เทพปีศาจหวนคืน 1242-1249

 เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1242 วังสวรรค์แห่งโชค


แปลโดย iPAT 


เหนือทะเลเมฆอันกว้างใหญ่ บางคนยืนมองก้อนเมฆที่เคลื่อนตัวผ่านไปอย่างเงียบๆ


คนผู้นี้สวมชุดเกราะสีฟ้าทอง เคราของเขายาวลงมาถึงหน้าอก เขาเป็นชายชราที่มีร่างกายกำยำ มันก็คือราชันใต้


“ข้าเหยากวงคารวะราชันใต้!” ร่างหนึ่งปรากฏขึ้น เขาก็คือผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเผ่าเหยาผู้อมตะระดับแปดเหยากวง


ราชันใต้หันกลับมาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เราต่างเป็นผู้อมตะระดับแปด ปฏิบัติต่อข้าเช่นสหายผู้หนึ่ง ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากเกินไป”


เหยากวงโค้งคำนับอีกครั้ง “ในแง่ของระดับการบ่มเพาะ ท่านเหนือกว่าข้า ในแง่ของความอาวุโส ข้าเป็นทายาทที่ไม่อาจนับรุ่น ไม่ว่าอย่างไรสถานะของข้าก็ต่ำกว่าท่าน”


ราชันใต้พยักหน้าและถอนหายใจ “เจ้าเป็นคนดี แต่น่าเสียดายที่สายเลือดตระกูลฮวงจินของเราตกต่ำลงในปัจจุบัน นอกถ้ำสวรรค์นิรันดร เจ้าเป็นผู้อมตะระดับแปดเพียงคนเดียวของตระกูลฮวงจิน!”


องค์ชายฟงเซี่ยเป็นสมาชิกเผ่ากง แต่จากมุมมองของราชันใต้ เขาเป็นคนนอกเพราะเขาไม่มีสายเลือดตระกูลฮวงจินไหลเวียนอยู่ในร่างกาย


“ย้อนกลับไปในรุ่นของข้า มีผู้อมตะระดับแปดของตระกูลฮวงจินถึงสี่คน หนึ่งในนั้นรู้จักกันในนามของจ้าวพยัคฆ์อมตะ เขาแข็งแกร่งมาก ผู้คนคิดว่าเขามีศักยภาพที่จะทะลวงเข้าสู่ระดับเก้า น่าเสียดายที่เขาตายในสวรรค์สีดำ เมื่อเวลาผ่านไป ตระกูลฮวงจินจึงค่อยๆตกต่ำลง”


ปรากฏความผิดหวังอยู่ในดวงตาของราชันใต้


เหยากวงไม่สามารถกล่าวสิ่งใด


เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะวิจารณ์สายเลือดตระกูลฮวงจิน มีเพียงตัวตนระดับราชันใต้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็นลักษณะนี้


และเขาก็กล่าวเรื่องจริง


เหยากวงไม่มีสิ่งใดโต้แย้ง


มันเป็นเช่นนั้น ตระกูลฮวงจินของภาคเหนือตกต่ำลง พวกเขาขาดแคลนบุคคลที่มีพรสวรรค์อันโดดเด่น ในทางตรงข้ามผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะกลับมีอัจฉริยะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆเช่น จักรพรรดิสวรรค์ไป่ซู ชูตู๋ และหลิวกวนซื่อ


“อย่างไรก็ตามบรรพชนตะวันเดือดคาดการณ์ไว้แล้ว” ราชันใต้กล่าวถึงเรื่องนี้อย่างกะทันหันและทำให้เหยากวงตกใจมาก


“โอ้ บรรพชนตะวันเดือดสามารถทำนายอนาคตที่ยาวไกลได้งั้นหรือ?”


“แม้บรรพชนของเราจะบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งโชค แต่ความสามารถบนเส้นทางแห่งปัญญาของท่านก็ไม่ต่ำต้อย นอกจากนี้โชคยังเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน บรรพชนของเราเข้าใจว่าทุกสิ่งสามารถเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่ท่านสร้างวังแปดสิบแปดเปลวเพลิงที่แท้จริงขึ้นมา ท่านก็ประกาศไว้แล้วว่าวันหนึ่งมันจะพังทลายลง เมื่อวันนั้นมาถึง มันจะเป็นสัญญาณเตือนถึงการเปลี่ยนแปลง ยุคที่ยิ่งใหญ่จะมาถึง” ราชันใต้กล่าวเสริม


เหยากวงตกใจ “เป็นเช่นนั้น?”


ยุคที่ยิ่งใหญ่หมายถึงสิ่งใด?


มันจะเป็นยุคที่ยิ่งใหญ่หากเทพอมตะหรือเทพปีศาจถือกำเนิดขึ้น


ราชันใต้ถอนหายใจ “บรรพชนตะวันเดือดใช้ความพยายามอย่างหนักและจัดเตรียมสิ่งต่างๆเอาไว้มากมายเพื่อช่วยเหลือบุตรหลานของท่าน ท่านต้องการทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของยุคที่ยิ่งใหญ่ ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ท่านยังต้องทำให้แน่ใจว่าสายเลือดตระกูลฮวงจินจะถูกส่งต่อ”


เหยากวงลังเล “ไม่ว่าตระกูลฮวงจินจะอ่อนแอลงเพียงใด พวกเราก็ยังสามารถปกป้องตนเอง อย่างน้อยภาคเหนือก็ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเรา แม้พวกเราจะไร้ประโยชน์ แต่ก็ยังมีถ้ำสวรรค์นิรันดร”


ราชันใต้ส่ายศีรษะ “ถ้ำสวรรค์นิรันดรอาจแข็งแกร่ง แต่มันเป็นเพียงมิติช่องว่างของบรรพชนของเรา ขณะที่วังสวรรค์ของภาคกลางเป็นการรวมตัวของมิติช่องว่างจำนวนนับไม่ถ้วน รากฐานของถ้ำสวรรค์นิรันดรยังไม่สามารถเปรียบเทียบกับวังสวรรค์ ตอนนี้ภาคกลางส่งผู้อมตะระดับแปดจำนวนสามคนและคฤหาสน์วิญญาณอมตะอีกสามหลังบุกมายังภาคเหนือแล้ว เจ้าคิดว่าตระกูลฮวงจินของเราจะรับมือพวกเขาได้หรือไม่?”


เหยากวงรู้สึกพูดไม่ออก “กระไรนะ!? ภาคกลางบุกงั้นหรือ?”


ราชันใต้ไม่ได้อธิบายต่อ เขากล่าว “ตามข้ามา”


หลังกล่าวจบคำ เขาบินขึ้นสู่ท้องฟ้าทันที


เหยากวงเร่งติดตามไปด้านหลัง


ผู้อมตะทั้งสองบินผ่านกำแพงสวรรค์และเข้าสู่สวรรค์สีดำ


ภายใต้การนำทางของราชันใต้ เหยากวงมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้


หลังจากบินไปได้สักพัก ร่างกายของเหยากวงพลันสั่นสะท้านขึ้น ‘สวรรค์สีดำเป็นสถานที่อันตราย แม้ข้าจะสำรวจมันบ่อยครั้งเพื่อค้นหาทรัพยากรอมตะระดับแปด แต่ข้าไม่เคยเดินทางได้อย่างราบรื่นเช่นนี้ อย่าบอกว่าราชันใต้มีแผนที่ของสวรรค์สีดำ?’


แต่ความจริงคือแผนที่ไม่สามารถใช้งานในสวรรค์ทั้งเก้า


เมฆที่อยู่ในเก้าสวรรค์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มันไม่สามารถเชื่อถือ


แม้กลุ่มผู้อมตะภาคกลางจะเดินทางได้ค่อนข้างราบรื่น แต่พวกเขายังพบกับหมูป่าเหินเวหา อสรพิษทมิฬ ยุงหมี และอื่นๆ อย่างไรก็ตามราชันใต้กับเหยากวงกลับไม่พบสิ่งใดเลย พวกเขาปลอดภัยและเดินทางได้อย่างราบรื่นราวกับพวกเขากำลังเดินเล่นอยู่ในสวนหลังบ้านของตนเอง


“เอาล่ะ ที่นี่” ราชันใต้หยุดบิน


เหยากวงหยุดอยู่ด้านข้าง


เขารู้สึกแปลกเล็กน้อย ที่แห่งนี้ว่างเปล่ามาก แต่เหตุใดราชันใต้ถึงหยุดอยู่ที่นี่?


ในเวลาต่อมาราชันใต้ก็ตอบข้อสงสัยของเหยากวงด้วยการกระทำ


ร่างกายของเขาส่องแสงสีทองออกมาราวกับดวงตะวัน เหยากวงต้องปิดเปลือกตาลงแต่หัวใจของเขากลับแตกตื่น


สวรรค์สีดำมืดมาก การกระทำนี้จะดึงดูดฝูงสัตว์อสูรจำนวนนับไม่ถ้วน


อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นคือไม่มีสัตว์อสูรปรากฏตัวแม้แต่ตัวเดียว


‘ที่นี่คือสวรรค์สีดำจริงๆงั้นหรือ?’ เหยากวงต้องคิดเช่นนี้อย่างช่วยไม่ได้


ครู่ต่อมาราชันใต้ก็หยุดเคลื่อนไหวขณะที่วังสีทองปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า


เหยากวงไม่คาดหวังว่าคฤหาสน์วิญญาณอมตะจะถูกซ่อนไว้ที่นี่


แต่เขาตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าวังหลังนี้คือสิ่งใด เขารู้สึกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก “นี่คือวังสวรรค์แห่งโชค?”


แท่นบูชาแห่งโชค วังแปดสิบแปดเปลวเพลิงที่แท้จริง วังสวรรค์แห่งโชค เหล่านี้ล้วนเป็นคฤหาสน์วิญญาณอมตะของเทพอมตะตะวันเดือดทั้งสิ้น


วังแปดสิบแปดเปลวเพลิงที่แท้จริงตั้งอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์เมืองหลวงของภาคเหนือ แท่นบูชาแห่งโชคถูกเก็บไว้ในถ้ำสวรรค์นิรันดร ขณะที่วังสวรรค์แห่งโชคอยู่ในสวรรค์สีดำมาอย่างยาวนาน


‘วังสวรรค์แห่งโชคของบรรพชนตะวันเดือดอยู่ที่นี่ เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาซ่อนเร้น แต่ท่านวางแผนใดเอาไว้?’


เหยากวงยังคาดเดาต่อไปขณะที่ราชันใต้หันกลับมามองเขา “ตามข้ามา”


เหยากวงติดตามราชันใต้เข้าไปในวังสวรรค์แห่งโชค


“พวกเจ้ามาแล้ว” ในห้องโถงมีคนผู้หนึ่ง


เขานั่งอยู่บนเบาะ เขาไม่ใช่รูปแบบของเจตจำนง เขาเปิดเปลือกตาขึ้นและเผยให้เห็นแสงสีทองที่ส่องประกายระยิบระยับ


หัวใจของเหยากวงสั่นสะท้านขึ้นอย่างรุนแรงเมื่อเห็นคนผู้นี้ “บรรพชน! บรรพชนตะวันเดือด!?”


…..


“อะวู้…”


ฝูงหมาป่าไล่ล่าคฤหาสน์วิญญาณอมตะสามหลัง


พวกมันมีร่างกายเรียวยาวและมีกรงเล็บกับเขี้ยวที่แหลมคม แต่สิ่งที่ดูโดดเด่นที่สุดคือพวกมันไม่มีขน ร่างกายของพวกมันราวกับสวมเกราะหนังสีดำที่มันวาวและแข็งแกร่งเอาไว้


นี่คือฝูงหมาป่าราตรีสวรรค์ที่มีจำนวนมากกว่าหนึ่งหมื่นตัว


หมาป่าราตรีสวรรค์แต่ละตัวเป็นสัตว์อสูรเดียวดาย ราชาของพวกมันเป็นสัตว์อสูรบรรพกาล นอกจากนี้ยังมีจักรพรรดิหมาป่าที่มีพลังการต่อสู้ระดับแปดอีกหนึ่งตัว!


“พวกเราไม่สามารถหลบหนี พวกเราถูกล้อมเอาไว้แล้ว”


“ผู้ใดจะคิดว่าจักรพรรดิหมาป่าตัวนี้จะมีวิญญาณอมตะป่าระดับแปดที่สามารถปิดซ่อนร่องรอย!”


“ฝูงหมาป่าใหญ่โตเช่นนี้ถือว่าหาได้ยากในสวรรค์สีดำแต่พวกเรากลับพบพวกมันจริงๆ”


ผู้อมตะระดับแปดทั้งสามสนทนากันอย่างรวดเร็ว


เว่ยหลิงหยางตะโกน “ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ!”


ค่ายนักรบเปิดเส้นทางด้านหน้าและฝ่าวงล้อมของฝูงหมาป่าออกไป


ศาลานกขมิ้นและหอคอยวายุติดตามไปด้านหลัง


การต่อสู้ครั้งใหญ่ทั้งน่ากลัวและอันตรายมาก


จักรพรรดิหมาป่าซุ่มโจมตีระหว่างการต่อสู้ โชคดีที่คฤหาสน์วิญญาณอมตะแต่ละหลังมีผู้อมตะระดับแปดควบคุมอยู่ ดังนั้นมันจึงสามารถปลดปล่อยพลังอำนาจที่น่าอัศจรรย์ออกมาและสังหารหมาป่าจำนวนนับไม่ถ้วน


ในที่สุดจักรพรรดิหมาป่าก็ส่งเสียงเห่าหอนและนำฝูงของมันล่าถอยกลับไป นี่ทำให้การต่อสู้นองเลือดครั้งนี้จบลง


ฝูงหมาป่าได้รับความเสียหายรุนแรงเกินไป จักรพรรดิหมาป่าไม่ยินดีให้กองกำลังของมันอ่อนแอลง ดังนั้นมันจึงตัดสินใจล่าถอย


คฤหาสน์วิญญาณอมตะทั้งสามได้รับความเสียหายอย่างมากเช่นกัน วิญญาณจำนวนมากถูกทำลายรวมถึงวิญญาณอมตะสามดวง กระทั่งผู้อมตะระดับแปดยังอยู่ในสภาพที่ไม่น่ามอง


พวกเขาสูญเสียค่าใช้จ่ายมหาศาล


“ยิ่งเราเข้าใกล้ภาคเหนือมากเท่าใด พวกเราก็พบกับความยากลำบากมากขึ้นเท่านั้น นี่เป็นเพราะเหตุใด?”


“เราพบหมาป่าสวรรค์มาห้าฝูง รวมถึงจระเข้มังกร และจิ้งจอกจิตวิญญาณ… ดูเหมือนฝูงสัตว์อสูรจำนวนนับไม่ถ้วนต้องการกำจัดพวกเรา”


“ลืมสัตว์อสูรเหล่านั้นไปซะ สิ่งสำคัญที่สุดคือเราไม่สามารถเผชิญหน้ากับเมฆาดำขาวได้อีก ตอนนี้หอคอยวายุแทบไม่สามารถทำสิ่งใด”


“พักซ่อมแซมคฤหาสน์วิญญาณอมตะกันก่อน” เว่ยหลิงหยางกล่าว


คฤหาสน์วิญญาณอมตะทั้งสามหยุดลง แต่ในจังหวะนี้จุดแสงจำนวนนับไม่ถ้วนกลับสว่างขึ้นจากทุกทิศทาง


มันดูเหมือนดอกไม้แสงจำนวนมากท่ามกลางความมืดมิด


“โอ้ ไม่ นี่คือภูตผีแห่งสวรรค์สีดำ โคมทมิฬ! อย่ามองพวกมัน!” ไป่เฉินเทียนตะโกน


แต่มันสายเกินไป ผู้อมตะหลายคนมองพวกมันเพียงครั้งเดีวก่อนจะสูญเสียการมองเห็นทันที


เสียกรีดร้องดังขึ้นจากภายในคฤหาสน์วิญญาณอมตะทั้งสาม


จ้าวเหลียนหยุนค่อนข้างโชคดี นางหันไปด้านในคฤหาสน์วิญญาณอมตะเพื่อพูดคุยกับอวี๋อี้เย่ซือ


อวี๋อี้เย่ซือตระหนักถึงการคงอยู่ของโคมทมิฬและปิดเปลือกตาลงทันที


เขามีความรู้กว้างขวางขณะที่ผู้อมตะมากมายไม่รู้


บางคนยืนพิงหน้าต่างและมองออกไปรอบๆ พวกเขาเห็นโคมทมิฬจำนวนนับไม่ถ้วน นี่ทำให้พวกเขาสูญเสียการมองเห็นไปอย่างสมบูรณ์


คฤหาสน์วิญญาณอมตะทั้งสามรีบออกมาจากจุดนั้นและทิ้งโคมทมิฬเอาไว้ด้านหลัง


ผู้อมตะบางคนสูญเสียการมองเห็นไปอย่างถาวรขณะที่ความสามารถในการมองเห็นของบางคนลดลง แม้จะสามารถรักษา แต่พวกเขายังต้องจ่ายด้วยราคามหาศาล


“เราพึ่งผ่านฝูงหมาป่าราตรีสวรรค์และต้องการพักผ่อน แต่พวกเรากลับเคลื่อนที่เข้าสู่จุดศูนย์กลางของโคมทมิฬโดยไม่คาดคิด ช่างโชคร้ายนัก!”


“เดี๋ยว! นั่นคือสิ่งใด?”


มดฝูงหนึ่งกำลังใกล้เข้ามา


มดแต่ละตัวคือวิญญาณ


วิญญาณมดทหาร!


“กองทัพมดทหารหลายแสนหรืออาจจะหลายล้าน หนีเร็ว!”


คฤหาสน์วิญญาณอมตะทั้งสามพึ่งหยุดแต่พวกเขากลับถูกบังคับให้หลบหนีอีกครั้ง


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1243 ตอบแทนความเมตตา


แปลโดย iPAT 


วังสวรรค์แห่งโชค


เทพอมตะตะวันเดือดปรากฏตัวต่อหน้าเหยากวง


เหยากวงตกตะลึง เขารู้สึกไม่อยากจะเชื่อ


“ข้า ราชันใต้ ถวายความเคารพต่อเทพอมตะ” เป็นเพียงเวลานี้ที่ราชันใต้ทักทายด้วยความเคารพอย่างสูงสุด


“บุตรหลานอกตัญญูผู้นี้ถวายความเคารพต่อบรรพชน!” เหยากวงคุกเข่าลงและกล่าวด้วยน้ำตาไหลนอง


เทพอมตะตะวันเดือดเผยรอยยิ้มบาง “ลุกขึ้น ร่างหลักของข้าตายไปแล้ว ข้าเป็นเพียงศพที่มีชีวิต”


เหยากวงเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ หลังจากตรวจสอบ ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่าเทพอมตะตะวันเดือดที่อยู่ด้านหน้าเป็นผีดิบอมตะ


ตั้งแต่เทพปีศาจบัวแดงทำลายวิญญาณชะตากรรม ดวงวิญญาณของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดสามารถหลบหนีจากความตายด้วยวิธีการที่หลากหลายเช่นการเปลี่ยนเป็นผีดิบ


เมื่อผู้อมตะตระหนักว่าอายุขัยของพวกเขากำลังจะหมดลง พวกเขามักเปลี่ยนเป็นผีดิบอมตะ นี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา


แม้วังสวรรค์จะต่อต้านและพยายามหยุดมัน พวกเขาก็ไม่สามารถต้านทานความปรารถนาของมนุษย์ ผีดิบอมตะปรากฏตัวขึ้นในห้าภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง


ผู้อมตะทั่วไปสามารถเปลี่ยนเป็นผีดิบอมตะได้ แล้วเหตุใดเทพอมตะตะวันเดือดจะไม่สามารถทำเช่นเดียวกัน


เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ความสงสัยของเหยากวงก็หายไป


ผีดิบอมตะตะวันเดือดอธิบายเพิ่ม “ตอนนี้นอกจากร่างกายของข้า ข้าเหลือเจตจำนงอยู่ในร่างนี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น”


แต่เหยากวงยังตื่นเต้นมาก “ไม่ว่าอย่างไรท่านก็เป็นผู้ให้กำเนิดตระกูลฮวงจินของพวกเรา ท่านเป็นบรรพชนที่แท้จริงของพวกเรา ตราบเท่าที่ท่านแสดงตัว ตระกูลฮวงจินทั้งหมดจะรวมกันเป็นหนึ่ง ภาคเหนือจะกลายเป็นของตระกูลฮวงจินอีกครั้ง!”


ผีดิบอมตะตะวันเดือดส่ายศีรษะ “ร่างหลักของข้าตายไปนานแล้ว ข้าเป็นเพียงซากศพ ข้าไม่ใช่เทพอมตะระดับเก้าอีกต่อไปและไม่สามารถคงอยู่ชั่วนิรันดร์ แล้วมีประโยชน์ใดที่ข้าจะแสดงตัว? ข้าเพียงจะถูกหัวเราะเยาะเท่านั้น”


“นอกจากนั้นตอนนี้ข้าสามารถโจมตีได้อีกเพียงครั้งเดียว หากข้าเคลื่อนไหวมากเกินไป ข้าจะมอดไหม้ไปในที่สุด”


“โจมตีได้อีกครั้งเดียว?” เหยากวงทั้งตกใจ ชื่นชม และตื่นเต้นมาก “แม้บรรพชนจะโจมตีได้เพียงครั้งเดียว แต่มันย่อมเป็นการโจมตีที่สามารถสั่นคลอนสวรรค์พิภพ”


ผีดิบอมตะตะวันเดือดหัวเราะ “นั่นเป็นเรื่องธรรมดา แต่อย่านับรวมมัน ข้าทิ้งวังสวรรค์แห่งโชคเอาไว้เพื่อปกป้องภาคเหนือ สำหรับร่างกายนี้ มันมีไว้เพื่อเหตุผลอื่น ข้าต้องตอบแทนความเมตตา”


“ตอบแทนความเมตตา?” เหยากวงตกใจ


เทพอมตะตะวันเดือดเปลี่ยนตนเองเป็นผีดิบอมตะและอยู่ในวังสวรรค์แห่งโชคมาหลายแสนปีเพื่อตอบแทนความเมตตา!


แล้วเทพอมตะที่ยิ่งใหญ่ผู้นี้ติดหนี้ผูใด?


และความเมตตาชนิดใดที่ทำให้เทพอมตะตะวันเดือดต้องทำถึงเพียงนี้?


เหยากวงรู้สึกสับสนมาก แต่ผีดิบอมตะตะวันเดือดไม่ตอบคำถามนี้ เขากล่าว “ตอนนี้ผู้อมตะภาคกลางกำลังบุกภาคเหนือ แต่ข้าไม่สามารถออกไปต่อสู้ ทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับพวกเจ้าทั้งสอง”


เหยากวงค่อยๆลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าเคร่งเครียด “ผู้อมตะภาคกลางอาจแข็งแกร่ง แต่เรามีวังสวรรค์แห่งโชคและท่านราชันใต้ บรรพชนอย่ากังวล ข้าจะปกป้องภาคเหนือด้วยความสามารถทั้งหมด ต่อให้ต้องสละชีวิต ข้าก็จะทำโดยไม่ลังเล!”


ผีดิบอมตะตะวันเดือดมองเหยากวงก่อนจะปิดเปลือกตาลงและกลับสู่สภาวะจำศีล


ตอนนี้เขาดูเหมือนรูปปั้น


เหยากวงไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรแต่ราชันใต้ตบไหล่เขา “มากับข้า”


ผู้อมตะทั้งสองออกจากห้องโถงและไปยังห้องโถงที่อยู่ด้านหลัง


เหยากวงยังรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่เกิดขึ้น “โปรดมอบคำสั่งแก่ข้า ท่านราชันใต้ ข้าจะทำทุกสิ่ง!”


ราชันใต้ส่ายศีรษะ “วังสวรรค์แห่งโชคเป็นคฤหาสน์วิญญาณอมตะระดับแปดที่ถูกสร้างขึ้นโดยบรรพชนตะวันเดือดด้วยการใช้มรดกที่แท้จริงโชคแห่งสวรรค์พิภพ บรรพชนตะวันเดือดมองการณ์ไกลมาก ท่านวางวังสวรรค์แห่งโชคไว้ที่นี่มาสามแสนปีเพื่อควบคุมสถานที่แห่งนี้”


เหยากวงพึมพำ “โชคแห่งสวรรค์พิภพ…”


ราชันใต้เผยรอยยิ้ม “ทุกคนมีโชคเป็นของตนเอง สัตว์อสูรทุกตัวและต้นหญ้าทุกต้นต่างก็มีโชคของพวกมันเอง รูปแบบชีวิตทั้งหมดล้วนมีโชค นอกจากนั้นไม่ว่าจะเป็นก้อนหินหรือแม่น้ำ พวกมันก็มีโชคเช่นกัน นั่นยังรวมไปถึงสวรรค์พิภพ”


“มรดกที่แท้จริงโชคแห่งสวรรค์พิภพสามารถดูดซับ ใช้ และเปลี่ยนแปลงโชคแห่งสวรรค์พิภพ”


“ผู้อมตะระดับแปดของภาคกลางสามคนนำคฤหาสน์วิญญาณอมตะสามหลังมากับพวกเขา แต่กระทั่งพวกเขาจะมามากกว่านี้ เมื่อพวกเขามาที่นี่ พวกเขาก็จะสูญหายไป”


“ข้าไม่ได้เรียกเจ้ามาที่นี่เพื่อสละชีวิต หลังจากทั้งหมดเจ้าเป็นผู้อมตะระดับแปดที่มีสายเลือดตระกูลฮวงจินเพียงคนเดียวที่อยู่นอกถ้ำสวรรค์นิรันดร”


“อา…” เหยากวงตกใจ


ราชันใต้กล่าวต่อ “อายุขัยของข้าเหลือไม่มาก หลังจากมีชีวิตมาอย่างยาวนาน วิญญาณอายุยืนไม่มีประโยชน์สำหรับข้าอีกต่อไป ข้าต้องการให้เจ้าดูข้าควบคุมคฤหาสน์วิญญาณอมตะหลังนี้และกำจัดผู้อมตะภาคกลางเหล่านั้น หลังจากข้าตาย เจ้าจะรับสืบทอดตำแหน่งของข้าในฐานะราชันใต้”


เหยากวงจ้องมองด้วยดวงตาเบิกกว้างและอุทาน “ราชันใต้!?”


…..


หอคอยวายุเงียบสนิท


โคมทมิฬเหมือนปรากฎการณ์ทางธรรมชาติของสวรรค์สีดำ


แต่พวกมันปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันขณะที่คฤหาสน์วิญญาณอมตะทั้งสามติดอยู่ตรงกลาง


โดยปกติแล้วผู้อมตะระดับแปดที่เข้ามาสำรวจสวรรค์สีดำมักจะหลีกเลี่ยงพวกมันจากระยะไกล


แต่ผู้อมตะกลุ่มนี้พึ่งหลบหนีจากฝูงหมาป่าราตรีสวรรค์และพบกับโคมทมิฬโดยไม่คาดคิด นี่ทำให้ผู้อมตะจำนวนมากได้รับบาดเจ็บสาหัส


ชั้นบนสุดของหอคอยวายุ


“ท่านพ่อ! ดวงตาของท่าน!?” ผู้อมตะระดับหกซือเจิ้งอี้ร้องไห้


บิดาของเขาเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดที่มีชื่อเสียง แต่ผู้ใดจะคิดว่าเขาจะตาบอดเพราะโคมทมิฬ


เมื่อโคมทมิฬปรากฏขึ้น เขากำลังใช้ท่าไม้ตายอมตะตรวจสอบฝูงหมาป่า ท่าไม้ตายอมตะของเขามีประสิทธิภาพสูงมาก แต่นั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาสูญเสียการมองเห็น


หลังจากนี้ซือเก้อจะไม่สามารถมองเห็นอีกต่อไป  เขาจะกลายเป็นคนตาบอดตลอดกาล


แต่ซือเก้อยังใจเย็น เขายกมือขึ้นตบศีรษะบุตรชายและกล่าว “ข้าสูญเสียการมองเห็นแต่ข้ายังมีวิธีการมากมายและท่าไม้ตายสายตรวจสอบอีกนับไม่ถ้วน แม้ข้าจะสูญเสียดวงตา แต่ข้าก็ยังสามารถบ่มเพาะและต่อสู้ได้”


“แต่…” ซือเจิ้งอี้ก้มศีรษะลงและกัดฟัน


“บุตรของข้า อย่าร้องไห้ การบ่มเพาะของผู้อมตะเต็มไปด้วยอันตราย ตราบเท่าที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราต้องพุ่งไปข้างหน้า อย่าร้องไห้เหมือนคนอ่อนแอ ไม่ใช่ว่าเจ้าชอบฟังนิทานงั้นหรือ? ลองคิดเกี่ยวกับตัวเอกเหล่านั้น พวกเขามีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?” ซือเก้อกล่าวเบาๆ


ซื่อเจิ้งอี้พยักหน้า “ท่านพ่อ ข้าเข้าใจแล้ว”


จ้าวเหลียนหยุนมองฉากนี้และคิดไปถึงหม่าหงหยุน


‘หงหยุน รอข้าด้วย ไม่ว่ามันจะอันตรายหรือยากเย็นเพียงใด ข้าก็จะตามหาเจ้าและช่วยชีวิตเจ้า!’


จ้าวเหลียนหยุนให้กำลังใจตนเอง


“อวี๋อี้เย่ซือ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” หลังจากนั้นนางจึงหันไปถามผู้อมตะหนุ่มที่อยู่ด้านข้าง


ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมผู้นี้นั่งอยู่บนพื้นและปิดเปลือกตาลงเมื่อเขาเริ่มเห็นโคมทมิฬที่อยู่นอกหน้าต่าง ตอนนี้เขากำลังใช้ท่าไม้ตายอมตะเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของตนเอง


ได้ยินคำถามของจ้าวเหลียนหยุน อวี๋อี้เย่ซื่อยังไม่หยุดใช้ท่าไม้ตายอมตะของเขาแต่ตอบคำถามโดยไม่เปิดเปลือกตา “ขอบคุณสำหรับความห่วงใย ก่อนหน้านี้ข้าปิดดวงตาอย่างรวดเร็ว มิฉะนั้นข้าจะไม่สามารถรักษาตนเอง”


หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก


เหงื่อยังคงไหลลงมาจากหน้าผากของเขาขณะที่ใบหน้าของเขายังเห็นได้ถึงความหวาดกลัว


ผู้อมตะทั้งหมดค่อยๆเงียบเสียงลง ภายในคฤหาสน์วิญญาณอมตะทั้งสามหลัง บรรยากาศกลายเป็นเคร่งขรึม


อย่างไรก็ตามเสียงคำรามกลับดังขึ้นอีกครั้งจากด้านนอก


ปู้เจิ้งซือมองออกไปด้วยความกังวล “โอ้ ไม่ พวกเราพบฝูงสัตว์อสูรอีกครั้ง”


จ้าวเหลียนหยุนได้ยินและหันหน้าออกไปเพียงเพื่อพบกับกองทัพมดจำนวนนับไม่ถ้วนที่ดูเหมือนคลื่นน้ำสีดำ


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1244 พายุเมฆาดาว


แปลโดย iPAT 


กองทัพมดขนาดใหญ่เคลื่อนที่เข้ามาราวกับคลื่นยักษ์ที่ถาโถม ท่ามกลางพวกมันยังมีอสูรวิญญาณปะปนอยู่ด้วย


สิ่งสำคัญที่สุคดคือมันมีกระทั่งอสูรวิญญษณระดับสัตว์อสูรบรรพกาลและสัตว์อสูรแรกกำเนิด กลุ่มผู้อมตะยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของวิญญาณอมตะป่าอีกมากมาย


“อสูรวิญญาณแรกกำเนิดห้าตัว!”


“พวกเราพึ่งพบโคมทมิฬแต่ตอนนี้พวกเขากลับพบกองทัพสัตว์อสูรอีกครั้ง!”


ผู้อมตะระดับแปดทั้งสามลอบสนทนา


พวกเขารู้สึกสังหรณ์ร้าย โชคของพวกเขาเลวร้ายเกินไป นี่เป็นเรื่องที่น่าสงสัยมาก


เว่ยหลิงหยางกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ดูเหมือนนับจากนี้เป็นต้นไปพวกเราต้องพิจารณาถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้”


“บัดซบ!” ไป่เฉินเทียนกำหมัดแน่น “ตั้งแต่เทพปีศาจบัวแดงทำลายวิญญาณชะตากรรม ดวงวิญญาณจำนวนมากสามารถหลบหนีจากประตูแห่งชีวิตและความตายและกลับสู่โลกใบนี้ หลังจากเทพปีศาจจิตวิญญาณปกครองโลก ดวงวิญญาณจำนวนมากกลายเป็นอสูรวิญญาณ ตอนนี้สวรรค์สีดำเต็มไปด้วยอสูรวิญญาณ เมื่อใดกันที่พวกเราจะสามารถกวาดล้างพวกมันและทำให้โลกกลับสู่รูปแบบที่ควรจะเป็น!?”


“เร็วๆนี้!” นักรบหมื่นมังกรกล่าว “หลังการต่อสู้บนภูเขาอี้เทียน ผีดิบอมตะส่วนใหญ่ถูกกำจัดไปแล้ว นั่นทำให้วิญญาณชะตากรรมฟื้นตัวขึ้นมาก ตอนนี้ยายชากำลังรักษามันอยู่และมีความคืบหน้าไปมากแล้ว”


เว่ยหลิงหยางส่ายศีรษะ “อย่าพึ่งพูดคุย กองทัพอสูรวิญญาณกำลังมา สิ่งสำคัญที่สุดคือพยายามหลบหนีจากพวกมัน!”


นักรบหมื่นมังกรถอนหายใจ “วิธีที่ดีที่สุดคือท่าไม้ตายอมตะของเทพปีศาจปล้นสวรรค์ ผนึกศักดิ์สิทธิ์ หรือผนึกภูตผีสามารถซ่อนตัวจากการตรวจจบของอสูรวิญญาณ แต่ตอนนี้มาลองใช้ท่าไม้ตายอมตะมังกรล่องนภาของข้ากันเถอะ”


“แต่ในกรณีนี้ข้าต้องนำคฤหาสน์วิญญาณอมตะสามหลังและผู้อมตะอีกมากมายไปพร้อมกันด้วย ดังนั้นเมื่อข้าใช้ท่าไม้ตายนี้ ข้าจะไม่สามารถต่อสู้ได้อีกสามวัน”


ทั้งสามพูดคุยและตัดสินใจใช้วิธีของนักรบหมื่นมังกร


เสียงมังกรคำรามดังขึ้น


ภูตมังกรจำนวนนับไม่ถ้วนบินออกไปและโอบล้อมคฤหาสน์วิญญาณอมตะทั้งสามหลังเอาไว้


จากนั้นพวกมันก็นำคฤหาสน์วิญญาณอมตะทั้งสามหลังออกเดินทาง


กองทัพอสูรวิญญาณส่งเสียงคำรามอย่างดุเดือด พวกมันพยายามปิดกั้นเส้นทางหลบหนีของฝ่ายตรงข้าม


แต่ท่าไม้ตายอมตะของนักรบหมื่นมังกรยอดเยี่ยมมาก มันนำคฤหาสน์วิญญาณอมตะทะลวงฝ่าวงล้อมของอสูรวิญญาณและสามารถหลบหนีได้สำเร็จ


อย่างไรก็ตามกองทัพอสูรวิญญาณยังไล่ล่าอย่างไม่ยอมแพ้ พวกมันติดตามไปอย่างใกล้ชิด


นักรบหมื่นมังกรไม่กล้าหยุดใช้งานท่าไม้ตายอมตะมังกรล่องนภา เขาต้องกัดฟันและกระตุ้นใช้งานมันอย่างต่อเนื่อง


ทั้งสองฝ่ายไล่ล่ากันเป็นเวลาหกชั่วโมงกระทั่งกองทัพอสูรวิญญาณยอมแพ้ไปในที่สุด


“หลังจากนี้ข้าต้องพักเป็นเวลาเจ็ดวัน ระหว่างนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพวกเจ้าแล้ว” ใบหน้าของนักรบหมื่นมังกรกลายเป็นซีดขาว ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำราวกับเขาใช้พลังงานเกินขีดจำกัด


หลังจากหยุดใช้ท่าไม้ตายอมตะ นักรบหมื่นมังกรก็ทิ้งตัวลงและเข้าสู่ห้วงนิทรา


ดวงตาของเขาปิดแน่นและยังกรนเสียงดัง


เสียงกรนของเขาเหมือนเสียงมังกรคำราม


ในขณะที่เขาหลับมีหมอกหนาทึบปรากฏขึ้นรอบตัวเขา


หมอกหนาเริ่มก่อตัวเป็นรังไหม สองชั่วโมงต่อมา รังไหมเปลี่ยนเป็นไข่มังกรสีขาวซีด


“เราสามารถหลบหนีจากกองทัพอสูรวิญญาณ”


“มันอันตรายจริงๆ”


“ท่าไม้ตายก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะมาจากหนึ่งในสามผู้อมตะระดับแปดท่านนักรบหมื่นมังกร มันช่างยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามอย่างแท้จริง ข้ารู้สึกอัศจรรย์ใจนัก”


ภายในคฤหาสน์วิญญาณอมตะทั้งสาม กลุ่มผู้อมตะโห่ร้องและยกย่อง


แต่ไป่เฉินเทียนและเว่ยหลิงหยางกลับมีการแสดงออกที่น่ากลัว


นักรบหมื่นมังกรหลับสนิท พวกเขาสูญเสียหนึ่งในสามผู้อมตะระดับแปด แต่พวกเขายังมาได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น


คฤหาสน์วิญญาณอมตะทั้งสามชะลอความลงเร็วขณะที่กลุ่มผู้อมตะช่วยกับซ่อมแซมพวกมัน


ภายในเวลาสองชั่วโมง พวกเขาพบกับจิ้งจอกจิตวิญญาณอีกหลายฝูงและยังมีฝูงยุงหมี พวกเขาต่อสู้และล่าถอยโดยใช้พลังอำนาจของคฤหาสน์วิญญาณอมตะ


ทันใดนั้นริมฝีปากของไป่เฉินเทียนกลับยกตัวขึ้นเป็นรอยยิ้ม “ท่านเว่ยหลิงหยาง ข้าพบทุ่งราสวรรค์ขนาดใหญ่อยู่ห่างออกไปประมาณสามพันลี้จากที่นี่”


“โอ้ เช่นนั้นพวกเราจะไปพักที่นั่น” เว่ยหลิงหยางถอนหายใจ


คฤหาสน์วิญญาณอมตะทั้งสามหันหลังกลับและบินไปยังทุ่งราสวรรค์


“ที่นี่คือที่ใด? พวกเราปลอดภัยแล้วงั้นหรือ?” จ้าวเหลียนหยุนมองออกไปด้วยความตกใจเมื่อเห็นผู้อมตะหลายคนออกจากคฤหาสน์วิญญาณอมตะและเดินเข้าสู่ทุ่งราสวรรค์


อวี๋อี้เย่ซื่อยิ้มและอธิบาย “สวรรค์ทั้งเก้ามีจุดพิเศษของตัวมันเองเช่นเดียวกับปรากฏการณ์โคมทมิฬซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของสวรรค์สีดำ แต่ในสวรรค์ทั้งเก้าก็มีบางสิ่งที่เหมือนกันเช่นหมูป่าเหินเวหาหรือทุ่งราสวรรค์”


“ทุ่งราสวรรค์จะก่อตัวขึ้นในสวรรค์ทั้งเก้า ทุ่งราสวรรค์เป็นทรัพยากรอมตะระดับหก สิ่งสำคัญที่สุดคือมันจะเติบโตขึ้นด้วยตัวของมันเองโดยไม่พึ่งพาพลังงานแห่งเต๋าหรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ แม้แต่หินก็ไม่มีอยู่ที่นี่ ดังนั้นทุ่งราสวรรค์จึงถือเป็นสถานที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับการพักผ่อน เอาล่ะ ข้าต้องออกไปเก็บเกี่ยวเล็กน้อย นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยาก”


อวี๋อี้เย่ซื่อออกจากหอคอยวายุอย่างรวดเร็ว


จ้าวเหลียนหยุนไม่สนใจสิ่งนี้ นางพึ่งกลายเป็นผู้อมตะและยังไม่รู้ถึงความสำคัญของทรัพยากรในการบ่มเพาะ นางคิดเพียงว่าจะช่วยหม่าหงหยุนได้อย่างไร


ตอนนี้ไม่มีผู้อมตะคนใดเหลืออยู่ในหอคอยวายุอีก


“ท่านไม่ไปเก็บเกี่ยวราสวรรค์งั้นหรือ?” จ้าวเหลียนหยุนมองปู้เจิ้งซือและถาม


ปู้เจิ้งซือยิ้ม “นิกายสั่งให้ข้าปกป้องเจ้า ข้าจะไม่ทิ้งเจ้าแม้แต่วินาทีเดียว”


จ้าวเหลียนหยุนเข้าใจสิ่งนี้ “หากเป็นเช่นนั้นข้าก็จะลงไปเช่นกัน”


ปู้เจิ้งซือส่ายศีรษะ “ขอบคุณสำหรับความคิด แต่กระทั่งเราจะยืนอยู่บนทุ่งราสวรรค์ ข้าก็จะไม่เก็บเกี่ยวพวกมัน นั่นจะทำให้ข้าเสียสมาธิ หากเกิดบางสิ่งขึ้น มันอาจสายเกินไป”


จ้าวเหลียนหยุนได้ยินสิ่งนี้และรู้สึกอบอุ่นอยู่ในหัวใจ นางกล่าวเบาๆ “ขอบคุณ”


ปู้เจิ้งซือส่ายศีรษะ “ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก เจ้าคือผู้นำนิกายรุ่นปัจจุบันของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ มันเป็นหน้าที่ของข้า”


จ้าวเหลียนหยุนถอนหายใจและมองออกไปนอกหน้าต่างขณะกล่าวด้วยความเศร้าหมอง “สวรรค์สีดำอันตรายมาก แต่มันยังมีสถานที่ปลอดภัยเช่นนี้ นี่แสดงให้เห็นว่าสวรรค์มอบทางออกให้เราสายหนึ่งเสมอ เราจะประสบความสำเร็จในการเดินทางครั้งนี้อย่างแน่นอนใช่หรือไม่?”


ปู้เจิ้งซือไม่ลังเลที่จะตอบ “แน่นอน…”


แต่ในจังหวะนี้เขากลับลากเสียงยาวอย่างแปลกประหลาด


ในเวลาเดียวกันจ้าวเหลียนหยุนเห็นแสงดาวส่องประกายมาจากระยะไกล


นี่ไม่ใช่แสงที่เกิดจากโคมทมิฬ มันแตกต่างออกไป แสงชนิดนี้เหมือนแสงสะท้อนจากเพชรท่ามกลางความมืดมิด


จ้าวเหลียนหยุนถอนหายใจ “งดงามนัก”


“อันตรายมาก! ตามบันทึก มันคือ…” ปู้เจิ้งซือหน้าซีดและกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ


จ้าวเหลียนหยุนเริ่มตื่นตระหนก “อันใด?”


เป็นเพียงเวลานี้ที่เสียงเตือนของผู้อมตะระดับแปดดังขึ้น


กลุ่มผู้อมตะที่อยู่ด้านนอกรีบวิ่งกลับมาด้วยความโกลาหล


เว่ยหลิงหยางมองไปยังแสงดาวด้านหน้าและกล่าวด้วยท่าทางเคร่งขรึม “พายุเมฆาดาวขนาดใหญ่!”


ดวงดาวนับล้านดวงกำลังบินอยู่กลางอากาศเหมือนดาวตกบนท้องฟ้าในยามค่ำคืน


ท่ามกลางกลุ่มดาวเหล่านี้ยังมีประกายสายฟ้าแลบลั่นอยู่รอบๆ


พายุเมฆาดาวเป็นปรากฏการณ์ที่มักเกิดขึ้นในสวรรค์สีน้ำเงิน แต่เมื่อสวรรค์สีน้ำเงินพังทลายลง ดวงดาวจำนวนมากจึงร่วงหล่นลงสู่สวรรค์สีดำ


ดังนั้นพายุเมฆาดาวจึงเกิดขึ้นในสวรรค์สีดำเช่นกัน


“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเคยพบเห็นพายุเมฆาดาวขนาดใหญ่โตเช่นนี้!” ใบหน้าของไป่เฉินเทียนกลายเป็นน่าเกลียด “ดูเหมือนทุ่งราสวรรค์จะป็นกับดักล่อลวงให้พวกเราเข้ามาพักผ่อนที่นี่!”


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1245 ฝนดาวตก


แปลโดย iPAT 


พายุเมฆาดาวทั้งรวดเร็วและทรงพลัง


คฤหาสน์วิญญาณอมตะทั้งสามหลังของภาคกลางไม่สามารถหลบหนีได้ทันเวลา


ดวงดาวจำนวนมากร่วงหล่นลงมาพร้อมกับเสียงสายฟ้าที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง มันเป็นภาพที่งดงามแต่ผู้คนกลับรู้สึกหมดหนทางเมื่อเห็นปรากฏการณ์นี้


“ข้าจะนำค่ายนักรบไปก่อน พวกเจ้าตามมาด้านหลัง” ในช่วงเวลาสำคัญเว่ยหลิงหยางตัดสินใจ


คฤหาสน์วิญญาณอมตะทั้งสามบินเข้าสู่พายุเมฆาดาว


ต่อหน้าพายุใหญ่ คฤหาสน์วิญญาณอมตะทั้งสามราวกับมดตัวน้อย


เสียงท้องฟ้าคำรามอย่างดุเดือด


“ครืน…”


หอคอยวายุสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง


จ้าวเหลียนหยุนไม่สามารถยืนอยู่ได้ นางล้มลงบนพื้นและรู้สึกหวาดกลัวมาก แม้นางจะมีพลังการต่อสู้ของผู้อมตะแต่นางก็ไม่สามารถทำสิ่งใดนอกจากพึ่งพาคฤหาสน์วิญญาณอมตะและผู้อมตะระดับแปดเท่านั้น


แต่สิ่งที่นางไม่รู้ก็คือหนึ่งในสามผู้อมตะระดับแปดนักรบหมื่นมังกรกำลังหลับใหล โชคดีที่หอคอยวายุอยู่ภายใต้การควบคุมของไป่เฉินเทียน ดังนั้นสถานการณ์ขอมันจึงถือว่าดีกว่าศาลานกขมิ้น


อย่างไรก็ตามหน้าผากของไป่เฉินเทียนยังเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ เขาไม่กล้าผ่อนคลายแม้แต่วินาทีเดียว


เขานำหอคอยวายุเคลื่อนที่ไปในพายุเมฆาดาวและพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับดาวขนาดใหญ่


ภายใต้สถานการณ์นี้ความเร็วในการเคลื่อนที่ของหอคอยวายุลดลงอย่างมาก หากมันพุ่งชนดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วน มันอาจพังทลายลงในที่สุดและทุกคนจะตาย


“ผู้อมตะแข็งแกร่งและคฤหาสน์วิญญาณอมตะก็มีประโยชน์ แต่เปรียบเทียบกับสวรรค์พิภพ พวกเรายังไร้นัยสำคัญ” ไป่เฉินเทียนกัดฟันแน่น “โอ้ ไม่!”


เขาไม่สามารถตอบสนองได้ทันเวลา ในที่สุดหอคอยวายุก็ถูกโจมตีอย่างหนักหน่วง


แม้การปะทะจะทำให้ดวงดาวแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่หอคอยวายุก็ได้รับผลกระทบไม่น้อย มันถูกส่งลอยออกไปจากกลุ่ม


“ไป่เฉิน…เร็ว…” เสียงของเว่ยหลิงหยางดังขึ้น


แต่ท่ามกลางพายุเมฆาดาว พลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งดวงดาวขัดขวางการถ่ายทอดเสียงบนเส้นทางแห่งข้อมูลที่เว่ยหลิงหยางส่งไปยังไป่เฉินเทียน


ไป่เฉินเทียนได้รับข้อความที่ไม่สมบูรณ์


แต่เขารู้ว่าเว่ยหลิงหยางต้องการกล่าวสิ่งใด


เว่ยหลิงหยางต้องการให้เขาติดตามคฤหาสน์วิญญาณอมตะอีกสองหลังไปอย่างรวดเร็วที่สุด


ไป่เฉินเทียนไม่มีกำลังเสริม เว่ยหลิงหยางต้องปกป้องค่ายนักรบและศาลานกขมิ้น


สุดท้ายไป่เฉินเทียนก็สามารถพึ่งพาเพียงตนเองเท่านั้น


“มาดูกัน!” ไป่เฉินเทียนตะโกนและระเบิดกลิ่นอายของผู้อมตะระดับแปดออกมา


หอคอยวายุส่องแสงสีเขียวก่อนที่มันจะพุ่งไปข้างหน้าราวกับสายลมกรรโชกแรง


หอคอยวายุเกิดเสถียรภาพขึ้นอีกครั้ง ดวงดาวที่อยู่รอบๆถูกผลักออกไปโดยสายลมที่ห่อหุ้มหอคอยวายุเอาไว้


“นี่คือพลังอำนาจที่แท้จริงของหอคอยวายุ!” ดวงตาของอวี๋อี้เย่ซือส่องประกายขึ้น


หอคอยวายุกลับสู่ความสงบ


นี่ทำให้เสียงโห่ร้องของผู้อมตะที่อยู่ภายในปะทุขึ้น


จ้าวเหลียนหยุนคลานขึ้นจากพื้นและสามารถมองเห็นดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนที่ผ่านไป


เมื่อดาวขนาดใหญ่พุ่งเข้าปะทะกำแพงสายลมของหอคอยวายุ กลุ่มผู้อมตะจะกรีดร้องราวกับมนุษย์ที่กำลังประสบภัยธรรมชาติ


หอคอยวายุเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างยากลำบาก


แม้มันจะปลดปล่อยพลังอำนาจที่แท้จริงออกมา แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้มันมีช่วงเวลาที่ง่ายดาย


หอคอยวายุยังต้องหลบเลี่ยงดาวขนาดใหญ่ โชคดีที่ผู้ควบคุมคฤหาสน์วิญญาณอมตะหลังนี้คือผู้อมตะระดับแปดไป่เฉินเทียน มิฉะนั้นมันจะยากลำบากมากขึ้น


แต่ถึงกระนั้นไป่เฉินเทียนก็ยังต้องจ่ายด้วยพลังงานอมตะจำนวนมหาศาล


‘พายุเมฆาดาวลูกนี้ใหญ่โตเกินไป ข้าไม่รู้ว่าเมื่อใดที่พวกเราจะสามารถข้ามผ่านมันไป!’ ไป่เฉินเทียนคิดและยังส่งพลังงานอมตะให้กับคฤหาสน์วิญญาณอมตะหอคอยวายุอย่างต่อเนื่อง


ผู้อมตะทั้งหมดพยายามสนับสนุนเขารวมถึงจ้าวเหลียนหยุน


นางมีมิติช่องว่างเทียม แต่นางได้รับหินวิญญาณอมตะมาจำนวนหนึ่ง


“บึม บึม บึม”


หอคอยวายุสามารถหลบเลี่ยงดวงดาวส่วนใหญ่ แต่มันยังถูกโจมตีเป็นครั้งคราว


ภายในคฤหาสน์วิญญาณอมตะหอคอยวายุ กลุ่มผู้อมตะไม่สามารถกล่าวสิ่งใดออกมาได้อีก พวกเขาทำได้เพียงส่งพลังงานอมตะของตนให้กับหอคอยวายุเท่านั้น


บรรยากาศตึงเครียดมาก


ทุกครั้งที่ดาวขนาดใหญ่ปะทะหอคอยวายุ ร่างของผู้อมตะที่อยู่ภายในจะสั่นสะท้านขึ้น


หัวใจของจ้าวเหลียนหยุนเต็มไปด้วยความกังวล นางไม่เคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันตรายระดับนี้มาก่อน นางไม่แปลกใจหากนางจะเสียชีวิตในวินาทีต่อไป


‘หงหยุน หงหยุน…’ นางนึกถึงชื่อของชายคนรักและพึมพำอยู่ในใจ


หลังจากพึมพำชื่อของหม่าหงหยุนนับครั้งไม่ถ้วน สภาพจิตใจของนางก็เริ่มสงบลง


‘หงหยุน เจ้าเคยเสี่ยงชีวิตเพื่อข้า แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าก็กำลังทำสิ่งเดียวกัน’


‘ต่อให้ข้าตายที่นี่ ข้าก็ไม่รู้สึกเสียใจเพราะข้ามาเพื่อช่วยเจ้า!’


‘เมื่อข้าพบเจ้า ข้าจะบอกเจ้าว่าดวงดาวที่นี่ดุร้ายและอันตรายเพียงใด มันไม่โรแมนติกเลย’


ในความงุงงง จ้าวเหลียนหยุนนึกถึงอดีตของนาง


บิดาของจ้าวเหลียนหยุนเสียชีวิตในสนามรบและทิ้งนางไว้เพียงลำพัง นางถูกบังคับให้แต่งงานกับบางคน สุดท้ายนางต้องพึ่งพาหม่าหงหยุน


ค่ำคืนบนเนินดินขนาดเล็ก


หม่าหงหยุนนอนอยู่บนทุ่งหญ้ากับนาง


“คุณหนูเสี่ยวหยุน ดูนั่นเร็วเข้า มันคือฝนดาวตก!”


“น่าเบื่อ เจ้าพาข้ามาที่นี่เพื่อดูสิ่งนี้งั้นหรือ?” จ้าวเหลียนหยุนกลอกตาประชด “ช่างยอดเยี่ยมนัก”


“ฮ่าฮ่า” หม่าหงหยุนเกาศีรษะของเขา “ข้าก็ไม่รู้ว่ามันดีหรือไม่? แต่พวกเขาบอกว่าหากต้องการทำให้ผู้หญิงมีความสุข ให้พานางมาดูฝนดาวตก ที่ภาคเหนือพวกเราสามารถมองเห็นฝนดาวตกได้บ่อยครั้ง”


จ้าวเหลียนหยุนถอนหายใจและคิด ‘ข้าแก่แล้ว ข้าเกรงว่ามีเพียงเด็กผู้หญิงเท่านั้นที่จะชอบสิ่งนี้ หือ? เดี๋ยว! ร่างกายของข้ายังเด็ก ข้ายังเป็นเด็กผู้หญิง!’


หม่าหงหยุนถาม “คุณหนูเสี่ยวหยุน ฝนดาวตกเหล่านี้ทำให้อารมณ์ของท่านดีขึ้นหรือไม่?”


จ้าวเหลียนหยุนถอนหายใจอีกครั้ง นางกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ “ข้ารู้สึกดีมาก ข้ามีความสุขมาก ดูสิ ฝนดาวตกเหล่านี้ช่างงดงามนัก อา…”


ร่างกายของหม่าหงหยุนสั่นสะท้านขึ้น เขาเร่งโบกมือ “คุณหนูเสี่ยวหยุน อย่ากล่าวเช่นนั้น ข้าขนลุก!”


จ้าวเหลียนหยุนลุกขึ้นยืนและกระทืบหม่าหงหยุนทันที “ฮืม! งี่เง่า คิดแต่เรื่องผู้หญิง คิดจะจีบข้างั้นหรือ? ฝันไปเถอะ!”


หม่าหงหยุนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและตะโกน “คุณหนูเสี่ยวหยุน หยุด! หยุด! การจีบคือสิ่งใด? ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดทั้งนั้น หากข้าทำผิดไป ข้าจะเปลี่ยนแปลง โอ้ว…หยุด! หยุดเตะข้า!”


จ้าวเหลียนหยุนเพิกเฉยต่อหม่าหงหยุนและเตะเด็กหนุ่มกลิ้งลงจากเนินเขา นางยกมือขึ้นเท้าเอวและมองไปที่หม่าหงหยุนพร้อมกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจ


หม่าหงหยุนได้ยินเสียงหัวเราะของนางและคิดว่า ‘ในที่สุดคุณหนูเสี่ยวหยุนก็หัวเราะ ดังคาด ฝนดาวตกทำให้นางอารมณ์ดีขึ้น อา…แต่มันเจ็บปวดมากสำหรับข้า’


ความทรงจำของจ้าวเหลียนหยุนปรากฏขึ้นในใจของนางและทำให้นางเผยรอยยิ้มขึ้นโดยไม่รู้ตัว


‘หงหยุน หลังจากที่ข้าช่วยเจ้า ข้าจะเตะเจ้านับครั้งไม่ถ้วนเพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง’ จ้าวเหลียนหยุนคิด


เป็นเพียงเวลานี้ที่วิญญาณแห่งความรักที่อยู่ในรูม่านตาของจ้าวเหลียนหยุนปลดปล่อยกลิ่นอายของมันออกมาด้วยความตั้งใจของตัวมันเอง


พลังงานลึกลับอันไร้รูปแบบแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว


ผู้อมตะทั่วไปไม่สามารถสัมผัสได้ถึงสิ่งนี้ แต่ร่างกายของไป่เฉินเทียนกลับสั่นสะท้านขึ้น ดวงตาของเขาส่องประกายด้วยความเฉลียวฉลาด เขาคิด ‘นี่คือพลังอำนาจของวิญญาณแห่งความรัก?’


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1246 อุโมงค์มิติ (อ่านฟรี)


แปลโดย iPAT 


ช่วงเวลาในพายุเมฆาดาวเต็มไปด้วยความยากลำบาก


แต่หลังจากผ่านไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง ผู้อมตะที่อยู่ในหอคอยวายุเริ่มตระหนักถึงบางสิ่ง บางคนกล่าว “ทุกคน…ไม่มีดาวตกพุ่งเข้าปะทะพวกเรามาสักพักแล้ว”


เป็นเพียงเวลานี้ที่พวกเขาพบว่ากระแสลมที่ปกป้องหอคอยวายุอยู่ได้หายไปแล้ว


ท่ามกลางความมืดมิด พวกเขาเห็นหอคอยวายุเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้อย่างราบรื่น


หลังจากชั่วครู่เสียงโห่ร้องยินดีจึงระเบิดขึ้นภายในหอคอยวายุ


“เราทำได้!”


“เกือบไปแล้ว แม้จะได้รับการปกป้องจากคฤหาสน์วิญญาณอมตะ แต่การอยู่ในสวรรค์สีดำก็ทำให้พวกเราเกือบตาย”


“ต้องขอบคุณท่านไป่เฉินเทียน มิฉะนั้นพวกเราคงตายอยู่ในพายุเมฆาดาว”


กลุ่มผู้อมตะกล่าวด้วยความยินดี


ไป่เฉินเทียนคิด ‘พวกเราสามารถหลบหนีจากพายุเมฆาดาวเพราะพลังอำนาจของวิญญาณแห่งความรัก’


ในช่วงเวลาสำคัญ พลังงานลึกลับจากวิญญาณแห่งความรักชี้นำเส้นทางที่ถูกต้องให้กับไป่เฉินเทียน


ไป่เฉินเทียนนำหอคอยวายุเคลื่อนที่ไปตามทิศทางนั้นและสามารถหลบหนีจากพายุเมฆาดาวได้อย่างรวดเร็ว


แต่การแสดงออกของไป่เฉินเทียนยังคงมืดมน


‘พวกเราสามารถหลบหนีจากอันตราย แต่เว่ยหลิงหยางไม่มีวิญญาณแห่งความรัก ข้าเกรงว่าพวกเขาจะพบกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก’


หลังจากขาดการติดต่อกับคฤหาสน์วิญญาณอมตะอีกสองหลัง ไป่เฉินเทียนยังไม่ได้เดินหน้าต่อแต่เคลื่อนที่ไปรอบๆเพื่อค้นหาพวกเขา


โชคดีที่ครึ่งวันต่อมาเขาสามารถติดต่อกับเว่ยหลิงหยางได้สำเร็จ


เว่ยหลิงหยางนำค่ายนักรบและศาลานกขมิ้นทะลวงผ่านพายุเมฆาดาวมาอย่างยากลำบาก นอกจากนั้นพวกเขายังถูกซุ่มโจมตีโดยฝูงสัตว์อสูร


หลังจากได้รับแจ้งเรื่องนี้ ไป่เฉินเทียนนำหอคอยวายุกลับไปช่วยพวกเขา


อย่างไรก็ตามพวกเขากลับต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นค่ายนักรบและศาลานกขมิ้นอีกครั้ง


คฤหาสน์วิญญาณอมตะทั้งสองหลังอยู่ในสภาพที่ไม่น่ามอง นอกจากนั้นพวกเขายังอยู่ภายใต้การปิดล้อมของฝูงอสูรฟ้า


อสูรฟ้าอาศัยอยู่ในสวรรค์ทั้งเก้า อสูรฟ้าแต่ละตัวเป็นสัตว์อสูรเดียวดาย ผู้นำของพวกมันเป็นสัตว์อสูรบรรพกาล


ท่ามกลางพวกมันมีอสูรฟ้าเดียวดายหลายพันตัวและยังมีอสูรฟ้าบรรพกาลอีกนับร้อยตัว


ค่ายนักรบและศาลานกขมิ้นได้รับความเสียหายอย่างหนักและตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย


ไป่เฉินเทียนรีบเข้าไปช่วยและทำให้เกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่


ท่าไม้ตายอมตะจำนวนนับไม่ถ้วนถูกส่งออกไปราวกับดอกไม้ไฟ


อสูรฟ้าเดียวดายค่อยๆเสียชีวิตลงแต่ตัวอื่นยังเข้ามาแทนที่อย่างไม่รู้จบสิ้น


ในช่วงเวลาสำคัญค่ายนักรบต้องระเบิดพลังอำนาจที่แท้จริงของมันออกมาและปลดปล่อยเงาดำพุ่งออกไปทุกทิศทุกทาง


ฝูงอสูรฟ้าไม่สามารถต่อต้านการโจมตีนี้ กระทั่งผู้นำของพวกมันก็ยังไม่กล้าเผชิญหน้าโดยตรง


หอคอยวายุสร้างกระแสลมขึ้นมาอีกครั้งขณะที่เสียงขับร้องของนกนับพันตัวดังขึ้นจากศาลานกขมิ้น


คฤหาสน์วิญญาณอมตะทั้งสามทำงานร่วมกันและสามารถหลบหนีออกมาได้ในที่สุด


“สถานการณ์เลวร้ายมาก!” ไป่เฉินเทียนกับเว่ยหลิงหยางลอบสื่อสารกันด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “คฤหาสน์วิญญาณอมตะทั้งสามได้รับความเสียหายอย่างหนัก ศาลานกขมิ้นพังทลายลงกว่าครึ่ง เราต้องพักและกู้คืนความแข็งแกร่ง นักรบหมื่นมังกรยังไม่ตื่นขณะที่พลังงานอมตะของข้าถูกใช้ไปเกินครึ่งแล้ว”


พลังงานอมตะจะส่งผลกระทบต่อความแข็งแกร่งของผู้อมตะ


ไป่เฉินเทียนใช้พลังงานอมตะไปมากกว่าครึ่งเช่นเดียวกับเว่ยหลิงหยาง


แม้คฤหาสน์วิญญาณอมตะจะทรงพลัง แต่ค่าใช้จ่ายของพวกมันก็สูงมาก


นี่คือเหตุผลที่ฟางหยวนไม่เคยวางแผนที่จะสร้างคฤหาสน์วิญญาณอมตะ


แม้เขาจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับคฤหาสน์วิญญาณอมตะสนามรบแห่งความโกลาหลรวมถึงเมืองขนนกศักดิ์สิทธิ์ แต่เขาไม่มีพลังงานอมตะของเทพอมตะตะวันเดือดอีกต่อไป ด้วยพลังงานอมตะของเขา มันไม่เพียงพอที่จะควบคุมคฤหาสน์วิญญาณอมตะให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ


คฤหาสน์วิญญาณอมตะพึ่งพาพลังงานอมตะมากเกินไป มีเพียงผู้อมตะระดับแปดเท่านั้นที่สามารถดูแลค่าใช้จ่ายชนิดนี้


กลับมาที่คณะเดินทางจากภาคกลาง ตอนนี้พวกเขาพึ่งมาได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น


“ดูเหมือนตอนนี้เรามีเพียงต้องใช้อุโมงค์มิติเท่านั้น” เว่ยหลิงหยางกล่าวอย่างเคร่งขรึม


ไป่เฉินเทียนตะลึงก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย “นั่นเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้พวกเราสามารถเดินทางไกลและไปถึงจุดหมาย”


ผู้อมตะระดับแปดทั้งสองเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ยิ่งพบกับความยากลำบากมากเท่าใด จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของพวกเขาก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้นเท่านั้น พวกเขาไม่คิดที่จะถอยกลับ


แม้การเดินทางของพวกเขาจะไม่เป็นไปตามความคาดหวัง แต่เทพธิดาจื่อเว่ยเตรียมแผนสำรองเอาไว้แล้ว


อุโมงค์มิติคือหนึ่งในนั้น!


…..


วังสวรรค์แห่งโชค


เหยากวงมองเห็นการเคลื่อนไหวของคฤหาสน์วิญญาณอมตะทั้งสามหลังของภาคกลางได้จากสถานที่แห่งนี้


“วังสวรรค์แห่งโชคส่งผลกระทบต่อโชคแห่งสวรรค์พิภพ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในสวรรค์สีดำไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเจตจำนงสวรรค์แต่มันเป็นการแทรกแซงของวังสวรรค์แห่งโชค นี่เป็นพลังอำนาจอันไร้เทียมทาน ด้วยการคงอยู่ของวังสวรรค์แห่งโชค ผู้ใดยังกล้าบุกภาคเหนือ!” เหยากวงรู้สึกตื่นเต้นมาก น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชมต่อเทพอมตะตะวันเดือด


เหยากวงมองราชันใต้และกล่าวต่อ “ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดท่านถึงสามารถสงบจิตใจ ด้วยการคงอยู่ของวังสวรรค์แห่งโชค ไม่มีผู้ใดสามารถบุกรุกภาคเหนือ!”


ราชันใต้หัวเราะ “วังสวรรค์แห่งโชคประจำการอยู่ที่นี่มาเป็นเวลามากกว่าสามแสนปี มันส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อสวรรค์สีดำ กระทั่งสวรรค์สีขาวก็ยังได้รับอิทธิพลจากมัน นี่คือพลังอำนาจของโชคแห่งสวรรค์พิภพ!”


เหยากวงคิดถึงหม่าหงหยุนและกล่าว “โชคแห่งสวรรค์พิภพยิ่งใหญ่มาก ดังนั้นโชคของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดจึงไม่สามารถเปรียบเทียบ แต่ตอนนี้วิญญาณอมตะโชคชะตาท้าทายสวรรค์อยู่ในมือของปีศาจอมตะเซี่ยหู”


เหยากวงเห็นพลังอำนาจของวังสวรรค์แห่งโชคที่สามารถกำหราบคฤหาสน์วิญญาณอมตะทั้งสามของภาคกลางและต้องการปลุกปั่นให้ราชันใต้ใช้มันจัดการปีศาจอมตะเซี่ยหู


แต่ราชันใต้กลับส่ายศีรษะและเผยรอยยิ้ม “หม่าหงหยุนมีสายเลือดตระกูลฮวงจินของเราและเป็นทายาทของบรรพชนตะวันเดือด ไม่มีปัญหาหากเขาได้รับวิญญาณอมตะโชคชะตาท้าทายสวรรค์ สำหรับปีศาจอมตะเซี่ยหู มันจะไม่ง่ายหากเขาต้องการฉกชิงวิญญาณอมตะดวงนี้ไป”


เหยากวงยังกังวล “ปีศาจอมตะเซี่ยหูหลอมรวมมันมาเป็นเวลานานแล้ว เพียงพลังอำนาจของวิญญาณอมตะโชคชะตาท้าทายสวรรค์จะทำให้เขาล้มเหลวตลอดไปได้งั้นหรือ?”


ราชันใต้ส่ายศีรษะ “แน่นอนว่าไม่ กระทั่งวิญญาณอมตะโชคชะตาท้าทายสวรรค์จะมีพลังอำนาจกึ่งระดับเก้า มันก็ยังไม่สามารถต่อต้านผู้อมตะระดับแปด นอกจากนั้นเขายังมีท่านหญิงหว่านซู หนึ่งในสี่ปรมาจารย์เอกบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมของภาคเหนือ แต่เจ้าคิดว่าถ้ำสวรรค์นิรันดรไม่ทำสิ่งใดเลยงั้นหรือ? พวกเราจะไม่ปล่อยให้วิญญาณอมตะโชคชะตาท้าทายสวรรค์ตกอยู่ในมือของคนนอก พวกเราเตรียมตัวมานานแล้ว หากปีศาจอมตะเซี่ยหูไม่พบมัน เขาจะไม่ประสบความสำเร็จในการหลอมรวม”


เหยากวงเข้าใจในที่สุดว่าถ้ำสวรรค์นิรันดรลงมือไปนานแล้วแต่ไม่มีผู้ใดตระหนักถึงสิ่งเหล่านั้น


“ยอดเยี่ยม! เปรียบเทียบกับถ้ำสวรรค์นิรันดร ปีศาจอมตะเซี่ยหูก็ไม่ต่างจากลิงที่วิ่งอยู่บนฝ่ามือของพวกเรา!” เหยากวงรู้สึกประทับใจมาก


สายตาของเขาที่มองราชันใต้เปลี่ยนไปอีกครั้ง เขารู้สึกว่าราชันใต้ผู้นี้ช่างลึกลับเกินกว่าจะหยั่งถึงและเหมือนรุ่นพี่ที่น่าเคารพ


แต่ในเวลาต่อมาใบหน้าของราชันใต้กลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน


ราชันใต้รู้สึกสับสนและตะโกนออกมา “เกิดสิ่งใดขึ้น? ผู้อมตะภาคกลางหายตัวไปอย่างกะทันหัน!?”


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1247 ปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งวารี


แปลโดย iPAT 


“นี่…พวกเราอยู่ที่ใด?” จ้าวเหลียนหยุนมองออกไปด้านนอกและรู้สึกตกใจ


แต่คราวนี้กระทั่งผู้รอบรู้เช่นอวี๋อี้เย่ซือก็ยังไม่สามารถให้คำตอบแก่นาง


ปู้เจิ้งซือกล่าวด้วยความไม่แน่ใจ “นี่อาจเป็นสิ่งที่เรียกว่าอุโมงค์มิติ!”


คฤหาสน์วิญญาณอมตะทั้งสามของภาคกลาง ค่ายนักรบ ศาลานกขมิ้น และหอคอยวายุกำลังเคลื่อนที่อยู่ในอุโมงค์ขนาดใหญ่


มันเป็นอุโมงค์สีน้ำเงินเข้มที่มีเส้นสายสีรุ้งเคลื่อนที่อยู่รอบๆ


“อุโมงค์มิติงั้นหรือ?” อวี๋อี้เย่ซือถาม


ปู้เจิ้งซือมองจ้าวเหลียนหยุนด้วยสายตาซับซ้อน “เจ้าน่าจะคุ้นเคยกับมัน?”


“ข้า?” จ้าวเหลียนหยุนสับสน นางไม่รู้ว่าเหตุใดปู้เจิ้งซือถึงกล่าวเช่นนี้


ปู้เจิ้งซือถอนหายใจกล่าว “เพราะอุโมงค์มิติเป็นท่าไม้ตายอมตะของเทพปีศาจปล้นสวรรค์!”


…..


ภาคใต้ ภายในค่ายกลวิญญาณ


อาณาจักรแห่งความฝัน


“ศิษย์คารวะท่านอาจารย์” ฟางหยวนคุกเข่าลงบนพื้นและแสดงความเคารพต่อผู้อมตะหญิงที่อยู่ตรงหน้า


ผู้อมตะหญิงพึมพำ “ข้าคือจิงเมี่ยวซือ ข้าบ่มเพาะอยู่บนเส้นทางแห่งวารี แม้เจ้าจะเป็นบุตรหลานของข้า แต่เจ้าจะสามารถบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งวารีเช่นเดียวกับข้าหรือไม่นั่นขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้าเท่านั้น”


“ท่านอาจารย์โปรดชี้แนะ” ฟางหยวนกล่าวด้วยความเคารพ


ผู้อมตะหญิงสะบัดแขนเสื้อขณะที่สภาพแวดล้อมของอาณาจักรแห่งความฝันเปลี่ยนไป ตอนนี้ฟางหยวนยืนอยู่หน้าสระหยกแห่งหนึ่ง


สระหยกสงบนิ่งมาก มันดูราวกับหยกชิ้นใหญ่


“แม่น้ำก็คือน้ำ ทะเลก็คือน้ำ สระหยกที่สงบนิ่งก็คือน้ำเช่นกัน เส้นทางแห่งวารีทั้งลึกและกว้างใหญ่ ก้าวเข้าไปในสระหยก หากเจ้าสามารถยืนอยู่บนผิวน้ำได้โดยไม่พึ่งพาวิญญาณ ข้าจะยอมรับเจ้าเป็นศิษย์”


ฟางหยวนเบิกตากว้าง เขากล่าว “ท่านอาจารย์ หากข้าไม่ใช้วิญญาณ ข้าก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น ร่างกายของมนุษย์ธรรมดาจะยืนบนผิวน้ำได้อย่างไร?”


“นั่นเป็นปัญหาของเจ้า” ผู้อมตะหญิงสะบัดแขนเสื้อและหายตัวไปต่อหน้าฟางหยวน


ฟางหยวนขมวดคิ้วและเดินไปรอบๆสระหยก หลังจากเดินวนหลายรอบ เขาก็ก้าวเท้าเข้าไปในสระ


“ป๋อม…”


ด้วยเสียงอันแผ่วเบา เขาตกลงไปในน้ำ


เขารีบปีนขึ้นมาด้วยร่างกายที่เปียกชุ่ม


ฟางหยวนกัดฟันด้วยความลังเลก่อนที่จะใช้ท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝัน


แต่ครั้งนี้กลับไม่เกิดสิ่งใดขึ้น


ฟางหยวนถอนหายใจ ‘ช่างไร้ประโยชน์นัก เห้อ…ข้าพบปัญหาแล้ว’


ไม่นานมานี้ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งโชคของเขายกระดับขึ้น เขาสามารถพัฒนาท่าไม้ตายอมตะสัมผัสแห่งโชคขึ้นสู่ระดับใหม่ ดังนั้นเขาจึงสามารถค้นหาตำแหน่งของอิงอู๋เซี่ย


ฟางหยวนเริ่มเตรียมตัวและเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตนเองโดยการหยิบยืมวิญญาณอมตะจากตระกูลวู


อย่างไรก็ตามเขาพบปัญหาเมื่อเขาต้องการจากไป


หากฟางหยวนจากไป ตระกูลวูจะไม่มีผู้อมตะระดับเจ็ดคอยดูแลค่ายกลวิญญาณนี้ เนื่องจากตระกูลวูเป็นผู้นำในธุรกิจซื้อขายโอกาส โดยปราศจากคนดูแล ตระกูลอื่นจะฉวยโอกาสโจมตี


วูหยงยินดีให้ฟางหยวนยืมวิญญาณอมตะ แต่เขาไม่เห็นด้วยที่ฟางหยวนจะออกเดินทาง


ตระกูลวูมีผู้อมตะจำนวนมาก แต่พวกเขาก็มีแหล่งทรัพยากรมากมายที่ต้องปกป้องเช่นกัน งานบางอย่างไม่สามารถโอนถ่ายได้อย่างง่ายดายเช่นหน้าที่ของฟางหยวนในการปกป้องค่ายกลวิญญาณ เรื่องนี้มีไม่กี่คนในตระกูลวูที่สามารถทำได้ แม้พวกเขาจะแข็งแกร่ง แต่ความสามารถทางการเมืองของพวกเขายังน่าเป็นห่วง


เมื่อฟางหยวนขอออกเดินทาง มันทำให้วูหยงรู้สึกปวดหัว


แต่ฟางหยวนยังยืนกรานกับเรื่องนี้ ดังนั้นวูหยงจึงต้องใช้เวลาไตร่ตรองขณะที่ฟางหยวนทำได้เพียงรอคอยเท่านั้น


แต่ระหว่างการรอคอย ฟางหยวนได้เข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝันอีกครั้ง


อาณาจักรแห่งความฝันจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา อาณาจักรแห่งความฝันมีทั้งความฝันที่เกิดจากประสบการณ์จริงและความฝันที่แปลกประหลาดเหนือจินตนาการ


ปกติแล้วฟางหยวนจะเลือกอาณาจักรแห่งความฝันที่เกิดจากประสบการณ์จริงของผู้อมตะ สำหรับอาณาจักรแห่งความฝันที่แปลกประหลาดและเหนือจินตนาการ มันเป็นเรื่องยากที่จะคลี่คลาย


‘ตามบันทึกในประวัติศาสตร์ จิงเมี่ยวซือเป็นศิษย์ของซุ้ยหนี่  เจ้าของอาณาจักรแห่งความฝันนี้เป็นศิษย์ของจิงเมี่ยวซือ ผู้เชี่ยวชาญที่ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ จ้าวสมุทรเดียวดาย!’


‘ตามบันทึกในประวัติศาสตร์ของภาคกลาง เคยมีสัตว์อสูรแรกกำเนิดตัวหนึ่งทำให้น้ำตกสวรรค์เปลี่ยนทิศทาง นั่นทำให้เกิดคลื่นยักษ์และทำให้น้ำท่วมภาคตะวันออกของภาคกลาง ครั้งนั้นจ้าวสมุทรเดียวดายของวังสวรรค์ใช้ท่าไม้ตายอมตะหลายครั้งเพื่อเปลี่ยนทิศทางของน้ำตกสวรรค์ให้กลับไปยังทิศทางที่ถูกต้อง เขามีวิธีการที่น่าเหลือเชื่อมาก’


‘ไม่แปลกใจเลยที่ท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝันของข้าไม่ได้ผล’


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฟางหยวนใช้ท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝัน


แต่กระทั่งเขาจะใช้หลายครั้ง อาณาจักรแห่งความฝันแห่งนี้ก็ไม่หวั่นไหว


ฟางหยวนคิดว่ามันเป็นเพราะอาณาจักรแห่งความฝันนี้มีพลังมากเกินไป วิญญาณอมตะคลี่คลายปริศนาเป็นวิญญาณอมตะระดับหกเท่านั้น มันไม่สามารถคลี่คลายความฝันนี้!


ฟางหยวนเคยสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันของเทพอมตะกลุ่มดาวมาก่อนและประสบความสำเร็จในการใช้ท่าไม้ตายอมตะคลี่คลายความฝันที่นั่น


แต่ครั้งนี้เขาไม่สามารถคลี่คลายความฝันของจ้าวสมุทรเดียวดาย


หากเปรียบเทียบ จ้าวสมุทรเดียวดายเป็นเพียงผู้อมตะระดับแปด ขณะที่เทพอมตะกลุ่มดาวเป็นผู้อมตะระดับเก้า


นี่หมายความว่าความแข็งแกร่งของอาณาจักรแห่งความฝันไม่มีความสัมพันธ์กับระดับการบ่มเพาะของเจ้าของความฝัน


สำหรับเหตุผลที่แท้จริง ฟางหยวนไม่รู้


อย่าลืมว่าห้าร้อยปีในชีวิตแรกของฟางหยวน เขาไม่ได้สำรวจอาณาจักรแห่งความฝันมากนัก เป้าหมายหลักของเขาในช่วงเวลานั้นคือการบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งเลือด


ฟางหยวนไม่ได้ศึกษาเส้นทางแห่งความฝันอย่างลึกซึ้ง แต่เขายังรู้บางสิ่ง ยิ่งอาณาจักรแห่งความฝันแข็งแกร่งเพียงใด เขาก็จะได้รับประโยชน์มากเท่านั้นหลังจากประสบความสำเร็จในการคลี่คลายความฝัน


เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ฟางหยวนรู้สึกสนใจอาณาจักรแห่งความฝันนี้มากขึ้น


‘ตระกูลวูยังไม่ได้มอบหน้าที่ใหม่ให้ข้า ข้าต้องการยืมวิญญาณอมตะของตระกูลวู แต่วูหยงจะไม่ให้ข้ายืมจนกว่าข้าจะได้รับภารกิจใหม่’


‘ดังนั้นในช่วงเวลานี้ข้าควรใช้เวลาสำรวจอาณาจักรแห่งความฝัน’


วันถัดมา ฟางหยวนยังพยายามยืนบนผิวน้ำ


โดยปราจากความช่วยเหลือจากวิญญาณ ผู้ใช้วิญญาณก็ไม่ต่างจากมนุษย์ธรรมดา แน่นอนว่ามันแตกต่างจากกรณีของวิญญาณอมตะโชคชะตาท้าทายสวรรค์หรือวิญญาณความแข็งแกร่งของหมูป่าที่จะสลักร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าไว้บนร่างกายของผู้ใช้วิญญาณ


‘มีวิญญาณบนเส้นทางแห่งวารีเช่นวิญญาณเดินบนผิวน้ำ พวกมันจะสลักร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งวารีไว้บนร่างกายของผู้ใช้วิญญาณและอนุญาตให้พวกเขาสามารถเดินบนผิวน้ำ แต่สิ่งนี้ไม่สามารถใช้ได้ในกรณีนี้’


อาณาจักรแห่งความฝันแห่งนี้ไม่อนุญาตให้ฟางหยวนใช้วิญญาณ


‘เป็นเช่นที่จิงเมี่ยวซือกล่าว นางกำลังทดสอบความสามารถของข้า นี่คืออาณาจักรแห่งความฝันที่เกิดจากประสบการณ์จริงของผู้อมตะ จ้าวสมุทรเดียวดายผ่านมันไปได้ ดังนั้นข้าก็ต้องทำได้เช่นกัน เพราะความสำเร็จบนเส้นทางแห่งวารีของข้าอยู่ในระดับกึ่งปรมาจารย์’


ฟางหยวนพยายามต่อไปแต่ยังตกลงไปในสระน้ำ


ทุกครั้งที่เขาตกลงไปในสระหยก จิตวิญญาณของเขาจะได้รับบาดเจ็บเพิ่มขึ้น


หลังจากตกลงไปหลายครั้ง จิตวิญญาณของเขาอ่อนแอลงอย่างมาก


พิจารณาจากรากฐานของฟางหยวน เขาสามารถตกลงไปในสระน้ำได้สิบเจ็ดหรือสิบแปดครั้งก่อนจะถึงขีดจำกัด


ฟางหยวนต้องออกมาและใช้วิญญาณความเด็ดเดี่ยวรักษาตนเองเป็นครั้งคราว


เขายังพยายามต่อไปแต่ยังตกลงไปในสระน้ำ


แต่ครั้งนี้เมื่อเขาปีนขึ้นมาจากสระหยก เขาเห็นจิงเมี่ยวซือยืนอยู่ข้างสระและมองมาที่เขา


จิงเมี่ยวซือกล่าวด้วยความขุ่นเคือง “เพียงการทดสอบง่ายๆก็ทำไม่ได้ เจ้าไม่เหมาะที่จะเป็นศิษย์ของข้า!”


ฟางหยวนยิ้ม “ไม่ ท่านอาจารย์ ข้าทำมันไปแล้ว ดังที่ท่านกล่าว ข้าต้องยืนอยู่บนผิวน้ำโดยไม่จมลงไป ข้าทำมันไปแล้ว!”


จิงเมี่ยวซือยิ้มก่อนจะชี้นิ้วไปที่ร่างกายของฟางหยวน “แล้วนี่คือสิ่งใด?”


ฟางหยวนส่ายศีรษะ “นี่ไม่ใช่สิ่งใดเพราะสระน้ำในใจของข้ายังสงบนิ่งและไม่เคลื่อนไหว ข้ายืนอยู่บนผิวน้ำ เมื่อมองลงไป ข้ายังเห็นภาพสะท้อนของตนเองที่ปรากฏขึ้นบนผิวน้ำได้อย่างชัดเจน”


ความโกรธของจิงเมี่ยวซือค่อยๆจางหายไป


นางมองฟางหยวนอย่างลึกซึ้งและพยักหน้า “ไม่เลว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะเป็นศิษย์ของข้า”


ในเวลาต่อมาฟางหยวนกลับสู่โลกของความเป็นจริง


“อันใด!? อาณาจักรแห่งความฝันนี้มีเพียงฉากเดียวงั้นหรือ!?” ฟางหยวนตะลึง


แต่ในไม่ช้าความตกใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความสุข


“วิเศษมาก ในที่สุดความสำเร็จบนเส้นทางแห่งวารีของข้าก็บรรลุระดับปรมาจารย์แล้ว!”


ก่อนหน้านี้แม้ฟางหยวนจะเป็นกึ่งปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งวารี แต่หากเปรียบเทียบ มันยังห่างไกลจากปรมาจารย์ที่แท้จริงอยู่มากนัก


อย่างไรก็ตามตอนนี้เขากลับบรรลุระดับปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งวารีได้ในครั้งเดียว


นอกจากเส้นทางแห่งวารี ฟางหยวนยังเป็นปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง เส้นทางความแข็งแกร่ง เส้นทางแห่งเลือด เส้นทางแห่งปัญญา และเส้นทางแห่งดวงดาว


ปรมาจารย์บนเส้นทางหกสาย!


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1248 เป้าหมายของอิงอู๋เซี่ย


แปลโดย iPAT 


วังสวรรค์แห่งโชค


“ไม่อยู่ที่นี่!”


“ไม่อยู่ที่นี่เช่นกัน!”


“แปลก เหตุใดผู้อมตะภาคกลางจึงหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย?”


ราชันใต้ไม่สามารถรักษาความสงบได้อีกต่อไป รอยยิ้มของเขาหายไปอย่างสมบูรณ์ หน้าผากของเขาปกคลุมไปด้วยเม็ดเหงื่อ


เขาควบคุมวังสวรรค์แห่งโชคและตรวจสอบทุกแห่งแต่ยังไม่พบตำแหน่งที่อยู่ของกลุ่มผู้อมตะภาคกลาง


เหยากวงรู้สึกงุนงง เขาเร่งถาม “ท่านราชันใต้ ข้าต้องทำสิ่งใดหรือไม่?”


เป็นเพียงเวลานี้ที่เสียงของผีดิบอมตะตะวันเดือดดังขึ้น “มันคืออุโมงค์มิติ”


ราชันใมต้ตกใจกว่าเดิม “ผู้อมตะภาคกลางมีท่าไม้ตายอมตะของเทพปีศาจปล้นสวรรค์งั้นหรือ?”


ผีดิบอมตะตะวันเดือดปฏิเสธ “ไม่ พวกเขาเพียงใช้อุโมงค์มิติที่เทพปีศาจปล้นสวรรค์ทิ้งเอาไว้”


อุโมงค์มิติ!


ท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งห้วงมิติ


ในอดีตเทพปีศาจปล้นสวรรค์พยายามหาทางกลับบ้าน


ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทพปีศาจปล้นสวรรค์เดินทางมากที่สุดหากเปรียบเทียบกับผู้อมตะระดับเก้าคนอื่นๆ เทพปีศาจปล้นสวรรค์รู้จักเกือบทุกซอกทุกมุมของห้าภูมิภาคและสองสวรรค์


เทพปีศาจปล้นสวรรค์รู้สึกถึงความไร้นัยสำคัญของตนเองเมื่อเปรียบเทียบกับโลกผู้ใช้วิญญาณ ดังนั้นเขาจึงสร้างอุโมงค์มิติขึ้นมา


ท่าไม้ตายอมตะนี้ช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางไปได้มาก


แม้เทพปีศาจปล้นสวรรค์จากไปนานแล้ว แต่อุโมงค์มิติบางแห่งยังถูกทิ้งไว้เบื้องหลังจนถึงปัจจุบันและดูเหมือนพวกมันจะสามารถคงอยู่ตลอดไป


สิบนิกายโบราณของภาคกลางไม่เคยหยุดค้นคว้าเกี่ยวกับเทพปีศาจปล้นสวรรค์


เนื่องจากเทพปีศาจปล้นสวรรค์แตกต่างจากผู้อมตะระดับเก้าคนอื่นๆเพราะเขาเป็นปีศาจต่างโลก จากจุดนี้ วังสวรรค์จึงไม่สามารถเพิกเฉยต่อเขา


นิกายคฤหาสน์วิญญาณมีมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจปล้นสวรรค์ จ้าวเหลียนหยุนสามารถรับมรดกนี้เพราะผลงานวิจัยของวังสวรรค์


เมื่อผู้อมตะภาคกลางค้นพบอุโมงค์มิติแห่งนี้ พวกเขาจึงสามารถใช้ประโยชน์จากมัน


“อุโมงค์มิตินี้นำไปสู่ที่ใด?” ราชันใต้ตระหนักถึงจุดสำคัญของปัญหานี้


ผีดิบอมตะตะวันเดือดตอบ “ข้าไม่รู้เรื่องนี้ มันเป็นฝีมือของเทพปีศาจปล้นสวรรค์”


ในช่วงเวลาที่เทพอมตะตะวันเดือดยังมีชีวิต เขาพบกับความยากลำบากในด่านรับสืบทอดมรดกของเทพปีศาจปล้นสวรรค์ เทพอมตะตะวันเดือดเป็นผู้สร้างเส้นทางแห่งโชค แต่เปรียบเทียบกับเทพปีศาจปล้นสวรรค์ เทพอมตะตะวันเดือดไม่มีวิธีการที่สามารถรับมือวิธีการของฝ่ายหลัง


ราชันใต้เงียบ เหยากวงตะลึง


แล้วพวกเขาจะทำสิ่งใดได้?


ผีดิบอมตะตะวันเดือดตอบ “เมื่อพวกเขาใช้อุโมงค์มิติ พวกเราก็ทำได้เพียงรอให้พวกเขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง”


เหยากวงถาม “นี่หมายความว่าผู้อมตะภาคกลางสามารถปรากฏตัวได้ทุกที่งั้นหรือ? หากพวกเขาปรากฏตัวขึ้นในภาคเหนือโดยตรง เราจะทำอย่างไร?”


กลุ่มผู้อมตะภาคกลางอยู่ในสภาพที่ไม่น่ามอง พวกเขาสูญเสียความแข็งแกร่งไปมาก แต่โดยรวมแล้วพวกเขาก็ยังเป็นกองทัพที่ทรงพลัง


คฤหาสน์วิญญาณอมตะสามหลัง ผู้อมตะระดับแปดสามคน ตลอดจนผู้อมตะระดับหกกับเจ็ดอีกมากมาย และต้องไม่ลืมวิญญาณแห่งความรักระดับเก้า!


หากพวกเขาปรากฏตัวขึ้นในฐานทัพของตระกูลฮวงจิน ฝ่ายหลังต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน


‘หากผู้อมตะภาคกลางปรากฏขึ้นในเผ่าเหยาของข้า…’ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ช่วยไม่ได้ที่เหยากวงจะรู้สึกไม่สบายใจ


“ท่านบรรพชนโปรดชี้แนะพวกเราด้วย” ราชันใต้ขอความช่วยเหลือ


ผีดิบอมตะตะวันเดือดหัวเราะ “บุตรหลานของข้า โชคลาภและภัยพิบัติมาพร้อมกันเสมอ นี่อาจเป็นหายนะของภาคเหนือแต่มันสามารถเปลี่ยนเป็นพรได้เช่นกัน ร่างหลักของข้าตายไปแล้ว นี่ไม่ใช่ยุคสมัยของข้า ไปและทำงานอย่างหนักเพื่ออนาคตโดยไม่ต้องคำนึงถึงผลลัพธ์ เปลี่ยนหายนะให้เป็นพรด้วยตัวของพวกเจ้าเอง”


ผีดิบอมตะตะวันเดือดกล่าวก่อนกลับสู่การจำศีล


ราชันใต้และเหยากวงมองหน้ากันอย่างช่วยไม่ได้


…..


ภาคใต้ ภายในค่ายกลวิญญาณ


ฟางหยวนโยนทรัพยากรชิ้นหนึ่งลงไปในหม้อ


เปลวไฟลุกไหม้ขึ้นแต่มันกลับปลดปล่อยกลิ่นอายที่หนาวเย็นออกมา


มันคือไฟเย็น


ไม่นานหลังจากนั้นเปลวเพลิงที่เย็นยะเยือกก็ดับลงโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆเอาไว้เบื้องหลัง


วิญญาณดวงหนึ่งบินออกมาจากหม้อ


วิญญาณดวงนี้มีรูปลักษณ์เหมือนยุงสีน้ำตาลที่ดูบอบบางมาก ขณะที่มันบินเข้าไปหาฟางหยวน ร่างกายของมันหดและขยายสลับกัน


นี่เป็นวิญญาณบนเส้นทางความแข็งแกร่ง แต่เห็นได้ชัดว่ามันเป็นวิญญาณระดับมนุษย์


ชื่อของมันคือดึงแม่น้ำ


ฟางหยวนมีวิญญาณอมตะดึงแม่น้ำอยู่แล้ว มันเป็นวิญญาณอมตะระดับหก


วิญญาณดึงแม่น้ำระดับมนุษย์อนุญาตให้ผู้ใช้วิญญาณจัดการกับกระแสน้ำ แน่นอนว่าพลังอำนาจของมันด้อยกว่าวิญญาณอมตะดึงแม่น้ำ


แต่ฟางหยวนก็ดีใจมากที่ได้รับมัน


เพราะเหตุใด?


ประการแรกวิญญาณอมตะแต่ละดวงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หากฟางหยวนต้องการใช้ท่าไม้ตายอมตะสองท่าที่พึ่งพาวิญญาณอมตะดึงแม่น้ำเช่นเดียวกัน แล้วเขาจะทำอย่างไร? ด้วยวิญญาณระดับมนุษย์ ฟางหยวนสามารถใช้มันทดแทนวิญญาณอมตะได้ชั่วคราว ดังนั้นกระทั่งผู้อมตะจะมีวิญญาณอมตะอยู่แล้ว พวกเขาก็ยังต้องการวิญญาณระดับมนุษย์ชนิดเดียวกันเพื่อใช้ในบางสถานการณ์


ประการที่สอง เนื่องจากความสำเร็จบนเส้นทางแห่งวารีของฟางหยวนบรรลุถึงระดับปรมาจารย์ นั่นทำให้เขาเกิดแรงบันดาลใจใหม่ๆ


วิญญาณดึงแม่น้ำอาจเป็นวิญญาณบนเส้นทางความแข็งแกร่ง แต่มันก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเส้นทางแห่งวารีเช่นกัน ในอดีตแม้ฟางหยวนจะเป็นปรมาจารย์บนเส้นทางความแข็งแกร่ง แต่เขายังขาดความสำเร็จบนเส้นทางแห่งวารี ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถคิดค้นเคล็ดลับการหลอมรวมวิญญาณดึงแม่น้ำระดับมนุษย์


แต่เมื่อเขากลายเป็นปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งวารี เขาแทบไม่ต้องคิดและสามารถสรุปรายละเอียดต่างๆได้จากสัญชาตญาณ


ทุกอย่างเกิดขึ้นตามธรรมชาติ


‘ปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งวารี’ ฟางหยวนรู้สึกถึงประโยชน์ของสิ่งนี้


นอกจากนั้นในคลังความทรงจำจากชีวิตแรกของฟางหยวนยังเก็บสะสมท่าไม้ตายบนเส้นทางแห่งวารีเอาไว้มากมาย


ตอนนี้เขารู้สึกเกิดความเข้าใจเกี่ยวกับพวกมันมากขึ้น


‘ไม่เพียงความสำเร็จของข้าจะยกระดับขึ้น ความแข็งแกร่งของข้าก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน’


‘โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อข้าเป็นปรมาจารย์บนเส้นทางห้าสายอยู่แล้ว เส้นทางเหล่านี้สามารถทำงานร่วมกันและสนับสนุนกัน พวกมันทำให้ข้าได้รับประโยชน์เป็นอย่างมาก’


‘ไม่แปลกใจเลยที่ทุกคนต่างต้องการสำรวจอาณาจักรแห่งความฝัน’


ฟางหยวนคิดถึงชีวิตแรก เวลานั้นเขาให้ความสำคัญกับเส้นทางแห่งเลือดเท่านั้น


แน่นอนว่าฟางหยวนมีเหตุผลสำหรับการกระทำของเขา


หนึ่ง สถานการณ์ในเวลานั้นของเขาค่อนข้างเลวร้าย เขาต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งตลอดเวลา เขาต้องยกระดับพลังการต่อสู้อย่างรวดเร็วที่สุด


สอง ฟางหยวนไม่มีความรู้เกี่ยวกับอาณาจักรแห่งความฝัน เขาไม่มีวิธีสำรวจมัน โดยปราศจากวิธีการพิเศษ การสำรวจอาณาจักรแห่งความฝันถือว่ามีความเสี่ยงสูงมาก


สาม เมื่อฟางหยวนไตร่ตรองอย่างรอบคอบ เขาพบว่าในเวลานั้นเจตจำนงสวรรค์ได้เข้าแทรกแซงชีวิตของเขา


ขณะที่ฟางหยวนกำลังตรวจสอบความสำเร็จบนเส้นทางแห่งวารีของตน ตระกูลวูได้ส่งผู้อมตะระดับเจ็ดคนใหม่เข้ามาในค่ายกลวิญญาณ


ฟางหยวนดำเนินการส่งต่อภารกิจและจากไปอย่างรวดเร็ว


เขาบินไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือโดยไม่หยุดพัก


ข้ออ้างที่เขาบอกวูหยงคือเขามีเหตุผลส่วนตัวที่ต้องกลับไปยังทะเลตะวันออกเพียงลำพัง


ทุกคนต่างมีความลับเป็นของตนเอง หากเขาเป็นผู้อมตะทั่วไปของตระกูลวู วูหยงจะสอบถามเพิ่มเติม แต่นี่คือวูอี้ไห่ แม้วูหยงจะถาม เขาก็จะไม่ได้รับคำตอบ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะไม่ถามอย่างชาญฉลาด


ฟางหยวนเดินทางผ่านกำแพงภูมิภาคและไปถึงทะเลตะวันออก เขาวางมิติช่องว่างลงและพักอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราว


ขณะที่เขาอยู่ในมิติช่องว่างจักรพรรดิ เขายังฝึกฝนท่าไม้ตายอมตะและทำความคุ้นเคยกับวิญญาณอมตะดวงใหม่ที่หยิบยืมมาจากตระกูลวู


ฟางหยวนต้องเตรียมตัวอย่างเพียงพอ เขาต้องใช้โอกาสนี้สังหารอิงอู๋เซี่ย!


หลังจากชั่วระยะเวลาหนึ่ง ฟางหยวนเก็บมิติช่องว่างจักรพรรดิและเดินทางต่อ


สัมผัสแห่งโชค!


ฟางหยวนกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะสัมผัสแห่งโชคและพบว่ากลุ่มของอิงอู๋เซี่ยไม่ได้อยู่ที่ภาคใต้แต่กลับมายังทะเลตะวันออกอีกครั้ง


‘ดี มันง่ายกว่าสำหรับข้าที่จะโจมตีพวกเขาในทะเลตะวันออก’ ฟางหยวนบินไปหาเป้าหมายโดยไม่ลังเล


อิงอู๋เซี่ยและคนอื่นๆกำลังบินอยู่เหนือมหาสมุทรอันกว้างใหญ่


ไป่หนิงปิงรวมอยู่ในกลุ่มนี้


ความสัมพันธ์ของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไป ตอนนี้นางกลายเป็นพันธมิตรที่เท่าเทียม


ไม่กี่วันก่อนอิงอู๋เซี่ยนำวิญญาณกงล้อหยินหยางออกมาและสามารถหยุดเจตนาสังหารของไป่หนิงปิง


อิงอู๋เซี่ยใช้โอกาสนี้เพื่อสร้างความร่วมมือกับไป่หนิงปิงอีกครั้ง


แต่ไป่หนิงปิงไม่เหมือนก่อนหน้า นางบอกว่านางยอมสละวิญญาณกงล้อหยินหยางเพื่อกำจัดกลุ่มของอิงอู๋เซี่ย


อิงอู๋เซี่ยพยายามโน้มน้าวไป่หนิงปิงและสามารถสร้างข้อตกลงใหม่ได้สำเร็จในที่สุด


ไป่หนิงปิงได้รับวิญญาณกงล้อหยินหยาง แต่นางรู้ว่าฟางหยวนยังเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่


ดังนั้นพวกนางจึงไม่ควรอยู่ในถ้ำสวรรค์ไป่เซียง


เนื่องจากอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดของฟางหยวนสามารถทะลวงเข้าสู่ถ้ำสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย หากไป่หนิงปิงและคนอื่นๆยังอยู่ที่นั่น ฟางหยวนอาจพบเบาะแสและปรากฏตัวขึ้นได้ทุกเมื่อ


ในเวลานี้ไป่หนิงปิงมองทะเลสีฟ้าและเริ่มขมวดคิ้ว นางถ่ายทอดเสียงอย่างลับๆ “อิงอู๋เซี่ย เจ้าบอกว่าเจ้ามีวิธีจัดการฟางหยวน แต่ตอนนี้เราอยู่ในทะเลตะวันออก เรากำลังเดินทางไปที่ใด เจ้ามีแผนการใดกันแน่?”


อิงอู๋เซี่ยหัวเราะ “เพื่อจัดการพลังการต่อสู้ระดับแปด เขาต้องมีพลังการต่อสู้ระดับแปดเช่นกัน ทะเลตะวันออกไม่ใช่จุดหมายของเรา พวกเราจะไปภาคเหนือ”


“เจ้าหมายว่ากองกำลังพันธมิตรผีดิบของภาคเหนือมีพลังการต่อสู้ระดับแปดอยู่งั้นหรือ?” ไป่หนิงปิงก่นเสียงเย็นเย้ยหยัน


หากพวกเขามีพลังการต่อสู้ระดับแปด เหตุใดพวกเขาไม่ใช้มันในการต่อสู้บนภูเขาอี้เทียน?


อิงอู๋เซี่ยเผยรอยยิ้มขมขื่น “ย้อนกลับไปมันไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม”


“แล้วเวลาที่เหมาะสมคือเมื่อใด?”


“ตอนนี้เป็นโอกาสที่ดี ภาคเหนือและภาคกลางกำลังเข้าสู่การต่อสู้เพื่อแย่งชิงวิญญาณอมตะโชคชะตาท้าทายสวรรค์ หากเรามุ่งหน้าไปยังจุดศูนย์กลางของความโกลาหล แดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะ เราจะสามารถหยิบยืนพลังการต่อสู้ระดับแปดเพื่อกำจัดฟางหยวนและนำร่างทารกอมตะกลับคืนมา!” อิงอู๋เซี่ยหัวเราะแต่ในจังหวะนี้เขากลับหันหน้าไปด้านหลังอย่างกะทันหัน


“โอ้ ฟางหยวนกำลังมา!”


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1249 การกลับมาของใบหน้าภูตผี


แปลโดย iPAT 


อิงอู๋เซี่ยรู้สึกถึงโชคที่สั่นสะเทือนขึ้น


ก่อนหน้านี้ฟางหยวนพัฒนาท่าไม้ตายอมตะสัมผัสแห่งโชคถึงระดับที่น่ากลัว แม้อิงอู๋เซี่ยจะซ่อนตัวอยู่ในมิติช่องว่าง เขาก็ยังไม่สามารถหลบหนีจากการตรวจจับของฟางหยวน


แต่อิงอู๋เซี่ยไม่ใช่คนที่จะนั่งนิ่งเพื่อรอคอยความตาย เขาคิดและตัดสินใจใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้


อิงอู๋เซี่ยรู้ว่าเขาไม่สามารถหลบหนีจากการตรวจสอบ ดังนั้นเขาจึงใช้วิธีเสริมความแข็งแกร่งให้กับการตรวจสอบของฟางหยวน


พวกเขามีโชคที่เชื่อมโยงถึงกัน ฟางหยวนสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้เพื่อตามหาอิงอู๋เซี่ย ดังนั้นอิงอู๋เซี่ยก็จะใช้ประโยชน์จากสิ่งเดียวกันแต่ทำในสิ่งตรงข้าม


อิงอู๋เซี่ยใช้วิญญาณบางดวงทำให้การสั่นสะเทือนของโชครุนแรงขึ้นเพื่อล่อลวงให้ฟางหยวนติดตามมา


ด้วยวิธีนี้ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยของฟางหยวนจะไม่สามารถหลอกลวงอิงอู๋เซี่ย


อิงอู๋เซี่ยเป็นร่างแยกของเทพปีศาจจิตวิญญาณ แม้เขาจะสูญเสียความทรงจำมากมาย แต่เขาก็ไม่ขาดแคลนความสำเร็จ


ระดับความสำเร็จเป็นสิ่งสำคัญที่สุด


สิ่งนี้ทำให้อิงอู๋เซี่ยคิดวิธีการใหม่ๆได้ตลอดเวลา


“รวมกลุ่ม! เราจะใช้กลยุทธ์ที่เคยคุยกันไว้เพื่อขับไล่ฟางหยวน” เมื่อตระหนักถึงการคงอยู่ของฟางหยวน อิงอู๋เซี่ยออกคำสั่งทันที


คนทั้งห้าหยุดเคลื่อนไหวและเริ่มจัดขบวนทัพ


หลังจากประสบความสำเร็จในการโน้มน้าวไป่หนิงปิงให้เข้าร่วมกองกำลังพันธมิตร มรดกในถ้ำสวรรค์ไป่เซียงยังทำให้กลุ่มของอิงอู๋เซี่ยแข็งแกร่งขึ้นอีกมาก


“เขามาแล้ว!” ไป่หนิงปิงกล่าว


ด้วยค่ายกลวิญญาณที่มีประสิทธิภาพ พวกนางสามารถตรวจสอบการเคลื่อนไหวของฟางหยวนได้อย่างแม่นยำ


ผู้อมตะอีกสี่คนมองนาง


เป็นเพียงเวลานี้ที่มังกรดาบบรรพกาลทะยานร่างขึ้นจากมหาสมุทรและบินผ่านท้องฟ้า


กลุ่มของอิงอู๋เซี่ยกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง


ไป่หนิงปิงก้าวออกมา “เจ้ากล้าเข้าสู่ค่ายกลวิญญาณของเราหรือไม่?”


แม้ร่างกายของไป่หนิงปิงจะเปลี่ยนแปลงไป แต่รูปลักษณ์โดยรวมของนางยังคล้ายกับก่อนหน้า ฟางหยวนตะลึงเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าจะได้พบไป่หนิงปิงอีกครั้งในสถานการณ์นี้


ในความเป็นจริงฟางหยวนกับไป่หนิงปิงไม่ได้พบกันมานานแล้ว กระทั่งการต่อสู้บนภูเขาอี้เทียน ไป่หนิงปิงก็ไม่ได้เข้าร่วม


ไป่หนิงปิงทรยศฟางหยวนที่แดนศักดิ์สิทธิ์สามกษัตริย์ พวกเขาแยกทางกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาและนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขากลับมาพบกันอีกครั้ง


แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว ผู้ใช้วิญญาณวัยเยาว์สองคนจากภูเขาชิงเหมากลายเป็นผู้อมตะสองคนไปแล้ว


ไป่หนิงปิงเป็นอัจฉริยะที่มีอนาคตมืดมนด้วยร่างสุดยอดกายาน้ำแข็งแห่งความมืด แต่ตอนนี้นางกลายเป็นผู้อมตะระดับหกและยังเป็นเจ้าของถ้ำสวรรค์ไป่เซียง


ขณะเดียวกันประสบการณ์ของฟางหยวนยิ่งมากกว่าเดิม แรกเริ่มเขากลายเป็นเจ้าของแดนศักดิ์สิทธิ์ไป่หู หลังจากนั้นเขาทำลายวังแปดสิบแปดเปลวเพลิงที่แท้จริงของภาคเหนือ เขาเดินทางไปทั่วทั้งห้าภูมิภาค สุดท้ายเขาปรากฏตัวขึ้นระหว่างการต่อสู้บนภูเขาอี้เทียนและฉกชิงร่างทารกอมตะไปจากนิกายเงา


ด้วยร่างทารกอมตะ การบ่มเพาะของฟางหยวนพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและกลายเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดไปแล้ว ด้วยการคลี่คลายอาณาจักรแห่งความฝัน เขากลายเป็นปรมาจารย์บนเส้นทางหกสาย


ทั้งสองได้รับฉายาว่าปีศาจดำขาวในช่วงเวลาที่พวกเขาอยู่ที่ภาคใต้ในฐานะผู้ใช้วิญญาณ พวกเขาทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดแต่ครั้งนี้พวกเขากลับพบกันในฐานะศัตรู


“ได้ เช่นนั้นข้าก็จะสังหารเจ้าอีกคน” ฟางหยวนเต็มไปด้วยเจตนาสังหาร เขาคำรามและส่งลมหายใจมังกรออกไป


ลมหายใจมังกรพุ่งเข้าโจมตีไป่หนิงปิง


แต่ไป่หนิงปิงกลับเผยรอยยิ้มบางและไม่หลบ


ในเวลาต่อมาลมหายใจมังกรก็ปะทะกับกำแพงพลังงานที่มองไม่เห็น มันไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับนางได้แม้แต่น้อย


ค่ายกลวิญญาณของพวกนางไม่ใช่เรื่องง่าย


‘ค่ายกลวิญญาณ?’ ฟางหยวนคิด


ฟางหยวนมีความรู้เกี่ยวกับค่ายกลวิญญาณไม่มากนัก มันเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ชีวิตแรกของเขา


เพื่อทำลายค่ายกลวิญญาณ เขาจำเป็นต้องมีความสำเร็จบนเส้นทางแห่งค่ายกลหรือใช้วิธีบนเส้นทางแห่งปัญญา


ฟางหยวนเป็นปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งปัญญาแต่เขาขาดวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาที่มีประโยชน์ การอนุมานจุดอ่อนของค่ายกลวิญญาณไม่ใช่เรื่องง่าย


มังกรดาบบรรพกาลบินขึ้นสู่ท้องฟ้า


อิงอู๋เซี่ยและคนอื่นๆอยู่ในค่ายกลวิญญาณเพื่อรอการโจมตีของฟางหยวน


ในใจของฟางหยวนเต็มไปด้วยความคิดมากมาย


‘อีกฝ่ายใช้ค่ายกลวิญญาณ พวกเขารู้ว่าไม่สามารถซ่อนตัวจากข้า ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นฝ่ายตรวจสอบการเคลื่อนไหวของข้าและเตรียมตัวรับมือ’


‘เรือที่แตกยังดีกว่าไม้กระดาน ในช่วงเวลาสั้นๆอิงอู๋เซี่ยกลับสามารถคิดค้นวิธีการนี้’


ฟางหยวนยังไม่โจมตี


เขาไม่สามารถถอดรหัสค่ายกลวิญญาณนี้ หากเขาโจมตีโดยประมาท มันอาจไม่เป็นผลดี


ดังนั้นฟางหยวนจึงต้องตรวจสอบเป็นอันดับแรก


ขณะที่ฟางหยวนและกลุ่มของอิงอู๋เซี่ยกำลังต่อสู้กัน เหตุการณ์ในอุโมงค์มิติที่สวรรค์สีดำ คฤหาสน์วิญญาณอมตะสามหลังกำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างช้าๆ


นักรบหมื่นมังกรตื่นขึ้นแล้ว เขามองอุโมงค์มิติและถอนหายใจ “วิธีการของเทพปีศาจปล้นสวรรค์ช่างลึกลับนัก เขาจากไปนานแล้วแต่สิ่งนี้ยังอยู่มานานหลายแสนปีและสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากข้าไม่เห็นกับตาของตนเอง ข้าจะไม่เชื่อเรื่องนี้”


เว่ยหลิงหยางยิ้ม “เมื่อเจ้าตื่นแล้ว เราจะไม่รั้งรอต่อไปอีก ไปกันเถอะ”


ปรากฏว่าผู้อมตะภาคกลางสามารถออกจากอุโมงค์มิตินานแล้วแต่พวกเขารอให้นักรบหมื่นมังกรตื่นขึ้น


นักรบหมื่นมังกรใช้ท่าไม้ตายอมตะสายเคลื่อนไหวเพื่อหลบหนีจากอุปสรรคก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทรา


เมื่อเขาตื่นขึ้น กองกำลังผู้อมตะภาคกลางจึงกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้งด้วยพลังอำนาจของผู้อมตะระดับแปดสามคน!


คฤหาสน์วิญญาณอมตะทั้งสามระเบิดความเร็วและพุ่งไปข้างหน้า


ที่นี่คือส่วนสุดท้ายของอุโมงค์มิติ


ผู้อมตะภาคกลางกำลังรอคอยการต่อสู้ในอนาคตอย่างกระตือรือร้น


‘หงหยุน อดทนไว้ ข้ามาแล้ว!’ ดวงตาของจ้าวเหลียนหยุนส่องประกายขึ้นด้วยความมุ่งมั่นขณะที่นางเตรียมความพร้อมทางจิตใจ


แต่ที่ปลายอุโมงค์มิติกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น


ทันใดนั้นใบหน้าภูตผีขนาดใหญ่พลันปรากฏขึ้นและกีดขวางเส้นทางของคฤหาสน์วิญญาณอมตะทั้งสามหลังเอาไว้


“เกิดสิ่งใดขึ้น?”


“นี่คือเทพปีศาจจิตวิญญาณ…”


ผู้อมตะระดับแปดทั้งสามตกใจมากเมื่อเห็นใบหน้าภูตผีอ้าปากคำรามโดยไรีเสียง


เมื่อมันคำราม อุโมงค์มิติทั้งหมดก็เริ่มพังทลายลง ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าจำนวนนับไม่ถ้วนกระจัดกระจายออกไปทุกหนทุกแห่ง อุโมงค์มิติเกิดรอยแตกร้ายราวกับใยแมงมุม


“เพล้ง!”


ด้วยเสียงราวกับกระจกแตก อุโมงค์มิติระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย


“ป้องกัน!” นักรบหมื่นมังกรตะโกน


“อดทนไว้!” ไป่เฉินเทียนและเว่ยหลิงหยางกระตุ้นใช้งานคฤหาสน์วิญญาณอมตะของพวกเขาจนถึงขีดสุด


อย่างไรก็ตามคฤหาสน์วิญญาณอมตะทั้งสามกลับเปราะบางราวกับไม้กระดานที่เผชิญหน้ากับคลื่นยักษ์ พวกมันไม่สามารถทำสิ่งใด


คฤหาสน์วิญญาณอมตะทั้งสามหลังถูกแยกออกจากกันในครั้งเดียว


ช่องว่างขนาดใหญ่กลืนกินทุกสิ่งเข้าไปราวกับปากของอสูรกาย


ศาลานกขมิ้นที่อยู่ภายใต้การควบคุมของนักรบหมื่นมังกรไม่สามารถต่อต้าน มันถูกช่องว่างของห้วงมิติกลืนกินและหายไปอย่างไร้ร่องรอย


หอคอยวายุและค่ายนักรบตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง พวกมันค่อยๆพังทลายลง


ผู้อมตะภาคกลางไม่คาดหวังว่าพวกเขาจะพบสถานการณ์นี้ในอุโมงค์มิติ


หลายแสนปีก่อน เทพปีศาจปล้นสวรรค์เดินทางท่องเที่ยวไปในสวรรค์สีดำ


ต่อมาเทพอมตะตะวันเดือดพ่ายแพ้ต่อการปรับแต่งวิญญาณแห่งความรักและทิ้งวิธีการมากมายเอาไว้เบื้องหลัง


จากนั้นเทพปีศาจจิตวิญญาณได้วางแผนบางอย่างและทิ้งท่าไม้ตายอมตะเอาไว้ที่นี่


ราชันมังกรไม่รู้ความลับเหล่านี้ กระทั่งเทพธิดาจื่อเว่ยก็ไม่สามารถอนุมานสิ่งใด


ดังนั้นตอนนี้ผู้อมตะภาคกลางจึงต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่


‘ข้ากำลังจะตายงั้นหรือ? ข้าจะตายที่นี่ไม่ได้! ไม่ ข้าต้องช่วยหงหยุน ข้าจะตายอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?  ช่วยข้าด้วย วิญญาณแห่งความรัก!’


จ้าวเหลียนหยุนกรีดร้องอยู่ในใจ


ราวกับสัมผัสได้ถึงความรักและความมุ่งมั่นของนาง วิญญาณแห่งความรักเริ่มส่องแสงอันเจิดจ้าออกมา


“บึม!”


หอคอยวายุระเบิดและพังทลายลงอย่างสมบูรณ์ กลุ่มผู้อมตะกรีดร้องและกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะสายป้องกันของพวกเขา


แต่หลายคนไม่แม้แต่จะสามารถอดทนได้ถึงสองลมหายใจก่อนที่ร่างกายของพวกเขาจะถูกแยกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มีเพียงจ้าวเหลียนหยุนเท่านั้นที่ปลอดภัยภายใต้ชั้นแสงบางๆที่ปกคลุมอยู่บนร่างกาย


ไม่เพียงเท่านั้น ชั้นแสงนี้ยังขยายไปถึงผู้อมตะสี่คนที่อยู่รอบตัวนาง


ช่องว่างของห้วงมิติปรากฏขึ้นต่อหน้าจ้าวเหลียนหยุน


ในเวลาต่อมาวิญญาณแห่งความรักก็นำจ้าวเหลียนหยุนกับผู้อมตะอีกสี่คนพุ่งเข้าไปในช่องว่างของห้วงมิติดังกล่าว


วิสัยทัศน์ของพวกนางเปลี่ยนแปลงไป


“ที่นี่ที่ใด?” จ้าวเหลียนหยุนตระหนักว่านางกำลังยืนอยู่บนพื้นที่มั่นคง


“แน่นอนว่านี่คือแดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขาหิมะ” เสียงหนึ่งดังขึ้น


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)