พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1249-1250
บทที่ 1249 ญาติของจอมพลเถิง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตอนนี้เขาค่อนข้างกังวลว่าเกาก้วนจะประหารคนหนึ่งพันแปดสิบแปดคนนี้หมดเลยหรือเปล่า เพราะคนพวกนี้ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ต่อให้เป็นคนโง่ก็เดาออกว่าคนธรรมดาทั่วไปไม่กล้าปลอมแปลงตบตากับเรื่องแบบนี้ ถ้าประหารคนพวกนี้จริงๆ เกาก้วนที่ล่วงเกินคนอื่นจนเคยชินกลับไม่เป็นอะไร คนมีเหาเยอะย่อมไม่กลัวคัน ทุกคนล้วนคุ้นชินกับลักษณะการทำงานของเกาก้วนแล้ว แต่เถิงเฟยกลับโดนลากลงน้ำให้ซวยไปด้วย นี่ไม่ใช่การล่วงเกินแค่คนสองคนนะ!
จอมพลเถิงแค่อยากจถามว่าทำไมตัวเองถึงซวยขนาดนี้ สิบสองจอมพลผลัดเวรกันมาเฝ้าแดนอเวจี ทำไมตัวเองถึงบังเอิญมาเจอการทดสอบครั้งนี้พอดี?
เถิงเฟยเริ่มจับตาดูปฏิกิริยาของเกาก้วนอย่างไม่ละสายตา
เกาก้วนรับรายชื่อมาไว้ในมือ กวาดตาอ่านรายชื่อหนึ่งพันแปดสิบแปดคนในนั้นคร่าวๆ รอบหนึ่ง เน้นให้ความสนใจกับเรื่องราวการปลอมแปลงที่อยู่ข้างหลังแต่ละรายชื่อ ดูไปพลางกล่าวถามไปพลางว่า “ความจริงกระจ่างชัดเจน พิสูจน์ความจริงแล้วใช่มั้ย?”
ประโยคนี้ทำให้เถิงเฟยอกสั่นขวัญแขวนอีกครั้ง
จุยหย่วนตอบว่า “ความจริงกระจ่างชัดเจน พิสูจน์ความจริงแล้ว ตรวจสอบตรงสถานที่จริงแล้วขอรับ มีการปลอมแปลงตบตาจริงๆ บางเขตพื้นที่ที่ทำเครื่องหมายไว้เดิมทีไม่ได้มีอยู่จริงๆ ผลงานของหนึ่งพันแปดสิบแปดคนนี้ถูกผิดผนึกแยกไว้แล้ว สามารถตรวจสอบซ้ำได้ทุกเมื่อ”
เกาก้วนพยักหน้าเบาๆ แล้วทำสำเนารายชื่อไว้หนึ่งฉบับตรงนั้น ก่อนจะนำต้นฉบับคืนให้จุยหย่วน สายตาพลันจ้องไปที่กำลังพลสามแสนกว่าที่หนาแน่นอยู่ในแอ่งกระทะด้านล่าง แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ยังไม่ต้องรีบจัดอันดับคะแนนทดสอบ เรียกชื่อคนหนึ่งพันแปดสิบแปดคนนั้นออกมาก่อน พอตรวจค้นหมดแล้ว ก็ควบคุมตัวไว้ชั่วคราว!”
“รับทราบ!” จุยหย่วนเอ่ยรับคำสั่งแล้วไปปฏิบัติตามทันที
เกาก้วนสะบัดผ้าคลุมดำบนบ่า หันตัวเดินเข้าไปในตำหนักแล้ว
“…” เถิงเฟยยื่นมือออกมา เดิมทีคิดจะขวางไว้เพราะมีเรื่องจะโน้มน้าว แต่พอได้ยินคำว่า ‘ควบคุมตัวชั่วคราว’ เขาก็โล่งใจ ขอเพียงไม่ประหารทันที หลังจากควบคุมตัวกลับไปแล้วจะลงโทษอย่างไร ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับตนแล้ว ถึงตอนนั้นตนหลบอยู่ที่แดนอเวจี คนที่อยากจะรับตัวคนกลับก็ไปแสดงอภินิหารคิดหาทางกันเอาเองก็แล้วกัน เราช่วยปกป้องพวกเจ้าไม่ให้โดนเกาก้วนประหารในทันที ก็นับว่าช่วยพวกเจ้าได้เยอะแล้ว
ตุ้ง! ตุ้ง! ตุ้ง!
เสียงกลองสะท้านฟ้าดังก้องสามครั้ง ทำให้ผู้เข้าร่วมทดสอบหลายแสนในแอ่งกระทะตกใจจนใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไปบนยอดเขา
จุยหย่วนที่ยืนอยู่หน้ากลองสะท้านฟ้ายกมือขึ้น ทำให้เสียงกลองหยุดลงทันที แค่เตือนให้ทุกคนสนใจทางนี้ก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องตีต่อไปโดยไม่หยุด
จุยหย่วนกวาดสายตามองลงไปด้านล่าง แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ประกาศเสียงดังว่า “คนที่ถูกเรียกชื่อ ให้ขึ้นมาทันที ฟังคำสั่งหน้าตำหนัก ห้ามชักช้า!” พูดจบก็หันไปพยักหน้าเบาๆ ให้ลูกน้องที่อยู่ข้างกัน
กลุ่มผู้เข้าร่วมทดสอบที่อยู่ข้างล่างแปลกใจ ไม่รู้ว่าเรียกชื่อไปทำไม คะแนนทดสอบออกมาแล้วเหรอ?
“ซ่งเจ๋อ!” ชื่อแรกถูกประกาศเรียกเสียงดังก้องอยู่ในแอ่งกระทะ
เหมียวอี้ไม่เคยได้ยินชื่อคนคนนี้มาก่อน จึงเหลียวซ้ายแลขวา อยากจะเห็นว่าเป็นตัวละครประเภทใด
ในบรรดาคนที่อยู่นั้น เห็นได้ชัดว่ามีคนไม่น้อยที่รู้จักซ่งเจ๋อ สายตาของคนมากมายมองไปยังที่ที่หนึ่ง ย่อมดึงดูดให้ทุกทยอยกันมองตามไปยังจุดเดียวเช่นกัน
เห็นเพียงชายสวมชุดผ้าแพรคนหนึ่งกำลังอยู่ท่ามกลางสายตาของทุกคน เจ้าตัวสีหน้าซีดขาวในชั่วพริบตาเดียว จ้องมองหน้าตำหนักบนยอดเขาพร้อมกลืนน้ำลายไม่หยุด ชักช้าไม่กล้าขานตอบ และไม่กล้าขยับเท้าด้วย บนใบหน้าเต็มไปด้วยความเครียดและวิตกกังวล
สายตาของจุยหย่วนมองตามสายตาของคนข้างล่าง จ้องไปบนตัวของชายชุดผ้าแพรคนนั้น กล่าวคำพูดของลูกน้องซ้ำอีกครั้ง เรียกชื่อด้วยเสียงต่ำอีกครั้ง “ซ่งเจ๋อ!”
ชายชุดผ้าแพรคนนั้นตัวสั่นเล็กน้อย ในที่สุดก็มีปฏิกิริยาแล้ว ตอบเสียงดังว่า “ไม่ทราบว่านายท่านผู้คุมกฎเรียกด้วยเรื่องอะไร?” เสียงสั่นเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด
“เจ้าได้ยินไม่ชัดเหรอ? มารอคำสั่งหน้าตำหนัก!” จุยหย่วนกล่าว
“ไม่ทราบว่าคำสั่งอะไร ขอถามอีกได้หรือไม่?” ซ่งเจ๋อถามอีก
เหมียวอี้ที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคนข้างหลังได้ยินแล้วแอบส่ายหน้า แค่ฟังก็รู้แล้วว่าเป็นลูกหลานผู้มีอำนาจ ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ คนทั่วไปจะกล้าพูดมากเสียที่ไหนกัน พอโดนเรียกชื่อก็จะต้องปฏิบัติตามแต่โดยดีแน่นอน เพราะไม่มีต้นทุนอะไรให้ขัดขืน
จุยหย่วนไม่ได้พูดมากกับเขาอีก หันตัวมากุมหมัดคารวะเถิงเฟยที่ยืนอยู่บนบันไดตำหนักใหญ่ “มีคนมองข้ามคำสั่ง ท่านจอมพลได้โปรดให้ความร่วมมือสักหน่อย!”
จอมพลเถิงที่ยืนเอามือไขว้หลังอย่างทะนงองอาจมองจุยหย่วนอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไรมาก แค่เอียงหน้าและพยักหน้าให้ลูกน้องที่อยู่ตรงตีนบันได ทำให้มีแม่ทัพเกราะม่วงคนหนึ่งถลันตัวออกไปทันที
เดิมทีเถิงเฟยก็ได้รับคำสั่งจากตำหนักสวรรค์เพื่อให้ความร่วมมือกับการทดสอบครั้งนี้อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นเกาก้วนจะเรียกเขามาได้อย่างไร เกาก้วนมีแค่อำนาจในการตรวจสอบ ไม่มีอำนาจในการระดมพลอย่างเป็นทางการ กำลังพลของเกาก้วนจำกัดอยู่แค่ในหน่วยตรวจการฝ่ายขวาเท่านั้น ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือไม่มีอำนาจทางทหาร ถ้าอาศัยสถานะของเกาก้วนแล้วยังควบอำนาจทางทหารด้วย แบบนั้นก็น่ากลัวเกินไป ราชันสวรรค์ไม่มีทางยอมให้มีคนแบบนี้อยู่เช่นกัน
แม่ทัพเกราะม่วงคนนั้นมาเหยียบลงตรงหน้าซ่งเจ๋อ แล้วถามว่า “เจ้าคือซ่งเจ๋อเหรอ?”
“เป็นข้าเอง พวกท่านคิดจะทำอะไร?” ซ่งเจ๋อจ้องวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นแปดตรงหว่างคิ้วของอีกฝ่าย พลางถอยหลังจากวิตกกังวล
“แค่บอกว่าเป็นเจ้าก็สิ้นเรื่องแล้ว จะพูดเหลวไหลอะไรเยอะแยะ!” แม่ทัพเกราะม่วงพลันลงมือ บีบคอซ่งเจ๋อโดยตรง อาศัยวรยุทธ์ของเขาลงมือในระยะใกล้ขนาดนี้ ทำให้ซ่งเจ๋อไม่มีแม้แต่โอกาสจะไหวตัว โดนหิ้วเหาะออกไปในชั่วพริบตาเดียว เหาะไปหน้าตำหนักบนยอดเขาแล้วโยนซ่งเจ๋อลงบนพื้น ตกลงอย่างสะเปะสะปะ
ซ่งเจ๋อเพิ่งจะลุกขึ้นอย่างโซเซ ภายใต้การบอกใบ้ของจุยหย่วน ก็มีคนโยนเชือกมัดเซียนออกมามัดเขาไว้แล้ว สองคนที่พุ่งเข้ามาจี้จุดผนึกวรยุทธ์เขาเอาไว้ แล้วตรวจค้นของบนตัวเขาออกมาจนหมด
ซ่งเจ๋อร้องโวยวายเสียงดังอย่างตื่นกลัวมาก แต่โดนระงับพลังอิทธิฤทธิ์ไว้ คนที่อยู่ด้านล่างภูเขาไม่ได้ยินเสียงตะโกนของเขาเลย
เนื่องจากลักษณะพื้นที่ ทำให้คนที่อยู่ข้างล่างมองไม่เห็นสถานการณ์ของซ่งเจ๋อในตอนนี้เช่นกัน ทุกคนไม่รู้เลยว่าซ่งเจ๋อที่อยู่ข้างผลเป็นอย่างไรบ้าง
ส่วนซ่งเจ๋อที่ถูกค้นตัวจนหมดเกลี้ยงก็โดนลากไปไว้ด้านข้างแล้ว โดนกดให้นั่งคุกเข่าลง พอโดนดาบจ่อคอไว้ก็ว่านอนสอนง่ายทันที ตกใจจนตัวสั่นระริก
เถิงเฟยที่ยืนอยู่บนบันไดหน้าตำหนักเอียงหน้ามองแวบหนึ่ง เกาก้วนเดินออกมาจากตำหนักแล้ว มายืนอยู่ข้างกายเขาอีกครั้ง
“ถ้าเรียกชื่อใครแล้วไม่ขานอีก ประหาร!”
เสียงอันเย็นเยียบของเกาก้วนดังสยองอยู่ในแอ่งกระทะ พอเสียงของเขาดังขึ้น ก็เหมือนอุณหภูมิของอากาศจะลดลงอย่างฉับพลัน ทำให้คนรู้สึกหนาวขึ้นมาเอง ไม่รู้ว่าคำว่า ‘ประหาร’ ทำให้คนมากมายเท่าไรอกสั่นขวัญแขวน เหมือนจะไม่มีใครสงสัยในคพูดของเขาเลย
กำลังพลหลายแสนตัวสั่นระริก เงียบกริบราวกับจั๊กจั่นในฤดูหนาว
เหมียวอี้ที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคนรู้สึกได้ว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงหยุดหายใจกระทันหัน พอหันกลับไปมอง ก็พบว่าบนใบหน้าของเซี่ยโห้วหลงเฉิงกำลังฉายแวววิตกกังวล พอเอียงหน้ามองจ้านหรูอี้ที่อยู่ข้างกัน ก็พบว่าจ้านหรูอี้ทำสีหน้าเครียดอยู่เงียบๆ ไม่กล้าหายใจแรงเช่นเดียวกัน
เหมียวอี้นับว่าได้รับรู้ถึงพลังความน่ากลัวของทูตขวาหน้าตายอีกครั้ง สามารถทำให้ลูกหลานของผู้มีอำนาจระดับสูงสุดหวาดผวาได้เหมือนกัน ช่างไม่ธรรมดาจริงๆ
“ขอรับ!” จุยหย่วนเอ่ยรับคำสั่ง แล้วกันกลับมาสั่งลูกน้องข้างๆ ว่า “ต่อไป!”
ลูกน้องหยิบรายชื่อขึ้นมาเรียกอีกครั้ง “เซียวจ่างอวิ๋น เฉิงอวี้สิง คังฉงเทียน…”
เรียกชื่อไม่หยุด หลังจากเกาก้วนเอ่ยเสียงขึ้น พลังความน่าหวาดกลัวก็มีมากจริงๆ คนที่โดนเรียกชื่อไม่ว่าจะหวาดกลัวหรือไม่หวาดกลัว แต่ก็ยังดีกว่าเสียชีวิตเป็นไหนๆ แต่ละคนเหาะขึ้นมาหน้าตำหนักอย่างว่าง่าย พอเห็นคนที่มาถึงก่อนถูกกดให้นั่งคุกเข่า ก็ทำสีหน้าเศร้าโศกทันที ต่างก็รู้ว่าเรื่องที่ปลอมแปลงผลงานถูกเปิดโปงแล้ว
คนที่โดนเรียกชื่อแต่ละคนถูกมัดไว้อย่างว่านอนสอนง่าย พลังอิทธิฤทธิ์ถูกระงับ สิ่งของบนตัวถูกค้นยึดไปหมด โดนผลักให้นั่งคุกเข่าอยู่อีกด้านหนึ่ง
มีคนขึ้นมาข้างบนคนแล้วคนเล่า นั่งคุกเข่าลงแถวแล้วแถวเล่า พวกดวงซวยเห็นว่าคนมีเยอะขึ้นเรื่อยๆ มีคนหลายร้อยนั่งคุกเข่าลงด้วยกันอย่างรวดเร็ว และสถานการณ์ตอนหลังก็ไม่มีแนวโน้มว่าคนจะลดลง แต่ละคนกลับเริ่มวางใจลงทีละนิด เหตุผลก็เรียบง่ายมาก ลูกหลานผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์มากมายขนาดนี้ คนเยอะไม่สะดวกจะทำโทษ!
ลูกหลานผู้มีอำนาจมากมายขนาดนี้โกงการทดสอบที่ราชินีสวรรค์จัดขึ้นครั้งแรก ในจำนวนนั้นมีคนที่เถิงเฟยรู้จักและเคยเห็น เถิงเฟยดูจนปวดประสาท จะให้ราชินีสวรรค์รู้สึกอย่างไรกับเหตุการณ์นี้? คนมากมายขนาดนี้ไม่เห็นราชินีสวรรค์อยู่ในสายตา คาดว่าราชินีสวรรค์คงจะโกรธจนหน้าเขียวแล้ว!
เถิงเฟยเหลีบมองเกาก้วนที่อยู่ข้างๆ อีกฝ่ายยังคงทำสายตาเย็นชาเหมือนเดิม สีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ เขายอมเจ้าหมอนี่แล้วจริงๆ ทำเรื่องแบบนี้แล้ว อย่าบอกนะว่าไม่รู้ผลลัพธ์ที่จะตามมาทีหลัง?
“หลัวชิงเยี่ยน!”
จู่ๆ ก็เรียกชื่อมาจนถึงชื่อนี้ ดึงให้เถิงเฟยที่กำลังครุ่นคิดกลับมาสู่ความจริง ชื่อนี้เหมือนจะคุ้นหูนิดหน่อยนะ…ไม่นานก็เห็นแม่นางหน้าตาสะสวยคนหนึ่งเหาะขึ้นมา การปรากฏตัวของผู้หญิงคนนี้ทำให้เถิงเฟยกระตุกมุมปากอย่างแรง ก่อนหน้านี้ญาติของเขาก็โดนเกาก้วนสั่งประหารไปแล้วคนหนึ่ง ทำไมมีคนปลอมแปลงผลงานโผล่มาอีกแล้วล่ะ?
เมื่อถูกค้นตัวอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย หลัวชิงเยี่ยนก็ยังตะโกนเรียกเถิงเฟยอย่างน้อยใจเป็นพิเศษ “ลุงเขย!” เหมือนกำลังขอร้องให้เถิงเฟยดูแล
เกาก้วนเหล่ตามองเถิงเฟยอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง ทำเอาเถิงเฟยอึดอัดทำตัวไม่ถูก
ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นลูกสาวของน้องสาวแท้ๆ ของอนุภรรยาเถิงเฟย นางใช้เส้นสายของเถิงเฟยให้ได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ บังเอิญว่าติดร่างแหเข้ามาอยู่ในการทดสอบครั้งนี้พอดี
เถิงเฟยทั้งตกใจทั้งโมโห ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับหลัวชิงเยี่ยน อนุภรรยาคนนั้นจะต้องร้องไห้ฟูมฟายเป็นวรรคเป็นเวรกับเขาแน่
รอจนกระทั่งตอนที่หลัวชิงเยี่ยนจะถูกคุมตัวไปด้านข้าง เถิงเฟยก็บอกใบ้ให้ลูกน้องคนหนึ่งไปขวางหลัวชิงเยี่ยนไว้ ต้องการจะเอาตัวมาซักถาม แต่คนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวาไม่ยอม เกาก้วนจึงโบกมือ ให้คนถอยไปเพื่อไว้หน้าเถิงเฟย
หลังจากหลัวชิงเยี่ยนถูกนำตัวมา และคลายผนึกพลังอิทธิฤทธิ์แล้ว เถิงเฟยก็ถ่ายทอดเสียงตำหนิอย่างโมโหว่า “เจ้านี่ยังไงกันแน่? มีคนช่วยเจ้าทำผลงานไปบ้างแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมยังปลอมแปลงมาตบตาอีก?”
หลัวชิงเยี่ยนหลบสายตาพร้อมเถียงว่า “ข้าไม่ได้ปลอมแปลงมาตบตานะ”
“เจ้า…” เถิงเฟยเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะตบนางให้ตายคามือ เขารู้ดีว่าเกาก้วนเป็นคนอย่างไร แต่ไหนแต่ไรมาก็แยกเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวชัดเจนจนราชันสวรรค์ไว้ใจ ไม่สร้างหลักฐานเท็จมาใส่ร้ายใครแน่นอน ไม่อย่างนั้นอาศัยพฤติกรรมที่เกาก้วนล่วงเกินคนไว้มากมายขนาดนั้น ถ้าหากตัวเองไม่สะอาดเสียเอง เกรงว่าคงจะตายอย่างอนาถไปตั้งนานแล้ว คงโดนคนอื่นบีบจุดอ่อนและเล่นงานจนตายไปตั้งนานแล้ว จะรอดมาถึงวันนี้ได้อย่างไร แล้วอีกอย่าง เกาก้วนเป็นตัวละครระดับไหน จำเป็นต้องยัดหลักฐานใส่ร้ายตัวละครเล็กๆ อย่างเจ้าด้วยเหรอ? มิหนำซ้ำเมื่อครู่นี้เขาก็ได้ยินอย่างชัดเจนแล้ว ในมือจุยหย่วนมีหลักฐานที่สามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา นี่คือสิ่งที่กลับไปแล้วจะต้องรายงานต่อทุกคนทั้งระดับบนระดับล่าง จะเป็นของปลอมได้อย่างไร!
“เจ้าจะไม่พูดความจริงใช่มั้ย?” เถิงเฟยชี้นางพร้อมถามอย่างโมโห
เมื่อเห็นเขาโมโหแล้ว หลัวชิงเยี่ยนก็กลัวเหมือนกัน ตอบเสียงต่ำว่า “ข้าเองก็อยากให้คะแนนอยู่อันดับต้นๆ สักหน่อย ไม่อยากให้ลุงเขยเสียหน้า…”
“เจ้า…” เถิงเฟยชี้หน้านาง ไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะว่าอะไรนางดี พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมก่อนหน้านี้ญาติตัวเองจึงโดนประหาร เดิมทีทั้งสองเป็นกลุ่มเดียวกัน เห็นได้ชัดว่ารวมหัวกันโกง เพียงแต่หลังจากที่คนก่อนหน้านี้โวยวายจนโดนประหาร คนที่อยู่ตรงหน้าจึงตกใจจนไม่กล้าพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ยังถูกบีบออกมาเหมือนเดิม
เขาเองก็เข้าใจเช่นกันว่าทำไมญาติทั้งสองของตัวเองถึงยังกล้าปลอมแปลงผลงานทั้งๆ ที่มีคะแนนอยู่แล้ว เป็นเพราะมีจอมพลเถิงอย่างเขารักษาการณ์อยู่ที่นี่ พวกเขาถึงไม่กลัวเพราะมีที่พึ่งไงล่ะ!
“โง่เง่า!” เถิงเฟยชี้หน้าด่า แล้วหลับตาลงอย่างแค้นใจในความไม่เอาถ่าน ก่อนจะโบกมือสั่งว่า “คุมตัวไป!”
“ลุงเขย! ลุงเขย…” หลัวชิงเยี่ยนที่โดนลากตัวไปตะโกนเรียกไม่หยุด
เถิงเฟยหลับตาไม่สนใจ อยู่ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ อีกทั้งเกาก้วนก็อยู่ข้างๆ เขาเองก็ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพราะเรื่องส่วนตัวได้เช่นกัน
บทที่ 1250 ตัดหัวประจาน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ขนาดเขายังอยากจะตบหลัวชิงเยี่ยนหายตายด้วยฝ่ามือเดียวเลย จะเห็นได้ว่าราชันสวรรค์รู้สึกอย่างไร!
ตอนนี้เขานับว่าเข้าใจแล้วว่าลูกหลานผู้มีอำนาจพวกนี้กำเริบเสิบสานขนาดไหน ขนาดรู้ว่าเกาก้วนคุมการทดสอบยังกล้าปลอมแปลงตบตาแบบนี้อีก ถ้าดาบไม่จ่อคอก็ไม่รู้จักเลยว่าอะไรเรียกว่าหวาดกลัว จะเห็นได้เลยว่ายามปกติใช้ประโยชน์จากเส้นสายจนชินแล้ว เข้าออกทุกที่ได้สะดวก ถึงได้ลำพองใจจนลืมทุกอย่างไปหมด!
แต่จะว่าไปแล้ว พอหลัวชิงเยี่ยนถูกควบคุมตัวกลับไป จอมพลเถิงจะต้องคิดหาทางช่วยชีวิตหรือเปล่าล่ะ? ย่อมต้องคิดหาทางช่วยอยู่แล้ว จะต้องมีคนกลุ่มหนึ่งอ้างเหตุผลต่างๆ นาๆ มาแนะนำให้ราชันสวรรค์ถอดอำนาจการลงโทษออกมาจากมือเกาก้วนแน่นอน เปลี่ยนคนใหม่มาสืบสวนและตัดสิน สุดท้ายเรื่องใหญ่ก็จะกลายเป็นเรื่องเล็ก พอเป็นเรื่องเล็กแล้ว ตบตาทั้งข้างบนทั้งข้างล่างได้ก็สิ้นเรื่อง
พอเป็นแบบนี้ ถ้าเปลี่ยนตัวเองเป็นลูกหลานผู้มีอำนาจพวกนี้ อย่างไรเสียตอนสุดท้ายก็จะไม่เป็นอะไร ยังจะมีอะไรน่ากลัวอีกล่ะ? ปลอมแปลงผลงานตบตาแล้วจะเป็นไรไป?
เฮ้อ! เถิงเฟยแอบถอนหายใจเบาๆ ตอนนี้เขานับว่าคิดถึงปัญหานี้โดยยืนอยู่ในจุดเดียวกับราชันสวรรค์แล้ว เละเทะ! เละเทะจริงๆ! ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปจะต้องเละเทะหมดแน่! ถ้าเหตุการณ์แบบนี้ดำเนินต่อไป ถึงตอนนั้นก็รับประกันไม่ได้ว่าจะมีคนกล้าขัดคำสั่งเบื้องบน มองข้ามกฎระเบียบของตำหนักสวรรค์ เกรงว่าทั้งใต้หล้าคงจะเสียการควบคุมแล้ว จะให้ราชันสวรรค์ทำเป็นมองไม่เห็นได้อย่างไร?
จนกระทั่งทั่วท้องฟ้ามีแสงอาทิตย์ยามสายัณห์ หนึ่งพันแปดสิบแปดคนถึงได้มาครบ ของบนตัวพวกเขาถูกค้นยึดไปหมด หลังจากถูกควบคุมแล้วก็นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น!
พอเห็นว่าเสียงเรียกชื่อเงียบลง ก็ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรในแอ่งกระทะที่ถอนหายใจอย่างแรง เซี่ยโห้วหลงเฉิงเอามือตบหน้าอกเบาๆ ยิงฟันยิ้มโง่ๆ ให้เหมียวอี้
ตอนนี้ทุกคนพอจะเดาได้แล้วว่าเป็นเรื่องอะไร เซี่ยโห้วหลงเฉิงกังวลมากว่าผลงานของเหมียวอี้จะเกิดปัญหาอะไรหรือเปล่า พอตอนนี้เห็นว่าไม่เป็นอะไรแล้ว ก็เรียกได้ว่าโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก มองเหมียวอี้ด้วยแววตาที่เหมือนมองบิดาแท้ๆ ของตัวเอง
จุยหย่วนหันตัวออกจากริมหน้าผา เดินมาข้างกลุ่มคนที่ถูกคุมให้นั่งคุกเข่าเพื่อตรวจนับจำนวนแนะยืนยันตัวตน เสร็จแล้วถึงได้เดินลงบันไดมารายงานเกาก้วนว่า “นายท่าน ผู้เข้าร่วมทดสอบหนึ่งพันแปดสิบแปดคนที่ปลอมแปลงผลงานถูกควบคุมตัวไว้ครบแล้วขอรับ!”
“ผลักออกมา ตัดหัวประจาน!”
ไม่มีเค้าลางเลยแม้แต่น้อย น้ำเสียงของเกาก้วนสงบราบเรียบ แต่กลับทำให้คนรอบข้างขนพองสยองเกล้า
ขนาดพวกทหารยามที่ยืนนิ่งอยู่ตรงสองฝั่งบันไดยังอดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองเขา ทุกคนล้วนสูดหายใจอย่างตกตะลึง ท่านทูตขวาหน้าตาย แบบนี้ไม่ใช่แล้วมั้ง?
แม้แต่จุยหย่วนก็ยังพลันเงยหน้า เขาอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ต้องทราบไว้ว่าคนที่จะโดนประหารไม่ใช่คนทั่วไป แต่เป็นลูกหลานผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์พันกว่าคน!
โชคดีที่คนที่ถูกควบคุมตัวนั่งคุกเข่าอยู่ค่อนข้างไกล กอปรกับถูกควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ไว้ ดังนั้นจึงไม่ได้ยินคำพูดของเกาก้วน ไม่อย่างนั้นจะต้องตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อแน่นอน คงไม่ได้เห็นบางคนในนั้นสุมหัวกระซิบกระซาบกันหรอก เหมือนแน่ใจว่าคนทำผิดมีเยอะแล้วจะไม่ถูกลงโทษ!
“ช้าก่อน!” เถิงเฟยเอามือกดจุยหย่วนไว้ บอกใบ้ว่าอย่าเพิ่งประหาร เขาหันหน้าช้าๆ กลับมาจ้องเกาก้วน แล้วถามเสียงต่ำว่า “ทูตขวาเกา เจ้ารู้มั้ยว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”
“ทูตคนนี้มีภาระหน้าที่ติดตัว ย่อมรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่” เกาก้วนยังคงเย็นชา หันกลับมาสบตาพร้อมถามว่า “หรือว่าจอมพลเถิงต้องการจะขัดคำสั่งทูตคนนี้?”
“ไม่นับว่าขัดขวางหรอก แค่อยากจะโน้มน้าวให้ทูตขวาเกาไตร่ตรองดูอีกที!” เถิงเฟยชี้ไปยังกลุ่มคนที่นั่งคุกเข่า พร้อมกล่าวอย่างจริงจังว่า “ผู้ใหญ่ในครอบครัวของคนพวกนี้ล้วนเคยทุ่มชีวิตทำงานเพื่อราชันสวรรค์ เคยสร้างวีรกรรมในการสู้รบเพื่อให้ราชันสวรรค์บุกยึดใต้หล้า ต่อให้ไม่มีผลงานแต่ก็ลำบากทำงาน การผลักออกมาตัดหัวประจานไม่ถือว่าทำเกินไปหน่อยเหรอ?”
เกาก้วนทอดสายตามองไปไกล พลางถามอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่า “แค่สร้างวีรกรรมในการสู้รบก็แปลว่าสามารถกำเริบเสิบสานได้แล้วเหรอ?”
“ถ้าเจ้าพูดแบบนี้ ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว เจ้าไม่แม้แต่จะสืบสวนด้วยซ้ำ ผลักออกมาตัดหัวประจานโดยตรงเลย ทำงานหยาบเกินไป ไม่สอดคล้องกับเหตุผล!” เถิงเฟยกล่าว
“ข้าย่อมมีเหตุผลทที่ข้าไม่สืบสวน” เกาก้วนตอบ
เถิงเฟยชี้ไปยังกลุ่มคนที่คุกเข่า พร้อมเถียงแบบตาต่อตาฟันต่อฟันว่า “เจ้ามีเหตุผล พวกเขาก็มีเหตุผลเหมือนกัน อย่าบอกนะว่ามีเพียงเหตุผลของเจ้าเท่านั้นที่นับว่าเป็นเหตุผล?”
“งั้นจอมพลเถิงคิดว่าควรทำยังไงล่ะ?” เกาก้วนถามเสียงเรียบ
“เรื่องนี้จะทำอย่างสะเพร่าฉาบฉวยไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องสอบสวนก่อนแล้วค่อยว่ากัน!” เถิงเฟยตอบ
เกาก้วนเลิกคิ้วพร้อมทอดสายตามองไปไกล “ถ้าข้าไม่สืบสวนล่ะ? จอมพลเถิงดึงดันจะขัดขวางให้ได้เลยใช่มั้ย?”
“นับว่าขัดขวางไม่ได้หรอก เรื่องนี้ต้องขอคำชี้แนะจากราชันสวรรค์ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ ก่อนจะถึงตอนนั้น ถ้าไม่มีคำสั่งของข้า ข้าก็อยากจะเห็นว่าใครกันจะกล้าฆ่าคนซี้ซั้วต่อหน้าข้า!” เถิงเฟยที่ตะคอกเสียงต่ำเหล่ตามองเกาก้วนอย่างดุร้าย เผด็จการเต็มที่ หยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมาแล้ว
เกาก้วนที่จ้องมองตรงที่ไกลๆ สายตาไม่วอกแวก ผ้าคลุมบ่าสีดำเริ่มสะบัดเองโดยไร้ลม เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงห้ามว่า “จอมพลเถิง หลังจากหัวคนพวกนี้ร่วงลงพื้นแล้ว เรื่องราวก็จะผ่านไปเอง! ถ้าสืบสวนจนเจอผู้ที่อยู่เบื้องหลังคนพวกนี้จริงๆ เจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะลงโทษพวกขุนนางที่เคยสร้างผลงานไว้ หรือว่าจะให้ขุนนางที่เคยสร้างผลงานเอาไว้พวกนั้นรวมหัวกันหลอกตบตาเขาต่อไปดีล่ะ? จอมพลเถิง เรื่องราวถูกเปิดโปงออกมาแล้ว ใช้กระดาษคลุมดับไฟไม่ได้หรอก เรื่องบางเรื่องฝ่าบาทสามารถหลับตาข้างเดียวได้ แต่เรื่องบางเรื่องฝ่าบาททนจนทนไม่ไหวแล้ว ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าทำให้ฝ่าบาททำงานลำบากเลย!”
คำพูดนี้ทำให้เถิงเฟยหัวใจกระตุกวูบ สิ่งที่ทำให้เขาตกใจกว่านั้นก็คือ เขาพบว่าการตัดสัญญาณของที่นี่ถูกคลายตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เขาติดต่อราชันสวรรค์ได้แล้ว แต่ทางราชันสวรรค์ไม่ตอบอะไรเลย
หรือพูดได้อีกอย่างว่า มีความเป็นไปได้ว่าคนที่นี่จะเคยติดต่อกับภายนอกแล้ว เถิงเฟยหันขวับกลับมามองเกาก้วน นึกเชื่อมโยงได้ว่าก่อนหน้านี้เกาก้วนหลบเข้าไปในตำหนักครู่หนึ่ง ประกอบกับทางราชันสวรรค์ที่ชักช้าไม่มีการตอบกลับ บวกกับกับคำพูดของเกาก้วนเมื่อครู่นี้ ทำให้เขาถามอย่างตกตะลึงปนประหลาดใจทันที “นี่คือเจตนาของฝ่าบาทเหรอ?”
เกาก้วนเอียงหน้ามองมา แล้วทำสายตาดุร้ายพร้อมเตือนว่า “ในฐานะที่ข้าเป็นทูตขวาตรวจการของตำหนักสวรรค์ เมื่อพบคนท่ทำไม่ถูกต้อง ก็มีอำนาจที่จะประหารก่อนแล้วค่อยรายงาน! เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับฝ่าบาท เป็นเจตนาของข้าเอง และเป็นหน้าที่ของเกาคนนี้ด้วย ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเกาจะรับไว้คนเดียว จอมพลเถิงยังมีคำถามอะไรอีกมั้ย?”
เถิงเฟยจ้องเขาอย่างไม่ละสายตา มุมปากกระตุกอย่างรุนแรง เก็บระฆังดาราในมืออย่างเงียบๆ คำพูดดุดันที่เพิ่งพูดไปเมื่อครู่นี้ก็ต้องกัดฟันกลืนกลับไป เรื่องบางเรื่องทุกคนรู้ดีอยู่แก่ใจ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้ชัดเจนขนาดนั้น
เกาก้วนพลันหันกลับมา แล้วตะคอกสั่งจุยหย่วนที่หยุดชักช้าไปชั่วคราว “เจ้ายังรออะไรอยู่อีก? ประหาร!”
จุยหย่วนตกใจอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าเถิงเฟยที่เพิ่งพูดจาดุดันไม่มีความเห็นแย้งอะไรแล้ว เขายังจะกล้าพูดอะไรได้อีก จึงรีบกุมหมัดคารวะเอ่ยรับคำสั่งทันที “รับทราบ!”
เถิงเฟยถอนหายใจแล้ว แล้วบอกว่า “เกาก้วน อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้านะ ถ้าเจ้าเป็นแบบนี้ต่อไป คงจะไม่ได้มีจุดจบที่ดีอะไรหรอก ต้องมีสักวันที่เจ้าจะไม่ได้ตายดี ถึงตอนนั้นไม่มีใครช่วยพูดให้เจ้าหรอกนะ รวมทั้งฝ่าบาทด้วย!”
เกาก้วนกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่า “จุดจบของข้าจะเป็นอย่างไร ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าเตือนหรอก…ตราบใดที่ฝ่าบาทสามารถครองอำนาจได้อย่างมั่นคงตลอดไป ความเป็นความตายของเกาก้วนคนเดียวก็ไม่ควรค่าแก่การกังวล!”
เถิงเฟยกระตุกมุมปากอีกครั้ง พบว่าถ้าอยู่กับคนที่ไม่เห็นใจคนอื่นแบบนี้ ไม่ว่าจะพูดอะไรไปก็เปล่าประโยชน์!
ผ่านไปม่นาน ผู้เข้าร่วมทดสอบที่ปลอมแปลงผลงานก็ถูกลากมาไว้ริมหน้าผา ถูกกดให้คุกเข่าหันหน้าเข้าหาคนหลายแสนในแอ่งกระทะ
คนที่อยู่ข้างล่างเพิ่งจะนั่งลงได้ไม่นาน พอเห็นภาพเหตุการณ์บนภูเขาก็ทยอยกันลุกขึ้นมาอีก ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พากันเบิกตากว้างมองขึ้นไป
“ประหาร!” พอจุยหย่วนที่อยู่บนหน้าผาออกคำสั่ง
ร้อยคนที่ถูกจับกดให้นั่งคุกเข่าอยู่ริมหน้าผาก็ยังไม่ทันรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร มีคนหันกลับไปมอง พบว่าดาบที่ใช้ตัดหัวยกสูงขึ้นแล้ว เรียกได้ว่าตกใจแทบแย่ ยังไม่ทันได้กรีดร้องด้วยซ้ำ ท่ามกลางเสียงอุทานตกใจของคนข้างล่าง มีเสียงฉึกๆ ดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
ชั่วพริบตานั้น ศีรษะของคนจำนวนหนึ่งร้อยโดนฟันปลิวตกลงมาด้านล่างหน้าผา เลือดร้อนๆ หลายสายพุ่งขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง
คนหลายแสนที่อยู่ด้านล่างภูเขาแตกตื่น เหมียวอี้มองภาพเหตุการณ์ด้านบนอย่างตะลึงค้าง
เชือกมัดเซียนร้อนเส้นถูกเก็บ เพชฌฆาตหนึ่งร้อยคนเตะหนึ่งที ทำให้ศพที่ยังมีเลือกทะลักหล่นลงด้านล่างยอดเขา เปลี่ยนตัวนักโทษอีกชุดจำนวนร้อยคนให้มานั่งเรียงแถวคุกเข่าตรงริมหน้าผา
เมื่อเห็นว่าเอาจริงแล้ว เห็นว่าต้องการจะประหารพวกเขาจริงๆ คนที่อยู่ข้างหลังก็เริ่มอยู่สงบไม่ได้ เมื่อเผชิญหน้ากับความตาย ไม่ว่าภูมิหลังวงศ์ตระกูลอะไรก็กลายเป็นของจอมปลอมไปหมด พวกเขาตกใจจนขวัญกระเจิงแล้วจริงๆ
“โปรดไว้ชีวิต!”
“ข้าสำนึกผิดแล้ว!”
“ประหาร!” ท่ามกลางเสียงร้องขอชีวิต จุยหย่วนออกคำสั่งอีกครั้ง
ตรงริมหน้าผามีเลือดร้อนๆ พุ่งออกมาเต็มไปหมด มีศีรษะอีกร้อยใบปลิวตกลงข้างล่าง
กลุ่มคนข้างหลังที่ยังไม่โดนประหารก็ตกใจจนร้องขอชีวิตดังเป็นแถบ ดิ้นรนเอาชีวิตรอดอยู่อย่างนั้น แต่พลังอิทธิฤทธิ์ถูกระงับควบคุมไว้ คนที่เฝ้าพวกเขาใช้พลังอิทธิฤทธิ์นิดหน่อยก็สามารถกดให้พวกเขาขยับไปไหนไม่ได้แล้ว ถ้าคิดจะหนีก็เป็นไปไม่ได้เลย
“ปล่อยข้านะ! เกาก้วน เจ้ารู้มั้ยว่าพี่เขนของข้าเป็นใคร?”
“พวกเราทำอะไรผิดกันแน่ ทำไมไม่สอบสวนก่อน?”
“ขุนนางโจรเกาก้วน เจ้าใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว เจ้าต้องไม่ตายดี!”
“นี่เป็นการใส่ร้าย! โจรสุนัขเกาก้วน เจ้ากำลังใส่ร้ายข้า! จอมพลเถิง ใจคนอยู่ที่ไหน ความยุติธรรมอยู่ที่ไหน?”
“เกาก้วน เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาฆ่าพวกเรา? ข้าอยากเห็นคำสั่ง ถ้าไม่มีคำสั่งประหารชีวิต เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ฆ่าพวกเรา จอมพลเถิงได้โปรดรักษาความยุติธรรม!”
เมื่อเห็นว่าขอร้องแล้วไม่ได้ผล คนแต่ละกลุ่มที่ถูกลากไปประหารก็เรียกได้ว่าทั้งด่าทั้งถาม
เกาก้วนคุ้นชินกับสิ่งเหล่านี้จนกลายเป็นเรื่องปกติแล้ว สีหน้าเรียบนิ่งเหมือนลูกคลื่นที่สงบ มองด้วยความเย็นชา
“ลุงเขย! ช่วยข้าด้วย! ช่วยข้าด้วย! ลุงเขย! ข้าคือชิงเยี่ยนไง รีบช่วยข้าสิ ลุงเขย ข้าไม่อยากตาย…” ในที่สุดเสียงกรีดร้องของหลัวชิงเยี่ยนก็ดังขึ้น ตอนนี้มาบอกว่าเสียใจทีหลังก็สายไปแล้ว กำลังโดนคนลากไปที่ริมหน้าผา นางร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรพร้อมแหกปากตะโกนเรียกเถิงเฟยที่ยืนอยู่บนบันได
ได้แต่มองหลัวชิงเยี่ยนโดนจับกดไปนั่งคุกเข่าที่ริมหน้าผา จอมพลเถิงกัดริมฝีปากแน่น สองมือกำหมัดแน่น หลับตาลงสองข้าง ทนมองต่อไปไม่ไหวแล้ว
เสียง ‘ฉึก’ ดังต่อเนื่องครั้งแล้วครั้งเล่า เถิงเฟยลืมตามองโดยจิตใต้สำนึก หลัวชิงเยี่ยนที่หน้าตางดงามไม่ธรรมดาไร้ศีรษะไปแล้ว ทั้งคอเต็มไปด้วยเลือดอุ่นร้อนที่กำลังทะลักขึ้นมา ร่างไร้ศีรษะถูกคนเตะลงเขาไปแล้ว ใต้ดาบประหารไม่เคยอ่อนโยนกับสาวงามเลยสักนิด ไม่สนว่าเจ้าจะเป็นสาวงามหรือไม่ ไม่สนว่าตอนมีชีวิตเจ้ายังได้รับความรักมากขนาดไหน ทันทีที่ลงดาบ ศีรษะก็กระเด็นไปแล้ว ตายไปแล้วอีกคน!
สามงามที่โดนตัดหัวประจานตรงนั้นไม่ได้มีแค่หลัวชิงเยี่ยนคนเดียว คนที่สวยกว่าหลัวชิงเยี่ยนก็มี แต่จนใจที่ความสวยทำให้ได้เปรียบเฉพาตอนมีความรัก แต่ไม่มีค่าเมื่ออยู่ที่นี่
หนึ่งพันแปดสิบแปดคน ประหารต่อเนื่องกันสิบชุด ประหารจนครบหมดแล้ว
“นายท่าน ประหารครบหมดแล้วขอรับ!” จุยหย่วนหันกลับมากุมหมัดรายงานผลงาน
กลุ่มคนที่อยู่บนหน้าผามองไปที่เกาก้วนด้วยสายตาที่รู้สึกขวัญหนีดีฝ่ออย่างเห็นได้ชัด ศีรษะของลูกหลานผู้มีอำนาจมากมายขนาดนี้ ยังไม่ทันประกาศข้อหาก็ตัดทิ้งไปแบบนี้เลยน่ะเหรอ? โค่วเหวินชิงที่อยู่ในกลุ่มนั้นได้เห็นศีรษะของลูกหลานผู้มีอำนาจมากมายขนาดนี้เป็นครั้งแรก ทำให้นางรู้สึกหนาวๆ ที่คอ อยากจะรีบหลบให้ไกลจากเกาก้วน
เกาก้วนพยักหน้าเบาๆ ทำเหมือนไม่เคยเกิดเรื่องอะไรมาก่อน เพียงกล่าวเสียงเรียบว่า “เรียบเรียงผลการทดสอบเดี๋ยวนี้ หลังจากผลคะแนนออกมาแล้ว ก็ติดประกาศทันที ถ้ามีข้อสงสัยเกี่ยวกับอันดับก็อนุญาตให้แถลงแก้ข้อกล่าวหาได้ตรงนั้นเลย!”
“ขอรับ!” จุยหย่วนเอ่ยรับคำสั่งแล้วจัดการอย่างรวดเร็ว
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น