มันเหมือนห้องโถงของผู้ชาย
‘นี่คือยอดเขาใด?’ ปู้เจิ้งซือคิด
แต่หลังจากไม่นานการแสดงออกของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เขาตะโกน “บัดซบ!”
เขาสงบสติอารมณ์และรู้สึกว่าตนเองคิดมากเกินไป จ้าวเหลียนหยุนอาจเป็นปีศาจต่างโลกแต่นางจะควบคุมวิญญาณแห่งความรักได้อย่างไร? วิญญาณแห่งความรักไม่น่าเชื่อถือ มันสามารถทำทุกสิ่ง แต่ผู้ใดจะรู้ว่ามันจะทำสิ่งใด
‘ข้าถูกส่งมาที่นี่ แล้วคนอื่นๆอยู่ที่ใด? มันจะดีกว่าหากพวกเขาอยู่ด้วยกัน จ้าวเหลียนหยุนจะปลอดภัยขึ้นเล็กน้อย แต่หากจ้าวเหลียนหยุนอยู่เพียงลำพัง…’
ปู้เจิ้งซือไม่กล้าคิดต่อ
ในเวลานี้เงาสีดำได้คืบคลานเข้ามาใกล้เขาอย่างเงียบๆ
สัญชาตญาณของปู้เจิ้งซือเตือนเขาและทำให้เขากระโดดถอยหลังทันที
แต่เงาดำราวกับอสรพิษที่พุ่งเข้าไปหาปู้เจิ้งซือด้วยความเร็วสูง
เปลี่ยนเป็นภูตผี!
ในช่วงเวลาสำคัญปู้เจิ้งซือใช้ความสามารถพิเศษของเขาและเปลี่ยนร่างเป็นภูตผี
เงาดำพุ่งผ่านร่างภูตผีของเขาไปอย่างช่วยไม่ได้
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1255 ความตายของจ้าวเหลียนหยุน
แปลโดย iPAT
“แปะ แปะ แปะ”
เสียงปรบมือดังขึ้น
“เป็นเส้นทางแห่งภูตผีจริงๆ” ผู้อมตะลึกลับแสดงตัวออกมาในที่สุด
คนผู้นี้เป็นชายร่างสูง ใบหน้าของเขามีหนวดเครา ดวงตาไม่มีสีขาวแต่เป็นสีดำทั้งหมด สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือชุดคลุมสีดำที่เหมือนผิวหนังของเขา
รูม่านตาของปู้เจิ้งซือหดเล็กลง เขาจำคนผู้นี้ได้ ตั้งแต่ผู้อมตะภาคกลางวางแผนช่วยหม่าหงหยุน แล้วพวกเขาจะไม่รวบรวมข้อมูลของแดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะได้อย่างไร?
“ดังนั้นเจ้าก็คือราชันเงา” ปู้เจิ้งซือกล่าวเบาๆ
ในเวลาเดียวกันเขาก็ตระหนักว่าตนเองอยู่บนยอดเขาที่เจ็ดของแดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะ
ก่อนหน้านี้เจ้าของยอดเขาที่เจ็ดคือเซี่ยซ่งซื่อ
แต่หลังจากเซี่ยซ่งซือเสียชีวิต ปีศาจอมตะผู้นี้ก็ได้รับตำแหน่งต่อจากเขา
กองกำลังภูเขาหิมะเป็นกองกำลังของปีศาจอมตะ มีปีศาจอมตะอาศัยอยู่ที่นี่มากมาย
ราชันเงามองปู้เจิ้งซือและหัวเราะ “พวกเจ้าจากภาคกลางรนหาที่ตายอย่างแท้จริง”
“ยังไม่แน่ว่าผู้ใดจะตาย!” ปู้เจิ้งซือเย้ยหยัน
“งั้นหรือ!?” ราชันเงาเปลี่ยนร่างเป็นเงาสีดำพุ่งเข้าโจมตีปู้เจิ้งซือทันที
เสียงระเบิดดังขึ้นบนยอดเขาที่เจ็ด
แรงสั่นสะเทือนทำให้หิมะบนภูเขาถล่มลงมาอย่างรุนแรง
อีกด้านหนึ่ง แตกต่างจากการคาดเดาของปู้เจิ้งซือ จ้าวเหลียนหยุนไม่ได้อยู่ลำพัง
ยอดเขาที่สิบสอง
ทั้งสองฝ่ายเริ่มต่อสู้กันแล้ว
“โอ้ มดตัวน้อยสองตัว ฮืม คอยดูว่าข้าจะเหยียบพวกเจ้าอย่างไร?” ผู้นำยอดเขาที่สิบสองกล่าวก่อนจะก้าวเท้าออกไป
ผู้นำยอดเขาที่สิบสองเปลี่ยนร่างเป็นยักษ์ที่มีศีรษะเป็นวัวและมีร่างกายเป็นมนุษย์ ขาทั้งสองของเขากลายเป็นขาวัวทั้งสองข้าง
“บึม!”
เท้าวัวกระทืบพื้นจนเกิดเป็นหลุมลึก
เผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งระดับนี้ ผู้อมตะภาคกลางสองคนเร่งถอยกลับ
หนึ่งคือจ้าวเหลียนหยุนและอีกหนึ่งคือซือเจิ้งอี้
ใบหน้าของจ้าวเหลียนหยุนกลายเป็นซีดขาว ศัตรูแข็งแกร่งมากขณะที่นางมีประสบการณ์ในการต่อสู้เพียงเล็กน้อย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งนี้สร้างแรงกดดันที่ยิ่งใหญ่แก่นาง
ซือเจิ้งอี้ม้วนตัวกลิ้งไปบนพื้นและแทบไม่สามารถหลบการโจมตีของมนุษย์วัว เขากัดฟันแน่น “บัดซบ!”
เขาเร่งลุกขึ้นจากพื้น “รับนี่ไป!”
ซือเจิ้งอี้อ้าปากและสะบัดลิ้นอย่างรวดเร็ว “แบร่ แบร่ แบร่ แบร่…”
ทุกครั้งที่เขาสะบัดลิ้น แสงดาบสีแดงจะพุ่งออกไปด้วยความเร็วสูง
จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกพูดไม่ออก คนปกติจะทำเช่นนี้งั้นหรือ? บางคนอาจไม่กล้าแม้แต่จะคิด นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวเหลียนหยุนเคยเห็นบางคนต่อสู้ด้วยลิ้น!
ร่างกายของผู้นำยอดเขาที่สิบสองแข็งแกร่งมากแต่แสงดาบสีแดงยังสามารถฝากรูเล็กๆไว้บนร่างกายของมัน
“อา…เจ็บ เจ็บ เจ็บ เจ็บ!” ผู้นำยอดเขาที่สิบสองกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด การเคลื่อนไหวของเขากลายเป็นชะงักงัน
“รุนแรงมาก!” จ้าวเหลียนหยุนยกย่อง
“แน่นอน นี่คือวิญญาณอมตะของข้า วิญญาณลิ้นดาบ!” ซือเจิ้งอี้สะบัดลิ้นและส่งดาบแสงสีแดงออกไป
“เจ้าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งดาบงั้นหรือ?” จ้าวเหลียนหยุนถาม
“อา…ไม่…ข้าบ่มเพาะอยู่บนเส้นทางแห่งข้อมูล!” ซือเจิ้งอี้ตอบ
“สามารถพูดคุยขณะต่อสู้ เจ้าแข็งแกร่งจริงๆ” จ้าวเหลียนหยุนเพิ่มระดับการยกย่องซือเจิ้งอี้ นางรู้สึกว่าคนผู้นี้มีทุกสิ่งยกเว้นสมอง
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าสาบานว่าจะกำจัดปีศาจทั้งหมดบนโลกใบนี้!” ซือเจิ้งอี้พอใจมาก
“อย่าได้ใจนัก!” ผู้นำยอดเขาที่สิบสองคำราม
“บึม!”
รัศมีแสงปะทุขึ้นบนร่างกายของเขาพร้อมกับกระแสลมที่พุ่งออกไปรอบๆ
“ไม่ดีแล้ว มันเป็นท่าไม้ตายอมตะ!”
“ป้องกัน!”
ซือเจิ้งอี้และจ้าวเหลียนหยุนป้องกันตัวด้วยพลังทั้งหมดของพวกเขา แต่มันไร้ประโยชน์
จ้าวเหลียนหลุนกับซือเจิ้งอี้ลอยกลับหลังและพุ่งชนกำแพง ทั้งสองกระอักเลือดคำโตออกมาจากปาก พวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส อวัยวะภายในของพวกเขามีเลือดออกขณะที่กระดูกแตกร้าว
ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ผู้นำยอดเขาที่สิบสองกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบอีกครั้ง
“นี่เป็นท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งพลังปราณ!”
“ช่างทรงพลังนัก!”
จ้าวเหลียนหยุนกับซือเจิ้งอี้อดทนต่อความเจ็บปวดและพยายามลุกขึ้นจากพื้น ตอนนี้ทั้งสองอยู่ห่างกันมาก
“เป็นอย่างไรบ้าง? พวกเจ้าชอบท่าไม้ตายอมตะปราณกระทิงสวรรค์ของจ้าวต้าหนิวผู้นี้หรือไม่?”
“พวกเจ้ายังเด็กแต่กลับทรงพลัง โชคไม่ดีที่พลังการต่อสู้ของข้าอยู่ในระดับเจ็ด แล้วพวกเจ้าจะแข่งขันกับข้าได้อย่างไร?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า” จ้าวต้าหนิวหัวเราะเสียงดัง
“คอยดูข้ากระทืบเจ้า!” จ้าวต้าหนิวหยุดหัวเราะและมองไปที่ซือเจิ้งอี้ด้วยเจตนาสังหาร
เขากระโดดเข้าหาซือเจิ้งอี้ด้วยร่างกายที่ใหญ่โตราวกับเนินเขา
“บึม!”
จ้าวต้าหนิวกดซือเจิ้งอี้ลงไปที่พื้น
“ซือเจิ้งอี้!” จ้าวเหลียนหยุนกรีดร้องด้วยความตกใจ นี่เป็นภาพที่น่าสยดสยอง
แต่ในวินาทีต่อมาซือเจิ้งอี้กลับยกเท้าของจ้าวต้าหนิวขึ้นและผลักมันออกไป
เหตุการณ์นี้เหมือนกระต่ายตัวเล็กๆที่ผลักพญาราชสีห์ออกไป ฉากที่เหนือจินตนาการนี้ทำให้จ้าวเหลียนหยุนต้องเบิกตากว้าง
“อันใด!? พละกำลังของข้าเทียบเท่ากับกระทิงอสูรเดียวดาย แต่เจ้ากลับสามารถผลักข้ากลับมางั้นหรือ?” กระทั่งจ้าวต้าหนิวก็ยังรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
ซือเจิ้งอี้กระอักเลือดอีกครั้งก่อนจะคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความอ่อนล้า
“นี่คือพลังแห่งความยุติธรรม!” ซือเจิ้งอี้กล่าวด้วยความยากลำบาก
“อย่าพูดมาก เจ้าเสียเลือดมากเกินไปแล้ว!” จ้าวเหลียนหยุนกรีดร้อง
“ความยุติธรรมบ้าบออันใด!?” จ้าวต้าหนิวพุ่งเข้าโจมตีซือเจิ้งอี้อีกครั้ง
ร่างกายของเขาใหญ่โตมากแต่ความเร็วของเขากลับไม่ช้า
จ้าวต้าหนิวปรากฏตัวขึ้นด้านหน้าซือเจิ้งอี้ในเสี้ยวพริบตา
“ฮืม ดูพลังแห่งความยุติธรรมของข้า!” ซือเจิ้งอี้ตะโกนและพุ่งเข้าปะทะอย่างไม่เกรงกลัว
“บึม!”
เสียงระเบิดดังขึ้นขณะที่ร่างของซือเจิ้งอี้บินกลับหลัง
เขากระอักเลือดออกมาก่อนจะล้มลงบนพื้นและดูราวกับกำลังจะตาย
“ข้าจะฆ่าเจ้า! หือ?” จ้าวต้าหนิวต้องการโจมตีต่อเนื่อง แต่ขณะที่เขาก้าวเท้าออกไป เขากลับพบว่าร่างกายของเขาถูกมัดไว้ด้วยโซ่สีเงิน
ที่ปลายโซ่สีเงินคือจ้าวเหลียนหยุน
นางกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะของนางแล้ว
น่าเสียดายที่การต่อสู้จริงแตกต่างจากการฝึกซ้อมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์คับขัน จ้าวเหลียนหยุนล้มเหลวในการกระตุ้นใช้งานท่าไม้ตายอมตะของนางถึงสองครั้ง
แต่สุดท้ายนางก็ประสบความสำเร็จในครั้งที่สาม
ท่าไม้ตายอมตะโซ่เงินสังหาร!
“โอ้ ขอบใจ ท่าไม้ตายนี้ช่างงดงามนัก” ซือเจิ้งอี้คลานขึ้นมาจากพื้นและกระอักเลือดออกมาระหว่างกล่าว
“อย่าพูด เจ้ายังไอเป็นเลือด!” จ้าวเหลียนหยุนเตือน
“ฮ่าฮ่า เจ้าไม่เข้าใจข้า ข้าบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งข้อมูล การพูดสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของข้า ยิ่งข้าตะโกนดังเท่าใด การโจมตีของข้าก็ยิ่งรุนแรงเท่านั้น” ซือเจิ้งอี้กล่าว
“สาวน้อย เจ้าช่างน่ารำคาญนัก” จ้าวต้าหนิวคำรามและพยายามใช้แขนทั้งสองข้าดึงโซ่ออกไป แต่ไม่ว่าเขาจะใช้พละกำลังมากเท่าใด เขาก็ไม่สามารถทำลายโซ่เหล่านี้
“เป็นเช่นนี้” จ้าวต้าหนิวเผยรอยยิ้มชั่วร้าย
“ตูม!”
เกิดการระเบิดขึ้นในห้องโถงอีกครั้ง
คลื่นอากาศทำให้เพดานห้องโถงลอยออกไป
“เคล้ง!”
โซ่สีเงินแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและหายไปในที่สุด
จ้าวต้าหนิวใช้ท่าไม้ตายอมตะของเขาทำลายโซ่เงินสังหารและปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระ
ในทางตรงข้ามจ้าวเหลียนหยุนและซือเจิ้งอี้ถูกส่งลอยกลับหลัง ทั้งสองกระอักเลือดและล้มลงบนพื้นโดยไม่สามารถยืนขึ้นได้
“บัดซบ!” ซือเจิ้งอี้ต้องการลุกขึ้นแต่ร่างกายของเขาใกล้แหลกสลายแล้ว
สำหรับจ้าวเหลียนหยุน นางตกอยู่ในอาการมึนงง
อาการบาดเจ็บของนางเลวร้ายกว่าซือเจิ้งอี้
เนื่องจากโซ่เงินสังหารของนางถูกทำลาย นั่นทำให้นางได้รับผลกระทบย้อนกลับ
นางมีวิญญาณแห่งความรัก อย่างไรก็ตามตั้งแต่การต่อสู้เริ่มขึ้น มันกลับไม่เคยทำสิ่งใดเลย
วิญญาณแห่งความรักไม่สามารถควบคุม แม้มันจะทรงพลัง แต่มันอาจไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องเสมอไป
จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกว่านางกำลังลอยอยู่ท่ามกลางความมืดอันไร้ขอบเขต
“นี่คือความรู้สึกก่อนตายงั้นหรือ?”
“ข้ากำลังจะตาย?”
“ข้าเป็นความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ข้าตายเพราะตัวละครที่ไร้นัยสำคัญ”
“ช่างเถอะ เมื่อข้าตาย ข้าจะไม่รู้สึกเหนื่อยและเจ็บปวดอีกต่อไป”
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1256 เพื่อความรักและความยุติธรรม
แปลโดย iPAT
ขณะที่นางกำลังคิดเรื่องนี้ จ้าวเหลียนหยุนกลับได้ยินเสียงดังขึ้นท่ามกลางความมืด
เสียงนี้เรียกชื่อนาง “จ้าว…เหลียน…หยุน…จ้าว…เหลียน…หยุน…”
“ผู้ใด?”
“ผู้ใดเรียกข้า ผู้ใดเรียกชื่อของข้า?”
“เหตุใดข้าถึงรู้สึกคุ้นเคยกับมันนัก?”
“อา…ข้าจำได้แล้ว นี่ไม่ใช่เสียงของข้าเองงั้นหรือ?”
จ้าวเหลียนหยุนนึกถึงฉากหนึ่งในอดีต
ในสงครามชิงตำแหน่งเจ้าเหนือหัวของภาคเหนือ บิดาของจ้าวเหลียนหยุนเสียชีวิตขณะที่นางได้รับการปฏิบัติเช่นตัวหมากทางการเมืองและถูกบังคับให้แต่งงาน อย่างไรก็ตามนางต่อต้านชะตากรรมนี้โดยอาศัยหม่าหงหยุน สุดท้ายนางเปลี่ยนจากคุณหนูผู้มั่งคั่งกลายเป็นเด็กกำพร้า
วันหนึ่งหม่าหงหยุนพานางไปบนหุบเขาลูกหนึ่ง
“คุณหนู ข้าพบสถานที่ที่เหมาะสมกับท่านแล้ว” หม่าหงหยุนพึงพอใจมาก
จ้าวเหลียนหยุนมองไปรอบๆแต่นางพบเพียงหุบเขาเล็กๆที่ดูธรรมดาทั่วไปเท่านั้น นี่ทำให้มุมปากของนางกระตุกอย่างไม่สามารถควบคุม “มีสิ่งใดพิเศษ มันเป็นเพียงหุบเขาทั่วไปและไม่มีทิวทัศน์ที่งดงาม”
“ท่านกำลังกล่าวสิ่งใด!?” ดวงตาของหม่าหงหยุนเบิกกว้างขึ้น “หุบเขาหายากมากในภาคเหนือ ให้ข้าสอนท่าน หากท่านตะโกนชื่อของท่านออกไป หุบเขาแห่งนี้จะตอบท่าน ทำเช่นนี้!”
หม่าหงหยุนสูดหายใจลึกก่อนตะโกน “จ้าว…เหลียน…หยุน…”
ไม่นานเสียงสะท้อนก็ดังกลับมา “จ้าว…เหลียน…หยุน…”
จ้าวเหลียนหยุนกลอกตา “คนโง่ มีสิ่งใดแปลกประหลาด มันเป็นเพียงเสียงสะท้อน ข้าไม่เคยเห็นผู้ใดหัวทึบเท่าเจ้ามาก่อน!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า” หม่าหงหยุนเกาศีรษะ “ผู้คนบอกว่าข้างี่เงา ข้างี่เง่าจริงๆ ข้าจะฉลาดเหมือนคุณหนูเสี่ยวหยุนได้อย่างไร?”
“แต่ทุกครั้งที่ข้ารู้สึกเศร้าใจในวัยเด็กเมื่อถูกคนอื่นๆกลั่นแกล้ง ข้าจะวิ่งมาที่หุบเขาและตะโกนใส่มันเสมอ”
“เมื่อเข้าเรียกชื่อของตนเองหนึ่งครั้ง หุบเขาจะตอบกลับข้าหนึ่งครั้ง เมื่อข้าเรียกอีกครั้ง มันก็จะตอบอีกครั้ง มันเล่นกับข้า มันไม่เคยทอดทิ้งหรือเพิกเฉยต่อข้า เว้นเพียงเสียงของข้าจะไม่ดังพอ”
“ระยะนี้ข้าเห็นคุณหนูไม่มีความสุขขณะที่ข้าต้องอยู่ข้างกายนายน้อยและไม่สามารถมาหาคุณหนูได้ตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อคุณหนูไม่สบายใจ คุณหนูสามารถมาที่หุบเขาแห่งนี้และเล่นกับมัน”
จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกพูดไม่ออก นางมองหม่าหงหยุนที่แสดงออกอย่างจริงจังและรู้สึกสงสาร
‘หม่าหงหยุนผู้นี้โง่มาก แต่จิตใจของเขาไม่ได้แย่เลย’
‘เขาคงมีชีวิตที่ยากลำบากตั้งแต่เด็ก กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังถูกนายน้อยตำหนิอยู่บ่อยครั้ง แต่ข้าไม่เคยเห็นเขาร้องไห้หรือโศกเศร้าเลย เขายิ้มได้ทั้งวัน’
‘เอาล่ะ เช่นนั้นข้าก็จะเล่นกับเจ้า’
เมื่อคิดได้เช่นนี้จ้าวเหลียนหยุนจึงสูดหายใจลึกก่อนจะตะโกนชื่อของนางออกมา
หม่าหงหยุนมีความสุขมากเมื่อเห็นจ้าวเหลียนหยุนทำตามคำแนะนำของเขา “ไม่ถูกต้อง ท่านต้องตะโกนให้ดังกว่านี้ ดังขึ้นอีก!”
จ้าวเหลียนหยุนตะโกนอีกครั้ง
หม่าหงหยุนส่ายศีรษะ “ยังดังไม่พอ หุบเขาจะได้ยินท่านก็ต่อเมื่อท่านตะโกนได้ดังมากพอ มิฉะนั้นมันจะไม่ตอบสนองท่าน”
จ้าวเหลียนหยุนสูดหายใจลึกและตะโกนสุดเสียง
“จ้าว…เหลียน…หยุน!”
หุบเขาตอบกลับมา “จ้าว…เหลียน…หยุน…”
หม่าหงหยุนหัวเราะเสียงดัง
จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกสดชื่นเช่นกัน ความโศกเศร้าของนางดูเหมือนจะลดลงขณะที่อารมณ์ของนางกลายเป็นเบิกบานขึ้น
“จ้าว…เหลียน…หยุน…”
“จ้าว…เหลียน…หยุน…”
“จ้าว…เหลียน…หยุน…”
ท่ามกลางความมืด เสียงนั้นยังดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“จ้าวเหลียนหยุน เจ้ากำลังทำสิ่งใดอยู่? เจ้าไม่ได้อยู่เพียงลำพัง สวรรค์พิภพอยู่กับเจ้า ตราบเท่าที่เจ้าตะโกนเสียงดังมากพอ สวรรค์พิภพจะได้ยินเจ้า”
“จ้าวเหลียนหยุน ตื่นได้แล้ว ยังมีคนที่รอให้เจ้าไปช่วย”
“คนผู้นั้นเคยยืนอยู่เคียงข้างเจ้า พาเจ้าไปดูดาว และตะโกนเรียกชื่อเจ้าที่หุบเขา ไปช่วยเขา!”
“ช่วยเขา…”
“ไปช่วยเขา…”
“ตะโกนออกไปให้เขารู้ว่าเจ้ากำลังมา! ให้เขารู้ว่าเขาต้องอดทน! ให้เขารู้ว่าเขายังมีความหวัง!”
“ถูกต้อง!”
“ข้าจะช่วยเขา!”
“ข้าจะตายอยู่ที่นี่ไม่ได้!”
จ้าวเหลียนหยุนเปิดเปลือกตาขึ้นทันที
นางตื่นขึ้นด้วยความมึนงง
เมื่อนางตื่นขึ้น นางพบว่าร่างกายของนางกำลังลุกไหม้ขึ้นด้วยแสงสีฟ้าอ่อน
แสงสีฟ้ามาจากวิญญาณแห่งความรัก
อาการบาดเจ็บของจ้าวเหลียนหยุนฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
แสงสีฟ้าอ่อนยังกระจายออกไปรอบๆ
จ้าวต้าหนิวถอยหลังกลับไปทีละก้าวด้วยความรู้สึกสยดสยอง “อา…แสงสว่างเหล่านี้คือสิ่งใด? มันหนักราวกับภูเขา! กลิ่นอายนี้มันคือวิญญาณอมตะชนิดใด!?”
ซือเจิ้งอี้อาบแสงสีฟ้าเช่นกัน
ทันใดนั้นเขารู้สึกราวกับพลังงานในร่างกายถูกเติมเต็ม อาการบาดเจ็บทั้งหมดของเขาหายไปอย่างสมบูรณ์ขณะที่พลังการต่อสู้ของเขาพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ขอบคุณจ้าวเหลียนหยุน ต่อไปให้เป็นหน้าที่ของข้า!”
“คนชั่ว ข้าจะสังหารเจ้า…”
“หมัด…แห่ง…ความ…ยุติธรรม!”
ซือเจิ้งอี้ตะโกนเสียงดัง ยิ่งเขาตะโกนดังเท่าใด ท่าไม้ตายอมตะของเขาก็ยิ่งทรงพลังมากเท่านั้น
หมัดแสงขนาดใหญ่พุ่งเข้าโจมตีจ้าวต้าหนิว
“บึม!”
ราวกับเสียงคำรามของท้องฟ้า การป้องกันของจ้าวต้าหนิวพังทลายลง รูเลือดขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนหน้าอกของเขาและสามารถมองเห็นกำแพงห้องผ่านรูนี้
“ข้า…ข้า…” ดวงตาของจ้าวต้าหนิวค่อยๆพร่าเลือนก่อนที่เขาจะล้มลงบนพื้น
“ปัง!”
ร่างของเขาหยุดเคลื่อนไหว
หลายลมหายใจต่อมา ร่างกาย ดวงวิญญาณ และมิติช่องว่างของเขาก็ถูกค่ายกลวิญญาณชะตากรรมพลิกผันดูดซับเข้าไป
“ฮ่าฮ่าฮ่า ความยุติธรรมเป็นฝ่ายชนะ!” ซือเจิ้งอี้ชูหมัดขึ้นและตะโกน
จ้าวเหลียนหยุนเผยรอยยิ้มขบขันอยู่ด้านข้าง
…..
กำแพงภูมิภาค
เสียงคำรามของมังกรดังขึ้น “อิงอู๋เซี่ย เจ้ากำลังจะไปที่ใด?”
มันคือฟางหยวนในร่างมังกรดาบบรรพกาล ในที่สุดเขาก็พบกลุ่มของอิงอู๋เซี่ย
การแสดงออกของอิงอู๋เซี่ยและคณะกลายเป็นเคร่งเครียด
อิงอู๋เซี่ยบอกผู้อมตะทั้งห้าไว้ล่วงหน้าแล้วว่าฟางหยวนจะตามทันในที่สุด ดังนั้นพวกเขาจึงเตรียมใจเอาไว้แล้ว
ตอนนี้พวกเขากำลังรอการต่อสู้ที่ดุเดือด
มังกรดาบบรรพกาลอ้าปากและเผยให้เห็นคมเขี้ยวที่แหลมคม ดวงตาของมันโหดเหี้ยมและเยือกเย็น ขณะที่มันปลดปล่อยเจตนาสังหารอันเข้มข้นออกมา
ฟางหยวนพุ่งไปข้างหน้าโดยไม่กล่าวเรื่องไร้สาระ
ฆ่าเท่านั้น!
“หากต้องการสู้กับนายท่าน เจ้าต้องผ่านข้าไปก่อน” ซือหนิวผู้ภักดีก้าวออกไปข้างหน้าและยกมือขวาขึ้น
กำแพงหินพุ่งขึ้นจากพื้นดินและกลายเป็นสิ่งกีดขวาง
“บึม!”
ในพริบตากำแพงหินถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์
ไห่ลั่วหลันส่งวิหคเพลิงพุ่งออกมาจากปาก
วิหคเพลิงตัวเล็กตัวน้อยพุ่งเข้าปะทะลมหายใจมังกรและระเบิดกลางอากาศ
“วิหคเพลิงพิโรธ?” ฟางหยวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
นี่เป็นท่าไม้ตายบนเส้นทางแห่งไฟ เขาไม่ได้คาดหวังว่าไห่ลั่วหลันจะใช้วิธีนี้
โดยเฉพาะเมื่อวิหคเพลิงเหล่านี้ทำให้ฟางหยวนนึกถึงนางมารผลาญสวรรค์
ย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่นางมารผลาญสวรรค์บุกโจมตีฉลามปีศาจ นางใช้ท่าไม้ตายวิหคเพลิงพิโรธและฝากความประทับใจไว้กับฟางหยวน
แต่วิหคเพลิงพิโรธของไห่ลั่วหลันยังแตกต่างจากนางมารผลาญสวรรค์
หลังจากไห่ลั่วหลันส่งมอบวิญญาณอมตะบนเส้นทางความแข็งแกร่งให้กับฟางหยวน นางหันมาบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งไฟเพราะนางมีมรดกของนางมารผลาญสวรรค์
เดิมทีนางไม่ได้สนใจมันและคิดว่าคงไม่มีโอกาสได้ใช้งานมันตลอดชีวิต แต่ผู้ใดจะคิดว่าเหตุการณ์จะพลิกผันและทำให้นางต้องเรียนรู้มัน
โดยธรรมชาตินางไม่มีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งไฟ
แต่นางมีวิญญาณอมตะของนางมารผลาญสวรรค์!
เมืองคลื่นทมิฬของกองกำลังพันธมิตรผีดิบแห่งภาคเหนือถูกซ่อนเอาไว้ ผมที่หกลอบไปที่นั่นและส่งวิญญาณอมตะของนางมารผลาญสวรรค์มาให้อิงอู๋เซี่ย
หลังจากนั้นอิงอู๋เซี่ยจึงมอบพวกมันให้ไห่ลั่วหลัน
ไห่ลั่วหลันมีมรดกของนางมารผลาญสวรรค์อยู่แล้ว เมื่อได้รับวิญญาณอมตะเหล่านั้น นางจึงสามารถเลียนแบบท่าไม้ตายอมตะทั้งหมดของนางมารผลาญสวรรค์
ฟางหยวนไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน แต่ตอนนี้เมื่อเห็นวิหคเพลิงพิโรธ เขาเข้าใจทุกอย่างทันที
ลมหายใจมังกรยังพุ่งเข้าโจมตีศัตรูขณะที่ไท่เป่ยหยุนเฉิงเร่งสร้างวงแหวนเมฆาขึ้นเพื่อปกป้องทุกคน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น