พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1243-1248

 บทที่ 1243 ผลงานที่นำกลับไป

โดย

Ink Stone_Fantasy

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ตกใจกับอันตรายที่เหมียวอี้ประสบ และไม่เคยเห็นเหมียวอี้ทำเรื่องที่ตัดเยื้อใยไมตรีขนาดนี้มาก่อน ไม่น่าเชื่อว่าต้องการจะสังหารอนุภรรยาของตัวเอง ทำให้พวกนางตกใจไม่เบาจริงๆ


อวิ๋นจือชิวบอกว่า “ที่ข้าบอกพวกเจ้าเพราะอยากให้พวกเจ้าได้รู้ ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้ข้าจะต้องห้ามนายท่านเอาไว้ ข้ายอมให้นายท่านทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้ ถ้าทำเรื่องนี้จริงๆ นายท่านก็จะหันหลังกลับอีกไม่ได้แล้ว ถ้าพวกเจ้าจะบอกนายท่าน ข้าเองก็ไม่ห้ามอะไร ถึงอย่างไรพวกเจ้าก็เป็นลูกน้องคนสนิทของเขา หลายปีมานี้ที่ข้าเก็บพวกเจ้าไว้ข้างกายตลอด ก็เพราะข้ามีชื่อเสียงไม่ดี ถึงอย่างไรข้ากับเฟิงเสวียนก็เคยเกิดเรื่องแบบนั้นกันมาก่อน ถึงเขาจะบอกว่าไม่ถือสา แต่ข้าเองก็ถือมากจริงๆ กลัวว่าเขาจะคิดมาก บวกกับเวลาเข้าสังคมข้าจะต้องพบปะผู้ชายคนอื่นบ้างนิดหน่อย ที่ข้าให้พวกเจ้าเห็นอย่างชัดเจน ก็เพราะอยากให้เป็นพยานในความบริสุทธิ์ของข้า หวังว่าพวกเจ้าจะเข้าใจ!”


หลังจากสองสาวได้ฟังนางพูดแล้ว ก็ได้ก้มหน้ากัดริมฝีปากเงียบๆ


จากนั้น อวิ๋นจือชิวก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับอวิ๋นอ้าวเทียนเพื่อถามว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นหรือไม่


อวิ๋นอ้าวเทียนไม่ได้ตอบว่ามีหรือไม่มี บอกเพียงว่า : ปู่ทำผิดต่อเจ้าแล้ว!


อวิ๋นจือชิวเงยบไป ไม่ได้แสดงอาการโมโหใส่ และไม่ได้ด่ากราดด้วย ตอบกลับไปเพียงว่า : ท่านปู่ พวกท่านรักษษตัวด้วย!


จากนั้นก็เก็บระฆังดารา ที่นางพูดไปแบบนี้ กลับทำให้อวิ๋นอ้าวเทียนรู้สึกผิดในใจยิ่งกว่าเดิม เขาหวังจะให้อวิ๋นจือชิวด่ามาให้เต็มที่ ต่อให้จะขีดเส้นแบ่งกับตระกูลอวิ๋นก็ยังดี ถ้าไม่ใช่คนในครอบครัวเดียวกันแล้ว เขาก็จะไม่ต้องแบกรับภาระทางด้านจิตใจ แต่การที่อวิ๋นจือชิวทำแบบนี้ กลับทำให้ตระกูลอวิ๋นติดหนี้นางแบบชดใช้ไม่หมด!


ใช้เวลาเพียงไม่นาน พวกจีเหม่ยลี่ก็ทยอยกันมาถึงจนครบ อวิ๋นจือชิวเองก็ไม่ได้เปลืองคำพูดอะไร นางให้เสวี่ยเอ๋อร์ย้ายเก้าอี้เข้ามา แล้วตัวเองก็นั่งไขว่ห้างอยู่ตรงหน้าพวกนาง วางมาดของฮูหยินภรรยาเอก เล่าเรื่องที่พวกมู่ฝานจวินทรยศจนเกือบเอาชีวิตเหมียวอี้ให้พวกนางฟังโดยตรง


พวกจีเหม่ยลี่ได้ยินแล้วก็ตกใจจนหน้าถอดสีเช่นกัน ด้านหนึ่งเป็นเพราะเหมียวอี้ อีกด้านหนึ่งเป็นเพราะนึกไม่ถึงว่าครอบครัวฝ่ายหญิงจะไม่สนใจความรู้สึกพวกนางเลยสักนิด ต้องการจะให้พวกนางเป็นหม้ายโดยไม่บอกล่วงหน้าสักคำ


กับเรื่องแบบนี้ ถ้ามองจากด้านหนึ่งพวกนางสามารถเข้าใจสิ่งที่ตระกูลฝ่ายหญิงทำได้ แต่ในด้านความรู้สึกนั้นรับได้ยากนิดหน่อย


“เฮ้อ…” เทพธิดาหงเฉินถอนหายใจเบาๆ


“ที่บอกเรื่องนี้ให้พวกเจ้ารู้ ก็ไม่ได้มีเจตนาจะโทษพวกเจ้าหรอกนะ ถึงอย่างไรตระกูลอวิ๋นของข้าก็มีส่วนเหมือนกัน” อวิ๋นจือชิวตาเป็นประกาย กวาดสายตามองบนใบหน้างามแต่ละหน้า พร้อมบอกว่า “ที่พูดออกมาก็เพราะอยากจะให้พวกเจ้าเข้าใจเท่านั้นเอง ชีวิตของผู้หญิงเราน่ะ แต่งงานกับไก่ก็ตามไก่ แต่งงานกับสุนัขก็ตามสุนัข ในเมื่อแต่งเข้ามาในตระกูลเหมียวแล้ว ก็ต้องคิดเพื่อตระกูลเหมียวให้มากๆ ครอบครัวฝ่ายหญิงน่ะพึ่งพาได้ แต่กลับเชื่อถือไม่ได้ ทุกคนต้องคิดดูให้กระจ่างนะ ว่าตอนนี้บ้านของตัวเองอยู่ฝั่งไหน ใครกันที่จะอยู่กับพวกเจ้าไปทั้งชีวิต ความใกล้ไกลกับความหนักเบาที่สมควรจะแยกแยะก็ต้องแยกแยะให้ชัดเจน”


หลังจากอาศัยโอกาสนี้อบรมไปยกหนึ่งแล้ว อวิ๋นจือชิวก็ไม่ได้บอกพวกนางเรื่องที่เหมียวอี้จะฆ่าพวกนาง เพียงบอกว่ากังวลว่าพวกมู่ฝานจวินจะมีแผนอย่างอื่นอีก จึงเก็บพวกนางทุกคนเข้ากระเป๋าสัตว์แล้วพาออกไปอยู่นอกเมือง


ตอนออกนอกเมืองไม่มีการตรวจค้นอะไร อวิ๋นจือชิวก็แอบโล่งใจแล้ว ถ้าตอนนี้เหมียวอี้ดึงดันจะลงมือกับพวกนาง เกรงว่าออกคำสั่งคำเดียวก็สามารถปิดประตูเมืองทั้งสี่ได้แล้ว ที่ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรก็แสดงว่าเหมียวอี้อารมณ์เย็นลงแล้ว


แต่นางก็ไม่กล้าประมาท กลัวว่าเหมียวอี้จะวางแผนไว้ ก็เป็นอย่างที่นางบอก เหมียวอี้เวลาจะโง่ก็เลอะเลือนมาก แต่เวลาฉลากขึ้นมาก็น่ากลัวมาก ดังนั้นก่อนออกมานางจึงปลอมตัว นางกลัวว่าเหมียวอี้จะส่งคนมาสะกดรอยตามพวกนางแล้วจับกลับไปยกรัง


เรื่องราวก็ชัดเจนอยู่แล้ว ในเมื่อก่อนหน้านี้เหมียวอี้บอกแล้วว่าจะมีคนลงมือสังหารอนุภรรยากลุ่มนี้ในหุบเขานอกเมือง นั่นก็แสดงว่าเขาต้องวางกำลังคนไว้แล้วแน่นอน ทั้งยังไม่ใช่คนธรรมดาด้วย ต้องทราบไว้ว่าอนุภรรยาส่วนใหญ่ของเหมียวอี้ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน พวกนางฝึกหกเคล็ดวิชาพิเศษ เกรงว่านักพรตบงกชทองทั่วไปคงจัดการพวกนางไม่ได้ง่ายๆ


หลังจากหาที่อยู่ให้กลุ่มอนุภรรยาในดาวเคราะห์ที่รกร้างแห่งหนึ่งแล้ว อวิ๋นจือชิวก็รออยู่ตลอดเช่นกัน นางให้เวลาเหมียวอี้สามวัน ให้เหมียวอี้ไตร่ตรองให้ดีแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะฆ่าหรือไม่ฆ่า และแน่นอน นางก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง ต่อให้เหมียวอี้ยังจะลงมือฆ่าเหมือนเดิม นางก็จะไม่ทำอยู่ดี


หลังจากครบกำหนดสามวัน อวิ๋นจือชิวก็โล่งอกอย่างเต็มที่แล้ว เป็นฝ่ายหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับเหมียวอี้ ถามว่า : หนิวเอ้อร์ อนุภรรยากลุ่มนั้นของเจ้า ข้าช่วยเจ้าควบคุมไว้แล้ว ถ้าจะฆ่าจะฟันเจ้าก็บอกมาคำเดียว อย่าให้ข้ารออย่างเสียเวลาเปล่า!


เหมียวอี้ตอบกลับเพียงว่า : ตอนนี้ข้างานยุ่ง เดี๋ยวค่อยว่ากันทีหลัง!


อวิ๋นจือชิวที่ยืนอยู่บนดาวเคราะห์ที่รกร้างเอามือปิดปากแอบขำไม่หยุดทันที นอนเตียงเดียวกันมาหลายปีขนาดนี้แล้ว นางย่อมรู้จักสันดานของเหมียวอี้ เมื่อใจเย็นลงและเรื่องผ่านไปเดี๋ยวเขาก็ดีขึ้นเอง หนิวเอ้อร์ยังเป็นหนิวเอ้อร์คนเดิม


กระโปรงยาวสีเขียวครามสวยหยาดยิ้ม ดวงตางามทอดมองไปในดาราจักรอันไร้ขอบเขต หลังจากคิดได้แล้ว อวิ๋นจือชิวก็เขย่าระฆังดาราเตือนเหมียวอี้ด้วยน้ำใสใจจริงอีกว่า : อดทนชั่วครามให้คลื่นลมสงบ ถอยหนึ่งก้าวเพื่อพบกับฟ้าหลังฝน! ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว โมโหไปก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าเจ้าสามารถฆ่าห้าปราชญ์เพื่อล้างแค้นได้ ข้าก็จะไม่พูดอะไรเหมือนกัน ถ้าฆ่าอนุภรรยาของตัวเองทิ้งก็ทำอะไรห้าปราชญ์ไม่ได้อยู่ดี มีแต่จะทำให้ปผลตัวเองลึกกว่าเดิม ไม่มีเหตุผลที่จะเอาคนในครอบครัวไปสู้กับคนนอก คนก็แต่งงานเข้าบ้านมาแล้ว อยู่ในมือเจ้าแล้ว อยากจะระบายความโกรธเมื่อไรก็ทำได้ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องวู่วาม! ในเมื่อล้างแค้นไม่ได้ก็อย่าแตกคอกลายเป็นศัตรูกัน เหลือทางหนีทีไล่ให้พวกเขาสักทาง นั่นเท่ากับเหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ตัวเองด้วย ไม่แน่ว่าในภายหลังอาจจะใช้ประโยชน์อะไรได้ ในเมื่อพวกเขาสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อหกเคล็ดวิชาพิเศษ ก็แสดงให้เห็นว่าหกเคล็ดวิชาพิเศษมีความสำคัญต่อพวกเขามาก แต่ของนี้กลับอยู่ในมือเจ้าไง ไม่ต้องพูดมากแล้วว่าใครได้เปรียบกว่า ถ้าเจอหน้ากันอีกครั้งก็เข้าไปหาพร้อมเสียงหัวเราะ วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล ใครที่ได้หัวเราะจนถึงตอนสุดท้าย คนนั้นถึงจะเป็นวีรบุรุษอย่างแท้จริง ผู้ชายของอวิ๋นจือชิวควรจะมีปณิธานแบบนี้สิ!


เหมียวอี้ : ข้ามีธระ ไม่คุยแล้ว


หลังจากติดต่อกับเหมียวอี้เสร็จแล้ว อวิ๋นจือชิวที่กำลังลังเลก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับเยว่เหยา เล่าเรื่องที่มู่ฝานจวินจะเอาชีวิตเหมียวอี้ให้นางรู้ เรื่องบางเรื่องเหมียวอี้ทำไม่ลง แต่นางกลับไม่มีอะไรต้องเกรงใจ…


ชั่วพริบตาเดียว การทดสอบหนึ่งร้อยปีก็มาถึงตอนจบแล้ว จวนจะถึงเวลารายงานผลการปฏิบัติงาน วันกลับของเหมียวอี้ถูกกำหนดไว้ตั้งนานแล้ว


วันนี้เหมียวอี้กำลังเก็บตัวฝึกฝน เหลียงหรงมาเคาะประตูแจ้งว่า “ประมุขปราชญ์ ประมุขขุนพลขอเข้าพบค่ะ”


พอออกจากการเก็บตัวฝึกตน จินม่านที่กำลังรออยู่ก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะ “ประมุขปราชญ์”


เหมียวอี้ยิ้มพร้อมถามว่า “มีเรื่องอะไรเหรอ?”


จินม่านนำแผ่นหยกแผ่นหนึ่งมอบให้


ตั้งแต่ได้รู้ว่าเหมียวอี้มีอีกสถานะหนึ่ง รู้ว่าเหมียวอี้ไม่ใช่พวกไร้ความสามารถแต่ทำไปเพราะมีเหตุผล ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายก็ดีขึ้นไม่น้อย จินม่านก็ไม่ถูกทำให้โมโหจนกลายเป็นผู้หญิงปากร้ายที่ขึ้นเสียงตำหนิสั่งสอนเขาบ่อยๆ แล้วเช่นกัน


“คืออะไร?” เหมียวอี้รับมาไว้ในมือแล้วเอ่ยถาม พร้อมถือโอกาสอ่านดู


จินม่านที่เดินตามอยู่ข้างๆ ตอบว่า “ของที่ประมุขปราชญ์จะนำกลับไปรายงานผลการปฏิบัติงานครั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิดพลาดด้านลายมือแล้วคนอื่นมองเบาะแสออก ประมุขปราชญ์ก็ยังต้องคัดลอกใหม่อีกรอบ เปลี่ยนเป็นลายมือของตัวเองค่ะ”


เหมียวอี้หยุดฝีเท้าแล้วอ่านตรวจ เป็นแผนที่ดาวที่แนบคำอธิบายฉบับหนึ่ง เส้นทางการเดินทางเริ่มจากทางเข้าของแดนอเวจีล้วนถูกทำเครื่องหมายไว้อย่างชัดเจน ที่ทำเครื่องหมายไว้ร่วมกันมีสามจุด ทุกจุดล้วนอธิบายสถานการณ์ไว้อย่างคร่าวๆ เป็นสิ่งที่นำไปใช้รายงานในการทดสอบได้


แต่พอเห็นตำแหน่งที่แผนที่ดาวทำเครื่องหมายไว้ ก็เหมือนจะไม่ได้เข้ามาลึกในแดนอเวจี เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะถามอย่างลังเลว่า “ถ้านำของสิ่งนี้กลับไปจะรักษาตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ของข้าได้เหรอ?”


จินม่านตอบว่า “ดูจากสถานการณ์ที่หกลัทธิจัดวางกำลังป้องกันไว้ ทัพใหญ่ของโจรกบฏหนึ่งล้านแปดแสนที่ทดสอบไม่ได้เข้ามาลึกเกินไป ส่วนใหญ่ล้วนสำรวจอยู่รอบนอก ส่วนใหญ่ถูกทัพใหญ่หกลัทธิกำจัดหมดแล้ว มีอยู่ส่วนหนึ่งที่หลบจนไม่เห็นเงา แล้วก็มีบางส่วนที่สู้สุดชีวิตเพื่อเข้ามาสำรวจ แต่ก็ทยอยกันถูกฝ่ายเราดักสังหาร และแน่นอน ดาราจักรกว้างใหญ่ ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีปลาลอดแห แต่ทิศทางการเคลื่อนไหวคร่าวๆ ของกำลังพลจำนวนหนึ่งล้านแปดแสนที่เข้าร่วมทดสอบ พวกเรายังพอรู้อยู่บ้าง ถ้าประมุขปราชญ์นำผลงานนี้กลับไป พวกเราไม่กล้ารับประกันว่าจะได้คะแนนที่ยอดเยี่ยมเป็นพิเศษ แต่การรักษาที่นั่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์จากจำนวนแปดพันกว่าตำแหน่งก็ไม่ใช่ปัญหา คะแนนน่าจะอยู่อันดับต้นๆ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการผิดพลาด ในสามจุดที่ทำเครื่องหมายไว้ หนึ่งในนั้นเป็นสถานที่อันตรายที่มีคนเหยียบเข้าไปถึงค่อนข้างน้อย รับรองได้ว่าคะแนนของประมุขปราชญ์จะยอดเยี่ยม”


เหมียวอี้โบกแผ่นหยกในมือพร้อมแสร้งกล่าวอย่างกังวลว่า “ถ้าข้าเอาของนี้กลับไป ที่อยู่ของทัพใหญ่หกลัทธิของข้าจะได้รับผลกระทบอะไรรึเปล่า?”


“ประมุขปราชญ์วางใจได้ ข้าน้อยมีแผนในใจแล้ว” จินม่านกล่าว


“รบกวนแล้ว” เหมียวอี้ถือโอกาสเก็บของไว้


จินม่านบอกอีกว่า “ประมุขปราชญ์ยังไม่คุ้นกับสถานการณ์ของแดนอเวจี เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด สามจุดนี้ประมุขปราชญ์ยังต้องไปด้วยตัวเองสักรอบ ตอนที่โจรกบฏทางนั้นตรวจสอบ หากท่านไม่รู้อะไรเลยก็จะทำให้เกิดปัญหาได้”


“ได้!” เหมียวอี้พยักหน้า “เวลาจบการทดสอบก็ใกล้เข้ามาแล้ว ไม่สะดวกจะชักช้าต่อไป งั้นพรุ่งนี้ก็ออกเดินทางเลยแล้วกัน…แต่เรื่องวันออกเดินทางของข้า เจ้าอย่าเปิดเผยให้อีกห้าลัทธิรู้นะ”


จินม่านยิ้มบางๆ รู้ว่าเขายังคิดเรื่องที่ห้าปราชญ์จะเล่นงานเขาให้ถึงตาย จะเตรียมป้องกันก็พอเข้าใจได้ นางตอบว่า “ประมุขปราชญ์วางใจได้ ไม่เปิดเผยต่อภายนอกแน่ พรุ่งนี้ประมุขปราชญ์สามารถปลอมตัวแล้วลงมือเงียบๆ ได้เลย ข้าน้อยจะให้ขุนพลใหญ่กงซุนปลอมตัวแล้วคุ้มกันส่งด้วยตัวเอง ไม่ให้ใครฉวยโอกาสได้!”


เหมียวอี้โล่งใจแล้ว แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินจินม่านกล่าวอย่างกังวลอีกว่า “เพียงแต่พวกเราก็ไม่สะดวกจะคุ้มกันส่งประมุขปราชญ์ไปสู่จุดหมายโดยตรงได้ ในกำลังพลที่เข้าร่วมทดสอบหนึ่งล้านแปดแสน ยังมีอีกหลายแสนที่ไม่เห็นร่องรอบ ตอนจบการทดสอบรับประกันได้ยากว่าจะไม่มีใครคอยเฝ้าชุบมือเปิบ ประมุขปราชญ์ต้องระวังตัวให้มากๆ”


“หึหึ!” เหมียวอี้หัวเราะเหยียดหยาม พึมพำในใจว่า ตอนอยู่ต่อหน้าพวกเจ้าข้าต้องแสร้งทำตัวถ่อมตนเหมือนเป็นหลาน ก็เลยเห็นข้าเป็นโคลนอ่อนบีบง่ายเหรอ? เขาพูดอย่างอวดดีว่า “ทัพใหญ่หนึ่งล้านข้ายังเคยโจมตีฝ่าข้าฝ่าออกมาแล้ว แค่พวกรอดตายไม่กี่แสนจะเรื่องใหญ่อะไร ถ้าเบื่อจะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วก็เข้ามาได้เลย ข้าก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าใครจะกล้าขวางข้า!”


เมื่อเห็นเขามีบุคลิกลักษณะอันอาจหาญ เผยสง่าราศีของผู้ที่อยู่เหนือกว่า ในดวงตาจินม่านก็ฉายแววชื่นชม แบบนี้สิถึงจะเหมือนประมุขปราชญ์หน่อย


วันต่อมา กงซุนลี่เต้าได้รับคำสั่งให้มาที่นี่ เหลียงหรงกับหมี่หลิงก็ปลอมตัวแล้วเช่นกัน จินม่านเพิ่มพวกนางสองคนเข้าไปด้วย เพราะยังกังวลอยู่บ้างว่ากงซุนลี่เต้าจะทำซี้ซั้วกับเหมียวอี้ จึงส่งคนของตัวเองให้ไปคอยดูไว้ เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด


เหมียวอี้ที่ถอดชุดสีทองหรูหราออกกลายเป็นชายชราคนหนึ่ง แล้วกล่าวอำลาว่า “หลังจากเหมียวอี้ไปแล้ว งานของที่นี่ก็ต้องรบกวนประมุขขุนพลด้วย”


จินม่านกุมหมัดคารวะ “เป็นเรื่องที่อยู่ในหน้าที่ มิกล้าทำผิดพลาด”


ส่วนอีกด้านหนึ่ง ตรงทางเข้าแดนอเวจี จู่ๆ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งถูกพ่นออกมากลางท้องฟ้า เกาก้วน ทูตตรวจการฝ่ายขวาของตำหนักสวรรค์และเถิงเฟย จอมพลสายชวดเหาะอยู่ข้างหน้าด้วยกัน ข้างหลังยังมีนักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพอีกหลายสิบคนติดตาม ผ่านท้องฟ้าของแดนอเวจีมาตลอดทาง ผ่านไปยังทางเข้าแดนอเวจี


บทที่ 1244 ขนาดเป็นแบบนี้ยังเจอกันได้

โดย

Ink Stone_Fantasy

ถึงแม้คนกลุ่มนี้จะมีพลังที่แข็งแกร่ง แต่กลับไม่กล้าคลายความระแวดระวัง เกาก้วนและเถิงเฟยที่เร่งเหาะอยู่ข้างหน้ากวาดสายตามองไปข้างหน้า ส่วนทุกคนที่อยู่ข้างหลังก็คอยระแวดระวังรอบข้างไม่หยุด


ดาราจักรประหลาดโผล่ขึ้นมาข้างหน้าและถอยร่นไปข้างหลังตลอดทาง หลังจากนั้นหลายวัน ลำแสงหลากสีกลุ่มใหญ่ที่มีดาวปรากฏเป็นจุดๆ ก็หมุนวนปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว ดาวหกดวงกำลังหมุนวนอย่างสงบเงียบอยู่ท่ามกลางลำแสงหลากสี เหมือนกับค่ายกลใหญ่ที่ปิดล้อมทางเข้านรก ปิดทางออกนรกแล้ว


ทันใดนั้น ก็มีกลุ่มคนที่หนาแน่นยั้วเยี้ยเหาะออกมาจากดาวหกดวง พอใกล้จะถึงดาราจักรก็จัดขบวนรอเงียบๆ ทหารเกราะแดงหลายคนออกมาจากขบวน มารอรับอยู่ด้านหน้า ทำความเคารพอยู่ตรงหน้าพวกเกาก้วนที่มาถึงในชั่วพริบตาเดียว “คารวะจอมพล!”


จอมพลเถิงเฟยมองไปรอบๆ แวบหนึ่ง สุดท้ายสายตาก็ไปหยุดอยู่บนหน้าเกาก้วน เกาก้วนที่สีหน้าเรียบเฉยยื่นป้ายคำสั่งแผ่นหนึ่งออกมาพร้อมบอกว่า “การทดสอบสิ้นสุดลงแล้ว เริ่มจบเถอะ!”


“น้อมรับบัญชาสวรรค์!” เถิงเฟยใช้สองมือรับป้ายคำสั่ง พอพลิกฝ่ามือ ป้ายคำสั่งก็ยิ่งขึ้นฟ้า กลายเป็นมังกรบินสีรุ้งตัวหนึ่ง แล้วกลายเป็นอักษรคำว่า ‘คำสั่ง’ เลื้อยอยู่กลางอากาศ หลังจากจ้องคำสั่งมังกรพักหนึ่ง สายตาของเถิงเฟยก็กลับไปอยู่บนตัวของกลุ่มลูกน้อง แล้วโบกมือกล่าวเสียงดังว่า  “น้อมรับคำสั่งราชันสวรรค์ การทดสอบจบลงแล้ว เริ่มเก็บกวาดสนาม!”


“รับทราบ!” กลุ่มทหารเอ่ยรับคำสั่งเสียงดัง จากนั้นก็ต่างคนต่างหันตัวมาจัดกำลังพลของตัวเอง ก่อนจะแยกย้ายกันไปทั่วทุกทิศ เก็บกวาดในดาราจักรที่อยู่รอบๆ ป้องกันไม่ให้โจรกบฏในนรกมาดักฆ่าผู้เข้าร่วมการทดสอบอยู่ใกล้ๆ ทางออก เพื่อปูทางให้ผู้เข้าร่วมทดสอบกลับมา


เห็นกำลังพลหลายแสนแยกย้ายกันในชั่วพริบตาเดียว ดำเนินการตรวจสอบค้นหาบนดาวทุกดวงที่อยู่รอบๆ ตรงนั้นเหลือเพียงจุยหย่วนและกำลังพลที่เฝ้าอยู่ตรงจุดทดสอบตลอดมา


เถิงเฟยยื่นมือเชิญไปทางดาวหกดวงที่วางค่ายกลปิดทางออกไว้ เกาก้วนโบกมือบอกว่า “ได้รับคำสั่งมาจากราชินีสวรรค์ ไม่กล้าเกียจคร้าน หาจุดสังเกตการณ์ที่เหมาะสมดูเอาแล้วกัน”


ทั้งสองหันไปมองพร้อมกัน สายตาไปหยุดอยู่บนดาวดวงหนึ่งที่ค่อนข้างไกล แล้วเหาะออกไปพร้อมกัน จุยหย่วนหันกลับมาสั่งคนกลุ่มหนึ่งให้อยู่เฝ้าทันที แล้วพาคนอีกกลุ่มเร่งตามไป…


“ประมุขปราชญ์ คำสั่งมังกรของประมุขชิงออกมาแล้ว กำลังประกาศจบการทดสอบอย่างเป็นทางการ ทางโจรกบฏเริ่มเก็บกวาดตรงแถวๆ ทางออกแล้ว”


บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่เต็มไปด้วยหุบเขาและเหมาะกับการซ่อนตัว กงซุนลี่เต้าโบกมือให้สายลับที่มารายงานถอยไป แล้วหันตัวมารายงานเหมียวอี้ที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด


เหมียวอี้เดินออกมาจากเงามืดของภูเขา ยังคงหน้าตาเหมือนคนชราเช่นเดิม โดยมีเหลียงหรงและหมี่หลิงติดตามอยู่ทางซ้ายและขวา


“ลำบากขุนพลใหญ่ต้องคุ้มกันส่งตลอดทางแล้ว!” เหมียวอี้ออกมากล่าวขอบคุณ


“มิบังอาจ” กงซุนลี่เต้ากล่าวอย่างเกรงใจแบบที่หาฟังได้ยาก แล้วถามอีกว่า “ไม่ทราบว่าประมุขปราชญ์เตรียมตัวจะออกเดินทางเมื่อไร?”


“ยิ่งเวลาผ่านไปนานก็ยิ่งมีอุปสรรคมาก ข้าเตรียมจะออกเดินทางทันที” เหมียวอี้ตอบ


กงซุนลี่เต้าจึงกล่าวว่า “ตรงนี้อยู่ใกล้ทางเข้าแดนอเวจีแล้ว เถิงเฟยมีกำลังไม่อ่อนแอ ข้าเคยประมือกับเขา มีเขาเฝ้ารักษาการณ์อยู่ ข้าจึงไม่สะดวกจะไปส่งที่หนทางข้างหน้า ไม่อย่างนั้นจะทำให้ประมุขปราชญ์ถูกเปิดโปงได้ง่าย ถ้าออกเดินทางพร้อมกันเกรงว่าจะทำให้คนสงสัย ข้าจะไปถอนกำลังพลที่อยู่รอบๆ ออกก่อน จะได้ไม่เกิดความเข้าใจผิดกัน ประมุขปราชญ์รักษาตัวด้วย”


เหมียวอี้ยื่นมือเชิญ “ขออภัยที่ส่งได้เพียงตรงนี้”


กงซุนลี่เต้ากุมหมัดคารวะแล้วหันตัว ก่อนจะพุ่งไปยังจุดลึกของดาราจักรในชั่วพริบตาเดียว


เหมียวอี้ที่กำลังมองส่งรู้สึกทอดถอนใจ ในที่สุดการทดสอบก็จบลงแล้ว ร้อยปีนี้ผ่านไปอย่างวิตกกังวลจริงๆ ก่อนมาเขานึกไม่ถึงเลยว่าจะได้ประสบกับเรื่องราวแบบนี้ หวังว่าตอนหลังจะเดินทางได้อย่างราบรื่นแล้วกัน


เขาหันกลับมามองเหลียงหรงกับหมี่หลิงที่ยังติดตามอยู่ข้างหลัง เขารู้สึกสับสนนิดหน่อย


เดิมทีเขาคิดว่าหลังจากออกจากที่นี่แล้ว ก็จะหาทางนำกำลังพลของตำหนักสวรรค์มาล้อมปราบโจรกบฏกลุ่มนี้เพื่อระบายอารมณ์โกรธหลายสิบปี การแสร้งทำตัวถ่อมตนเหมือนหลานชายมาหลายสิบปีทำให้เขาไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก ตัวเองจะได้สร้างผลงานใหญ่เพื่อเลื่อนขั้นและร่ำรวย แต่ใครจะคิดว่าพวกมู่ฝานจวินจะทำแบบนั้น กดดันให้เขาต้องล้มเลิกความคิดนี้ไป


เรื่องราวก็แสดงให้เห็นชัดเจน เมื่อมีเรื่องกับห้าปราชญ์แบบนั้นแล้ว ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาอีก คนแก่หนังเหนียวห้าคนนั้นก็จะสงสัยเขาทันที ภายใต้การโต้ตอบของกลุ่มโจรกบฏ ถึงตอนนั้นความจริงของเขาก็จะต้องเปิดโปงต่อหน้าตำหนักสวรรค์เช่นกัน ตัวเองก็อย่าได้คิดว่าจะอยู่ดีมีสุขเลย ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น กลุ่มอนุภรรยาของตัวเองล้วนฝึกหกเคล็ดวิชาพิเศษ ต่อให้เขาจะพูดว่าไม่รู้อะไรทั้งนั้น แต่ตำหนักสวรรค์จะเชื่อเขาเหรอ?


ในทางกลับกัน การที่ตนไม่กล้านำกำลังพลของตำหนักสวรรค์มากำจัดโจรกบฏกลุ่มนี้ เรื่องนี้จะต้องกลายเป็นจุดอ่อนของตนแน่นอน ตอนนี้ปิดบังไม่รายงาน แต่มารายงานตอนหลังเพราะมีเจตนาอะไรล่ะ? ตำหนักสวรรค์จะเชื่อเจ้าได้ก็แปลกแล้ว พอเป็นแบบนี้ ก็เท่ากับตนได้ผูกมัดอยู่กับโจรกบฏกลุ่มนี้แล้ว กลายเป็นส่วนหนึ่งของโจรกบฏที่สมกับชื่อเรียก


มารดาเจ้าเถอะ เหมือนเห็นผีตอนกลางวันแสกๆ เข้าแล้ว มาเพื่อหาสมบัติแท้ๆ แต่อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นหัวหน้าโจรกบฏเสียแล้ว ทั้งยังถูกบีบเอาไว้จนไม่กล้าทำอะไรซี้ซั้วอีก นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!


เหมียวอี้บ่นด่าในใจอย่างบ้าคลั่ง เงยหน้ามองฟ้าอย่างพูดไม่ออก ก่อนหน้านี้ยังภาคภูมิใจกับตัวเองอยู่เลยที่ได้เจอสมบัติที่ประมุขไป๋ซ่อนไว้ ตนวิ่งเต้นหาสมบัติไปทั่วอย่างเต็มใจรับความลำบาก แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์นี้ไปแล้ว ต่อให้เป็นคนโง่ก็ตระหนักได้ว่าในกระดานหมากของประมุขไป๋มีอุบายซ่อนอยู่ ตัวเองโลภในทรัพย์สินถึงได้ตกอยู่ในกระดานหมากของประมุขไป๋ ไม่รู้เหมือนกันว่าในอนาคตจะถูกชี้นำไปทางไหน กับดักนี้ใหญ่เกินไปจริงๆ สามารถทำให้เขากลายเป็นประมุขปราชญ์อู๋เลี่ยงได้ง่ายๆ แค่คิดก็รู้แล้วว่ามีพลังมากขนาดไหน ตัวเองไม่มีทางควบคุมได้เลย จะเป็นเคราะห์หรือเป็นโชคดีก็ทำได้เพียงดูไปทีละก้าว


“พวกเจ้าสองคนกลับไปเถอะ ถ้าไปข้างหน้ามากกว่านี้พวกเจ้าก็ไม่สะดวกจะโผล่หน้าไป” เหมียวอี้บอกผู้หญิงสองคนที่ดูแลตนมาตลอดหลายสิบปี


เหลียงหรงตอบว่า “ประมุขขุนพลกำชับไว้ บอกว่ากำลังพลระดับล่างยังมีคนที่ไม่เชื่อฟังประมุขปราชญ์ กังวลว่าจะมีคนแอบอ้างเรื่องที่โจรกบฏเข่นฆ่ากันเองมาเล่นงานกับท่าน จึงสั่งให้พวกเรามาดูให้เห็นกับตาว่าประมุขปราชญ์ออกจากที่นี่อย่างปลอดภัย พวกเราถึงจะกลับได้”


เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขระ จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “จินม่านช่างใส่ใจจริงๆ ไม่แปลกใจที่ทุกคนผลักดันให้เป็นประมุขขุนพล” พูดจบก็หันตัวเอามือไขว้หลัง รออย่างเงียบๆ


หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม เหลียงหรงที่ใช้ระฆังดาราติดต่อรับข่าวสารก็บอกว่า “ประมุขปราชญ์ ได้ข่าวมาแล้วค่ะ ขุนพลใหญ่กงซุนนำคนฝั่งพวกเราถอนทัพไปแล้ว ตอนนี้ท่านสามารถออกเดินทางได้แล้วค่ะ”


เหมียวอี้พยักหน้า แล้วหันตัวมาบอกว่า “หลายปีมานี้รบกวนให้ทั้งสองดูแลรับใช้ ถ้ามีโอกาสเหมียวอี้จะมาตอบแทนอีกที กล่าวอำลาตรงนี้ วันหลังค่อยพบกันใหม่”


“น้อมส่งประมุขปราชญ์” ผู้หญิงทั้งสองกุมหมัดคารวะพร้อมกัน


เหมียวอี้ไม่พูดอะไรมากอีก หลังจากหยิบแผนที่ดาวออกมาดูตำแหน่งให้แน่ใจแล้ว ก็ถลันตัวจากไป


รอจนเหมียวอี้จากไปไกลแล้ว ทั้งสองถึงได้เหาะตามหลังไป แล้วใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองตามเหมียวอี้ตลอดทางจนเข้าเขตที่ปลอดภัย จากนั้นถึงได้พยักหน้าให้กันแล้วเหาะจากไปยังทิศทางตรงกันข้าม…


“กวาดล้างบ้าบออะไร เก็บกวาดในอาณาเขตไม่ให้เข่นฆ่าแย่งชิง ทำเอาพวกเราได้แต่หลบอยู่รอบนอกเหมือนเฝ้าต้นไม้รอกระต่าย อาณาเขตรอบนอกกว้างใหญ่ขนาดนี้ จะต้องโชคดีขนาดไหนถึงจะมีคนผ่านมาทางนี้?”


บนดาวเคราะห์ขนาดไม่ใหญ่ดวงหนึ่งที่โดนขุดจนกลวง เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่ซ่อนตัวอยู่ในนั้นโผล่จากรูถ้ำออกมาสังเกตการณ์รอบๆ อยู่เป็นระยะ ปากก็ด่าไม่หยุด แถมมือก็ยังแสร้งฉวยโอกาสลูบคลำซี้ซั้วเหมือนไม่รู้อะไร


คนที่อยู่ข้างเขายังมีฝานอวี้เฟย นางโบกดาบไปยังมือมารที่ลูบคลำเข้ามาโดยตรง ทำเอาเซี่ยโห้วหลงเฉิงตกใจจนรีบหดมือกลับไป


ฝานอวี้เฟยมองเขาตาขวาง เรียกได้ว่าแค้นจนกัดฟันกรอด ถ้าไม่ใช่เพราะกังวลเรื่องฐานะของเขา กังวลว่าถ้าฆ่าเจ้าเวรนี่แล้วจะกลับไปอธิบายไม่ได้ นางคงฆ่าเขาทิ้งไปแล้วจริงๆ


ใช่แล้วล่ะ เซี่ยโห้วหลงเฉิงชอบหวงฝูจวินโหรว แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่แตะต้องผู้หญิงคนอื่นเลย ลูกหลานผู้มีอำนาจแบบนี้ จะให้เที่ยวเล่นหาความสำราญโดยไม่เสียตัวเลยก็เป็นไปไม่ได้ ค่านิยมในสังคมก็เป็นเช่นนี้ เซี่ยโห้วหลงเฉิงเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น และในหนึ่งร้อยปีมานี้ เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็เก็บกดไม่มีที่ระบายอารมณ์มานานเกินไป ข้างกายก็มีแค่ฝานอวี้เฟยคนเดียวที่เป็นผู้หญิง เรียกได้ว่าคิดไม่ซื่อกับนางครั้งแล้วครั้งเล่า แต่มีหรือที่ฝานอวี้เฟยจะยอมเขา ถ้าเซี่ยโห้วหลงเฉิงเป็นหัวกะทิของตระกูลเซี่ยโห้ว บางทีนางอาจจะพอพิจารณาได้บ้าง แต่ตัวละครประเภทหมีควายโง่เง่าแบบนี้ ถ้าอยู่ด้วยก็มองไม่เห็นอนาคตอะไร ฐานะภูมิหลังแบบนี้ตบตาได้เฉพาะพวกผู้หญิงที่ไร้ความรู้เท่านั้น นางเองก็ไม่ใช่คนที่ไร้ประสบการณ์ความรู้ จะไปชายตามองเขาได้อย่างไร ย่อมไม่ยอมให้เขาเอาเปรียบลวนลามอยู่แล้ว


ภายใต้ความโมโหหงุดหงิด นางตอบกลับเพียงว่า “ถ้าไม่กวาดล้างสนาม เกรงว่าคนที่หลบอยู่ที่นี่จะไม่ได้มีแค่พวกเรา แต่จะเป็นโจรกบฏด้วย!” นางเจตนาจะชี้ให้เห็นถึงความโง่เง่าของใครบางคน


แน่นอน คนที่ติดตามปกป้องเซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่ได้มีแค่ฝานอวี้เฟยคนเดียว ตอนนี้กำลังกระจายกำลังกัน ข้างกายยังมีอีกสี่คนที่แยกไปดักซุ่มเป็นสองกลุ่ม


เดิมทีกำลังพลที่อยู่ข้างกายเซี่ยโห้วหลงเฉิงมีเยอะมาก นับว่ามีหลายหมื่นคน แต่ตระกูลเซี่ยโห้วได้ข่าวเรื่องการทดสอบในนรกเร็วมาก จึงบอกให้เขารู้ได้ทันเวลาว่า :  ถ้าอยากจะมีชีวิตรอดในนรก ก็อย่าใช้คนจำนวนมากเกินไปมาโอ้อวด คนเยอะจะดึงดูดความสนใจของโจรกบฏได้ง่าย คนน้อยต่างหากที่เป็นหนทางในการปกป้องตัวเอง ต่อให้โจรกบฏจะร้ายกาจกว่านี้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเติมคนไว้จนทั่วทั้งแดนอเวจี ตราบใดที่ไม่ไปถึงใจกลางนรกที่ป้องกันไว้หนาแน่นมิดชิด โอกาสในการรอดชีวิตก็ยังมีเยอะมาก


เซี่ยโห้วหลงเฉิงย่อมทำความคำแนะนำแต่โดยดีอยู่แล้ว ถ้าข้างกายขาดคนไป เขาก็จะหมดความมั่นใจทันที โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นการตายอย่างอนาถของคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ไกลๆ หลังจากได้รับรู้ถึงพลังของโจรกบฏ ความรู้สึกกล้าหาญที่พอหัวร้อนก็วิ่งไปประสมโรงได้บินหายไปไกลสุดขอบฟ้าแล้ว มีหรือที่จะกล้าเพ่นพ่านไปทั่วนรก พอเจอดาวเคราะห์ดวงหนึ่งขุดหลุมลึก หลบอยู่เป็นเวลาเกือบร้อยปี เอาตัวรอดไปวันๆ จนถึงวันนี้


ที่จริงคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับเขาก็มีไม่น้อย ลูกหลานผู้มีอำนาจส่วนใหญ่โดนกดดันถึงได้มา ไม่เคยคิดถึงคะแนนดีๆ อะไรทั้งนั้น ขอแค่ปะปนอยู่จนถึงตอนจบของการทดสอบก็พอ เดี๋ยวกลับไปอาศัยภูมิหลังของตระกูลก็จะมีอนาคตเอง


แต่คนประเภทนี้หลังจากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วมักจะมีความคิดอีกอย่างหนึ่ง เมื่อรักษาชีวิตไว้ได้ก็ย่อมหวังความร่ำรวย ยกตัวอย่างเช่นเซี่ยโห้วหลงเฉิงในตอนนี้ ถอยแล้วสามารถรักษาชีวิตไว้ได้ ข้างหลังถูกเก็บกวาดสนามแล้ว ไม่มีอะไรให้ห่วงหน้าพะวงหลัง ซ่อนตัวมาเกือบร้อยปีในมือจึงไม่มีผลงานอะไรเลยสักนิด ย่อมต้องคิดไม่ซื่อกับคนอื่นอยู่แล้ว


ฝานอวี้เฟยไม่สนใจคะแนนนี้ ขอเพียงปกป้องให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงรอดชีวิตกลับไปได้ เซี่ยโห้วหู่เฉิงก็ย่อมช่วยหาตำแหน่งให้นางอยู่แล้ง ถ้าเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ไม่ได้ ไปเป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่อื่นก็นับว่ามีอนาคตเหมือนกัน เอาเป็นว่าหลังจากจบเรื่องนี้แล้ว เซี่ยโห้วหู่เฉิงไม่ปฏิบัติต่อนางอย่างขาดความยุติธรรมแน่


“เฮ้ยๆ โชคดี มีคนผ่านมาทางนี้แล้วจริงๆ รีบเตรียมตัว!”


เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่หยิบระฆังดารามาฟังข่าวพลันหัวเราะลั่น โบกมือเรียกให้ฝานอวี้เฟยเตรียมตัวลงมือ ดวงตาแนบชิดกับรูถ้ำเพื่อมองประเมิน


ฝานอวี้เฟยก็เอาตาไปแนบชิดบนตาถ้ำที่ขุดเช่นกัน นางใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองสำรวจ เห็นเพียงชายชราคนหนึ่งที่สวมเครื่องแบบเกราะทองของตำหนักสวรรค์กำลังเหาะมาทางนี้พร้อมมองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวัง


รอจนกระทั่งคนบุกเข้ามาในที่ดักซุ่ม “ลุย!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงพลันตะโกน แล้วโบกมือเก็บก้อนหินที่ปิดปากโพรงถ้ำโดยตรง พุ่งตัวนำออกไปก่อน พร้อมปล่อยสัตว์พาหนะไปดักหน้าอย่างรวดเร็ว โดยมีฝานอวี้เฟยตามหลังไป


เห็นเพียงเซี่ยโห้วหลงเฉิงโบกดาบใหญ่ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดอยู่ไกลๆ “โจรเฒ่า อย่าหนีนะ!”


หนีบ้าอะไรวะ! พอชายชราเห็นเซี่ยโห้วหลงเฉิงตอนแรกก็อึ้งไปชั่วขณะ แล้วก็หยุดทันที พร้อมพึมพำกับตัวเองว่า “ไอ้หมีควายนี่มันเป็นผีที่วิญญาณมีห่วงจริงๆ ขนาดเป็นแบบนี้ยังเจอกันได้?”


เขารีบหันกลับมาอย่างรวดเร็ว เห็นข้างหลังและทางซ้ายขวามีคนโผล่มาล้อมฝั่งละสองคน จึงไม่พูดพร่ำทำเพลง เรียกสัตว์พาหนะที่สวมเกราะรบผลึกแดงดุร้ายน่ากลัวออกมาโดยตรง


บทที่ 1245 ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าเด็กนี่จะรอดกลับมาได้

โดย

Ink Stone_Fantasy

พอสัตว์พาหนะตัวนี้โผล่มา แต่ละคนที่เข้ามาล้อมก็เรียกได้ว่าจดจำได้อย่างลึกซึ้ง สัตว์เทพที่สามารถสวมเกราะรบผลึกแดงได้เหมือนจะมีไม่เยอะ บวกกับหน้าตาที่เหมือนกับตัวที่ติดอยู่ในภาพความทรงจำของพวกเขาทุกอย่าง แต่ละคนจึงผ่อนความเร็วในการพุ่งเข้ามาพร้อมเบิกตากว้างมองมัน


เกราะรบสีทองบนตัวชายชราหายไป แทนที่ด้วยเกราะรบผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูง พอโบกมือชี้ ทวนเกล็ดย้อนที่มีเสียงมังกรคำรามก็ปรากฏอยู่ในมือ ปั้ง! หน้ากากปลอมบนใบหน้าระเบิดปลิวกระจาย โฉมหน้าที่แท้จริงของเหมียวอี้ปรากฏออกมาแล้ว


คนที่สามารถขี่เฮยทั่นได้ นอกจากเหมียวอี้ก็ย่อมไม่มีใครแล้ว บนทางที่มาเขาไม่อยากเกิดความเข้าใจผิดกับโจรกบฏ จึงไม่เผยโฉมหน้าที่แท้จริง แต่พอเข้าใกล้บริเวณนี้ก็ไม่อยากให้คนของตำหนักสวรรค์ที่เก็บกวาดสนามเข้าใจผิดเช่นกัน จึงสวมเกราะรบเครื่องแบบของตำหนักสวรรค์อีก ใครจะไปคิดว่าจะเจอกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงที่ดักซุ่มอยู่ที่นี่ เจอศัตรูบนทางแคบจริงๆ


เหมียวอี้อยากจะถามมากว่า ทำไมเจ้าหมีควายนี่ถึงยังไม่ตายอีก?


“กรร…” เฮยทั่นเงยหน้าขึ้นฟ้าพร้อมคำรามอย่างเกรี้ยวกราด อยู่ว่างๆ มาหลายปีแล้ว เมื่อเห็นอีกฝ่ายจัดกระบวนทัพพุ่งโจมตี เจ้าสัตว์ตัวนี้ก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาอีกแล้ว


“หนิวโหย่วเต๋อ…” เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่เบิกตากว้างทำสีหน้าไม่ถูก ทำไมซวยแบบนี้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะดักได้สักคน นึกไม่ถึงว่าจะบังเอิญเจอกับเจ้าคนโหดคนนี้


ทุกคนในที่นี้จดจำภาพความห้าวหาญที่ผู้บัญชาการใหญ่หนิวโจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกอยู่ในทัพใหญ่หนึ่งล้านได้อย่างลืมไม่ลง ทุกคนหยุดทันที ไม่มีใครกล้าไปรับศึกกับเหมียวอี้


“น้องหนิว ทำไมเจ้าถึงปลอมตัวแล้ววล่ะ? เหอะๆ เข้าใจผิดแล้ว! ไปดีๆ นะ ส่งตรงนี้!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงหัวเราะแห้งๆ แล้วโบกมือตะโกนบอกพวกลูกน้อง “ถอย!”


เหมียวอี้เก็บทวนเกล็ดย้อน แล้วพลิกฝ่ามือช้อนธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ออกมา นำลูกธนูดาวตกมาง้างไว้บนสายธนู แล้วเล็งไปที่เซี่ยโห้วหลงเฉิง “หมีควาย จะหนีไปไหน!”


เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่หันกลับมามองเป็นระยะ พอเห็นฉากแบบนี้ ก็กล่าวอย่างลนลานทันทีว่า “น้องหนิว พวกเราไม่มีบุญคุณความแค้นต่อกัน เจ้าทำแบบนี้หมายความว่ายังไง?”


ทุกคนล้วนได้เห็นความร้ายกาจของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์มาแล้ว สิ่งนี้รับมือได้ยากมาก


ไม่มีบุญคุณความแค้นต่อกัน? เจ้าพูดออกมาได้อย่างไม่ละอาย! เหมียวอี้พูดไม่ออกมา เคยเจอคนไร้ยางอายมาก่อน แต่ไม่เคยเจอใครไร้ยางอายขนาดนี้ ช้างกล้าพูดเหลวไหลแบบตาไม่กะพริบจริงๆ


“หมีควาย ความแค้นระหว่างเราควรจะแก้ไขได้แล้ว เป็นศัตรูหรือมิตร จะเป็นหรือตายเจ้าก็เลือกเอาเองแล้วกัน!” เหมียวอี้ถือธนูขู่เตือน


ฝานอวี้เฟยรีบถือดาบมาขวางตรงหน้าเซี่ยโห้วหลงเฉิง แล้วกล่าวเสียงดังว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าอย่าทำซี้ซั้ว เจ้าเองก็รู้ภูมิหลังของเขา?”


“ข้าล่วงเกินคนไว้มากพอแล้ว ล่วงเกินผู้มีอำนาจไว้ทั่ว จะกลัวทำไมล่ะ!” เหมียวอี้กล่าว


“…” ฝานอวี้เฟยพูดไม่ออก อีกสี่คนที่มาล้อมเหมียวอี้เป็นมุมแหลมก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวบุ่มบ่ามเช่นกัน เป็นเพราะผู้บัญชาการใหญ่หนิวโหดเกินไป ภาพที่ใช้ทวนเดียวจัดการจนจ้านหรูอี้สาหัสยังติดตาเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นใหม่


เซี่ยโห้วหลงเฉิงช่างรู้จักยืดรู้จักหดจริงๆ รีบบนว่า “น้องหนิว พวกเราเป็นสหายกันมาตลอด สนิทกันตั้งแต่อยู่ดาวเทียนหยวนแล้ว จะเป็นศัตรูกันได้ยังไง สัญญาที่พวกเราลงนามกันก่อนหน้านี้ ก็เป็นแค่เรื่องล้อเล่นเท่านั้น” เขาหยิบแผ่นหยกขึ้นมาโยนใส่เหมียวอี้


แผ่นหยกที่ลอยเข้ามาโดนพลังอิทธิฤทธิ์กั้นไว้ตรงหน้าเหมียวอี้ หลังจากเหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์อ่านดูกลางอากาศ ก็พบว่าเป็นสัญญาท้าสู้ที่บอกว่าต่อให้ตนโดนเซี่ยโห้วหลงเฉิงโจมตีจนตายก็จะไม่ถามหาความรับผิดชอบใดๆ


สิ่งที่เขาต้องการก็คืออันนี้ ไม่อย่างนั้นถ้าออกจากแดนอเวจีแล้วอาจจะโดนเจ้าเวรนี่เกาะแกะพัวพัน อาศัยภูมิหลังของเจ้าเวรนี่ ถ้าไปอยู่ในอาณาเจตของตำหนักสวรรค์ก็จะทำให้คนปวดหัวมาก อีกฝ่ายมองสัญญานี้เป็นจริงเป็นจังได้ แต่เขากลับไม่มีทางเอาจริงได้ ตอนนั้นทำสัญญานี้เพื่อจะให้เจ้าโง่นี่สงบลงเฉยๆ


พลังอิทธิฤทธิ์โจมตีกลางอากาศ ปั้ง! แผ่นหยกกลายเป็นฝุ่นผง


แสงบนธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์และลูกธนูดาวตกเลือนรางไป เหมียวอี้คลายสายธนู พลิกฝ่ามือเก็บธนู แล้วขี่เฮยทั่นพุ่งเข้าไปโดยตรง


เซี่ยโห้วหลงเฉิงวู่วามอยากจะหนี แต่ไม่เห็นว่าบนมือเหมียวอี้จะถืออาวุธอะไร บวกกับมีฝานอวี้เฟยขวางอยู่ข้างหน้า ถึงอย่างไรก็หนีไม่พ้นความเร็วของลูกธนูดาวตก ทำได้เพียงแข็งใจอดทนไว้


พอเข้ามาใกล้ตรงหน้า เหมียวอี้ก็ถามว่า “หมีควาย การทดสอบจบลงแล้ว ทำไมเจ้าไม่กลับไปแต่กลับมาหลบปล้นอยู่ตรงนี้?”


เซี่ยโห้วหลงเฉิงกลัวว่าเหมียวอี้จะปล้นตัวเอง เพื่อที่จะพิสูจน์ว่าที่มือตัวเองไม่มีของอะไร เขารีบตอบอย่างซื่อสัตย์ว่า “ข้ามาหลบที่นี่ร้อยปีแล้ว แทบจะไม่ได้ไปไหนเลย ในมือไม่มีผลงาน ถ้ากลับไปมือเปล่าจะเสียหน้าเกินไป ก็เลยคิดจะรอโอกาสอยู่ตรงนี้ นึกไม่ถึงว่าจะได้น้องหนิว…น้องหนิว ไม่ทราบว่าคะแนนของเจ้าเป็นยังไงบ้าง?”


“ยังไม่ได้เห็นการเรียงคะแนน เลยไม่รู้ว่าคะแนนตัวเองเป็นยังไง” เหมียวอี้:


“งั้นก็ขออวยพรให้น้องหนิวโชคดีแล้วกัน เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ข้าจะรออยู่ตรงนี้ต่อไป ขออภัยที่ส่งได้แค่ตรงนี้” เซี่ยโห้วหลงเฉิงรีบกุมหมัดอำลา ถ้าผู้บัญชาการใหญ่หนิวอยู่ข้างกายเขาก็ไม่วางใจจริงๆ


เหมียวอี้ไม่รีบไป แต่เงียบไปครู่หนึ่งแล้วหยิบแผ่นหยกออกมา นี่ก็คือ ‘ผลงาน’ ที่นำกลับไปครั้งนี้เช่นกัน คัดลอกหนึ่งฉบับโยนให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงต่อหน้าทุกคน “ในเมื่อเป็นสหายกัน ก็ทนเห็นเจ้าเสี่ยงอันตรายอยู่ที่นี่ไม่ได้หรอก ข้าแบ่งปันผลงานกับพี่เซี่ยโห้วแล้วกัน จะได้กลับไปรายงานผลงานด้วยกัน”


เขาไม่สนใจว่าครั้งนี้คะแนนของตัวเองจะดีหรือแย่ แค่รักษาตำแหน่งไว้ได้ก็พอแล้ว กลับกังวลด้วยซ้ำว่าถ้าออกไปแล้วคะแนนทดสอบโดดเด่นเกินไปจะทำให้คนสงสัย ถ้าไม่ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของโจรกบฏก็ย่อมไม่มีความกังวลนี้ ตอนนี้กลับต้องระวังสักหน่อย เซี่ยโห้วหลงเฉิงเป็นโล่กำบังที่ไม่เลว เพียงแต่ต้องยกผลประโยชน์ให้เจ้าหมีควายนี่ก็เท่านั้นเอง


จุดที่สำคัญอีกอย่างก็คือ ถ้าอยากจะทำมาหากินอยู่ที่ตลาดสวรรค์ต่อไป การสร้างสัมพันธ์อันดับกับคนตระกูลเซี่ยโห้วก็คือสิ่งที่จำเป็นมาก ถึงอย่างไรตอนนี้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ราชินีสวรรค์ก็เป็นคนควบคุมระบบตลาดสวรรค์


เซี่ยโห้วหลงเฉิงอ่านดูสิ่งที่อยู่ข้างใน พบว่าสถานที่และอาณาเขตที่อยู่ในนั้นล้วนทำเครื่องหมายและบรรยายไว้ชัดเจนมาก ไม่เหมือนของปลอม จึงเงยหน้าถามอย่างดีใจเหนือความคาดหมายว่า “น้องหนิว มอบให้ข้าจริงเหรอ?”


เหมียวอี้สงบนิ่งมาก หลังจากเจอเรื่องที่ห้าปราชญ์ร่วมมือกันทรยศ สภาพจิตใจก็เปลี่ยนไปบ้างแล้ว ยิ้มเรียบๆ พร้อมตอบว่า “ภูมิหลังของพี่เซี่ยโห้วก็เห็นๆ กันอยู่ ย่อมไม่ปั่นหัวเล่นอยู่แล้ว” พูดจาได้สั้นกระชับตรงประเด็น


“ดีๆๆๆ!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงพยักหน้าไม่หยุด เอามือลูบคางยิ้มโง่ๆ อยู่อย่างนั้น แล้วยื่นมือเชิญ “ไปๆๆ! กลับด้วยกันๆ”


ทั้งสองฝ่ายกลับมาด้วยกัน ระหว่างทางเซี่ยโห้วหลงเฉิงยังประจบสอพลอไม่หยุดด้วย “น้องหนิวก็ยังคงเป็นน้องหนิว ขนาดลุยเดี่ยวในนรกก็ยังได้ผลงาน ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ!”


เหมียวอี้ตอบว่า “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ผลงานนี้คือสิ่งที่พวกเราทำมาด้วยกัน”


“เหอะๆ! เตือนได้ดี เตือนได้ดี ใช่ๆๆๆ พวกเราทำด้วยกัน” เซี่ยโห้วหลงเฉิงพยักหน้ายิ้มโง่ๆ เขาย่อมไม่บอกกับคนนอกว่านี่คือสิ่งที่เหมียวอี้หามาได้คนเดียว ไม่อย่างนั้นสิ่งที่อยู่ในมือเขาจะเอามาจากไหนล่ะ? แบบนั้นไม่ใช่การตบปากตัวเองหรอกเหรอ


จู่ๆ ฝานอวี้เฟยที่อยู่ข้างหลังก็บอกว่า “เซี่ยโห้วหลงเฉิง ผลงานนี้จะทำสำเนาห้าชุดแบ่งให้พวกเราคนละชุดใช่มั้ย?” คำพูดนี้ตรงไปตรงมามาก เป็นการเอ่ยปากแทนอีกห้าคน เมื่อมีโอกาสเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ที่ร่ำรวย ก็ย่อมไม่อยากพลาดอยู่แล้ว


ใครจะคิดว่าพอเซี่ยโห้วหลงเฉิงได้ยินแบบนั้น ก็หันกลับมามองด้วยสีหน้าระแวดระวังทันที เขาไม่เคยมีคุณธรรมกับลูกน้องมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ให้แต่ลูกน้องทุ่มเทชีวิตทำงานให้ ไม่ได้มีนิสัยชอบแบ่งปันให้ลูกน้อง แต่ไหนแต่ไรมาก็มีแต่เข้าไม่มีออก ของที่มาอยู่ในมือเขาแล้ว จะให้เขานำออกมาแบ่งกับคนอื่นงั้นเหรอ เป็นเรื่องที่ยากมากจริงๆ เขาตอบอย่างชัดเจนว่าไม่กล้าแบ่งให้ “นี่คือของที่น้องหนิวมอบให้ ให้พวกเจ้าเกรงว่าจะไม่เหมาะสมนะ?”


ห้าคนที่อยู่ข้างหลังได้ยินแล้วแค้นจนกัดฟันกรอด ปกป้องเจ้ามาหลายปีขนาดนี้ ถ้ามีอันตรายก็ให้พวกเราลุยก่อน แต่พอมีผลประโยชน์ก็ฮุบไว้คนเดียว เจ้านี่มันเป็นตัวอะไรกัน!


แต่จนใจที่บีบบังคับให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงมอบให้ไม่ได้ ทำได้เพียงด่าบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเขาอยู่ในใจ!


เหมียวอี้เหลือบมองปฏิกิริยาของเซี่ยโห้วหลงเฉิง พบว่าเจ้าหมีควายนี่มีสันดานเห็นแก่ตัวที่แก้ไม่หาย ยามมีผลประโยชน์ก็เอาไว้ไม่ยอมปล่อย ถ้าไม่ใช่เพราะมีฐานะภูมิหลังแบบนั้น คาดว่าคงโดนฆ่าตายไปนานแล้ว เขาหันกลับมามองปฏิกิริยาของพวกฝานอวี้เฟยอีก แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “พี่เซี่ยโห้ว ตลาดสวรรค์มีตั้งแปดพันกว่าตำแหน่ง พวกเราแบ่งกันก็ได้นั่งแค่สองตำแหน่งเท่านั้น แบบนั้นจะทำให้คนอื่นได้ผลประโยชน์ไปนะ ไม่สู้ยกประโยชน์ให้คนของตัวเองไม่ดีกว่าเหรอ?”


พวกฝานอวี้เฟยทำสีหน้าซาบซึ่งใจทันที


เซี่ยโห้วหลงเฉิงกลับไม่สมัครใจเลยแม้แต่น้อย “เรื่องนี้พูดให้ชัดเจนลำบากนะ! ก็เหมือนอย่างที่เจ้าบอก ตอนนี้พวกเราไม่รู้ชัดว่าผลงานที่อยู่ในมือคนอื่นเป็นยังไงบ้าง จะรู้ได้ยังไงว่าคะแนนในมือตัวเองดีหรือแย่”


เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัวได้ถึงขั้นนี้ เหมียวอี้ยอมแพ้เจ้าเวรนี่แล้วจริงๆ จึงอธิบายอีกครั้งว่า “เพิ่มมาอีกห้าคนไม่ส่งผลกระทบต่อแปดพันรายชื่อมากนักหรอก ถ้าส่งผลกระทบจริงๆ คาดว่าพวกเขาก็คงถอยไปเอง ไม่มาแย่งกับพี่เซี่ยโห้วหรอก”


หนึ่งในห้าคนนั้นบอกทันทีว่า “หลักการนี้แหละ ไม่กล้าแย่งกับพี่เซี่ยโห้วหรอก”


เมื่อเห็นเหมียวอี้เป็นแบบนี้ เซี่ยโห้วหลงเฉิงทำได้เพียงปล่อยของรักอย่างไม่เต็มใจ ประเด็นสำคัญคือตอนนี้ยังกลัวเหมียวอี้อยู่นิดหน่อย แต่กลับแอบเล่นไม่ซื่อไปบ้าง แม้แต่เหมียวอี้เองก็ไม่รู้ เหมียวอี้ให้จุดที่ทำเครื่องหมายไว้สามที่ แต่เขาคัดลอกไปแค่สองที่ แล้วโยนแผ่นหยกแผ่นนั้นให้ฝานอวี้เฟย ให้พวกเขาไปคัดลอกกันเองอีกที


เมื่อคัดลอกเสร็จแล้ว ห้าคนที่ได้ของมาไว้ในมือก็กล่าวขอบคุณเซี่ยโห้วหลงเฉิงก่อน แล้วก็กุมหมัดคารวะให้เหมียวอี้


ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ทั้งว่างทั้งรวย ถ้าครั้งนี้สามารถอาศัยคะแนนส่วนนี้เพื่อรับตำแหน่งได้จริงๆ เช่นนั้นก็แปลว่าติดหนี้น้ำใจเหมียวอี้อย่างใหญ่หลวงแล้ว อย่างไรเสียเมื่อกลับไปแล้ว เซี่ยโห้วหู่เฉิงก็ไม่มีความสามารถที่จะดันพวกเขาขึ้นนั่งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ได้อยู่ดี เพราะตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ในตอนนี้ ต้องมีคะแนนทดสอบที่ผ่านเกณฑ์เท่านั้นถึงจะขึ้นนั่งตำแหน่งนั้นได้


ตามหลักการแล้วพวกเขาก็ไม่ได้มีความสนิทสนอะไรกับเหมียวอี้ โดยเฉพาะฝานอวี้เฟยกับเหมียวอี้ที่เคยมีเรื่องกันนิดหน่อย อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องช่วยพวกเขาเลย


“หลัวชิ่งจื่อ หมานซ่าน หลู่ต๋าไค เจี่ยงจ้งเซิน”


นอกจากฝานอวี้เฟย อีกสี่คนที่เหลือรายงานชื่อตัวเองให้เหมียวอี้รู้ แสดงเจตนาอยากคบหา แต่ละคนทำสายตาซาบซึ้ง ไม่สะดวกจะกล่าวขอบคุณเหมียวอี้เมื่ออยู่ต่อหน้าเซี่ยโห้วหลงเฉิง ความซาบซึ้งได้แสดงออกทางแววตาหมดแล้ว


ฝานอวี้เฟยก็ยิ้มให้เหมียวอี้อย่างเช่นกัน พอมีเหตุการณ์ครั้งนี้แล้ว ความขัดแย้งเล็กน้อยในปีนั้นก็ถือว่าผ่านไปแล้ว เมื่อไม่มีปมความแค้นในใจ คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าฉายา ‘สามงามผมแหว่ง’ สง่างามดีเหมือนกัน ถึงอย่างไรในปีนั้นตัวเองก็เป็นฝ่ายกันแกล้งก่อน


เหมียวอี้มองดูสัญลักษณ์อิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้วพวกเขา พบว่ามีแต่ระดับบงกชทองขั้นแปดและขั้นเก้า คนที่สามารถถูกส่งมาปกป้องเซี่ยโห้วหลงเฉิงได้ คาดว่าคงจะมีพลังไม่ธรรมดาในหมู่นักพรตบงกชทอง


ทุกคนดีใจมาก พวกเขาย่อมกลับไปอย่างดีอกดีใจ


ระหว่างทางเจอดักปล้นสองรอบ แต่พอเห็นเหมียวอี้ ก็หันหน้าเลี้ยวหนีทันที อานุภาพศึกเลือดของเหมียวอี้เมื่อร้อยปีก่อนยังคงอยู่จนถึงวันนี้ ทำให้คนไม่กล้าท้าทายบารมีเสือ ทำให้ระหว่างทางกลับราบรื่นไร้อุปสรรค การได้ร่วมเดินทางกลับพร้อมเหมียวอี้ พวกเซี่ยโห้วก็รู้สึกเป็นเกียรติอยู่บ้าง


ฝานอวี้เฟยกลับแอบทอดถอนใจ เหมียวอี้สู้ศึกเดียวก็โด่งดังแล้ว ตัวเองวรยุทธ์สูงกว่าเขา แต่ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันแล้ว


ค่านิยมในสังคมก็เป็นแบบนี้ คนบางคนรุดหน้าไปตลอดทางจนทำให้คนอิจฉา แต่บางคนกลับมีแค่จิตใจที่ทะเยอะทะยาน แต่จนใจที่ความสามารถมีจำกัด ทำได้เพียงอยู่อย่างธรรมดาไปตลอดชีวิต


“ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าเด็กนี่จะรอดกลับมาได้!”


จอมพลเถิงเฟยที่ยืนอยู่บนดาวเคราะห์อันรกร้างกล่าวอย่างดีใจมาก สังเกตเห็นกลุ่มของเหมียวอี้ตั้งแต่ไกลๆ ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ ในดวงตาฉายแววประหลาดใจ


บทที่ 1246 อาหญิงแท้ๆ ของเจ้าโง่นั่นคือราชินีสวรรค์

โดย

Ink Stone_Fantasy

“จะนำผลงานกลับมาได้หรือไม่คือกุญแจสำคัญ พวกสวะที่ซ่อนตัวจนการทดสอบจบจะเอาไว้ใช้งานทำไม” เห็นได้ชัดว่าเกาก้วนมีแนวคิดที่ต่างออกไป


เถิงเฟยไม่เห็นด้วย “สำหรับเขา จะนำผลงานกลับมาได้หรือไม่นั้นไม่สำคัญ ความสามารถของเขาได้รับการพิสูจน์ตั้งแต่ตอนที่การทดสอบเพิ่งเริ่มต้นแล้ว ข้าก็หวังว่าเขาจะไม่นำผลงานกลับมา ทางตลาดสวรรค์ไม่ต้องการเขา แต่ข้าต้องการเขา!”


เกาก้วนกล่าวเสริมด้วยเสียงเรียบว่า “จอมพลเถิงลืมเรื่องที่เขาทำลายกลองสะท้านฟ้าตอนการทดสอบเพิ่งเริ่มไปแล้วเหรอ?”


เถิงเฟยพลันหันขวับ “หลังจากจบเรื่องแล้ว เจ้าคงไม่สืบสาวเอาความหรอกใช่มั้ย? เจ้าเองก็เห็นสถานการณ์ในตอนนั้นแล้ว ลั่นกลองรบปลุกใจจะแสดงความอ่อนแอไม่ได้ เขาเองก็โดนกดดันจนไม่มีทางเลือกเหมือนกัน!”


“เจ้าไม่เอาเรื่องแล้วจะมีประโยชน์เหรอ?” เกาก้วนถาม


กลุ่มของเหมียวอี้ไม่ได้สังเกตเห็นพวกเขาสองคนเลย เหาะผ่านแถวๆ ดาวเคราะห์ที่ทั้งสองยืนอยู่ไปอย่างรวดเร็ว มุ่งตรงไปทางที่มีคำสั่งมังกรบินอยู่ ต่างคนต่างมีที่ปรึกษาของการทดสอบคอยชี้บอกทาง


คนกลุ่มหนึ่งที่มีสมาชิกเจ็ดคนมาเหยียยบลงบนดาวหกดวงที่เป็นจุดปิดทางออกของแดนเวจี


เป็นแอ่งกะทะขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง บนตำหนักแห่งหนึ่งที่สูงตระหง่าน แอ่งกะทะนี้ก็คือสนามฝึกแห่งหนึ่ง


เจ็ดคนนี้ไม่ได้มาถึงก่อนเป็นกลุ่มแรก ตรงนั้นมีคนมาถึงแล้วอย่างน้อยแสนกว่าคน ไม่มีที่บังแดดบังฝนเลยสักนิด คนจำนวนแสนกว่าคนตากแดดอันร้อนแรงนั่งสมาธิฝึกตนรออยู่สนามฝึก บ้างก็กระจายตัวกัน บ้างอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม


ที่มีคนรอดชีวิตกลับมาได้เยอะขนาดนี้ เป็นเพราะตำหนักสวรรค์ไปเก็บกวาดบริเวณรอบๆ ปากทางเข้าออกล่วงหน้าและสั่งห้ามไม่ให้ปล้นฆ่ากันเองในเขตที่เก็บกวาดสนาม ขอบเขตนี้ขยายใหญ่เกินไป ถ้าอยากจะหาเป้าหมายเพื่อปล้นก็ยากลำบาก ยกตัวอย่างเช่นพวกเซี่ยโห้วหลงเฉิงที่รอไปรอมาก็ไม่เจอเป้าหมายให้ลงมือเสียที ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เจอสักคน ทั้งยังโชคดีเจอเจ้าผีประหลาด คนอื่นไม่ได้บังเอิญเจอแต่เขากลับเจอตัวเป็นๆ จะหนีก็ไม่ทัน


พอเจ็ดคนนี้เหาะลงมาจากฟ้า ก็ทำให้กลุ่มคนพากันเงยหน้ามอง เป็นเพราะสัตว์พาหนะของเหมียวอี้สะดุดตาเกินไปจริงๆ พอเห็นเหมียวอี้กลับมา คนที่อยู่ตรงนั้นก็พากันกระซิบกระซาบนินทา


พวกจางฮั่นฟางที่อยู่ในคนกลุ่มนั้น ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เก้าคนของจวนแม่ทัพภาคตงหัวสีหน้าเปลี่ยน ได้แต่มองหน้ากันไปมองหน้ากันมาอย่างเลิกลั่ก


“เจ้าเวรนี่ก็รอดกลับมาเหมือนกันเหรอ” หลิ่วกุ้ยผิงกดเสียงต่ำพึมพำบอกคนที่เหลือ


“จะกลัวเขาทำไม พอออกจากแดนอเวจีกลับอาณาเขตตัวเองแล้ว เขายังจะทำอะไรพวกเราได้อีกล่ะ?” ซางหรูเยว่


คนที่เหลือพยักหน้า เหยาสิ้งบอกว่า “ไม่รู้ว่าคะแนนเจ้าเวรนี่เป็นยังไงบ้าง ถ้ารักษาตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ไว้ไม่ได้ ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสกำจัดเขาเสียหน่อย”


เหยียนซู่ขมวดคิ้ว “ทำไมถึงกลับมาพร้อมเซี่ยโห้วหลงเฉิงแล้วล่ะ เจ้าเวรนี่อาจจะอาศัยบารมีของเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ได้  คะแนนคงไม่แย่แน่”


ร้อยปีมานี้พวกเขาซ่อนตัวอยู่ตลอด ไม่กล้าเพ่นพ่านไปไหนซี้ซั้วเลย เดิมทีควรจะกลับมามือเปล่า อำนาจที่อยู่เบื้องหลังทนไม่ไหวจนต้องวิ่งเต้นให้ ตอนใกล้จะจบการทดสอบ คนที่อยู่เบื้องหลังก็เคลื่อนไหวอย่างรีบเร่ง ช่วยพวกเขาติดต่อสมาชิกผู้เข้าร่วมทดสอบคนอื่นๆ ที่อยู่ในอาณาเขตตัวเอง เรียกได้ว่าทั้งใช้อำนาจบีบบังคับทั้งใช้ผลประโยชน์หลอกล่อ


ส่วนพวกไร้อำนาจภูมิหลังที่ไม่เสียดายชีวิตเสี่ยงทำคะแนนมาได้นิดหน่อยและโชคดีรอดชีวิตกลับมาได้ ในใจก็เรียกได้ว่าคับแค้นเศร้าโศก แต่ก็ไม่มีทางเลือก เมื่อยังไม่แน่ใจว่าระบบของตลาดสวรรค์ถูกแยกออกมาจากอำนาจท้องถิ่นจริงๆ แล้วหรือไม่ คนที่กล้าหาญไม่ให้ความร่วมมือก็มีไม่เยอะ


อีกสาเหตุหนึ่งก็เป็นเพราะไม่กล้าแน่ใจว่าคะแนนตัวเองจะได้อยู่ในแปดพันกว่ารายชื่อนั่นหรือเปล่า ถ้าคะแนนไม่เข้าไปอยู่ในกลุ่มนั้น ก็ไม่มีทางกลายเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ได้อยู่ดี ต้องกลับไปอยู่ในอำนาจท้องถิ่นต่อไป คาดว่าคงจะโดนกลั่นแกล้งจนตายแน่นอน และถ้าตราบใดที่ยอมรับเงื่อนไขนี้ ไม่ว่าสุดท้ายคะแนนจะเป็นอย่างไร ก็ล้วนมีตำแหน่งดีๆ จัดให้พวกเขาหนึ่งตำแหน่งเสมอ เมื่อชั่งน้ำหนักดูแบบนี้แล้ว ไม่ว่าเปลี่ยนเป็นใครก็ต้องตอบตกลงทั้งนั้น


นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่า ข้างบนมีกฎระเบียบ ข้างล่างมีแผนรับมือ!


แน่นอน  ก็มีพวกที่อ่านสถานการณ์ไม่ออกเหมือนกัน ถ้าไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้า แล้วจะทำไมล่ะ? สาเหตุแรกก็เป็นเพราะไม่รู้สถานการณ์นี่แหละ ตออยู่ที่ตำหนักสวรรค์ถึงไต่เต้าไม่ขึ้นสักที สาเหตุรองลงมาก็เป็นเพราะค่อนข้างมั่นใจกับผลงานที่ตัวเองนำกลับมา ไม่ต้องกังวลว่าจะได้กลับไปถูกกดดันและเบียดเสียดอยู่ในอำนาจเฉพาะพื้นที่อีก


ส่วนคนประเภทเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็โชคร้ายเป็นพิเศษ ขนาดเป็นคนของตระกูลเซี่ยโห้วที่สง่าผ่าเผยก็ยังต้องไปคอยดักปล้นอีก แต่ก็ไม่มีทางเลือกแล้ว! ก็เป็นเพราะเขาเป็นคนของตระกูลเซี่ยโห้วนี่แหละ แถมการทดสอบครั้งนี้ราชินีสวรรค์ก็เป็นคนจัด ตระกูลเซี่ยโห้วไม่สะดวกจะแอบเล่นไม่ซื่อจนทำให้ให้คนจับจุดอ่อนของราชินีสวรรค์ได้ ต้องทำตัวเป็นแบบอย่าง ทำได้เพียงเสียสละผลประโยชน์ส่วนตัวของเซี่ยโห้วหลงเฉิงเพื่อรักษาสถานการณ์โดยรวม ดังนั้นเซี่ยโห้วหลงเฉิงจึงโชคร้ายจริงๆ กลายเป็นคนที่ถูกตระกูลทอดทิ้งซ้ำแล้วซ้ำอีก


พอเห็นเหมียวอี้กลับมา โค่วเหวินชิงที่เป็นหนึ่งในที่ปรึกษาก็เป็นฝ่ายยืนขึ้นก่อนทันที ถลันตัวออกมารับ


“ที่ปรึกษาโค่ว!” พอพบหน้ากัน เหมียวอี้ก็เก็บสัตว์พาหนะทันที แต่ยังไม่ทันเก็บเกราะรบ กุมหมัดคารวะเสียก่อน


กลับเป็นเซี่ยโห้วหลงเฉิงที่ไม่ค่อยเห็นโค่วเหวินชิงอยู่ในสายตา แค่หัวเราะอย่างร่าเริงสองสามคำ


โค่วเหวินชิงเห็นเหมียวอี้แล้วดีใจ ใบหน้าฉายแววยินดี ยื่นมือมาประคองแขนเหมียวอี้ด้วยตัวเอง นางมองประเมินศีรษะจดเท้า แล้วพยักหน้าถามว่า “กลับมาก็ดีแล้ว ร้อยปีนี้ผ่านไปเป็นยังไงบ้าง?”


เหมียวอี้ยิ้มเจื่อนพร้อมตอบว่า “รอดชีวิตจากความตายมาได้ โชคดีเก็บชีวิตกลับมาได้”


“มีชีวิตอยู่ต่อไปนั้นดีกว่าอะไรทั้งนั้น” โค่วเหวินชิงชำเลืองมองเซี่ยโห้วหลงเฉิงแวบหนึ่ง แปลกใจนิดหน่อยว่าทำไมคู่นี้ถึงมาด้วยกันได้ ดูแล้วเหมือนความสัมพันธ์จะไม่เลวด้วยนางหันกลับมาถามอีกว่า “ได้ผลงานกลับมารายงานมั้ย?”


“ก็ได้นิดหน่อยขอรับ แต่เกรงว่าจะไม่พอให้โอ้อวด” เหมียวอี้ถ่อมตัว


“ดี! ถอดเกราะรบ ตามข้ามา” โค่วเหวินชิงยื่นมือเชิญ


พวกเหมียวอี้ถอดเกราะรบเก็บไว้ทันที แล้วเดินตามหลังนางเข้าไปในศาลายาวที่สร้างขึ้นชั่วคราว ในนั้นมีคนสิบกว่าคนค่อยเก็บคะแนนทดสอบ


เริ่มตั้งแต่ส่วนหัวของศาลายาว โค่วเหวินชิงสอนเหมียวอี้ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง นางให้เหมียวอี้เขียนชื่อและตำแหน่งตัวเองที่ตำหนักสวรรค์ลงบนผลงานที่นำกลับมาก่อน พร้อมทั้งลงตราอิทธิฤทธิ์ด้วย เพื่อยืนยันว่าเป็นผลงานของเหมียวอี้


จากนั้นโค่วเหวินชิงก็รีบตรวจสอบความผิดพลาด เมื่อพบว่าไม่มีอะไรผิดพลาด นางก็ลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองอีก จากนั้นก็บันทึกบนแผ่นหยกที่ตัวเองพกไว้กับตัว เพื่อแสดงให้เห็นว่าตัวเองเคยแนะนำให้ใครส่งมอบผลงาน จากนั้นถึงได้นำผลงานของเหมียวอี้ส่งต่อให้เจ้าหน้าที่หน่วยตรวจการฝ่ายขวาของตำหนักสวรรค์สิบกว่าคนนั้น หลังจากคนพวกนั้นรับมาตรวจดูแล้ว พวกเขาก็ลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองลงไปอีก คนสิบกว่าคนผลัดกันอ่านแล้วบันทึกลงในสมุดบันทึกของตัวเอง เพื่อแสดงให้เห็นว่าเคยรับคะแนนทดสอบของใครมา ของที่นำกลับไปมีสภาพคร่าวๆ เป็นอย่างไร


สุดท้ายผลงานนี้จะถูกเก็บรวมอยู่ในมือเจ้าหน้าที่ควบคุมคนเดียว ทางเจ้าหน้าที่ควบคุมจะลงนามแล้วส่งกลับมาอีก แผ่นหยกที่มีการลงชื่อและตราอิทธิฤทธิ์ของคนสิบกว่าคน สุดท้ายก็จะกลับมาอยู่ในมือเหมียวอี้อีกครั้ง ให้เหมียวอี้ตรวจสอบว่าไม่มีความผิดพลาดแล้วเก็บไว้


ในระหว่างนั้นผู้บังคับใช้กฎจะตรวจตราอยู่ข้างๆ จับตาดูสมาชิกสิบกว่าคนที่รับผลงาน ถ้าการทดสอบยังไม่จบลงอย่างเป็นทางการ ถ้าคะแนนทดสอบยังไม่ถูกเก็บไปอย่างเป็นทางการ คนพวกนี้ก็ห้ามติดต่อกับภายนอก ไม่อย่างนั้นจะประหารอย่างไม่มีการละเว้น!


ที่ระมัดระวังขนาดนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนใช้เส้นสายมาโกงการทดสอบหลังจากจบเรื่อง


หลังจากทำอธุระทางนี้เสร็จ โค่วเหวินชิงก็นำพวกเหมียวอี้ออกไป พอเดินไปถึงริมหน้าผา ก็โบกมือชี้ไปยังแอ่งกระทะด้านล่าง “สมาชิกผู้เข้าร่วมการทดสอบทุกคนที่กลับมาแล้วจะต้องรออยู่ที่นี่ พวกเจ้าหาที่พักกันเองตามสบายเถอะ”


“ไม่ทราบว่าคะแนนจะออกเมื่อไรเหรอ?” เหมียวอี้ขอคำชี้แนะ


“ภายในหนึ่งปีกระมัง” โค่วเหวินชิงตอบ


“หนึ่งปี?” เหมียวอี้แปลกใจ ดูจากสภาพไร้ที่กำบังในแอ่งกระทะ จะต้องอยู่ในที่เปิดโล่งแบบนี้หนึ่งปีเหรอ? ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรสำหรับนักพรต แต่เวลาอาจจะยาวนานไปหน่อย อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ทำไมจะต้องรอนานขนาดนี้?”


โค่วเหวินชิงยิ้มเจื่อนพร้อมตอบว่า “หลังจากคะแนนทดสอบของพวกเจ้ามารวมกันแล้ว ก็จะจัดคนกลุ่มหนึ่งมาตรวจสอบทันที จะนำผลงานที่เป็นอาณาเขตซ้ำกันมาแยกประเภท จากนั้นก็จะจัดกลุ่มให้ยอดฝีมือนำไปตรวจสอบสถานที่จริงตามสถานการณ์ที่อยู่บนรายงานของพวกเจ้า หลังจากยืนยันระดับความยากและผลงานแล้วว่าไม่ผิดพลาด พวกเราถึงจะจัดอันดับได้สะดวก และเพื่อป้องกันไม่ให้มีคนตบตาส่งผลงานอะไรมาส่งเดช คนประเภทนี้จะต้องมีแน่นอน การตรวจสอบสถานที่จริงก็เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อผู้เข้าร่วมทดสอบทุกคน พยายามให้ความยุติธรรมกับทุกคน”


จากนั้นนางก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “ไม่ปิดบังเจ้านะ ครั้งนี้ทูตขวาเกาเพิ่งมาเปลี่ยนขั้นตอนการตรวจสอบตอนใกล้จะถึงเวลา! หลังจากพวกไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำที่ส่งมอบผลงานไปแล้ว พอได้ยินว่าไม่ต้องกลับไปรอคะแนน แต่อยู่รอคะแนนที่นี่เลย ไม่สามารถใช้เส้นสายที่เตรียมไว้ล่วงหน้ามาโกงการทดสอบได้อีก มีคนเริ่มหวาดกลัวแล้ว โวยวายใหญ่ว่าจะเอาคะแนนกลับคืน มีลูกหลานผู้มีอำนาจโดนทูตขวาเกาสั่งประหารไปแล้วสิบกว่าคน ขนาดญาติฝ่ายภรรยาของจอมพลเถิงเฟยที่รักษาการณ์ที่นี่ก็สั่งประหารแล้วเหมือนกัน ไม่ไว้หน้าจอมพลเถิงเลยสักนิด ทำเอาคนอื่นตกใจจนไม่กล้าเคลื่อนไหวซี้ซั้ว คอยดูแล้วกัน! ตอนหลังจะต้องมีคนหัวหลุดลงพื้นแน่ ตอนนี้ในบรรดาคนแสนกว่านั่น ไม่รู้ว่ามีกี่คนที่กำลังอยู่ในความหวาดกลัว ที่นี่วางค่ายกลตัดขาดสัญญาณระฆังดารากับภายนอก อยากจะขอให้คนช่วยก็ยังลำบาก ครั้งนี้ทูตขวาเกาทำอย่างเด็ดขาดจริงๆ มีจุดประสงค์จะเตะพวกลูกหลานชนชั้นสูงออกจากระบบของตลาดสวรรค์ จะได้มีตำแหน่งว่างไงล่ะ!”


เหมียวอี้นึกไม่ถึงว่าโค่วเหวินชิงจะอธิบายให้ตนฟังเยอะขนาดนี้อย่างไม่กลัวยุ่งยากน่ารำคาญ พอเห็นสายตาของอีกฝ่ายถึงได้เข้าใจ อีกฝ่ายมีเจตนาจะบอกว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงไว้ใจไม่ได้ หวังว่าเหมียวอี้จะไม่อาศัยบารมีคนไม่น่าไว้ใจอย่างเซี่ยโห้วหลงเฉิงเพื่อนำผลงานกลับมา ถ้าหากทำแบบนั้นก็ต้องเตรียมใจเอาไว้ เกาก้วนไม่ปรานีไว้หน้าใครทั้งนั้น


เหมียอวี้กุมหมัดขอบคุณในคำเตือนทันที แล้วบอกว่าคะแนนของตัวเองบริสุทธิ์ ไม่ได้ตบตาแน่นอน


ตอนนี้โค่วเหวินชิงถึงได้วางใจ แล้วยื่นมือเชิญ “ข้ายังมีงานต้องทำอีก อยู่ด้วยไม่ได้แล้ว”


พอกล่าวขอบคุณอีกครั้ง เหมียวอี้ก็นำพวกเซี่ยโห้วหลงเฉิงที่เบะปากใส่โค่วเหวินชิงเหาะไปเหยียบลงในแอ่งเพื่อหาจุดพัก


ในสนามฝึกกว้างโล่ง ทุกคนเลือกไม่ได้เลย ทำได้เพียงหาที่อยู่แบบส่งเดช เหมียวอี้กวาดสายตามองไปรอบๆ ทำให้สบตากับพวกจางฮั่นฟางแล้ว เมื่อนึกถึงเรื่องตอนที่คนพวกนี้สร้างความอับอายให้ตนในตอนแรก เขาก็รู้สึกว่าถึงเวลาเริ่มล้างแค้นแล้วจริงๆ จึงถ่ายทอดเสียงพึมพำบอกเซี่ยโห้วหลงเฉิงทันที


เซี่ยโห้วหลงเฉิงหันกลับมามองแวบหนึ่ง แล้วสะบัดไหล่เบิกทางข้างหน้าเหมือนสุนัขรับใช้ทันที กดดันให้กลุ่มคนหลีกทางให้ ท่าทางวางอำนาจบาตรใหญ่มาก! เขาบุกมาตรงหน้าพวกจางฮั่นฟาง แล้วตะคอกว่า “ไสหัวไป! ท่านปู่เซี่ยโห้วของพวกเจ้าต้องการจะอยู่ตรงนี้!”


พวกจางฮั่นฟางสีหน้าแย่นิดหน่อย จากนั้นก็เหลือบมองเหมียวอี้ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเหมียวอี้กำลังจงใจหาเรื่องพวกเขา


“มัวชักช้าทำไม?” หมีควายเซี่ยโห้วใช้ความรุนแรง ใช้เท้าเตะโดยตรง ติงเจ๋อเฉวียนที่ลุกช้าโดนเตะกลิ้งออกไปแล้ว


ทั้งเก้าคนหลีกทางอย่างรวดเร็ว แต่ละคนโมโหแต่พูดอะไรไม่ได้ ถ้าแข่งเรื่องภูมิหลังวงศ์ตระกูลกับเหมียวอี้ พวกเขาก็ยังพอสู้ไหว แต่เมื่อเทียบกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ถือว่ายังห่างชั้น ถึงแม้เจ้าหมีควายนี่จะไม่เอาถ่าย แต่กลับจัดอยู่ในกลุ่มผู้มีอำนาจสูงสุด คนที่เทียบภูมิหลังกับเขาได้มีไม่เยอะเลยจริงๆ


ความเคลื่อนไหวทางนี้ดึงดูดให้แม่ทัพเกราะม่วงหลายคนเหาะลงมาจากฟ้า แล้วตะคอกถามว่า “มีเรื่องอะไร?”


เซี่ยโห้วหลงเฉิงถลึงตาโตทันที จ้องพวกจวนแม่ทัพภาคตงหัวอย่างดุร้าย ทำท่าเหมือนกำลังบอกว่า ‘เชื่อมั้ยว่าพ่อคนนี้ทำให้พวกเจ้าตายได้!’


“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร!” พวกจางฮั่นฟางรีบโบกมือ ไม่กล้าฟ้องอะไร รีบถอยออกไปอย่างหน้าม่อยคอตก เสียหน้าท่ามกลางฝูงชนแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก ทำได้เพียงกลืนฟันหักที่อยู่ในปากลงท้องไป ใครใช้ให้เจ้าโง่นั่นมีอาหญิงแท้ๆ เป็นราชินีสวรรค์ล่ะ ตอนนี้นางกำลังควบคุมตลาดสวรรค์อยู่ มีเรื่องด้วยไม่ไหวก็ทำได้เพียงหลบ


บทที่ 1247 น้องหนิว คู่แค้นของเจ้ามาแล้ว

โดย

Ink Stone_Fantasy

ที่จริงเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ไม่ได้น่ากลัว คนส่วนใหญ่ก็รู้ว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงเป็นแค่พวกขี้เมาหยำเปคนหนึ่งเท่านั้น การจะจัดการเขานั้นเป็นเรื่องว่ายมาก แต่ประเด็นสำคัญคือถ้าจัดการเขาก็จะเท่ากับตบหน้าตระกูลเซี่ยโห้ว แต่เจ้าหมอนี่ก็ยังไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว อยู่กับคนประเภทนี้ไม่มีทางไปถือสาหาความได้เลย


เมื่อเห็นพวกเขาไปแล้ว สภาพการณ์สงบลงแล้ว แม่ทัพเกราะม่วงก็มองสำรวจเซี่ยโห้วหลงเฉิงศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง คาดว่าคงรู้จักท่านนี้เหมือนกัน ไม่มีทางจัดการเรื่องนี้อย่างเด็ดขาดได้ ไม่ใช่ว่าทุคนจะกล้าทำแบบเกาก้วน เพียงตะคอกเตือนว่า “ห้ามก่อเรื่อง ไม่อย่างนั้นจะมีโทษร้ายแรง!” พูดจบก็นำคนจากไปทันที


เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่ไล่คนไปแล้วตบท้องตัวเองเบาๆ แล้วหันตัวมากล่าวกับเหมียวอี้พร้อมรอยยิ้มว่า “น้องหนิว ตอนนี้ทำแบบนี้ไปก่อน เอาไว้จัดการพวกมันทีหลัง ที่นี่เป็นอาณาเขตของเกาก้วน เกาก้วนนั่นไม่พูดจากันด้วยเหตุผล ถ้าทำให้เป็นเรื่องใหญ่จะไม่เป็นผลดีกับทุกคน อดทนไว้ๆ”


เหมียวอี้พยักหน้าแสดงออกว่าเข้าใจ แต่ในใจกลับพึมพำว่า ไม่รู้เหมือนกันว่าใครที่ไร้เหตุผลกว่ากัน เกาก้วนนั่นมีเหตุผลมาก พูดจาด้วยเหตุผลมากเกินไป มากถึงขั้นไร้น้ำใจ ส่วนคนที่ไม่มีเหตุผลจริงๆ แล้วคือเจ้าต่างหาก


“นั่งๆๆ เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปเร็วมาก” เซี่ยโห้วหลงเฉิงโบกมือปัดฝุ่นดินที่พื้นด้วยตัวเอง แล้วเชิญให้เหมียวอี้นั่ง


คนรอบข้างที่รู้จักเซี่ยโห้วหลงเฉิงต่างก็พากันแปลกใจ ไม่ค่อยจะเห็นเจ้าหมีควายนี่เกรงใจคนอื่นสักเท่าไร


ถ้าเปลี่ยนเป็นเหมียวอี้ตอนเมื่อก่อนนี้ เซี่ยโห้วหลงเฉิงจะต้องไม่ชายตาแลแน่นอน แต่ระดับของเหมียวอี้ในตอนนี้ต่างออกไปแล้ว ในสายตาเขาเหมียวอี้เป็นคนที่มีความสามารถอย่างแท้จริง คนที่บุกโจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกในทัพใหญ่หนึ่งล้านได้ ชื่อเสียงสะเทือนใต้หล้า ถ้าพูดออกไปว่าเป็นสหายของตน แบบนั้นก็ตนก็จะมีหน้ามีตาสุดๆ! ปกติเซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่มีสหายที่ไหน คนที่มีความสามารถก็ยิ่งไม่มีทางมาเป็นเพื่อนกับเขา สาเหตุสำคัญเป็นเพราะเขาไม่ได้รับการยกย่องในตระกูลเซี่ยโห้ว เป็นสหายกับเขาไม่ได้มีผลประโยชน์อะไร นิสัยก็ไม่ได้ดีเท่าไรเลยจริงๆ อยู่กับคนสันดานอย่างเขาก็เหมือน ‘เนื้อแพะไม่ได้กิน แถมบนตัวยังติดกลิ่นสาบแพะ’ ปกติทุกคนล้วนอยากหลบเขาให้ไกลๆ


เหมียวอี้บอกว่าเป็นสหาย เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ถือว่าพิเศษกว่าคนอื่นมาก!


คนบางประเภท ถ้าเจ้าเป็นฝ่ายไปผูกมิตรหวังเกาะอำนาจอิทธิพลก่อน เขาก็จะไม่ชายตาแลเจ้า ไม่มองเห็นเจ้าเป็นอะไรด้วยซ้ำ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือดูถูกเจ้า เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็คือคนประเภทนั้น


ทั้งเจ็ดคนทยอยกันนั่งขัดสมาธิลง ใช้เวลาหนึ่งปี รอไปเถอะ ค่อยๆ รอไป


ถึงแม้ตรงนี้จะเป็นที่เปิดโล่ง ต้องเผชิญกับลมฝน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อดี เพราะปลอดภัยมาก สามารถรอได้อย่างสงบใจเป็นเวลาหนึ่งปี


แต่จนใจที่พอรอไปได้แค่สิบกว่าวัน เหมียวอี้ที่กำลังหลบตานั่งสมาธิก็ถูกทำให้ตกใจตื่น ข้างหูมีเสียงของเซี่ยโห้วหลงเฉิงดังมา “น้องหนิว คู่แค้นของเจ้ามาแล้ว”


คู่แค้น? คู่แค้นอะไร? เหมียวอี้ลืมตาสองข้าง มองไปทางที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงบุ้ยปากไป เห็นเพียงสามงามชุดขาวคนหนึ่งนำคนหลายคนเดินก้าวยาวเข้ามา รูปร่างสูงระหง ตาคิ้วดุจภาพวาด จมูกโด่งสันเป็นคม ทั้งตัวดูองอาจกล้าหาญ ดวงตางามจ้องมาที่เขาแล้ว ไม่ใช่ใครที่ไหน คนที่เกือบตายด้วยทวนเดียวของเขา จ้านหรูอี้!


นางมองดูเป้าหมาย ทั้งพุ่งเป้ามาหาตนแล้วจริงๆ แต่เหมียวอี้ก็ไม่กลัวนางเหมือนกัน เขาไม่เชื่อหรอกว่าจ้านหรูอี้จะกล้าทำอะไรซี้ซั้วในอาณาเขตของเกาก้วน แม้แต่อิ๋งเหย้าหลานชายของอ๋องสวรรค์อิ๋งเกาก้วนก็สั่งประหารมาแล้ว มีหรือที่จะกลัวหลานสาวของอ๋องสวรรค์อิ๋ง


แต่ความยุ่งยากเดียวก็คือ ดาวเทียนหยวนที่เขาอยู่นั้นคืออาณาเขตของอ๋องสวรรค์อิ๋ง แม้แต่ท่านโหวเทียนหยวนก็ยังเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของอ๋องสวรรค์อิ๋ง อาณาเขตของตนอยู่ในขอบเขตอำนาจของอ๋องสวรรค์อิ๋ง ไม่รู้เหมือนกันว่าการปรับปรุงของตำหนักสวรรค์ครั้งนี้จะจะแยกอำนาจของตลาดสวรรค์ออกมาได้ทั้งหมดหรือเปล่า


ยกตัวอย่างที่ง่ายที่สุด ผู้บังคับบัญชาที่อยู่เหนือตนก็คือปี้เยว่ฮูหยิน สามีของปี้เยว่ฮูหยินก็คือท่านโหวเทียนหยวน เทียนหยวนเป็นลูกน้องเก่าแก่ของอ๋องสวรรค์อิ๋ง ถ้าท่านโหวเทียนหยวนสั่งปี้เยว่ฮูหยิน แล้วปี้เยว่ฮูหยินจะเชื่อฟังหรือไม่เชื่อฟังกันแน่? ปัญหานี้ทำให้เหมียวอี้คิดวนเวียนไม่เลิก


เขากลับไปครั้งนี้ก็ต้องไตร่ตรองอีกว่าจะต้องปลีกตัวออกจากปี้เยว่ฮูหยินหรือไม่ ทางที่ดีที่สุดคือไปอยู่บนอาณาเขตของตระกูลโค่ว แต่ถ้าเบื้องบนไม่ยอมปล่อยคน เขาก็ไปที่ไหนไม่ได้ทั้งนั้น


นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาที่เหมียวอี้คิดวนเวียนไม่เลิกเท่านั้น และเป็นปัญหาที่ผู้ร่วมทดสอบมากมายในครั้งนี้คิดไม่ตกด้วย ไม่อย่างนั้นพวกจางฮั่นฟางจะหาผลงานมาได้อย่างไร


พอจ้านหรูอี้เห็นเหมียวอี้ นางก็แค้นจนกัดฟันกรอดเช่นกัน ในปีแรกมีคนบอกไว้ว่า ไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อที่เป็นอันดับหนึ่งของการทดสอบครั้งแรกยอดเยี่ยมกว่า หรือจ้านหรูอี้ที่เป็นอันดับหนึ่งของการทดสอบครั้งที่สองยอดเยี่ยมกว่า ปรากฏว่าพอได้เห็นการทดสอบครั้งที่สามก็รู้ทันที แค่โดนทวนของหนิวโหย่วเต๋อทีเดียวก็ทำให้ชื่อเสียงบารมีของนางหายไปหมดแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะผู้ติดตามทุ่มสุดตัวเข้าไปช่วยชีวิตออกมาได้ทันเวลา ดันทุรังดึงนางกลับมาจากประตูผี นางก็คงสิ้นชีพไปนานแล้ว โดนเหมียวอี้สังหารด้วยทวนเดียวไปนานแล้ว


อานุภาพทวนเดียวของเหมียวอี้น่ากลัวจริงๆ ทุกวันนี้ยังทำให้นางกลัวอยู่เลย อานุภาพการโจมตีที่น่าหวาดกลัวแบบนั้นไม่ใช่สิง่ที่นางจะต้านทานไหวเลย


หลังจากจบเรื่องนางก็ติดต่อกับคนที่บ้านแล้ว นางไม่ค่อยเข้าใจ ทั้งๆ ที่วรยุทธ์ของนางสูงกว่าเหมียวอี้ตั้งเยอะ และทวนวิเศษในมือเหมียวอี้ก็ไม่ใช่ของวิเศษระดับสูงอะไรนัก ทำไมนางถึงต้านทานเหมียวอี้ได้แม้แต่ทวนเดียว?


หลังจากคนที่บ้านถามถึงสถานการณ์ในตอนนั้นอย่างละเอียดแล้ว ก็บอกนางว่า เป็นไปได้สูงว่าวิชาทวนของเหมียวอี้จะบรรลุถึงความหมายที่ลึกซึ้งของการทำลายความว่างเปล่าแล้ว สามารถสำแดงอานุภาพได้เหนือกว่าพลังในวรยุทธ์ของตัวเอง วรยุทธ์เท่านี้แต่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ ก็เพียงพอจะทำให้มองออกแล้วว่าเหมียวอี้มีพรสวรรค์สูงมากในด้านวิชาทวน มีการตระหนักรู้ที่สูงที่สุด เป็นคนมีฝีมือพิเศษในวิชาทวน!


จ้านหรูอี้ถามคนที่บ้านว่า เมื่อไรวิชาทวนของนางถึงจะไปถึงระดับนั้น?


ที่บ้านตอบกลับมาว่า การบรรลุความหมายของการทำลายความว่างเปล่า ไม่ใช่ว่าฝึกหนักแล้วจะสำเร็จได้ และไม่ใช่ว่าวรยุทธ์ถึงแล้วจะทำได้เช่นกัน มีคนมากมายที่ทั้งชีวิตก็ไม่มีทางบรรลุได้เลย ของแบบนี้ขึ้นอยู่กับใจ จะต้องตระหนักได้ด้วยใจถึงจะสำเร็จได้ คนอื่นสอนกันไม่ได้ ถ้าไม่มีพรสวรรค์นั้น ก็ทำได้แค่รอดูโอกาส


จากนั้นคนที่บ้านก็โน้มน้าวนางเช่นกันว่าอย่าไปสี่ยงอันตรายซี้ซั้วในนรก จะเอานรกไปเทียบกับที่อื่นไม่ได้ ในบรรดาโจรกบฏมียอดฝีมือเยอะมาก ขนาดราชันสวรรค์ยกทัพไปปราบเองก็ยังต้องแพ้กลับมา คนที่สามารถฆ่านางได้ง่ายๆ ย่อมมีมเยอะเป็นพันเป็นหมื่น จะใช้กำลังสู้กันไม่ได้


ดังนั้นในระหว่างการทดสอบนางจึงเหมือนกับลูกหลานผู้มีอำนาจคนอื่น นางซ่อนตัวอยู่เกือบร้อยปี หลังจากการทดสอบจบแล้วถึงได้โผล่ออกมา นางย่อมได้รับการช่วยเหลือจากคนในครอบครัวเช่นกัน ช่วยนางทำผลงานนิดหน่อย แต่นิสัยนางแข็งกร้าว ไม่อยากเสียหน้าหลังจากรบแพ้อีก อยากจะกู้หน้ากลับมาโดยใช้อันดับการทดสอบ รอดักปล้นเช่นเดียวกับเซี่ยโห้วหลงเฉิง หลังจากได้อะไรบ้างแล้วถึงได้กลับมา และนี่ก็เป็นสาเหตุที่นางเพิ่งกลับมาตอนนี้


ตอนนี้นางเดินอ้อมกลุ่มคนมาปรากฏตัวตรงหน้าเหมียวอี้แล้ว นางมองลงต่ำ ส่วนเหมียวอี้ที่กำลังนั่งขัดสมาธิก็เงยหน้ามอง ดวงตาทั้งสี่สบประสานกัน


เซี่ยโห้วหลงเฉิงกลับตบก้นลุกขึ้นยืน แล้วถามกลั้วหัวเราะว่า “จ้านคนสวย อย่าบอกนะว่าคิดถึงข้า ก็เลยมาหาข้าเหรอ?”


“คนจัญไรหน้าด้าน ไปตายไหนก็ไป ไปตายไกลๆ ได้ยิ่งดี!” จ้านหรูอี้พูดเหยียดหยามตรงๆ มองข้ามเซี่ยโห้วหลงเฉิงที่หน้าบึ้งตึง นางจ้องเหมียวอี้พร้อมแสยะยิ้มบอกว่า “ช่างเหนือความคาดหมายของข้าจริงๆ นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะยังรอดชีวิตกลับมาได้ สบายดีมากด้วย!”


เหมียวอี้ลุกขึ้นยืนช้าๆ แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “การที่เจ้ารอดชีวิตกลับมาได้ กลับไม่เหนือความคาดหมายของข้าเลยสักนิด เห็นแก่หน้าของอ๋องสวรรค์อิ๋ง ตอนลงมือข้าเลยเมตตาไปหลายส่วน ไม่อย่างนั้นเจ้าจะได้มายืนคุยโวโอ้อวดอย่างไร้ยางอายอยู่ต่อหน้าข้าแบบนี้เหรอ! ถ้าเจ้ายังเกาะแกะไม่เลิก ก็แปลว่าไม่รู้จักแยกแยะดีชั่วเกินไปรึเปล่า?”


คำพูดนี้ถือว่าโกหก ตอนนั้นที่เขาลงมือเขาไม่ได้ไว้หน้าเลยสักนิด เพียงแต่ทุกคนล้วนชอบฟังอะไรที่ไพเราะอยู่แล้ว


ที่จริงก็ไม่มีใครรู้ทั้งนั้นว่าจริงหรือโกหก คนข้างกายที่ได้ยินกลับเชื่อว่าเป็นความจริง ต่างก็คิดว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่เหมียวอี้ออมมือเพราะเห็นแก่หน้าอ๋องสวรรค์อิ๋ง


ขนาดจ้านหรูอี้เองยังแอบกัดฟัน เหมียวอี้อาจจะออมมือให้เพราะเห็นแก่หน้าท่านตาของตนจริงๆ ถึงอย่างไรตั้งแต่เด็กจนโต การที่ทุกคนไว้หน้าท่านตาของนางก็เป็นเรื่องที่ปกติมาก การไม่ไว้หน้าท่านตาของนางต่างหากที่แปลก


แต่ยิ่งเหมียวอี้พูดแบบนี้ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่านางไร้ความสามารถ ทำให้ความรู้สึกพ่ายแพ้ในใจนางรุนแรงยิ่งขึ้น นึกไม่ถึงว่าตัวเองกับเขาจะแตกต่างกันขนาดนี้ นางอยู่อย่างสูงส่งมาจนชิน รับไม่ได้จริงๆ กับการที่ศัตรูออมมือให้นางเพราะเห็นแก่หน้าท่านตาของนาง การเก็บชีวิตกลับมาได้ ทำเหมือนว่าได้รับทานจากอีกฝ่ายมา!


เซี่ยโห้วหลงเฉิงกลับสะใจกับคำพูดนี้มาก ถึงอย่างไรจ้านหรูอี้ก็เพิ่งหักหน้าเขา แต่อาศัยภูมิหลังของจ้านหรูอี้ก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าเขาเลยจริงๆ อิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังของทุกคนก็พอๆ กัน ถ้าพูดถึงอำนาจทางทหาร อ๋องสวรรค์อิ๋งคุมกำลังพลหนึ่งในสี่ส่วนของใต้หล้า มีอำนาจที่แท้จริงมากกว่าตระกูลเซี่ยโห้ว อำนาจที่แท้จริงของตระกูลเซี่ยโห้วล้วนผูกอยู่บนชายกระโปรงของราชินีสวรรค์ ญาติฝ่ายหญิงข้อห้ามตั้งเยอะ ทำให้เขาไม่กล้าทำซี้ซั้วกับจ้านหรูอี้


ตอนนี้เหมียวอี้ได้ช่วยเขากรีดหน้าจ้านหรูอี้แล้ว เขารู้สึกสะใจมาก หัวเราะลั่นแล้วบอกทันทีว่า “จ้านหรูอี้ เจ้าต้องขอบคุณน้องหนิวนะที่เป็นคนอ่อนโยนกับหญิงงาม ไม่อย่างนั้นเจ้าไม่ได้มายืนพูดอยู่ตรงนี้หรอก!”


“เป็นพี่น้องกันเหรอ?” จ้านหรูอี้เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แล้วก็เหลือบมองเหมียวอี้ ก็จะพูดแขวะว่า “ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าใครกันที่จะเอาชีวิตพี่น้องตัวเอง!”


เซี่ยโห้วหลงเฉิงสีหน้าไม่ถูก แต่เขาก็หน้าด้านจนติดเป็นนิสัยแล้ว ถามกลั้วหัวเราะอย่างไม่สนใจอะไรว่า “ระหว่างพี่น้องก็มีหยอกกันเล่นบ้าง ผู้หญิงอย่างเจ้าจะเข้าใจอะไร?”


จ้านหรูอี้อยากจะถามเขามากว่า แล้วอาของเจ้าไม่ใช่ผู้หญิงรึไง? เพียงแต่ไม่สะดวกจะพูดคำนี้ออกมา ถ้าพูดออกมาก็จะแสดงถึงความไม่เคารพ ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็มีฐานะเป็นราชินีสวรรค์ การใช้คำพูดดูหมิ่นราชินีสวรรค์ตามอำเภอใจก็เท่ากับเป็นการตบหน้าราชันสวรรค์ คำบางคำไม่อาจพูดออกมาซี้ซั้วได้ นางจึงพ่นเสียงทางจมูกแล้วบอกว่า “ที่แท้ก็เป็นสุนัขสายพันธุ์เดียวกัน!” นางชี้ไปที่เหมียวอี้ “เอากระบี่สายฟ้าคืนข้ามาเดี๋ยวนี้ ถ้าข้าอารมณ์ดีแล้ว ก็อาจจะไม่ถือสาเรื่องในอดีตก็ได้”


เมื่ออยู่ต่อหน้าธารกำนัล คนอื่นอาจจะไม่ไว้หน้าตนได้ แต่ตัวเองมิอาจะไม่ไว้หน้าตัวเองได้ เหมียวอี้อาจจะคืนให้นางแบบส่วนตัวได้ แต่ตอนนี้กลับกล่าวเสียงเรียบว่า “ขออภัย ทำหายไปแล้ว!”


“ใช่! หายไปแล้ว!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงพูดเสริมตามเขา หลังจากช่วยทำให้เรื่องยุ่งยากขึ้นแล้ว ตัวเองก็ยืดพุงเงยหน้าหัวเราะลั่น


จ้านหรูอี้กำหมัดแน่น คนที่อยู่ข้างกันเห็นนางจะระเบิดอารมณ์ จึงรีบดึงแขนเสื้อนางไว้ บุ้ยปากไปบนภูเขาเพื่อบอกใบ้ว่ามีคนกำลังจับตาดูในแอ่งกระทะนี้อยู่ จ้านหรูอี้เหลือบมองแวบหนึ่ง นางไม่กล้ามีเรื่องกับทูตขวาหน้าตายเกาก้วน นั่นคือสุนัขดุของราชันสวรรค์ ปล่อยออกมากัดคนโดยเฉพาะ เอาไว้ปกครองพวกลูกหลานชนชั้นสูงที่ไม่เชื่อฟัง นางจึงทำได้เพียงข่มไฟโกรธเอาไว้ เพียงชี้หน้าเหมียวอี้พร้มอบอกว่า “อย่าลำพองใจไปนัก สักวันหนึ่งข้าจะมาคิดบัญชีนี้!”


พูดจบนางก็หันตัว คนที่อยู่ข้างๆ หลีกทางให้ทันที


“ไม่ไปส่งนะ!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ


แต่ใครจะคิดว่าคำพูดนี้จะทำเสียเรื่องแล้ว จ้านหรูอี้หันกลับมามองเหมียวอี้แวบหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่อยากถอยทัพต่อหน้าเหมียวอี้ จะได้ไม่ทำให้คนที่อยู่ไกลเข้าใจผิดว่านางกลัวเหมียว จึงบอกทันทีว่า “จะพักตรงนี้!”


พวกผู้ติดตามอึ้งไปชั่วขณะ เมื่อเห็นนางดึงดันขนาดนี้ ก็มีคนกุมหมัดคารวะบอกคนที่กำลังมุงดูทันที่ว่า “ขออภัย รบทวนทุกท่านเว้นที่ให้หน่อย”


ยังนับว่ามีท่าทีสุภาพ ไม่ได้เลวร้ายเหมือนเซี่ยโห้วหลงเฉิง คนที่มามุงดูก็มีเรื่องด้วยไม่ไหวเหมือนกัน ในเมื่ออีกฝ่ายชอบตรงนี้ เช่นนั้นก็ย่อมหลีกทางให้แต่โดยดี


ดังนั้นจ้านหรูอี้จึงนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ เหมียวอี้เสียเลย พวกเหมียวอี้ก็ค่อยๆ นั่งลงเช่นกัน แต่ที่สำคัญคือแม้แต่เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ยังไม่มีสิทธิ์ไล่จ้านหรูอี้ไป


มีเรื่องกับคนอื่นไว้เยอะเกินไปจริงๆ เหมียวอี้นึกเสียใจทีหลังที่ตอนแรกไม่เชื่อฟังคำแนะนำของอวิ๋นจือชิว เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วก็ทำได้เพียงคอยดูไปทีละก้าว เขาหลับตานั่งสมาธิ ไม่สนใจสิ่งรอบข้างแล้ว


บทที่ 1248 ปลอมแปลงผลงาน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ไม่ใช่แค่เหมียวอี้เท่านั้น สมาชิกที่เข้าร่วมการทดสอบทุกคน ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีฐานะหรือภูมิหลังอย่างไร แต่เมื่ออยู่ที่นี่ล้วนเท่าเทียม ทุกคนล้วนอยู่ในที่เปิดโล่ง ถูกจับตามองจากรอบข้างอยู่ตลอดเวลา


ตั้งแต่คำสั่งมังกรประกาศว่าการทดสอบจบลง ก็กำหนดให้สมาชิกผู้เข้าร่วมทดสอบกลับมาภายในสามเดือน คนที่ไม่กลับมาตามเวลาที่กำหนด ก็จะถูกทำโทษเหมือนคนที่ไม่มีผลงานการทดสอบ ถ้ารอจนสมาชิกผู้เข้าร่วมทดสอบออกจากแดนอเวจีแล้วยังไม่กลับมา เช่นนั้นทั้งชีวิตนี้ก็อย่าได้คิดเลยว่าจะได้กลับออกมาอีก อยู่ในนรกไปทั้งชีวิตเถอะ!


บนดาวเคราะห์ที่รกร้าง เถิงเฟยยืนเอามือไขว้หลัง กวาดสายตามองดาราจักรพร้อมบอกว่า “ใกล้จะจบแล้ว คนที่ควรจะกลับก็คงกลับมาหมดแล้ว คนที่ยังไม่กลับก็คงจะไม่ได้กลับมาอีกตลอดไป ทางเจ้ารวบรวมจำนวนรึยัง มีคนกลับมาเท่าไรแล้ว?”


เกาก้วนกวาดสายตามองในดาราจักร “สามแสนกว่า ไม่ถึงสี่แสน”


เถิงเฟยถอนหายใจเบาๆ “ก็หมายความว่า มีกำลังพลประมาณหนึ่งล้านห้าแสนที่กระดูกกองรวมกันในแดนอเวจี ถ้าข่าวนี้แพร่ออกไป จะต้องสะเทือนใจคนแน่!”


“ฝ่าบาทมีคำสั่ง ว่าถ้ามีความเสียหายจากการรบสูงเกินไป ก็ห้ามประกาศความเสียหายต่อภายนอกอย่างเด็ดขาด ถ้าหากจับได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็จะโดนลงโทษอย่างรุนแรง!” เกาก้วนกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา


เถิงเฟยจึงบอกว่า “มีสายตามากมายดูอยู่ จะปิดบังไหวเหรอ? นอกเสียจากจะฆ่าทุกคนให้ตายหมด! เกาก้วน ทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์ของข้าที่มีมาหลายปี มาล้มตายสูญเสียอยู่ที่นี่เยอะเกินไปแล้ว ทำไมยังต้องเอาชีวิตคนมาเติมที่นี่อีก? ข้ายังคงยืนยันคำเดิม สถานการณ์ของใต้หล้ามีแนวโน้มมาฝั่งพวกเรา ตราบใดที่พวกเดียวกันไม่ก่อความวุ่นวายเอง โจรกบฏกลุ่มนี้ก็พลิกฟ้าไม่ได้หรอก เจ้าเป็นขุนนางข้างกายฝ่าบาท โน้มน้าวฝ่าบาทหน่อยเถอะ!”


เกาก้วนกล่าวอย่างเนิบนาบว่า “ข้างเตียงนอนของตัวเอง จะยอมให้คนอื่นมานอนกรนได้อย่างไร!”


ประโยคเดียวทะลุถึงความคิดของราชันสวรรค์ เถิงเฟยพูดไม่ออกเพราะสิ่งนี้ ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ไม่พูดเรื่องนี้อีก รู้ว่าพูดอะไรไปก็ไร้ประโยชน์ ในสายตาของท่านนั้น ไม่ว่าเรื่องอะไรที่อาจจะส่งผลต่อการปกครองของเขา ก็ล้วนถูกมองเป็นอุทกภัยและสัตว์ร้ายทั้งหมด เจตจำนงสวรรค์ถูกกำหนดแล้ว!


หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม เถิงเฟยถึงได้บอกอีกว่า “ถึงเวลาแล้ว!”


เกาก้วนโบกมือสะบัดผ้าคลุมสีดำ ขยุ้มนิ้วทั้งห้าไปยังคำสั่งมังกรที่เลื้อยอยู่ไกลๆ คำสั่งมังกรสีรุ้งสั่นหัวส่ายหางทันที ส่งเสียงมังกรครางแว่วๆ หนึ่งครั้ง แล้วบินกลับมาอย่างรวดเร็ว เอียงหัวไปพุ่งชนไปทางเกาก้วน ชั่วพริบตาที่พุ่งชน ตั้งแต่หัวถึงหางก็กลายเป็นลำแสงกลุ่มหนึ่งทันที แล้วก่อตัวกลายเป็นป้ายคำสั่งแผ่นหนึ่งตกลงในมือของเกาก้วน เกาก้วนพลิกฝ่ามือเก็บ แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “จบแล้ว ถอนกำลัง!”


เถิงเฟยหันกลับมาตะโกนว่า “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ถอนกำลัง!”


“รับทราบ!” แม่ทัพที่รอรับคำสั่งอยู่ข้างหลังถ่ายทอดคำสั่งลงไปทันที


รอเพียงไม่นาน ก็เห็นทัพใหญ่หนึ่งแสนที่ไปเก็บกวาดสนามทยอยกลับมาจากทั่วสารทิศ


เกาก้วนไม่อยู่ด้วยอีก หันตัวไปนำกำลังพลของหน่วยตรวจการฝ่ายขวาเหาะจากไปอย่างรวดเร็ว เหาะไปยังดาวเคราะห์ที่เป็นจุดรวมตัวของสมาชิกผู้เข้าร่วมการทดสอบ


พอเหาะจากฟ้าลงมาเหยียบที่นอกตำหนักบนยอดเขา ก็หันมองกลุ่มคนที่หนาแน่นยั้วเยี้ยในแอ่งกระทะ ข้างล่างก็มีสายตาจำนวนนับไม่ถ้วนมองเขาอยู่เหมือนกัน


เกาก้วนหันกลับมา เดินก้าวยาวเข้าไปในตำหนัก ขณะเดียวกันก็กล่าวอย่างเย็นชาว่า “เริ่มตรวจสอบได้ ใครกล้าช่วยกันโกง ประหาร!”


“รับทราบ!” จุยหย่วนเอ่ยรับคำสั่ง แล้วนำกำลังพลจากไปอย่างรวดเร็ว


ผลงานการทดสอบทั้งหมดไปรวมอยู่ในมือจุยหย่วนอย่างรวดเร็ว มีผู้ช่วยสองคนจับตาดูอยู่ เรียกได้ว่ามีคนสามคนเฝ้าจับตาดูอยู่ด้วยกัน ป้องกันไม่ให้มีคนช่วยสมาชิกผู้เข้ารวมทดสอบโกง ป้องกันอย่างเข้มงวดมาก


กำลังพลหน่วยตรวจการฝ่ายขวาของตำหนักสวรรค์นับพันถูกค้นตัว ตรวจซ้ำหลายด่าน ถูกค้นตัวต่อเนื่องกันจากคนไม่ซ้ำหน้า ส่งมอบของทุกอย่างบนตัวออกไปแล้ว


ผ่านไปไม่นาน ผลงานการทดสอบทั้งหมดก็ถูกทยอยแจกจ่ายไปยังมือของเจ้าหน้าที่นับพัน สามร้อยคนแรกแบ่งแยกประเภทคร่าวๆ โดยอิงจากเขตพื้นที่นรกที่ผู้ทดสอบสำรวจมา แล้วค่อยให้เจ้าหน้าที่อีกสามร้อยคนแบ่งประเภทอย่างละเอียดอีกครั้ง แล้วเจ้าหน้าที่สามร้อยคนสุดท้ายก็จะดำเนินการตรวจสอบยืนยัน ส่วนเจ้าหน้าที่อีกหนึ่งร้อยคนที่เหลือก็จัดการผลงานที่เป็นการสำรวจข้ามเขต หรือพูดได้อีกอย่างว่า บนผลงานส่วนหนึ่งของการทดสอบจะไม่ได้ตรวจสอบแค่เขตพื้นที่เดียวเท่านั้น ถึงขั้นมีแบบตรวจสอบอีกเขตพื้นที่หนึ่งด้วย


ใช้เวลาเพียงหนึ่งวัน แผ่นหยกหลายแสนก็แยกประเภทเสร็จแล้ว


วันต่อมา เถิงเฟย จอมพลเถิงสายชวดที่รักษาการณ์ที่นี่ก็รวบรวมยอดฝีมือกลุ่มใหญ่ เพื่อมารวมตัวกับยอดฝีมือกลุ่มใหญ่ที่ตำหนักสวรรค์ส่งมาก่อนหน้านี้ รวมเป็นทั้งหมดหนึ่งแสนคน พวกเขาเหาะขึ้นฟ้าไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่หนึ่งพันคนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวา ทำแบบนี้ก็เพื่อปกป้องเจ้าหน้าที่หนึ่งพันคนนั้นเช่นกัน กำลังไปสถานที่จริงเพื่อตรวจสอบผลการทดสอบ โดยมีจุยหย่วนเป็นคนนำกลุ่มด้วยตัวเอง!


ผู้เข้าร่วมทดสอบทดสอบกลุ่มใหญ่ที่นั่งอยู่ในแอ่งกระทะเงยหน้ามองฟ้า มองดูกำลังพลกลุ่มใหญ่เหาะไป


“น้องหนิว ดูเหมือนพวกเขาจะเริ่มไปตรวจสอบสถานที่จริงแล้ว ช่างมีประสิทธิภาพสูงจริงๆ!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงเดาะลิ้น แล้วหันกลับมากล่าวอย่างกังวลว่า “ไม่รู้ว่าคะแนนทดสอบของพวกเราจะเป็นยังไง”


เหมียวอี้ตอบอย่างสบายๆ ว่า “จะดีจะร้ายก็แล้วแต่โชคชะตา ช่างมันเถอะ!” ขณะที่พูดก็พบว่าจ้านหรูอี้ที่อยู่ข้างๆ กำลังเอียงหน้ามองมาทางนี้ ทั้งสองสบตากัน จ้านหรูอี้ทำสายตาเหยียดหยามใส่เขาทันที


เหมียวอี้ทั้งโมโหทั้งอยากขำ ต่อสู้แพ้พ่อแท้ๆ ยังกล้ามาดูถูกพ่ออีก นี่มันเรียกว่าสภาพสังคมแบบไหนกัน มีอำนาจอิทธิพลหนุนหลังแล้วเจ๋งนักรึไง?


แต่จะว่าไปแล้ว การที่อีกฝ่ายมีอำนาจอิทธิพลหนุนหลังก็นับว่าเจ๋งจริงๆ ในสายตาของตระกูลอิ๋ง ตนก็เป็นแค่ทหารเล็กๆ คนหนึ่ง…


หลังจากนั้นสามเดือน จู่ๆ นอกตำหนักบนยอดเขาก็มีเสียงกลองรบดัง “ตุ้งๆ” พักหนึ่ง เป็นเสียงกลองที่สะเทือนขวัญคนจริงๆ ให้ความรู้สึกน่าเกรงขามต่างกับกลองสะท้านฟ้า


“เป็นกลองรบยามออกศึก!”


“เสียงกลองรบดังแล้ว เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”


“โจรกบฏบุกโจมตีเข้ามารึเปล่า?”


ในแอ่งกระทะด้านล่าง เสียงของคนที่มีประสบการณ์ดังต่อเนื่องเป็นระลอก มีคนไม่น้อยยืนขึ้นและใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ดูว่าเกิดอะไรกันแน่


เหมียวอี้เองก็ลุกขึ้นดูตั้งแต่ได้ยินเสียงกลองรบครั้งแรกเช่นกัน เห็นเพียงกลองใหญ่สีแดงสดบนยอดเขากำลังถูกตีอย่างหนักหน่วง


บนยอดเขามีกำลังพลกลุ่มใหญ่ที่เฝ้าแดนอเวจีกำลังรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว เถิงเฟยกับเกาก้วนรีบเดินก้าวยาวออกมาจากประตูใหญ่ของตำหนัก เกาก้วนสีหน้าเย็นเยียบดุร้าย เถิงเฟยหน้าดำคร่ำเครียด กวาดสายตามองรอบๆ ราวกับเหยี่ยวดุร้าย


เถิงเฟยที่ยืนอยู่บนบันไดพลันหันตัว ไม่รู้เหมือนกันว่าเกาก้วนพูดอะไร ทั้งสองกุมหมัดคารวะกัน จากนั้นเถิงเฟยก็โบกมือ นำยอดฝีมือพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพสิบกว่าคนพุ่งขึ้นฟ้าไปอย่างฉับพลัน ชั่วพริบตาเดียวก็ฝ่าขึ้นท้องฟ้าไป เดินทางนำไปก่อนหนึ่งก้าว


จากนั้นถึงได้เห็นกำลังพลกลุ่มใหญ่ที่รวมตัวกันพุ่งขึ้นฟ้าไป


หลังจากมองคล้อยหลังคนกลุ่มนั้นออกไปแล้ว เกาก้วนที่สวมหมวดทรงสูงสีดำและชุดคลุมสีดำก็กวาดสายตาเย็นเยียบมองแอ่งกระทะข้างล่าง เมื่อเห็นกลุ่มคนที่อยู่ข้างล่างทำท่ากระสับกระส่ายร้อนรน ก็เอียงหน้าพูดอะไรบางอย่างกับลูกน้อง


ผ่านไปไม่นาน ก็เห็นที่ปรึกษากลุ่มใหญ่เหาะลงมาที่แอ่งกระทะ แล้วอธิบายกับคนข้างล่างไม่หยุด บอกว่าไม่ใช่ข้าศึกโจมตี แค่พบสถานการณ์ของศัตรูเท่านั้น จอมพลเถิงเฟยจึงออกรบด้วยตัวเอง


มีคนไม่น้อยที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง สามารถทำให้จอมพลเถิงที่รักษาการณ์ที่นี่ออกรบด้วยตัวเองได้ เกรงว่าคงไม่ใช่สถานการณ์ของศัตรูธรรมดา


เมื่อเห็นโค่วเหวินชิงตั้งใจมาทางนี้ เหมียวอี้ก็ถ่ายทอดเสียงถามทันทีว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว?”


โค่วเหวินชิงถ่ายทอดเสียงตอบว่า “มีผลงานการทดสอบของบางคนเป็นของปลอม ทำเครื่องหมายไว้มั่วๆ นำทางให้เจ้าหน้าที่ที่ตรวจสอบสถานที่จริงเข้าไปในเขตอันตราย โจรกบฏอาศัยสภาพภูมิประเทศที่เลวร้ายล้อมโจมตี ไม่เป็นผลดีกับพวกเรา โชคดีที่ตำหนักสวรรค์ส่งยอดฝีมือกลุ่มใหญ่ไปช่วยล่วงหน้า โชคดีที่ไม่ได้แพ้ย่อยยับ แต่กำลังต่อสู้อย่างยากลำบาก พร้อมทั้งส่งข่าวมาขอความช่วยเหลือเร่งด่วน สถานการณ์คับขัน จอมพลเถิงที่นั่งรักษาการณ์ที่นี่รีบนำคนไปช่วยแล้ว อาศัยวรยุทธ์ของพวกจอมพลเถิง เดาว่าคงจะถึงอย่างรวดเร็ว คาดว่าคงจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่มาก!”


ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! เหมียวอี้เช้าใจทันที แต่อดไม่ได้ที่จะถามอีกว่า “ผลงานของใครเกิดปัญหาเหรอ?”


เขากังวลนิดหน่อยว่าทางจินม่านจะวางกับดักเขาหรือเปล่า คาดว่าคงจะไม่ทำถึงขั้นนั้น


โค่วเหวินชิงส่ายหน้าเบาๆ “เรื่องนี้ข้าไม่รู้แล้ว รอผลออกมาตอนจบเรื่องแล้วกัน”


นางบอกข่าวเหมียวอี้เงียบๆ มีที่ปรึกษาคนอื่นเผยข่าวนี้กับคนอื่นเช่นกัน เหมือนจะมีคนไม่น้อยที่อยู่ตรงนั้นหน้าซีดไปชั่วขณะ เริ่มวิตกกังวลขึ้นมาแล้ว กำลังตกอยู่ในความกระวนกระวายใจ


ผ่านไปครู่เดียว เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ไม่รู้ว่าเอาข่าวมาจากไหน เริ่มกังวลแล้วเช่นกัน หลังจากกลับมาถ่ายทอดเสียงบอกสถานการณ์ให้รู้แล้ว ก็ถามเหมียวอี้เช่นกันว่า “น้องหนิว ผลงานของพวกเราคงไม่มีปัญหาอะไรหรอกใช่มั้ย? ของแบบนี้ถ้าผิดพลาดขึ้นมาก็ทำให้หัวขาดได้เลยนะ”


เหมียวอี้พูดปลอบใจว่า “ผลลงานของพวกเราออกจะเหมาะสม ข้าเสี่ยงอันตรายไปดูสถานที่จริงมาเอง ไม่มีปัญหาหรอก” เขาแค่กังวลว่าทางจินม่านจะวางกับดักเขา ส่วนผลงานทดสอบที่รายงานขึ้นไป ตอนหลังเขาได้ไปตรวจสอบตรงจุดที่ทำเครื่องหมายด้วยตัวเองมาแล้วรอบหนึ่ง น่าจะไม่เกิดเหตุไปผิดทาง ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าของตัวเองไม่น่าจะมีปัญหา


เซี่ยโห้วหลงเฉิงได้ยินแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ บนใบหน้ามีรอยยิ้มแล้ว กลับคืนสู่สภาพหยิ่งทระนง เหลียวซ้ายแลขวาพร้อมบอกว่า “งั้นก็ดี งั้นก็ดี ยอมให้คะแนนไม่ผ่านเกณฑ์ดีกว่า ถ้าเกิดปัญหานี้ขึ้นคงไม่ดี ไม่อย่างนั้นดาบที่ใช้ตัดหัวในมือเกาก้วนก็ไม่ได้มีไว้ถือเฉยๆ นะ มันทำให้คนตายได้จริงๆ ตายแล้วก็ตายเปล่าด้วย ท่านย่าเอ๊ย ไม่รู้ว่าใครมันใจกล้าขนาดนี้ กล้าตบตาผู้พิพากษาหน้าดุอย่างเกาก้วนได้ ช่างเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วจริงๆ!”


ตอนนี้รู้จักกลัวแล้วเหรอ? เหมียวอี้รู้สึกขำในใจ คนที่กล้าทำเรื่องแบบนนี้ นอกจากคนในกลุ่มผู้มีอำนาจ คนอื่นๆ ที่ไม่มีเส้นสายหนุนหลังก็ไม่กล้าทำอย่างนี้หรอก


จะว่าไปแล้วเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็โชคดีเหมือนกัน ในมือเขาไม่มีผลงานอะไร จึงเกิดความคิดที่จะทำของปลอมขึ้นมา แต่โชคดีที่ตระกูลเซี่ยโห้วไม่ช่วยเขาโกงเพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นที่ต้องสงสัย ทำเอาเซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่กล้าทำซี้ซั้ว นับว่าพ้นเคราะห์อย่างแท้จริง


ที่จริงการเปลี่ยนวิธีการตรวจสอบของเกาก้วน  แม้แต่เถิงเฟยที่นั่งรักษาการณ์ที่นี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน…


ถึงแม้จะบอกว่าผลคะแนนต้องออกมาภายในหนึ่งปี แต่เกาก้วนเผื่อเวลาให้ตัวเอง จะได้ไม่เกิดปัญหาเวลาไม่พอ ที่จริงใช้เวลาแค่ครึ่งปีผลการตรวจสอบสถานที่จริงก็ออกมาแล้ว หลังจากนั้นครึ่งปี กำลังพลกลุ่มใหญ่ที่ไปตรวจสอบสถานที่จริงก็เหาะลงมาจากฟ้า จอมพลเถิงก็กลับมาแล้วเช่นกัน ไม่รู้ว่าสถานการณ์การรบเป็นอย่างไรบ้าง


เกาก้วนโผล่ออกมาต้อนรับอยู่ตรงประตูใหญ่ของตำหนัก กล่าวเสียงเรียบว่า “ลำบากจอมพลเถิงแล้ว”


เถิงเฟยโบกมือ “ลำบากนิดหน่อยจะเป็นไรไป เจ้ารีบนำผลคะแนนออกมาเถอะขอร้อง! ไม่อย่างนั้นข้าก็ใกล้จะล่วงเกินผู้มีอำนาจหมดราชสำนักแล้ว สถานการณ์เป็นยังไงเจ้าก็รู้ดี คงไม่ต้องให้ข้าพูดมากนะ”


เรื่องที่เกาก้วนเปลี่ยนการตรวจสอบผลอย่างกะทันหันผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ย่อมไม่มีทางปิดเป็นความลับได้อีก คนที่มีความผิดอยู่ในใจจึงกระวานกระวายแล้ว มาหาเกาก้วนเพื่อผ่อนผันก็ไม่มีประโยชน์ ดีไม่ดีอาจจะโดนเกาก้วนเปิดเผยให้ราชันสวรรค์รู้ ดังนั้นเถิงเฟยที่นั่งรักษาการณ์อยู่ที่นี่ก็แทบจะร้องไห้แล้ว ไม่รู้ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าไรที่ไหว้วานให้เขาช่วยเหลือ แต่ในเมื่อมีเกาก้วนอยู่ที่นี่ด้วย เขาจะช่วยอะไรได้ล่ะ จุกจิกน่ารำคาญทั้งยังทำให้คนอื่นไม่พอใจอีก


ที่จริงก็ช่วยไม่ได้ที่จะมีคนบางคนปลอมแปลงผลงาน จากกำลังพลหนึ่งล้านแปดแสนกว่า ลูกน้องของคนมากมายตายไปหมดแล้ว ไม่ใช่ว่าทุกคนจะหาตัวผู้เข้าร่วมทดสอบที่รอดชีวิตแล้วเอาผลประโยชน์มาหลอกล่อได้ ส่วนคนที่แอบทำก็คงไม่ป่าวประกาศอย่างโจ่งแจ้ง ถ้าทำให้ผลงานของคนกลุ่มใหญ่เหมือนกันทุกอย่าง  แปลว่าอยากจะเห็นราชันสวรรค์เป็นคนโง่เหรอ?


เกาก้วนไม่พูดอะไร เพียงเอียงหน้าถามว่า “รายชื่อคนที่ปลอมแปลงผลงานออกมาหรือยัง?”


จุยหย่วนใช้สองมือยื่นให้ “หนึ่งพันแปดสิบแปดคนขอรับ!”


เถิงเฟยที่อยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วหนังตากระตุก เขารู้อยู่แล้วว่าคงมีคนทำแบบนี้ไม่น้อย แต่นึกไม่ถึงว่าจะเยอะขนาดนี้ หันขวับกลับมามองเกาก้วนที่ทำสีหน้าไม่สะทกสะท้าน ในใจแอบร้องว่าแย่แล้ว


…………………………


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)