ลำนำบุปผาพิษ 1245-1252
บทที่ 1245 เหตุใดอารมณ์จึงฉุนเฉียวถึงเพียงนี้
หลานจิ้งอี๋กลับไม่เกรงกลัวเขาเลย ร้องเฮอะคราหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “นางแล่นไปวางท่ากำเรบเสิบสานถึงวังเงือกของพวกเรา แล้วทำไมจะโทษนางไม่ได้? เดิมทีนางก็ไม่คู่ควรกับพี่เขยอยู่แล้ว นาง…”
วาจาของนางยังกล่าวไม่จบ จู่ๆ ภายในห้องโถงก็มีแสงสีขาวสายหนึ่งวาบขึ้นมา ตามมาด้วยเสียงหวีดร้องของหลานจิ้งอี๋…
กู้ซีจิ่วซ่อนอยู่พุ่มไม้ มองเห็นลำแสงสีขาวสายนั้นห่อหุ้มหลานจิ้งอี๋ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า หายไปในชั่วพริบตา
“พี่หวง!” ประมุขเงือกร้องออกมา
“วังค้ำนภาของข้าไม่ต้อนรับคนที่ไม่ให้เกียรติว่าที่ฮูหยินของข้า ข้ายอมนางไปแล้วครั้งหนึ่ง จะไม่ยอมนางเป็นครั้งที่สองอีก” น้ำเสียงตี้ฝูอีเยียบเย็นลงแปดองศา “นับแต่นี้ไป วังค้ำนภาไม่อนุญาตให้นางเข้ามาอีก”
ประมุขเงือกนิ่งไปครู่หนึ่ง “พี่หวง…”
“เอาล่ะ ขอบใจมากที่เจ้านำมุกคงโฉมมาส่งให้ด้วยตัวเอง เจ้าก็ไปได้แล้วล่ะ” ตี้ฝูอีพูดจาไม่ค่อยไว้ไมตรีนัก
ประมุขเงือกจนปัญญา ทอดถอนใจพลางกล่าว “พี่หวง ถึงแม้มุกคงโฉมจะมีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม สามารถรักษาสภาพร่างนี้ให้มีชีวิตอยู่ได้ แต่สุดท้ายแล้วก็สู้วังเงือกมิได้ ภายในโลงเงือกของวังเงือกสิถึงจะเป็นแหล่งหล่อเลี้ยงที่ดีที่สุด ถ้าส่งร่างไปที่นั่น จะทำให้ร่างนี้ยอดเยี่ยมขึ้นกว่าเดิม ไม่แน่นะถ้าให้มันนอนอยู่ที่นั่นอาจบรรลุพลังวิญญาณขั้นเก้าได้ภายในสามปี…”
“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา” ตี้ฝูอีเอ่ยเรียบๆ
ประมุขเงือกนิ่งไปครู่หนึ่ง “ก็ใช่ ดวงวิญญาณของพี่หญิงยังเป็นเพียงเสี้ยววิญญาณอยู่ ต้องตามหาดวงวิญญาณที่เหลือของนางแล้วค่อยว่ากันอีกที”
เขาถอนหายใจอีกครั้ง “พี่หวง เรื่องในปีนั้นท่านไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองจนเกินไป เดิมทีพี่หญิงก็ชอบท่านอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ว่านางต้องจ่ายค่าตอบแทนอะไรนางก็ยินยอมพร้อมใจทั้งนั้น ตอนนั้นท่านก็พยายามสุดความสามารถแล้วเหมือนกัน เดิมทีพวกเราชาวเงือกเมื่อสิ้นดวงวิญญาณก็จะดับสลายไปทันที เป็นท่านที่ใช้วิชาต้องห้ามฝืนเหนี่ยวรั้งเสี้ยววิญญาณนางไว้ ทำให้ดีร้ายอย่างไรพวกเราก็ยังมีความหวังอยู่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าดวงวิญญาณส่วนที่เหลือของนางอยู่แห่งหนตำบลใด…เวลาก้ล่วงเลยมาจนป่านนี้แล้ว ยังหาวิญญาณส่วนที่เหลือของนางไม่พบเลย…ไม่รู้ว่าภายหน้าจะหาพบหรือไม่ ยามนี้มีร่างกายแล้ว ขาดเพียงหาดวงวิญญาณของนางมาเติมเต็มเท่านั้น”
ตี้ฝูอีไม่ได้ตอบรับวาจาเขา “เจ้าพล่ามพอหรือยัง? รีบไสหัวไปได้แล้ว!”
“พี่หวง วันนี้ดูเหมือนท่านจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนะ เหตุใดอารมณ์จึงฉุนเฉียวถึงเพียงนี้…ก็ได้ๆ ข้าไปแล้ว ข้าจะไสหัวไปแล้ว” แสงสีฟ้าสายหนึ่งพุ่งฉิวออกมาจากตำหนัก และพุ่งหายลับไปในอากาศ
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ตี้ฝูอีก็เดินอกมาจากตำหนัก
ดูเหมือนเขาจะมีเรื่องหนักใจอยู่บ้าง มองตำหนักน้ำแข็งอย่างใจลอยอยู่สักพัก ถึงได้อ้อมไปยังสวนหลังตำหนักน้ำแข็ง เรียกเจ้าหอยยักษ์กับลู่อู๋น้อยออกมา สั่งการให้พวกมันดูแลโลงแก้วผลึกในตำหนักน้ำแข็งดีๆ ซ้ำยังบอกเรื่องที่ควรระวังบางส่วนอย่างละเอียดด้วย แล้วถึงหันหลังจากไป
ตำหนักน้ำแข็งกลับสู่ความเงียบสงบเช่นที่ผ่านมา
ไม่ทราบเช่นกันว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว กู้ซีจิ่วได้ปรากฏตัวขึ้นนอกประตูตำหนักน้ำแข็งอีกครั้ง
ตำหนักน้ำแข็งหลังนี้เดิมทีก็หนาวเย็นกว่าที่อื่นอยู่แล้ว อีกทั้งยามนี้เป็นฤดูหนาว ย่อมหนาวเย็นมากว่าเดิมเป็นธรรมดา
กู้ซีจิ่วยืนอยู่ตรงนั้น รู้สึกเพียงว่าร่างกายหนาวยะเยือกขึ้นมาเป็นพักๆ มือเท้าเย็นเฉียบดั่งมิใช่ของตน
เห็นได้ชัดว่าบทสนทนาก่อนหน้านี้ของสามคนนี้กระทบกระเทือนเธอไม่น้อย เธอไม่รู้ว่าควรมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไรไปชั่วขณะ ในสมองว่างเปล่าขาวโพลนไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าควรพุ่งออกไปถามตรงๆ ดีไหม หรือว่าสังเกตการณ์เงียบๆ ไปสักระยะก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ในสมองเธอมีเสียงดังหึ่งๆ คิดหาต้นสายปลายเหตุไม่ออกไปชั่วครู่ โชคดีที่ปฏิกิริยาตอบสนองของเธอยังคงเฉียบไวยิ่งนัก ตอนที่ประมุขเผ่าเงือกจะออกมาเมื่อครู่นี้ เธอเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่อื่นได้ทันเวลา ถึงไม่ถูกสามคนนั้นจับสัมผัสได้
เธอสงบใจอยู่ในพุ่มไม้พักใหญ่ พยายาข่มกลั้นอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจอย่างสุดความสามารถ ใคร่ครวญว่าตัวเองควรทำยังไงดี?
————————————————————————————-
บทที่ 1246 เป็นเพียงการตัดชุดวิวาห์ให้ผู้อื่นหรือ?
ตี้ฝูอีไม่ยินดีสลับร่างคืนให้เธอ นี่เป็นเรื่องที่เธอรู้อยู่นานแล้ว เธอนึกมาโดยตลอดว่าเป็นเพราะพลังวิญญาณของเขายังไม่พอถึงเป็นเนนี้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้นแล้ว
เรื่องบางอย่างไม่ควรรู้ให้ละเอียด เพราะเมื่อรู้อย่างละเอียดแล้วจะหวาดหวั่นยิ่งนัก!
ยกตัวอย่างเช่นก่อนที่เธอจะทะลุมิติมา ตี้ฝูอีก็ได้หมั้นหมายกับกู้ซีจิ่วน้อยในวัยแบเบาะไว้นานแล้ว แน่นอนว่าการแต่งงานนั้นมีเงื่อนไขอยู่ แต่ก็เป็นการหมั้นหมายจริงๆ มิใช่หรือ?
ด้วยนิสัยเช่นนี้ของตี้ฝูอี ไหนเลยจะยอมใช้เรื่องสมรสของตนมาชดใช้หนี้น้ำใจของหลัวซิงหลานได้?
บางทีอาจเป็นเพราะร่างนี้มีกลิ่นอายคล้ายคลึงกับประมุขเผ่าเงือกที่ล่วงลับไปแล้วผู้นั้น เขาถึงจงใจทำเช่นนี้
อย่างเช่นตี้ฝูอีรู้จักเธอได้ไม่นานก็ตามพัวพันเธอไม่ยอมเลิกรา คิดสารพัดวิธีเพื่อเอาเธอไปโยนเข้าป่าทมิฬเพื่อฝึกฝนประสบการณ์ ซ้ำยังแปลงกายเป็นซือเฉินมาพิทักษ์อยู่ข้างกายเอด้วย สิ่งที่เขาปกป้องในตอนนั้นน่าจะเป็นร่างกายนั้นกระมัง?
เธอไม่ใช่สานุศิษย์สวรรค์ ทว่าเขากลับใช้เส้นสายบีบให้เธอเข้าศึกษาที่สำนักศึกษาชุมนมสวรรค์ ใช้ท่าทางปกป้องคุ้มครองทำให้เธอยืนหยัดอยู่ในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์อย่างมั่นคง กดดันให้เธอฝึกฝนอยู่เสมอ สรรหาวิธีให้เธอฝึกฝนได้รวดเร็ว เมื่อเธอบรรลุขั้นเขาจึงดีใจยิ่งกว่าเธอเสียอีก…
เธอกับตี้ฝูอีตัดสินใจครองคู่กันชั่วชีวิตในวังบาดาล ข้อมือเธอมีกำไลคู่บุพเพเพิ่มขึ้นมา
ยามนี้กำไลคู่บุพเพวงนั้นยังอยู่ที่ร่างเดิม ผู้ใดก็ถอดออกไม่ได้
มีเพียงคนที่ฟื้นคืนชีพขึ้นในร่างนั้นเท่านั้น ถึงจะใช้สอยกำไลคู่บุพเพวงนั้นได้ ดูเหมือนตี้ฝูอีจะวางแผนไว้แล้ว คิดจะใช้ร่างเดิมนั้นฟื้นคืนชีพให้ประมุขหญิงเผ่าเงือกนางนั้น
เช่นนี้กำไลวงนี้มิกลายเป็นกำไลของประมุขหญิงเผ่าเงือกไปด้วยหรือ? นางในดวงใจที่เขาอยากหมั้นหมายด้วยจริงๆ คือประมุขหญิงเผ่าเงือกคนนั้น…
จากที่ได้ยินบทสนทนาของสามคนนั้น ตี้ฝูอีกับประมุขหญิงเผ่าเงือกนางนั้นเคยหมั้นหมายกันมาก่อน มิเช่นนั้นหลานจิ้งอี๋คงไม่เรียกเขาว่าพี่เขยอย่างเต็มปากเต็มคำ และเขาก็ไม่ได้บอกปัดด้วย
ชาติก่อนเขากับประมุขหญิงเผ่าเงือกก็เป็นคู่หมั้นกัน เมื่อประมุขหญิงเผ่าเงือกฟื้นคืนชีพอีกครั้งทั้งสองคนก็ยังเป็นคู่หมั้นกันเหมือนเดิม…
กู้ซีจิ่วมองดูมือตน สัมผัสได้พียงว่าทรวงอกตนมีโลหิตอุ่นร้อนซัดโหมขึ้นมาเป็นระลอก
ที่แท้เขาก็แค่ใช้เธอฝึกฝนสังขารนั้นให้บรรลุพลังวิญญาณขั้นแปด ยามนี้สังขารนั้นบรรลุพลังวิญญาณขั้นแปดแล้ว นับว่าบรรลุตามความต้องการของเขาแล้ว ย่อมไม่ใช้ฝึกฝนสังขารนนั้นอีกต่อไป
ดังนั้นเขาจึงหาสารพัดเหตุผลมาปฏิเสธคำขอเปลี่ยนกลับร่างเดิมของเธอ ถึงขั้นไล่หลงซือเย่ที่มาช่วยเธอสลับร่างคืนกลับไป ไม่อนุญาตให้เธอติดต่อกับหลงซือเย่อีก
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้สินะ? เป็นแบบนี้ใช่ไหม?
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว ตั้งแต่เกิดจนตายตนวุ่นวายมายาวนานถึงป่านนี้ เป็นเพียงการตัดชุดวิวาห์ให้ผู้อื่นหรือ? เป็นแค่ตัวฟาร์มเวลตัวหนึ่งสินะ?!
แต่ว่าชีวิตขอเธอไม่ใช่เกมออนไลน์ ไม่ง่ายเลยกว่าเธอจะฝึกฝนร่างกายออกมาได้และไม่ใช่แอคเคาท์ที่ทิ้งร้างไปแล้วด้วย อาศัยสิ่งใดถึงประเคนให้คนอื่นเช่นนี้?!
ก็ใช่ที่ตอนนี้เธอมีร่างอื่นแล้ว อีกทั้งร่างนี้ก็แข็งแกร่งกว่ามาก และสอดคล้องกับดวงวิญญาณของเธอยิ่งนัก ถึงขึ้นที่เขายังคงอยากแต่งงานกับเธอ แถมยังเตรียมข้าวของไว้มากมายถึงเพียงนั้นด้วย
แต่ว่า วินาทีที่ความเผยออกมาสู่สายตา เธอก็อดไม่ได้ที่จะไม่พอใจขึ้นมา!
หากว่าหลงฟั่นไม่ได้สร้างร่างโลนนิ่งร่างนี้ขึ้นล่ะ?
เช่นนั้นเมื่อเธอฝึกฝนร่างนั้นจนบรรลุขั้นที่เพียงพอแล้ว เขาจะยังคงหาวิธีขับไล่ดวงวิญญาณของเธอออกมาหรือเปล่า? ในยุคนี้การสิงสู่ร่างนั้นยากเย็นนัก เมื่อเธอหลุดจากร่างเดิมแล้ว เกรงว่าจะไปสิงสู่ร่างอื่นไม่ได้อีกแล้ว เช่นนั้นก็มีแต่ต้องเป็นวิญญาณเร่ร่อนแล้ว
แน่นอน ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเห็นแก่ความเหนื่อยยากของเธอ จัดสรรให้เธอไปเกิดใหม่ในครรภ์ที่ดีอีกครั้ง…
อารมณ์ด้านลบนับไม่ถ้วนปานคลื่นสมุทร ซัดถาโถมอยู่ในทรวงของเธอ ร่างกายเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวเป็นพักๆ เธอนั่งอยู่ในพุ่มไม้นั้นบังคับให้ตัวเองสงบใจแล้วสงบใจอีก
————————————————————————————-
บทที่ 1247 เธอก้าวข้ามอุปสรรคภายในใจต่อไปไม่ได้แล้ว
ในสถานการณ์ที่โลหิตอุ่นร้อนพวยพุ่งสู่ยอดศีรษะเช่นนี้ เธอจะทำเรื่องที่ไม่มีเหตุผลออกมาได้ง่ายนัก
เธอนั่งอยู่ตรงนั้นตากลมเย็นๆ อยู่พักหนึ่ง หลังจากโทสะขุ่นเคืองในตอนแรกสุดผ่านพ้นไป เธอก็ค่อยๆ ใคร่ครวญตามปกติอีกครั้ง
ตี้ฝูอีมีความรู้สึกต่อเธอ และเป็นความรู้สึกที่ลึกล้ำนัก นี่ไม่ใช่เรื่องไม่อาจปฏิเสธได้
มิเช่นนั้นตอนที่เธอถูก ‘เย่หงเฟิง’ แทงจนวิญญาณออกจากร่าง สังขารนั้นฝึกฝนถึงขั้นแปดแล้ว นับว่าบรรลุตามความประสงค์ของตี้ฝูอีแล้ว
และตอนที่เธอถูกขังไว้ในวังใต้พิภพของหลงฟั่น ถ้าหากเขาไร้เยื่อใยกับเธอ ก็ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายที่หนักหนาถึงเพียงนั้นเพื่อไปช่วยเลย สถานการณ์เช่นนั้นมีโอกาสตายมากกว่ารอดจริงๆ ไม่ใช่การเล่นละคร
ถ้าหากเขาไม่ชอบเธอ ก็คงไม่สมัครใจแต่งกับเธอ ให้เธอเป็นนายหญิงของวังค้ำนภา ซ้ำยังตอบรับข้อเรียกร้องสารพัดของเธอ ทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกรักใคร่เอ็นดูเทียมฟ้า
เพียงแต่เธอไม่รู้ว่าการกระทำเช่นนี้ของเขาเป็นเพราะชอบเธอจริงๆ หรือเป็นเพราะรู้สึกผิดที่ใช้ประโยชน์จากเธอ ดังนั้นจึงใช้สิ่งนี้มาชดเชยให้ใช่ไหม? หรือเป็นเพราะทั้งสองอย่างเลย?
ไม่แน่เขาอาจจะรักเธอด้วยใจจริงเหมือนกันกระมัง?
หักใจทำร้ายเธอไม่ลง ด้วยเหตุนี้ถึงให้โอสถล้ำค่ากับเธอมากมายถึงเพียงนั้น บังคับให้เธอฝึกฝนอย่างบ้าคลั่ง ก็เพื่อให้ร่างนี้เข้ากับดวงวิญญาณของเธออย่างแท้จริง นี่ก็เป็นการชดเชยอย่างหนึ่งจริงๆ ชดเชยหนึ่งได้ถึงสอง
ไม่แน่ในใจเขาอาจจะอยากเก็บไว้ทั้งสองคนเลยก็ได้ หาร่างคืนชีพให้อดีตคู่หมันของเขา และทำให้กู้ซีจิ่วมีร่างกายเป็นของตัวเอง
จะคนไหนก็ไม่สูญเสียไปทั้งนั้น เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ!
ไอแสบเคืองพวยพุ่งออกมา โจมตีจมูกเธอให้แสบร้อนอยู่บ้าง กระบอกตาร้อนผะผ่าว
เธอยกมือนวดดวงตา เงยหน้ามองฟ้า
คืนนี้เป็นวันชูอู่[1] มีเพียงจันทร์เสี้ยวสลัวเลือนรางแขวนอยู่ตรงขอบฟ้า
เธอนวดดวงตาอีกครั้ง อยากจะนวดเอาความแสบเคืองนั้นทิ้งไป เธอรู้สึกว่าทรวงอกของตนไม่กว้างขวางเลยสักนิด ตี้ฝูอีอยากเก็บเอาไว้ทั้งสองคนเช่นนี้ทำให้เธอไม่อาจโอนอ่อนผ่อนตามได้ ถึงขั้นที่รับไม่ได้เลยด้วย!
เธอรู้สึกว่าเธอต้องค่อยเป็นค่อยไป ต้องพิจารณาให้ดีๆ ว่าควรจะทำยังไงต่อไป
ตอนที่เธอโกรธเคืองขึ้นมาเมื่อครู่นี้ ปฏิกิริยาแรกก็คืออยากพุ่งออกไปทำลายร่างเดิมทิ้งซะ! ต่อให้เธอใช้ไม่ได้ก็ไม่คิดจะผู้อื่นได้ไปง่ายๆ อีก! เธออยากทำให้ตี้ฝูอีรวมถึงชาวเงือกสองตนนั้นคว้าน้ำเหลวทั้งสองทาง…
คิดจะหลอกใช้เธอเป็นตัวฟาร์มเวลใช่ไหม? พอฝึกฝนจนบรรลุขั้นสูงแล้วก็คิดจะถีบหัวส่งเธอใช่ไหม? ในเมื่อไม่มีหนทางแล้ว งั้นเธอจะกำจัดทิ้งซะ!
แต่หลังจากใจเย็นลง เธอก็นึกถึงเรื่องที่ตี้ฝูอีปฏิบัติต่เธอเป็นอย่างดี เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายสารพัดเพื่อเธอ หลายครั้งที่ช่วยเธอกลับมาจากประตูยมโลก ถึงขั้นที่อยากแต่งกับเธอ…
ถึงแม้เขาจะใช้เธอเป็นตัวฟาร์มเวล แต่ก็ชดใช้ให้เธอไปด้วยในขณะเดียวกัน เมื่อพบว่าเธอมีไอดีรอง[2] แถมไอดีรองนี้ยังมีศักยภาพสูงด้วย ดังนั้นเขาจึงทุ่มเทกายใจช่วยเธอฝึกฝนไอดีรองอันนี้ให้กลายเป็นไอดีที่เก่งกาจ ไม่ด้อยไปกว่าไอดีเก่าเลย ดูเหมือนจะปฏิบัติเธออย่างเหมาะสมยิ่งนัก
หากมิใช่เพราะเขา ไม่แน่ว่าเธออาจจะผสมผสานเข้ากับเกมนี้ไม่ได้เลย ตอนนี้ที่เธอสามารถใช้ชีวิตอย่างราบรื่นถึงเพียงนี้ได้ เป็นความดีความชอบของเขาไปแล้วกว่าครึ่ง…
เขาทุ่มเทอย่างหนักกว่าจะสร้างสังขารที่น่าพอใจเช่นนั้นออกมาได้ หากว่าเธอทำลายทิ้งไปเช่นนี้ดูเหมือนจะใจแคบไปหน่อย…
เธอหลับตาลงเล็กน้อย หัวเราะขื่นๆ คราหนึ่ง เอาเถอะ!
อันที่จริงก็นับว่าเขาไม่ลืมบุญคุณของเธอแล้ว เช่นนั้นเธอก็ไม่ควรจะทำเกินเหตุไป เธอจะประเคนสังขารนั้นให้ผู้อื่นก็แล้วกัน! เป็นการชดใช้หนี้น้ำใจของเขา
เพียงแต่งานแต่งนี้เธอรู้สึกว่าไม่อาจจัดได้แล้ว…
วินาทีที่ได้รู้ความจริง เธอก็ก้าวข้ามอุปสรรคภายในใจต่อไปไม่ได้แล้ว
เธอนวดคลึงหว่างคิ้ว รู้สึกว่าตนน่าสมเพชยิ่งนักจริงๆ
ชาติก่อนเป็นแหล่งสำรองอวัยวะของผู้อื่น เป็นอาวุธสังหาร หลงซีเข้าใกล้เธอเพื่อเย่หงเฟิง
————————————————————————————-
บทที่ 1248 น่าจะถือเป็นการชดเชยที่ล้นเหลือแล้วกระมัง?
ชาตินี้ก็เป็นตัวช่วยผู้อื่นฝึกฝนยกระดับสังขารอีก ตี้ฝูอีให้ความสำคัญกับเธอเพราะประมุขหญิงเผ่าเงือก…
ดูเหมือนเธอจะต้องตัดชุดวิวาห์ให้ผู้อื่นอยู่ร่ำไปสิน่า!
เธอตบแก้มตัวเองเบาๆ ใบหน้านี้ของตนเหมือนเหลยเฟิงหรือไง?
….
นั่งตากลมเย็นๆ อยู่ในพุ่มไม้กว่าครึ่งชั่วยาม ถึงได้ลุกขึ้นมา ใช้วิชาเคลื่อนย้ายตรงไปที่ตำหนักน้ำแข็งหลังนั้น
จากนั้นก็พบว่าตำหนักน้ำแข็งมีข้าวของเพิ่มขึ้นจากเมื่อไม่กี่วันก่อนเล็กน้อย
สี่ทิศของตำหนักน้ำแข็งมีรูปสลักน้ำแข็งสี่ชิ้น มังกรเขียว พยัคฆ์ขาว หงส์แดง เต่าดำ
รูปสลักน้ำแข็งสี่ชิ้นเสมือนเทพเฝ้าประตู ตั้งอยู่รอบโลงแก้วผลึก ก่อตัวเป็นค่ายกลอย่างหนึ่งตามธรรมชาติ
ร่างเดิมของเธอนอนสงบนิ่งอยู่ในโลงตรงนั้น สีหน้าดุจยังมีชีวิตอยู่ ในปากคาบไข่มุกที่เจือแสงสุกสกาวไว้ จะต้องเป็น ‘มุกคงโฉม’ ที่ประมุขเผ่าเงือกพูดถึงก่อนหน้านี้เป็นแน่ มีมุกเม็ดนี้อยู่ร่างนี้จะคงสภาพทุกอย่างไว้เหมือนมีชีวิตอยู่ ไม่จำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณของพวกเจ้าหอยยักษ์คุ้มครองแล้ว…
กู้ซีจิ่วเคลื่อนย้ายเข้ามกะทันหัน ทำให้พวกเจ้าหอยยักษ์สะดุ้งโหยง เมื่อเห็นชัดเจนว่าเป็นกู้ซีจิ่ว เจ้าสามตัวนี้ก็ถลาเข้ามาพร้อมกัน “เจ้านาย!”
“เจ้านาย ท่านมาได้ยังไง? มิใช่ว่าท่านต้องออกเรือนกับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายหรอกหรือ? มิใช่ว่าต้องแยกกับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายครึ่งเดือนหรอกหรือ? ในวันแต่งงานถึงจะพบหน้ากันได้มิใช่หรือ? ทำไมจู่ๆ ถึงวิ่งมาได้ล่ะ? คิดถึงเขาสินะ? หรือว่าคิดถึงพวกเรา?” เจ้าหอยยักษ์พ่นคำถามออกมาประหนึ่งกระสุนปืนใหญ่ก็มิปาน
กู้ซีจิ่วตบหัวเจ้าหอยยักษ์เบาๆ “มาเยี่ยมพวกเจ้า”
เจ้าหอยยักษ์เอ่ยอย่างเสียดายว่า “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเพิ่งจากไปเมื่อครู่เอง หากท่านมาเร็วกว่านี้อีกนิดก็จะได้พบเขาแล้ว”
กู้ซีจิ่วยิ้มแวบหนึ่ง “เจ้าโง่ ข้ามาที่นี่เพื่อมาเยี่ยมพวกเจ้าเท่านั้น”
เมื่อเห็นลู่อู๋หมอบอยู่บนแขนตนอย่างแนบชิดสนิทสนม จึงลูบไล้ขนบนร่างมัน “ไม่เจอกันไม่กี่วัน อ้วนขึ้นไม่น้อยเลยนะ”
ลู่อู๋ร้องออกมาสองครา เลียฝ่ามือเธอ
เจ้าหอยยักษ์เป็นจอมพูดมากตัวหนึ่ง พูดจ้ออยู่ด้านข้าง “เจ้านาย ท่านเห็นไหมร่างเดิมของท่านงดงามและมีชีวิตชีวามากกว่าเดิม? นี่เป้นมุกคงโฉมที่ประมุขเผ่าเงือกนำมาส่งให้ด้วยตัวเองเมื่อกี้เลย! นี่เป็นสมบัติล้ำค่า สามารถรักษาร่างกายไว้นสภาพเดิมได้ ซ้ำยังชำระล้างเส้นเอ็นได้ รักษาพลังวิญญาณให้โคจรตามปกติได้ เสมือนนั่งสมาธิ ไม่ต้องใช้พลังวิญญาณของพวกข้าหล่อเลี้ยงแล้ว”
จากนั้นก็ใช้ฝาหอยหนีบกระโปรงกู้ซีจิ่วไว้แล้วดึงไปที่ด้านหน้ารูปปั้นพวกนั้น “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายบอกว่านี่เป็นสัตว์เทพที่มีประโยชน์ในการชักนำพลังวิญญาณจากรอบข้างมา สุดท้ายแล้วทั้งหมดก็จะถูกหล่อเลี้ยงให้โลงแก้วผลึกใบนี้”
กู้ซีจิ่วมองรูปปั้นเหล่านั้น ทราบว่าสัตว์ทั้งสี่เป็นตัวแทนของสี่ทิศ ถึงแม้เธอจะไม่เคยเห็นค่ายกลชนิดนี้มาก่อน แต่ก็สัมผัสได้ว่าตอนนี้พลังวิญญาณภายในตำหนักหนาแน่นขึ้น เพิ่มขึ้นมากกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย
มุกคงโฉม ค่ายกลรูปปั้น…
ดุเหมือนตี้ฝูอีจะให้ความสำคัญกับร่างกายนี้ยิ่งนักจริงๆ ทว่าน่าเสียดายที่ไม่ได้เตรียมไว้เพื่อเธอ แต่เตรียมไว้ให้ผู้หยิงอีกคนหนึ่ง อดีตคู่หมั้นของเขา…
กู้ซีจิ่วปฏิเสธไม่ให้ตัวเองคิดต่อไปอีก เธอไม่อยากแย่งชิงความโปรดปรานกับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว หากความรักมีลำดับก่อนหลังจริงดังว่า อดีตประมุขเผ่าเงือกผู้นั้นก็มาก่อน คนที่สมควรหึงหวงก็คืออดีตประมุขเผ่าเงือก ไม่ใช่ตัวเธอกู้ซีจิ่ว…
ในสนามรักนี้ เธอน่าจะนับได้ว่าเป็นมือที่สาม เพียงแต่ตัวเธอไม่เคยทราบมาก่อนก็เท่านั้น
ตี้ฝูอีชอบเธอ เธอรู้ดี
แต่เขาก็ชอบอดีตประมุขเผ่าเงือกเหมือนกัน บางทีนั่นสิถึงจะเป็นรักแท้ มิเช่นนั้นคงไม่มุมานะเสาะหาร่างกายที่เข้ากันได้มาหลายพันปีเพื่อคืนชีพให้นางหรอก…
เขาชอบพวกเธอทั้งสองคน เสมือนกุหลาบขาวกับกุหลาบแดง เขาล้วนชมชอบทั้งนั้น ไม่แน่ในใจของเขาตำแหน่งของพวกเธอทั้งคู่อาจจะไม่แตกต่างกันเลย
ดังนั้นเขาถึงรู้สึกว่าผิดต่อเธอ อยากแต่งกับเธอด้วยใจจริง น่าจะถือเป็นการชดเชยที่ล้นเหลือแล้วกระมัง?
————————————————————————————-
[1] วันชูอู่ วันที่ห้าของเทศกาลตรุษจีน จะเริ่มผ่อนคลายกฎต้องห้ามต่างๆ ที่ห้ามทำในช่วงตรุษจีน สามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติทำงานทำการหุงหาอาหารได้แล้ว
[2] ไอดีรอง มีที่มาจากเวลาสมัครเล่นเกมส์ออนไลน์ แอคเคาท์หลักที่แอคทีฟอยู่ตลอดจะเรียกว่าไอดีหลัก ส่วนไอดีรองก็คือแอคเคาท์ที่มีไว้แก้ขัด เผื่อเหลือเผื่อขาดเอาไว้ไม่ได้เล่นจริงจังอะไร
บทที่ 1249 คิดถึงแค่พวกมันไม่คิดถึงข้าบ้างหรือ?
แต่น่าเสียดายที่เธอไม่ปรารถนาการชดเชยแบบนี้ ต่อให้ฐานะของเธอสูงเทียบทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกับประมุขเผ่าเงือกไม่ได้ แต่เธอก็มีเกียรติของตัวเอง เรื่องความรักเธอต้องการเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่ต้องการเป็นเอ่อร์หวงหนี่ว์อิง[1]สองสตรีต้องมีสามีคนเดียวกัน
ถ้าตอนนี้เขาแต่งกับเธอ ก็นับว่าเขาชดใช้หนี้น้ำใจให้เธอแล้ว
เมื่อประมุขหญิงเผ่าเงือกผู้นั้นฟื้นขึ้นมา เขาที่รอคอยมาหลายพันปีไม่มีเหตุอะไรที่ต้องปล่อยไป ย่อมต้องแต่งเข้ามาเป็นแน่…
เมื่อถึงตอนนั้นเธอถึงจะตกอยู่ในโศกนาฏกรรมรักอย่างแท้จริง!
เธอจะไม่ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชเช่นนั้น ยินดีปล่อยมือจากลาตั้งแต่ยามนี้ ช่วยเหลือให้ความรักของพวกเขาได้สมหวัง
นี่คือสิ่งที่กู้ซีจิ่วคิดในขณะนี้
ในเมื่อที่นี่ไม่ต้องใช้พลังวิญญาณของพวกเจ้าหอยยักษ์หล่อเลี้ยงแล้ว เช่นนั้นเธอจะพาพวกมันสามตัวไปด้วย ด้วยเหตุนี้เธอจึงถามขึ้นทันที “พวกเจ้าอยากกลับไปกับข้าไหม?”
“อยาก!” เจ้าหอยยักษ์ตอบอย่างไม่ลังเลเลย อีกสองตัวก็ผงกหัวรัวๆ เช่นกัน
ถึงแม้ร่างเดิมของเจ้านายจะสำคัญยิ่งนัก แต่เจ้านายมีสังขารใหม่แล้ว ซ้ำยังงดงามถึงเพียงนี้ด้วย งดงามกว่าร่างเดิมนัก เจ้าหอยยักษ์จึงคิดว่าร่างเดิมของเจ้านายจริงๆ แล้วจะปกป้องหรือไม่ปกป้องก็ไม่สำคัญเท่าไหร่แล้ว อีกอย่างร่างเดิมนี้ก็มีมุกคงโฉมแล้ว ไม่จำเป็นต้องจำกัดอิสระของพวกมันให้คุ้มกันอยู่ที่นี่อีกแล้ว
พวกมันโหยหาหุบเขา! โหยหาการล่าสัตว์แล้ว!
“เจ้านาย หลังจากออกไปแล้วสามารถขึ้นเขาล่าสัตว์อะไรทำนองนั้นได้หรือไม่?” เจ้าหอยยักษ์ถามอย่างระมัดระวัง
“ได้สิ” กู้ซีจิ่วยิ้มน้อยๆ
เธอเพิ่งจะพาพวกเจ้าหอยยักษ์ทั้งสามก้าวออกมาจากประตูตำหนัก ในอากาศก็มีสายลมพัดโหมวูบหนึ่ง คนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาจากความว่างเปล่า ร่อนลงเบื้องหน้ากู้ซีจิ่วพอดี
กู้ซีจิ่วตกใจ ถอยหลังไปสองก้าว จิตใจปั่นป่วนถาโถมอย่างรุนแรงไม่กี่ครา “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย!”
ผู้ที่มาย่อมเป็นตี้ฝูอี ยากนักที่จะได้เห็นเขาอยู่ในชุดนอน เรือนผมยาวดั่งธารน้ำตกยุ่งเหยิงอยู่บ้าง เห็นได้ชัดว่ารีบรุดมาที่นี่
เมื่อเขาเห็นกู้ซีจิ่วเดินออกมาจากในประตู ก็มีท่าทางโล่งอก เข้ามาจูงเธอ “เหตุใดถึงมาที่อย่างไม่บอกไม่กล่าวสักคำเล่า? มาตั้งแต่เมื่อไหร่แล้ว?”
“อาวรณ์หาพวกมัน ก็เลยมาดูสักหน่อย เพิ่งมาถึง…” กู้ซีจิ่วสะกดอารมณ์ที่ปั่นป่วนแล้วเอ่ยตอบ
ตี้ฝูอีมองเธอ พูดหยอกเธอเล่น “คิดถึงแค่พวกมันไม่คิดถึงข้าบ้างหรือ?”
คิดถึงสิ! คิดถึงมาก ดังนั้นถึงได้หาข้ออ้างเพื่อมาที่นี่ นึกไม่ถึงเลยว่า…
กู้ซีจิ่วตอบไปว่า “ย่อมคิดถึงอยู่แล้ว” จากนั้นก็มีอาภรณ์ที่ดูไม่เรียบร้อยอยู่บ้างของเขา “ท่านรู้ได้ยังไงว่าข้ามาที่นี่?”
ตี้ฝูอีเงียบงัน
ถึงแม้เขาจะส่งนางกลับไปอยู่จวนแม่ทัพแล้ว แต่ก็ยังจัดวางองครักษ์เงาไว้ข้างกายนาง…
ให้องครักษ์เงาคุ้มครองความปลอดภัยของนาง ขณะเดียวกันก็จับตามองความเคลื่อนไหวของนางด้วย กันไม่ให้นางวิ่งซุกซนไปทั่ว
เมื่อครู่นี้เขาเพิ่งจะเข้านอน จะได้รับรายงานด่วนจากองครักษ์เงา บอกว่ากู้ซีจิ่วหายไปจากห้องนอนแล้ว เขาค้นหาดูจนทั่วจวนแม่ทัพก็ไม่พบร่องรอยของนางเลย…
วรยุทธ์ขององครักษ์เงาที่จับตามองผู้นั้นสูงส่งยิ่ง ยามที่เขาคุ้มกันคน แม้กระทั่งแมลงวันสักตัวก็อย่าหมายจะได้เข้าใกล้ร่างของผู้ที่ได้รับการคุ้มกัน ดังนั้นความเป็นไปได้ที่กู้ซีจิ่วจะถูกผู้อื่นลักพาตัวไปจึงเป็นศูนย์ นางมีความสามารถในการไปมาอย่างเงียบเชียบไร้ร่องรอยอยู่อย่างหนึ่ง นางใช้วิชาเคลื่อนย้ายหนีออกไปเอง!
เนื่องจากกู้ซีจิ่วหายไปจากห้องนอนในยามวิกาล องครักษ์เงาผู้นั้นลาดตระเวนอยู่นอกเรือนอย่างลับๆ เพื่อป้องกันสัตรูภายนอกบุกรุกเข้ามาเท่านั้น จึงไม่ทราบเลยว่ากู้ซีจิ่วจากไปตั้งแต่ตอนไหน
เขาตามหาไม่พบ ถึงได้รีบร้อนรายงานให้ตี้ฝูอีทราบ…
ปฏิกิริยาแรกของตี้ฝูอีก็คือนางคงแอบหนีมาหาตนที่นี่และพบว่านางมาที่ตำหนักน้ำแข็งแห่งนี้จริงๆ…
เขาดึงร่างคนเข้าสู่อ้อมแขน จับมือจับเท้าของนาง นัยน์ตาโชนแสงเล็กน้อย “เย็นถึงขนาดนี้แล้ว เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เพิ่งมาถึงไม่นาน…”
————————————————————————————-
บทที่ 1250 เช่นนั้นข้างามหรือไม่?
“เพิ่งมาถึงไม่นาน…” กู้ซีจิ่วตอบ เธอซุกอยู่ในอ้อมอกเขา ได้กลิ่นหอมจางๆ ที่คุ้นเคยจากร่างเขา หัวใจซัดสาดขึ้นลงปานกระแสน้ำ เธอโหยหาอาวรณ์อ้อมกอดนี้ยิ่งนักจริงๆ เสมือนติดฝิ่นก็มิปาน…
ศีรษะของเธอร้อนผ่าววูบหนึ่ง ซุกตัวอยู่ในอ้อมอกเขา “ข้าคิดถึงท่าน”
แขนของตี้ฝูอีกอดเธอไว้แน่น หัวเราะเธออย่างอดไว้ไม่อยู่ “น้อยนักที่จะเห็นยามที่เจ้าแอบอิงผู้อื่นเสมือนวิหคน้อยเช่นนี้”
เขาสัมผัสมือของเธออีกครั้ง แตะใบหน้าน้อยๆ ของเธอ
มือและหน้าของเธอเย็นมาก เขาขมวดคิ้ว จูงเธอให้ออกเดิน “เย็นขนาดนี้แล้ว ไปเถอะ ไปอุ่นตัวในห้องข้า”
กู้ซีจิ่วไม่ไป “ยากนักที่จะได้เห็นแสงจันทร์งดงามเช่นนี้ ข้าอยากเดินเล่นกับท่าน”
ตี้ฝูอีเงยหน้ามองจันทร์เสี้ยวบนฟากฟ้าดวงนั้น กล่าวโดยท่าทียิ้มมิเชิงยิ้ม “แสงจันทร์งดงาม?”
กู้ซีจิ่วก็เงยหน้ามองฟ้าเช่นกัน จันทร์เสี้ยวดวงนั้นสลัวเลือนรางยิ่งนัก ภายใต้ท้องฟ้าที่ดาษดื่นด้วยแสงดาวดูจืดจางราวกับภาพน้ำหมึก เธอกระแอมคราหนึ่ง “ใช่ว่าจันทร์เพ็ญเท่านั้นถึงจะทำให้คนสนใจชื่นชมได้ จันทร์เสี้ยวก็มีข้อดีในแบบของจันทร์เสี้ยว ทำไม? ท่านไม่อยากร่วมชมกับข้าหรือ? ช่างเถอะ งั้นข้าไปก็ได้!” คิดจะดิ้นรนออกจากอ้อมแขนของเขา
ตี้ฝูอีรัดเธอไว้ “ไปเถอะ พวกเราไปเดินเล่นกัน”
….
ดวงเดือนเยียบเย็น ดาราดาดฟ้า
ด้านหลังวังค้ำนภามีภูเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง สูงต่ำมิอาจวัดค่าบรรพต หากมีเทพเซียนปรากฏย่างกราย
เดิมทีภูเขาลูกนี้ไม่เป็นที่รู้จัก แต่เป็นเพราะการมีอยู่ของวังค้ำนภา ภูเขาลูกนี้จึงมีชื่อเสียงยิ่งนักในแผ่นดินนี้ ได้รับการขนานนามว่าเขาค้ำนภา
ตำหนักน้ำแข็งหลังนั้นที่จัดวางร่างเดิมของกู้ซีจิ่วไว้เดิมทีก็อยู่บนยอดเขาของภูเขาค้ำนภาลูกนี้ และเป็นสถานที่ที่มีไอวิญญาณหนาแน่นที่สุดของวังค้ำนภา
จากตำหนักหลักของวังค้ำนภามีบันไดสายหนึ่งทอดยาวมาถึงตำหนักน้ำแข็ง ขั้นบันไดศิลาเขียว ทอดตัวคดเคี้ยวไปสู่สวนลึกในยามราตรี
สองข้างบันไดมีวัชพืชเติบโตอยู่ เนื่องจากเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ อากาศในภูเขาลูกนี้จึงค่อนข้างอบอุ่น วัชพืชอ่อนบางที่สองข้างบันได้จึงมีสีเขียวขจีปรากฏออกมาเล็กน้อยแล้ว
ทั้งสองพากันเดินลงบันได
ลมราตรีเหน็บหนาวยิ่ง กู้ซีจิ่วมองตี้ฝูอีที่สวมชุดนอนผ้าไหม เสื้อผ้าธรรมดาเมื่อมอบให้เขาสวมใส่ก็ส่งผลให้ดูสง่างามพลิ้วไหวปานเทพเซียน
“ท่านหนาวหรือไม่?” เธอยังคงเป็นห่วงเป็นใยเขา
ตี้ฝูอีอดไม่ที่จะยิ้มออกมา โอบเธอไว้ในอ้อมแขน “หนาว! ให้ความอบอุ่นข้าหน่อยสิ”
ถึงแม้เขาจะสวมเสื้อผ้าบางๆ ทว่าอ้อมกอดกลับอบอุ่นเช่นที่ผ่านมา เดิมทีกู้ซีจิ่วรู้สึกหนาวอยู่บ้าง เมื่อถูกเขากอดไว้เช่นนี้ก็อุ่นแทบจะหลั่งเหงื่อแล้ว
เธอมองดูเขา “ดูเหมือนท่านจะฟื้นฟูได้ไม่เลวเลยนะ ฟื้นฟูพลังวิญญาณได้กี่ส่วนแล้วล่ะ?”
พักฟื้นมาใกล้จะสองเดือนแล้ว บาดแผลบนร่างตี้ฝูอีส่วนใหญ่หายสนิดแล้ว พลังวิญญาณก็ฟื้นฟูกลับมาไม่น้อย พลังวิญญาณของเขาลึกล้ำเกินไป ต่อให้สูญเสียพลังวิญญาณบางส่วนไปกู้ซีจิ่วก็เดาความตื้นลึกหนาบางของเขาไม่ออกอยู่ดี
“เกินครึ่งแล้ว” ตู้อีมองเธอที่อยู่ในอ้อมแขน “เจ้าฝึกฝนจนบรรลุขั้นแปดแล้ว!”
กู้ซีจิ่วดิ้นรนออกมาจากอ้อมแขนเขา หมุนตัวอยู่เดิมรอบหนึ่ง “เช่นนั้นข้างามหรือไม่?”
วันนี้เธอบรรจงแต่งตัวมา นัยน์ตาสุกสกาวดั่งจันทรา ริมฝีปากเอิบอิ่มปานกลีบบุปผา สวมชุดสีฟ้าพลิ้วไหลที่ขับเน้นให้เห็นเรือนร่างที่เย้ายวนทรงเสน่ห์ของเธอ เอวบางเสมือนจะกำได้รอบ ทรวงอกดูอวบอิ่มเด่นนูนยิ่งนัก เรือนร่างเช่นนี้ทำให้ผู้คนก่ออาชญากรรมได้ง่ายนัก…
ดวงตาตี้ฝูอีฉายแววลุ่มลึกแวบหนึ่ง “งดงามมากจริงๆ! เด็กน้อย ไม่นึกเลยว่าร่างนี้ของเจ้าจะยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้”
กู้ซีจิ่วยิ้มบางๆ “ท่านหลงใหลร่างนี้เข้าแล้วสินะ? ท่านเคยบอกไว้ว่า เนื้อหนังมังสาเป็นสิ่งห่อหุ้มไว้ภายนอก” กูเหมือนเอจะนึกอะไรขึ้นได้ จึงถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง “ท่านปกป้องร่างเดิมของข้าไว้ดีเหลือเกิน หากว่าเติบใหญ่ขึ้นมา ต้องเป็นโฉมงามที่ล่มบ้านล่มเมืองได้แน่นอน”
ตี้ฝูอีชะงักไปเล็กน้อย “แน่นอน จะงดงามนัก”
บางทีค่ำคืนนี้อาจจะงดงามเกินไป บางทีเธอคงคิดจะลองเดิมพันดูอีกสักครั้ง
————————————————————————————-
[1] เอ่อร์หวงหนี่ว์อิง เป็นตัวละครจากตำนานชีวประวัติของจักรพรรดิซุน เป็นสององค์หญิงพี่น้องที่แต่งงานมีสามีคนเดียวกันก็คือจักรพรรดิซุน
บทที่ 1251 อันที่จริงแล้วต้องการครอบครองยิ่งนักจริงๆ!
กู้ซีจิ่วดึงแขนเสื้อเขาไว้ “ท่านหาทางคืนร่างเดิมให้ข้าได้หรือไม่? ข้ายังคงชอบร่างนั้นที่สุดจริงๆ ข้าไม่ได้คุยกับเสี่ยวชางมานานมากแล้ว มีเพียงข้าใช้ร่างนั้นถึงจะสื่อสารกับมันได้สะดวก…”
แววตาตี้ฝูอีมืดมนลงเล็กน้อย แต่ก็ยิ้มออกมาทันทีแล้วเอ่ยว่า “เด็กโง่ ร่างในยามนี้ของเจ้าเหนือกว่าร่างนั้นมากแล้ว ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก เจ้าดูสิรูปลักษณ์ของเจ้าในยามนี้สิถึงจะเข้ากับจิตวิญญาณเดิมของเจ้า เหมาะสมกับเจ้าแล้ว…”
กู้ซีจิ่วเม้มปากนิดๆ “แต่ข้าชอบร่างนั้น ร่างนั้นสิถึงจะเป็นร่างเดิมของข้าไม่ใช่หรือไง?”
ตี้ฝูอีเงียบไปครู่หนึ่ง แววตาที่มองเธอค่อนข้างลุ่มลึก “ซีจิ่ว อย่าได้ขุ่นเคืองที่ข้าพูดความจริง ร่างนั้นเคยเป็นของคุณหนูแห่งจวนแม่ทัพ แล้วจะเป็นร่างของเจ้าได้อย่างไร?”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกแล้ว เธอสูดหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง กล่าวอย่างทีเล่นทีจริง “ถึงอย่างไรข้าก็ลำบากลำบนฝึกฝนจนร่างบรรลุขั้นแปดนะ ยิ่งไปกว่านั้นคือคุณหนูแห่งจวนแม่ทัพคนนั้นตายไปแล้ว ตามธรรมชาติแล้วร่างนั้นก็น่าจะตกเป็นของข้า…อีกอย่างท่านรักษามันไว้ดีขนาดนี้ หรือว่าท่านคิดจะส่งมอบให้ผู้อื่น?”
เห็นได้ชัดว่าตี้ฝูอีไม่อยากสนทนาหัวข้อนี้ “สิ่งที่เจ้าต้องฝึกฝนคือดวงวิญญาณของเจ้า เหตุใดจึงดื้อดึงยึดติดกับสังขารเล่า? ตอนนี้เจ้ายอดเยี่ยมมากแล้ว งดงามกว่าร่างเดิมด้วย…”
เขาดึงเธอเข้าสู่อ้อมอก จุมพิตปลายจมูกเธอเบาๆ ทีหนึ่ง “ข้ารู้สึกว่าเจ้าในยามนี้ดึงดูดข้ามากกว่าเดิม…”
แล้วหัวเราะอยู่ริมหูเธอคราหนึ่ง “เด็กน้อย ตอนนี้ข้าตั้งตารอพิธีวิวาห์ในอีกสิบวันให้หลังยิ่งนัก…อยากไปดูห้องหอนั้นกับข้าหน่อยหรือไม่?”
ลมหยใจเขาร้อนผ่าว ทว่าหัวใจกู้ซีจิ่วกลับหนาวเหน็บ
เธอผลักเขาออกทันที “เหลวไหล!”
ตี้ฝูอีหัวเราะแล้ว “ดูห้องหอก็เหลวไหลหรือ? ห้องหอนั้นข้าตกแต่งด้วยตัวเองเลยนะ เจ้าเห็นแล้วต้องพอใจแน่นอน! เป็นยังไง? อยากดูขึ้นมาหรือยัง?”
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “ดูห้องหอล่วงหน้าคงไม่ดีกระมัง? จะขาดความน่าตื่นเต้นไป…”
เธอไม่อยากไปดู เธอกลัวว่าถ้าเธอเห็นแล้วลุ่มหลงอยู่ด้านในหักใจจากไปไม่ลง
ตี้ฝูอีไม่สงสัยอะไร รู้สึกว่านางพูดจามีเหตุผล จึงไม่ฝืนบังคับนางอีก
ทั้งสองคนเดินไปด้วยกันอีกพักหนึ่ง กู้ซีจิ่วก็นั่งลงบนขั้นบันไดศิลาเสียดื้อๆ “พักหน่อยเถอะ เท้าเป็นเหน็บบ้างแล้ว”
ตี้ฝูอีมองแพขนตายาวงอนของนาง นึกขำขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ สาวน้อยผู้ไล่ตามความหวานแหวว คนที่พลังวิญญาณบรรลุขั้นแปดแล้วแบบนางจะเดินลงเขาจนเท้าเป้นเหน็บได้อย่างไร?
เขานั่งยองๆ ลงไป “เท้าข้างไหนล่ะที่เป็นเหน็บ? มา ข้าจะนวดให้”
น้ำเสียงที่อ่อนโยน ทำให้โพรงจมูกของกู้ซีจิ่วแสบร้อนขึ้นมา รู้สึกว่าอยากโผเข้าสู่อ้อมอกของเขาขึ้นมาอีกวูบหนึ่ง แต่เธอทำได้เพียงยื่นเท้าทั้งสองข้างไปหา “เป็นเหน็บทั้งคู่เลย”
ตี้ฝูอีจึงนั่งลงข้างกายนางเสียเลย โอบเท้าทั้งสองข้างของนางมาวางไว้บนตัก ถอดถุงเท้ารองเท้าของนางออก แล้วนวดเท้าให้นาง
รูปเท้าของนางยอดเยี่ยมนัก เท้าโค้งงอนดั่งจันทร์เสี้ยว ผิวพรรณเรียบเนียนเกลี้ยงเกลา ผิวหนังเย็นเฉียบ เล็บเทามันเงาอมชมพู
นี่นางเจตนาดึงดูดเขาอยู่หรือ? อยากให้เขาครอบครองนางก่อนถึงเวลาหรือไง?
อันที่จริงแล้วต้องการครอบครองยิ่งนักจริงๆ!
เขาทำตามใจตนมาทั้งชีวิต แต่ในเรื่องนี้เขาต้องการความสมบูรณ์แบบ
ยามที่ส่งตัวเข้าเรือนหอ จารึกนามบนป้ายทอง[1] ถือเป็นสองความสุขที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตคนเรา
เขาไม่สนใจการจารึกนามบนป้ายทอง ตอนนี้ความรื่นรมย์เพียงหนึ่งเดียวของเขาก็คือคืนเข้าหอ…
เขาสูดหายใจเล็กน้อย ระงับจิตใจที่เตลิดเปิดเปิงของตน เหลืออีกสิบวัน เขารอได้!
เขาตั้งใจนวดเท้าให้นาง ทักษะการนวดยังคงเป็นมืออาชีพยิ่งนัก กระแสอบอุ่นสายหนึ่งซึมเข้าสู่ฝ่าเท้าเธอ คล้ายจะสามารถไหลไปตามเส้นลมปราณแทรกซึมเข้าสู่หัวใจคนได้
จันทร์เสี้ยวบนนภาปานคมเคียว ดวงดาวสุกสกาวปานน้ำค้างแข็ง
ในสมองของกู้ซีจิ่วมีเนื้อเพลงสองประโยคผุดขึ้นมา “ราตรีสวยสด ผู้คนงดงาม…”
————————————————————————————-
บทที่ 1252 ราตรีสวยสด ผู้คนงดงาม
เธอฮัมเพลงออกมาอย่างอดใจไว้ไม่อยู่
เธอร้องเป็นภาษากวางตุ้ง
ตี้ฝูอีฟังอยู่ครู่หนึ่ง ฟังไม่ออกว่าเนื้อเพลงคืออะไร รู้สึกเพียงว่าทำนองไม่เลวเลย เพียงแต่ค่อนข้างเศร้าสร้อย
นางมักจะฮัมเพลงที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนอยู่บ่อยครั้ง ยามนี้จึงไม่ได้ใส่ใจอะไร ถามเพียงประโยคเดียว “ร้องอะไรน่ะ? ฟังไม่เป็นคำเลย”
กู้ซีจิ่วหัวเราะฮ่าๆ “เป็นเพลงเก่าๆ เพลงหนึ่งของพวกเราในโลกนั้น จำทำนองไม่ได้แล้ว จำได้แค่เนื้อไม่กี่ประโยค ค่ำคืนสวยสด ผู้คนงดงาม เรื่องราวที่สวยงามทำให้ข้าอยากร้องเพลง…” ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อ “ข้าปรารถนาให้เป็นเช่นนี้ไปชั่วฟ้าสิ้นดินสลายจริงๆ พวกเราอยู่ด้วยกันตลอดไป”
มือของตี้ฝูอีนิ่งไปแวบหนึ่ง สักพักก็หัวเราะเบาๆ “เจ้าไม่ใช่คนสบายๆ หรอกหรือ? พูดไว้มิใช่หรือว่าสนใจเพียงเคยได้มี ไม่สนใจชั่วนิรันดร์…”
กู้ซีจิ่วเขยิบเข้าใกล้เขา ท่ามกลางรัตติกาลดวงตาของเธอเสมือนทะเลสาบที่กระเพื่อมไหว “ข้าใส่ใจนะ ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ข้าอยากอยู่กับท่านไปตราบนานแสนนาน แค่พวกเราสองคนอยู่เคียงข้างกัน…”
เธอยกสองแขนโอบคอเขาไว้ เสียงขึ้นจมูกเล็กน้อย “คนอย่างข้างค่อนข้างละโมบ เมื่อรักคนผู้หนึ่งก็อยากอยู่ด้วยกันตลอดไป…”
เธอสัมผัสได้ชัดเจนว่าร่างกายเขาแข็งทื่อไปแวบหนึ่ง แต่เขาก็ตบหลังเธอเบาๆ “พูดจาเป็นเด็กไปได้ เอาล่ะ เท้าของเจ้ายังเป็นเหน็บอยู่ไหม? ดีขึ้นบ้างหรือยัง?”
กู้ซีจิ่วหลับตาลงเล็กน้อย
ใช่แล้ว เขาไม่ยินดีจะอยู่กับเธอไปชั่วชีวิต เมื่ออดีตประมุขเผ่าเงือกผู้นั้นฟื้นขึ้นมา เขาก็จะกลับไปอยู่ข้างกายคนผู้นั้น…
สุดท้ายก็เป็นเธอที่ละโมบไปหน่อย
ความขมปร่าผุดขึ้นมาในใจเธอ จู่โจมให้กระบอกตาของเธอค่อนข้างร้อนผ่าว
ตี้ฝูอีดึงนางลุกขึ้น มองเห็นดวงตาของนางแดงเรื่ออยู่บ้าง “เหตุใดจึงดูเหมือนจะร้องไห้เล่า?”
ความขมปร่าในใจกู้ซีจิ่วหนักขึ้นยิ่งกว่าเดิม ทว่าร้องเฮอะคราหนึ่ง เสมือนสาวน้อยที่แง่งอน “ใครใช้ให้ท่านไม่แม้แต่จะโอ๋ข้าให้ดีใจสักคำเล่า! แม้จะเป็นการหลอกข้าก็ยังดี”
ตี้ฝูอีคล้ายจะนึกไม่ถึงว่าเธอก็มีอารมณ์เด็กๆ แบบนี้ด้วย ถึงแม้จะเอาแต่ไร้เหตุผลไปบ้าง แต่ยังคงทำให้ในใจของเขาอบอุ่นอยู่ดี
สาวน้อย ต่อให้นางจะแข็งแกร่งสักเพียงใดก็ยังเป็นเด็กสาวอยู่ เมื่ออยู่ต่อหน้าคนรักก็อยากอ่อนแอบ้าง อยากให้คนโอ๋
เขาดึงมือเธอให้ยืนขึ้นมา แล้วโอ๋เธอ “ดูเหมือนเท้าของเจ้ายังเป็นเหน็บอยู่นะ ให้ข้าแบกเจ้าไหม?”
“เอา!” กู้ซีจิ่วตอบรับอย่างเบิกานยิ่ง โผขึ้นหลังของเขาจริงๆ
น่าจะเป็นครั้งแรกที่ตี้ฝูอีแบกเด็กสาวขึ้นหลัง เขาเหยียดเอวตรงแล้วสาวเท้าก้าวลงไปประหนึ่งดาวตก กู้ซีจิ่วที่อยู่บนหลังเขาเกือบจะหล่นลงไปแล้ว รีบใช้สองแขนโอบคอเขาไว้ทันที ลมหายใจสดชื่นปานดอกกล้วยไม้เป่ารดริมหูเขา “นี่ เมื่อผู้อื่นแบกคนไว้บนหลังล้วนต้องค้อมเอวเล็กน้อย เดินช้าลงหน่อย”
สาวน้อยช่างเรื่องมากเสียจริง
ตี้ฝูอีจนปัญญา ทว่ายังคงขบขัน
หากปล่อยให้ผู้อื่นมาเห็นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้สูงส่งอย่างเขาแบกเด็กสาวคนหนึ่งไต่ไปตามเส้นทางภูเขา คาดว่าคงตกใจจนอ้าปากค้าง
เพียงแต่ เขายินดีทำเพื่อนาง ด้วยเหตุนี้ตี้ฝูอีจึงค้อมเอว เริ่มก้าวลงไปช้าๆ ทีละก้าวๆ
ตลอดทางกู้ซีจิ่วไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงซบใบหน้าน้อยๆ ไว้บนหลังเขา ราวกับกำลังซึมซับกลิ่นอายบนร่างเขา
เขารู้ว่านางโหยหากลิ่นอายบนร่างตน ยามที่โผใส่อ้อมอกเขาก็มักจะดมฟุดฟิดเหมือนสุนัขน้อยอยู่เสมอ นี่เป็นความน่ารักอย่างหนึ่งของนาง เขาไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ปล่อยให้นางดมตามสบาย
นางเริ่มร้องเพลงที่เขาฟังเนื้อไม่ออกอีกครั้ง
ความฝันเก่ายากจะเล่าให้กระจ่าง
ใครเล่ายินดีจะทำลายความผูกพันเก่าก่อน
จุมพิตอำลาเรื่องราวแต่หนหลัง
บอกลามรสุมความรักใคร่ชิงชังครั้งวันวาน
ภายใต้แสงดาว ท่ามกลางแสงจันทร์
ความรักล้ำลึกในตอนนี้สิถึงจะเป็นฉันจริงๆ
ราตรีสวยสด ผู้คนงดงาม
เรื่องราวที่สวยงามทำให้ฉันอยากร้องเพลง…
….
กู้ซีจิ่วจากไปแล้ว ยามที่จากไปได้พาสัตว์เลี้ยงทั้งสามตัวไปด้วย
————————————————————————————-
[1] จารึกนามบนป้ายทอง การสอบคัดเลือกขุนนางได้สมัยโบราณ ผู้ที่สอบได้อับดับหนึ่งจะได้จารึกนามลงบนป้ายทอง ถือว่ามีเกียรติยิ่งนักทำให้ญาติพี่น้องและวงส์ตระกูลได้มีหน้ามีตาไปด้วย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น