ข้ามกาลบันดาลรัก 124.1-132.1

 ตอนที่ 124 – 1 ปีใหม่

 


 


 


ตอนกลางคืนหลังจากกินเกี๊ยวโต้รุ่งในคืนข้ามปีเสร็จ ทั้งครอบครัวก็แยกย้ายไปพักผ่อน 


 


วันรุ่งขึ้นฟ้ายังไม่ทันสาง เมิ่งชื่อก็ปลุกทุกคนตื่น 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขยี้ตาถามอย่างสะลึมสะลือ “ท่านแม่ เหตุใดถึงตื่นเช้าเช่นนี้” 


 


เมิ่งชื่อตอบ “ในชนบทมีประเพณีหนึ่ง ยิ่งตื่นเช้าเป็นลางดีว่าปีนี้จะมีชีวิตที่ดีกว่าปีก่อน” 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดงึมงำเสียงแผ่ว “งมงาย” 


 


เมิ่งชื่อได้ยินไม่ถนัด เอ่ยถาม “เจ้าว่ากระไรนะ” 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรีบตอบ “ไม่มีอะไร ท่านแม่ ข้าจะตื่นเดี๋ยวนี้” 


 


เมิ่งชื่อหันหลังเดินไปห้องครัว เมิ่งเอ้ออิ๋นจุดไฟต้มน้ำแล้ว 


 


รอจนพี่น้องทั้งหมดล้างหน้าล้างตาเสร็จ เกี๊ยวต้มร้อนๆ หอมกรุ่นก็ออกจากเตา 


 


เมิ่งชื่อตั้งเกี๊ยวต้มหนึ่งชามไว้บนโต๊ะเซ่นไหว้ก่อน ถึงตักเกี๊ยวต้มในหม้อออกมาวางบนโต๊ะอาหาร นั่งลงพร้อมเมิ่งเอ้ออิ๋น รอเด็กๆ ล้อมวงเข้ามากินข้าว 


 


เมิ่งเสียนพาคนทั้งหมดเข้ามายังห้องหลัก หยิบพรมผืนใหญ่ที่เตรียมไว้นานแล้ววางใต้เท้า นำทุกคนคุกเข่า เมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งฉี เมิ่งอี้เซวียนและเมิ่งเจี๋ยก็คุกเข่าลงตาม เปล่งเสียงพูดพร้อมกัน “ท่านพ่อ ท่านแม่สวัสดีปีใหม่” 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อยิ้มตาหยีรอให้เด็กๆ โขกหัวคำนับเสร็จ ต่างล้วงหยิบอั่งเปาที่เตรียมไว้ออกมาจากแขนเสื้อ มอบให้เด็กๆ ทุกคน 


 


สองชาติภพรวมกันนี่เป็นครั้งแรกที่เมิ่งเชี่ยนโยวได้รับอั่งเปา ดีอกดีใจออกนอกหน้า แอบเปิดดูอย่างอดใจไม่ไหว เยี่ยมไปเลย ข้างในมีเงินถึงสิบตำลึง แกว่งไกวอั่งเปาอย่างลิงโลดพูดกับคนทั้งหมดว่า “ข้ารวยแล้ว อั่งเปาข้ามีเงินเยอะแยะเลย” 


 


เมิ่งเจี๋ยก็ชูอั่งเปาตัวเองร้องตะโกน “ข้าก็รวยแล้ว อั่งเปาข้าก็มีเงินเต็มเลย” 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อหลุดหัวเราะ 


 


เมิ่งชื่อพูดอย่างอ่อนโยน “รีบกินเกี๊ยวเถอะ กินเกี๊ยวเสร็จแล้วพวกเรายังต้องไปสวัสดีปีใหม่ท่านปู่ท่านย่าอีก” 


 


ทั้งหมดพยักหน้า หยิบตะเกียบคีบเกี๊ยวมากิน 


 


เพิ่งกินไปไม่กี่ชิ้น เมิ่งอี้เซวียนก็ร้องอุทาน “อ่ะ เหมือนข้าจะกินถูกเกี๊ยวเต้าหู้” ทุกคนพลันหันมองไปที่เขา เห็นเป็นเกี๊ยวไส้เต้าหู้จริงๆ 


 


เมิ่งชื่อหัวเราะพูด “กินเกี๊ยวเต้าหู้ แปลว่ามีโชคดี อี้เซวียนเป็นคนแรกในครอบครัวเราที่มีโชคดี” 


 


“ข้าก็อยากเป็นคนที่มีโชคดี” เมิ่งเจี๋ยตัวน้อยพูดขึ้น พูดจบคีบเกี๊ยวเข้าปากเคี้ยวคำโต 


 


คนทั้งหมดกินต่อ 


 


ผ่านไปไม่กี่อึดใจ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ร้องอุทาน “โอ๊ะ ข้าก็กินถูกเกี๊ยวเต้าหู้” 


 


คนทั้งหมดหันมองไปอีกครั้ง เห็นนางก็เป็นเกี๊ยวไส้เต้าหู้เหมือนกัน 


 


เมิ่งชื่อหัวเราะ “ดีๆ ปีนี้พวกเจ้าล้วนเป็นคนที่มีโชคดี” 


 


ต่อมา เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีก็กินถูกเกี๊ยวเต้าหู้ ต่างดีอกดีใจยกใหญ่ มีเพียงเมิ่งเจี๋ยที่ยังกินไม่โดน เด็กตัวน้อยเริ่มกระวนกระวาย 


 


เมิ่งชื่อเห็นเช่นนั้น ฉวยโอกาสตอนเขาก้มหน้ากินเกี๊ยว แอบเอาเกี๊ยวเต้าหู้ในถ้วยตัวเองคีบใส่ถ้วยของเขา 


 


พอเมิ่งเจี๋ยกินเกี๊ยวในปากหมด ก็รีบคีบเกี๊ยวที่เมิ่งชื่อใส่ในถ้วยตัวเอง กัดหนึ่งคำ พลันดีใจหันพูดกับเมิ่งชื่อ “ท่านแม่ ข้ากินถูกเกี๊ยวเต้าหู้แล้ว ข้าก็เป็นคนมีโชคดี” 


 


เมิ่งชื่อลูบหัวเขา พูดอย่างอ่อนโยน “ใช่ เจี๋ยเอ๋อร์ของพวกเราก็เป็นคนมีโชคดี” 


 


เมิ่งเจี๋ยดีใจจนกลั้นไม่อยู่ กินเกี๊ยวที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งหมดในคำเดียว 


 


หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ เมิ่งชื่อนำเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ตัดเย็บเอาไว้นานแล้วออกมา วางตรงหน้าเด็กทุกคน กล่าวว่า “รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ เปลี่ยนชุดเสร็จพวกเราจะไปสวัสดีปีใหม่ท่านปู่ท่านย่า” 


 


เด็กทั้งหมดหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่กลับเข้าห้องอย่างเริงร่า ไม่นานก็เปลี่ยนเสร็จเดินออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวยังประดับศีรษะด้วยปิ่นปักผมผีเสื้อที่เมิ่งฉีซื้อให้ ทำให้ดูมีชีวิตชีวาสดใสยิ่งขึ้น 


 


เมิ่งฉีเห็นน้องสาวติดปิ่นปักผมที่ตนซื้อให้ ดีใจจนปากหุบไม่ลง 


 


เมิ่งอี้เซวียนสะท้อนแววตา ไม่พูดอะไร 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เตรียมตัวพาเด็กๆ ไปสวัสดีปีใหม่ที่บ้านใหญ่ 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “ท่านแม่ ท่านติดเครื่องประดับที่พวกเราซื้อมาวันก่อนด้วยเถอะ” 


 


เมิ่งชื่อลังเลเล็กน้อย “เครื่องประดับพวกนั้นแพงเกินไป ประเดี๋ยวคนเข้าคนออก หากทำหายไปจะไม่ดี” 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดโน้มน้าว “ท่านแม่ เป็นเพราะวันนี้มีคนมามากถึงบอกให้ท่านนำมาใส่ คนอื่นจะได้รู้ว่า บ้านพวกเรามีชีวิตที่สุขสบายแล้ว อีกอย่าง คนที่มาสวัสดีปีใหม่เห็นการแต่งองค์ทรงเครื่องที่หรูหราฟู่ฟ่าของท่าน ไม่แน่จะมีคนสนใจอยากเป็นแม่สื่อให้พี่ใหญ่ สอดคล้องกับความนึกคิดของท่านพอดีไม่ใช่หรือ” 


 


เมิ่งเสียนหน้าแดง “บอกให้ท่านแม่ใส่เครื่องประดับ เหตุใดถึงโยงมาที่ตัวข้าได้ ข้ายังเด็ก เรื่องคู่ยังไม่รีบร้อน” 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูด “ท่านไม่รีบร้อนแต่ท่านแม่รีบร้อน ท่านเห็นไหมท่านแม่ร้อนใจจนผมจะขาวหมดหัวแล้ว” 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นเริ่มไม่พอใจ พูดขึ้น “พูดเพ้อเจ้อ หัวแม่เจ้ามีผมขาวที่ไหนกัน” 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะครืน 


 


เมิ่งชื่อก็หน้าแดงเรื่อ 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นพูดเกลี้ยกล่อมบ้าง “โยวเอ๋อร์พูดถูก เจ้าใส่เครื่องประดับเถอะ แต่งงานกันมาหลายปี เจ้าไม่เคยมีเครื่องประดับที่ดูดีสักชิ้น ตอนนี้อุตส่าห์ซื้อมาแล้ว อย่าเอาแต่เก็บไว้เลย” 


 


เมิ่งชื่อหน้าแดง หยิบปิ่นปักผม ต่างหูและกำไลในกล่องออกมาใส่ 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดหยอกเย้า “ท่านพ่อ ท่านดูท่านแม่ในตอนนี้สิ ลดอายุไปเป็นสิบปีเลยใช่หรือไม่” 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้าตอบ “อ่อนเยาว์ลงไปไม่น้อย หากอยู่บนท้องถนน พ่อคงจำไม่ได้ในทันทีว่าเป็นภรรยาตนเอง” 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะครืนอีกครั้ง แม้แต่เมิ่งเสียนและคนที่เหลือก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ 


 


เมิ่งชื่อเขินหน้าแดง พูดเอ็ด “ต่อหน้าลูกๆ พูดซี้ซั้วอะไรออกมา” 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นก็หัวเราะร่วน 


 


ทั้งครอบครัวมาถึงบ้านใหญ่สกุลเมิ่งอย่างมีความสุข บ้านใหญ่กินข้าวเช้าเสร็จแล้ว ทั้งครอบครัวกำลังนั่งอยู่ในบ้านรอคนเข้ามาสวัสดีปีใหม่ 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อพาเด็กๆ เข้ามาสวัสดีปีใหม่เมิ่งจงจวี่และหญิงชราเมิ่งก่อน เมิ่งจงจวี่และหญิงชราเมิ่งต่างแยกกันให้อั่งเปาพี่น้องทั้งหมด 


 


เด็กๆ กล่าวขอบคุณ รับอั่งเปาใส่ในอกเสื้อ 


 


เมิ่งเสียนพาน้องๆ ไปไหว้สวัสดีปีใหม่เมิ่งต้าจินและภรรยา เมิ่งต้าจินและภรรยาก็ให้อั่งเปาซองใหญ่แก่เด็กทุกคน 


 


สุดท้ายมาถึงเมิ่งเสียวเถี่ย  


 


เมิ่งเสียนมองเมิ่งเชี่ยนโยว เม้มริมฝีปาก นำทุกคนคุกเข่าต่อหน้าเมิ่งเสียวเถี่ย กล่าวว่า “อาสี่ สวัสดีปีใหม่” 


 


เมิ่งเสียวเถี่ยไม่คิดว่าเมิ่งเสียนจะนำคนอื่นๆ มาสวัสดีปีใหม่ตนเอง พลันตะลึงงันอยู่ตรงนั้น 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามขึ้น “อาสี่คงไม่ขี้งก แม้แต่อั่งเปาปีใหม่ก็ไม่ได้เตรียมไว้ใช่หรือไม่” 


 


เมิ่งเสียวเถี่ยตื่นจากภวังค์ ลนลานพูดกับเมิ่งชิง “ชิงเอ๋อร์ เร็วเข้า ไปหยิบเงินที่พ่อวางไว้ใต้หมอนออกมา” 


 


เมิ่งชิงก้าวขาสั้นป้อมวิ่งออกไป 


 


เมิ่งชื่อรีบเอ่ย “น้องสี่ ไม่ต้อง โยวเอ๋อร์พูดล้อเล่นกับเจ้า” 


 


เมิ่งเสียวเถี่ยตอบ “พี่สะใภ้รอง สมควรแล้ว เด็กๆ มาสวัสดีปีใหม่จักต้องให้อั่งเปา” 


 


เมิ่งชิงหยิบถุงผ้าเข้ามา เมิ่งเสียวเถี่ยเปิดออก หยิบเงินหลายสิบตำลึงออกมาส่งให้เมิ่งเสียนและคนอื่นๆ “รับไป อาสี่ไม่ได้เตรียมซองอั่งเปาไว้ ถือว่าเป็นเงินเต๊ะเอียให้พวกเจ้า” 


 


เมิ่งชื่อร้องอุทาน “น้องสี่ เจ้าให้เยอะเกินไปแล้ว” 


 


เมิ่งเสียนไม่กล้ารับ 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับยื่นมือรับมา “ขอบคุณอาสี่” พูดจบ ส่งสายตาให้เมิ่งเสียนรับมา 


 


เห็นนางรับเงินมา เมิ่งเสียนและคนอื่นๆ ก็ยื่นมือออกไปรับเงิน พูดโดยพร้อมเพรียง “ขอบคุณอาสี่” 


 


เมิ่งเสียวเถี่ยยังหยิบเงินออกมาสิบตำลึงพูดกับเมิ่งเหริน “เหรินเอ๋อร์ นี่เป็นของเจ้า” 


 


 


เมิ่งเหรินโบกมือ “อาสี่ ข้าโตแล้ว เงินเต๊ะเอียข้าไม่รับแล้ว” 


 


เมิ่งเสียวเถี่ยยืนหยัด “รับไป ขอเพียงเจ้ายังไม่แต่งงาน ก็ยังเป็นเด็ก ต้องรับเงินเต๊ะเอียนี้” 


 


เมิ่งเหรินหันไปมองเมิ่งต้าจิน 


 


เมิ่งต้าจินพยักหน้า เมิ่งเหรินเดินขึ้นหน้า รับเงินมาแล้วพูดว่า “ขอบคุณอาสี่” 


 


เมิ่งซานถงและภรรยาพาลูกๆ เข้ามา หลังจากสวัสดีปีใหม่เสร็จ เด็กๆ ทุกคนต่างได้รับอั่งเปาไม่น้อย พากันดีอกดีใจยกใหญ่ โดยเฉพาะเมิ่งเจี๋ย เมิ่งชิง ฮวาและเด็กเล็กคนอื่นๆ ต่างดีใจจนเกือบคลุ้มคลั่ง เทเงินในซองอั่งเปาลงกับพื้น เปรียบเทียบกันว่าใครได้เงินมากกว่าใคร 


 


พูดคุยเฮฮากันครู่หนึ่ง คนในหมู่บ้านก็ทยอยเข้ามาสวัสดีปีใหม่ เมิ่งต้าจินและน้องชายทั้งสามคนรวมถึงเมิ่งชื่อและสะใภ้อีกสามคนก็พาลูกๆ ออกไปสวัสดีปีใหม่บ้านอื่นๆ 


 


เริ่มจากบ้านหัวหน้าสกุลเมิ่ง หัวหน้าสกุลและภรรยาเห็นเมิ่งต้าจินและน้องๆ พาคนในครอบครัวเข้ามา ดีใจยิ้มปากหุบไม่ลง หยิบขนมที่ทำเองออกมาต้อนรับเด็กๆ 


 


เมิ่งเหรินเมิ่งเสียนต่างโตแล้ว หลังกล่าวขอบคุณก็รับมาเล็กน้อยพอเป็นพิธี เมิ่งเจี๋ย เมิ่งชิง เด็กน้อยทั้งสองกลับคว้ามากำใหญ่ 


 


หลังจากนำทุกคนมาสวัสดีปีใหม่หัวหน้าสกุลและภรรยาแล้ว เมิ่งต้าจินก็พาคนทั้งหมดไปสวัสดีปีใหม่หัวหน้าสกุลอื่นๆ สุดท้ายถึงพาคนทั้งหมดไปสวัสดีปีใหม่ทั่วหมู่บ้าน 


 


ผู้ใหญ่บ้านมีตำแหน่งใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน คนในหมู่บ้านต่างประจบเอาใจ เข้ามาสวัสดีปีใหม่กันแต่เนิ่นๆ ภรรยาผู้ใหญ่บ้านยังคงทำเหมือนก่อน เมินเฉยไม่แยแสต่อการมาสวัสดีปีใหม่ของพวกเขา คนในหมู่บ้านไม่กล้าถือสา สวัสดีปีใหม่เสร็จก้ไป ขนมสักชิ้นของบ้านพวกเขาก็ไม่กล้ากิน 


 


เห็นเมิ่งต้าจินพาคนในสกุลเข้ามา ภรรยาผู้ใหญ่บ้านสะท้อนนัยน์ตา พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “โย่ พวกเจ้ามาสวัสดีปีใหม่แล้ว ประตูบ้านพวกเราต่ำ อย่าให้ชนหัวพวกเจ้าได้” 


 


ผู้ใหญ่บ้านส่งเสียงกระแอม ภรรยาผู้ใหญ่บ้านกรอกตาขาวใส่เขา 


 


หลิวต้าเป่าเดินออกมาจากบ้าน พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างนบนอบ “นายหญิง มาแล้ว เข้ามานั่งในบ้านเถอะ” 


 


เสียงภรรยาผู้ใหญ่บ้านดังขึ้นอีกครั้ง “ต้าเป่า บ้านพวกเราคับแคบ จะไปรองรับคนใหญ่คนโตเช่นนั้นได้อย่างไร เจ้าไม่ต้องให้พวกเขาเข้ามา เดี๋ยวเกือกพวกเขาจะสกปรกเสียเปล่า” 


 


ทุกคนหันหน้ามองกันเลิกลั่ก 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเงียบปากไม่ส่งเสียง 


 


ผู้ใหญ่บ้านตวาดเสียงดัง “พอแล้ว เหตุใดถึงพูดมากเช่นนี้ คนเขามาสวัสดีปีใหม่ด้วยเจตนาดี เจ้าระงับอาการก่อนไม่ได้หรือ” 


 


ภรรยาผู้ใหญ่บ้านเบะปาก “พวกเขามาสวัสดีปีใหม่ที่ไหนกัน พวกเขามาเยาะเย้ยมากกว่า ลูกชายคนเดียวของพวกเราถูกขายให้พวกเขา พวกเขาจะมาโอ้อวดเสียไม่ว่า” 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวฝืนระงับโมหะ หันไปพูดกับเมิ่งต้าจิน “ลุงใหญ่ เมื่อบ้านผู้ใหญ่บ้านไม่ต้อนรับพวกเรา พวกเราก็อย่าหาเรื่องให้ลำบากใจเลย ต่อไปไม่ต้องมาสวัสดีปีใหม่อีก” 


 


ตั้งใจมาสวัสดีปีใหม่ด้วยเจตนาดี กลับถูกพูดจากระทบกระเทียบ เมิ่งต้าจินก็เริ่มมีอารมณ์แล้ว ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ พยักหน้า นำคนทั้งหมดออกไปจากบ้านผู้ใหญ่บ้านโดยไม่พูดไม่จา 


 


เสียงแหลมสูงของภรรยาผู้ใหญ่บ้านแว่วดังตามหลังมา “เห็นไหม ตอนนี้พวกเขามีเงินแล้ว ไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาสักนิด ข้าเพียงพูดไม่กี่คำ ไม่แม้แต่สวัสดีปีใหม่ก็ไปแล้ว นี่เรียกว่าสวัสดีปีใหม่ที่ไหน ตั้งใจจะมาแสดงบารมีต่างหาก” 


 


เสียงหลิวต้าเป่าดังขึ้น “ท่านแม่ พูดน้อยๆ หน่อยเถอะ หลังปีใหม่ข้ายังต้องกลับไปทำงาน” 


 


เสียงปรอทแตกของภรรยาผู้ใหญ่บ้านดังลอยออกมา “กลับไปทำงานแล้วอย่างไร หากพวกเขากล้าทารุณข่มเหงเจ้า ข้าจะเอาเรื่องพวกเขาให้ถึงที่สุด” 


 


คนอื่นในหมู่บ้านที่เข้ามาสวัสดีปีใหม่ มองเมิ่งต้าจินนำคนในสกุลออกไป จากนั้นได้ยินบทสนทนาดังลอยออกมา ต่างเลี้ยวเปลี่ยนทิศทาง ไปสวัสดีปีใหม่บ้านอื่น 


ตอนที่ 124 – 2 ปีใหม่

 


 


 


 


เมิ่งต้าจินและภรรยา เมิ่งเอ้ออิ๋นและภรรยารวมถึงเมิ่งซานถงและภรรยาต่างมีสีหน้าเหยเก เมิ่งเชี่ยนโยวพูดโอ้โลม “ลุงใหญ่ ป้าใหญ่ อาสาม อาสะใภ้สาม ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ พวกเขาทำตัวเช่นนี้ ข้าว่าใกล้จะหมดวาระการเป็นผู้ใหญ่บ้านของพวกเขาแล้ว” 


 


 


เมิ่งชื่อมองดูคนที่ออกมาสวัสดีปีใหม่ที่เดินไปมาขวักไขว่ รีบเข้าไปห้ามปราม “โยวเอ๋อร์ อย่าพูดซี้ซั้ว หากคำพูดไปถึงหูภรรยาผู้ใหญ่บ้าน ไม่รู้ว่านางจะอาละวาดเช่นไรอีก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแค่นเสียงหึ ในใจคิด อาละวาดยิ่งดี ข้ากลัวเขาจะไม่อาละวาดนะสิ 


 


 


เมิ่งต้าจินนำคนทั้งสกุลมาสวัสดีปีใหม่ผู้อาวุโสในหมู่บ้านอีกสองสามคน ทั้งสามครอบครัวถึงแยกย้าย ไปสวัสดีปีใหม่คนที่ตัวเองถูกอัธยาศัย 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อนำเด็กๆ มาบ้านหลี่ต้าฉุยและภรรยาก่อน 


 


 


หลี่ต้าฉุยและภรรยารออยู่ที่บ้านนานแล้ว เห็นคนทั้งหมดเดินเข้ามา รีบออกไปต้อนรับ พาทุกคนเข้ามาในบ้าน 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อจะโขกหัวคำนับทั้งสองคน หลี่ต้าฉุยและภรรยาไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอม ยับยั้งสุดชีวิต หลี่ต้าฉุยและภรรยาจำยอมจำนน 


 


 


เมิ่งเสียนกลับเป็นผู้นำน้องๆ คุกเข่า สวัสดีปีใหม่หลี่ต้าฉุยและภรรยา 


 


 


หลี่ต้าฉุยและภรรยาดีใจเป็นอย่างยิ่ง หยิบอั่งเปาที่เตรียมไว้มอบให้เด็กทุกคน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวบีบดู รู้สึกว่าซองของตัวเองมีเงินไม่น้อย ลอบคิด พวกเขาสองสามีภรรยาคงไม่ได้เอาเงินเก็บยามชราทั้งหมดมาใส่อั่งเปาให้พวกเขาหรอกนะ 


 


 


หลังจากสวัสดีปีใหม่หลี่ต้าฉุยและภรรยา สุดท้ายทั้งหมดก็มาบ้านป้าหวัง 


 


 


หวังเหลียงก็กลับมาฉลองปีใหม่ที่บ้าน เห็นเมิ่งเอ้ออิ๋นและครอบครัวเข้าสวัสดีปีใหม่ก็ดีอกดีใจ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองโดยรอบ ไม่เห็นหวังหู่ เอ่ยปากถาม “อาหวัง พี่หูจื่อไม่ได้กลับมาฉลองปีใหม่หรือ” 


 


 


หวังเหลียงตอบ “ก่อนปีใหม่หูจื่อส่งข่าวมา บอกว่าเหลาจวี้เสียนงานยุ่งมาก หลงจู๊ไม่ยอมให้ลา หลังปีใหม่ถึงจะให้เสี่ยวเอ้อผลัดกันกลับบ้าน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า 


 


 


ป้าหวังให้อั่งเปาเด็กทุกคนอย่างมีความสุข “รับไปนะ เงินไม่มาก ปีใหม่แล้ว มีความสุขก็พอ” 


 


 


คนทั้งหมดรับมา ทยอยกันกล่าวขอบคุณ 


 


 


หลังจากสวัสดีปีใหม่ป้าหวัง สองสามีภรรยาเมิ่งก็พาคนทั้งหมดกลับบ้าน เปิดประตูใหญ่ จัดเตรียมขนมขบเคี้ยว เพื่อต้อนรับคนที่จะมาสวัสดีปีใหม่ 


 


 


เมิ่งเสียนและคนอื่นๆ กลับเข้าห้อง นำเงินในซองอั่งเปาออกมานับอย่างมีความสุข แต่ละคนได้ยี่สิบกว่าตำลึง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตาโตอ้าปากค้าง ชั่วขณะหนึ่งถึงพูดขึ้น “ถึงว่าเด็กๆ ชอบปีใหม่ ที่แท้ปีใหม่ครั้งหนึ่งจะได้เงินมากถึงขนาดนี้” 


 


 


เมิ่งเสียนหัวเราะพูด “พูดอะไรของเจ้า ประหนึ่งว่าเจ้าไม่ใช่เด็กอย่างนั้น” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “เดิมข้าก็ไม่ใช่เด็ก” 


 


 


เมิ่งเสียนนึกว่านางพูดเล่น จึงพูดหยอกเย้า “เจ้าไม่ใช่เด็ก แล้วเป็นอะไร” 


 


 


“ข้าเป็น…” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดถึงตรงนี้ก็หยุดชะงัก 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนมองนางอย่างสงสัย 


 


 


เมิ่งเสียนพูดเย้าแหย่ต่อ “เจ้าเป็นอะไร” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแค่นเสียงหึ พูดว่า “สรุปคือข้าไม่ใช่เด็ก” 


 


 


เมิ่งเสียนหัวเราะลั่น “ใช่ เจ้าไม่ใช่เด็ก พ้นปีใหม่ เจ้าก็จะอายุสิบสามปี เป็นสาวแรกรุ่นแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาเกรี้ยวกราดใส่เขา พร้อมกับโน้มตัวไปเบื้องหน้าเขาพูดลึกๆ ลับๆ “พี่ใหญ่ ท่านว่าพวกเราพากันไปสวัสดีปีใหม่บ้านคนอื่น กลับมาพวกเราจะรวยหรือไม่” 


 


 


เมิ่งเสียนหัวเราะ “จะรวยหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่จักต้องทำคนอื่นตกใจอย่างแน่นอน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักงัน 


 


 


เมิ่งเสียนและคนอื่นๆ หัวเราะร่วน 


 


 


เมิ่งชื่อเพิ่งจะเตรียมของเสร็จ ผู้คนก็ทยอยกันเข้ามาสวัสดีปีใหม่ คนที่มาแรกๆ คือเหล่าคนงานที่ทำงานในโรงงาน แต่ละคนมาพร้อมรอยยิ้ม กล่าวแต่วาจาเป็นสิริมลคล เมิ่งชื่อนำของที่เตรียมไว้ต้อนรับพวกเขาออกมา บรรดาผู้ใหญ่ต่างปฏิเสธไม่แตะต้อง เด็กๆ ที่มาด้วยก็หยิบมาชิมไม่กี่ชิ้นพอเป็นพิธี เมิ่งชื่อหยิบกำใหญ่ใส่มือเด็กๆ ผู้ใหญ่ของแต่ละบ้านรีบห้ามปราม “ไม่ต้องๆ ปีนี้บ้านพวกข้าซื้อมาแล้ว พวกเขากินพอแล้ว” 


 


 


ผู้ใหญ่พูดเช่นนี้ เด็กๆ กลับยื่นมือออกมา เมิ่งชื่อวางขนมใส่มือพวกเขา พูดพร้อมรอยยิ้ม “รับไปเถอะ อย่างไรก็เป็นเด็ก มีแค่ไหนก็กินไม่พอ” 


 


 


บรรดาผู้ใหญ่ให้เด็กๆ กล่าวขอบคุณ 


 


 


เมิ่งชื่อก็หยิบอั่งเปาที่เตรียมไว้ออกมา มอบให้เด็กทุกคน 


 


 


บรรดาผู้ใหญ่ตกใจตัวลอย รีบร้อนพูด “เช่นนี้ไม่ได้” พูดจบ ก็คิดจะดึงอั่งเปาในมือเด็กๆ กลับคืนเมิ่งชื่อ เด็กๆ กลับจับแน่นไม่ยอมปล่อย 


 


 


เมิ่งชื่อพูด “ให้เด็กๆ รับไว้เถิด เงินไม่มาก ปีใหม่แล้ว มีความสุขก็พอ” 


 


 


บรรดาผู้ใหญ่ถลึงตาเคืองขุ่นใส่ลูกหลานตัวเอง หันไปยิ้มแย้มกล่าวขอบคุณเมิ่งชื่อ 


 


 


ต่อมาเป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้ทำงานในโรงงานแล้ว แย่งกันกล่าววาจาเป็นสิริมงคล หวังให้เมิ่งชื่อจดจำตัวเองได้ ยามที่บ้านพวกเขารับสมัครคนอีก จะได้นึกถึงพวกเขา 


 


 


ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ยังคงมีคนมาไม่ขาดสาย แม้แต่คนในสกุลอื่นก็ส่งคนเข้ามา เมิ่งชื่อยิ้มแข็งเกร็งไปหมดแล้ว ลูบคลำอั่งเปาที่เหลือสองใบในอก กระวีกระวาดเดินไปหาเมิ่งเสียนและน้องๆ พูดอย่างร้อนรน “เร็วเข้า พวกเจ้าช่วยแม่ห่อซองอั่งเปาเพิ่มหน่อย” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจ “อั่งเปาสามสิบซองยังไม่พอหรือ” 


 


 


เมิ่งชื่อตอบ “แม่ก็ไม่คิดว่าคนจะมาเยอะเช่นนี้ ที่แม่ยังเหลืออั่งเปาอีกสองซอง หากมีคนมาอีก จะไม่พอได้ พวกเจ้ารีบช่วยแม่ห่อซองอั่งเปาเถอะ” 


 


 


พี่น้องทั้งหมดรีบนำกระดาษแดงแผ่นใหญ่มา ตัดเป็นอั่งเปาได้ยี่สิบซอง แต่ละซองยังคงใส่เงินสองอีแปะ เมิ่งเชี่ยนโยวรีบนำอั่งเปาไปให้เมิ่งชื่อ 


 


 


เมิ่งชื่อแจกอั่งเปาในมือหมดพอดี เห็นบุตรสาวนำมาให้อีกจำนวนหนึ่ง ก็โล่งอก 


 


 


ตอนที่ใกล้จะถึงเวลาเที่ยง ถึงไม่มีคนมาสวัสดีปีใหม่แล้ว เมิ่งชื่อเหนื่อยจนนอนแผ่อยู่บนเตียงเตา หันไปพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋น “ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่า ปีใหม่จะเหนื่อยเช่นนี้” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นก็เหนื่อยไม่น้อย ตอบว่า “ปีก่อนๆ ไม่มีคนพวกนี้ เหตุใดปีนี้ถึงมีคนมามากเช่นนี้” 


 


 


เมิ่งชื่อพูด “ก็เพราะบ้านเราเปิดโรงงานหลายแห่ง ใครๆ ก็อยากมาทำงานด้วย ไม่เช่นนั้นจะมีคนมาสวัสดีปีใหม่เยอะเช่นนี้หรือ” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นถึงเข้าใจแจ่มแจ้ง 


 


 


ทั้งสองพักผ่อนครู่หนึ่ง เตรียมตัวทำอาหารเที่ยง 


 


 


ตอนบ่าย ไม่มีคนมาสวัสดีปีใหม่แล้ว เมิ่งชื่อพักผ่อนอีกครู่หนึ่ง ถึงไปนั่งเล่นบ้านป้าหวัง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและคนอื่นๆ ไม่มีอะไรทำ จึงมายังท่อนไม้ในลานบ้าน ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ 


 


 


เมิ่งเสียนและน้องๆ ร่ำเรียนมาได้ระยะเวลาหนึ่งแล้ว บวกกับได้ซ้อมมือกับเมิ่งเชี่ยนโยวทุกวัน ทำให้ทุกคนพอจะมีพื้นฐานประมาณหนึ่ง 


 


 


หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวประลองเป็นรายตัวกับทุกคน ก็พยักหน้าพึงพอใจ พูดว่า “พวกท่านเรียนศิลปะป้องกันตัวได้พอประมาณแล้ว ต่อไปขอเพียงแค่หมั่นฝึกฝนก็พอ วันนี้ไม่มีอะไรทำ ข้าจะสอนวิธีการต่อสู้แบบใหม่—ศิลปะคว้าจับ” 


 


 


พูดจบ หันไปพูดกับเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ ท่านเข้ามา ข้าจะสาธิตให้พวกเขาดู” 


 


 


เมิ่งเสียนเดินไปตรงหน้านาง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “ท่านยื่นมือออกมาตีข้า ออกแรงด้วย” เมิ่งเสียนตีเข้ามาเต็มแรง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเบี่ยงตัวหลบ จับแขนเมิ่งเสียน บิดไปด้านหลัง เมิ่งเสียนร้องเสียงดังลั่น “น้องสาว เจ็บๆๆ!” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคลายมือ หันไปพูดกับทั้งสามคน “สิ่งสำคัญของศิลปะคว้าจับคือ วิธีการต่อสู้ที่รวดเร็วฉับพลันชนิดหนึ่ง โดยระหว่างที่ต่อสู้ให้พลิกบิดข้อต่อ หักกระดูกเส้นเอ็นของอีกฝ่าย หากเรียนได้แล้ว สามารถเข้าจู่โจมโดยที่อีกฝ่ายคาดไม่ถึง เพียงกระบวนท่าเดียวก็ทำให้อีกฝ่ายไร้กำลังโต้กลับได้” 


 


 


ทั้งสามคนพยักหน้า 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “แต่ศิลปะคว้าจับมีจุดบกพร่องหนึ่ง คือตอนที่เราไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีวรยุทธ์สูงหรือต่ำ อย่าใช้เคล็ดวิชานี้ประลองกับอีกฝ่ายโดยง่าย เพราะหากอีกฝ่ายมีวรยุทธ์สูงกว่า เราจะถูกอีกฝ่ายควบคุมได้ง่าย กลายเป็นนำภัยมาสู่ตนเอง” 


 


 


“เช่นนั้นยามที่พวกเราประมือกับอีกฝ่ายควรหยั่งเชิงวรยุทธ์ของอีกฝ่ายก่อนใช่หรือไม่” เมิ่งฉีพยักหน้า 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ทางที่ดีควรเป็นเช่นนั้น ทว่า ไม่ว่าจะเป็นศิลปะการต่อสู้หรือศิลปะคว้าจับล้วนเป็นการจู่โจมระยะประชิด หากคิดจะประลองกับยอดฝีมือได้อย่างแท้จริง พวกท่านจักต้องมีประสาทสัมผัสที่ไวและแข็งแกร่งกว่านี้ ถึงจะไม่ถูกอีกฝ่ายควบคุมได้โดยง่าย” 


 


 


เมิ่งเสียนพยักหน้า “รู้แล้ว ต่อไปทุกเช้าพวกเราจะเริ่มการฝึกซ้อมให้หนักขึ้น” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ตอนนี้ ข้าจะสอนศิลปะการคว้าจับให้ทุกคน” 


 


 


พูดจบยังคงให้เมิ่งเสียนเข้ามา สาธิตการคว้าจับในกระบวนท่าต่างๆ บนร่างเขาช้าๆ หนึ่งรอบ 


 


 


พอเมิ่งฉีและเมิ่งอี้เซวียนดูเสร็จ ก็ฝึกซ้อมด้วยกัน เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับพวกเขาจะต้องออกแรงอย่างระวัง ไม่เช่นนั้นข้อต่อจะแตกหักได้ 


 


 


เมิ่งเสียนมองตาเป็นมัน รอจนเมิ่งฉีและเมิ่งอี้เซวียนฝึกซ้อมเสร็จ ขอให้เมิ่งฉีมาฝึกกับเขาอีกรอบ 


 


 


เมิ่งฉีย่อมยินดี ฝึกซ้อมกับเมิ่งเสียนอีกครั้ง เมิ่งเชี่ยนโยวคอยให้คำแนะนำข้างๆ ชี้ข้อผิดพลาดของพวกเขา 


 


 


คนทั้งหมดฝึกซ้อมได้หนึ่งชั่วยาม หน้าผากก็เต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดโต 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “พวกท่านพอจะจับหลักได้แล้ว พวกเรากลับไปพักผ่อนในบ้านก่อน ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องรีบ” 


 


 


คนทั้งหมดต่างก็เหนื่อยแล้ว พยักหน้าเห็นพ้อง เดินกลับเข้าบ้าน 


 


 


เมิ่งชื่อยังไม่กลับมา คนทั้งหมดถกเถียงหัวใจหลักของศิลปะคว้าจับอย่างเมามัน 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินเดินเข้ามาในลานบ้านอย่างเบิกบาน ร้องถามเสียงดัง “น้องสะใภ้รอง อยู่หรือไม่” 


 


 


เมิ่งเสียนรีบเดินออกมา พูดว่า “ป้าใหญ่ แม่ข้าไปนั่งคุยบ้านป้าหวัง ท่านเข้ามารอในบ้านก่อน ข้าจะไปตะโกนเรียกท่านแม่ให้” 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินพยักหน้า เดินเข้าไปในบ้าน เมิ่งเชี่ยนโยวรีบหาเก้าอี้ให้นางนั่ง รินน้ำให้นาง 


 


 


อึดใจเดียวเมิ่งชื่อก็กลับมา พูดกับภรรยาเมิ่งต้าจิน “พี่สะใภ้ใหญ่ มาหาข้ามีเรื่องอันใด” 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินตอบกลับ “มีเรื่อง มีเรื่องดี” 


 


 


เมิ่งชื่อถาม “เรื่องดีอันใด” 


 


 


“วันนี้มีคนมาทาบทามเมิ่งเหริน บอกว่าพรุ่งนี้เมื่อเด็กสาวมาสวัสดีปีใหม่ ให้ไปดูหน้าคาดตากัน” ภรรยาเมิ่งต้าจินตอบ 


 


 


เมิ่งชื่อดีอกดีใจ “อ๊ายหย่า เป็นเรื่องมงคลจริงๆ” จากนั้นก็ถามเป็นพรวน “ใครที่มาพูดทาบทาม เด็กสาวอายุเท่าใดแล้ว หน้าตาเป็นอย่างไร” 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินตอบ “สะใภ้บ้านซุนเพิ่งเข้ามาพูดเมื่อตอนบ่ายวันนี้ บอกว่าเป็นหลานสาวฝ่ายแม่ของนาง ปีนี้อายุสิบหกปี หน้าตาถือว่าใช้ได้ เพียงแต่ไม่รู้หนังสือ” 


 


 


เมิ่งชื่อกล่าว “ให้หน้าตาดี รู้จักงานบ้านงานเรือน กตัญญูต่อผู้อาวุโสก็พอแล้ว ส่วนรู้หนังสือหรือไม่ไม่สำคัญ” 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินพยักหน้า “ข้าถามเหรินเอ๋อร์แล้ว เขาบอกว่าเรื่องคู่ครองให้พวกเราตัดสินใจได้เลย” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจ “พี่ใหญ่ไม่คัดค้าน” 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินพูดขึ้น “คัดค้านอะไร ตั้งแต่อดีตล้วนแต่พ่อแม่ลิขิต แม่สื่อช่วยพูด พวกเราต่างก็ทำกันมาเช่นนี้ อีกอย่าง พี่ใหญ่เจ้าพ้นปีใหม่นี้ก็สิบแปดแล้ว หากยังไม่พูดเรื่องคู่ครอง ก็จะหาภรรยาไม่ได้แล้วจริงๆ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดาะลิ้น 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินพูดอีก “สะใภ้ซุนและพวกเราคุยกันแล้ว หากพวกเราเห็นดี นางจะได้ส่งข่าวไปที่บ้านฝ่ายแม่ ให้พรุ่งนี้หลานสาวเข้ามาสวัสดีปีใหม่ พวกเราจะได้ลอบดูกันและกัน หากรู้สึกว่าเหมาะสม รอนางกลับไปสวัสดีปีใหม่บ้านแม่จะได้ชี้แจงให้คนในครอบครัวรู้ หากรู้สึกว่าไม่เหมาะสม ก็คิดเสียว่าไม่เคยเกิดเรื่องนี้ขึ้น” 


 


เมิ่งชื่อพูดยินดี “เช่นนี้ดี หากเราเห็นแล้วไม่พอใจ จะได้ไม่ทำลายชื่อเสียงของเด็กสาว” 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินพยักหน้า “ข้าก็คิดว่าทำเช่นนี้ดี ถึงได้มาหาเจ้า พรุ่งนี้พวกเราไปดูด้วยกัน” 


 


 


เมิ่งชื่อพยักหน้ารับคำ “ได้ พรุ่งนี้พวกเราแสร้งทำเป็นไปนั่งเล่นบ้านพวกเขากัน” 


 


 


ทั้งสองพูดคุยอย่างออกรสออกชาติอีกครู่หนึ่ง ภรรยาเมิ่งต้าจินถึงจากไปอย่างมีความสุข


ตอนที่ 124 – 3 ปีใหม่

 


 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นกลับมา เมิ่งชื่อบอกเรื่องนี้กับเขา เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ดีใจมาก “หลายปีมานี้ พี่ใหญ่เกียจคร้าน ไม่ทำการทำงาน คนในหมู่บ้านมีแต่หลบลี้หนีห่างเขา ไหนเลยจะมีใครยินดีให้ลูกหลานญาติตัวเองมาเกี่ยวข้องด้วย ส่งผลให้จนถึงตอนนี้เหรินเอ๋อร์ยังไม่มีใครมาพูดทาบทาม ท่านพ่อท่านแม่และพี่สะใภ้ใหญ่ต่างก็กลัดกลุ้ม ตอนนี้ดีแล้ว พี่ใหญ่ปรับปรุงตัว ในที่สุดก็มีคนมาพูดทาบทามแล้ว หากว่าสำเร็จ ท่านพ่อท่านแม่จะถือว่าโล่งใจไปอีกเปราะ” 


 


 


เมิ่งชื่อตอบ “ใช่ เหรินเอ๋อร์เป็นเด็กดี หากไม่เพราะติดที่พี่ใหญ่ ไม่แน่ว่าตอนนี้จะมีลูกแล้ว” 


 


 


เช้าวันถัดมา เมิ่งชื่อกินอาหารเช้าเสร็จแต่เช้า นั่งกระวนกระวายรอภรรยาเมิ่งต้าจินเข้ามาร้องเรียกนางไปดูอีกฝ่าย 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะนาง “ท่านแม่ ไปดูหญิงสาวให้พี่ใหญ่ เหตุใดต้องร้อนรนเช่นนี้” 


 


 


เมิ่งชื่อตอบ “แม่ต้องร้อนรนสิ พี่ใหญ่เจ้าอายุสิบแปดปีแล้ว แม่แทบอยากจะให้เขาแต่งงานเดี๋ยวนี้เลย” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคิดจะกระเซ้าเย้าแหย่นางอีก ภรรยาเมิ่งต้าจินก็เดินเข้ามาในลานบ้าน 


 


 


เมิ่งชื่อรีบเข้าไปต้อนรับ “พี่สะใภ้ใหญ่ เหตุใดถึงเพิ่งมา ข้าร้อนใจจะแย่แล้ว เด็กสาวคนนั้นมาหรือยัง พวกเราจะไปดูกันเมื่อไหร่” 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินหัวเราะตอบ “มาแล้วๆ เมื่อครู่สะใภ้ซุนให้เด็กวิ่งไปส่งข่าวบอกว่าญาติเพิ่งมาถึง ให้พวกเรารออีกประเดี๋ยวค่อยไป ข้าถึงได้รีบมาหาเจ้าอย่างไร” 


 


 


พูดจบ ลูบคลำเสื้อผ้าบนตัว ถามขึ้น “น้องสะใภ้รอง เจ้าว่าเสื้อผ้าที่ข้าใส่มาวันนี้ใช้ได้หรือไม่ จะไม่ทำให้เด็กสาวคนนั้นเกิดความรู้สึกไม่ดีใช่หรือไม่” 


 


 


เมิ่งชื่อพยักหน้า “ชุดที่เจ้าใส่วันนี้ดีมาก มองดูแล้วทั้งอ่อนเยาว์และดูมีอันจะกิน หากเด็กสาวคนนั้นรู้ว่าเจ้าเป็นแม่สามีในอนาคตของนาง จักต้องดีใจยิ่ง” 


 


 


“จริงหรือ” ภรรยาเมิ่งต้าจินถามอย่างดีใจ 


 


 


เมิ่งชื่อพยักหน้า “จริงๆ” พูดจบก็ถามต่อ “พี่สะใภ้ใหญ่ท่านว่าข้าแต่งกายเป็นอย่างไร ไม่ทำให้เหรินเอ๋อร์ขายหน้าใช่หรือไม่” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพรืด “ท่านแม่ เรื่องของท่านป้าใหญ่ยังไม่มีเค้าลางเลย พวกท่านจะรีบตื่นเต้นไปไหน” 


 


 


เมิ่งชื่อตอบนาง “สำหรับแม่และป้าใหญ่ นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก พวกเราจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร” 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินพยักหน้าเห็นพ้อง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลอกกลิ้งแววตา พูดกับภรรยาเมิ่งต้าจินและเมิ่งชื่อ “ท่านป้าใหญ่ ท่านแม่ ไม่อย่างนั้นข้าช่วยไปดูให้พวกท่านก่อน หากข้าเห็นว่าดี พวกท่านก็ไป หากว่าไม่ดี พวกท่านก็ไม่จำเป็นต้องไปอีก เลี่ยงไม่ให้คำพูดไม่ดีเกี่ยวกับหญิงสาวคนนั้นแพร่งพรายออกไป” 


 


 


เมิ่งชื่อพูด “เจ้าจะไปรู้เรื่องอันใด ยังคิดจะไปช่วยดู” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ข้ามองคนเป็นนะ คนดีหรือไม่ดี ข้ามองแวบเดียวก็รู้แล้ว” 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินครุ่นคิด พยักหน้าเห็นด้วย “ก็ดี ให้โยวเอ๋อร์ไปช่วยดูก่อน เช่นนี้พวกเราจะได้เตรียมรับได้ทัน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่คิดว่าภรรยาเมิ่งต้าจินจะเห็นด้วย ดีใจเป็นอย่างยิ่ง หันไปร้องเรียกเมิ่งอี้เซวียน “อี้เซวียน เจ้าไปกับข้า บอกว่าพวกเรามาเล่นกับลูกของสะใภ้ซุน” 


 


 


ลูกของสะใภ้ซุนโตพอๆ กับเขา พูดเช่นนี้ค่อยสมเหตุสมผล ภรรยาเมิ่งต้าจินพยักหน้าพูด “พวกเจ้ารีบไปรีบกลับ ข้ากับแม่เจ้ายังรออยู่ที่บ้าน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า มุ่งหน้าตรงไปบ้านซุน 


 


 


สะใภ้ซุนให้ลูกมาส่งข่าว ให้ภรรยาเมิ่งต้าจินเข้าไปช้าหน่อย เพราะอยากให้หลานสาวตัวเองได้เตรียมเนื้อเตรียมตัว อยากสร้างภาพประทับใจให้นาง 


 


 


หลานสาวฝ่ายบ้านแม่นางไม่รู้ ยังแคลงใจว่า ปีก่อนๆ เวลามาสวัสดีปีใหม่บ้านท่านน้าไม่เห็นจะต้องมาแต่งหน้าแต่งตัวเช่นนี้ 


 


 


สะใภ้ซุนเพิ่งจะให้หลานสาวตัวเองล้างหน้าหวีผมเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนก็เดินเข้ามาในลานบ้านพวกเขา ร้องตะโกนเรียก “มีคนอยู่บ้านหรือไม่” 


 


 


สะใภ้ซุนเดินออกมาจากบ้าน เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็สะดุ้งตกใจ รีบร้อนพูดขึ้น “นายหญิง มาได้อย่างไร เข้ามานั่งในบ้านก่อน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตาหยีตอบกลับ “น้องชายข้าต้องการมาเล่นกับกังจื่อบ้านท่าน ข้าจึงพาเขามา” พูดจบแอบขยิบตาให้สะใภ้ซุน 


 


 


สะใภ้ซุนนิ่งอึ้ง พลันได้สติกลับมา รีบร้องเรียก “กังจื่อ รีบออกมาเร็ว อี้เซวียนมาเล่นกับเจ้า” 


 


 


กังจื่อส่งเสียงตอบรับ ดึงเมิ่งอี้เซวียนเข้าไปเล่นในบ้านอย่างชื่นบาน 


 


 


สะใภ้ซุนพูดขึ้น “พวกเขาคงจะเล่นกันสักพักหนึ่ง เจ้าเข้าไปนั่งในบ้านก่อนเถอะ พอดีวันนี้หลานสาวฝ่ายแม่ข้ามาสวัสดีปีใหม่ ให้นางอยู่คุยเป็นเพื่อนเจ้า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า เดินตามสะใภ้ซุนเข้าไปในบ้าน 


 


 


หลานสาวฝ่ายแม่ของสะใภ้ซุนเห็นมีคนเข้ามา ก็ลุกขึ้นยืน 


 


 


สะใภ้ซุนกล่าวแนะนำ “อิงจื่อ นี่คือนายหญิงที่เวลาพวกเรากลับไปบ้านมักจะเอ่ยถึงบ่อยๆ วันนี้นางพาน้องชายมาเล่นพอดี เจ้าช่วยต้อนรับหน่อยเถิด” พูดจบก็หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “นายหญิง นี่คือหลานสาวฝ่ายแม่ของข้า อิงจื่อ พวกเจ้าคุยกันก่อน ข้าจะไปทำอาหาร” 


 


 


ทั้งสองพยักหน้า สะใภ้ซุนเดินออกไปนอกบ้าน หันกลับมามองอย่างเป็นห่วงแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าอิงจื่อจะถูกตาต้องใจหรือไม่ 


 


 


รอจนสะใภ้ซุนไปแล้ว อิงจื่อก็พูดอย่างกระตือรือร้น “เจ้าก็คือนายหญิงของท่านน้าข้า มักจะได้ยินท่านน้าเอ่ยถึงเจ้า บอกว่าเจ้าอายุยังน้อยก็เก่งกล้าสามารถ ข้าสงสัยมากว่าเจ้าจะเป็นคนอย่างไร อยากเห็นเจ้ามานานแล้ว ไม่คิดว่าวันนี้จะบังเอิญได้เจอเจ้าจริงๆ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวประเมินอิงจื่อเล็กน้อย เห็นนางเพียงถักผมเปียสีดำขลับสองข้าง แต่งกายด้วยผ้าเนื้อหยาบชุดใหม่ ดูมีความกระตือรือร้นทำงานคล่องแคล่ว ลอบพยักหน้าพอใจ พูดด้วยรอยยิ้ม “ครานี้ได้เห็นแล้ว ข้าก็เหมือนกับเจ้า มีสองดวงตาหนึ่งปาก ไม่มีอะไรมากไปกว่าเจ้า” 


 


 


อิงจื่อหัวเราะร่วน ลักยิ้มบนใบหน้ายิ่งทำให้น่าหลงใหล 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยถาม “บ้านพวกเจ้าห่างจากที่นี่ไกลหรือไม่ เจ้ามาที่นี่อย่างไร” 


 


 


อิงจื่อตอบอย่างเปิดเผย “บ้านพวกเราอยู่ห่างจากที่นี่สิบกว่าลี้ ข้าเดินเท้ามา” 


 


 


“เช่นนั้นเจ้าเหนื่อยหรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม 


 


 


อิงจื่อส่ายหน้า “ระยะทางมากกว่านี้ข้าก็เดินมาแล้ว ระยะทางเท่านี้ไม่เป็นอะไรเลย” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามอีก “เช่นนั้นเจ้ามาคนเดียวหรือ” 


 


 


อิงจื่อพยักหน้า “น้องชายและน้องสาวยังเล็ก ท่านพ่อท่านแม่กลัวพวกเขาเหนื่อย จึงไม่ได้ให้พวกเขามา” 


 


 


“เจ้าเป็นพี่สาวคนโตของบ้าน” เมิ่งเชี่ยนโยวถามต่อ 


 


 


อิงจื่อพยักหน้าอีกเล็กน้อย “อือ ข้ายังมีน้องชายสองคนและน้องสาวอีกหนึ่งคน” พูดจบถามเมิ่งเชี่ยนโยว “เจ้าล่ะ เจ้าเป็นคนที่เท่าไหร่ของบ้าน มีพี่น้องหรือไม่” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแย้มยิ้มตอบ “ข้ามีพี่ชายสองคน และน้องชายสองคน ข้าอยู่ตรงกลางพอดี” 


 


 


อิงจื่อพูดอิจฉา “เป็นเจ้าดีนัก ในบ้านมีเจ้าเป็นผู้หญิงคนเดียว พวกเขาจะต้องทะนุถนอมเจ้ายิ่งนัก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า 


 


 


อิงจื่อพูดต่อ “ข้าก็รักน้องชายน้องสาวข้ามาก โดยเฉพาะน้องชาย ตอนที่ท่านแม่คลอดเขาได้รับบาดเจ็บ สุขภาพไม่ค่อยดี ข้าเป็นคนเลี้ยงดูเขาจนโตแทบจะทั้งหมด” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย่นหัวคิ้ว “ท่านแม่เจ้าสุขภาพไม่ค่อยดี รุนแรงหรือไม่” 


 


 


อิงจื่อตอบ “ไม่รุนแรงมาก เพียงแค่ทำงานหนักมากไม่ได้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโล่งใจ ถามต่อ “เจ้าน่าจะอายุมากกว่าข้าสองสามปี เจ้ามีแม่สามีหรือยัง” 


 


 


อิงจื่อหน้าแดง ส่ายหน้า ไม่พูดอะไร 


 


 


“เพราะเหตุใด ข้าเห็นเจ้าเป็นคนร่าเริงเปิดเผย หน้าตาก็น่าพิศ และจะต้องทำงานเก่ง เหตุใดถึงไม่มีแม่สามี” 


 


 


อิงจื่อตอบเสียงเบา “ข้าเป็นลูกคนโตของครอบครัว ท่านแม่สุขภาพไม่ค่อยดี ครอบครัวปกติทั่วไปกลัวแต่งข้าเข้าไปจะเป็นภาระให้พวกเขา ส่วนครอบครัวที่ไม่ดีพ่อแม่ข้ากลัวข้าแต่งไปแล้วจะลำบาก จึงยืดเยื้อมาถึงตอนนี้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเข้าใจแจ่มแจ้ง พูดขึ้น “ไม่ต้องใจร้อน เจ้าเป็นหญิงสาวที่ดีเช่นนี้จะต้องมีคนดียินดีแต่งกับเจ้า” 


 


 


อิงจื่อหน้าแดงกว่าเดิม พูดเสียงแผ่ว “ข้าไม่รีบ เพียงแต่ท่านพ่อท่านแม่กลัวข้าโตกว่านี้จะไม่ได้เจอคนดีๆ คอยเที่ยวสืบข่าว หาบ้านสามีให้ข้า” 


 


 


ทั้งสองคุยกันอีกครู่หนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลุกขึ้นพูด “ข้ามานานแล้ว ควรพาน้องชายกลับได้แล้ว ภายหน้าเจ้ามีเวลา มานั่งเล่นบ้านข้าได้” 


 


 


อิงจื่อรับคำอย่างยินดี ออกไปส่งนางด้วยมิตรไมตรี 


 


 


สะใภ้ซุนที่อยู่ในครัวเอาแต่ชะเง้อชะแง้มองไม่หยุด เห็นอิงจื่อออกมาส่งเมิ่งเชี่ยนโยว ก็รีบเดินออกมา พูดขึ้น “นายหญิง เจ้าจะไปแล้ว ข้าไปส่ง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ร้องตะโกนเรียกไปทางห้องกังจื่อ “อี้เซวียน พวกเรากลับบ้านได้แล้ว” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนรับคำเดินออกมา 


 


 


อิงจื่อร้องอุทาน “เขาคือน้องชายของเจ้าหรือ หน้าตางดงามนัก” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนชักสีหน้า 


 


 


สะใภ้ซุนรีบพูดกับอิงจื่อ “อิงจื่อ เจ้าเข้าไปช่วยทำอาหารในครัว ข้าจะไปส่งนายหญิง ประเดี๋ยวกลับ” 


 


 


อิงจื่อพยักหน้า บอกลาเมิ่งเชี่ยนโยว หันหลังเดินเข้าครัว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่งหน้าเดินออกไปพร้อมสะใภ้ซุนพร้อมกับพูดขึ้น “หลานสาวท่านคนนี้ไม่เลว อีกประเดี๋ยวข้าจะให้ท่านป้าใหญ่และท่านแม่ข้ามา พวกเขาจะต้องถูกใจ” 


 


 


สะใภ้ซุนยินดีปรีดา พูดขอบคุณเป็นพัลวัน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแย้มยิ้มโบกมือ เดินกลับบ้านไปพร้อมกับเมิ่งอี้เซวียน 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินและเมิ่งชื่อกำลังรออย่างกระสับกระส่ายอยู่ที่บ้าน เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมา เมิ่งชื่อรีบร้อนถาม “โยวเอ๋อร์ เด็กสาวคนนั้นหน้าตาน่าพิศหรือไม่ ลักษณะนิสัยเป็นอย่างไร” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะตอบ “หน้าตาน่าพิศยิ่ง มีดวงตากลมโตระยิบระยับหนึ่งคู่ กับลักยิ้มงดงามหนึ่งคู่ ยามแย้มยิ้มยิ่งน่าหลงใหลเป็นพิเศษ เพียงแต่ดำคล้ำไปเสียหน่อย คงเพราะปกติต้องลงนาทำงานหนัก” 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินวางใจลง พูดอย่างไม่ใส่ใจ “คนชนบททำงานทั้งปี มีใครไม่ดำบ้าง นี่ไม่ใช่ข้อบกพร่อง” 


 


 


เมิ่งชื่อก็พยักหน้าเห็นด้วย 


 


 


ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดดีเช่นนี้ ภรรยาเมิ่งต้าจินนั่งไม่ติดแล้ว ลนลานลุกขึ้นยืน พูดขึ้น “น้องสะใภ้รอง พวกเราสองคนรีบไปดูเถอะ” 


 


 


เมิ่งชื่อพยักหน้า ทั้งสองสาวเท้าออกไปด้านนอก ท่าทีร้อนรนนั้น ราวกับว่าหากไปช้าเพียงก้าวเดียวเด็กสาวคนนั้นจะถูกคนอื่นแย่งไป 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนกลับเข้าห้องอย่างไม่สบอารมณ์ เมิ่งเสียนเห็นท่าทางเขา เอ่ยปากถาม “อี้เซวียน เป็นอะไร” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้าตอบ “พี่ใหญ่ ไม่เป็นอันใด” พูดจบก็ทิ้งตัวนอนบนเตียงเตา เหม่อมองหลังคาอย่างเลื่อนลอย 


 


 


เมิ่งเสียนไม่ถามอีก เพียงแค่มองเขาอย่างประหลาดใจอีกแวบหนึ่ง 


 


 


ไม่กี่อึดใจต่อมาเมิ่งชื่อก็กลับมาอย่างมีความสุข พ้นประตูเข้ามาก็พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้าพูดไม่ผิดเลย อิงจื่อเป็นเด็กสาวที่ดีมากจริงๆ ข้ากับป้าใหญ่เจ้าพอใจเป็นอย่างมาก รอตอนบ่ายให้อิงจื่อกลับไปก่อน พวกเราจะเรียกสะใภ้ซุนเข้ามาหารือเรื่องหมั้นหมาย” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างประหลาดใจ “ไม่รอให้พี่ใหญ่ได้พบหน้าก่อนหรือ” 


 


 


เมิ่งชื่อตอบ “เจ้าลูกโง่ ยังไม่หมั้นหมาย หญิงชายสองฝ่ายจะพบหน้ากันก่อนได้อย่างไร ขอเพียงพ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายเห็นชอบ เลือกวันหมั้นหมายให้ก็พอ” 


 


 


“พ่อแม่ของอิงจื่อยังไม่รู้ไม่ใช่หรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด 


 


 


เมิ่งชื่อตอบนาง “สะใภ้ซุนเป็นน้าของนาง พ่อแม่ของอิงจื่อพูดไว้แต่แรกแล้วให้นางเป็นคนตัดสินใจ รอพวกเราหารือเรื่องวันเสร็จ นางกลับไปพูดก็ได้แล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไร้คำพูดอย่างสิ้นเชิง 


 


 


พอภรรยาเมิ่งต้าจินกลับมาถึงบ้าน ก็บอกกับคนทั้งบ้านว่าตนเองพอใจอิงจื่อ เตรียมจะเลือกวันให้เมิ่งเหรินและนางได้หมั้นหมายกันไว้ก่อน ทั้งครอบครัวต่างยินดีปรีดา เมิ่งจงจวี่พลิกปฏิทินหวงลี่[1] ตรวจหาวัน กล่าวว่าวันที่สิบเป็นวันดี ให้เลือกเป็นวันหมั้นหมายได้ 


 


 


หลังจากสะใภ้ซุนมาถึง ภรรยาเมิ่งต้าจินก็บอกเรื่องวันกับนาง ตอนที่นางกลับไปสวัสดีปีใหม่บ้านฝ่ายแม่ให้นางลองถามพี่ชายพี่สะใภ้ดู ว่าวันนี้ได้หรือไม่ 


 


 


สะใภ้ซุนรับปากเต็มปากเต็มคำ บอกว่าพรุ่งนี้ตนเองจะกลับบ้านแม่ นำข่าวดีนี้ไปบอกพี่ชายพี่สะใภ้และพ่อแม่ 


 


 


เมิ่งชื่อไปบ้านใหญ่กลับมา มีความสุขจนปากหุบไม่ลง รอคอยให้พรุ่งนี้มาถึงโดยไว 


 


 


วันรุ่งขึ้น หลังจากสะใภ้ซุนไปเยี่ยมบ้านแม่กลับมา ก็ไปบ้านใหญ่สกุลเมิ่ง บอกพวกเขา พ่อแม่และพี่ชายพี่สะใภ้นางเห็นดีด้วย ให้พวกเขาเตรียมของหมั้นหมายให้พร้อม วันที่สิบนางพาคนไปก็ได้แล้ว 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินและเมิ่งชื่อถามอย่างละเอียดว่าบ้านฝั่งแม่ของสะใภ้ซุนหมั้นหมายมีประเพณีแบบไหน 


 


 


สะใภ้ซุนหัวเราะเอื้อนเอ่ย 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินพอได้ฟังว่าใกล้เคียงกับทางฝั่งตนเอง ก็วางใจลง ให้เมิ่งชื่อช่วยนางจัดเตรียมของหมั้นหมาย 


 


 


เมิ่งชื่อยิ้มพูด “พี่สะใภ้ใหญ่ วันนี้เพิ่งจะวันที่สาม รอให้พวกเรากลับไปสวัสดีปีใหม่บ้านแม่กลับมาจัดเตรียมก็ยังไม่สาย” 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินตีหน้าผากตนเอง หัวเราะพูด “ข้าดีใจจนเลอะเลือนไปหมดแล้ว พวกเรากลับไปสวัสดีปีใหม่บ้านแม่ก่อน ค่อยกลับมาจัดเตรียม” 


 


 


 


 


 


[1] ปฏิสวัสดีปีใหม่หวงลี่(黄历) ปฏิสวัสดีปีใหม่ที่คำนวนโดยระบบจันทระคติแบบจีน บอกวันและดิถีมงคลเสร็จสรรพ 


ตอนที่ 125 – 1 ยายรองชั้นเลิศ

 


 


 


 


หลังวันปีใหม่วันที่สี่ เป็นวันที่บุตรสาวทุกคนที่แต่งงานออกไปจะกลับไปสวัสดีปีใหม่บ้านแม่ 


 


 


หลังกินอาหารเช้า เมิ่งชื่อก็เริ่มเก็บของที่จะนำกลับบ้าน มีขนม ผ้าแพรพรรณ น้ำมันพริก น้ำมันพริกป่นรวมถึงปิ่นปักผมที่ซื้อให้แม่ตนเองและสะใภ้ทั้งสองคน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทางมีความสุขหยิบจับสิ่งของไม่หยุดของนาง พูดสัพยอกว่า “ท่านแม่ ท่านหยิบจนบ้านเราจะเตียนโล่งแล้ว” 


 


 


เมิ่งชื่อหัวเราะ “แม่แทบอยากจะเอาไปให้หมดทั้งบ้านนัก หลายปีมานี้ ทุกปีเวลาแม่กลับไปสวัสดีปีใหม่ท่านยาย เกือบเรียกได้ว่ากลับไปมือเปล่า ไม่รู้ว่าเป็นที่ขบขันของคนในหมู่บ้านมากี่ครั้งแล้ว ยังดีว่าป้าทั้งสองของลูกไม่ถือสา ไม่เช่นนั้น คงตัดขาดกับพวกเราไปนานแล้ว ปีนี้ดีแล้ว ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ กลับบ้านเหมือนขโมยอีก แม่จะนั่งรถม้าคันโต นำสิ่งของพะเรอเกวียนนี้กลับบ้านแม่ ให้ท่านตาท่านยาได้เชิดหน้าชูตาเสียที” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ 


 


 


หลังจากเมิ่งชื่อเก็บข้าวของเสร็จ เร่งเร้าให้ทั้งครอบครัวเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่อีกชุดหนึ่ง ส่วนตนเองประดับปิ่นปักผมใส่ต่างหูและกำไล ให้เมิ่งเอ้ออิ๋นรีบบังคับรถม้าไปสวัสดีปีใหม่หมู่บ้านหลี่ 


 


 


สวัสดีปีใหม่ปีนี้ ในที่สุดก็มีของขวัญปีใหม่มาให้บ้านแม่ยายแล้ว เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ดีใจเป็นยิ่งนัก ได้ยินเสียงสั่งของเมิ่งชื่อ รีบเข้าไปในลานบ้านบังคับรถม้าออกมา นำสิ่งของทั้งหมดขึ้นวางบนรถม้า ให้คนทั้งครอบครัวนั่งให้ดี บังคับรถม้ามุ่งหน้าไปหมู่บ้านหลี่อย่างสง่างาม 


 


 


ภรรยาจางจู้และภรรยาจางเกินตั้งใจเลื่อนออกไปหนึ่งวัน ไม่กลับบ้านแม่ไปสวัสดีปีใหม่ เพื่อรอเมิ่งเอ้ออิ๋นและภรรยาพาเด็กๆ กลับมาสวัสดีปีใหม่ที่บ้าน 


 


 


แม่ของจางจู้ เตรียมตัวแต่เช้าตรู่ รออยู่พักใหญ่ก็ยังไม่เห็นครอบครัวบุตรสาวมา รบเร้าให้จางจู้ออกไปดูหน้าหมู่บ้าน 


 


 


จางจู้รับคำ มาที่หน้าหมู่บ้าน 


 


 


คนในหมู่บ้านออกไปสวัสดีปีใหม่เห็นเขา เข้ามาทักทาย “จางจู้ เจ้ามายืนทำอะไรที่หน้าหมู่บ้านแต่เช้า” 


 


 


จางจู้ตอบ “วันนี้ครอบครัวน้องสาวข้าจะกลับมาสวัสดีปีใหม่ ท่านแม่ให้ข้ามารอต้อนรับหน้าหมู่บ้าน” 


 


 


คนในหมู่บ้านได้ยินเขาพูดเช่นนี้ หยุดชะงักฝีเท้า ไม่รู้ว่าหันไปพูดสิ่งใดกับคนในครอบครัว คนในครอบครัวพยักหน้า คนผู้นั้นย้อนกลับไปบ้านอีกครั้ง 


 


 


จางจู้ฉงน แต่ก็ไม่ได้ถามมาก 


 


 


ตอนที่เมิ่งเอ้ออิ๋นบังคับรถม้ามาถึงหน้าหมู่บ้าน จางจู้มารอได้ครู่ใหญ่แล้ว เห็นรถม้าเข้ามา รีบเข้าไปทักทาย “น้องเขย พวกเจ้ามาแล้ว” 


 


 


เมิ่งชื่อได้ยินเสียงจางจู้ เปิดผ้าม่านรถ เห็นจางจู้ยืนอยู่หน้าหมู่บ้าน พูดอย่างปวดใจ “พี่ใหญ่ รอนานเท่าใดแล้ว หนาวแย่แล้วใช่หรือไม่ รีบเข้ามาในรถม้าเถอะ” 


 


 


จางจู้โบกมือ “ข้าเองก็เพิ่งมาถึงหน้าหมู่บ้าน ไม่หนาวหรอก พวกเจ้ารีบปิดผ้าม่านรถ ข้าเดินตามรถม้าไม่กี่ก้าวก็ถึงบ้านแล้ว” 


 


 


เห็นเขาไม่ยอม เมิ่งเอ้ออิ๋นจึงกระโดดลงจากรถม้า เดินไปที่บ้านพร้อมเขา ระหว่างทางเจอคนเข้ามาทักทายไม่ขาดสาย 


 


 


แม่จางจู้อยู่ในลานบ้านคอยยืนชะเง้อมองออกไปนอกถนน เห็นรถม้าเข้ามาไกลๆ ดีใจก้าวพ้นประตูใหญ่ออกมา 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นเห็นนาง พลันร้องเรียก “ท่านแม่ยาย พวกเรามาสวัสดีปีใหม่แล้ว” 


 


 


เมิ่งชื่อได้ยินเสียงเมิ่งเอ้ออิ๋น รู้ว่าแม่ตนเองออกมาต้อนรับพวกเขาทั้งครอบครัว รีบร้อนเปิดผ้าม่านออก กระโดดลงจากรถม้า เดินไปตรงหน้ามารดาตน พูดอย่างดีอกดีใจ “ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว” 


 


 


แม่จางจู้ก็ดีใจมาก จับมือบุตรสาวแน่นไม่ยอมปล่อย 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นจอดรถม้า เมิ่งเสียนและน้องๆ ลงจากรถม้า ส่งเสียงเรียกพร้อมกัน “ท่านยาย สวัส…ดี…ปี…ใหม่” 


 


 


แม่จางจู้รับคำอย่างยินดี ถามขึ้น “หนาวหรือไม่ รีบเข้ามาในบ้านก่อน ยายเตรียมของอร่อยไว้ให้พวกเจ้าด้วย” 


 


 


คนทั้งหมดส่ายหน้าตอบ “ไม่หนาว” 


 


 


ภรรยาจางจู้และภรรยาจางเกินกำลังเตรียมอาหารกลางวันอยู่ในเรือนครัว ได้ยินเสียงก็รีบออกมาต้อนรับที่หน้าประตู พูดอย่างเป็นกันเอง “น้องสาว น้องเขยพวกเจ้ามาแล้ว” 


 


 


จางเชาพาน้องๆ วิ่งออกมา เข้าไปพูดคุยกับพวกเมิ่งเสียนอย่างดีอกดีใจ และพาคนทั้งหมดเข้าไปในห้องตัวเอง 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นผูกรถม้าเสร็จ หันไปพูดกับจางจู้ “พี่ใหญ่ ท่านช่วยข้าถือของหน่อย” 


 


 


จางจู้เดินขึ้นหน้า เมิ่งเอ้ออิ๋นนำสิ่งของบนรถม้าออกมา 


 


 


ภรรยาจางจู้ร้องอุทาน “น้องเขย เจ้าเอาอะไรมามากมาย เช่นนี้คงใช้จ่ายเงินไปไม่น้อย” 


 


 


เมิ่งชื่อหัวเราะ “พี่สะใภ้ใหญ่ ไม่ได้ใช้จ่ายเงิน บางส่วนเป็นของที่ผลิตได้จากโรงงานของเรา ยังมีบางส่วนคุณชายจูและคุณชายเซี่ยส่งมาให้เป็นของขวัญปีใหม่ ข้าจึงแบ่งมาที่นี่บ้าง” 


 


 


ภรรยาจางจู้ยังไม่ทันพูด เสียงจากผู้หญิงด้านข้างก็ดังขึ้น “แหม หลานเอ๋อร์กลับมาสวัสดีปีใหม่บ้านแม่แล้ว ได้ยินว่าตอนนี้ครอบครัวเจ้าร่ำรวย ไม่รู้ว่าปีนี้นำสิ่งของมาให้บ้านแม่มากแค่ไหน” 


 


 


เมิ่งชื่อใบหน้าแข็งค้าง จากนั้นร้องเรียกด้วยรอยยิ้ม “อาสะใภ้รอง สวัสดีปีใหม่” 


 


 


หญิงนางนั้นโบกมือ “บ้านข้าเงินก็ไม่มี ของก็ไม่มี จะมาสวัสดีอะไรกัน” 


 


 


เมิ่งชื่อไม่กล้าเสวนาด้วยต่อ 


 


 


หญิงนางนั้นเดินขึ้นหน้า เห็นสิ่งของบนรถม้า ถลึงตาโต “คุณพระคุณเจ้า หลานเอ๋อร์ เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เจ้านำมาหรือ ดีเกินไปแล้ว” พูดจบ ยื่นมือไปลูบผ้าแพรพรรณ แล้วพูดต่อ “ดูผ้าพับนี้สิ แวววาวยิ่งนัก อาสะใภ้รองเกิดมาค่อนชีวิตแล้ว ยังไม่เคยเห็นผ้าเนื้อดีเช่นนี้” 


 


 


ภรรยาจางจู้ส่งสายตาให้ภรรยาจางเกิน ทั้งสองรีบเดินขึ้นหน้า อุ้มผ้าพับนั้นขึ้น หันไปพูดกับจางจู้ “มัวยืนบื้ออะไร ยังไม่รีบขนย้ายข้าวของเข้าบ้าน พวกน้องสาวเดินทางมาไกล จะต้องหนาวแย่แล้ว ยังไม่รีบพาเข้าบ้านไปดื่มน้ำร้อนอบอุ่นร่างกาย” 


 


 


จางจู้ได้สติคืนกลับมา รีบอุ้มน้ำมันพริกสองขวด หันไปพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋นอย่างเป็นกันเอง “น้องเขย รีบเข้าบ้าน ดื่มน้ำร้อนอบอุ่นร่างกาย” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า หอบสิ่งของที่เหลือเดินเข้ามาในลานบ้าน แม่จางจู้และเมิ่งชื่อก็เดินตามเข้ามา 


 


 


หญิงนางนั้นเห็นว่าไม่มีใครแยแสตนเอง ต่างเดินเข้าไปในลานบ้าน เบะปากคิดจะเดินตามเข้ามา นัยน์ตาพลันกลิ้งกลอก ไม่รู้คิดอะไรได้ หันหลังรีบเร่งเดินกลับไปที่บ้านตัวเอง 


 


 


พ่อจางจู้เห็นครอบครัวบุตรสาวเข้ามา ก็ดีอกดีใจ ให้จางจู้เทน้ำชา ส่วนเขาชวนคุยสัพเพเหระ 


 


 


ภรรยาจางจู้และภรรยาจางเกินวางของเสร็จเข้ามาทักทายเมิ่งชื่อ จากนั้นก็ไปทำกับข้าวในครัว 


 


 


เมิ่งชื่อพูดขึ้น “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รอง พวกท่านอย่าเพิ่งรีบไปทำกับข้าว ข้าซื้อของขวัญปีใหม่มาให้ท่านแม่และพวกท่านด้วย” 


 


 


ภรรยาจางจู้ร้องอุทาน “เหตุใดยังต้องซื้อของขวัญให้พวกเราอีก พวกเรารับไม่ได้” 


 


 


เมิ่งชื่อยิ้มแก้มปรินำกล่องสามใบที่พกติดตัวไว้ออกมา วางใส่มือแต่ละคนพูดว่า “พวกท่านเปิดดูเถิดว่าชอบหรือไม่” 


 


 


คนทั้งหมดเปิดกล่องออก ร้องอุทานพร้อมกัน “ช่างเป็นปิ่นปักผมที่งดงามนัก” 


 


 


เมิ่งชื่อแย้มยิ้มพูด “ก่อนปีใหม่พวกเราเข้าไปซื้อของในเมือง โยวเอ๋อร์เป็นคนซื้อให้พวกท่าน ลองประดับดูว่าสวยหรือไม่” 


 


 


ภรรยาจางจู้ปิดฝากล่อง คิดจะคืนปิ่นปักผมให้เมิ่งชื่อ พูดขึ้น “ปิ่นปักผมนี้แพงเกินไป พวกเรารับไว้ไม่ได้” 


 


 


เมิ่งชื่อยิ้มแล้วผลักกลับไป พูดว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ ไม่ได้ใช้เงินมาก นี่เป็นน้ำใจของโยวเอ๋อร์ พวกท่านรับไว้เถอะ” 


 


 


“นี่…” ภรรยาจางจู้ลังเลมองไปที่แม่จางจู้ 


 


 


แม่จางจู้กำลังหยิบปิ่นปักผมมาดู ชื่นชอบจนวางไม่ลง เมิ่งชื่อเห็นดังนั้น หันไปพูดกับแม่ตนเอง “ท่านแม่ ข้าประดับศีรษะให้ ให้พี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้รองดูว่าสวยหรือไม่” 


 


 


แม่จางจู้ยื่นปิ่นปักผมให้เมิ่งชื่ออย่างยินดี เมิ่งชื่อรับมา เสียบไปบนผมนางอย่างประณีตบรรจง  


 


 


“ท่านแม่ ท่านประดับปิ่นปักผมนี้งดงามยิ่งนัก” ภรรยาจางจู้ชื่นชม 


 


 


หญิงชราจางใช้มือลูบคลำปิ่นปักผมบนศีรษะ ดีใจจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ 


 


 


เมิ่งชื่อหันไปพูดกับภรรยาจางจู้และภรรยาจางเกิน “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รองพวกท่านก็รีบประดับดูเถิด ให้ท่านแม่ดูว่างดงามหรือไม่” 


 


 


ภรรยาจางจู้ยังคงลังเล จางจู้เอ่ยปากว่า “โยวเอ๋อร์ซื้อให้เจ้า เจ้าก็ลองเสียบผมดูเถอะ” 


 


 


ภรรยาจางจู้ถึงหยิบปิ่นปักผมออกมาจากกล่อง ให้เมิ่งชื่อช่วยเสียบให้ 


 


 


แม่จางจู้พยักหน้า “โยวเอ๋อร์สายตาไม่เลว เจ้าประดับแล้วก็น่าพิศมาก” 


 


 


เมิ่งชื่อช่วยประดับให้ภรรยาจางเกินด้วยเช่นกัน หญิงชราจางกล่าวชื่นชมอีกครั้ง 


 


 


ทั้งสองยินดีปรีดา 


 


 


ผลัดกันชมผลัดกันรับ ภรรยาจางจู้และภรรยาจางเกินถึงไปทำอาหารในครัว 


 


 


เมิ่งชื่อคิดจะไปช่วย หญิงชราจางไม่ยินยอม คว้ามือนางแน่นไม่ยอมปล่อย 


 


 


เมิ่งชื่อหัวเราะพูด “ท่านแม่ ข้าไปช่วยพี่สะใภ้ใหญ่พี่สะใภ้รองทำอาหาร พอกินอาหารเที่ยงเสร็จ พวกเราค่อยมานั่งพูดคุยกัน วันนี้ไม่มีธุระอื่น พวกเราไม่รีบกลับ” 


 


 


หญิงชราเมิ่งยังคงไม่ปล่อยมือ “หลานเอ๋อร์ เมื่อก่อนบ้านเจ้ายากจน ตลอดทั้งปีเจ้าไม่ได้กลับบ้านเลย แม่คอยพะวงถึงเจ้าอยู่เสมอ แต่ตอนนี้บ้านเจ้ารวยแล้ว เหตุใดเจ้าถึงไม่กลับมาหาแม่บ่อยๆ” 


 


 


เมิ่งชื่ออธิบาย “ท่านแม่ พี่ใหญ่กลับมาไม่ได้บอกท่านหรือ บ้านข้าเปิดโรงงานสองสามแห่ง รับสมัครคนงานไม่น้อย ข้าต้องช่วยทำอาหารกลางวันให้พวกเขา ไม่มีเวลาปลีกตัวมาเลย อีกอย่างพวกพี่ใหญ่ก็ไปทำงานทุกวัน หากมีเรื่องอะไรพวกเขาจะมาบอกท่านเอง ท่านไม่ต้องคอยเป็นห่วงข้า ตอนนี้ลูกสาวคนนี้มีชีวิตสุขสบายดี” 


 


 


แม่จางจู้พูด “แม่จะไม่เป็นพะวงเจ้าได้อย่างไร แม่อยากให้เจ้าอยู่ข้างกายแม่ทุกวันไม่จากไปไหน” 


 


 


เมิ่งชื่อหัวเราะ “ท่านแม่ พ้นปีใหม่ไป อากาศอบอุ่นขึ้น ข้าจะรับท่านไปอยู่ที่บ้านข้าช่วงระยะหนึ่ง ถึงตอนนั้นข้าจะอยู่ข้างกายท่านทุกวัน ไม่ไปไหนทั้งนั้น” 


 


 


แม่จางจู้ยิ้มพูด “ดีเหลือเกิน” 


 


 


สองแม่ลูกกำลังคุยอย่างออกรส พลันมีเสียงคนตะโกนจากลานด้านนอก “พี่จางจู้อยู่หรือไม่” 


 


 


จางจู้เดินออกมา เห็นเป็นคนที่ไปทำงานในหมู่บ้านเดียวกัน ก็ถามขึ้น “เซิงจื่อ มีเรื่องอันใด” 


 


 


เซิงจื่อแกว่งไก่ในมือไปมาพูดขึ้น “ข้าได้ยินว่าวันนี้นายหญิงมาสวัสดีปีใหม่ ข้าเลยฆ่าไก่ในบ้านหนึ่งตัว เอามาให้พวกเจ้า ทำเป็นอาหารกลางวันให้นายหญิง” 


 


 


จางจู้รีบร้อนโบกมือ “เซิงจื่อ ไม่ได้เด็ดขาด อาหารที่จะกินวันนี้พวกเราเตรียมไว้หมดแล้ว เจ้านำไก่ตัวนี้กลับไปเถอะ” 


 


 


เซิงจื่อไม่ยอม ดึงดั้งจะวางไก่ใส่มือจางจู้ “พี่จางจู้ ตอนปีใหม่นายหญิงให้ของดีพวกเราตั้งเยอะ ไก่ตัวเดียวไม่เป็นอะไรเลย ท่านรับไปเถอะ” 


 


 


จางจู้คิดจะปฏิเสธ คนงานอีกคนก็ถือสิ่งของเดินเข้ามา พูดแบบเดียวกัน “พี่จางจู้ ข้าได้ยินว่าวันนี้นายหญิงมาสวัสดีปีใหม่ ข้าแบ่งไข่ไก่ส่วนหนึ่งมา สำหรับทำอาหาร ไม่ใช่ของดีอะไร ขอนางอย่าได้รังเกียจ” 


 


 


จางจู้ไม่รับท่าเดียว ตอนที่กำลังยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่นั้น ก็มีคนอีกจำนวนหนึ่งเข้ามา ในมือถือสิ่งของเดินเข้ามาเช่นเดียวกัน มีทั้งไก่ เป็ด เนื้อหมู ยังมีผักสด ไข่ไก่ ไข่เป็ด ต่างบอกให้เขารับไว้ 


 


 


จางจู้ไม่รู้ควรทำอย่างไร รีบร้องตะโกนเข้ามาในบ้าน “โยวเอ๋อร์ เจ้ารีบออกมา มีชาวบ้านนำสิ่งของมาให้เจ้า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกับพวกจางเชากำลังคุยกันออกรส ได้ยินเสียงตะโกนของจางจู้ ลุกขึ้นเดินออกมา 


 


 


คนทั้งหมดเห็นนาง ทยอยกันกล่าว “นายหญิง สวัสดีปีใหม่” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแย้มยิ้มตอบรับ “ทุกคน สวัสดีปีใหม่” 


 


 


จางจู้ชี้สิ่งของในมือพวกเขาพูดว่า “โยวเอ๋อร์ ทุกคนบอกว่าวันนี้เจ้ามาสวัสดีปีใหม่ จึงนำสิ่งของมาให้ เจ้าดูสิ” 


 


 


เซิงจื่อกลัวเมิ่งเชี่ยนโยวจะไม่รับ รีบร้อนพูด “นายหญิง ของเหล่านี้พวกเราเลี้ยงเอง ปลูกเอง เป็นน้ำใจเล็กน้อยจากพวกเรา ขอเจ้าอย่าได้รังเกียจ” 


 


 


คนอื่นก็พูดคล้อยตาม 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่งยิ้มให้ทุกคน “ราคาค่างวดไม่สำคัญเท่าน้ำใจ ข้าจะรังเกียจได้อย่างไร สินน้ำใจจากพวกท่านข้ารับไว้แล้ว ขอบคุณทุกคนมาก” 


 


 


คนทั้งหมดดีอกดีใจ ต่างวางสิ่งของในมือลงบนพื้น 


 


 


ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งถือสิ่งของเข้ามา หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณ พวกเขาก็วางของลง 


 


 


หลังจากที่วางของลง พวกเขากลับไม่จากไปทันที แต่จับกลุ่มกันพูดคุยกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างเบิกบาน 


 


 


ภรรยาจางจู้และภรรยาจางเกินจิ๊ปาก ดีจริงๆ ในลานบ้านมีคนมาหลายสิบชีวิตแล้ว 


 


 


พ่อแม่จางจู้ก็เห็นผู้คนเต็มลานบ้าน คิดจะออกมาพูดบางอย่าง จางจู้ห้ามปรามพวกเขาไว้ “ท่านพ่อท่านแม่ พวกท่านอย่าออกไป แค่พวกเขากล่าวคำเยินยอพวกท่าน พวกท่านก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรแล้ว” 


 


 


พ่อแม่จางจู้คิดแล้วก็เห็นด้วย จึงล้มเลิกความคิดจะออกมา 


125.2 ยายรองชั้นเลิศ


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับทุกคนอีกเล็กน้อย ตอนที่กำลังจะโน้มน้าวพวกเขาให้กลับบ้าน น้าสะใภ้ของจางจู้ก็ถือไก่ที่เพิ่งฆ่าเสร็จเข้ามา เดินไปพลางร้องเอ็ดตะโร “หลีกๆๆ เดี๋ยวเลือดไก่กระเด็นถูกตัว”


 


 


คนทั้งหมดพลันแยกออกเป็นทาง


 


 


หญิงนางนั้นหิ้วไก่มาเบื้องหน้าจางจู้ “จางจู้ ข้าเพิ่งกลับไปบ้านให้อารองเจ้าฆ่าไก่ตัวหนึ่ง เจ้ารีบเอาเข้าครัว ให้ภรรยาเจ้าทำอาหารให้ครอบครัวหลานเอ๋อร์กิน”


 


 


จางจู้ปฏิเสธ “อาสะใภ้รอง ไม่ต้องแล้ว ดูเถิดชาวบ้านส่งของมาให้มากมาย พวกเรากินไม่หมดแล้ว ท่านเอากลับไปให้เด็กๆ กินเถอะ”


 


 


หญิงนางนั้นมีน้ำโห พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “โย่ ตอนนี้พวกเจ้ารวยแล้ว ดูแคลนอาสะใภ้รองแล้วใช่หรือไม่ คนอื่นให้ของเจ้ารับ ข้าให้ของเจ้ากลับไม่รับ”


 


 


จางจู้โบกมือ “อาสะใภ้รอง ไม่ใช่อย่างที่ท่านคิด คนส่งของมาให้มากเกินไป กินไม่หมดแล้วจริงๆ ถ้าเสียไปจะเสียดายของ”


 


 


หญิงนางนั้นดึงดั้นยัดเยียดไก่ใส่มือจางจู้ “อากาศเย็นเช่นนี้ เก็บหลายวันก็ไม่เสีย อีกอย่าง ข้าพูดกับอารองเจ้าแล้ว ข้าจะมาทำอาหารก่อน อีกประเดี๋ยวครอบครัวชิงเอ๋อร์น้องสาวเจ้ามา จะเรียกครอบครัวพี่จางเถี่ยให้มากินข้าวกับครอบครัวหลานเอ๋อร์ด้วย”


 


 


จางจู้ตกใจจนไก่ในมือร่วงสู่พื้น ไม่ทันได้สนใจเก็บ ลนลานพูด “อาสะใภ้รอง ไม่ต้องแล้ว น้องสาวน้องเขยไม่ใช่คนอื่นไกล ไม่ต้องให้พวกเขามากินข้าวด้วย”


 


 


หญิงนางนั้นตอบ “ได้อย่างไรกัน ตอนนี้ครอบครัวหลานเอ๋อร์มั่งคั่งแล้ว ไม่มีคนมากินข้าวด้วยขายหน้าคนอื่นแย่ เจ้าไม่ต้องยุ่งแล้ว ให้ว่าตามนี้ ข้าจะไปช่วยทำอาหารก่อน อีกประเดี๋ยวครอบครัวชิงเอ๋อร์น้องสาวเจ้าก็มา กินข้าวเสร็จพวกเขายังต้องรีบกลับไป” พูดจบ ไม่รอให้จางจู้พูด หันหลังเดินเข้าไปในครัว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้ว


 


 


จางจู้มองดูไก่ที่หล่นลงพื้น แล้วมองหญิงนางนั้นที่เดินเข้าไปในครัว ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรฉับพลัน


 


 


คนทั้งหมดเห็นเหตุการณ์ ทยอยกันขอตัวลากลับบ้าน


 


 


ภรรยาจางจู้เดินออกมาจากในครัว ระเบิดอารมณ์พูดกับจางจู้ต่อหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว “เจ้ารับปากให้คนในครอบครัวนางมากินข้าวได้อย่างไร พวกเขามาผสมโรง อาหารมื้อนี้พวกเราจะยังกินได้อย่างสงบสุขหรือ”


 


 


จางจู้เผยอปาก พูดไม่ออก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอธิบาย “ป้าใหญ่ ไม่ใช่ลุงใหญ่ชวนให้นางมากิน แต่เป็นนางที่หิ้วไก่มาตัวหนึ่งหน้าด้านหน้าทนจะมากินข้าวบ้านพวกเราให้ได้ ยังบอกว่าอีกเดี๋ยวคนทั้งครอบครัวจะตามมา คนผู้นี้เป็นใคร เหตุใดถึงไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนนอกบ้าง”


 


 


ภรรยาจางจู้ทอดถอนใจ “นางเป็นอาสะใภ้รองของลุงใหญ่เจ้า หรือก็คือยายรองของพวกเจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ถึงว่าหัวรั้นได้เช่นนี้”


 


 


ภรรยาจางจู้มุ่นหัวคิ้ว “จะทำอย่างไรดี หากไล่นางออกไป วันปีใหม่เช่นนี้นางได้อาละวาดบ้านแตกเป็นแน่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเกลี้ยกล่อม “อาหารเพียงมื้อเดียวเท่านั้น อยากมากินก็มาเถอะ คนเยอะจะได้คึกคัก”


 


 


ภรรยาจางจู้ตอบ “ไม่ใช่ไม่อยากให้พวกเขามากินข้าว แต่ว่า… ช่างเถอะ ข้าไม่พูดแล้ว อีกประเดี๋ยวกินข้าวเจ้าก็รู้เอง” พูดจบเดินเข้าครัวไปด้วยใบหน้ากลัดกลุ้ม


 


 


จางเกินเดินออกมาจากในบ้าน ถามเสียงเบา “พี่ใหญ่ อาสะใภ้รองมาขอกินข้าวด้วยอีกแล้วหรือ”


 


 


จางจู้พยักหน้า “ไม่ใช่แค่อาสะใภ้รอง เห็นว่าอีกเดี๋ยวครอบครัวชิงเอ๋อร์และครอบครัวจางเถี่ยก็จะมาด้วย”


 


 


จางเกินร้องเสียงหลง “อะไรนะ”


 


 


จางจู้พูดอย่างแหนงหน่าย “นางบอกว่าเมื่อครอบครัวน้องสาวมาถึง พวกเขาจะมาอยู่กินข้าวเป็นเพื่อน”


 


 


จางเกินพูดอย่างเกรี้ยวกราด “พวกเราสองพี่น้องอยู่ที่บ้าน ต้องให้พวกเขามาอยู่เป็นเพื่อนหรือ ข้าว่าพวกเขาคิดจะมากินเปล่าดื่มเปล่าต่างหาก”


 


 


จางจู้แกว่งไก่ที่ยังมีเลือดหยดในมือ พูดว่า “ครั้งนี้ไม่ได้มากินเปล่าดื่มเปล่า อย่างน้อยก็เอาไก่มาด้วยตัวหนึ่ง”


 


 


จางเกินยิ่งเดือดดาล “พวกเขารวมกันแล้วมีสิบกว่าชีวิต เอาไก่มาแค่ตัวเดียว ยังไม่นับว่ากินเปล่าดื่มเปล่าอีกหรือ ไม่ได้ ข้าต้องไปบอกท่านพ่อท่านแม่ คิดหาวิธีไล่นางไป” พูดจบกลับเข้าไปบอกสองผู้เฒ่าในบ้าน


 


 


จางจู้ถอนใจ เก็บข้าวของที่กลุ่มคนนำมาให้ในลานบ้าน เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเข้ามาช่วย


 


 


ทั้งสองเก็บของทั้งหมดไปวางไว้อีกด้าน จึงเดินเข้าบ้าน


 


 


แม่จางจู้ได้ยินจางเกินบอกว่า อีกประเดี๋ยวคนในครอบครัวน้องรองจะมากินข้าว โมโหกระเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียง คิดจะเดินเข้าครัวไปไล่น้องรอง


 


 


พ่อจางจู้ห้ามนาง “ช่างเถอะ วันปีใหม่ อยากมากินข้าวก็มากิน ครอบครัวหลานเอ๋อร์ก็อยู่ด้วย หากนางอาละวาดขึ้นมา พวกเราจะยิ่งไม่ได้อยู่เป็นสุข อย่างมาก พอกินข้าวเสร็จ ให้พวกเขารีบกลับไปก็ได้แล้ว”


 


 


แม่จางจู้พูดอย่างหงุดหงิด “เจ้าพูดเสียน่าฟัง หากนางกินเสร็จแล้วไม่ยอมไป เกิดคิดอะไรแผลงๆ ออกมา พวกเราไม่ยิ่งโมโหหรือ”


 


 


พ่อจางจู้เกลี้ยกล่อม “ไม่หรอก ปกตินางก็แค่ตะกละตะกลาม ไม่ทำเรื่องที่เกินเหตุหรอก”


 


 


แม่จางจู้กลับไปนั่งบนเตียง ยังคงพูดอย่างเคืองขุ่น “เจ้าเป็นคนพูดเองนะ หากวันนี้นางกล้ามาก่อความวุ่นวาย ต่อไปเจ้าต้องตัดขาดความสัมพันธ์กับพวกเขา”


 


 


เมิ่งชื่อกอดแขนมารดา โน้มน้าวเสียงแผ่ว “ท่านแม่ แค่อาหารมื้อเดียวเท่านั้น พวกเขาอยากมากินก็มากินเถอะ ตอนนี้บ้านเราไม่ต้องสนใจเรื่องเล็กน้อยนี้แล้ว”


 


 


แม่จางจู้ตบมือเมิ่งชื่อ พูด “หลานเอ๋อร์ เจ้าไม่รู้อะไร หลายปีมานี้อาสะใภ้รองเจ้า…” พูดถึงตรงนี้ คิดได้ว่าเมิ่งเอ้ออิ๋นยังอยู่ในบ้าน จึงไม่ได้พูดต่อ เพียงแค่ถอนหายใจยาวพูดขึ้น “หวังว่าปีนี้นางจะอยู่อย่างสงบ”


 


 


“ท่านลุงใหญ่ ท่านป้าใหญ่ ครองครัวชิงเอ๋อร์มาสวัสดีปีใหม่ท่านแล้ว” ชายคนหนึ่งยืนร้องเรียกอยู่ในลานบ้าน


 


 


ทั้งครอบครัวรีบออกไปต้อนรับ โฮ๊ะ อารองของจางจู้ ครอบครัวจางเถี่ย ครอบครัวชิงเอ๋อร์ มากันพร้อมหน้าพร้อมตา เมื่อครู่คนที่ร้องตะโกนน่าจะเป็นจางเถี่ย แม่จางจู้พูดอย่างไม่ค่อยเป็นมิตร “ชิงเอ๋อร์มาแล้ว เดินทางมาหนาวหรือไม่ เข้ามานั่งในบ้านก่อน”


 


 


ชิงเอ๋อร์และสามีนางพูดพร้อมกัน “ท่านลุงใหญ่ ท่านป้าใหญ่ สวัสดีปีใหม่” พูดจบ หันไปพูดกับลูกทั้งสามคนของตนเอง “ยังไม่รีบเรียกอีก”


 


 


เด็กสาวอายุสิบสี่สิบห้าปีคนหนึ่งและเด็กชายเด็กกว่าอีกสองคนพูดอย่างมีมารยาท “ท่านตา ท่านยายสวัสดีปีใหม่”


 


 


พ่อแม่จางจู้พยักหน้า หญิงชราจางพูดขึ้น “รีบเข้ามาในบ้านเถอะ อีกประเดี๋ยวอาหารก็ทำเสร็จแล้ว”


 


 


ชิงเอ๋อร์พยักหน้า พาเด็กๆ เข้าบ้าน เด็กผู้ชายที่อายุน้อยที่สุดกลับไม่ขยับเขยื้อน หันไปพูดเสียงดังกับชิงเอ๋อร์ “ท่านแม่ ท่านบอกว่าบ้านท่านตาร่ำรวยแล้ว พวกเรามาสวัสดีปีใหม่จะต้องได้อั่งเปาไม่ใช่หรือ พวกเราสวัสดีปีใหม่แล้ว เหตุใดยังไม่ให้พวกเราอีก”


 


 


แม่จางจู้หน้าใบหน้านิ่งขรึม


 


 


ชิงเอ๋อร์ก้มหน้าพูดโอ้โลมเสียงเบา “ลูกรัก เข้าบ้านก่อนเดี๋ยวท่านยายก็ให้อั่งเปาเอง”


 


 


แม่จางจู้บันดาลโทสะแล้ว กำลังจะพูดถากถางพวกเขา เมิ่งชื่อพลันคว้านางไว้ ส่งสัญญาณให้นางระงับโทสะ จากนั้นหันไปพูดกับชิงเอ๋อร์ “น้องชิงเอ๋อร์มาแล้ว ไม่รู้ว่าเจ้าได้นำสิ่งของใดมาสวัสดีปีใหม่ท่านลุงใหญ่ท่านป้าใหญ่ด้วย”


 


 


ชิงเอ๋อร์หน้าแดงก่ำ พูดขึ้น “พี่หลานเอ๋อร์ ข้าไม่เหมือนท่าน เปิดโรงงานใหญ่หลายแห่ง มีเงินให้กินใช้ไม่หมด บ้านพวกเราตลอดทั้งปีไม่เคยได้กินข้าวอิ่มท้อง จะมีเงินไปซื้อของให้ท่านลุงท่านป้าได้อย่างไร แม้แต่บ้านฝ่ายแม่ข้า ข้ายังซื้อเพียงขนมสองกล่องให้นางเท่านั้น”


 


 


เมิ่งชื่อหัวเราะตอบ “เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าอาสะใภ้รองเตรียมเงินแต๊ะเอียไว้ให้เด็กๆ เท่าใด”


 


 


ชิงเอ๋อร์ยิ้มตาหยี “ตอนข้ามา ท่านแม่ไม่อยู่บ้าน ยังไม่ได้ให้เงินแต๊ะเอีย แต่ปีก่อนๆ จะให้ยี่สิบอีแปะ”


 


 


แม่จางจู้โมโหจะพูดอีก เมิ่งชื่อแย่งพูดขึ้นก่อน “ข้ารู้แล้ว วันนี้ไม่รู้พวกเจ้าจะมาสวัสดีปีใหม่ ไม่ได้เตรียมอั่งเปาไว้ อีกประเดี๋ยวพอเข้าไปในบ้าน พวกเราจะไปเตรียม เมื่อกินข้าวเสร็จค่อยมอบให้เด็กๆ”


 


 


ชิงเอ๋อร์ยินดีปรีดา พาเด็กๆ ตามแม่จางจู้และเมิ่งชื่อเข้าไปในบ้าน


 


 


จางจู้ จางเกิน จางเถี่ย พ่อจางจู้ อารองจางจู้ตามเมิ่งเอ้ออิ๋นและสามีของชิงเอ๋อร์ไปนั่งคุยกันอีกห้องหนึ่ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไปนั่งคุยกับพี่น้องในห้องจางเชา


 


 


ลูกสองคนของชิงเอ๋อร์โวยวายจะออกไปเล่นในลานบ้าน ชิงเอ๋อร์กำชับพวกเขาห้ามเล่นซุกซน จากนั้นก็ให้พวกเขาออกไป


 


 


เมิ่งเจี๋ยออกมาพอดี เห็นลานบ้านมีเด็กที่อายุไล่เลี่ยกับตนเอง ก็วิ่งเข้าหาอย่างยินดี ตรงเข้าไปเล่นกับพวกเขา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวออกมามองดูแวบหนึ่ง เห็นพวกเขาเล่นกันดี ก็วางใจกลับเข้ามาในบ้าน คุยกับจางเชาและพี่น้องคนอื่นๆ


 


 


ตอนที่ทุกคนกำลังคุยกันออกรส ด้านนอกก็มีเสียงเด็กร้องไห้ดังแว่วมา คนทั้งหมดวิ่งออกมาจากบ้าน เห็นเมิ่งเจี๋ยกับเด็กชายที่โตกว่าหน่อยกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงตีกัน เด็กที่เล็กกว่าอีกคนร้องไห้อยู่ข้างๆ


 


 


คนที่อยู่ในครัวและที่กำลังนั่งคุยอยู่ในบ้านได้ยินเสียงร้องไห้ก็รีบวิ่งออกมา เห็นเมิ่งเจี๋ยกับเด็กชายที่โตกว่าหน่อยกำลังซัดกันนัว อาสะใภ้รองของจางจู้ไม่พอใจ เข้าไปคว้ามือเมิ่งเจี๋ยออกมาอย่างปวดใจพูดว่า “อายุแค่นี้ก็ร้ายกาจเช่นนี้แล้ว เห็นหรือไม่ว่าหน้าของต้าเป่าเป็นลายพร้อยไปหมดแล้ว”


 


 


มือเมิ่งเจี๋ยถูกแยกออก ต้าเป่าฉวยโอกาสนี้ตีเขา โดนใบหน้าเมิ่งเจี๋ยพอดี ใบหน้าน้อยๆ ของเมิ่งเจี๋ยพลันบวมแดง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น


 


 


เมิ่งชื่อคิดจะเดินเข้าหา เมิ่งเชี่ยนโยวยับยั้งเขา


 


 


เมิ่งชื่อไม่พอใจแล้ว พูดขึ้น “อาสะใภ้รอง เด็กทะเลาะกัน ท่านเข้ามายุ่งอะไรด้วย”


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้ชี้ใบหน้าลายพร้อยของต้าเป่าตอบกลับ “หลานเอ๋อร์ คำโบราณกล่าวไว้ดี ตีคนไม่ตีหน้า เจ้าสั่งสอนลูกของเจ้าอย่างไร ข่วนหน้าต้าเป่าของพวกเราจนกลายเป็นเช่นนี้แล้ว หากทิ้งรอยแผลเป็นไว้ ภายหน้าหากเข้าร่วมการสอบคัดเลือกขุนนางไม่ได้ ต้าเป่าของพวกเราก็จบสิ้นแล้ว”


 


 


เมิ่งชื่อใบหน้าเคร่งขรึมลง


 


 


ชิงเอ๋อร์รีบเข้าไปประนีประนอม “ต้าเป่า เข้าลงมือลงไม้กับน้องได้อย่างไร รีบขอโทษน้องเร็ว”


 


 


“เขาตีข้าก่อน” ต้าเป่าพูดอย่างไม่ยอม


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้ยินไม่ยอมแล้ว พูดเสียงดัง “พวกเจ้าฟัง พวกเราอุตส่าห์มาสวัสดีปีใหม่ด้วยเจตนาดี แม้แต่เด็กยังถูกคนรังแก”


 


 


แม่จางจู้พูดอย่างฉุนเฉียว “เจ้าว่าอะไร ใครไปรังแกลูกหลานเจ้า ต้าเป่าโตกว่าเจี๋ยเอ๋อร์ของเราตั้งกี่ปี เหตุใดไม่พูดว่าเขารังแกเจี๋ยเอ๋อร์”


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้เบะปาก พูดเฉไฉ “ข้าไม่สน สรุปคือใบหน้าต้าเป่าของเราถูกข่วนเป็นลายพร้อย อย่างไรก็ต้องชดใช้ให้พวกเรา”


 


 


แม่จางจู้แค่นเสียงหึ “ฝันไปเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาตรงหน้าเมิ่งเจี๋ย ย่อตัวถาม “เจี๋ยเอ๋อร์เกิดเรื่องอันใดขึ้น”


 


 


เมิ่งเจี๋ยตาแดงก่ำ พูดอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “พวกเขาสองคนจะแย่งเงินข้า ข้าไม่ให้ พวกเราก็เลยตีกัน”


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้ได้ฟังพูดขึ้น “อายุเท่านี้อย่าพูดเหลวไหล เจ้ามีเงินมาจากไหน”


 


 


เมิ่งเจี๋ยล้วงเงินจำนวนหนึ่งออกมาจากอกพูดขึ้น “เมื่อครู่ตอนที่พวกเราเล่นกัน เงินก็ร่วงลงมาโดยไม่ตั้งใจ พวกเขาสองรีบมาแย่งเงินข้า ข้าไม่ให้พวกเขาแย่ง พวกเราก็เลยตีกัน”


 


 


เห็นเมิ่งเจี๋ยมีเงินจริงๆ อาสะใภ้รองของจางจู้ไม่ได้พูดอะไร


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลูบหัวเมิ่งเจี๋ยพูดขึ้น “เจี๋ยเอ๋อร์ทำถูกต้อง มีคนแย่งของเจ้า เจ้าก็ควรจะอัดเขาให้หมอบ”


 


 


“เจ้า…” อาสะใภ้รองของจางจู้โมโหจนพูดไม่ออก


 


 


อารองจางจู้พูดขึ้น “พอแล้ว เด็กเล่นด้วยกัน ทะเลาะกันเป็นเรื่องธรรมดา อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ รีบไปทำอาหารให้เสร็จ กินเสร็จครอบครัวชิงเอ๋อร์ยังต้องรีบกลับบ้าน”


 


 


ชิงเอ๋อร์รีบพูด “ท่านแม่ ท่านพักเถอะ ข้าไปช่วยทำอาหารเอง”


 


 


ภรรยาจางจู้รีบพูดดักคออย่างเย็นชา “ไม่ต้องแล้ว อาหารใกล้เสร็จแล้ว พวกเจ้ากินเสร็จก็รีบกลับไปเถอะ”


 


 


ชิงเอ๋อร์งึมงำพูดไม่ออก


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ก้มหน้าโอ๋ต้าเป่า


 


 


จางจู้และจางเกินรีบจัดเตรียมโต๊ะและถ้วยตะเกียบ


 


 


เมิ่งเสียนและคนอื่นพาเมิ่งเจี๋ยเข้าไปในบ้าน เมิ่งเชี่ยนโยวลูบใบหน้าทะเล้นของเขาอย่างปวดใจถามขึ้น “เจี๋ยเอ๋อร์ เจ็บหรือไม่”


 


 


เมิ่งเจี๋ยพยักหน้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวชื่นชม “เจี๋ยเอ๋อร์วันนี้ทำได้ดีมาก ครั้งหน้าหากเจอเรื่องเช่นนี้ จะต้องสู้ให้เต็มแรง จนกว่าเขาจะแพ้ราบคาบ”


 


 


เมิ่งเจี๋ยพูด “ท่านพี่ ข้ารู้แล้ว”


 


 


อาหารเสร็จแล้ว ภรรยาจางจู้ตะโกนเรียกทุกคนกินข้าว


125.3 ยายรองชั้นเลิศ


จางจู้และจางเกินจัดโต๊ะแยกไว้เรียบร้อยแล้ว ตัวหนึ่งเป็นโต๊ะผู้ชาย อีกตัวเป็นโต๊ะผู้หญิงและเด็ก


 


 


ภรรยาจางจู้และภรรยาจางเกินรวมถึงเมิ่งชื่อนำอาหารที่ทำเสร็จแล้ววางแบ่งบนโต๊ะทั้งสอง อาสะใภ้รองของจางจู้เห็นอาหารหลากหลายเต็มโต๊ะถลึงตาโตลุกวาว แอบกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว


 


 


พ่อของจางจู้ยกจอกเหล้าขึ้นกล่าวพอเป็นพิธี ทุกคนถึงลงมือกินข้าว


 


 


เมิ่งชื่อและเมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งจะหยิบตะเกียบขึ้น อาสะใภ้รองของจางจู้ ชิงเอ๋อร์ และลูกทั้งสามคนของชิงเอ๋อร์ ยังมีจางเถี่ย ภรรยาและลูกที่พามาด้วยอีกสองคนต่างคีบอาหารกินอย่างมูมมามตะกละตะกลาม


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้กินเนื้อคำหนึ่ง ยังไม่ทันกลืนลงไปก็ส่งเสียงเอ็ดตะโร “แหม เนื้อนี้อร่อยนัก พวกเจ้ารีบชิมดู” พูดจบยกจานใส่เนื้อขึ้นเทเนื้อใส่ถ้วยคนฝั่งครอบครัวตัวเองคนละหลายชิ้น จนเหลือแต่จานเปล่า


 


 


เมิ่งเจี๋ยก็อยากกินเนื้อ พอเห็นว่าไม่มีแล้ว ร้องพูดอย่างน้อยใจ “ท่านพี่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลูบศีรษะเขา คีบกุนเชียงชิ้นหนึ่งให้เขา


 


 


ชิงเอ๋อร์พูดงึมงำฟังไม่ชัดเจน “กินสิ อาหารเลิศรสเช่นนี้เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่กิน” พูดจบ ก็คีบกุนเชียงชิ้นหนึ่งยัดใส่ปากที่เต็มแน่น


 


 


เมิ่งเสียน เมิ่งฉี เมิ่งอี้เซวียนถลึงตาโตอ้าปากค้างมองดูกลุ่มคนที่กินเหมือนตายอดตายอยาก


 


 


ภรรยาจางเถี่ยลุกขึ้นยืน คิดจะคีบเนื้อรมควันในจานที่วางตรงหน้าเมิ่งอี้เซวียน เมิ่งอี้เซวียนตาไวมือไวยกจานขึ้น พูดอย่างไม่พอใจ “พวกเราเหลือเนื้อเพียงจานเดียวแล้ว น้องเล็กยังไม่ได้กินเลย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้ไม่พอใจ กินของในปากไปพลางพูดว่า “นี่เป็นของที่บ้านพวกเจ้าผลิตได้เอง อยากกินเมื่อไหร่ก็ได้ กลับจะต้องมาแย่งกับพวกข้าในวันนี้” คงเพราะพูดกระโชกโฮกฮากเกินไป ของที่อยู่ปากจึงกระเด็นออกมาเต็มโต๊ะ


 


 


เมิ่งชื่อย่นหัวคิ้ว


 


 


มองแม่และพี่สะใภ้ทั้งสองของตัวเองแวบหนึ่ง พบว่าพวกนางมองครอบครัวนั้นเหมือนไม่ใช่เรื่องแปลก ถึงเข้าใจแจ่มแจ้ง เมื่อครู่ที่พี่สะใภ้บอกว่ารอตอนกินข้าวก็จะรู้เอง หมายความว่ากระไร


 


 


เมิ่งอี้เซวียนวางจานเนื้อรมควันไว้ตรงหน้าเมิ่งเจี๋ย พูดอย่างนุ่มนวล “เจี๋ยเอ๋อร์ กินเถอะ”


 


 


เจี๋ยเอ๋อร์พยักหน้า คีบเนื้อรมควันใส่ถ้วยตัวเอง ค่อยๆ กินคำเล็ก


 


 


เสียวเป่ามองเนื้อรมควันในจานร้องโวยวาย “ท่านแม่ ข้าก็อยากกิน”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนมองเขาแวบหนึ่ง ขยับจานเข้ามาข้างตัวเอง


 


 


ชิงเอ๋อร์ลุกขึ้นยืน คิดจะคีบเนื้อให้เสียวเป่า เมิ่งอี้เซวียนหยุดยั้งนาง “อย่าขยับ ข้าแบ่งให้เอง” พูดจบ เทใส่จานตรงหน้าเสียวเป่าจำนวนหนึ่ง


 


 


เสียวเป่าไม่พอใจ พูดโวยวาย “ท่านแม่ จานของเขาเยอะกว่า”


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้ถลึงตาใส่เมิ่งอี้เซวียน ลุกขึ้นยืนแย่งจานในมือเขามา พูดอย่างดูแคลน “เจ้าเด็กกำพร้าถูกเก็บมาเลี้ยงมีสิทธิ์อะไรได้กินเยอะกว่าเสียวเป่าของเรา”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนหยุดชะงักมือ อาสะใภ้รองของจางจู้ฉวยโอกาสนี้แย่งจานในมือเขามา วางตรงหน้าเสียวเป่า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยววางตะเกียบในมือดัง “ป๊าบ” ไปบนโต๊ะ


 


 


คนทั้งหมดสะดุ้งตกใจ แหงนหน้ามองนาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ยายรอง รู้ไหมว่าเมื่อครู่พูดอะไรออกมา”


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้กำลังจะพูด ภรรยาจางเถี่ยกระทุ้งนาง พลันได้สติกลับมา พูดด้วยรอยยิ้ม “ดูปากยายสิ ไม่มีหูรูดเลย อย่าเก็บไปใส่ใจ ข้าจะยกจานคืนให้เขาเดี๋ยวนี้” พูดจบลุกขึ้นเตรียมจะยกจาน


 


 


“ใครกล้าแตะต้องจานนั้นอีกข้าจะหักมือคนผู้นั้น” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างเย็นเยือกแฝงความอำมหิต


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้ตกใจหดมือกลับเฉียบพลัน


 


 


ชิงเอ๋อร์และภรรยาจางเถี่ยรวมถึงเด็กๆ ทั้งหมดตกใจจนลืมกินข้าว มองนางอย่างตกตะลึง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืน ยกจานเนื้อรมควันมาวางตรงหน้าเมิ่งอี้เซวียน และยกอาหารพื้นบ้านอีกจำนวนหนึ่งที่พวกเขายังไม่ได้กินมาวางฝั่งบ้านตัวเอง ทำท่าแบ่งเขตแดนพูดกับอาสะใภ้รองของจางจู้และครอบครัว “อาหารพวกนั้นเป็นของพวกเจ้า อาหารเหล่านี้พวกเจ้าห้ามแตะต้อง ถ้าใครกล้ายื่นตะเกียบเข้ามา ข้าจะโยนมันผู้นั้นออกไปทันที”


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้มองดูฝั่งนั้นไม่มีสิ่งของน่าอร่อย จึงหัวเราะพูดขึ้น “ได้ๆๆ พวกเราไม่แตะต้อง พวกเจ้ารีบกินเถอะ” พูดเสร็จก็พูดกับคนในครอบครัว “รีบกิน เดี๋ยวอาหารเย็นจะไม่อร่อย”


 


 


คนทั้งหมดก้มหน้าก้มตากินข้าว แต่ครั้งนี้สงวนท่าทีมากขึ้น


 


 


ภรรยาจางจู้ลุกขึ้นยืน พูดขึ้น “ข้าจะไปหั่นเนื้อรมควันและกุนเชียงมาเพิ่ม”


 


 


“แบ่งมาให้พวกเราด้วย เด็กๆ ยังกินไม่อิ่ม” อาสะใภ้รองของจางจู้พูดขึ้น


 


 


ภรรยาจางจู้ไม่ได้สนใจนาง นำเนื้อรมควันที่หั่นมาใหม่วางไว้ฝั่งตนเอง


 


 


เนื้อรมควันจานใหญ่เต็มจานวางอยู่ตรงหน้า กลับกินไม่ได้ อาสะใภ้รองของจางจู้เริ่มไม่พอใจ นัยน์ตากลิ้งกลอก ลุกขึ้นไปที่โต๊ะฝั่งผู้ชาย ด้านหนึ่งยกจานเนื้อรมควันบนโต๊ะ ด้านหนึ่งพูดขึ้น “พวกเจ้าผู้ชายเอาแต่ดื่มเหล้า ไม่กินอาหารอยู่แล้ว ข้าจะยกเนื้อจานนี้ไป ให้เด็กๆ กิน ต้าเป่า เสียวเป่ายังกินไม่พอ” พูดจบก็ยกจานกลับมาวางตรงหน้าตัวเอง พูดกับคนในครอบครัวอย่างชื่นบาน “รีบกิน กินหมดแล้วโต๊ะนั้นยังมีเนื้ออีก”


 


 


ทั้งครอบครัวใช้ตะเกียบยื้อแย่งกัน


 


 


เมิ่งชื่อมุ่นหัวคิ้ว


 


 


ภรรยาจางจู้รีบพูดโน้วน้าว “น้องสาว รีบกินเถอะ เด็กๆ หิวกันแล้ว”


 


 


เมิ่งชื่อมองเมิ่งอี้เซวียนและเมิ่งเจี๋ย ลอบถอนหายใจ พูดขึ้น “กินเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนสะอิดสะเอือนกับท่าทางการกินของครอบครัวนั้น แทบจะกินไม่ลงแต่แรกแล้ว แต่กลัวผู้ใหญ่จะเป็นกังวล ถึงกินพอเป็นพิธีสองสามคำ


 


 


แม่จางจู้โมโหอย่างที่สุด ฝืนคีบอาหารไม่กี่คำแล้วพูด “พวกเจ้ากินเถอะ ข้าอิ่มแล้ว” พูดจบ กลับเข้าห้องด้วยสีหน้าหมองคล้ำ


 


 


เมิ่งชื่อรีบลุกตามเข้าไป


 


 


ภรรยาจางจู้และภรรยาจางเกินหันหน้ามองกัน ก็ลุกขึ้นตามไปด้วย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเมิ่งเจี๋ยที่ยังกินไม่อิ่ม จึงไม่เคลื่อนไหว


 


 


เมิ่งเจี๋ยกินอาหารอีกพอประมาณ ถึงวางตะเกียบ พูดอย่างน่าเอ็นดู “ท่านพี่ ข้ากินอิ่มแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พาเขาและเมิ่งอี้เซวียนกลับเข้าห้อง


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้เห็นพวกเขาไปหมดแล้ว เบะปากใส่ ลุกขึ้นยืน ยกเนื้อรมควันจานใหญ่เต็มจานวางตรงหน้าตัวเองแล้วพูดว่า “พวกเขาไม่กินก็ดี พวกเรากิน”


 


 


แม่จางจู้กลับเข้ามาในห้อง นั่งบนเตียงอย่างหงุดหงิด เมิ่งชื่อกลัวนางจะเสียสุขภาพ รีบพูดปราม “ท่านแม่ อย่าโมโหเลย โมโหกับคนพวกนี้ไม่คุ้มค่า”


 


 


“ปีใหม่แท้ๆ พวกเจ้าอุตส่าห์กลับมาทั้งครอบครัว เดิมคิดจะให้พวกเจ้าได้กินอย่างอิ่มหนำสักมื้อ ไม่คิดว่าจะต้องมาพังเพราะคนหน้าด้านพวกนั้น ข้าจะไม่โมโหได้อย่างไร” หญิงชราจางพูดอย่างเดือดดาล


 


 


เมิ่งชื่อลูบหน้าอกนาง พูดขึ้น “ท่านแม่ ไม่เป็นไร ข้าหาใช่คนนอกไม่ ไว้ครั้งหน้ากลับมา ค่อยให้พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รองทำของอร่อยให้ข้าก็ได้”


 


 


แม่จางจู้ยังคงโมโหไม่เลิก “พูดง่ายๆ เจ้าจะมีเวลาว่างกลับมาบ้านแม่บ่อยๆ ได้อย่างไร ครั้งหน้าพวกเจ้าจะมากันทั้งครอบครัวยังไม่รู้จะเป็นเมื่อใด”


 


 


เมิ่งชื่อมองภรรยาจางจู้อย่างขอความช่วยเหลือ


 


 


ภรรยาจางจู้รีบเอ่ยปาก “ท่านแม่ ท่านอย่าโมโหเด็ดขาด หากเสียสุขภาพไป น้องสาวจะต้องเป็นกังวลมาก”


 


 


ภรรยาจางเกินก็พูดขึ้น “ใช่ ท่านแม่ อย่าโมโหเลย เด็กๆ อยู่กันหมด ดูสิพวกเขาต่างก็เป็นห่วงท่าน”


 


 


แม่จางจู้มองเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียน คิดได้ว่าเด็กทั้งสองต่างก็ไม่ได้กินข้าว ทอดถอนใจ พูดขึ้น “พวกเจ้าพูดถูก โมโหเพื่อคนเช่นนั้นไม่คุ้มค่า ข้าไม่โมโหแล้ว”


 


 


เมิ่งชื่อแย้มยิ้มพูด “ท่านแม่ เช่นนี้ถูกต้องแล้ว สุขภาพของเราสำคัญที่สุด”


 


 


แม่จางจู้เปลี่ยนกิริยาท่าทาง หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งอี้เซวียนและเมิ่งเจี๋ย “พวกเจ้าเข้ามาหายาย ยายจะให้เงินแต๊ะเอีย พวกเจ้าจะได้มีความสุข”


 


 


ทั้งสามเดินมาตรงหน้าหญิงชราจาง


 


 


หญิงชราจางหยิบอั่งเปาหนาจำนวนหนึ่งออกมาให้เด็กทั้งสามคน


 


 


ทั้งสามพูดโดยพร้อมเพรียง “ขอบคุณท่านยาย”


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้กินข้าวเสร็จเดินเข้ามา เห็นซองอั่งเปาในมือคนทั้งสามเข้าพอดี รีบพูดขึ้น “ต้าเป่า เสียวเป่า พวกเจ้ากินอิ่มแล้วรีบเข้ามา ท่านยายให้เงินแต๊ะเอียแล้ว”


 


 


เด็กทั้งสองได้ยินรีบวางตะเกียบในมือลง วิ่งมาตรงหน้าหญิงชราจาง ยื่นมือน้อยๆ พูดว่า “ท่านยาย เงินแต๊ะเอียของพวกเราล่ะ”


 


 


แม่จางจู้หน้าง้ำ หยิบอั่งเปาที่เมื่อครู่เตรียมไว้แล้วออกมาให้คนละซอง


 


 


เด็กทั้งสองไม่ได้กล่าวขอบคุณ รีบวิ่งออกไปจากห้อง ร้องบอกชิงเอ๋อร์ “ท่านแม่ ท่านยายให้เงินแต๊ะเอียแล้ว”


 


 


ชิงเอ๋อร์รับอั่งเปามาอย่างยินดี เปิดออกดู ด้านในมีเงินเพียงสองอีแปะ บ่นกระปอดกระแปดเสียงดังลั่น “ขี้งกจริงๆ ให้มาแค่สองอีแปะ”


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้ได้ยินเสียงบ่นของนาง แล้วมองดูอั่งเปาที่ยังไม่ทันเก็บขึ้นของเมิ่งเชี่ยนโยวและคนอื่นๆ พูดอย่างไม่พอใจ “พี่สะใภ้ ทำเกินไปหน่อยแล้ว อั่งเปาของพวกเขาหนานูน เหตุใดถึงให้เสียวเป่าและต้าเป่าของพวกเราเพียงสองอีแปะ”


 


 


แม่จางจู้ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ตะคอกเสียงสั่น “หากพวกเจ้ารังเกียจว่าน้อย ก็คืนข้ามา เงินสองอีแปะนี้ข้าก็ไม่ได้อยากจะให้”


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้เบะปาก พูดอย่างไม่พอใจ “ตอนนี้บ้านพวกท่านมีเงินแล้ว ดูแคลนพวกเราแล้วใช่หรือไม่ ชิงเอ๋อร์อุตส่าห์เดินทางมาสวัสดีปีใหม่พวกท่าน เห็นแก่หน้าชิงเอ๋อร์ท่านไม่ควรให้ลูกนางแค่สองอีแปะ”


 


 


ภรรยาจางจู้ถาม “สองอีแปะยังรังเกียจว่าน้อย ไม่ทราบว่าอาสะใภ้รองเตรียมเงินแต๊ะเอียมาให้ลูกๆ ของน้องสาวพวกเราเท่าใด”


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้แผดเสียง “พวกเราแทบไม่มีจะกินอยู่แล้ว จะมีเงินเหลือมาให้พวกเขาเป็นเงินแต๊ะเอียได้อย่างไร”


 


 


ภรรยาจางจู้กำลังจะตอบโต้กลับ เสียงจางจู้ก็ดังขึ้นจากด้านนอก “แม่ อารองและสามีชิงเอ๋อร์จะกลับแล้ว เจ้ารีบออกมาส่ง”


 


 


ภรรยาจางจู้ร้องอือรับคำ เดินออกมาส่งทุกคน


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้และชิงเอ๋อร์พาเด็กๆ เดินตามออกมา


 


 


เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีก็เดินตามออกมา


 


 


เฉ่าเอ๋อร์บุตรสาวคนโตของชิงเอ๋อร์เห็นเมิ่งเสียนพลันเขินหน้าแดง ก้มหน้าลง คอยลอบมองประเมินเขา


 


 


คนทั้งหมดไม่มีใครสังเกตเห็น หลังจากส่งครอบครัวอาสะใภ้รองกลับไปแล้ว คนทั้งหมดก็ถอนใจโล่งอกพร้อมกัน


 


 


ภรรยาจางจู้บ่นค่อนขอดจางจู้ “เจ้าให้ครอบครัวอาสะใภ้รองอยู่กินข้าวด้วย ตอนนี้ดีแล้ว ท่านแม่และน้องสาวยังมีเด็กๆ ต่างไม่ได้กินข้าว”


 


 


จางจู้ก็โมโห แต่ก็อับจนปัญญา ใครบอกให้พวกเขาเป็นอารอง อาสะใภ้ตัวเองล่ะ ทำได้เพียงพูดกับภรรยาตัวเองว่า “ไม่เช่นนั้นเจ้าไปทำให้พวกเขาใหม่”


 


 


ภรรยาจางจู้พยักหน้า “ข้าก็คิดเช่นนี้ อีกเดี๋ยวข้ากับน้องสะใภ้จะทำบะหมี่ให้พวกเขากิน”


 


 


จางจู้ตอบ “ดี ข้าไปช่วยพวกเจ้าจุดไฟ จะได้เร็วขึ้น”


 


 


ภรรยาจางจู้ร้องเรียกภรรยาจางเกิน บอกว่าอยากนวดแป้งทำบะหมี่ให้น้องสาวและเด็กๆ กิน ภรรยาจางเกินย่อมรับคำยินดี เดินตามนางไปยังเรือนครัว


 


 


แม่จางจู้ยังคงโมโห ครั้งนี้เมิ่งชื่อพูดปลอบประโลมอย่างไรก็ไม่ได้ผล ในตอนที่กำลังร้อนรุ่มใจนั้น อาสะใภ้รองของจางจู้ก็กลับมาอย่างเริงร่า พอพ้นประตูเข้ามาก็พูดกับจางชื่อว่า “พี่สะใภ้ มีเรื่องดี เฉ่าเอ๋อร์ของพวกเราพอใจหลานชายคนโตของพวกเจ้าแล้ว”


126.1 เรียกราคาเกินควร

 


 


 


แม่จางจู้ดีดตัว “ผึง” ขึ้นมาจากเตียง


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้นึกว่าดีใจถึงได้ลุกขึ้นมา พูดอย่างหน้าชื่นตาบาน “เมื่อครู่พอข้าได้ยินเฉ่าเอ๋อร์พูด ก็ดีใจไม่แพ้พี่สะใภ้ใหญ่ ถึงได้รีบมาก่อน ชิงเอ๋อร์กำลังพาเฉ่าเอ๋อร์ตามมา”


 


 


เมิ่งเสียนตะลึงงัน เมิ่งชื่อตกตะลึง เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมุ่นหัวคิ้ว


 


 


ตามหลักแล้วไม่ว่าใครมาพูดทาบทามให้ลูกหลาน ล้วนเป็นเรื่องดี เป็นเรื่องมงคล แต่พอเห็นอาสะใภ้รองของจางจู้เข้ามา แม่จางจู้ก็รู้สึกสะอิดสะเอือนราวกับกินแมลงวันเข้าไป อาหารกลางวันมื้อนี้เดิมก็ทำให้แม่จางจู้โมโหแทบคลั่งแล้ว หากไม่เพราะเห็นว่าลูกสาวลูกเขยอยู่ด้วย ได้อาละวาดไปนานแล้ว ตอนนี้เห็นนางได้คืบจะเอาศอก จะมาทำลายชีวิตหลานชายคนโตของตนเอง พลันสูญสิ้นสติสัมปชัญญะ


 


 


แม่จางจู้ถ่มน้ำลายใส่หน้าอาสะใภ้รองของจางจู้ ร้องด่า “เจ้าฝันไปเถอะ ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้”


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้เช็ดน้ำลายบนหน้า โมโหไม่พอใจแล้ว ร้องเอ็ดตะโรดังลั่น “ข้าฝันไปอย่างไร เฉ่าเอ๋อร์ของข้าหน้าตาสะสวย รูปร่างก็อรชร หากไม่เพราะเห็นว่าหลานเอ๋อร์มีโรงงานสองแห่ง ข้าไม่มีทางยอมให้เฉ่าเอ๋อร์แต่งเข้าบ้านพวกเขา รู้ไว้ด้วยว่าเฉ่าเอ๋อร์ของพวกเรา ภายหน้าจะต้องเป็นคุณนายเศรษฐี”


 


 


แม่จางจู้โมโหจนสั่นไปทั้งตัว คว้าถ้วยชาบนโต๊ะได้ก็ปาออกไป ตวาดเสียงดังสนั่น “ไสหัวไป!”


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้หลบไม่พ้น ถ้วยชาปะทะเข้าที่หน้าผากนาง เลือดสดๆ ไหลออกมาทันใด


 


 


ทุกคนในบ้านตะลึงงัน


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้รู้สึกได้ว่ามีสสารอุ่นเหลวไหลลงมา ใช้มือสัมผัส ทั้งมือเต็มไปด้วยเลือด ตกใจเกือบเป็นลมสลบไป ทิ้งก้นนั่งลงกับพื้น กรีดร้องอาละวาด “มีคนจะถูกฆ่า รีบมาช่วยข้าด้วย”


 


 


จางจู้ ภรรยาจางจู้และภรรยาจางเกินกำลังทำบะหมี่อยู่ในครัว ได้ยินเสียงร้องเวทนานี้ สะดุ้งตกใจรีบวิ่งออกมาจากครัว เห็นอาสะใภ้รองของจางจู้นอนแผ่หลาใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด ก็ตกใจขวัญผวา


 


 


แม่จางจู้เขวี้ยงถ้วยชาออกไปเพราะความโมโห ไม่คิดว่าจะไปโดนหน้าผากนางแตก พลันตะลึงค้างอยู่ตรงนั้น


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้ร้องอาละวาดต่อ “เถี่ยเอ๋อร์ ชิงเอ๋อร์ พวกเจ้ารีบมาช่วยแม่เร็ว แม่จะถูกตีตายแล้ว”


 


 


ชิงเอ๋อร์พาบุตรสาวตนเองเข้ามาในลานบ้านอย่างหน้าชื่นตาบาน ได้ยินเสียงร้องโหยหวน รีบสาวเท้าเข้าไปในบ้าน เห็นแม่ตนเองนอนแผ่หลาใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดอยู่บนพื้น ร้องโหวกเหวกเสียงหลง “ท่านแม่ ท่านเป็นอะไร”


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้รีบร้อนพูดกับบุตรสาว “ชิงเอ๋อร์ เจ้ารีบไปบอกพ่อและพี่ชายเจ้า บอกว่าแม่ใกล้จะตายแล้ว ถูกคนตีใกล้ตายแล้ว”


 


 


ชิงเอ๋อร์ลนลานพยักหน้า หันไปพูดกับเฉ่าเอ๋อร์ที่ยืนตกใจจนทำอะไรไม่ถูก “ยังจะยืนเซ่ออะไรอีก ยังไม่รีบไปเรียกคน”


 


 


เฉ่าเอ๋อร์ผลุนผลันวิ่งออกไป


 


 


ชิงเอ๋อร์นั่งยองถามอย่างร้อนรุ่มใจ “ท่านแม่ ใครที่โหดเ**้ยมเช่นนี้ ทำร้ายท่านจนกลายเป็นเช่นนี้ ท่านบอกข้ามา พวกเราจะไม่ไว้หน้าเขาเด็ดขาด”


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้ตอบ “ป้าใหญ่ใจยักษ์ของเจ้าอย่างไร แม่ปรารถนาดีจะยกเฉ่าเอ๋อร์ให้หลายชายคนโตของเขา ไม่คิดว่านางไม่เพียงไม่รับน้ำใจ ยังทำร้ายแม่จนเป็นแบบนี้ ชิงเอ๋อร์ หากแม่ตายไป ลูกจะต้องช่วยทวงคืนความยุติธรรมให้แม่”


 


 


“วางใจเถอะ บาดแผลเล็กน้อยแค่ทำให้เลือดไหล ไม่ถึงกับตาย” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเย็นเยียบ


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้พลันหันหน้าไปที่นาง พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เด็กไม่ประสาอย่างเจ้าจะไปรู้อะไร จะไม่ถึงกับตายได้อย่างไร ตอนนี้ข้ารู้สึกล่องลอยไร้เรี่ยวแรงแล้ว” พูดจบ หันไปคว้ามือชิงเอ๋อร์แล้วพูด “ชิงเอ๋อร์ แม่ไม่ไหวแล้ว ตอนนี้แม่มึนหัวเหลือเกิน”


 


 


ชิงเอ๋อร์เข้าไปพยุงแม่ตนเองขึ้นอย่างเหนื่อยยากพลางพูดว่า “ท่านแม่ ท่านลุกขึ้นก่อน ข้าจะพยุงท่านขึ้นไปนอนบนเตียง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยืนขวางตรงหน้าพวกเขา พูดอย่างเย็นเยียบ “พวกเจ้าชำระล้างตัวก่อนเถอะ เดี๋ยวจะทำเตียงท่านยายข้าเลอะ”


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้บันดาลโทสะ ยกมือฟาดลงมาพร้อมก่นด่า “นังเด็กไม่ประสาแส่หาเรื่องนัก!”


 


 


เมิ่งชื่อคิดจะเข้าไปห้ามก็ไม่ทันการแล้ว ร้องอุทานขวัญผวา “โยวเอ๋อร์!”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเบี่ยงตัวหลบ ยกเท้าถีบอาสะใภ้รองของจางจู้


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้เจ็บปวดร้องโอดโอย ยืนโงนๆ เงนๆ ล้มไปด้านหลัง ชิงเอ๋อร์เหนี่ยวรั้งไว้ไม่ทัน ล้มถอยหลังตามไปด้วย สองแม่ลูกล้มไปโดนโต๊ะกินอาหารกลางวันที่ยังไม่ได้เก็บกวาด ถ้วยจานบนโต๊ะเอียงตกใส่คนทั้งสอง น้ำซุปในชามเทราดเลอะเทอะไปทั้งตัว


 


 


คนทั้งหมดตื่นตะลึงกับเหตุการณ์พลิกผันตรงหน้า ตาค้างทำอะไรไม่ถูก


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้แผดเสียงร้องเหมือนหมูถูกเชือด “ฆ่าคนแล้ว ฆ่าคน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสยะยิ้มเดินมาตรงหน้านาง ยกเท้าหมายจะถีบตัวนาง


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้กลับหมุนตัวหลบได้อย่างคล่องแคล่ว คลานออกไปนอกประตูแผดเสียงร้องสุดชีวิต “ฆ่าคนแล้ว ใครก็ได้มาช่วยที”


 


 


จางเถี่ยที่ได้รับทราบข่าวเพิ่งจะก้าวพ้นประตูลานบ้านเข้ามา ก็เห็นแม่ตนเองใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดคลานออกจากประตูแผดเสียงร้องขอความช่วยเหลือ ตกใจตัวลอย รีบวิ่งเข้าไปถามไถ่ “ท่านแม่ เกิดอะไรขึ้นกับท่าน”


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้เห็นมีคนมาช่วยแล้ว คว้ามือจางเถี่ยแน่น ร้องไห้ฟูมฟาย “เถี่ยเอ๋อร์ เจ้ามาเสียที แม่จะถูกพวกมันฆ่าตายแล้ว”


 


 


ชิงเอ๋อร์ที่อยู่ในสภาพน่าสังเวชก็คลานออกมาจากในบ้าน พูดกับจางเถี่ยด้วยเสียงสั่นเครือ “ท่านพี่ หากท่านยังไม่มา ข้ากับท่านแม่ได้ถูกพวกเขาฆ่าตายไปจริงๆ แล้ว”


 


 


ภรรยาจางจู้พูดโต้แย้ง “เจ้าพูดเหลวไหลอะไร พวกเราไม่มีใครลงมือทำร้ายเจ้า”


 


 


ชิงเอ๋อร์กะพริบตาปริบ ไม่พูดอะไร


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้ชี้หน้าเมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “นังตัวดีนั่นที่ทำร้ายพวกเรา” พูดจบ แผดเสียงร้องดังลั่น “โอ๊ย เจ็บจะตายแล้ว กระดูกข้าจะต้องถูกนางถีบจนหักไปแล้ว”


 


 


แม่จางจู้พูดอย่างเกรี้ยวกราด “สมน้ำหน้า คิดจะตบโยวเอ๋อร์ของพวกเรา ไม่หักเล็บเจ้าทิ้ง ถือว่ายอมเสียเปรียบพวกเจ้าแล้ว”


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้กำลังจะด่ากลับ


 


 


อารองของจางจู้ก็นำคนที่เหลือเดินหอบเข้ามาในลานบ้าน เห็นภรรยาและบุตรสาวตนเองคลานอยู่บนพื้นในสภาพน่าสมเพศ ร้อนรนถามไถ่ “เกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้า”


 


 


ต้าเป่า เสียวเป่าเห็นใบหน้าอาสะใภ้รองของจางจู้เต็มไปด้วยเลือด ตกใจจนร้องไห้จ้า “ท่านยายจะตายแล้ว ท่านยายจะตายแล้ว”


 


 


สามีชิงเอ๋อร์รีบเข้าไปปิดปากพวกเขา


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้ร้องไห้ฟูมฟาย “ตาเฒ่า เจ้ามาเสียที ข้าจะถูกตีตายแล้ว”


 


 


อารองของจางจู้ขมวดคิ้วมุ่น พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้เกิดเรื่องอันใดขึ้น”


 


 


แม่จางจู้ตอบอย่างฉุนเฉียว “นังคนหน้าด้านไร้ยางอายเข้ามาพูดเหลวไหล ข้าบันดาลโทสะคว้าถ้วยชาเขวี้ยงใส่นาง”


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้โต้กลับ “ข้าพูดเหลวไหลตรงไหน ข้าตั้งใจมาทาบทามหลานชายคนโตของเจ้า เจ้ากลับไม่แยกแยะถูกผิดคว้าถ้วยชาเขวี้ยงใส่ข้า จะบอกให้นะ หากวันนี้เจ้าไม่มีคำตอบที่ข้าพอใจ ข้าจะเอาเรื่องเจ้าให้ถึงที่สุด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินหน้า ถามด้วยใบหน้าอึมครึม “เจ้าจะเอาเรื่องเช่นไร”


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้หวาดผวาขดตัวเข้าไปอยู่อ้อมกอดจางเถี่ย ฝืนพูดขึ้น “ข้าจะให้คนทั้งหมู่บ้านรู้ว่า เป็นนังเด็กไม่ประสาอย่างเจ้าที่ทำร้ายข้าจนเป็นเช่นนี้ ให้ต่อไปเจ้าไม่มีหน้าไปพบเจอคนอีก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองกลุ่มคนที่พอได้ยินข่าวก็รีบมาดูเรื่องสนุกในลานบ้าน พูดกับอาสะใภ้รองของจางจู้อย่างลุ่มลึกอำมหิต “เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะสงเคราะห์ให้เจ้าเอง” พูดจบ ก็ยกเท้าขึ้น


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้กรีดร้อง “เจ้ากล้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร เตะเข้าใส่ตัวนาง อาสะใภ้รองของจางจู้เจ็บจนเปล่งเสียงร้องโอดโอย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคิดจะเตะอีก เมิ่งเสียนรีบเข้ามาห้ามนาง


 


 


จางเถี่ยสติหลุดแล้ว ลุกขึ้นยืน พุ่งตรงมาที่เมิ่งเชี่ยนโยวง้างมือตบลงมาเต็มแรง พลางพูดก่นด่า “นังตัวดีไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ แม้แต่ผู้อาวุโสก็กล้าตี ไร้การอบรมสั่งสอน”


 


 


เมิ่งเสียนยืนบังหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ฝ่ามือจางเถี่ยตบเข้ามาที่ใบหน้าเขาพอดี ใบหน้าเมิ่งเสียนบวมแดงฉับพลัน


 


 


“พี่ใหญ่!” เมิ่งฉีร้องอุทาน พุ่งตัวเข้ามา เตะอัดจางเถี่ยเต็มแรง


 


 


จางเถี่ยถูกแตะจนล้มไปกองกับพื้น


 


 


ภรรยาจางเถี่ยแผดเสียงกรีดร้อง “จางเถี่ย!” พาลูกๆ วิ่งมาตรงหน้าเขา


 


 


อารองของจางจู้โมโหจนตัวสั่น หันไปพูดกับพ่อจางจู้อย่างโมโหสุดขีด “พี่ใหญ่ ท่านยอมให้พวกเขาทำร้ายคนได้อย่างไร”


 


 


พ่อจางจู้ไม่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีจะลงมือทำร้ายคน ยืนตะลึงพรึงเพริด ได้ยินน้องชายตนเองถามเช่นนี้ ก็พูดไม่ออก


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นรีบเข้ามาต่อว่า “ฉีเอ๋อร์ ใครให้เจ้าทำร้ายคน ยังไม่รีบขอโทษ”


 


 


เมิ่งฉีไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ ยังคงถลึงตาใส่ครอบครัวนั้นอย่างเคืองขุ่น พ่อจางเถี่ยรู้ว่าเรื่องในวันนี้ด้วยครอบครัวตนเองไม่มีทางได้เรื่อง หันไปตะโกนบอกภรรยาจางเถี่ย “เจ้ารีบไปเรียกผู้ใหญ่บ้านมา บอกว่าเกิดเรื่องคอขาดบาดตายที่นี่”


 


 


ภรรยาจางเถี่ยรีบวิ่งออกไปหาผู้ใหญ่บ้าน


 


 


เมิ่งชื่อเดินขึ้นหน้า มองใบหน้าแดงบวมของเมิ่งเสียน เจ็บปวดใจน้ำตาไหลเผาะ


 


 


แม่จางจู้ก็ปวดใจแทบทนไม่ไหว หันไปด่าจางเถี่ยอย่างโกรธเกรี้ยว “น่าจะเตะหญิงไร้ยางอายนั่นให้ตายไปซะ”


 


 


พ่อจางจู้ดุว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องเกิดเพราะเจ้าทั้งนั้น”


 


 


แม่จางจู้พูดอย่างไม่ยอม “เรื่องเกิดเพราะข้าได้อย่างไร หากไม่เพราะคางคกอย่างพวกเขาคิดจะกินเนื้อหงส์ จะเกิดเรื่องเช่นนี้หรือ จะบอกให้นะ ประเดี๋ยวพอผู้ใหญ่บ้านมา เจ้าจงตัดขาดความสัมพันธ์กับพวกเขาไปด้วยเลย”


 


 


ภรรยาจางจู้และภรรยาจางเกินก็ปวดใจไม่น้อย ล้อมถามเมิ่งเสียนเป็นอะไรมากหรือไม่ จะให้ตามหมอมาดูหรือไม่


 


 


เมิ่งเสียนใบหน้าบวมแดง พูดปลอบใจ “ท่านป้าใหญ่ ท่านป้ารอง พวกท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่เป็นอะไร อีกสองวันก็หายดีแล้ว ไม่ต้องเชิญหมอมา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองใบหน้าเมิ่งเสียน ใบหน้าอึมครึมไม่พูดอะไร


 


 


ผู้ใหญ่บ้านได้ยินว่าเกิดเรื่องคอขาดบาดตาย ตะลีตะลานตามภรรยาจางเถี่ยมาทันที พอเห็นเหตุการณ์ในลานบ้าน ก็ตกใจตัวโยน ถามอย่างวางอำนาจ “เกิดเรื่องอันใดขึ้น”


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้คลานไปตรงหน้าผู้ใหญ่บ้าน ร้องไห้ฟูมฟาย “ท่านผู้ใหญ่บ้าน ท่านต้องให้ความยุติธรรมพวกเราด้วย พวกเราจะถูกฆ่าตายทั้งครอบครัวแล้ว”


 


 


ผู้ใหญ่บ้านมุ่นหัวคิ้ว พูดตวาด “มีอะไรค่อยพูดค่อยจา ร้องไห้ฟูมฟายข้าฟังไม่รู้เรื่อง”


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้หยุดร้องไห้ ใส่สีตีไข่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นอีกรอบ สุดท้ายพูดว่า “ผู้ใหญ่บ้าน พวกเขาลงมือเ**้ยมโหดนัก ตอนนี้ข้าเจ็บไปหมดทั้งตัวแล้ว”


 


 


ผู้ใหญ่บ้านมองชิงเอ๋อร์และจางเถี่ยที่นอนล้มอยู่ในลานบ้าน แล้วมองคนในครอบครัวภรรยาจางจู้ที่เต็มไปด้วยความเคืองแค้น พอจะเข้าใจเรื่องโดยรวมแล้ว ถามขึ้น “พ่อจางจู้ เกิดเรื่องอะไรขึ้น”


 


 


แม่จางจู้ตอบ “ไม่ใช่อย่างที่นางพูดสักนิด ทุกคนต่างก็เห็นกับตา เป็นพวกเขาที่ลงมือทำร้ายคนก่อน เด็กๆ เพียงแค่โต้กลับพวกเขา หาได้ร้ายแรงอย่างที่นางพูดไม่ นางต้องการจะป้ายสีพวกเรา”


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้โต้กลับ “ผู้ใหญ่สั่งสอนเด็กเป็นเรื่องสมควร พวกเราไม่ได้ทำอะไรผิดแม้แต่น้อย”


 


 


แม่จางจู้ตอบ “ลูกหลานของพวกเราไยต้องให้พวกเจ้ามาสั่งสอน เจ้าเป็นใครมาจากไหน”


 


 


ผู้ใหญ่บ้านตวาดคนทั้งสอง “พอแล้ว จะทะเลาะกันไปถึงไหน”


 


 


ทั้งสองเงียบปาก


 


 


ผู้ใหญ่บ้านหันไปพูดกับพ่อจางจู้ “ไม่ว่าอย่างไรพวกเจ้าก็ทำร้ายคนจนมีสภาพนี้ หากไม่ชดใช้ เรื่องจะจบไม่ลง”


 


 


แม่จางจู้คิดจะพูดอีก เมิ่งชื่อหันไปส่ายหน้าให้นาง


 


 


ผู้ใหญ่บ้านพูดกับอาสะใภ้รองของจางจู้ “ข้าเห็นเจ้าไม่ได้เป็นอะไรมาก…”


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้พูดแทรกเขา “ท่านผู้ใหญ่บ้าน ต่อหน้าคนทั้งหมู่บ้าน ท่านจะลำเอียงเช่นนี้ไม่ได้ เห็นไหมว่าหน้าข้าเต็มไปด้วยเลือด ยืนก็ยืนไม่ไหวแล้ว จะไม่เป็นอะไรมากได้อย่างไร”


 


 


ผู้ใหญ่บ้านโมโหเดือดดาล พูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “หากเจ้าเป็นอะไรจริง รีบไปหาหมอนานแล้ว ยังจะมาตีโพยตีพายอยู่เช่นนี้ได้หรือ”


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้ผ่อนน้ำเสียงอ่อนลง “ข้าก็เพียงกัดฟันทนไว้ คิดว่าพอพวกเขาชดใช้เสร็จค่อยไปหาหมอ อย่างไรเลือดก็ไหลแค่เล็กน้อยไม่ทำให้ถึงแก่ชีวิตได้”


 


 


แม้เสียงจะไม่ดังมาก แต่คนหูดีที่ได้ยินชัดเจน แอบหลุดขำ หันไปพูดให้คนข้างๆ ฟัง กลุ่มคนพากันหัวเราะร่วน


 


 


ผู้ใหญ่บ้านก็โมโหจนหัวเราะตาม ถามอย่างแหนงหน่าย “เจ้าจะให้พวกเขาชดใช้อย่างไร”


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้กลิ้งกลอกนัยน์ตา คิดใคร่ครวญ แล้วหันไปพูดกับผู้ใหญ่บ้านเสียงดัง “หากพวกเขาต้องการจบเรื่องในวันนี้ จะต้องรับปากพวกเราสามข้อ ไม่เช่นนั้นข้าจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด”


126.2 เรียกราคาเกินควร

 


 


 


ผู้ใหญ่บ้านถามขึ้น “สามข้อมีอะไรบ้าง”


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้พูด “ข้อหนึ่ง พวกเขาต้องชดให้ให้พวกเราหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึง พวกเราสามแม่ลูกคนละห้าสิบตำลึง”


 


 


คนที่มามุงดูเรื่องสนุกร้องอุทาน เงินหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึง กล้าเรียกเกินไปแล้ว


 


 


แม่จางจู้พูดอย่างเกรี้ยวกราด “ถุย อย่าว่าหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึง ตำลึงเดียวก็ไม่มี ฝันไปเถอะ”


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้ไม่สนใจ พูดต่อ “ข้อสอง พวกเขายังต้องชดใช้ผ้าแพรพรรณและเครื่องประดับ พวกเราไม่โลภมาก ขอเพียงหลานเอ๋อร์มอบผ้าแพรพรรณที่นำมาวันนี้กับเครื่องประดับบนศีรษะนางให้พวกเราก็พอ”


 


 


กลุ่มคนส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกำมือแน่น


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้เอ่ยปากพูดต่อ “ข้อสาม พวกเขาจักต้องรับปากเรื่องงานแต่งงานของเฉ่าเอ๋อร์และหลานชายคนโตของพวกเขา”


 


 


กลุ่มคนส่งเสียงฮือฮา คนในหมู่บ้านจำนวนไม่น้อยเป็นคนงานในโรงงาน ย่อมรู้ว่าตอนนี้บ้านเมิ่งร่ำรวย อาสะใภ้รองของจางจู้ยื่นข้อเสนอเช่นนี้ เห็นชัดว่าหวังเกาะกินบ้านเมิ่ง


 


 


สองสามีภรรยาเมิ่งไม่คิดว่าพวกเขาจะยื่นข้อเสนอเช่นนี้ พลันไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะ หัวเราะอย่างลุ่มลึก


 


 


คนงานที่ทำงานในโรงงานเห็นรอยยิ้มของนาง ขนลุกชูชันฉับพลัน รู้ว่ามีคนกำลังจะซวยแล้ว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับเมิ่งฉีเสียงก้องกังวาน “พี่รอง ไปเอามีดหั่นผักในครัวมาให้ข้า วันนี้ข้าจะทำให้พวกเขารู้ว่า คนของบ้านเราไม่ใช่จะรังแกได้ง่ายๆ”


 


 


เมิ่งฉีรับคำเสียงดัง เข้าไปหยิบมีดหั่นผักจากในครัวออกมา


 


 


กลุ่มคนตกอกตกใจ ต่างเข้าไปห้ามปราม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามกลุ่มคนเสียงแผ่ว “พวกท่านอยากให้พี่ใหญ่ข้าแต่งกับเฉ่าเอ๋อร์หรือ”


 


 


คนทั้งหมดหันหน้ามองกัน ทยอยหลีกทางให้


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถือมีดหั่นผักเดินมาตรงหน้าอาสะใภ้รองของจางจู้


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้ตกใจล้มลุกคลุกคลานไปแอบอยู่หลังผู้ใหญ่บ้าน


 


 


ผู้ใหญ่บ้านเห็นนางอายุยังน้อย กลับถือมีดหั่นผักเดินเข้ามา คิดจะพูดตำหนิว่า กลับสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวนาง ขวัญผวาจนพูดไม่ออก


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้ที่หลบหลังผู้ใหญ่บ้านถามขึ้นอย่างสั่นเทิ้ม “เจ้า เจ้าคิดจะทำอะไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย่อตัวลง ใช้น้ำเสียงให้ทุกคนได้ยินพูดว่า “ข้ามีอาสี่คนหนึ่ง ตอนที่พวกเราไปเปิดแผงขายของในเมือง เขาทำร้ายพี่ใหญ่ข้า เจ้ารู้ไหมว่าข้าทำอย่างไรกับเขา”


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้กลืนน้ำลาย ถามตัวสั่น “อย่างไร เจ้าทำอย่างไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบด้วยสีหน้าแน่นิ่ง “ตอนนั้นข้าใช้มีดหั่นผักตัดเส้นเอ็นขาเขาข้างหนึ่ง ให้เขาต้องกลายเป็นคนพิการไปทั้งชาติ”


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้กรีดร้อง กอดขาผู้ใหญ่บ้านแน่น “ผู้ใหญ่บ้าน ช่วยข้าด้วย”


 


 


ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกัน ต่อให้อายุปูนนี้ก็ตาม ผู้ใหญ่บ้านเองนอกจากภรรยาตนเองก็ไม่เคยถูกหญิงอื่นกอด ในตอนนี้ยังอยู่ต่อหน้าสายตาที่จับจ้องมา ต่อให้อาสะใภ้รองของจางจู้อายุมากแล้ว แต่หากถูกคนประสงค์ร้ายเอาไปพูดลับหลัง ภายหน้าตนเองคงไม่มีหน้าออกจากบ้าน จึงชักสีหน้าร้องตวาด “ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ เจ้ากำลังทำสิ่งใด”


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้ที่ตกใจจนลืมตัวกอดขาผู้ใหญ่บ้าน ถูกผู้ใหญ่บ้านตะคอกใส่จนได้สติ รีบคลานไปข้างอารองของจางจู้ พูดขึ้น “ตาเฒ่า ช่วยข้าด้วย”


 


 


อารองของจางจู้มองเมิ่งเชี่ยนโยวถือมีดหั่นผักเดินเข้ามา ก็ตกใจลนลาน ฝืนถามขึ้น “เจ้าต้องการสิ่งใด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น พูดว่า “ไม่ใช่ข้าต้องการสิ่งใด แต่ข้าที่เป็นฝ่ายต้องถาม พวกท่านต้องการสิ่งใด”


 


 


ในกลุ่มคนมีคนคล้ายต้องการจะช่วยอารองของจางจู้ร้องตะโกนขึ้น “อารองจาง ที่นางพูดเป็นความจริง ครึ่งปีมาแล้ว อาสี่ของเขายังนอนเคลื่อนไหวไม่ได้อยู่บนเตียง ข้าว่าพวกเจ้านิดหน่อยก็พอแล้ว หากทำให้นางโมโห นางสามารถทำได้ทุกอย่าง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองคนผู้นั้นอย่างชื่นชม


 


 


คนผู้นั้นขยี้หัวหัวเราะแหะๆ อย่างเก้อเขิน


 


 


อารองของจางจู้ได้ยินพวกเขาพูดเช่นนี้ ยิ่งหวาดผวา กลับยังฝืนพูดต่อ “นางกล้า ในสายตานางยังมีกฎหมายหรือไม่”


 


 


กลุ่มคนมีคนพูดขึ้นอีก “นางรู้จักท่านผู้ว่าการตำบล ไหนเลยจะต้องกลัวกฎหมาย ตอนที่นางตัดเส้นเอ็นขาอาสี่ตัวเอง ท่านผู้ว่าการตำบลก็ทำอะไรนางไม่ได้”


 


 


อารองของจางจู้กลืนน้ำลายถามคนผู้นั้น “เจ้าพูดเป็นความจริง”


 


 


คนผู้นั้นพยักหน้า “ไม่เชื่อเจ้าถามคนอื่น”


 


 


คนไม่น้อยพยักหน้า


 


 


ผู้ใหญ่บ้านที่พอได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวรู้จักกับท่านผู้ว่าการตำบล หัวใจหล่นวูบ หันไปพูดกับอารองของจางจู้ “เฒ่าจาง ข้าว่าภรรยาเจ้าก็ไม่ได้เป็นอะไรมา ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าถอยคนละก้าว ข้าจะอยู่ตรงกลางเป็นพยานให้พวกเจ้า”


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้รู้สึกไม่ยอม แต่พอมองมือหั่นผักในมือเมิ่งเชี่ยนโยว ก็ไม่กล้าปริปาก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองมีดหั่นผักในมือ พูดเนิบนาบ “ครั้งนี้พวกเจ้าต้องคิดให้ดีๆ ว่าจะเสนอเงื่อนไขอะไร มีดหั่นผักในมือข้าบินได้นะ ถ้าไม่พอใจ ไม่แน่ว่าจะบินไปอยู่บนตัวใคร”


 


 


ภรรยาจางจู้และภรรยาจางเกินหันหลังไปแอบหัวเราะ


 


 


จางจู้และจางเกินมองพวกนางแวบหนึ่ง ยิ้มโค้งที่มุมปาก


 


 


เมิ่งชื่อและเมิ่งเอ้ออิ๋นสบตากันอย่างจนใจ


 


 


พ่อแม่จางจู้เผยรอยยิ้มชมเชย


 


 


เมิ่งฉี เมิ่งอี้เซวียน เมิ่งเจี๋ยมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างยกย่อง


 


 


อึดใจต่อมา อาสะใภ้รองของจางจู้พูดตัวสั่นเทิ้ม “พวกเราต้องการเพียงเงินหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึง ที่เหลือไม่ต้องการแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเปล่งเสียง “หือ” กวัดแกว่งมีดหั่นผักในมือ


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้ลนลานร้องเสียงหลง “หนึ่งร้อยตำลึง น้อยกว่านี้ไม่ได้แล้ว”


 


 


กลุ่มคนหัวเราะครืน


 


 


อารองของจางจู้หน้าแดงก่ำ


 


 


แม่จางจู้ไม่ยินยอม “ไม่ได้ พวกเขาเข้ามาก่อกวนก่อน ทำไมพวกเราต้องให้เงินพวกเขา สักอีแปะเดียวก็ไม่ให้”


 


 


พ่อจางจู้พูดเอ็ด “เจ้าไม่ต้องหาเรื่องแล้ว ให้เด็กจัดการเอง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นนิ้วออกไปสองนิ้ว พูดว่า “ยี่สิบตำลึง ข้ายังต้องเพิ่มข้อเสนออีกหนึ่งข้อ”


 


 


ชิงเอ๋อร์พูดขึ้น “ยี่สิบตำลึงน้อยเกินไป แม่ข้าถูกตีจนมีสภาพเช่นนี้ ต้องใช้เงินรักษาไม่น้อย พี่ชายข้าก็ถูกเตะไม่เบา อย่างไรก็ต้องฟื้นตัวอีกระยะหนึ่ง ข้ายิ่งไม่ต้องพูดถึง เจ็บปวดไปทั้งตัว อีกอย่าง ยี่สิบตำลึงพวกเราสามคนจะแบ่งกันอย่างไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “เช่นนั้นก็สิบห้าตำลึง คนละห้าตำลึง”


 


 


เมิ่งเจี๋ยไม่คิดว่านางจะให้น้อยลงไปอีกห้าตำลึง มึนงงพูดไม่ออก


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้พูดอย่างหวาดกลัว “ห้าสิบตำลึง น้อยกว่านี้ไม่ได้แล้ว หากพวกเจ้าไม่รับปาก ข้าจะนอนตายอยู่ในลานบ้านของพวกเจ้า”


 


 


แม่จางจู้พูดอย่างเคืองขุ่น “เจ้าฝันไปเถอะ เงินห้าสิบตำลึงซื้อที่ดีๆ ได้เป็นสิบหมู่ เหตุใดต้องให้พวกเจ้าเปล่าๆ ให้สิบห้าตำลึง หากพวกเจ้าไม่ตกลง สักอีแปะเดียวก็ไม่มี”


 


 


เมิ่งชื่อพูดเกลี้ยกล่อม “ท่านแม่ ช่างเถอะ ห้าสิบตำลึงก็ห้าสิบตำลึงเถอะ ปีใหม่ทั้งที พวกเราจ่ายเงินซื้อความสงบสุข”


 


 


แม่จางจู้ปฏิเสธเสียงแข็ง “ไม่ได้ แค่สิบหน้าตำลึง มากกว่านี้สักอีแปะก็ไม่ให้”


 


 


เมิ่งชื่อจนปัญญา ร้องเรียก “โยวเอ๋อร์” บอกเป็นนัยให้นางรับปากให้ห้าสิบตำลึง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทีลำบากใจของเมิ่งชื่อ ยื่นนิ้วมือออกไปสามนิ้ว “เห็นแก่แม่ข้า ข้าจะให้พวกท่านสามสิบตำลึง แต่ข้ายังมีเงื่อนไข”


 


 


สามสิบตำลึงก็มากพอให้คนในชนบทหาทั้งชีวิตแล้ว อาสะใภ้รองของจางจู้ยินดีปรีดา ถามขึ้น “เงื่อนไขอะไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ต่อหน้าผู้ใหญ่บ้านและคนทั้งหมู่บ้าน วันนี้พวกท่านจงเขียนหนังสือรับรอง นับจากนี้ไปไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับบ้านท่านยายข้าอีก”


 


 


“ไม่มีทาง” อารองของจางจู้ตอบกลับ “เราสองคนเป็นพี่น้องกันแท้ๆ จะไม่เกี่ยวข้องกันได้อย่างไร”


 


 


พ่อจางจู้ไม่ได้พูดอะไร


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว พวกท่านคิดว่าจะไสหัวออกไปเอง หรือจะให้ข้าตีออกไปดี”


 


 


“อย่าๆๆ” อาสะใภ้รองของจางจู้รีบร้อนพูด จากนั้นก็หันไปตะคอกใส่อารองของจางจู้ “เจ้าโง่ มีเงินสามสิบตำลึงนี้ ภายหน้าพวกเราจะมีกินมีใช้ไม่ขัดสนแล้ว เจ้าเอาพี่ใหญ่ไปมีประโยชน์อันใด พวกเขาร่ำรวยแล้วแบ่งเงินให้เจ้า ทำของอร่อยส่งไปให้เจ้าหรือไร”


 


 


อารองของจางจู้ดึงดันตอบ “อย่างไรข้าก็ไม่เห็นด้วยให้ตัดขาดความสัมพันธ์”


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้ตบหน้าขาตัวเองร้องไห้โวยวาย “สวรรค์ช่วยข้าด้วย พวกเราอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว มีสามีเฒ่าโง่เขลาดื้อรั้น เงินสามสิบตำลึงมาถึงมือแล้วกลับผลักออกไปอย่างไม่ไยดี เถี่ยเอ๋อร์ ชิงเอ๋อร์ ลูกที่อาภัพของแม่ แม่ผิดต่อพวกเจ้า เดิมทีแม่คิดจะให้พวกเจ้าคนละสิบตำลึง ตอนนี้ดีแล้ว พ่อเจ้าทำพังไม่เหลือชิ้นดีแล้ว”


 


 


จางเถี่ยได้ยินเสียงร้องไห้ พูดเว้าวอน “ท่านพ่อ ท่านรับปากเถอะ บ้านพวกเราแทบจะไม่มีกินแล้ว เงินสิบตำลึงนี้จะได้นำมารักษาชีวิต”


 


 


ชิงเอ๋อร์ก็ร้องไห้คร่ำครวญ “ท่านพ่อ ท่านรับปากเถอะ เฉ่าเอ๋อร์โตแล้ว แม้แต่เครื่องประดับดีๆ สักชิ้นก็ไม่มี จะหาสามีให้นางอย่างไร”


 


 


ทั้งลานบ้านเต็มไปด้วยเสียงร้องโหยไห้ของคนทั้งครอบครัว อารองของจางจู้มองคนในครอบครัวตัวเอง แล้วมองใบหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ของพ่อจางจู้ กัดฟันพูด “ได้ ข้าตกลงจะตัดขาดความสัมพันธ์”


 


 


เสียงร้องไห้คร่ำครวญในลานบ้านหยุดชะงักพลัน


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้กลัวอารองของจางจู้จะกลับคำ ลนลานเข้าไปพูดกับผู้ใหญ่บ้าน “ผู้ใหญ่บ้าน ตาเฒ่าของข้าตกลงแล้ว ท่านรีบเขียนหนังสือรับรองเถอะ”


 


 


ผู้ใหญ่บ้านมองดูครอบครัวที่มีสายตาตื้นเขิน ส่ายหน้าพลางหันไปพูดกับจางจู้ “เจ้าไปบ้านข้านำเครื่องเขียนมาที่นี่ ข้าจะเขียนหนังสือรับรองให้พวกเจ้าเดี๋ยวนี้”


 


 


จางจู้สาวเท้าวิ่งออกไป


 


 


เฉ่าเอ๋อร์เดินบิดไปบิดมามายืนข้างชิงเอ๋อร์ ร้องเรียกด้วยน้ำเสียงวิงวอน “ท่านแม่”


 


 


ชิงเอ๋อร์ลุกขึ้นยืน หันไปพูดกับเฉ่าเอ๋อร์ “เฉ่าเอ๋อร์ แม่รับปากเจ้า ช่วงเวลานี้แม่จะหาคนที่ดีกว่านี้ให้เจ้า รับรองว่าเจ้าจะต้องได้กินดี อยู่ดี มีเครื่องประดับประโคมกาย ไปไหนมีสาวรับใช้ติดตาม บ้านแร้นแค้นอย่างพวกเขาพวกเราไม่ต้องการ”


 


 


เฉ่าเอ๋อร์ไม่ยินยอม แกว่งแขนนางพูดขึ้น “แต่ข้าพึงพอใจเขาแล้ว”


 


 


ชิงเอ๋อร์เริ่มหมดความอดทน ตวาดเสียงต่ำ “เจ้าลูกคนนี้เป็นอะไรไปแล้ว เจ้าสำคัญหรือเงินสิบตำลึงที่สำคัญ”


 


 


เฉ่าเอ๋อร์ไม่กล้าปริปากอีก มองเมิ่งเสียนอย่างอาลัยอาวรณ์


 


 


เมิ่งอี้เซวียนนึกถึงท่าทีไม่สนอีร้าค่าอีรม ยัดทุกอย่างที่ขวางหน้าเข้าปากตอนที่กินอาหารกลางวันของนาง เกือบจะสำลักออกมา


 


 


จางจู้นำเครื่องเขียนกลับมาโดยไว ผู้ใหญ่บ้านให้จางจู้ไปยกโต๊ะออกมา จางจู้เข้ามาในโถงกลาง ยกโต๊ะที่ล้มพับออกมา ภรรยาจางจู้รีบหยิบผ้าขี้ริ้วมาเช็ดทำความสะอาด


 


 


ต่อหน้าคนในหมู่บ้าน ไม่นานผู้ใหญ่บ้านก็เขียนหนังสือรับรองเสร็จ ทำการอ่านให้ทุกคนฟัง “ณ บัดนี้ จางเหอและจางโหย่วสองพี่น้องยินยอมพร้อมใจจะตัดขาดความสัมพันธ์ นับจากนี้ไม่ว่าเจ็บไข้ป่วยตาย ไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีก” อ่านจบหันไปพูดกับทั้งสองคน “หากพวกเจ้าสองคนไม่มีข้อโต้แย้ง ก็ประทับรอยนิ้วมือบนหนังสือรับรองนี้ คนละฉบับ นับจากนี้ไปพวกเจ้าไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ต่อกัน”


 


 


พ่อจางจู้นิ่งเงียบไปชั่วขณะ ถึงประทับรอยนิ้วมือ


 


 


อารองของจางจู้ก็ประทับรอยนิ้วมือ


 


 


ผู้ใหญ่บ้านนำหนังสือรับรองสองฉบับแบ่งให้พวกเขาคนละหนึ่งฉบับ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวล้วงเงินสามสิบตำลึงออกมาจากอกมอบให้ผู้ใหญ่บ้าน


 


 


คนในหมู่บ้านไม่เคยเห็นเงินมากเช่นนี้ในคราเดียว ต่างเบิกตาโพล่ง แม้แต่ผู้ใหญ่บ้านที่รับเงินมายังมือสั่นไม่หยุด


 


 


อาสะใภ้รองของจางจู้ลุกพรวดขึ้นมาจากพื้น แย่งเงินมาจากมือผู้ใหญ่บ้าน หันไปพูดกับจางเถี่ยและชิงเอ๋อร์ “เถี่ยเอ๋อร์ ชิงเอ๋อร์ พวกเรากลับบ้าน”


 


 


จางเถี่ยลุกขึ้นมาจากพื้น พาภรรยาและลูกเดินกระเผลกตามกลับบ้านไป


 


 


ชิงเอ๋อร์ก็ไม่ยอมแพ้ หันไปส่งสายตาให้สามี สามีเข้าใจทันที พาลูกๆ หุนหันเดินตามออกไป


 


 


เฉ่าเอ๋อร์ยังมองไปที่เมิ่งเสียน ชิงเอ๋อร์กระชากนางพาลากกลับบ้าน


 


 


อารองของจางจู้มองครอบครัวจางจู้แวบหนึ่ง ถอนหายใจ เดินกลับบ้านไป


 


 


ผู้ใหญ่บ้านเห็นพวกเขาไปแล้ว หันไปพูดกับจางจู้และคนอื่นๆ อีกเล็กน้อย ถึงเก็บเครื่องเขียน แล้วกลับบ้านไป


 


 


คนที่มาดูเรื่องสนุกโดยรอบก็ทยอยแยกย้ายกลับไป


126.3 เรียกราคาเกินควร

 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่คิดเลยว่าจะมียายรองชั้นเลิศเช่นนี้ มาอาศัยกินอาศัยดื่มไม่ว่า ยังกล้าวางแผนจะมาดองกับพวกเขา


 


 


พ่อจางจู้กลับเข้าบ้านไปอย่างเศร้าสร้อย


 


 


มิ่งชื่อคิดจะเข้าไปพูดโอ้โลม


 


 


แม่จางจู้รั้งนางไว้ พูดว่า “ไม่ต้องไปสนพ่อเจ้า ไม่กี่วันก็ดีเอง แม่ต้องอดกลั้นมานานหลายปี ในที่สุดก็ได้ปลดปล่อยแล้ว ไป แม่จะไปทำบะหมี่ให้พวกเจ้า เด็กๆ ยังไม่ได้กินข้าวเลย”


 


 


เมิ่งชื่อจำต้องเดินตามเข้าไปในครัว


 


 


ภรรยาจางจู้และภรรยาจางเกินนวดแป้งเสร็จแล้ว แม่จางจู้นำเขียงมาวาง เริ่มลงมือคลึงเส้นบะหมี่ เมิ่งชื่อคิดจะทำ แม่จางจู้อย่างไรก็ไม่ยอม บอกว่าวันนี้ตนเองมีความสุข จะทำบะหมี่ให้บุตรสาวกินด้วยตัวเอง


 


 


จางจู้และจางเกินรวมถึงเมิ่งเอ้ออิ๋นเดินเข้ามาในบ้าน เห็นพ่อจางจู้ที่ดูไม่มีความสุข ไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใด


 


 


พ่อจางจู้ถอนหายใจพูดขึ้น “เมื่อก่อนพวกเขาจะมาก่อกวนไม่เว้นวัน ข้ากับแม่เจ้าอยากจะตัดความสัมพันธ์กับพวกเขาให้รู้แล้วรู้รอด ตอนนี้ตัดสัมพันธ์จริงๆ แล้ว ข้ากลับรู้สึกใจหวิว บอกไม่ถูก”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นพูดขึ้น “ท่านพ่อตา ขอโทษด้วย เรื่องเกิดเพราะเด็กๆ โดยแท้ ทำให้ท่านต้องลำบากใจ”


 


 


พ่อจางจู้โบกมือ “ต้องขอบใจเด็กๆ ที่มีส่วนช่วยในครั้งนี้ ไม่เช่นนั้นอย่างไรข้าก็ไม่มีทางตัดใจตัดความสัมพันธ์กับพวกเขาได้ เช่นนี้ดีแล้ว เลี่ยงไม่ให้พวกเขารู้ว่าบ้านเรามีเงินแล้ว คอยมาก่อกวนที่บ้านทุกวัน สร้างหายนะที่ร้ายแรงกว่านี้”


 


 


ภรรยาจางจู้และภรรยาจางเกินเก็บกวาดบ้านเสร็จ เดินมาห้องครัว แม่จางจู้คลึงบะหมี่เสร็จแล้ว ทั้งสองเติมน้ำติดไฟ ไม่นานบะหมี่ร้อนกรุ่นก็ออกจากเตา


 


 


ภรรยาจางจู้จัดวางถ้วยตะเกียบใหม่ ร้องเรียก “กินข้าวแล้ว เด็กๆ รีบมากินข้าวได้แล้ว”


 


 


เด็กๆ เดินเฮโลออกมา นั่งประจำที่บนเก้าอี้


 


 


ภรรยาจางจู้พูดกระเซ้า “โยวเอ๋อร์และอี้เซวียนยังไม่ได้กินข้าว พวกเจ้าตามมาทำอะไรด้วย”


 


 


จางเชาตอบ “ท่านแม่ พวกเขากินข้าวแบบนั้น พวกเราเห็นแล้วสะอิดสะเอียน หาได้กินอิ่มไม่”


 


 


ภรรยาจางจู้ไม่พูดอีก ตักบะหมี่ให้เด็กๆ คนละถ้วย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนหิวมากจริงๆ ต่างก้มหน้ากินคำโต


 


 


แม่จางจู้เข้ามาพอดี เห็นเด็กๆ ในสภาพหิวโหย ดวงตาแดงเรื่อ ก่นด่า “มื้ออาหารที่ดีถูกพวกเขาก่อกวนจนพัง ไม่สมควรให้เงินสามสิบตำลึงแกพวกเขานัก”


 


 


เมิ่งชื่อพูดโน้มน้าว “ท่านแม่ เงินก็ให้ไปแล้ว หนังสือรับรองตัดขาดความสัมพันธ์ก็ทำแล้ว ต่อไปพวกเขาไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา มาก่อกวนไม่ได้อีกแล้ว ท่านอย่าโมโหอีกเลย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลืนบะหมี่ในปาก พูดกับท่านยาย “ท่านยาย บะหมี่ที่ท่านทำอร่อยจริงๆ”


 


 


แม่จางจู้ยิ้มหน้าบาน พูดอย่างดีใจ “อร่อยก็กินเยอะๆ ไม่พอเดี๋ยวยายจะไปทำให้อีก”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ก้มหน้ากินบะหมี่ต่อ


 


 


เด็กทั้งหมดกินบะหมี่กระทะใหญ่ ภรรยาจางจู้ตาโตอ้าปากค้าง ถามภรรยาจางเกินอย่างเป็นกังวล “เด็กๆ จะจุกหรือไม่”


 


 


ภรรยาจางเกินหัวเราะ “พี่สะใภ้ใหญ่ ตอนนี้เป็นเวลาไหนแล้ว เด็กๆ ต่างหิวกันนานแล้ว กินเยอะหน่อยไม่เป็นไร”


 


 


ภรรยาจางจู้ยังคงไม่วางใจ เดินเข้าไปดูในบ้าน เห็นเด็กๆ พูดคุยสรวลเสเฮฮา ไม่มีอาการว่ากินเยอะเกินไป ถึงได้วางใจ เรียกผู้ใหญ่ออกมากินข้าว


 


 


คนทั้งหมดต่างก็หิวแล้ว แต่ละคนจึงกินไปไม่น้อย


 


 


หลังจากกินข้าวเสร็จ ภรรยาจางจู้และภรรยาจางเกินเก็บกวาดถ้วยชาม แม่จางจู้นั่งบนเตียงคุยสัพเพเหระกับบุตรสาว


 


 


เด็กทั้งหมดเข้าไปในห้องจางเชา รุมล้อมถามเมิ่งฉีว่าลูกเตะเมื่อครู่เขาทำอย่างไร เมิ่งฉีเกาหัวเก้อเขิน หันมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า เมิ่งฉีเข้าใจทันที พูดขึ้น “ข้าเห็นเขาตีพี่ใหญ่ เตะออกไปด้วยความโมโห ข้าก็ไม่รู้ว่าเตะอย่างไร”


 


 


จางเชาและคนอื่นๆ รู้สึกผิดหวัง แต่ก็ลองเลียนแบบท่าเตะของเมิ่งฉี ถามเขาว่าถูกต้องหรือไม่ เมิ่งฉีพยักหน้า คนทั้งหมดดีใจลิงโลด


 


 


หลังจากภรรยาจางจู้และภรรยาจางเกินเก็บกวาดเสร็จ ก็กลับเข้ามาในบ้านพูดคุยกับแม่จางจู้และเมิ่งชื่ออย่างสนิทสนมเป็นกันเอง


 


 


“พี่จางจู้อยู่บ้านหรือไม่” มีคนถามขึ้นจากลานบ้าน


 


 


จางจู้ออกไปดู เห็นคนรู้จักในหมู่บ้านเดียวกันรีบร้อนพูด “พวกเจ้ามาแล้ว รีบเข้ามาในบ้านเถอะ”


 


 


คนทั้งหมดโบกมือ พูดขึ้น “ไม่ต้องแล้ว พวกเราเพียงแค่แวะมาถาม โรงงานบ้านน้องสาวเจ้ายังรับสมัครคนงานหรือไม่ พวกเราอยากตามไปทำงานด้วย”


 


 


จางจู้ตอบ “เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้ ข้าจะช่วยถามให้” พูดจบ ร้องตะโกนเรียก “โยวเอ๋อร์ เจ้าออกมาหน่อย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำเดินออกมา ถามด้วยรอยยิ้ม “ท่านลุงใหญ่ มีเรื่องอันใด”


 


 


จางจู้ตอบ “พวกเขาเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน แวะมาถามว่าโรงงานพวกเรายังรับสมัครคนงานหรือไม่ พ้นปีใหม่ พวกเขาอยากไปทำงานด้วย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย่นหัวคิ้ว


 


 


จางจู้รีบพูดต่อ “วางใจเถอะ พวกเขาล้วนเป็นคนทำงานแข็งขัน ตอนที่พวกเรารับสมัครคน พวกเขาไปทำงานต่างถิ่นพอดี จึงมาไม่ทัน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าพูดว่า “หลังจากปีใหม่ อากาศอบอุ่น กุนเชียงและเนื้อรมควันจะขายได้น้อยลง โรงงานของเรายังอาจต้องปลดคนงานบางส่วนออก”


 


 


คนทั้งหมดแสดงสีหน้าผิดหวัง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “แต่ว่า ข้าอาจจะมีงานอื่นที่ต้องจ้างคนมาทำ ส่วนจะรับคนมากเท่าไหร่ยังไม่ได้กำหนด หากถึงตอนนั้นพวกท่านยังไม่มีงานทำ ให้มาทำงานได้”


 


 


คนทั้งหมดแย่งกันกล่าวขอบใจ เดินแยกย้ายกลับไป


 


 


จางจู้ถามขึ้น “โยวเอ๋อร์ หลังปีใหม่เจ้ายังมีงานอะไรต้องใช้คน คิดจะใช้คนจำนวนเท่าใด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ท่านลุงใหญ่ ข้าคิดจะซื้อภูเขาร้างหลายลูก ปลูกของบางอย่าง ถึงตอนนั้นจะต้องหาคนจำนวนมากมาหักล้างถางพง”


 


 


จางจู้เป็นเดือดเป็นร้อน “ภูเขาร้างจะปลูกอะไรขึ้นได้อย่างไร สู้เจ้าซื้อที่อุดมสมบูรณ์สำหรับเพาะปลูกจะดีกว่า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเอนตัวเข้าหาเขา พูดกระซิบกระซาบ “ลุงใหญ่ ข้าต้องการปลูกสมุนไพรจำพวกหนึ่ง มีแต่บนเขาที่จะเจริญเติบโตได้”


 


 


จางจู้เข้าใจพลัน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “ผ่านไปสักสองสามวันหากท่านไม่มีอะไรทำ ก็ไปสืบถามจากผู้ใหญ่บ้านให้ข้าหน่อย ว่าภูเขาร้างขายอย่างไร ถ้าขายไม่แพง ข้าจะซื้อเพิ่มอีกหลายลูก”


 


 


จางจู้พยักหน้า “ไม่มีปัญหา เป็นหน้าที่ลุงใหญ่เอง ลุงใหญ่จะต้องสืบได้ความมาให้เจ้า”


 


 


“ขอบคุณลุงใหญ่” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว


 


 


จางจู้พูด “ขอบใจอะไร เจ้าช่วยลุงใหญ่ตั้งมากมาย ลุงใหญ่ช่วยเจ้าแค่นี้เทียบกันไม่ได้เลย”


 


 


ทั้งสองกลับเข้าบ้าน


 


 


ภรรยาจางจู้ถามขึ้น “พวกเจ้าคุยอะไรกัน ดีอกดีใจเช่นนี้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ข้าอยากให้ลุงใหญ่ช่วยซื้อภูเขาร้างให้ข้าสองสามลูก ลุงใหญ่บอกว่าเดี๋ยวเขาจัดการให้เอง ข้าก็เลยดีใจมาก”


 


 


ภรรยาจางจู้ถามด้วยอารามตกใจ “ภูเขาร้างปลูกอะไรก็ไม่ขึ้น เจ้าจะซื้อไปทำสิ่งใด”


 


 


จางจู้พูด “โยวเอ๋อร์อยากซื้อย่อมต้องมีเหตุผลของนาง เจ้าจะถามมากไปทำไม”


 


 


ภรรยาจางจู้หุบปาก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะไม่ได้พูดอะไร


 


 


ทั้งครอบครัวพูดคุยอย่างสนุกสนานเป็นกันเอง กระทั่งบ่ายคล้อย เมิ่งเอ้ออิ๋นเห็นว่าฟ้าใกล้จะมืดแล้ว ถึงพูดขึ้น “ท่านพ่อตาแม่ยาย พวกเราควรกลับแล้ว”


 


 


แม่จางจู้มองท้องฟ้า รู้ว่าหากบุตรสาวยังไม่กลับ ฟ้าก็จะมืด พูดอย่างอาลัยอาวรณ์ “วันนี้พวกเจ้าทั้งหมดอย่าไปเลย ค้างที่นี่สักคืน พรุ่งนี้ค่อยกลับ”


 


 


เมิ่งชื่อหัวเราะตอบว่า “ท่านแม่ เหรินเอ๋อร์บุตรชายพี่สะใภ้ใหญ่จะหมั้นหมายวันที่สิบ สิ่งของทุกอย่างยังไม่ได้ซื้อหา ข้ารับปากพี่สะใภ้ใหญ่แล้ว จะเข้าเมืองไปซื้อของหมั้นพร้อมนาง เรื่องนี้จะให้ล่าช้าไม่ได้”


 


 


แม่จางจู้ได้ฟัง รู้ว่าเรื่องนี้จะให้ล่าช้าไม่ได้ จึงไม่ดึงรั้งอีก


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นตระเตรียมรถม้า ทั้งครอบครัวบอกลาครอบครัวบ้านแม่เมิ่งชื่อ เดินทางกลับบ้านอย่างมีความสุข


 


 


ตอนที่มาถึงบ้าน ฟ้ามืดสนิทแล้ว หลังจากลงจากรถม้า เมิ่งชื่อเปลี่ยนกลับมาใส่เสื้อผ้าปกติ เข้าครัวไปทำอาหาร


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้าห้อง หยิบยาขวดน้อยเข้ามาในห้องเมิ่งเสียน พูดกับเมิ่งเสียนว่า “พี่ใหญ่ ท่านใช้ยานี้ทาใบหน้า พรุ่งนี้ก็จะดีขึ้น”


 


 


เมิ่งเสียนรับขวดยามา ดึงจุกออก ใช้นิ้วมือแตะๆ บรรจงทาถูใบหน้า


 


 


วันถัดมา ใบหน้าที่บวมแดงของเมิ่งเสียนก็ยุบตัวลง


 


 


เมิ่งชื่อกินข้าวเสร็จ ก็มาที่บ้านใหญ่เมิ่ง หญิงชราเมิ่งและภรรยาเมิ่งต้าจินกำลังปรึกษากันเรื่องของหมั้นหมาย


 


 


คนทั้งหมดตั้งวงปรึกษา สุดท้ายได้บทสรุปว่า ผ้าเนื้อละเอียดสองพับ ผ้าไหมเนื้อดีสองพับ ขนมชั้นเลิศสองกล่องและเนื้อหมูยี่สิบจิน สำหรับเครื่องประดับให้ซื้อกำไลเงินน้ำงามหนึ่งคู่และต่างหูอีกหนึ่งคู่


 


 


หลังจากปรึกษาเสร็จ ภรรยาเมิ่งต้าจินก็เร่งเร้าเมิ่งต้าจินให้ไปบังคับรถเทียมเกวียน เพื่อไปซื้อของในเมือง


 


 


เมิ่งชื่อส่งยิ้มพูด “พี่สะใภ้ อย่าเพิ่งใจร้อน บ้านพวกเรามีผ้าเนื้อละเอียดที่คุณชายจูและคุณชายเซี่ยให้มาเป็นของขวัญปีใหม่ ท่านไปลองดูก่อน หากมีที่เหมาะสมก็เลือกมาสองพับ”


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินโบกมือ “น้องสะใภ้ ได้อย่างไรกัน ผ้าแพรพรรณพวกนั้นมอบให้กับพวกท่าน พวกเราจะเอามาใช้ได้อย่างไร เจ้าช่วยเข้าเมืองไปซื้อเป็นเพื่อนข้าเถอะ”


 


 


เมิ่งชื่อพูดขึ้น “พี่สะใภ้ใหญ่ มีมากมายนัก พวกเราใส่ไม่ทัน วางไว้ก็เกะกะเปล่าๆ เจ้าไม่ต้องเกรงใจแล้ว รีบตามข้าไปเลือกสักสองพับ” พูดจบ ดึงแขนภรรยาเมิ่งต้าจินเดินออกไป


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินสู้แรงไม่ได้ จำต้องเดินตามออกมา เดินไปพูดไป “น้องสะใภ้ ครอบครัวพวกเราอาศัยประโยชน์จากพวกเจ้ามากมายแล้ว จะเอาผ้าแพรพรรณจากพวกเจ้ามาอีกได้อย่างไร”


 


 


เมิ่งชื่อหัวเราะพาภรรยาเมิ่งต้าจินมาถึงบ้านตนเอง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังอยู่ในลานบ้าน เห็นภรรยาเมิ่งต้าจินเข้ามา ส่งยิ้มทักทาย “ท่านป้าใหญ่ ท่านมาแล้ว”


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินหัวเราะแก้เก้อ


 


 


เมิ่งชื่อหันไปพูดกับนาง “แม่กับท่านย่าเจ้าและป้าใหญ่ปรึกษากันแล้ว ตอนหมั้นหมายจะเตรียมผ้าละเอียดสองพับ ผ้าไหมสองพับให้แม่หนูคนนั้น ป้าใหญ่เจ้าคิดจะเข้าไปซื้อในเมือง แม่คิดว่าบ้านของพวกเรามีอยู่ จึงให้ป้าใหญ่มาเลือกหาไป”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างไม่สนใจ “คุณชายจูและคุณชายเซี่ยส่งมาให้ตั้งมาก ท่านกับป้าใหญ่เลือกตามสบาย พอใจแบบไหนก็เอาไปเถิด”


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินยังยืนหยัดพูดต่อ “นี่เป็นงานหมั้นของเหรินเอ๋อร์ จะมาเอาสิ่งของจากบ้านพวกเจ้าได้อย่างไร ข้าเข้าไปซื้อในเมืองดีแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาตรงหน้านาง พูดสัพยอก “ป้าใหญ่ ผ้าที่คุณชายจูและคุณชายเซี่ยส่งมาให้ล้วนเป็นผ้าชั้นดี มีราคาสูงลิบ หากท่านนำผ้าเช่นนี้ไปหมั้นหมาย รับรองจะต้องเป็นที่โจษจัน ท่านแน่ใจว่าไม่ต้องการ”


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินได้ยินนางพูด ยิ่งรู้สึกไม่ดี พูดขึ้น “ผ้าเนื้อดีเช่นนั้น ป้ายิ่งไม่ควรเอา พวกเจ้าเก็บไว้ตัดเสื้อผ้าใส่เองเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่คิดว่าจะได้ผลลัพธ์ตรงกันข้าม พลันพูดไม่ออก


 


 


เมิ่งชื่อฝืนลากภรรยาเมิ่งต้าจินเข้าไปในบ้าน ชี้กองผ้าในห้องพูดกับนาง “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านดูผ้ามากขนาดนี้ พวกเราไม่มีทางใส่หมด ท่านเลือกไปสักสองพับเถอะ”


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินมองดูสิ่งของเต็มห้องถึงกับเดาะลิ้น เลือกผ้าเนื้อละเอียดสีแดงออกมาหนึ่งพับ ผ้าไหมสีชมพูหนึ่งพับ


 


 


ทั้งสองเลือกผ้าเสร็จ ก็กลับมาบ้านใหญ่เมิ่ง หญิงชราเมิ่งเห็นผ้าสองพับ พูดอย่างยินดี “สะใภ้ใหญ่ หากพวกเรานำผ้าสองพับนี้ไปหมั้นหมาย ในละแวกใกล้เคียงนี้คาดว่าไม่มีใครเทียบพวกเราได้ ถึงตอนนั้นจักต้องมัดใจแม่หนูให้ยอมแต่งเข้าบ้านเราได้อย่างหน้าชื่นตาบาน”


127.1 หมั้นหมาย

 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินพยักหน้า แย้มยิ้มพลางเอ่ย “หากเป็นเช่นนั้นได้จริงจะดีมาก เหรินเอ๋อร์อายุได้สิบแปดปีแล้ว ควรมีคู่ครองนานแล้ว ถือว่าได้ขจัดเรื่องแน่นอกพวกเราไปได้เปราะหนึ่ง”


 


 


หญิงชราเมิ่งและเมิ่งชื่อพยักหน้าพร้อมกัน


 


 


เมื่อมีผ้าแพรพรรณ สิ่งของที่เหลือจึงเตรียมไม่ยากแล้ว ภรรยาเมิ่งต้าจินหันไปพูดกับเมิ่งต้าจิน “เจ้าไปบังคับรถเทียมเกวียนบ้านน้องเขย พวกเราเข้าเมืองไปซื้อของที่เหลือกลับมา ยิ่งเตรียมการเร็วใจของข้ายิ่งปล่อยวางได้เร็ว”


 


 


เมิ่งต้าจินพยักหน้า


 


 


เมิ่งชื่อหัวเราะ “พี่สะใภ้ใหญ่ บังคับรถเทียมเกวียนอะไรกัน ใช้รถม้าดีกว่านัก ทั้งเร็วและอบอุ่น”


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินพูด “เช่นนั้นไม่เหมาะสม พวกเจ้าให้พวกเราใช้รถเทียมเกวียน พวกเราก็ซาบซึ้งใจมากแล้ว”


 


 


เมิ่งชื่อตอบ “หากพี่สะใภ้กล่าวเช่นนี้อีก แสดงว่าคิดเป็นอื่นเป็นไกล พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน รถม้าปล่อยทิ้งว่างไว้ นำออกมาใช้ถูกต้องแล้ว”


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินซาบซึ้งใจจนพูดไม่ออก


 


 


เมิ่งชื่อพูดอีก “พี่สะใภ้ ไม่เช่นนั้นเอาอย่างนี้ เจ้าเก็บของให้เรียบร้อย พวกเราและพี่ใหญ่ไปที่บ้านข้า จากนั้นนั่งรถม้าตรงเข้าเมือง จะได้ไม่เสียเวลาวิ่งไปวิ่งมา”


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินคิดแล้วก็เห็นด้วย จึงกลับเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า หยิบเงินหลายสิบตำลึง มาที่บ้านเมิ่งเอ้ออิ๋นพร้อมเมิ่งชื่อและเมิ่งต้าจิน


 


 


เมิ่งต้าจินเข้าไปบังคับรถม้าที่ลานด้านหลัง เมิ่งชื่อพาภรรยาเมิ่งต้าจินเข้ามาในบ้าน ตัวเองก็เปลี่ยนเสื้อผ้า พกเงินจำนวนหนึ่งไว้กับตัว เดินพ้นประตูบ้านออกมาพร้อมภรรยาเมิ่งต้าจิน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นทั้งสองคนแต่งกายแปลกตา แต่งเนื้อแต่งตัวดียิ่งกว่าวันขึ้นปีใหม่ จึงถามขึ้น “ท่านแม่ ป้าใหญ่ พวกท่านแต่งตัวดีเช่นนี้ จะไปทำสิ่งใดกัน”


 


 


เมิ่งชื่อตอบ “แม่กับลุงใหญ่และป้าใหญ่จะเข้าเมืองไปซื้อของหมั้นให้เหรินเอ๋อร์ ตอนบ่ายหากว่ากลับมาช้า พวกเจ้าทำกับข้าวกินเองนะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรีบพูด “ท่านแม่ ข้าจะไปกับพวกท่านด้วย”


 


 


เมิ่งชื่อตอบ “ไม่ต้องแล้ว แม่ไปกับป้าใหญ่สองคนก็พอ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรีบร้อนพูด “ท่านแม่ ป้าใหญ่ วันนั้นข้าเห็นเด็กสาวคนนั้นแล้ว รู้ว่าเครื่องประดับแบบไหนเหมาะกับนาง พอถึงในเมืองข้ายังช่วยพวกท่านเลือกได้”


 


 


เมิ่งชื่อขบคิด พยักหน้าเห็นด้วย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเมิ่งเสียนสองสามคำ จากนั้นกระวีกระวาดเข้าไปในห้องหยิบเงินจำนวนหนึ่งพกไว้ที่ตัว ขึ้นรถม้าที่จอดอยู่นอกประตูใหญ่ออกไปพร้อมกับเมิ่งชื่อและภรรยาเมิ่งต้าจิน คนทั้งหมดพูดคุยสัพเพเหระจนมาถึงตัวเมือง


 


 


เพิ่งจะผ่านพ้นวันปีใหม่ ตลาดสดในเมืองยังไม่เปิดทำการ ร้านรวงสองข้างทางมีหลายร้านที่ยังไม่เปิด ถนนทั้งเส้นยังคงเงียบเหงา


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินสั่งเมิ่งต้าจินบังคับรถม้ามายังร้านที่ซื้อเครื่องประดับครั้งก่อน เห็นประตูเปิดอยู่ ก็โล่งใจ บอกให้เมิ่งชื่อและเมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า


 


 


ช่วงเวลาปีใหม่น้อยคนที่จะออกมาจับจ่ายซื้อของ พนักงานในร้านกำลังยืนข้างตู้แสดงสินค้าอย่างเหงาหงอย พอเห็นรถม้าคันหนึ่งจอดหน้าประตูร้าน พลันมีชีวิตชีวา เดินผละจากตู้แสดงสินค้าออกมาต้อนรับ พูดอย่างเป็นกันเอง “ทุกท่านมาแล้ว เชิญเข้ามาดูก่อน ตอนปีใหม่ทางร้านนำเข้าเครื่องประดับชุดใหม่ รูปแบบหลากหลาย ฝีมือประณีต เชิญเลือกได้ตามสบาย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพรายพูดกับพนักงาน “ก่อนปีใหม่ พวกเราเพิ่งจะมาซื้อเครื่องประดับไปไม่น้อย ร้านของพวกเจ้าก็นำเข้าสินค้าชุดใหม่มาอีกแล้ว”


 


 


ครั้งก่อนเมิ่งอี้เซวียนต้องการมอบเครื่องประดับให้เมิ่งเชี่ยนโยว ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวลากออกไปอัดสั่งสอน พนักงานทั้งหมดต่างจดจำเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี และจดจำเมิ่งเชี่ยนโยวได้อย่างแม่นยำ พนักงานได้ยินนางพูด พอหันหน้าไปมอง ก็จำนางได้ทันที ยิ่งพูดอย่างกระตือรือร้น “แม่นางนี่เอง รีบเข้ามาเถอะ วันที่ยี่สิบแปดเดือนสิบสองทางร้านมีสินค้าชุดใหม่เข้ามาจริงๆ แม่นางเข้ามาเลือกดูก่อน”


 


 


คนทั้งหมดตั้งใจมาซื้อเครื่องประดับ ได้ยินพนักงานพูดเช่นนี้ ก็เดินมาข้างตู้แสดงสินค้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับพนักงาน “ข้าต้องการซื้อเครื่องประดับเป็นของหมั้นให้พี่สะใภ้ในอนาคต ไม่เอาแบบที่เชยเกินไป และหรูหราเกินไป พวกเจ้านำแบบที่เหมาะสมออกมาให้พวกเราดูหน่อยเถิด”


 


 


พนักงานรับคำ รีบเดินเข้าไปด้านในตู้แสดงสินค้านำเครื่องประดับที่เหมาะสมออกมา


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินและเมิ่งชื่อเลือกครู่หนึ่ง ถึงเลือกต่างหูเงินที่เหมาะสมออกมาได้คู่หนึ่ง หยิบขึ้นมาพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “โยวเอ๋อร์ เจ้าดูสิว่าต่างหูเงินนี้งามหรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองแวบหนึ่ง ส่ายหน้า “ดูระโยงระยาง มีความฟุ้งเฟ้อไปสักหน่อย ไม่เหมาะให้เด็กสาวสวมใส่”


 


 


เมิ่งชื่อมองอย่างพินิจกล่าวว่า “แม่ว่าพอใช้ได้นะ รูปแบบน่าดู ฝีมือก็ประณีต เหมาะให้เด็กสาวใส่ติดตัว”


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินก็รู้สึกว่าเหมาะสม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินขึ้นหน้า หยิบต่างหูข้างหนึ่งมาลองใส่กับหูตัวเอง ถามขึ้น “ท่านแม่ ท่านป้าใหญ่ พวกท่านดูว่างามหรือไม่”


 


 


เมิ่งชื่อมุ่นหัวคิ้ว หันไปพูดกับภรรยาเมิ่งต้าจิน “พี่สะใภ้ใหญ่ เหมือนว่าจะไม่เหมาะสมจริงๆ พอใส่แล้วทำให้ดูแก่”


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินก็พยักหน้าเห็นด้วย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับพนักงาน “ยังมีต่างหูที่เหมาะให้เด็กสาวสวมใส่หรือไม่”


 


 


พนักงานลังเลเล็กน้อย พูดขึ้น “ยังมีอีกแบบ แต่ราคาค่อนข้างสูง ยี่สิบตำลึงได้”


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินสูดลมหายใจเข้าปาก รีบร้อนห้ามปราม “ช่างเถอะ พวกเราเอาชิ้นนี้เถอะ รูปแบบโบราณหน่อยไม่เป็นอะไร เพียงเท่านี้ ในละแวกนี้ก็ไม่มีใครเทียบพวกเราได้แล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับพนักงาน “นำต่างหูนั้นออกมาให้ข้าดู”


 


 


พนักงานนำกล่องจากตู้อีกหลังออกมาเปิดออกอย่างระวัง ด้านในเป็นต่างหูเงินลายดอกกล้วยไม้หยกคู่หนึ่ง เห็นปุ๊ปก็รู้ว่าใช้วัสดุเนื้อดี ดอกกล้วยไม้หยกแกะสลักด้านบนนั้นแม้จะเล็กกระจุ๋มกระจิ๋ม กลับแกะออกมาได้ราวกับของจริง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบออกมาจากกล่องอย่างชื่นชอบ ลองใส่ที่หูตัวเองถามขึ้น “ท่านแม่ ท่านป้าใหญ่ เป็นอย่างไร”


 


 


เมิ่งชื่อพูดอย่างพอใจ “งดงามนัก น่าพิศกว่าคู่เมื่อกี้มาก”


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินก็พยักหน้าสนับสนุน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนำต่างหูนั้นวางใส่กล่อง หันไปพูดกับพนักงาน “พวกเราต้องการต่างหูคู่นี้ รบกวนเจ้าหากล่องสวยๆ ใส่ให้ข้าด้วย”


 


 


พนักงานรับคำอย่างยินดี พนักงานอีกคนรีบนำกล่องงดงามใบหนึ่งออกมา


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินร้อนรนพูดขึ้นอย่างทนไม่ไหว “โยวเอ๋อร์ ต่างหูคู่นี้แพงเกินไป การหมั้นหมายไม่มีใครใช้เครื่องประดับดีเช่นนี้ หมู่บ้านในละแวกเดียวกับพวกเราอย่างดีก็ใช้เครื่องประดับห้าตำลึงเท่านั้น พวกเราซื้อเครื่องประดับยี่สิบตำลึงจะเกิดเหตุไปหน่อยหรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “ท่านป้าใหญ่ พวกเราซื้อต่างหูดีเช่นนี้ถึงจะแสดงได้ว่าพวกเราให้ความสำคัญกับสะใภ้ในอนาคตคนนี้มากเพียงใด โอ้โลมให้นางดีใจ ภายหน้าเมื่อแต่งเข้ามาจะได้กตัญญูต่อท่านอย่างไร”


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินรู้ว่าที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูดมาถูกต้อง แต่ตอนที่ตัวเองออกจากบ้านพกเงินติดตัวมาทั้งหมดสามสิบตำลึง ยังต้องซื้อผ้า ขนมและเนื้อ หากซื้อต่างหูในราคายี่สิบตำลึง เงินที่เหลือจักต้องไม่พอซื้อของอย่างอื่น แต่เมื่อครู่นางก็เห็นแล้ว ต่างหูที่เมิ่งเชี่ยนโยวลองใส่ให้ดูงดงามน่าพิศจริงๆ หากว่าซื้อไว้ เป็นเครื่องประดับของหมั้น จักต้องทำให้เด็กสาวพึงพอใจ ไม่แน่ว่าหากพวกเขาร้องขออีกสองเดือนให้หลังให้นางแต่งงานกับเหรินเอ๋อร์ บ้านฝ่ายหญิงจะต้องรับคำอย่างเต็มใจ คิดถึงตรงนี้ ภรรยาเมิ่งต้าจินก็กัดฟัน ล้วงเงินออกมาจากอกเสื้อพูดขึ้น “ป้าใหญ่เชื่อเจ้า ซื้อต่างหูคู่นี้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วผลักเงินคืนกลับไป พูดว่า “ท่านป้าใหญ่ ข้ากับสะใภ้ในอนาคตคนนี้พูดคุยกันถูกคอ ต่างหูคู่นี้ข้างซื้อแทนท่านเอง”


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินรีบผลักเงินคืนกลับไป “เช่นนี้ไม่ได้จริงๆ มีอย่างที่ไหนให้เจ้ามาจ่ายเงินแทน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวผลักเงินคืนกลับไปอีกครั้ง “ท่านป้าใหญ่ไม่ต้องปฏิเสธแล้ว เงินนี้เก็บไว้ใช้ตอนงานแต่งพี่ใหญ่เถอะ”


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินยังคงปฏิเสธ เมิ่งชื่อหยิบเงินนั้นมา วางใส่มือนาง พูดด้วยรอยยิ้ม “พี่สะใภ้ใหญ่ โยวเอ๋อร์อยากซื้อก็ให้นางซื้อเถอะ นี่เป็นน้ำใจของนาง ท่านอย่าปฏิเสธเลย”


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินจำต้องเก็บเงินของตนเองขึ้น


 


 


พอซื้อต่างหูเสร็จ เมิ่งชื่อก็ช่วยเลือกกำไลให้อีกหนึ่งคู่ เครื่องประดับถือว่าครบถ้วนแล้ว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจ่ายเงินเสร็จ คนทั้งหมดเดินออกจากร้านเครื่องประดับอย่างอิ่มเอม เมิ่งเชี่ยนโยวให้เมิ่งต้าจินบังคับรถม้ายังมาร้านขนม


 


 


หวังเหลียงปีใหม่กลับบ้านยังไม่กลับมา พนักงานที่ทำงานแทนในร้านเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา ยังคงทักทายอย่างเป็นกันเอง “แม่นาง เจ้ามาแล้ว วันนี้จะซื้อขนมแบบไหน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “พี่ใหญ่ข้าจะไปหมั้นผู้หญิง พวกเรามาซื้อขนมชั้นเลิศสองกล่อง เจ้าช่วยนำมาให้สองกล่องเถอะ และขอขนมชั้นดีอีกสี่กล่อง พวกเราซื้อไปกินเอง”


 


 


พนักงานพยักหน้า บอกพนักงานอีกคนไปห่อขนม ส่วนตนเองกุลีกุจอรินน้ำชาให้คนทั้งหมด


 


 


พนักงานห่อขนมเสร็จโดยไว นำออกมา สี่กล่องเป็นกล่องธรรมดา อีกสองกล่องเป็นลวดลายหงส์มังกรแห่งสิริมงคล


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าพึงพอใจ


 


 


พวกเขายังยื้อยุดกันไปมา สุดท้ายเป็นเมิ่งเชี่ยนโยวที่ได้จ่ายเงิน


 


 


ออกจากร้านขนม ภรรยาเมิ่งต้าจินยืนข้างถนน พูดกับสองแม่ลูกเมิ่งอย่างขึงขัง “สะใภ้รอง โยวเอ๋อร์ พวกเราพูดกันให้รู้เรื่องก่อน ผ้าเนื้อละเอียดและเนื้อหมูพวกเราจะจ่ายเอง หากพวกเจ้ายังแย่งข้าจ่ายเงิน วันนี้ข้าจะไม่ซื้อแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพรืด “ท่านป้าใหญ่ ท่านทำข้าตกใจหมดแล้ว ดูท่าทีขึงขังของท่านเข้า ข้านึกว่าข้าทำสิ่งใดให้ท่านไม่พอใจเสียแล้ว ที่แท้ท่านก็อยากจะจ่ายเงินเอง เช่นนั้นดี ส่วนที่เหลือท่านเป็นคนซื้อเอง เพราะเงินที่ข้าเตรียมมาวันนี้ก็ใช้หมดไปแล้ว”


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินโล่งอก พูดขึ้น “ของในวันนี้เดิมควรเป็นข้าที่ซื้อ ตอนนี้ดีแล้ว ข้ากลายเป็นเพียงไม้ประดับ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูด “หากเป็นคนอื่น คงดีใจแย่แล้ว เหตุใดท่านป้าใหญ่กลับไม่ยินดี”


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินตอบ “ไม่ใช่ป้าใหญ่ไม่ยินดี แต่ป้าใหญ่ทำใจรับไม่ได้จริงๆ ปกติพวกเจ้าก็ช่วยเหลือพวกเรามากแล้ว การหมั้นหมายครั้งนี้ยังให้พวกเจ้ามาซื้อของให้ ป้าใหญ่ละอายใจเหลือจะเอ่ยแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ท่านป้าใหญ่ไม่ต้องทำใจรับไม่ได้ ไม่เพียงพี่ใหญ่ ต่อไปพี่รอง ชิงเอ๋อร์ ยังมีน้องเล็กของอาสะใภ้สาม ข้าก็จะซื้อของเหล่านี้ให้พวกเขา ล้วนแต่เป็นพี่ชายน้องชายข้า ข้าซื้อสิ่งเหล่านี้ให้พวกเขาก็สมควรแล้ว”


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินซาบซึ้งใจจนพูดไม่ออก ดวงตาร้อนชื้น พูดว่า “โยวเอ๋อร์ ป้าใหญ่ควรพูดอย่างไรดี เจ้าดีต่อพวกเรามากเกินไปแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ชอบช่วงเวลากระตุ้นเร้าอารมณ์เช่นนี้ที่สุด รีบพูดตัดบท “ป้าใหญ่ ข้าดีกับพวกเขาเพราะมีเป้าประสงค์ ภายหน้าเมื่อพวกเขาเจริญรุ่งเรือง จะต้องมาช่วยเหลือข้า ไม่เช่นนั้น ข้าจะไปคิดบัญชีทบต้นทบดอกกับพวกเขา”


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินหัวเราะสะอึกสะอื้น “ช่างจำนรรจานัก ภายหน้าหากพวกเขาไม่ช่วยเหลือเจ้า ป้าใหญ่จะไม่ปล่อยพวกเขาไว้เป็นแน่”


 


 


“ขอบคุณป้าใหญ่” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดประจบประแจง


 


 


แม้จะมีผ้าไหมสองพับที่เมิ่งเชี่ยนโยวมอบให้ แต่ยังขาดผ้าเนื้อละเอียดอีกสองพับ ครั้นแล้วคนทั้งหมดก็ขึ้นรถม้า มายังร้านขายผ้า หลงจู๊ยังคงต้อนรับพวกเขาด้วยมิตรไมตรี


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินและเมิ่งชื่อเลือกผ้าเนื้อละเอียดมาสองพับ ครั้งนี้ไม่มีการยื้อแย่ง ภรรยาเมิ่งต้าจินเป็นคนจ่ายเงิน


 


 


เมื่อซื้อของทั้งหมดเสร็จ ภรรยาเมิ่งต้าจินและเมิ่งชื่อคำนวณคร่าวๆ ขาดเพียงเนื้อหมูยี่สิบจิน แต่ตลาดสดยังไม่เปิดทำการ จึงซื้อเนื้อหมูไม่ได้ ภรรยาเมิ่งต้าจินเริ่มกลัดกลุ้มใจ


 


 


เมิ่งต้าจินหยุดรถม้า เดินไปสอบถามร้านข้างๆ กลับมาพูดว่า “ข้าไปถามมาแล้ว วันที่แปดตลาดสดถึงจะเปิดทำการ”


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินพูดอย่างว้าวุ่นใจ “เช่นนั้จะทำอย่างไร ข้าคิดจะซื้อให้ครบทั้งหมดภายในวันนี้”


 


 


เมิ่งชื่อพูดโน้มน้าว “พี่สะใภ้ อย่างไรวันหมั้นหมายยังเหลืออีกหลายวัน พวกเราไม่ได้รีบร้อนอะไร อีกอย่าง แม้ตอนนี้อากาศจะหนาวเย็น แต่เราซื้อเนื้อหมูกลับไปก่อนเช่นนี้ ก็ต้องวางทิ้งไว้หลายวัน ถึงตอนนั้นจะไม่สด ไม่เช่นนั้นหนึ่งวันก่อนวันหมั้น ให้พี่ใหญ่เข้าเมืองมาซื้อกลับไปอีกครั้ง”


 


 


“คงต้องทำเช่นนี้แล้ว” ภรรยาเมิ่งต้าจินตอบ


127.2 หมั้นหมาย

 


 


 


 


พอเห็นว่าไม่มีอะไรต้องซื้อแล้ว เมิ่งต้าจินก็บังคับรถม้าเดินทางกลับ ตอนที่มาถึงหน้าประตูเมืองกำลังจะเลี้ยวรถ เสียงแคลงใจหนึ่งก็ดังขึ้น “พี่ต้าจิน” 


 


 


เมิ่งต้าจินหยุดรถม้า มองจ้องเขม็ง ที่แท้ก็เป็นหลิวอี้หมิง 


 


 


โรงเรียนในเมืองยังไม่เปิดเรียน หลิวอี้หมิงใช้เวลาว่างนี้เข้ามาดูหนังสือในร้านหนังสือในเมือง เพิ่งจะมาถึงทางเลี้ยว ก็เห็นรถม้าเลี้ยวมา กำลังจะหลบทางให้ กลับรู้สึกว่าคนที่บังคับรถม้าคลับคล้ายกับเมิ่งต้าจิน จึงลองหยั่งเชิงเอ่ยปากเรียก ไม่คิดว่าจะใช่เขาจริงๆ 


 


 


หลิวอี้หมิงดวงตาเปล่งประกาย เดินหน้าพูดด้วยรอยยิ้ม “เป็นพี่ต้าจินจริงๆ ข้านึกว่าตัวเองจำคนผิดเสียแล้ว ไม่ทราบว่าพี่ต้าจินเข้าเมืองมาด้วยเรื่องอันใด มีสิ่งใดต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่” 


 


 


เมิ่งต้าจินตอบกลับ “อีกสองวันบุตรชายคนโตของข้าจะไปหมั้นหญิงสาว วันนี้พวกเรามาซื้อของหมั้นหมาย ไม่มีสิ่งใดให้น้องอี้หมิงต้องช่วยเหลือ ขอบใจมาก” 


 


 


หลิวอี้หมิงมองรถม้าแวบหนึ่ง แย้มสรวล “เป็นอย่างนี้เอง เช่นนั้นข้าขอแสดงความยินดีกับพี่ต้าจินก่อน เอาไว้ตอนที่หลานคนโตแต่งงานท่านจักต้องบอกข้า ข้าจะได้ไปดื่มเหล้ามงคลแสดงความยินดี” 


 


 


เมิ่งต้าจินตอบตามมารยาท “แน่นอนๆ วันนี้อากาศค่อนข้างเย็น ข้าขอตัวกลับก่อน” 


 


 


หลิวอี้หมิงพยักหน้า หลีกทางพลางพูดอย่างเป็นมิตร “พี่ต้าจินเดินทางปลอดภัย” 


 


 


เมิ่งต้าจินพยักหน้า บังคับรถม้าจากไปโดยไว 


 


 


หลิวอี้หมิงมองรถม้าที่จากไปไกลแล้ว ถึงก้าวเท้าเดินไปร้านหนังสือ 


 


 


คนทั้งหมดกลับมาถึงหมู่บ้าน บังคับรถม้ามาที่บ้านใหญ่ก่อน 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินและเมิ่งชื่อรวมถึงเมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า เมิ่งต้าจินและเมิ่งเหรินจัดการขนถ่ายสิ่งของลงจากรถม้าไปไว้ในห้องหญิงชราเมิ่ง ให้นางดูสิ่งของทีละอย่าง 


 


 


พอหญิงชราเมิ่งเห็นต่างหูดอกกล้วยไม้หยกงดงามคู่นั้น ก็อุทานว่าแพงเกินไป การหมั้นหมายมีใครซื้อของดีเช่นนี้กัน 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินบอกนางว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นคนซื้อ จ่ายเงินไปยี่สิบตำลึง 


 


 


หญิงชราเมิ่งรู้สึกปวดใจ กล่าวว่าใช้จ่ายเงินมากเกินไป บ้านอื่นแต่งภรรยาเข้าบ้านยังใช้เงินไม่ถึงยี่สิบตำลึง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูด “ท่านย่า ข้าเห็นหญิงสาวที่เราจะหมั้นหมายด้วยแล้ว ยังได้พูดคุยกับนางเล็กน้อย ข้าชอบนิสัยของนางมาก ต่างหูนี้ถือเป็นน้ำใจที่ข้ามอบให้นางก็แล้วกัน” 


 


 


หญิงชราเมิ่งยังคงรู้สึกปวดใจ กล่าวว่า “เช่นนั้นก็ยังแพงเกินไป อีกอย่าง เจ้าซื้อต่างหูดีเช่นนี้ให้นาง นางก็ไม่กล้าใส่ไปข้างนอก หากทำหายไป คงปวดใจแย่” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะไม่ได้พูดอะไร 


 


 


เมิ่งชื่อพูดเกลี้ยกล่อม “ท่านแม่ โยวเอ๋อร์ก็ซื้อมาแล้ว ท่านเลิกปวดใจได้แล้ว อีกอย่าง รอถึงตอนที่เหรินเอ๋อร์แต่งงาน ต่างหูนี้จักต้องใส่กลับมา อย่างไรก็เป็นทรัพย์สินของครอบครัวเรา” 


 


 


หญิงชราเมิ่งคิดแล้วก็เห็นด้วย จึงไม่โอดครวญอีก 


 


 


หลังจากดูผ้าเนื้อละเอียดและขนมหวานเสร็จ หญิงชราเมิ่งก็พูดว่า “ของขวัญสำหรับหมั้นหมายนี้ ถือว่าดีที่สุดในหมู่บ้านใกล้เคียงนี้แล้ว พวกเรานำไป รับประกันว่าคนในหมู่บ้านพวกนางจะต้องอิจฉาตาร้อนผ่าว” 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินหัวเราะพูด “ตอนนั้นข้าก็คิดเช่นนี้ จึงไม่ได้ยับยั้งโยวเอ๋อร์ซื้อต่างหูดีเช่นนั้น ข้าคิดว่า เราให้ของหมั้นหมายที่ดีเช่นนี้ หากพวกเราเสนอให้นางกับเหรินเอ๋อร์แต่งงานกันหลังจากนี้สองเดือนให้หลัง พ่อแม่ของเด็กสาวจะต้องตกลง” 


 


 


หญิงชราเมิ่งตกตะลึง “เร็วเช่นนั้นเลย” 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินตอบกลับ “ท่านแม่ เหรินเอ๋อร์อายุสิบแปดแล้ว เด็กอายุสิบแปดบ้านอื่นมีลูกวิ่งได้แล้ว พวกเราจัดการยิ่งเร็วก็ยิ่งดี” 


 


 


เมิ่งชื่อพยักหน้า “เช่นนี้ก็ดี รอให้เสร็จเรื่องงานหมั้น ค่อยให้สะใภ้ซุนไปถามไถ่ ดูว่าอีกสองเดือนให้หลังแต่งงานได้หรือไม่ หากว่าได้ พวกเราจะได้ลงมือเตรียมตัว” 


 


 


เมิ่งเหรินที่ไม่พูดไม่จามาตลอดร้อนรนเอ่ยปาก “ท่านแม่ เร็วเกินไปหน่อยแล้ว พวกเรายังไม่หมั้นหมาย เหตุใดถึงโยงไปเรื่องแต่งงานแล้ว ข้ายังไม่ได้คิดเรื่องแต่งงาน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้ว 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินนึกว่าบุตรชายเขินอาย แย้มยิ้มพูดว่า “ไม่เร็ว แม่ยังคิดว่าช้าไปด้วยซ้ำ แม่แทบอยากจะแต่งลูกสะใภ้เข้ามาเสียวันนี้พรุ่งนี้แล้ว” 


 


 


เมิ่งเหรินทวีความร้อนรน ลนลานพูดขึ้น “แต่ปีนี้ข้ายังต้องเข้าสอบคัดเลือกขุนนาง ไหนเลยจะมีใจคิดเรื่องแต่งงาน” 


 


 


หญิงชราเมิ่งกล่าวว่า “ฤดูใบไม้ร่วงถึงจะมีการสอบคัดเลือกขุนนาง หากแต่งงานในสองเดือนให้หลังนี้ไม่เสียเวลาการเข้าสอบคัดเลือกขุนนางของเจ้าแน่นอน ไม่แน่ว่าพอเจ้าสอบได้เป็นซิ่วไฉ ภรรยาเจ้าก็ตั้งท้องพอดี เป็นมงคลสองชั้น ดียิ่งแล้ว” 


 


 


เมิ่งเหรินร้อนรนใบหน้าแดงก่ำ พูดอย่างเร็วรี่ “ท่านย่า ท่านแม่ ข้ายังไม่คิดจะแต่งงานจริงๆ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ถามขึ้นอย่างมีนัยแฝง “พี่ใหญ่ไม่ยินยอมแต่งงาน เพราะมีเรื่องอื่นที่บอกไม่ได้ใช่หรือไม่” 


 


 


เมิ่งเหรินกะพริบตาปริบ พูดอย่างกินปูนร้อนท้อง “จะมีเรื่องอื่นอันใด ข้าเพียงแค่ไม่อยากแต่งงานเร็วเช่นนี้เท่านั้น” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “คืนวันส่งตัวเข้าหอ ผู้มีชื่อบนแผ่นทองคำ[1] ตั้งแต่โบราณมาล้วนเป็นสิ่งที่เหล่าชายเฝ้าปรารถนาที่สุด ตอนนี้พี่ใหญ่กลับบอกปัดไม่ยอมแต่งงานครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด” 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินก็มองเมิ่งเหรินอย่างคลางแคลงใจ ถามขึ้น “เหรินเอ๋อร์ เจ้าคงไม่ได้มีเรื่องใดปิดบังแม่จริงๆ หรอกนะ” 


 


 


เมิ่งเหรินลุกลนโบกมือ “ท่านแม่ ไม่มีจริงๆ ข้าเพียงต้องการสอบคัดเลือกให้ผ่านถึงค่อยแต่งงาน” 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินถึงวางใจลง “ไม่มีก็ดี” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงพูดกับเมิ่งเหรินต่อ “พี่ใหญ่ ข้าเห็นหลานสาวสะใภ้ซุนแล้ว เป็นหญิงสาวที่ร่าเริงสดใสมากคนหนึ่ง หากพี่ใหญ่ไม่ยินดี เราฉวยโอกาสที่ทั้งสองหมู่บ้านยังไม่มีใครรู้เรื่อง พวกเราไปทำการขอขมา เรื่องนี้ให้จบเพียงเท่านี้ แต่หากพวกเราหมั้นหมายแล้ว พี่ใหญ่เกิดมีความคิดไม่สมควรอันใด จะเป็นการทำลายหญิงสาวนางนั้นไปทั้งชีวิต ดังนั้นพี่ใหญ่จะต้องคิดให้ดีๆ การหมั้นนี้จะให้มีหรือไม่มี” 


 


 


เมิ่งเหรินร้อนรนพูด “น้องโยวเอ๋อร์ ข้าหาได้มีความคิดอื่นจริงๆ” 


 


 


“พี่ใหญ่แน่ใจ” เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างเย็นเยียบ 


 


 


เมิ่งเหรินพยักหน้า “จริงๆ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “พี่ใหญ่ร่ำเรียนวิถีแห่งขงจื่อและเมิ่งจื่อมานานหลายปี ควรจะรู้หลักการวิญญูชนพูดคำไหนคำนั้น เมื่อพี่ใหญ่พูดเช่นนี้ ข้าก็จะเชื่อท่าน หากภายหน้าท่านกระทำเรื่องที่ผิดต่อพี่สะใภ้ใหญ่ ข้าจะเป็นคนแรกที่ไม่ปล่อยท่านไว้” 


 


 


เมิ่งเหรินกลับมาหลายวันแล้ว ย่อมได้ยินเรื่องของเมิ่งเชี่ยนโยวมาไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะเมิ่งเสียวเถี่ยที่อยู่ตรงหน้า เป็นตัวอย่างอย่างชัดแจ้งที่สุด ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ หน้าผากมีเหงื่อซึมออกมาไม่หยุด เอาแต่พูดรับประกัน “น้องโยวเอ๋อร์ ข้าเพียงแค่ไม่อยากแต่งงานเร็วจริงๆ นอกจากที่ข้าอยากสอบคัดเลือกให้ผ่าน อีกอย่างก็คือในบ้านยังไม่มีบ้านช่องให้เป็นเรือนหอของข้า” 


 


 


หลายวันมานี้คนทั้งหมดเอาแต่ดีอกดีใจ ไม่ได้คิดถึงปัญหานี้เลย ตอนนี้พอได้ยินเมิ่งเหรินพูดออกมา ต่างก็นิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น จริงด้วย ไม่มีบ้านว่าง เมิ่งเหรินจะแต่งงานอย่างไร 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเมิ่งเหรินอย่างลุ่มลึกแวบหนึ่ง พูดขึ้น “ขอเพียงพี่ใหญ่มีใจจะแต่งงานด้วยใจจริง เรือนหอไม่ใช่ปัญหา รอให้พ้นปีใหม่ จะให้ลุงใหญ่ไปซื้อที่ดินขนาดใหญ่สักผืน ปลูกบ้านไม่กี่วันก็เสร็จ” 


 


 


เมิ่งเหรินมองเมิ่งเชี่ยนโยวแวบหนึ่ง ก้มหน้าลงไม่พูดอะไรอีก 


 


 


หญิงชราเมิ่งได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ ย่อมดีอกดีใจ พูดด้วยรอยยิ้ม “ดี พ้นไปอีกสองสามวันค่อยให้ต้าจินไปซื้อที่ปลูกบ้าน พวกเราปลูกเรือนหลังใหญ่ พวกเราทั้งหมดย้ายไปอยู่กันที่นั่น” 


 


 


เมิ่งต้าจินคิดว่าครอบครัวตนเองมีเงินเพียงหยิบมือ ฝืนยิ้มแหยๆ ไม่ได้พูดอะไร 


 


 


บรรยากาศภายในบ้านพลันขุ่นมัว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูด “ท่านย่าพูดถูกต้อง อีกไม่กี่วันให้ลุงใหญ่ไปซื้อที่ปลูกบ้าน ข้าจะปลูกเรือนหลังใหญ่ให้ท่านปู่ท่านย่า ถึงตอนนั้นลุงใหญ่ป้าใหญ่ ยังมีพี่ใหญ่ พี่รอง อาสี่และชิงเอ๋อร์ให้ย้ายไปอยู่ที่นั่น” 


 


 


เมิ่งเหรินเงยหน้าฉับพลัน มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่เชื่อ 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินร้องอุทาน “ได้อย่างไรกัน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถาม “เหตุใดถึงไม่ได้ ท่านปู่ท่านย่ามีท่านและลุงใหญ่เลี้ยงดู หากข้าสร้างเรือนให้พวกเขาแล้ว ก็ยังต้องเป็นพวกท่านคอยดูแล พวกท่านไม่เข้าไปอยู่ใครจะไปอยู่” 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินรีบร้อนพูด “โยวเอ๋อร์ เรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ เจ้าซื้อเครื่องประดับสำหรับหมั้นหมาย ป้าก็ทำใจยากแล้ว จะให้เจ้าช่วยสร้างบ้านอีกได้อย่างไร” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “ท่านป้าใหญ่ หากท่านทำใจยากจริงๆ รอให้สร้างเรือนเสร็จ ก็มอบเรือนเก่านี้ให้ข้า ข้าต้องการใช้พอดี” 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินขอบตาแดงชื้นกล่าวว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้าช่วยเหลือครอบครัวพวกเราทุกอย่าง จะให้ป้าใหญ่พูดอย่างไรดี” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ป้าใหญ่ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน พูดไปเท่ากับเห็นเป็นคนนอก” 


 


 


เมิ่งต้าจินยืนอยู่อีกด้านไม่พูดอะไร 


 


 


เมิ่งจงจวี่และหญิงชราเมิ่งดีใจเป็นล้นพ้น 


 


 


คนทั้งหมดพูดคุยกันอีกครู่หนึ่ง กำหนดคนที่จะไปวันหมั้นหมาย เมิ่งต้าจินถึงบังคับรถม้าพาเมิ่งชื่อและเมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปส่งบ้าน 


 


 


ชั่วพริบตาก็มาถึงวันที่สิบ 


 


 


คนบ้านใหญ่สกุลเมิ่งตื่นแต่เช้าตรู่ หลังกินอาหารเช้าก็ตระเตรียมของหมั้นหมาย ผ้าไหมสองพับ ผ้าเนื้อละเอียดสองพับ ขนมสองกล่อง ต่างหูเงินหนึ่งคู่และกำไลเงินหนึ่งคู่ ยังมีเนื้อหมูติดมันยี่สิบจินที่เมื่อวานเมิ่งต้าจินเข้าเมืองไปซื้อกลับมา 


 


 


ครอบครัวเมิ่งเอ้ออิ๋นกินอาหารเช้าเสร็จ บังคับรถม้ามากันทั้งบ้าน 


 


 


สมาชิกทั้งสี่คนของครอบครัวเมิ่งซานถงก็ไม่ล่าช้า 


 


 


สะใภ้ซุนกินอาหารเช้าเก็บกวาดเรียบร้อย ถึงมายังบ้านใหญ่เมิ่ง เห็นของหมั้นที่จัดเตรียมไว้ ตกใจจนพูดไม่ออก อึดใจหนึ่งถึงพูดขึ้น “นี่ สิ่งของพวกนี้ดีเกินไปหน่อยแล้ว” 


 


 


เมิ่งชื่อแย้มยิ้มพลางพูด “เหรินเอ๋อร์เป็นพี่ใหญ่ เรื่องหมั้นหมายย่อมต้องจัดให้เป็นหน้าเป็นตา เจ้าวางใจเถอะ เอาไว้หลานสาวเจ้าแต่งเข้ามาแล้ว พวกเราจะปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี” 


 


 


สะใภ้ซุนพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว ข้าก็พูดกับพี่ชายและพี่สะใภ้แล้ว หากหลานสาวข้าได้ตบแต่งเข้ามา ภายหน้าจะมีแต่ความผาสุข” 


 


 


คนทั้งหมดพูดคุยกันอีกเล็กน้อย ภรรยาเมิ่งต้าจินมองดูท้องฟ้า พูดอย่างร้อนรน “พวกเรารีบไปเถอะ ให้ฝ่ายหญิงรอนานจะไม่ดี” 


 


 


เมิ่งชื่อหัวเราะพูดหยอกเย้านาง “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าว่าเจ้าไม่ได้กลัวฝ่ายหญิงจะรอนาน แต่เป็นเจ้าที่กระวนกระวายใจเอง” 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินยอมรับโดยดุษฎี “ข้ากระวนกระวายใจจะแย่แล้ว ข้าแทบอยากจะเดินก้าวเดียวก็ถึงบ้านหญิงสาว จัดการเรื่องหมั้นหมายให้เสร็จสิ้น เช่นนั้นข้าถึงจะวางใจลงได้” 


 


 


คนทั้งหมดหัวเราะร่วน 


 


 


เรื่องการหมั้นหมายจำเป็นต้องให้ผู้หญิงออกหน้า พี่น้องบ้านเมิ่งทั้งสามคนย่อมตามไปด้วยไม่ได้ แม้เมิ่งเหรินจะตามไปด้วยได้ แต่ก็เป็นการไปหมั้นหมาย ดังนั้นการบังคับรถม้าจึงตกเป็นหน้าที่ของเมิ่งเสียน 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] ระบบการสอบเคอจวี่หรือสอบคัดเลือกขุนนาง แบ่งการสอบเป็นระดับต่างๆ ได้แก่ การสอบระดับภูมิภาค (ผู้สอบจะต้องมีฐานะเป็นซิ่วไฉ เมื่อสอบผ่านแล้วจะได้เป็น “จวี่เหริน”) การสอบระดับประเทศ (ผู้ที่สอบผ่านจะได้เป็น “ก้องซื่อ”) และการสอบในพระราชวัง (ผู้ที่สอบผ่านจะได้เป็น “จิ้นซื่อ”) และจะประกาศรายชื่อบนแผ่นทองคำ ดังนั้นผู้ที่ได้เป็นจิ้นซื่อจึงได้ชื่อว่าเป็น “ผู้มีชื่อบนแผ่นทองคำ”


127.3 หมั้นหมาย

 


 


 


 


เมิ่งเสียนจัดเก็บรถม้าเสร็จนานแล้ว เห็นภรรยาเมิ่งต้าจินรบเร้า จึงนำของหมั้นทั้งหมดขึ้นไปวางบนรถม้าพร้อมเมิ่งเหริน รอให้ภรรยาเมิ่งต้าจิน เมิ่งชื่อ ภรรยาเมิ่งซานถง สะใภ้ซุนและเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นรถม้าครบทุกคนแล้ว ถึงขึ้นไปนั่งข้างหน้าพร้อมเมิ่งเหริน บังคับรถม้ามุ่งหน้าไปบ้านฝ่ายแม่ของสะใภ้ซุน 


 


 


พ่อแม่อิงจื่อตั้งแต่ที่ได้ยินน้องสาวตัวเองมาบอกตอนที่กลับมาสวัสดีปีใหม่ ว่าบ้านเมิ่งพึงพอใจบุตรสาวของตนเอง กำหนดวันหมั้นหมายเป็นวันที่สิบ ต่างก็เอาแต่ดีใจจนนอนไม่หลับ อิงจื่อรูปร่างอรชร ใบหน้าสะสวยหมดจด เรื่องทำงานก็ไม่เป็นสองรองใคร หากไม่เพราะแม่ของอิงจื่อสุขภาพไม่ค่อยดี เป็นตัวถ่วงนาง แม่สื่อคงเหยียบธรณีประตูบ้านสึกไปนานแล้ว พ้นปีใหม่นี้ไปอิงจื่อก็จะมีอายุสิบหกปีแล้ว คนที่มาพูดทาบทามมีเพียงไม่กี่คน แต่คนที่มาพูดทาบทาม หากสภาพครอบครัวไม่แย่กว่าบ้านตนเอง ก็มีปัญหาด้านสุขภาพ พ่อแม่อิงจื่อไม่ยินดีให้บุตรสาวต้องไปแบกรับชะตากรรม จึงไม่เคยตกลง แต่ก็เพราะเหตุนี้ทำให้กลัดกลุ้มจนผมเกือบขาวไปทั้งศีรษะ ตอนที่ได้ยินน้องสาวบอกว่าจะหาสามีให้อิงจื่อ ทั้งสองไม่แม้แต่จะคิดก็ตบปากรับคำทันใด แต่พอได้ยินน้องสาวบอกว่าอีกฝ่ายมีฐานะดี ทั้งสองก็ให้รู้สึกพรั่นใจ เกรงฝ่ายชายจะรังเกียจที่แม่อิงจื่อสุขภาพไม่ดี เป็นอันต้องล้มพับงานแต่งงานนี้ไป ไม่คิดว่าน้องสาวจะกลับมาบอกว่า หลังจากอีกฝ่ายได้ลอบมอง ก็เอาแต่ชื่นชมอิงจื่อ บอกว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องมีงานแต่งงาน ทั้งสองจึงได้แต่รอคอยให้วันนี้มาถึงโดยไว 


 


 


ในที่สุดก็มาถึงวันที่สิบแล้ว พ่อแม่อิงจื่อปลุกเรียกลูกๆ ทั้งสี่คนแต่เช้าตรู่ หลังกินข้าวเช้าเสร็จ ก็เก็บกวาดทุกซอกทุกมุมทั้งภายในภายนอกบ้าน เช็ดโต๊ะในบ้านซ้ำไปซ้ำมา อยากสร้างภาพประทับใจให้ครอบครัวฝ่ายชาย ภายหน้าจะได้ปฏิบัติดีต่ออิงจื่อ เมื่อจัดเก็บทุกอย่างเรียบร้อย คนที่เจ้าบ้านเชิญให้มาต้อนรับแขก รวมถึงคนในหมู่บ้านที่ได้ยินข่าวเข้ามาเฝ้าสังเกตการณ์ต่างมาถึงหมดแล้ว คนทั้งหมดยืนอยู่ในลานบ้านรอสะใภ้ซุนพาครอบครัวฝ่ายชายมา 


 


 


กระทั่งเวลาสาย คนทั้งหมดถึงได้เห็นรถม้าคันหนึ่งมุ่งหน้ามา เวลาคนในหมู่บ้านหมั้นหมาย ปกติทั่วไปจะให้คนในครอบครัวหาบของหมั้นส่งมาให้ ถ้ามีฐานะดีหน่อยจะจ้างรถเทียมเกวียนนำสิ่งของส่งมา ไม่เคยมีใครใช้รถม้า อีกอย่างในสายตาคนบ้านนอก มีแต่เศรษฐีถึงจะซื้อรถม้าได้ อิงจื่อก็ไม่ได้บอกว่าจะแต่งกับเศรษฐีมีเงิน จึงไม่มีใครคาดคิดว่าบ้านเมิ่งจะบังคับรถม้ามาขอหมั้น พอเห็นรถม้ามาถึง คนในลานบ้านต่างพากันคลางแคลงใจ ไม่เคยได้ยินว่าบ้านไหนมีญาติที่ร่ำรวยเช่นนี้ เหตุใดถึงมีรถม้าเข้ามาในหมู่บ้านตนเองได้ 


 


 


ตอนที่เมิ่งเสียนจอดรถม้าตรงหน้าประตูบ้านอิงจื่อ คนทั้งหมดยังคงไม่รู้สึกตัว รอจนสะใภ้ซุนยิ้มตาหยีลงมาจากรถม้าพร้อมสะใภ้ทั้งสามของบ้านเมิ่งและเมิ่งเชี่ยนโยว คนทั้งหมดพลันแตกฮือในบัดดล ฝ่ายชายถึงกับบังคับรถม้ามา อิงจื่อได้ครอบครัวที่ดีเช่นนี้มาจากที่ใด 


 


 


พ่อแม่อิงจื่อเห็นรถม้าจอดหน้าประตูบ้าน เห็นน้องสาวตนลงมาจากรถม้า ก็ตะลึงงัน ยืนไม่พูดไม่จาอยู่ตรงนั้น 


 


 


สะใภ้ซุนรอให้คนทั้งหมดลงจากรถม้า ถึงหันไปร้องเรียกพี่ชายและพี่สะใภ้ “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ ครอบครัวฝ่ายชายมาส่งของหมั้นแล้ว” 


 


 


พ่อแม่อิงจื่อถึงตื่นจากภวังค์ กระวีกระวาดเข้าไปต้อนรับ พูดจาอย่างมีอัธยาศัย “พวกเจ้ามาแล้ว ระหว่างทางหนาวเหน็บ รีบเข้ามาดื่มน้ำอุ่นในบ้านเถอะ” 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินรีบตอบกลับ “ไม่รีบ นำของหมั้นหมายบนรถม้าลงมาวางแผ่ก่อนเถอะ” 


 


 


ในชนบทมีกฎอย่างไม่เป็นทางการข้อหนึ่ง เมื่อบ้านฝ่ายหญิงมีงานหมั้นหมาย จะต้องนำของหมั้นที่บ้านฝ่ายชายนำมาออกมาจัดวางให้คนทั้งหมู่บ้านดู หากของหมั้นหมายฝ่ายหญิงมีมาก แสดงว่าฝ่ายชายให้ความสำคัญกับการแต่งงานนี้ ภายหน้าย่อมปฏิบัติต่อฝ่ายหญิงเป็นอย่างดี 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินพูดจบ คนทั้งหมดหันมองไปที่นาง 


 


 


สะใภ้ซุนรีบร้อนพูด “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ นางก็คือแม่สามีในอนาคตของอิงจื่อ” ทั้งชี้ไปที่เมิ่งชื่อและภรรยาเมิ่งซานถงพูดว่า “นี่คืออาสะใภ้รองและอาสะใภ้สามของเมิ่งเหริน” 


 


 


พ่อแม่อิงจื่อเห็นสะใภ้ทั้งสามคนของบ้านเมิ่งแต่งกายดี เกิดความปิติยินดี 


 


 


สะใภ้ซุนยังชี้ไปที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “นี่คือลูกพี่ลูกน้องของเมิ่งเหริน และเป็นนายหญิงของข้า เคยพบกับอิงจื่อมาแล้ว” 


 


 


เดิมพ่อแม่อิงจื่อยังแคลงใจ เหตุใดถึงมีเด็กตามมาร่วมงานหมั้นด้วย พอได้ยินก็เข้าใจแจ่มแจ้ง 


 


 


สุดท้ายสะใภ้ซุนถึงชี้เมิ่งเหรินพูดว่า “เขาก็คือเมิ่งเหริน เป็นคู่ที่จะมาหมั้นหมายอิงจื่อ พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ดูก่อนว่าพอใจหรือไม่” 


 


 


พอก้าวพ้นประตูลานบ้านมาก็ถูกกลุ่มคนจับจ้องไม่วางตา เมิ่งเหรินเขินอายหน้าแดงนานแล้ว พอได้ยินสะใภ้ซุนแนะนำตนเองให้พ่อแม่อิงจื่อ ก็รีบโน้มตัวทำความเคารพ 


 


 


พ่อแม่อิงจื่อได้ยินสะใภ้ซุนเล่าให้ฟังก่อนแล้ว บอกว่าฝ่ายชายเป็นบัณฑิต ตอนนี้พอเห็นเขาไม่เพียงหน้าตาหล่อเหลา ยังกิริยามารยาทดี ดูดีกว่าเด็กชนบททั่วไปไม่รู้เท่าใด พลันปลาบปลื้มปิติ 


 


 


พอคนทั้งหมดได้ยินว่าเขาเป็นคู่หมั้นหมายของอิงจื่อ แววตาทุกคู่ก็จับจ้องไปที่เขา มองจนเมิ่งเหรินหน้าแดงเรื่ออีกครั้ง 


 


 


เมิ่งเสียนยืนข้างรถม้า เห็นท่าทีวางมือวางไม้ไม่ถูกของเขา แอบปิดปากขบขัน 


 


 


สะใภ้ซุนแนะนำเสร็จ เหล่าผู้หญิงที่ให้มาช่วยต้อนรับแขกเดินไปข้างรถม้า ยกของหมั้นบนรถม้าลงมา วางแยกไว้บนโต๊ะที่ตระเตรียมไว้แล้วในลานบ้าน 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินก้าวมาด้านหน้า เริ่มจากคลี่ผ้าเนื้อละเอียดสองพับก่อน คนที่มามุงดูในลานบ้านอารมณ์เปลี่ยนเล็กน้อย กระทั่งภรรยาเมิ่งต้าจินเปิดผ้าไหมอีกสองพับออก ลานบ้านพลันเต็มไปด้วยเสียงสูดลมเข้าปาก ผืนผ้าไหมระยิบระยับวับวาว ภายใต้การสาดแสงของดวงอาทิตย์ แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นผ้าชั้นเลิศ 


 


 


คนในหมู่บ้านแค่ผ้าเนื้อดีก็น้อยนักจะมีใส่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผ้าไหมชั้นเลิศนี้ ต่างพากันอิจฉาริษยา มีบางคนแอบก้าวมาข้างหน้า ลองลูบๆ คลำ สัมผัสที่อ่อนนุ่มมันวาวนั้น พลันทำให้คนผู้นั้นรู้สึกว่าเกิดมาไม่เสียชาติเกิดแล้ว 


 


 


ตอนที่ภรรยาเมิ่งต้าจินนำกล่องขนมลายหงส์มังกรแห่งสิริมงคลและเนื้อหมูยี่สิบจินออกมาวางแผ่ กลุ่มคนส่งเสียงสูดลมหายใจดังกว่าเดิม 


 


 


สุดท้ายเมิ่งชื่อถึงนำกล่องเครื่องประดับที่พกติดตัวไว้ออกมา 


 


 


ปกติแล้วเครื่องประดับปิดท้ายถึงจะเป็นตัวเอกของงาน คนหมู่บ้านกลั้นหายใจเฝ้ารอ 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินเปิดกล่องใบแรก ต่างหูดอกกล้วยไม้หยกกระทบแสงอาทิตย์เปล่งประกายวิบวาม 


 


 


กลุ่มคนทนต่อไปไม่ไหว มีคนหนึ่งร้องอุทาน “สวรรค์ ต่างหูคู่นี้ดูดีเกินไปแล้ว ข้ามีอายุปูนนี้ ไม่เคยเห็นต่างหูงดงามเช่นนี้มาก่อน” 


 


 


คนข้างๆ เห็นพ้อง “ใช่ ดูเนื้อของต่างหูนั่นสิ เกรงว่าราคาจะแพงเอาการ” 


 


 


กลุ่มคนส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ พ่อแม่อิงจื่อก็มองตาค้างไปแล้ว 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินเปิดกล่องสุดท้ายออก คนทั้งหมดไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดีแล้ว นอกจากร้องอุทานก็คือร้องอุทาน 


 


 


หลังจากแสดงของหมั้นหมายเสร็จ คนทั้งหมดต่างอยู่ในภวังค์ เงียบสงัดไปทั้งลานบ้าน 


 


 


สะใภ้ซุนแอบใช้มือแตะตัวพี่สะใภ้ แม่ของอิงจื่อถึงรู้สึกตัว ละล่ำละลักพูดขึ้น “บ้านฝ่ายชาย รีบเข้ามานั่งในบ้านก่อน” 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินก็ไม่เกรงใจ เดินนำเข้าไปในบ้าน เห็นทุกซอกทุกมุมเก็บกวาดสะอาดหมดจด พยักหน้าพึงพอใจ ยิ่งรู้สึกพอใจสะใภ้ที่ยังไม่แต่งเข้าบ้านของตนเอง 


 


 


สะใภ้ซุนส่งสายตาให้พี่ใหญ่ของตัวเอง บอกเป็นนัยให้รีบเก็บของหมั้นขึ้น คนมากเช่นนี้ หากสูญหายไปจะไม่ดี 


 


 


พี่ใหญ่ของสะใภ้ซุน เดินเข้าไปเก็บกล่องเครื่องประดับสองใบไว้ในอก จากนั้นถึงร้องสั่งให้คนนำสิ่งของทั้งหมดเข้าไปเก็บในห้องอิงจื่อ 


 


 


ตั้งแต่สะใภ้ซุนพาคนทั้งหมดลงจากรถม้า อิงจื่อก็ได้แต่แอบมองอยู่หลังประตู ตอนที่เห็นภรรยาเมิ่งต้าจินและเมิ่งชื่อ พลันเคืองขุ่นในใจ กระทั่งท้ายที่สุดได้เห็นเมิ่งเชี่ยนโยว เพลิงโทสะก็พลุ่งพล่าน นางถึงได้รู้วันนั้นพวกนางไม่ได้มานั่งเล่น แต่ตั้งใจมาดูตนเอง ถึงว่าพอไปถึงท่านน้าก็ให้ตนหวีผมผลัดหน้า แต่พอสะใภ้ซุนแนะนำเมิ่งเหริน ก็กลับเขินหน้าแดงอีก จากมุมที่นางอยู่สามารถเห็นใบหน้าทั้งหมดของเมิ่งเหรินได้พอดี ดูดีกว่าที่ตนเองคิดเอาไว้มาก โดยเฉพาะกลิ่นอายแห่งบัณฑิตที่สะท้อนออกมาทั่วตัวนั้น ยิ่งพิศก็ยิ่งชมชอบ เพลิงโทสะในใจพลันมลายหายไปโดยไม่รู้ตัว 


 


 


ตอนที่ภรรยาเมิ่งต้าจินวางแผ่ของหมั้นหมาย อิงจื่อมองเห็นไม่ชัด แต่เมื่อได้ยินเสียงสูดลมหายใจที่ดังเป็นระลอกและเสียงร้องอุทานจากกลุ่มคน ก็พอจะรู้ว่าของหมั้นที่ฝ่ายชายนำมาจักต้องไม่ธรรมดา เกิดความรู้สึกยินดีปรีดา 


 


 


หลังจากแม่ของอิงจื่อพาทุกคนเข้ามาในบ้าน คนที่มาช่วยรับรองแขกรีบรินน้ำยกมาให้พวกเขาคนละถ้วย ภรรยาเมิ่งต้าจินและคนอื่นๆ กล่าวขอบคุณตามมารยาท ยกถ้วยขึ้นจิบคำเล็ก ถึงพูดขึ้น “อิงจื่อของพวกท่านล่ะ ให้นางออกมาให้เหรินเอ๋อร์ได้พบหน้าหน่อยเถอะ” 


 


 


การที่ฝ่ายหญิงและฝ่ายชายพบหน้ากันในงานหมั้นหมาย ก็เป็นอีกหนึ่งประเพณีพื้นบ้านของที่นี่ ภรรยาเมิ่งต้าจินกล่าวได้อย่างถูกทำนองคลองธรรม 


 


 


แม่ของอิงจื่อรับคำ เดินเข้ามาในห้องอิงจื่อ ให้นางแต่งตัวให้ดี บอกนางว่าอีกประเดี๋ยวเมิ่งเหรินจะเข้ามาในห้องนาง ให้ทั้งสองคนได้พบหน้ากัน 


 


 


อิงจื่อใบหน้าแดงเรื่อ พยักหน้า หันไปส่องกระจกอีกรอบ 


 


 


แม้ครอบครัวฝ่ายชายจะมีฐานะดี แต่หากบุตรสาวไม่ชมชอบ พวกเขาก็คงไม่อาจวางใจลงได้ ตอนนี้เห็นบุตรสาวดีใจเช่นนี้ รับรู้ว่านางก็พึงพอใจงานแต่งงานนี้ แม่อิงจื่อรู้สึกยินดีจนพูดไม่ออก 


 


 


แม่อิงจื่อให้อิงจื่อรออยู่ในห้อง ตนเองเดินออกมาจากห้อง หันไปพยักหน้าให้สะใภ้ซุน สะใภ้ซุนเข้าใจทันที แย้มยิ้มพูด “อิงจื่อรออยู่ในห้องแล้ว เมิ่งเหรินเข้าไปเถอะ” 


 


 


เมิ่งเหรินมองไปที่ภรรยาเมิ่งต้าจิน เห็นนางพยักหน้า จึงเดินหน้าแดงตามสะใภ้ซุนเข้าไปในห้องอิงจื่อ 


 


 


สะใภ้ซุนพาเมิ่งเหรินเข้ามาในห้องอิงจื่อ หลังจากแนะนำทั้งสองคนพอเป็นพิธี กำชับให้ทั้งสองคนพูดคุยกันให้ดีๆ จากนั้นหมุนตัวออกไปจากห้อง 


 


 


คนที่มามุงดูในลานบ้านยังไม่ยอมแยกย้าย พอเห็นสะใภ้ซุนพาเมิ่งเหรินเข้าไปในห้องอิงจื่อ ต่างก็กรูกันมาใต้หน้าต่างด้านนอกห้องอิงจื่อ ย่อตัวลงแอบฟังคนทั้งสองพูดคุย 


 


 


สะใภ้ซุนเป็นผู้หญิงของหมู่บ้านนี้ ย่อมจำคนเหล่านี้ได้ พอเห็นพวกเขาย่อตัวลงใต้หน้าต่างอย่างอดใจรอไม่ไหว ก็หัวเราะดุว่า “แต่ละคนอายุตั้งเท่าไหร่แล้ว ยังทำเรื่องเช่นนี้” 


 


 


คนทั้งหมดหัวเราะแหะๆ 


 


 


อิงจื่อและเมิ่งเหรินยืนประจันหน้ากันไม่มีใครปริปาก ได้ยินเสียงพูดคุยด้านนอกยิ่งทำให้ไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใด ต่างหน้าแดงก้มหน้างุด 


 


 


ครู่หนึ่ง อิงจื่อก็หัวเราะ “พรืด” ออกมา เมิ่งเหรินเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ เห็นอิงจื่อกำลังหัวเราะดวงตาโค้งโก่ง เกิดความรู้สึกลุ่มหลงฉับพลัน มองนางอย่างเหม่อลอย 


 


 


อิงจื่อเห็นเมิ่งเหรินมองนางเช่นนั้น หน้ายิ่งแดงเป็นลูกตำลึง ผลุนผลันเก็บคืนรอยยิ้ม พูดกับเมิ่งเหรินว่า “ขอโทษด้วย ข้าไม่ได้หัวเราะเจ้า อย่าเก็บไปใส่ใจ” 


 


 


เมิ่งเหรินตื่นจากภวังค์ รีบร้อนพูด “ข้าที่เสียมารยาท แม่นางอย่าได้ถือสา” 


 


 


คนข้างนอกไม่ได้ยินว่าทั้งสองคุยอะไรกัน ต่างร้อนรนกระสับกระส่าย ยื้อแย่งกันเอาหูยื่นเข้ามาด้านในหน้าต่าง หวังจะฟังว่าทั้งสองคนคุยอะไรกัน กลับไม่ระวังชนเข้ากับลายฉลุบนหน้าต่าง ร้องโอดโอยเอามือกุมหัว นั่งยองอยู่ใต้หน้าต่าง คนข้างๆ ตีนางอย่างโมโห ตำหนิเสียงเบา “เจ้านี่นะ ร้องเสียงดังทำไม หากพวกเขาได้ยินเข้า พวกเรายิ่งไม่ได้รู้กันว่าพวกเขาพูดอะไร” 


 


 


คนที่ถูกตีรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม กำลังจะโต้แย้ง เมิ่งเหรินกลับเดินออกมาจากในห้องแล้ว 


 


 


ทุกคนเห็นเช่นนั้น เขินหน้าแดงฉับพลัน ทยอยกันหันหลังให้อย่างรู้สึกผิด 


 


 


เมิ่งเหรินเดินผ่านคนกลุ่มนั้นอย่างไม่สนใจ มาถึงห้องรับรองแขก 


 


 


ภรรยาเมิ่งต้าจินเห็นเมิ่งเหรินเดินมา รู้ว่าทั้งสองคนคุยกันเสร็จแล้ว ก็ส่งยิ้มพูดกับอิงจื่อ “สายมากแล้ว พวกเราควรกลับได้แล้ว” 


 


 


คนในบ้านลุกขึ้นยืน ออกไปส่งคนทั้งหมดถึงนอกประตูอย่างมีมารยาท 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งมองไปที่ห้องอิงจื่ออย่างไม่ตั้งใจแวบหนึ่ง เห็นอิงจื่อกำลังลอบยืนมองออกมาด้านหลังประตู ยิ้มอย่างรู้ใจ เดินตามคนอื่นๆ ขึ้นรถม้า 


 


 


เมิ่งเสียนรอให้ทุกคนขึ้นรถม้าเสร็จ จึงบังคับรถม้าจากไป 


 


 


พ่อแม่อิงจื่อมองส่งรถม้าจากไปด้วยสายตาจนกระทั่งมองไม่เห็น ถึงกลับเข้าบ้านอย่างมีความสุข


128.1 ชมโคมไฟ

 


 


 


 


คนทั้งหมดกลับเข้ามาในบ้าน พูดว่างานหมั้นเป็นไปอย่างราบรื่น คนในครอบครัวต่างปิติยินดี 


 


 


หลังเสร็จงานหมั้นของเมิ่งเหริน ในที่สุดก็ไม่มีเรื่องอื่นให้ต้องว้าวุ่นใจแล้ว ช่วงเวลาต่อมาอีกหลายวัน ภายในบ้านจึงมีแต่เสียงหัวเราะครื้นเครง 


 


 


ชั่วพริบตาเดียวก็มาถึงวันที่สิบห้าเดือนอ้าย วันที่นัดไปชมเทศกาลโคมไฟกับจูหลานในอำเภอ 


 


 


หนึ่งวันก่อนหน้า เมิ่งเจี๋ยก็ตื่นเต้นดีใจแทบทนไม่ไหวแล้ว เอาแต่กระโดดโลดเต้น รอคอยให้วันที่สิบห้าเดือนอ้ายมาถึงโดยไว ทั้งขอร้องเมิ่งเชี่ยนโยวให้รับเมิ่งชิงไปชมโคมไฟพร้อมกับพวกเขาในอำเภอด้วย 


 


 


เดิมเมิ่งเชี่ยนโยวก็คิดจะพาเมิ่งชิงไปด้วยกันอยู่แล้ว ได้ยินเมิ่งเจี๋ยเอ่ยปาก จึงให้เขาและเมิ่งอี้เซวียนไปตามตัวเมิ่งชิงกลับมา 


 


 


หลังจากเมิ่งชิงกลับมา พอได้ยินว่าจะไปชมโคมไฟในอำเภอ ก็ดีอกดีใจ กระโดดโลดเต้นพร้อมเมิ่งเจี๋ยไม่หยุด กระทั่งดึกมากแล้วก็ไม่หลับไม่นอน เมิ่งชื่อขู่พวกเขาทั้งสอง หากยังไม่นอนหลับ พรุ่งนี้จะไม่พาพวกเขาสองคนไปด้วย เด็กน้อยทั้งสองกลัวเมิ่งชื่อจะไม่พาพวกเขาไปจริงๆ รีบหลับตาปี๋ ทั้งครอบครัวถึงเข้าสู่ห้วงแห่งฝันได้อย่างสงบสุข 


 


 


ตอนเช้าเด็กน้อยทั้งสองตื่นแต่เช้าตรู่แล้ว ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย ร้องโวยวายให้รีบไปอำเภอ 


 


 


หลังจากทั้งครอบครัวกินอาหารเช้า เมิ่งชื่อเก็บกวาดเสร็จ ทั้งครอบครัวก็เปลี่ยนเสื้อผ้า พกเงินติดตัว ขึ้นนั่งบนรถม้าที่เมิ่งเอ้ออิ๋นเป็นคนบังคับเดินทางมุ่งหน้าเข้าอำเภอ 


 


 


เด็กน้อยทั้งสองคนพูดกระจุกกระจิกไปตลอดทาง แถมคอยเปิดม่านบังรถมองออกไปด้านนอกไม่หยุด เมิ่งชื่อ เมิ่งเสียน เมิ่งฉีและเมิ่งอี้เซวียนแม้จะไม่แสดงอาการตื่นเต้นมากเท่าพวกเขา แต่ในใจก็ยินดีปรีดา โดยเฉพาะเมิ่งชื่อ จนอายุปูนนี้แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เดินทางไกลเช่นนี้ แอบลอบมองตามตอนที่เด็กตัวน้อยทั้งสองเลิกม่านบังรถขึ้น 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอมยิ้มกับภาพที่เห็นทั้งหมด 


 


 


หมู่บ้านหวงอยู่ไม่ไกลจากตัวอำเภอ บวกกับที่เมิ่งเอ้ออิ๋นใจร้อนรุ่ม บังคับรถม้าเร็วกว่าปกติ ใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วยามก็มาถึงอำเภอชิงเหอ 


 


 


จูหลานและเซี่ยเจียงเฟิงรออยู่หน้าประตูเมืองแล้ว พอเห็นรถม้ามุ่งหน้าเข้ามา ก็รีบเดินเข้าหา  


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามา รีบหยุดรถม้าทันใด 


 


 


ทั้งสองคนทักทายเมิ่งเอ้ออิ๋นอย่างมีมารยาท 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเสียงพวกเขาเปิดม่านบังรถออก 


 


 


จูหลานพูดขึ้นอย่างดีใจ “แม่นางเมิ่ง เจ้ามาแล้ว พวกเราจองโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดให้พวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าตามพวกเราไป พักผ่อนเสียก่อน ตอนบ่ายพวกเราจองโต๊ะในภัตตาคารไว้ กินข้าวด้วยกันสักมื้อเถอะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ขอบใจทั้งสองท่าน” 


 


 


เซี่ยเจียงเฟิงตอบกลับ “แม่นางเมิ่งเกรงใจไปแล้ว เดิมพวกเราคิดจะให้แม่นางและครอบครัวไปพักที่บ้านของพวกเรา แม่นางไม่ยินยอม พวกเราจึงต้องจองโรงเตี๊ยมให้ และเพราะเหตุนี้ ทำให้พวกเราถูกเปาอีฝานและอันอี่หยวนตำหนิว่าไปยกหนึ่ง บอกว่าพวกเราจัดการเรื่องไม่เป็น” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ “ข้าว่าพวกเขาไม่ได้จะว่าพวกเจ้าจัดการเรื่องไม่เป็น แต่อยากให้ข้าเข้าไปอาศัยในบ้านพวกเจ้า จะได้ทำของอร่อยให้พวกเจ้ากิน” 


 


 


จูหลานละเซี่ยเจียงเฟิงหัวเราะร่วน 


 


 


ทั้งสองพาเมิ่งเอ้ออิ๋นและครอบครัวมายังโรงเตี๊ยมที่จองไว้แล้ว เสี่ยวเอ้อในร้านเห็นพวกเขาพาคนมาด้วยตัวเอง รู้ทันทีว่าเป็นแขกสำคัญ รีบวิ่งออกมา เปิดม่านบังรถออก เชิญคนทั้งหมดลงจากรถม้าอย่างนอบน้อม 


 


 


เมิ่งชื่อเห็นเสี่ยวเอ้อเข้ามาช่วยเปิดม่านบังรถให้ด้วยตัวเอง รู้สึกตื่นตระหนก ตอนที่ก้าวขาลงมาขาอ่อนแรง เกือบจะล้มไปกองกับพื้น เมิ่งเชี่ยนโยวตาไวมือไวประคองไว้ทัน พูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ ขาเป็นเหน็บหรือ” 


 


 


เมิ่งชื่อรีบร้อนพยักหน้า “ใช่ เดินทางไกล แม่นั่งจนเหน็บกินขาแล้ว” 


 


 


จูหลานยิ้มพูด “อากาศหนาวเหน็บ คนมากเช่นนี้เบียดเสียดอยู่ในรถม้าคันเดียว ขาไม่ได้ยืดเหยียด เวลาผ่านไปนานย่อมเป็นเหน็บได้ ท่านป้ายืนให้มั่นคงก่อน ประเดี๋ยวก็หาย” 


 


 


เมิ่งชื่อยืนตัวตรง หัวเราะแก้เก้อ 


 


 


เมิ่งเจี๋ยลงจากรถม้า ชะเง้อถนนที่ไม่เห็นปลายทาง ร้องอุทาน “ว้าว! อำเภอใหญ่ยิ่งนัก!” 


 


 


คนทั้งหมดขบขันกับปฏิกิริยาของเขา 


 


 


เมิ่งเจี๋ยเขินหน้าแดง เข้าไปหลบหลังเมิ่งชื่ออย่างเก้อเขิน 


 


 


จูหลานหันไปพูดกับเสี่ยวเอ้อ “เจ้าพาแขกไปยังห้องพักทั้งสามห้องที่พวกเราจองเอาไว้แล้ว” 


 


 


เสี่ยวเอ้อรับคำอย่างนบนอบ สั่งให้เสี่ยวเอ้ออีกคนจูงรถม้าไปลานด้านหลัง และดูแลให้ดี ส่วนตัวเองนำคนทั้งหมดขึ้นมาชั้นสอง เปิดประตูห้องหนึ่งออก พูดว่า “สามห้องติดกันนี้ล้วนเป็นห้องที่คุณชายจูจองเอาไว้ ทุกท่านเชิญ” 


 


 


คนทั้งหมดเข้ามาในห้อง 


 


 


เมิ่งชื่อดูการตกแต่งของห้องนี้ เดาะลิ้นโพล่งปากถามออกไป “ห้องดีเช่นนี้ พักหนึ่งคืนราคาเท่าใด” 


 


 


จูหลานตอบกลับ “ท่านป้าไม่ต้องเป็นห่วง พวกเราจ่ายเงินค่าห้องแล้ว ท่านพักให้สบายใจเถิด” 


 


 


เมิ่งชื่อพูดจบก็เสียใจ ได้ยินจูหลานพูดเช่นนี้ ใบหน้าแดงเรื่อฉับพลัน 


 


 


เซี่ยเจียงเฟิงเห็นอาการเก้กังของเมิ่งชื่อ รีบพูดขึ้น “ทุกท่านเดินทางมาไกล จะต้องเหนื่อยแย่แล้ว พวกท่านพักผ่อนก่อนเถอะ ข้ากับจูหลานจะไปรวมตัวกับเปาอีฝานและอันอี่หยวน ตอนบ่ายพวกเราค่อยไปกินอาหารที่ภัตตาคารด้วยกัน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า 


 


 


ทั้งสองบอกลาเสร็จก็เดินลงไป 


 


 


รอจนทั้งสองคนไปไกลแล้ว เมิ่งชื่อถึงถามขึ้น “โยวเอ๋อร์ แม่ทำให้ลูกขายหน้าใช่หรือไม่” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูด “ท่านแม่ จะเป็นไปได้อย่างไร คุณชายจูและคุณชายเซี่ยไม่ใช่คนอื่นไกล ไม่เห็นเป็นเรื่องขบขันหรอก” 


 


 


เมิ่งชื่อพูดอย่างเสียใจ “ถ้ารู้ว่าจะทำขายหน้า แม่จะไม่มาเด็ดขาด” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ท่านแม่ เดิมพวกเราก็เป็นคนบ้านนอก ตกตะลึงไปบ้างก็สมควรแล้ว ท่านอย่าเก็บมาใส่ใจเลย” 


 


 


เมิ่งชื่อยังรู้สึกเสียใจ นั่งลงบนเตียงอย่างเศร้าสร้อย 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นพูดเกลี้ยกล่อม “แม่เอ๋ย วันนี้พวกเราพาลูกๆ มาชมโคมไฟ เจ้าเป็นแบบนี้ ลูกๆ จะยังมีอารมณ์ชมโคมไฟหรือ” 


 


 


เมิ่งชื่อเงยหน้า มองดูลูกๆ ที่มองนางด้วยความเป็นห่วง พูดขึ้น “แม่ไม่เป็นอะไร พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง” พูดจบ ฝืนยกยิ้มแข็งให้ทุกคน 


 


 


เมิ่งเจี๋ยยังเด็ก ได้ยินเมิ่งชื่อพูดเช่นนี้ นึกว่าเมิ่งชื่อไม่เป็นอะไรแล้ว พูดกับเมิ่งเสียนอย่างยินดี “พี่ใหญ่ พวกเราไปดูห้องข้างๆ เถอะ” 


 


 


เมิ่งเสียนพยักหน้า พาคนทั้งหมดมาห้องข้างๆ เปิดประตูห้องทั้งสองตามลำดับ 


 


 


เมิ่งเจี๋ยร้องอุทาน “ว้าว! ห้องเหมือนกับเปี๊ยบเลย” 


 


 


จากนั้นก็ถามขึ้นอย่างสงสัย “ท่านพี่ ห้องเหมือนกันเช่นนี้ หากตอนกลางคืนข้าเข้าห้องผิดจะทำอย่างไร” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวบีบจมูกกระจิริดของเขา ยิ้มพลางพูด “หากเข้าห้องผิด ก็ต้องนอนกับพี่ชายพี่สาว” 


 


 


เมิ่งเจี๋ยโต้แย้ง “ไม่เอาหรอก ข้าจะนอนกับท่านพ่อท่านแม่” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูด “เช่นนั้นเจ้าต้องจำให้ดี ว่าห้องไหนเป็นห้องท่านพ่อท่านแม่ หากเจ้าเข้าห้องผิด พวกเราจับเจ้าได้จะไม่มีปล่อยเจ้าไป” พูดจบ ยื่นมือออกไปทำท่าจะคว้าเขาไว้ 


 


 


เมิ่งเจี๋ยหวีดร้องหลบหนี 


 


 


เมิ่งเสียนเปิดหน้าต่างร้องอุทาน “น้องสาว เจ้ารีบมาดู จุดที่เรายืนสามารถมองเห็นทิวทัศน์ทั้งหมดของถนนเส้นนี้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาข้างเตียง มองลอดออกไป เป็นอย่างที่เมิ่งเสียนกล่าว เห็นทิวทัศน์ทั้งหมดบนท้องถนน ไม่ว่าจะแผงขายของกินเล่น ขายของกระจุกกระจิกหรือคนเดินถนน ตรงหน้าต่างที่ยืนอยู่นี้สามารถมองเห็นได้อย่างแจ่มแจ้ง 


 


 


เมิ่งฉีพูดขึ้น “เช่นนั้นคืนนี้พวกเราก็ไม่ต้องออกไปแล้ว อยู่ในห้องก็มองเห็นโคมไฟทั้งถนนแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “มาชมโคมไฟเพื่อความคึกครื้น พวกเราสามารถหาของกินเล่นไปพลางทายปริศนาโคมไฟไปด้วยได้ หากพวกเราเอาแต่ดูอยู่ในห้องก็จะไม่ได้ลิ้มรสความสนุกนั้น” 


 


 


เมิ่งฉีถามอย่างตื่นเต้น “ยังได้ทายปริศนาโคมไฟด้วย” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “แน่นอน ได้ยินว่าถ้าทายปริศนาโคมไฟถูกจะมีรางวัลให้ด้วย” 


 


 


“รางวัลอะไร” เมิ่งฉีถาม 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้ รอให้ถึงตอนกลางคืนพวกเราลงไปดูก็รู้เอง” 


 


 


เมิ่งฉีตอบอย่างอยากลองทำดู “เช่นนั้นคืนนี้พวกเรากินข้าวเร็วหน่อยแล้วรีบออกไป” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ได้ คืนนี้พวกเรารีบออกไป แต่ข้าบอกกับพวกท่านไว้ก่อน ตอนกลางคืนคนจะเยอะมาก ถึงตอนนั้นพวกเราทั้งหมดจะต้องตามติดท่านพ่อท่านแม่ อย่าให้ผลัดหลงในกลุ่มคนเด็ดขาด” 


 


 


คนทั้งหมดรับคำ “รู้แล้ว” 


 


 


พอเด็กๆ ออกไป เมิ่งเอ้ออิ๋นก็พูดปลอบใจเมิ่งชื่อต่อ เมิ่งชื่อถึงค่อยรู้สึกดีขึ้น หันไปพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋น “อีกประเดี๋ยวคุณชายจูและคุณชายเซี่ยจะเชิญพวกเราทั้งครอบครัวไปกินอาหารที่ภัตตาคาร ข้าว่าพวกเราอย่างไปเลย ข้ากลัวจะทำเรื่องขายหน้าอันใดอีก” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นพูด “แต่นั่นเป็นน้ำใจจากคุณชายจูและคุณชายเซี่ย หากพวกเราบอกปัดไม่ไป จะไม่ดีหรือไม่” 


 


 


เมิ่งชื่อขบคิด ก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม จึงยอมถอยให้ก้าวหนึ่งพูดว่า “เอาอย่างนี้ ให้โยวเอ๋อร์และเสียนเอ๋อร์ไป ปกติพวกเขาคบค้าสมาคมกัน มีสิ่งใดก็พูดได้ตามตรง พวกเราอย่าไปเลย” 


 


 


เรื่องกินข้าวกับจูหลานและเซี่ยเจียงเฟิง เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ปวดเศียรเวียนเกล้าไม่น้อย ได้ยินเมิ่งชื่อพูดเช่นนี้ เห็นด้วยในบัดดล “ได้ อีกประเดี๋ยวให้เด็กๆ เข้ามา พวกเราบอกพวกเขาว่า ให้โยวเอ๋อร์และเสียนเอ๋อร์ไปกันสองคนก็พอ พวกเราที่เหลือกินกันที่โรงเตี๊ยมนี้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและคนอื่นๆ เที่ยวชมอีกสองห้องเสร็จ ปิดประตูห้องแล้วกลับมาที่ห้อง ได้ยินสองสามีภรรยาเมิ่งพูดเช่นนี้ รู้ว่าพวกเขากลัวเจอคนพวกนั้นจะอึดอัด จึงพยักหน้าตกลง “ก็ดี ข้าจะไปกับพี่ใหญ่ พวกท่านจะได้ไม่ต้องอึดอัดจนกินข้าวไม่ลง” 


 


 


เมิ่งฉีและเมิ่งอี้เซวียนย่อมไม่มีความคิดโต้แย้ง เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงเด็กตัวน้อยทั้งสอง ขอเพียงมีของให้กินก็พอ ยิ่งไม่มีความเห็นต่าง 


 


 


หลังจากที่จูหลานและเซี่ยเจียงเฟิงแจ้งข่าวให้เปาอีฝานและอันอี่หยวน ทั้งสี่คนปรึกษากันเล็กน้อย รู้สึกว่ามีเพียงพวกเขาสี่คนเชิญครอบครัวเมิ่งเชี่ยนโยวกินข้าวดูจะไม่เหมาะสม จึงตกลงกันว่าจะเชิญผู้หญิงในครอบครัวออกมาด้วย แต่วันนี้เป็นวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนอ้ายวันเทศกาลชมโคมไฟ ในบ้านมีเครือญาติแห่แหนกันมาชมโคมไฟ พ่อแม่ของแต่ละคนต้องดูแลพวกเขาปลีกตัวออกมาไม่ได้ ภายใต้ความจนใจ จึงให้ภรรยาที่ยังไม่ตบแต่งของจูหลานและเปาอีฝานมาคอยต้อนรับ 


 


 


ภรรยาที่ยังไม่ตบแต่งของจูหลานและเปาอีฝานล้วนเป็นคนในอำเภอ ทั้งสี่คนโตมาด้วยกันแต่เด็ก ย่อมรู้จักคุ้นเคยกัน ต่างพยักหน้ายินดี พอดีกับที่วันนี้ทั้งสองคนก็ได้เชิญพวกนางมาบ้านตนเอง เพื่อเตรียมไปชมโคมไฟคืนนี้ ทั้งสี่คนปรึกษาเสร็จ จูหลานและเปาอีฝานก็แยกย้ายกลับบ้านตัวเอง 


128.2 ชมโคมไฟ

 


 


 


 


จูหลานกลับมาถึงบ้าน แม่จูเห็นเขากลับมาก็ให้ประหลาดใจ ถามขึ้น “เจ้าบอกว่าต้องไปต้อนรับแขกสำคัญไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงกลับมาแล้ว” 


 


 


จูหลานตอบ “ท่านแม่ เมื่อครู่พวกเราสี่คนปรึกษากัน รู้สึกว่ามีเพียงพวกเราคอยดูแลดูจะไม่เหมาะสม ท่านเองก็ปลีกตัวไปไม่ได้ ข้าจึงคิดจะให้หมิ่นเอ๋อร์ไปช่วยต้อนรับด้วย ท่านว่าดีหรือไม่” 


 


 


แม่จูเกิดในตระกูลพ่อค้า ย่อมไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องชายๆ หญิงๆ อีกอย่าง เซี่ยเจียงเฟิง เปาอีฝานและอันอี่หยวนต่างก็รู้จักหมิ่นเอ๋อร์ จึงพยักหน้า หันไปพูดกับเฉียวหมิ่น “หมิ่นเอ๋อร์ เจ้าตามเขาไปเถอะ พอเจอกันแล้วพยายามสานสัมพันธ์กับแม่นางเมิ่ง จะเป็นผลดีกับการค้าในภายหน้าของพวกเรา” 


 


 


เฉียวหมิ่นสะท้อนแววตา ลุกขึ้นอย่างเชื่อฟัง ตอบกลับ “ข้าทราบแล้ว ท่านป้า ข้าจะตามเขาไป” 


 


 


แม่จูพยักหน้าพอใจ ยิ้มกล่าว “หมิ่นเอ๋อร์ของพวกเรารู้ความที่สุด อีกไม่กี่วันรอให้ทุกอย่างเข้ารูปเข้ารอย ข้าจะไปหารือกับพ่อแม่เจ้า ให้พวกเจ้าได้แต่งงานกันโดยไว เมื่อเจ้าแต่งงานเข้ามาแล้วจะได้ช่วยจูหลานอีกแรง” 


 


 


เฉียวหมิ่นหน้าแดง ตอบกลับอย่างขวยเขิน “ทุกอย่างแล้วแต่ท่านป้าจะจัดการ” 


 


 


จูหลานกลับพูดว่า “ท่านแม่ จะรีบแต่งงานไปไหน การค้าของข้ากำลังเจริญรุ่งเรือง รออีกสองปีก็ยังไม่สาย” 


 


 


เฉียวหมิ่นสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย 


 


 


แม่จูไม่สังเกตเห็น ยิ้มพลางดุว่า “เจ้าไม่รีบแต่แม่รีบ ปีนี้พวกเจ้าแต่งงาน ปีหน้าแม่จะได้อุ้มหลานตัวอ้วนๆ” 


 


 


จูหลานร้อนรนพูด “ท่านแม่ สิ่งของที่แม่นางเมิ่งผลิตออกมาขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ข้าคิดจะใช้โอกาสสองปีนี้ออกไปวิ่งหาตลาด เปิดร้านสาขาเพิ่มอีกสองสามแห่ง จะเอาเวลาที่ไหนมาแต่งงาน” 


 


 


พอได้ยินเขาเอ่ยถึงเมิ่งเชี่ยนโยว เฉียวหมิ่นก็ชักสีหน้าอึมครึม 


 


 


แม่จูพูดว่า “แต่งงานแล้วเจ้าจะออกไปหาตลาดไม่ได้หรือ เรื่องนี้ให้ว่าตามนี้ รอให้พ้นสองสามวันนี้ไป แม่และพ่อเจ้าจะไปตกลงเรื่องฤกษ์วันแต่งงานกับครอบครัวหมิ่นเอ๋อร์ เจ้ามีหน้าที่รอวันแต่งงานอย่างเบิกบานใจก็พอ” 


 


 


“ท่านแม่…” จูหลานคิดจะพูดต่อ 


 


 


แม่จูโบกมือ “ไม่ต้องพูดแล้ว รีบพาหมิ่นเอ๋อร์ไปต้อนรับแม่นางเมิ่งเถอะ ไปช้าจะเป็นการเสียมารยาท” 


 


 


จูหลานรู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาจะมาพูดกันตอนนี้ จึงไม่ดื้อแพ่งอยู่ต่อ พาเฉียวหมิ่นออกไปจากบ้าน มาถึงรถม้าด้านนอก 


 


 


เฉียวหมิ่นขึ้นนั่งบนรถม้ารวบรวมความกล้า ลองหยั่งเชิงถาม “เจ้าไม่ยินดีจะแต่งงานกับข้าหรือ” 


 


 


จูหลานตอบกลับ “ไม่ใช่ข้าไม่ยินดีแต่งงานกับเจ้า แต่ข้าอยากให้รออีกสองปีค่อยแต่ง เจ้าไม่รู้หรอกว่าสิ่งของที่แม่นางเมิ่งผลิตออกมาขายดีมากแค่ไหน สองปีนี้ข้าอยากจะเร่งทำกำไรสักก้อน” 


 


 


เฉียวหมิ่นถามอย่างไม่แยแส “แม่นางเมิ่งคนนั้นดีมากนักหรือ ครั้งก่อนข้าพบนาง รู้สึกธรรมดาทั่วไป” 


 


 


“เจ้ามองผิดแล้ว นางหาธรรมดาไม่…” จูหลานพูด 


 


 


เฉียวหมิ่นถามอย่างเคืองขุ่น “ไม่ธรรมดาอย่างไร” 


 


 


จูหลานไม่รับรู้ถึงความผิดปกติของนาง ได้ยินนางถามถึงเมิ่งเชี่ยนโยว ก็เล่าเรื่องตั้งแต่วันแรกที่รู้จักเมิ่งเชี่ยนโยวจนถึงวันนี้ทั้งหมดให้นางฟังเป็นต่อยหอย 


 


 


เฉียวหมิ่นเห็นท่าทีมีชีวิตชีวายามพูดถึงเมิ่งเชี่ยนโยวของเขา บิดผ้าเช็ดหน้าแน่นอย่างอดรนทนไม่ไหว 


 


 


จูหลานพูดมาตลอดทาง กระทั่งรถม้ามาถึงโรงเตี๊ยมที่พวกเมิ่งเชี่ยนโยวพักอาศัย ผ้าเช็ดหน้าในมือเฉียวหมิ่นก็ถูกบิดจนเกือบขาดแล้ว ใบหน้าง้ำงอน่าหวาดกลัว 


 


 


เมื่อคนงานจอดรถม้าสนิท จูหลานถึงได้สังเกตเห็นว่ามาถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยมแล้ว กำลังเตรียมจะลงจากรถม้าพร้อมเฉียวหมิ่น เพื่อเชื้อเชิญครอบครัวเมิ่งเอ้ออิ๋นไปกินข้าวที่ภัตตาคารด้วยกัน กลับเห็นสีหน้าที่ไม่ทันได้เก็บคืนของเฉียวหมิ่น ตะลึงงันถามขึ้น “เจ้าเป็นอะไร ไม่สบายตรงไหนหรือ” 


 


 


เฉียวหมิ่นได้สติคืนกลับมา คลายผ้าเช็ดหน้าในมือ เปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้มแย้มพูดว่า “ไม่เป็นอะไร ข้าแค่คิดว่าอีกประเดี๋ยวต้องเจอครอบครัวแม่นางเมิ่ง รู้สึกตื่นเต้นก็เท่านั้น” 


 


 


“งั้นหรือ” จูหลานถามอย่างคลางแคลงใจ 


 


 


เฉียวหมิ่นพยักหน้าหนักแน่น “จริงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเจอคนแปลกหน้ามากเช่นนี้ ภายในใจกระวนกระวายเป็นอย่างมาก” 


 


 


จูหลานไม่สงสัยนางอีก ประคองนางลงจากรถม้า ยิ้มพลางพูด “เจ้าไม่ต้องตื่นเต้น คนในครอบครัวแม่นางเมิ่งล้วนดีมาก เจ้าถือว่าพวกเขาเป็นคนในครอบครัวเจ้าก็พอแล้ว” 


 


 


เฉียวหมิ่นหยุดชะงักฝีเท้าเล็กน้อย 


 


 


จูหลานไม่ทันสังเกต พูดเร่งเร้า “พวกเรารีบขึ้นไปเถอะ พวกเขาคงจะรอแย่แล้ว” 


 


 


เฉียวหมิ่นฝืนยิ้ม ตามเขาเข้าไปในโรงเตี๊ยม 


 


 


ทั้งสองคนมาถึงหน้าประตูห้อง จูหลานเคาะประตูอย่างนุ่มนวล ร้องถามเสียงดัง “แม่นางเมิ่ง ข้าและหมิ่นเอ๋อร์มารับพวกเจ้าทั้งครอบครัวไปกินข้าวที่ภัตตาคารแล้ว” 


 


 


คนในห้องได้ยินเสียงเขาต่างลุกขึ้นพร้อมกัน เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปเปิดประตูห้อง เห็นจูหลานและเฉียวหมิ่นยืนอยู่หน้าประตู พูดอย่างเป็นกันเอง “คุณหนูเฉียว รีบเข้ามาในห้องก่อน” 


 


 


เฉียวหมิ่นยิ้มตอบตามมารยาท เดินเข้ามาในห้องพร้อมจูหลาน 


 


 


จูหลานกล่าวแนะนำกับสองสามีภรรยาเมิ่ง “ท่านลุง ท่านป้า นี่คือเฉียวหมิ่นภรรยาที่ยังไม่ได้ตบแต่งของข้า วันนี้นางอยู่บ้านข้าพอดี ข้าจึงเชิญนางมาด้วย มาร่วมรับประทานอาหารที่ภัตตาคารด้วยกัน” พูดจบหันไปแนะนำกับเฉียวหมิ่น “นี่คือบิดามารดาแม่นางเมิ่ง เจ้าเรียกท่านลุงท่านป้าก็พอ” 


 


 


เฉียวหมิ่นแย้มยิ้มพลางร้องเรียกตามมารยาท 


 


 


สองสามีภรรยาเมิ่งเห็นการแต่งกายของเฉียวหมิ่น ก็รู้ว่าเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ ตื่นเต้นจนวางมือวางเท้าไม่ถูก ยิ่งไม่กล้าขานรับคำเรียกจากเฉียวหมิ่น 


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าเฉียวหมิ่นพลันแข็งทื่อ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาข้างหน้า กล่าวขอขมาเฉียวหมิ่น “ต้องขอโทษด้วย คุณหนูเฉียว พ่อแม่ข้าเป็นคนบ้านนอก ไม่เคยเห็นโลกกว้าง ขอเจ้าอย่าได้ถือสา” 


 


 


เฉียวหมิ่นยิ้มพูด “ไม่เป็นไร ขอเพียงท่านลุงท่านป้าไม่รังเกียจข้าก็พอ” 


 


 


สองสามีภรรยาเมิ่งลุกลนโบกมือ เมิ่งชื่อรีบร้อนพูดขึ้น “ไม่ๆๆ คุณหนูเฉียว เจ้าเข้าใจผิดแล้ว พวกเราจะรังเกียจเจ้าได้อย่างไร พวกเราเพียงแค่ไม่เคยเห็นคุณหนูสูงศักดิ์ที่งดงามเช่นเจ้า จึงตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก” 


 


 


เฉียวหมิ่นเขินหน้าแดง พูดอย่างมีมารยาท “ขอบคุณท่านป้าที่ชม” 


 


 


จูหลานหันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “พวกเราจองโต๊ะที่ภัตตาคารไว้แล้ว พวกเขาสามคนรุดหน้าไปก่อน ข้ากับหมิ่นเอ๋อร์แวะมารับพวกเจ้า พวกเราไปพร้อมกันเถอะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “พ่อแม่ข้านั่งรถมาเหนื่อย อยากจะพักผ่อนอยู่ที่โรงเตี๊ยม คืนนี้จะได้ไปชมโคมไฟได้อย่างสบาย จึงไม่ไปด้วยแล้ว ข้ากับพี่ใหญ่จะไปกับพวกเจ้าเอง” 


 


 


จูหลานร้องอุทาน “ได้อย่างไรกัน พวกเราตกลงกันแล้ว พวกเราทั้งหมดจะเลี้ยงอาหารครอบครัวเจ้า ข้าไปรบกวนที่บ้านพวกเจ้าตั้งหลายครั้ง วันนี้ได้มีโอกาสให้ข้าเป็นเจ้าภาพเลี้ยงดูปูเสื่อ พวกท่านจะไม่ไปได้อย่างไร” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “พวกเราเดินทางเข้าอำเภอมาแต่เช้า ท่านพ่อท่านแม่ข้าเหนื่อยจริงๆ แล้ว วันข้างหน้าอีกยาวไกล ภายหน้าคุณชายจูยังมีโอกาสได้เป็นเจ้าภาพเลี้ยงดูปูเสื่อพวกเรา” 


 


 


สองสามีภรรยาเมิ่งแสดงว่าตัวเองเหนื่อยล้าจริงๆ ต้องการจะพักผ่อนอยู่ในโรงเตี๊ยม ฟื้นฟูเรี่ยวแรง คืนนี้จะได้ออกไปชมโคมไฟ 


 


 


จูหลานเห็นว่าพวกเขาพูดเช่นนี้แล้ว จึงไม่ดึงดั้นต่ออีก จำต้องออกจากโรงเตี๊ยมไปพร้อมเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียน ขึ้นนั่งรถม้ามาถึงภัตตาคาร 


 


 


เสี่ยวเอ้อพาคนทั้งหมดมายังห้องรับรองที่จองเอาไว้แล้วอย่างนอบน้อม 


 


 


เซี่ยเจียงเฟิง อันอี่หยวน เปาอีฝานรวมถึงภรรยาที่ยังไม่ตบแต่งของเปาอีฝานต่างนั่งรออยู่ในห้องแล้ว 


 


 


พอเห็นพวกเขาไม่กี่คนเข้ามา ก็ให้รู้สึกประหลาดใจ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวต้องอธิบายอย่างรู้สึกผิดว่าพ่อแม่และคนในครอบครัวคนอื่นต่างเหนื่อยล้า ต้องการพักผ่อนอยู่ในโรงเตี๊ยม ฟื้นฟูเรี่ยวแรง คืนนี้จะได้ออกไปชมโคมไฟ 


 


 


คนที่อยู่ในห้องล้วนสมองแหลมคม ไหนเลยจะไม่เข้าใจว่านี่เป็นคำพูดปฏิเสธของเมิ่งเชี่ยนโยวแทนพ่อแม่ แต่คนทั้งหมดก็ไม่ได้เปิดโปง ต่างบอกให้พวกเขาหาที่นั่ง 


 


 


เฉียวหมิ่นรู้จักกับภรรยาที่ยังไม่ตบแต่งของเปาอีฝาน ทั้งสองคนจึงนั่งด้วยกัน ทั้งหมดนั่งอยู่ทางซ้ายของเมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งเสียนถัดจากเมิ่งเชี่ยนโยวมาทางขวา ส่วนคนอื่นๆ นั่งกันหมดแล้ว 


 


 


เปาอีฝานชี้ภรรยาที่ยังไม่ตบแต่งของตนเองกล่าวว่า “แม่นางเมิ่งรู้จักคนในที่นี้หมดแล้ว ข้าจะไม่แนะนำอีก นี่ก็คือซุนฮุ่ยภรรยาที่ยังไม่ตบแต่งของข้า” 


 


 


จากนั้นก็พูดกับซุนฮุ่ย “นี่ก็คือเมิ่งเชี่ยนโยวที่ข้าเคยพูดให้เจ้าฟัง” 


 


 


ซุนฮุ่ยเอื้อนเอ่ยอย่างมีมิตรไมตรี “ข้าได้ยินเปาอีฝานเล่าว่าแม่นางเมิ่งอายุยังน้อยก็เก่งกล้าสามารถมาก อยากเจอตัวจริงมานานแล้ว วันนี้ในที่สุดก็ได้เจอ แม่นางเมิ่งมีท่วงท่าไม่ธรรมดาไม่จริงๆ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรีบร้อนพูด “คุณหนูซุนเกรงใจไปแล้ว ข้าเป็นเพียงเด็กสาวบ้านนา ไม่รู้ขนบธรรมเนียม หากทำสิ่งใดไม่เหมาะสม ขอคุณหนูซุนอย่าได้ขบขัน” 


 


 


ซุนฮุ่ยยังไม่ทันได้พูด จูหลานก็แย่งพูดก่อน “เจ้าโหดขนาดนั้น ใครจะกล้าขบขันเจ้า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาตักเตือนเขา 


 


 


จูหลานหดคอกลับ ไม่กล้าพูดอีก 


 


 


เฉียวหมิ่นจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด บิดผ้าเช็ดหน้าในมือแน่นอีกครั้ง 


 


 


คนทั้งหมดคุ้นชินกับปฏิกิริยาที่เมิ่งเชี่ยนโยวมีต่อจูหลานแล้ว ไม่มีใครเก็บเอามาใส่ใจ 


 


 


มีเพียงซุนฮุ่ยที่นิ่งอึ้ง จากนั้นยิ้มพูด “แม่นางเมิ่งพูดกระไรเช่นนั้น หากเจ้าเป็นเด็กสาวบ้านนา ข้ากับเฉียวหมิ่นไม่ยิ่งต้องแทรกแผ่นดินหนีเลยหรือ” 


 


 


พูดจบหันไปถามเฉียวหมิ่น “ใช่หรือไม่ เฉียวหมิ่น” 


 


 


เฉียวหมิ่นฝืนยิ้มแห้งๆ 


 


 


ซุนฮุ่ยถามขึ้น “เฉียวหมิ่น วันนี้สีหน้าเจ้าดูแปลกๆ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า” 


 


 


เฉียวหมิ่นลูบหน้าลูบตาตัวเอง ส่ายหน้า “เปล่า คงเพราะเมื่อวานนอนไม่พอ ประเดี๋ยวกินข้าวเสร็จกลับไปพักผ่อนก็คงดีขึ้น” 


 


 


ซุนฮุ่ยยิ้มพูด “ต้องกลับไปพักผ่อนให้มากๆ คืนนี้พวกเรายังต้องไปชมโคมไฟด้วยกัน หนึ่งปีมีเพียงครั้งเดียว ห้ามพลาดเด็ดขาด” 


 


 


เฉียวหมิ่นพยักหน้า 


 


 


ไม่นานเสี่ยวเอ้อก็ยกอาหารเข้ามา คนทั้งหมดเริ่มลงมือรับประทานอาหาร 


 


 


ซุนฮุ่ยคีบเนื้อปลาชิ้นหนึ่ง วางใส่ในถ้วยของเมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “ภัตตาคารแห่งนี้ทำปลาได้ไม่เลว แม่นางเมิ่งลองชิมดู” 


 


 


ยังไม่รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณ จูหลานก็พูดขึ้น “ปลานี้จะไปสู้อะไรได้ ปลาที่แม่นางเมิ่งทำต่างหากถึงจะไร้เทียมทาน ตอนที่พวกเราได้เห็นครั้งแรก ลูกตาแทบจะหลุดออกมาจากเบ้า” 


 


 


ซุนฮุ่ยหัวเราะพูด “วิธีการทำปลามีแค่นึ่ง ทอด ต้ม ตุ๋นไม่กี่อย่างเท่านั้น หรือแม่นางเมิ่งยังคิดวิธีแปลกใหม่อะไรได้” 


 


 


จูหลานกลืนอาหารในปากแล้วพูด “นางคิดวิธีแปลกใหม่ออกมาได้ นางวางปลาไว้ในหม้อใบหนึ่ง ใต้หม้อใบนั้นยังมีไฟจุดไว้ ในอากาศที่หนาวเหน็บเช่นนี้ จนพวกเรากินเนื้อปลาชิ้นสุดท้ายหมด น้ำซุปในหม้อก็ยังร้อนระอุอยู่” 


 


 


ซุนฮุ่ยถลึงตาโต “มีวิธีเช่นนี้ด้วย” 


 


 


จูหลานตอบอย่างลำพองใจ “แน่นอน แม่นางเมิ่งทำอาหารแปลกประหลาดได้มากมาย ล้วนเป็นอาหารที่พวกเจ้าไม่เคยเห็น” 


 


 


ซุนฮุ่ยหันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “เช่นนั้นภายหน้าหากมีโอกาสข้าขอชิมอาหารที่แม่นางเมิ่งทำบ้าง ถึงตอนนั้นเจ้าจะต้องทำอาหารที่เจ้าถนัดที่สุดให้ข้ากิน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ไม่มีปัญหา หากเจ้าว่างก็ไปที่บ้านข้า ข้าจะทำพระกระโดดกำแพงอาหารที่ข้าถนัดที่สุดให้เจ้ากิน รับประกันว่าหลังจากเจ้าได้กิน จะต้องงอแงไม่ยอมไปจากบ้านข้า” 


 


 


ซุนฮุ่ยพูดตาม “พระกระโดดกำแพง เป็นชื่อที่แปลกประหลาดนัก เจ้าไม่พูดข้ายังไม่คิดว่านี่เป็นชื่ออาหาร” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูด “พระกระโดดกำแพงต้องใช้วัตถุดิบสิบแปดชนิด เครื่องปรุงอีกสิบชนิดถึงจะทำได้ โดยทั่วไปหากไม่ใช่แขกสำคัญข้าไม่มีทางทำอาหารนี้” 


 


 


ซุนฮุ่ยพูดอย่างยินดี “เช่นนั้นข้าต้องขอบใจแม่นางแล้ว เอาไว้ข้าว่าง จะต้องไปรบกวนแม่นางหลายๆ วัน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “ยินดีต้อนรับเสมอ” 


 


 


จูหลานร้องโวยวายไม่พอใจ “เจ้าจะทำให้นางกินคนเดียวไม่ได้ พวกเราก็อยากกิน เจ้าจะเลือกที่รักมักที่ชั่งไม่ได้” 


 


 


อีกสามคนที่เหลือก็พยักหน้า 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “ข้ารู้สึกสนิทสนมกับคุณหนูซุนตั้งแต่แรกพบ เป็นเพื่อนรักที่คุยถูกคอ ข้าทำให้นางกินก็สมควรแล้ว อาหารที่ยุ่งยากเช่นนี้เหตุใดข้าต้องทำให้พวกเจ้ากินด้วย” 


 


 


จูหลานพูด “เจ้าบอกเองว่าพวกเราก็เป็นเพื่อนเจ้า ฉะนั้นเจ้าต้องทำให้พวกเรากินด้วย” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ข้าเคยพูดเช่นนั้นหรือ เหตุใดข้าถึงจำไม่ได้” 


 


 


จูหลานสำลักจนพูดไม่ออก 


 


 


ทุกคนหัวเราะครืน 


 


 


จูหลานร้องงอแงไม่ยอม “ข้าไม่สน พระกระโดดกำแพงนี้เจ้าจะต้องทำให้ข้ากิน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ไม่มีเวลา” 


 


 


จูหลานถามกลับ “ทำไมจะไม่มีเวลา ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยง ตอนบ่ายเจ้าไปเตรียมของ คืนนี้ทำให้พวกเรากินได้พอดี” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยววางตะเกียบในมือลง หันไปพูดกับจูหลาน “คุณชายจู ข้าเข้ามาอำเภอเพื่อชมโคมไฟ ไม่ได้มาทำอาหารให้เจ้า คำพูดเช่นนี้เจ้ายังมีหน้าพูดออกมา” 


 


 


จูหลานก็รู้สึกว่าตัวเองทำเกินกว่าเหตุ บ่นงึมงำเสียงแผ่ว “ข้าก็แค่ได้ยินของอร่อยเลยดีใจจนลืมเรื่องที่เจ้ามาชมโคมไฟเท่านั้นเอง” 


 


 


ทุกคนหัวเราะครืน 


128.3 ชมโคมไฟ

 


 


 


 


จูหลานพลันปรับเสียงพูดดังลั่นอีก “วันนี้เจ้าทำไม่ได้ พรุ่งนี้น่าจะทำได้นะ อย่างไรสองสามวันนี้ครอบครัวเจ้ายังว่างงานอยู่ ไม่เช่นนั้นก็พักในอำเภอนี้เพิ่มอีกสักวัน รอให้พวกเจ้าทำพระกระโดดกำแพงให้พวกเรากินก่อนค่อยกลับ” 


 


 


ทุกคนมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างรอคอย 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวใคร่ครวญ พูดขึ้น “ข้าขอกลับไปปรึกษาท่านพ่อท่านแม่ก่อน หากพวกเขาเห็นด้วย ข้าจะอยู่ต่ออีกวัน ทำพระกระโดดกำแพงให้พวกเจ้าก่อนค่อยกลับ” 


 


 


พอได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวยอมรับปาก จูหลานก็ดีใจจนฉุดไม่อยู่ พูดว่า “ยังมีอะไรต้องปรึกษาอีก หากพวกเจ้ารู้สึกว่าโรงเตี๊ยมไม่สบาย ไปอยู่บ้านข้าก็ได้ เช่นนี้แล้วจะทำอาหารก็สะดวก” 


 


 


เฉียวหมิ่นหยุดชะงักตะเกียบในมือ เงยหน้าขึ้น มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างชิงชัง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ยุ่งยากเกินไป พวกเราพักที่โรงเตี๊ยมดีแล้ว” 


 


 


จูหลานรู้สึกผิดหวัง 


 


 


เฉียวหมิ่นก้มหน้ากินข้าวอีกครั้ง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็หยิบตะเกียบขึ้นใหม่ ก้มหน้ากินข้าว กินไปไม่กี่คำ ก็ถามขึ้นส่งๆ “อาหารของภัตตาคารในอำเภอก็ไม่เลว เหตุใดพวกเจ้าต้องไปกินอาหารของภัตตาคารในตำบลชิงซีด้วย” 


 


 


จูหลานแย่งตอบ “เริ่มแรกเปาอีฝานบอกว่ามีภัตตาคารแห่งหนึ่งในตำบลชิงซีทำอาหารได้ไม่เลว ให้พวกเราลองไปลิ้มรส อย่างไรก็ห่างจากที่นี่ไม่ไกล พวกเราก็เลยไป ชิมรสชาติแล้วพอใช้ได้ ภายหลังพอมีเวลาก็จะรวมตัวกันไป นานวันเข้าก็กลายเป็นความเคยชิน หากในหนึ่งเดือนไม่ได้ไป ก็จะรู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างมีนัยแฝง “ที่แท้ก็เป็นคุณชายเปาที่เชิญพวกเจ้าไป” 


 


 


เปาอีฝานหน้าเปลี่ยนสี ตวาดจูหลาน “ปากดีนัก หากเจ้าไม่พูด ก็ไม่มีใครว่าเจ้าเป็นใบ้” 


 


 


จูหลานเบะปาก ก้มหน้ากินข้าว 


 


 


ซุนฮุ่ยกลัวเมิ่งเชี่ยนโยวจะเกรงใจ คอยคีบอาหารให้นางกิน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวได้แต่ยิ้มพลางกล่าวขอบคุณ 


 


 


เปาอีฝานเห็นซุนฮุ่ยเอาแต่ดูแลเมิ่งเชี่ยนโยว ตัวเองไม่ค่อยได้กิน จึงคีบอาหารใส่ถ้วยนางอย่างห่วงใย 


 


 


ซุนฮุ่ยเขินหน้าแดง ลอบมองคนทั้งหมดแวบหนึ่ง พบว่าไม่มีใครสังเกตพวกเขาถึงวางใจลง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแอบขำในใจ เด็กโง่เอ๋ย เปาอีฝานออกท่าออกท่าขนาดนั้น จะให้แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นยังยาก คงมีแต่นางที่ไม่สังเกตเห็นข้อนี้ 


 


 


จูหลานเห็นเปาอีฝานคีบอาหารให้ซุนฮุ่ย ก็เลียบแบบคีบอาหารใส่ถ้วยของเฉียวหมิ่นบ้าง พูดอย่างห่วงใย “สีหน้าเจ้าแย่มากจริงๆ กินเยอะๆ หน่อย กินเสร็จแล้วให้คนงานบังคับรถม้าพาเจ้ากลับไปพักผ่อน” 


 


 


เฉียวหมิ่นหยุดชะงักตะเกือบในมือ ครู่ใหญ่ถึงรับคำเสียงแผ่ว 


 


 


คนทั้งหมดกินอิ่มแล้วเสวนาในห้องรับรองอีกครู่หนึ่ง นัดกันว่าหลังจากแยกไปกินอาหารค่ำเสร็จ ให้มารวมตัวกันที่โรงเตี๊ยม เพื่อชมโคมไฟพร้อมครอบครัวเมิ่งเชี่ยนโยว 


 


 


ครอบครัวตนเองไม่คุ้นชินสถานที่ มีคนมาเดินชมไปด้วยย่อมเป็นเรื่องดี เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ได้บอกปัด 


 


 


หลังจากทุกคนลงมาชั้นหนึ่ง จูหลานก็หันไปพูดกับเฉียวหมิ่น “ให้คนงานพาเจ้าไปส่งที่บ้านก่อน ข้าส่งแม่นางเมิ่งและพี่ชายเสร็จแล้วจะตามกลับไป” 


 


 


เฉียวหมิ่นพูดขึ้น “รถม้าให้ข้าใช้ ท่านจะส่งแม่นางเมิ่งกลับไปอย่างไร ไม่อย่างนั้นพวกเราไปส่งพวกเขาก่อนค่อยกลับบ้านพร้อมกัน” 


 


 


จูหลานพูดอย่างห่วงใย “ร่างกายเจ้าจะทนไหวหรือ วางใจเถอะ ข้าสนิทกับแม่นางเมิ่งเป็นอย่างมากแล้ว พวกเขาไม่โทษว่าเจ้าเสียมารยาทหรอก” 


 


 


เฉียวหมิ่นตอบกลับ “ข้าไม่เป็นไร กินข้าวเสร็จรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว อย่างไรก็ใช้เวลาไม่มาก พวกเราไปส่งแม่นางเมิ่งก่อนค่อยกลับไปพักผ่อนที่บ้านเถอะ” 


 


 


จูหลานพยักหน้า หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “ข้ากับหมิ่นเอ๋อร์จะพาพวกเจ้าไปส่งก่อน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปฏิเสธ “คุณหนูเฉียวสุขภาพไม่สู้ดี พวกเจ้ารีบกลับบ้านเถอะ ข้าและพี่ใหญ่เข้าอำเภอมาครั้งแรก จะได้ใช้โอกาสนี้เดินเล่นให้ทั่ว” 


 


 


คนทั้งหมดรู้สึกไม่เหมาะสม ต่างแย่งกันบอกให้รถม้าของบ้านตัวเองไปส่ง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปฏิเสธเฉกเช่นเดียวกัน บอกว่าตัวเองอยากเดินเล่นในเมืองจริงๆ 


 


 


คนทั้งหมดเห็นนางยืนหยัด จึงว่าตามนาง หลังจากบอกลานางแล้ว ก็ขึ้นรถม้าของบ้านตัวเองจากไป 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองส่งพวกเขาจนลับตา ถึงหันมายิ้มพูดกับเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ พวกเราเดินไปด้วยกันเถอะ เดินเล่นดูบ้านเมืองที่นี่” 


 


 


เมิ่งเสียนพยักหน้าเห็นดีด้วย สองพี่น้องเดินไปดูไป ไม่นานก็เดินมาถึงโรงเตี๊ยม 


 


 


สองสามีภรรยาเมิ่งพาลูกๆ ลงมากินอาหารเที่ยงในโรงเตี๊ยม จากนั้นก็นั่งพูดคุยอยู่ในห้องหนึ่งด้วยกัน พอเห็นพวกเขากลับมา เมิ่งชื่อพูดขึ้น “พวกเจ้ากลับมาพอดี พวกเราแบ่งห้องหับแล้ว แม่กับพ่อเจ้าจะนอนกับเจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์ในห้องหนึ่ง โยวเอ๋อร์ให้นอนห้องตรงกลาง เสียนเอ๋อร์ฉีเอ๋อร์และอี้เซวียนให้นอนห้องริมสุด” 


 


 


เมิ่งชิงคัดค้าน “ข้าไม่นอนกับท่านลุงรองท่านป้ารอง ข้าจะอยู่ห้องเดียวกับพวกพี่ๆ” 


 


 


ตั้งแต่เมิ่งชิงมาอาศัยอยู่กับพวกเขา ก็อยู่กับเมิ่งเสียนและพี่ๆ มาตลอด วันนี้เมิ่งชื่อกลัวคนทั้งหมดนอนเตียงเดียวกัน จะหลับไม่สบาย ถึงให้เขามานอนกับตนเองด้วย ไม่คิดว่าเจ้าตัวน้อยจะไม่ยินดี 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “ชิงเอ๋อร์ เจ้ามานอนห้องเดียวกับพี่ก็แล้วกัน” 


 


 


เมิ่งชิงตอบกลับ “ไม่ได้ พี่สาวเป็นผู้หญิง ข้าโตมากแล้ว จะนอนห้องเดียวกับพี่สาวไม่ได้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ แกล้งพูดแซวเขา “ก็เพราะพี่สาวเป็นผู้หญิง ถึงอยากให้เจ้ามานอนกับพี่สาวอย่างไร ตอนกลางคืนหากมีคนไม่ดี เจ้าจะได้ปกป้องพี่สาวได้” 


 


 


เมิ่งชิงมุ่นหัวคิ้วขบคิด อึดใจหนึ่งถึงพูดอย่างลำบากด้วยมาดของผู้ใหญ่ตัวน้อย “ก็ได้ ให้ครั้งนี้เท่านั้น ไม่มียกเว้นอีก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวร่องอหาย 


 


 


สองสามีภรรยาเมิ่งและเมิ่งเสียนกับน้องๆ ก็ขบขันหัวเราะครืน 


 


 


เมิ่งชิงไม่รู้ว่าพวกเขาหัวเราะสิ่งใด แต่ก็หัวเราะตามไปด้วย 


 


 


หลังจากหัวเราะเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวก็พาเมิ่งชิงกลับมาที่ห้องตรงกลาง เมิ่งเสียนและน้องๆ กลับเข้าไปพักผ่อนในห้องริมสุด 


 


 


เหน็ดเหนื่อยกันมาครึ่งวันแล้ว ทั้งครอบครัวเหนื่อยล้าอ่อนแรง เอนตัวนอนไม่กี่อึดใจก็สลบไสลไป โดยเฉพาะเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงเด็กตัวน้อยทั้งสอง เมื่อวานเอาแต่ตื่นเต้นกระสับกระส่าย แทบไม่ได้นอนหลับ พอได้หลับตาเอนตัวก็นอนไปถึงยามค่ำ ตอนที่เมิ่งชื่อเรียกทั้งสองคนขึ้นมากินข้าวเย็น ทั้งสองยังสะลึมสะลือ นอนไม่อิ่ม ไม่ยอมลุกขึ้น 


 


 


เมิ่งชื่อพูดกล่อม “เจี๋ยเอ๋อร์ ลูกตื่นมาดูเถิด โคมไฟด้านนอกงดงามเหลือเกิน อีกประเดี๋ยวพวกเรากินข้าวเสร็จ จะได้ไปชมโคมไฟกัน” 


 


 


เมิ่งเจี๋ยผุดลุกขึ้นมาจากเตียงพลัน เดินไปข้างหน้าต่าง เห็นถนนด้านนอกแขวนประดับเต็มไปโคมไฟรูปแบบต่างๆ พูดอย่างตื่นเต้น “ท่านแม่ โคมไฟเหล่านี้งดงามนัก” 


 


 


เมิ่งชื่อยิ้มพูด “ใช่แล้ว งดงามมาก เจี๋ยเอ๋อร์รีบใส่เสื้อผ้า อีกเดี๋ยวพวกเราจะไปชมโคมไฟกัน” 


 


 


เมิ่งเจี๋ยใส่เสื้อผ้าอย่างเชื่อฟัง 


 


 


ทั้งครอบครัวกินอาหารค่ำอย่างขอไปที จากนั้นลงมารอพวกจูหลานชั้นล่าง 


 


 


เซี่ยเจียงเฟิง อันอี่หยวนและจูหลานรวมถึงเฉียวหมิ่นมาถึงตามเวลานัด เห็นครอบครัวเมิ่งเชี่ยนโยวลงมารอชั้นล่างแล้ว เซี่ยเจียงเฟิงส่งยิ้มพลางกล่าว “ต้องขอโทษแม่นางเมิ่งด้วย พวกเรามาช้าไป” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ไม่ช้า พวกเราใจร้อนเอง ลงมาก่อนเวลา” 


 


 


จูหลานพูดอย่างร้อนรน “เช่นนั้นพวกเราก็ไปเถอะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามขึ้น “ไม่รอคุณชายเปาหรือ” 


 


 


อันอี่หยวนตอบกลับ “เกิดเรื่องบางอย่างกับครอบครัวเปาอีฝาน จะมาช้าหน่อย ให้พวกเราเดินเล่นไปก่อน เมื่อเขาจัดการเสร็จ จะมาหาพวกเราพร้อมคุณหนูซุน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เช่นนั้นพวกเราก็ไปเถอะ” 


 


 


ทุกคนพยักหน้า 


 


 


พวกจูหลานทั้งสี่คนเดินนำหน้า ครอบครัวเมิ่งชื่อเดินตามหลัง คนทั้งหมดเดินชมโคมไฟพร้อมกับคนอื่นๆ อย่างชื่นบาน 


 


 


บนถนนมีโคมไฟมากมายหลากหลายแบบ ครอบครัวเมิ่งชื่อมองจนเคลิ้บเคลิ้ม หยุดฝีเท้าล้อมชมโคมไฟที่ชอบเป็นระยะ 


 


 


จูหลานพูดขึ้น “แม่นางเมิ่ง หากพวกเจ้าชอบ ให้พวกเราซื้อให้พวกเจ้าสักสองสามอันเถอะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ไม่ต้อง พวกเราชื่นชมก็พอแล้ว ขอบคุณคุณชายจู” 


 


 


คนทั้งหมดเดินมาหน้าแผงที่มีคนเยอะ เถ้าแก่ที่ขายโคมไฟกำลังเปล่งเสียงพูดกับกลุ่มคน “ในโคมไฟของข้าทุกอันจะมีปริศนาโคมไฟ หากคนไหนทายถูก โคมไฟนั้นข้าจะให้เปล่าไม่คิดเงิน หากทายไม่ถูก จะต้องจ่ายเงินซื้อโคมไฟมาให้ข้าสิบอีแปะ” 


 


 


เมิ่งเสียนและน้องๆ หยุดชะงักฝีเท้า คิดอยากจะลอง 


 


 


คนทั้งหมดจึงหยุดเดินล้อมวงดูพวกเขา 


 


 


เริ่มที่เมิ่งเสียนหยิบโคมไฟแปดเหลี่ยมขึ้นมา เปิดปริศนาคำทายด้านในออก ไม่ถึงอึดใจพวกเขาก็ไขปริศนาได้ เถ้าแก่ขายโคมไฟมอบโคมไฟให้พวกเขา 


 


 


เมิ่งเจี๋ยรับโคมไฟมาถือไว้ ดีอกดีใจยกใหญ่ 


 


 


เมิ่งชิงกระวนกระวายหันไปพูดกับเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ ข้าก็อยากได้ ข้าอยากได้รูปปลา” 


 


 


เมิ่งเสียนลูบหัวเขา บอกเขาใจเย็นๆ จากนั้นเอื้อมมือไปหยิบโคมไฟปริศนารูปปลามา ครั้งนี้คนทั้งหมดต้องไขปริศนาพักใหญ่ ถึงได้คำตอบ เถ้าแก่ขายโคมไฟมอบโคมไฟให้พวกเขาพลางพูดว่า “นายน้อยทั้งหลายล้วนฉลาดรอบรู้ ข้าเดินทางมาหลายที่ ยังไม่เคยเจอใครไขปริศนาได้คราเดียวสองครั้งติดกัน” 


 


 


เมิ่งเสียน เมิ่งฉีและเมิ่งอี้เซวียนยิ้มอย่างเคอะเขิน 


 


 


คนที่มาชมโคมไฟโดยรอบเห็นพวกเขาชนะได้โคมไฟมาถึงสองอัน ต่างทยอยเดินขึ้นหน้า หยิบโคมไฟปริศนาที่ตนเองชอบมา ขมวดคิ้วย่นยู่ขบคิด 


 


 


เมิ่งชื่อถูกกลุ่มคนที่จะเดินมาหน้าแผงเบียดจนตัวโยน รีบหันไปพูด “โยวเอ๋อร์ พวกเราไปเดินเล่นที่อื่นเถอะ ที่นี่คนเยอะเกินไป” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ตอนที่กำลังจะเรียกคนอื่นๆ ไปที่อื่น เถ้าแก่ขายโคมไฟชี้ไปที่โคมไฟงดงามอันหนึ่งพูดขึ้น “นี่คือโคมไฟที่ดีที่สุดในปีนี้ของแผงข้า ข้าใช้เวลาครึ่งเดือนถึงทำสำเร็จ และทำเพียงอันเดียว เดิมคิดจะนำมาเรียกลูกค้า ไม่เข้าร่วมโคมไฟปริศนาคำทาย ข้าเห็นนายน้อยทั้งหลายแล้วถูกชะตา ไม่เช่นนั้นข้าจะตั้งปริศนาขึ้นมาหนึ่งข้อ หากพวกเจ้าตอบถูก โคมไฟนี้ข้าจะมอบให้พวกเจ้า หากพวกเจ้าตอบไม่ได้ ก็ต้องจ่ายเงินหนึ่งร้อยอีแปะมาซื้อโคมไฟนี้ของข้าดีหรือไม่” 


 


 


คนทั้งหมดได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ก็เกิดแรงฮึกเหิม แย่งกันขอให้เขาพูดปริศนาออกมา ดูว่าตนเองจะทายถูกหรือไม่ 


 


 


เถ้าแก่ขายโคมไฟยิ้มอ่อนมองไปที่คนทั้งหมด 


 


 


เมิ่งเสียนมองเมิ่งเชี่ยนโยว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “พี่ใหญ่ อยากทายก็ทายเถอะ อย่างมากพวกเราก็แค่จ่ายเงินหนึ่งร้อยอีแปะซื้อโคมไฟของเขา” 


 


 


เมิ่งเสียนยินดี พูดกับเถ้าแก่ขายโคมไฟอย่างมีมารยาท “เชิญท่านตั้งปริศนา” 


 


 


เถ้าแก่ขยับลูกคอ พูดปริศนาเสียงดัง 


 


 


หน้าแผงเงียบสงัดเฉียบพลัน ทุกคนต่างใช้สมาธิขบคิดเพื่อไขปริศนานี้ แม้แต่เซี่ยเจียงเฟิง อันอี่หยวนและจูหลานต่างก็ขมวดคิ้วย่นยู่ขบคิด 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขี้เกียจเปลืองสมองคิด ยืนอยู่อีกด้านกับสองสามีภรรยาเมิ่ง แย้มยิ้มให้กับท่าทีขบคิดเอาเป็นเอาตายของทุกคน 


 


 


เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงเด็กน้อยทั้งสองก็ได้รับผลกระทบ พวกเขาหยุดวิ่งเล่น กลั้นลมหายใจ รอคอยให้พวกเขาทายปริศนาได้โดยเร็ว 


 


 


เมิ่งเสียนและน้องๆ ขบคิดครู่หนึ่ง สุมหัวปรึกษากัน ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ ต่างเริ่มกระวนกระวาย 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทีกระวนกระวายของพวกเขา เปล่งเสียงพูดกับเถ้าแก่ขายโคมไฟ “เถ้าแก่ โคมไฟนี้พวกเราซื้อเอง” 


 


 


โคมไฟทั่วไปวางขายในราคาไม่กี่อีแปะ แต่โคมไฟตรงหน้านี้กลับขายได้ถึงหนึ่งร้อยอีแปะจริงๆ เถ้าแก่ปิติดีใจ กำลังเตรียมจะมอบโคมไฟกับมือเมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งอี้เซวียนกลับเอ่ยปากพูดขึ้น “ช้าก่อน ข้ารู้แล้วว่าคำตอบคืออะไร” 


 


 


คนที่ยืนอยู่หน้าแผงทั้งหมดมองเขาอย่างเฝ้ารอ 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนหน้าแดงเรื่อ พูดคำตอบออกมา 


 


 


เถ้าแก่ขายโคมไฟไม่คิดว่าเขาจะทายถูกจริงๆ พลันตะลึงงันอยู่ตรงนั้น 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนใช้น้ำเสียงน่าฟังถามเขา “เถ้าแก่ ข้าทายถูกหรือไม่” 


 


 


เถ้าแก่เรียกสติกลับมา รีบร้อนพูด “ถูกๆๆ” พูดจบ มอบโคมไฟส่งให้กับมือเมิ่งอี้เซวียนอย่างเต็มใจ “นายน้อยท่านนี้ โคมไฟนี้เป็นของเจ้าแล้ว” 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนรับมาอย่างยินดี 


 


 


คนที่มุงดูโดยรอบเห็นเถ้าแก่ขายโคมไฟมอบโคมไฟที่ดีที่สุดให้กับเด็กที่ไขปริศนาได้ถูกต้องจริงๆ ต่างกรูกันเดินขึ้นหน้า มีทั้งคนทาย ทั้งคนซื้อ เถ้าแก่โคมไฟรับรองลูกค้าอย่างมีความสุข 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนถือโคมไฟหลบผู้คนอย่างระวังมาเบื้องหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ยื่นโคมไฟไปตรงหน้านาง พูดเอาใจ “ชอบไหม ข้าให้เจ้า”


129.1 เมิ่งเจี๋ยหายตัวไป

 


 


 


 


บนถนนผู้คนหนาแน่น ยังต้องมาคอยระวังถือโคมไฟกระดาษ เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกว่ามีแต่คนที่สมองเสื่อมถึงจะทำเรื่องเช่นนี้ ไม่ได้สนใจเขา หมุนตัวพาเมิ่งชิงเดินไปข้างหน้า 


 


 


รอยยิ้มละมุนบนใบหน้าเมิ่งอี้เซวียนแข็งเกร็ง ขบกัดริมฝีปาก เร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้า ยกโคมไฟขวางหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูผู้คนที่เดินขวักไขว่ และมองคนข้างกายที่มองตนเองอยู่ สะกดกลั้นเพลิงโทสะในใจ แสดงสีหน้าอีกประเดี๋ยวค่อยคิดบัญชีกับเจ้าให้เมิ่งอี้เซวียน คว้าโคมไฟในมือเขามาอย่างฉุนเฉียว เดินกระฟัดกระเฟียดนำหน้าไป 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนที่อยู่ด้านหลังผุดรอยยิ้มเปล่งประกายเจิดจ้า 


 


 


จูหลาน เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนทั้งสามคนต่างรู้ว่าเมิ่งอี้เซวียนเป็นเด็กที่สองสามีภรรยาเมิ่งรับมาเลี้ยง ได้เห็นพฤติกรรมประหลาดของเขานึกว่าเขาเพียงต้องการประจบเอาใจเมิ่งเชี่ยนโยว ไม่มีใครเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ 


 


 


มีเพียงเฉียวหมิ่นที่กะพริบตาปริบๆ มองเมิ่งอี้เซวียนอย่างเคลือบแคลงใจ 


 


 


คนทั้งหมดเดินเล่นอีกครู่หนึ่ง สองสามีภรรยาเมิ่งเริ่มรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง จึงเสนอขึ้น “โยวเอ๋อร์ เจ้ากับเสียนเอ๋อร์ไปเดินเล่นกับเหล่าคุณชายเถอะ เช่นนี้พวกเจ้าจะได้สนุกกันได้เต็มที่” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้สึกว่าพวกเขาอยู่ต่อหน้าบิดามารดาตนเองไม่ได้ปลดปล่อยเต็มที่ แม้แต่คำพูดก็น้อยลงไปมาก ส่งยิ้มพูดกับทุกคน “หนึ่งปีจะมีงานชมโคมไฟสักครั้ง ยังต้องให้พวกเจ้ามาคอยดูแลครอบครัวพวกเรา ต้องขออภัยเป็นอย่างมาก ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าไปเดินเล่นกันเองเถอะ ครอบครัวพวกเราเดินกันเองได้” 


 


 


เฉียวหมิ่นมองจูหลานอย่างรอคอย 


 


 


จูหลานส่ายหน้าพูดขึ้น “ในอำเภอมีงานชมโคมไฟทุกปี พวกเราดูจนเบื่อเสียแล้ว แม่นางเมิ่งเดินเล่นกับคนในครอบครัวให้สบายใจเถอะ พวกเราทั้งหมดจะคอยเดินเป็นเพื่อนเอง” 


 


 


เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนพยักหน้า 


 


 


เฉียวหมิ่นก้มหน้าผิดหวัง 


 


 


เมิ่งชื่อพูดโน้มน้าว “โยวเอ๋อร์ เจ้าไปเดินกับพวกคุณชายเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเรา รอให้เจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์เล่นสนุกพอแล้ว พวกเราก็จะกลับ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกไม่วางใจกล่าวว่า “ช่างเถอะ ข้าไปกับพวกท่านดีกว่า วันนี้คนเดินถนนมาก หากเกิดเรื่องขึ้นจะลำบาก” 


 


 


เมิ่งชื่อยิ้มพูด “ล้วนแต่เป็นคนที่ออกมาชมโคมไฟ จะเกิดเรื่องอันใดได้ เดี๋ยวพอเจ้าไป แม่จะให้พวกเขาเดินจับมือกัน เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว รีบไปเถอะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงลังเล 


 


 


เมิ่งเสียนพูดขึ้น “ข้าจะอยู่กับท่านพ่อท่านแม่เอง ให้น้องรองตามน้องสาวและคุณชายทั้งหมดไปดีกว่า หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น ข้ายังพอรับมือได้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวครุ่นคิด พยักหน้าพูด “อีกหนึ่งชั่วยามให้หลัง ให้พวกเรากลับโรงเตี๊ยม” 


 


 


สองสามีภรรยาเมิ่งพยักหน้า 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแยกจากคนในครอบครัว ถือโคมไฟเดินตามเหล่าคุณชายไปยังสถานที่ที่คนพลุกพล่าน 


 


 


เมิ่งอี้เซวียนเห็นนางยังคงถือโคมไฟ ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มพึงใจ 


 


 


หลังจากแยกจากสองสามีภรรยาเมิ่ง จูหลาน เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนดูโล่งใจขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูด “วันนี้ลำบากพวกท่านแล้ว เห็นชัดว่าไม่ชอบ ยังคอยเดินดูแลครอบครัวข้าอยู่เป็นนาน” 


 


 


อันอี่หยวนพูดว่า “แม่นางเข้าใจผิดแล้ว ไม่ใช่พวกเราไม่ชอบ แต่อยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสพวกเราไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “พูดอะไรก็ได้ พ่อแม่ข้าหาได้ตำหนิโทษพวกเจ้าไม่” 


 


 


เซี่ยเจียงเฟิงพูดบ้าง “ได้อย่างไรกัน หากพวกเราพูดคำไหนไม่เข้าหู ท่านลุงท่านป้าก็ไม่กล้าสั่งสอนพวกเรา กลายเป็นสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจ ก็แย่นะสิ” 


 


 


จูหลานพูด “ไม่ใช่แย่ แต่แย่มากๆ หากพวกเขาไม่ยอมให้เจ้าทำการค้ากับพวกเราจะทำอย่างไร สูญเสียคู่ค้ารายใหญ่อย่างเจ้า พวกเราได้ร้องไห้ตาปูดพอดี ดังนั้นพวกเราเดินตามอย่างสงบเสงี่ยมดีแล้ว จะได้ไม่เกิดความผิดพลาด” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ พูดว่า “คุณชายอันคุณชายเซี่ยข้าไม่กล้าพูด นี่ก็ผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว นิสัยของเจ้าพ่อแม่ข้าพอจะเข้าใจแล้ว รู้ว่าเจ้าพูดจาไม่มีหูรูด เจ้าพูดอะไรพวกเขาก็ไม่ถือโทษเจ้า” 


 


 


จูหลานไม่ยินดีแล้ว พูดโต้กลับ “ข้าไม่มีหูรูดอย่างไร ข้าแค่พูดอะไรตรงไปตรงมาเท่านั้น คนอย่างข้าน่าคบหาที่สุดแล้ว ไหนเลยจะเหมือนพวกเขา มีแต่แผนการร้ายเก็บซ่อนไว้ในใจ” 


 


 


อันอี่หยวนพูดขึ้น “จูหลาน เจ้าพูดให้ชัดแจ้ง ใครที่มีแผนการร้ายเก็บซ่อนไว้” 


 


 


จูหลานตอบกลับ “ก็พวกเจ้านะสิ ทุกครั้งที่ข้าได้สิ่งของมาจากบ้านแม่นางเมิ่ง จะต้องถูกเจ้าและเปาอีฝานแย่งเอาไป พวกเจ้าไม่มีแผนการร้ายแล้วคือสิ่งใด” 


 


 


อันอี่หยวนโต้กลับ “นั่นคือแผนการร้ายหรือ ของดีๆ แบบนั้นหากเจ้ากินไม่หมดบูดเสียไปน่าเสียดายแย่ พวกเราช่วยเจ้าต่างหาก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะฟังพวกเขาโต้เถียงกันไปมา 


 


 


เซี่ยเจียงเฟิงส่ายหน้าขบขัน “แม่นางอย่าได้ถือสา พวกเขาสองคนมักจะเป็นเช่นนี้ ทะเลาะกันอย่างไม่ลดราวาศอกด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อย 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูด “ข้ารู้ ครั้งแรกที่ข้ารู้จักพวกเขาที่ภัตตาคาร พวกเขาก็เป็นเช่นนี้” 


 


 


เซี่ยเจียงเฟิงก็หัวเราะพูด “จะว่าไปก็แปลก พวกเราทั้งสี่เติบโตมาด้วยกัน มีเพียงพวกเขาที่ไม่เคยลงรอยกัน มีปากเสียงกันเช่นนี้มาตลอดหลายปี” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “นี่ก็คือวิธีเข้าหากันอีกรูปแบบหนึ่งของพวกเขา ท่านดูพวกเขาทะเลาะกันมาหลายปี เคยมีครั้งไหนแตกหักกันบ้าง” 


 


 


เซี่ยเจียงเฟิงพูดสนับสนุน “ข้าและเปาอีฝานก็สงสัยมาตลอด บางครั้งพวกเขาทะเลาะกันหน้าแดงคอเป็นเอ็น พวกเรานึกว่าพวกเขาจะเลิกคบกันแล้ว ไม่คิดว่าพอเจอหน้ากันใหม่ทั้งสองก็ทำเหมือนไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้น” 


 


 


“พวกเจ้าทะเลาะอะไรกันอีกแล้ว” เสียงเปาอีฝานดังแว่วมาจากด้านข้าง 


 


 


คนทั้งหมดถึงสังเกตเห็นเปาอีฝานและซุนฮุ่ย ไม่รู้ว่าพวกเขามาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ 


 


 


ไม่รอให้ทุกคนทักทาย อันอี่หยวนก็หันไปพูดกับเปาอีฝานอย่างกระฟัดกระเฟียด “เจ้ามาพอดี จูหลานพูดว่าพวกเราดีแต่ซุกซ่อนแผนการร้ายไว้ในใจ” 


 


 


เปาอีฝานเหมือนจะขำแต่ไม่ขำมองไปที่จูหลาน ถามขึ้น “งั้นหรือ” 


 


 


จูหลานหดคอย่น บ่นพึมพำเสียงแผ่ว 


 


 


เปาอีฝานไม่สนใจเขา กล่าวขอขมาเมิ่งเชี่ยนโยว “ขอโทษด้วยแม่นางเมิ่ง บ้านข้าเกิดเรื่องกะทันหัน ข้าและฮุ่ยเอ๋อร์มาช้าไป” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “พวกเราทั้งหมดก็เพิ่งมาถึง” 


 


 


เปาอีฝานมุ่นหัวคิ้ว “เทศกาลชมโคมไฟเริ่มตั้งนานแล้ว พวกเจ้าก็เพิ่งจะออกมาหรือ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางอธิบาย “พวกเราออกมาพร้อมกับคนในครอบครัวข้านานแล้ว พ่อแม่ข้าเห็นพวกเขาดูไม่เป็นตัวของตัวเอง จึงให้ข้าและพี่รองแยกมาเดินกับพวกเขาทางนี้ ไม่คิดว่าเพิ่งเดินมาได้ไม่กี่ก้าว พวกเขาสองคนก็ทะเลาะกัน” 


 


 


เปาอีฝานพูดขึ้น “ถึงว่าข้าและฮุ่ยเอ๋อร์เห็นพวกเขาแต่ไกล ทั้งโบกมือ ทั้งร้องเรียก พวกเจ้ากลับไม่สนใจ ที่แท้เพราะพวกเขาทะเลาะกันอีกแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพยักหน้า 


 


 


ซุนฮุ่ยเดินมาข้างหน้า ดึงมือข้างที่ไม่ได้ถือโคมไฟของเมิ่งเชี่ยนโยว พูดอย่างสนิทสนม “แม่นางเมิ่ง พวกเราอย่าไปสนใจพวกเขา ข้าและหมิ่นเอ๋อร์จะพาเจ้าเดินชมเทศกาลโคมไฟเอง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ขอบคุณแม่นางซุน” 


 


 


ซุนฮุ่ยยิ้มพูด “แม่นางเมิ่งเกรงใจไปแล้ว ข้าโตกว่าเจ้าสองปี หากเจ้าไม่รังเกียจ ต่อไปก็เรียกข้าฮุ่ยเอ๋อร์ว่าพี่เถอะ ไม่ต้องมามัวเรียกแม่นางกันไปแม่นางกันมา” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับทันควัน “พี่ฮุ่ยเอ๋อร์ ต่อไปท่านก็เรียกข้าว่าน้องโยวเอ๋อร์เถอะ” 


 


 


ซุนฮุ่ยพูดอย่างยินดี “เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้วนะ น้องโยวเอ๋อร์” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่งเสียงขานรับอย่างยินดี 


 


 


เฉียวหมิ่นเห็นทั้งสองคนสนิทสนมถูกคอ สะท้อนแววตาเกลียดชัง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวประสาทสัมผัสไว เอียงศีรษะมองนางแวบหนึ่ง เห็นแววตาที่ยังไม่ได้เก็บคืนของนางพอดี เกิดเป็นความเคลือบแคลงใจ ไม่รู้ว่านางชิงชังตนเองหรือชิงชังซุนฮุ่ย 


 


 


ซุนฮุ่ยไม่ทันสังเกต มือข้างหนึ่งจับเมิ่งเชี่ยนโยวข้างหนึ่งเฉียวหมิ่น พูดขึ้นอย่างเริงร่า “ไป พวกเราไปชมโคมไฟเถอะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามไปอย่างมีความสุข ส่วนเฉียวหมิ่นฝืนยิ้มแกนๆ จำต้องเดินตามไป 


 


 


เปาอีฝานและเพื่อนทั้งสี่และเมิ่งฉีเดินตามติดอยู่ด้านหลัง 


 


 


ซุนฮุ่ยและเมิ่งเชี่ยนโยวคล้องแขนกันแน่นคอยชี้โคมไฟรูปทรงประหลาดพูดคุยสรวลเสเฮฮา เฉียวหมิ่นรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน ค่อยๆ เดินช้าลง เว้นระยะห่างกับคนทั้งสอง 


 


 


ทั้งสองคนสังเกตเห็นความผิดปกติของนาง หยุดชะงักฝีเท้า ซุนฮุ่ยสงสัยถามขึ้น “หมิ่นเอ๋อร์ ข้าเห็นคืนวันนี้เจ้าดูไม่ค่อยสนุกเลย ยังไม่สบายตัวใช่หรือไม่” 


 


 


เฉียวหมิ่นฝืนแสยะยิ้มออกมา ตอบกลับ “เปล่าเลย ข้าเพียงเดินเหนื่อยแล้วเท่านั้น” 


 


 


ซุนฮุ่ยถามอย่างห่วงใย “ถ้าเจ้าเหนื่อยแล้ว ให้จูหลานพาเจ้าไปนั่งพักในที่คนน้อยสักหน่อยเถอะ ข้าจะเดินเป็นเพื่อนโยวเอ๋อร์เอง” 


 


 


เฉียวหมิ่นมองไปที่จูหลาน 


 


 


จูหลานมุ่นหัวคิ้วพูดว่า “อีกหนึ่งชั่วยามพวกเราก็ต้องกลับแล้ว หากเจ้าเหนื่อย ก็ให้คนงานพาเจ้ากลับไปส่งก่อน ข้าจะเดินเป็นเพื่อนแม่นางเมิ่งและคนอื่นๆ อีกประเดี๋ยว” 


 


 


เฉียวหมิ่นตอบกลับ “ไม่ต้องลำบากเช่นนั้นก็ได้ ข้าพักสักหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้น” 


 


 


ซุนฮุ่ยยิ้มพลางพูด “คุณชายจู ท่านพาหมิ่นเอ๋อร์ไปนั่งพักในที่คนบางเบาก่อนเถอะ เมื่อนางดีขึ้นแล้ว พวกเจ้าค่อยมาสมทบกับพวกเรา” 


 


 


จูหลานพูดขึ้นอย่างลังเล “แม่นางเมิ่งอุตส่าห์เข้ามาอำเภอ ข้าพูดแล้วจะต้อนรับขับสู้นางเป็นอย่างดี จะให้ทิ้งพวกเจ้าไม่สนใจได้อย่างไร” 


 


 


เปาอีฝานพูด “ก็ยังมีพวกเราไง เจ้ารีบไปเถอะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดบ้าง “ใช่ สุขภาพแม่นางเฉียวสำคัญกว่า” 


 


 


“เช่นนั้นก็ได้” จูหลานรับคำ พูดจบเดินหน้าเข้าไปประคองเฉียวหมิ่น พูดอย่างอ่อนโยน “พวกเราไปหาที่คนน้อยพักเสียหน่อยเถอะ” 


 


 


เฉียวหมิ่นเขินหน้าแดง ค่อยๆ เดินตามจูหลานไปยังสถานที่ที่คนเบาบาง 


 


 


คนทั้งหมดเดินมุ่งหน้าต่อ เดินได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงปรอทแตกของจูหลานดังลอยมา “แม่นางเมิ่ง พวกเจ้ามาทางนี้เร็ว ตรงนี้มีหน้ากากให้เล่นสนุก” 


 


 


คนทั้งหมดหันหลังกลับ เห็นจูหลานที่มือข้างหนึ่งประคองเฉียวหมิ่น มืออีกข้างโบกสะบัดมาที่พวกเขา 


 


 


ซุนฮุ่ยหัวเราะพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “เทศกาลชมโคมไฟแต่ละปี นอกจากโคมไฟก็มีหน้ากากที่ดึงดูดคน พวกเรารีบไปดูเถอะ หากมีหน้ากากที่เหมาะสม พวกเราก็ซื้อกลับไปสักอัน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า 


 


 


คนทั้งหมดเปลี่ยนทิศทางเดินมาหน้าแผงขายหน้ากาก


129.2 เมิ่งเจี๋ยหายตัวไป

 


 


 


 


จูหลานปล่อยเฉียวหมิ่น หยิบหน้ากากอันหนึ่งหันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างคึกคัก “แม่นางเมิ่ง ข้าคิดว่าหน้ากากเหมาะกับเจ้า เจ้าลองใส่ดูสิ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา ครอบใบหน้า หันไปทำหน้าทะเล้นใส่พวกเขา 


 


 


คนทั้งหมดไม่เคยเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวในด้านที่เป็นเด็กน้อยเช่นนี้ ต่างตะลึงงัน 


 


 


ซุนฮุ่ยหัวเราะพูด “แม่นางเมิ่งยังเยาว์วัย พอใส่หน้ากากนี้ ทำให้ดูสดใสขึ้นมาก” 


 


 


เปาอีฝานเห็นพ้อง พูดว่า “ครั้งนี้สายตาจูหลานใช้ได้ เลือกหน้ากากได้เหมาะสมกับแม่นางเมิ่งมาก” 


 


 


จูหลานพูดอย่างลำพอง “แน่นอน ข้าสนิทกับแม่นางเมิ่งเช่นนี้ ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไรว่านางเหมาะกับหน้ากากแบบไหน” 


 


 


เฉียวหมิ่นสะท้อนแววตา 


 


 


เปาอีฝานหยิบหน้ากากอีกอันขึ้นจากแผง พูดกับซุนฮุ่ย “เจ้าลองดูว่าชอบอันนี้หรือไม่” 


 


 


ซุนฮุ่ยรับมาอย่างยินดี ครอบกับใบหน้า 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดชื่นชม “คุณชายเปาสายตาแหลมคม มองผาดเดียวก็เลือกหน้ากากที่เหมาะสมให้พี่ฮุ่ยได้” 


 


 


ซุนฮุ่ยหน้าแดง ใส่หน้ากากแล้วหันไปพูดกับจูหลาน “จูหลาน เจ้าก็เลือกให้หมิ่นเอ๋อร์บ้างเถอะ” 


 


 


จูหลานโบกมือพูด “ไม่ต้อง ปีก่อนๆ ข้าซื้อให้นางไม่เคยเอา” 


 


 


เฉียวหมิ่นหน้าเปลี่ยนสี 


 


 


เปาอีฝาน เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนรวมถึงจูหลานเข้ามาเลือกหน้ากากที่ตัวเองชอบ มีแต่เมิ่งฉีที่ยืนอยู่หน้าแผง มองหน้ากากทั้งหมดอย่างละเอียดถี่ถ้วน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนึกว่าเขามองจนตาลาย จึงชี้หน้ากากรูปสัตว์อันหนึ่งพูดกับเขา “พี่รอง หน้ากากนี้ดูมีสีสัน ท่านลองใส่อันนี้เถอะ” 


 


 


เมิ่งฉีดึงหน้ากากลงมาอย่างเชื่อฟัง ครอบที่ใบหน้าตัวเอง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าพูด “น่าสนุกจริงๆ เจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์เห็น รับรองว่าจะต้องลิงโลดยกใหญ่” 


 


 


เมิ่งฉีดึงหน้ากากออก ขยี้หัว หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “น้องสาว ข้าอยากซื้อหน้ากากเพิ่มอีก ให้พี่ใหญ่และน้องเล็ก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำ “ได้ พวกเราเลือกไปอีก” พูดจบเดินขึ้นหน้าไปเลือกหน้ากากพร้อมเมิ่งฉี 


 


 


จูหลานก็เสนอหน้าเข้าหา ช่วยทั้งสองคนเลือกอย่างกระตือรือร้น 


 


 


หลังจากเลือกหน้ากากได้อีกสี่อัน เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดกับเจ้าของแผง “พวกเราต้องการหน้ากากพวกนี้ ทั้งหมดราคาเท่าใด” 


 


 


เจ้าของแผงเห็นว่าขายหน้ากากได้มากเช่นนี้ในคราเดียวก็ดีใจมาก รีบตอบกลับ “ที่พวกท่านเลือกล้วนเป็นหน้ากากดี อันละยี่สิบอีแปะ ทั้งหมดสองร้อยยี่สิบอีแปะ พวกเจ้าซื้อเยอะ จ่ายมาเพียงสองร้อยอีแปะก็พอ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเตรียมจะจ่ายเงิน จูหลานเข้ามาขวางนาง “ข้าจ่ายเอง” พูดจบก็ล้วงเงินสองร้อยอีแปะจ่ายให้เจ้าของแผง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ยื้ดยุด ส่งหน้ากากทั้งสี่อันให้เมิ่งฉี 


 


 


ซุนฮุ่ยพูดขึ้น “ซื้อหน้ากากเสร็จแล้ว พวกเราเดินชมโคมไฟกันต่อเถอะ ข้าเห็นโคมไฟในมือน้องโยวเอ๋อร์งดงามนัก ข้าก็อยากซื้อสักอันกลับไป” 


 


 


คนทั้งหมดพยักหน้า เตรียมไปซื้อโคมไฟ 


 


 


จูหลานหันไปพูดกับเฉียวหมิ่น “พวกเราไปทางนั้นเถอะ เจ้าพักผ่อนก่อน เมื่อร่างกายฟื้นตัวดีขึ้นพวกเราค่อยไปรวมตัวกับพวกเขา” 


 


 


เฉียวหมิ่นฝืนยิ้มให้เขา พูดว่า “ตอนนี้ข้ารู้สึกล้าไปทั้งร่าง คงไม่หายดีในชั่วเวลาประเดี๋ยวประด๋าว ท่านให้คนงานพาข้าไปส่งบ้านเถอะ อย่ารบกวนความสุขในการชมโคมไฟของคนอื่นๆ เลย” 


 


 


จูหลานได้ฟังพูดอย่างเป็นกังวล “เจ้าไม่เป็นอะไรนะ พวกเราไปโรงหมอดูอาการดีไหม” 


 


 


เฉียวหมิ่นส่ายหน้า ยิ้มพูด “ข้าไม่เป็นอะไรมาก กลับไปพักที่บ้านสักคืนก็หายแล้ว ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้า อยู่เป็นเพื่อนแม่นางเมิ่งและพวกเขาเถอะ” 


 


 


จูหลานเพ่งมองสีหน้านาง รู้สึกไม่เหมือนจะมีปัญหาอะไร จึงพยักหน้าตกลง “ได้ พวกเราเดินไปที่รถม้า ให้คนงานส่งเจ้ากลับไป” 


 


 


พูดจบหันไปพูดกับคนอื่นๆ “พวกเจ้าชมโคมไฟกันไปก่อน ข้าไปส่งหมิ่นเอ๋อร์ขึ้นรถม้าแล้วจะตามพวกเจ้าไป” 


 


 


ซุนฮุ่ยกำชับเฉียวหมิ่นอย่างห่วงใยสองสามคำ ให้พอนางกลับถึงบ้านจะต้องพักผ่อนให้มากๆ พรุ่งนี้หากนางมีเวลาจะเข้าไปเยี่ยมนาง 


 


 


เฉียวหมิ่นส่งยิ้มกล่าวขอบใจ 


 


 


คนทั้งหมดถึงหันหลังเดินไปยังที่ที่คนพลุกพล่าน 


 


 


จูหลานประคองเฉียวหมิ่น ค่อยๆ เดินมายังสถานที่ที่จอดรถม้า มองดูนางขึ้นรถม้า สั่งกำชับคนงาน “หมิ่นเอ๋อร์ไม่สบาย เจ้าต้องบังคับรถช้าๆ อย่าให้กระทบกระเทือนนางเด็ดขาด” 


 


 


คนงานยืนข้างรถม้า รับคำอย่างนอบน้อม 


 


 


จูหลานหันไปพูดกับเฉียวหมิ่นต่อ “หากเจ้ากลับบ้านแล้วยังรู้สึกไม่สบายตัว ก็ให้แม่ข้าไปเชิญหมอ ห้ามฝืนทนเด็ดขาด อีกประเดี๋ยวพอส่งแม่นางเมิ่งกลับไปแล้ว ข้าจะรีบตรงกลับบ้าน” 


 


 


เฉียวหมิ่นพยักหน้า พูดอย่างอ่อนหวาน “ข้าไม่เป็นอะไร ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้า ไปเดินเป็นเพื่อนแม่นางเมิ่งชมโคมไฟให้สบายใจเถอะ กลับดึกหน่อยก็ไม่เป็นไร” 


 


 


จูหลานพูด “กลับไม่ดึก เมื่อครู่เจ้าก็ได้ยินแล้ว แม่นางเมิ่งและบิดามารดานางนัดเจอกันที่โรงเตี๊ยมในอีกหนึ่งชั่วยามให้หลัง ตอนนี้ใกล้จะครึ่งชั่วยามแล้ว อีกครึ่งชั่วยามพวกเราก็กลับแล้ว” 


 


 


เฉียวหมิ่นสะท้อนแววตาประหลาด ยิ้มพูด “ท่านไม่พูดข้าเกือบลืมไปแล้วว่าแม่นางเมิ่งนัดเวลากับบิดามารดานางไว้แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ หลังจากส่งแม่นางเมิ่งกลับโรงเตี๊ยมแล้ว ท่านก็รีบกลับบ้านเถอะ อย่าให้ท่านป้าต้องเป็นกังวล” 


 


 


จูหลานพยักหน้าพูดว่า “ข้ารู้แล้ว” 


 


 


คนงานบังคับรถม้ามุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์จูช้าๆ 


 


 


จูหลานเห็นรถม้าไปไกลแล้ว ถึงหันหลังกลับไปหาพวกเปาอีฝาน 


 


 


เฉียวหมิ่นนั่งในรถม้า รู้สึกว่ารถม้าห่างออกมาไกลแล้ว จึงล้วงเงินห้าตำลึงออกมาจากชายเสื้อ ยื่นให้คนบังคับรถม้า พูดเสียงเบา “รีบพาข้ากลับไปส่งบ้าน จำไว้ เรื่องนี้ห้ามบอกใครเป็นอันขาด” 


 


 


คนงานรับเงินมา น้อมรับคำสั่ง ผลุนผลันหักเลี้ยวรถ กระตุกบังเ**ยนรีบรุดกลับไปบ้านเฉียวหมิ่น 


 


 


จูหลานหาพวกเมิ่งเชี่ยนโยวพบโดยไว เดินชมโคมไฟพร้อมพูดคุยหยอกเย้าไปด้วยกัน 


 


 


ซุนฮุ่ยมีความสุขจนหน้าแดงเป็นลูกท้อ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับซุนฮุ่ย “คุณชายเปารักใคร่พี่ฮุ่ยมากเช่นนี้ ภายหน้าเมื่อตบแต่งกันแล้วพี่ฮุ่ยจะมีแต่ความผาสุข” 


 


 


ซุนฮุ่ยเขินหน้าแดงจนคั้นเป็นเลือดได้แล้ว 


 


 


จูหลานและเพื่อนอีกสามคนพูดแซวเปาอีฝานสองสามคำ 


 


 


เปาอีฝานยิ้มตาหยีมองซุนฮุ่ย ไม่ได้โต้แย้ง 


 


 


คนทั้งหมดเดินอีกพักหนึ่ง ก็ถึงเวลาที่นัดกับสองสามีภรรยาเมิ่งไว้ที่โรงเตี๊ยม 


 


 


คนทั้งหมดพาเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีมาส่งหน้าประตูโรงเตี๊ยม 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณทุกคนอย่างชื่นบาน ถือโคมไฟกลับขึ้นชั้นบน 


 


 


สองสามีภรรยาเมิ่งก็เพิ่งกลับมา กำลังนั่งพักอยู่ในห้อง เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีกลับมา ถามอย่างมีความสุข “โยวเอ๋อร์ ฉีเอ๋อร์พวกเจ้ากลับมาแล้ว เที่ยวสนุกหรือไม่” 


 


 


ทั้งสองคนตอบพร้อมกัน “สนุก” 


 


 


เมิ่งชื่อพูดต่อ “พวกเราก็สนุกมาก แม่อายุปูนนี้แล้ว ไม่เคยเห็นโคมไฟมากเท่านี้มาก่อน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ถ้าท่านแม่ชอบ เอาไว้เทศกาลชมโคมไฟปีหน้า พวกเรามากันอีก” 


 


 


เมิ่งชื่อพยักหน้าพูดว่า “ดี ปีหน้าครอบครัวพวกเรามาด้วยกันอีก แต่ว่า จะให้พวกคุณชายจูสิ้นเปลืองอีกไม่ได้แล้ว พวกเรามาก่อนหนึ่งวันจัดการกันเองพอ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำ “ได้ แล้วแต่ท่าน ปีหน้าพวกเรามาให้เร็วขึ้น” 


 


 


เมิ่งฉีหยิบหน้ากากเดินมาหยุดข้างเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงที่ยังยืนชะเง้อคอมองออกไปนอกหน้าต่าง พูดกับทั้งสองคนว่า “พวกเจ้าทายสิ พี่ซื้อของเล่นอะไรมาให้พวกเจ้า” 


 


 


เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงพอได้ยินเมิ่งฉีพูดว่าซื้อของเล่นมาให้ตัวเอง ก็ดีใจลิงโลด ถามขึ้นพร้อมกัน “พี่รอง ท่านซื้อของเล่นอะไรมาให้พวกเรา” 


 


 


เมิ่งฉีพูดโยกโย้ “พวกเจ้าทาย” 


 


 


เมิ่งเจี๋ยพูด “กังหันลม” 


 


 


เมิ่งฉีส่ายหน้า 


 


 


เมิ่งชิงทาย “โคมไฟ” 


 


 


เมิ่งฉียังคงส่ายหน้า 


 


 


เด็กน้อยทั้งสองพูดอย่างว้าวุ่นใจ “พี่รอง คือสิ่งใด ท่านรีบบอกพวกเราเถอะ!” 


 


 


เมิ่งฉีหยิบหน้ากากออกมาจากด้านหลัง 


 


 


เด็กน้อยทั้งสองร้องอุทานอย่างดีใจพร้อมกัน “หน้ากาก!” 


 


 


ร้องตะโกนเสร็จพูดวิงวอนเมิ่งฉี “พี่รอง รีบให้หน้ากากพวกเราเถอะ” 


 


 


เมิ่งฉีหัวเราะหยิบหน้ากากสองอันในนั้นออกมาให้พวกเขา 


 


 


เด็กน้อยทั้งสองรับมาอย่างดีใจ ครอบใบหน้าอย่างอดใจรอไม่ไหว วิ่งไปตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวพร้อมกัน แหงนหน้าถามขึ้น “ท่านพี่ ดูดีหรือไม่” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลูบหัวพวกเขา แย้มยิ้มพูด “ดูดี ดูดีกว่าของพี่เสียอีก” 


 


 


เมิ่งเจี๋ยถามกลับ “ท่านพี่ก็ซื้อหน้ากาก” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า นำหน้ากากออกมา 


 


 


เมิ่งเจี๋ยหวีดร้อง “ของท่านพี่ดูดีกว่าอีก ข้าจะใส่อันนี้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะถอดหน้ากากบนหน้าเขาออก ครอบหน้ากากของตนเองให้เขา 


 


 


เมิ่งเจี๋ยโยกย้ายศีรษะอย่างสนุกสนาน หันไปพูดกับเมิ่งชื่อ “ท่านแม่ ดูดีหรือไม่” 


 


 


เมิ่งชื่อตอบ “ดูดี” 


 


 


สิ้นเสียง หน้ากากก็ลื่นหลุดออกจากใบหน้าเมิ่งเจี๋ย 


 


 


ทุกคนหัวเราะครื้นเครง 


 


 


เมิ่งเจี๋ยถอดหน้ากากออก วางใส่มือเมิ่งเชี่ยนโยว พูดว่า “หน้ากากท่านพี่ใหญ่เกินไป ข้าใส่ของข้าดีกว่า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลูบหัวเขา พูดอย่างเอ็นดู “เจ้าเด็กแสบ” 


 


 


พอเมิ่งเจี๋ยใส่หน้ากากของตัวเอง ก็กระโดดโลดเต้นไปมาในห้องกับเมิ่งชิงอย่างมีความสุข 


 


 


เมิ่งฉีหยิบหน้ากากอีกสองอันที่เหลือออกมาเดินไปตรงหน้าเมิ่งเสียนและเมิ่งอี้เซวียน พูดว่า “พี่ใหญ่ อี้เซวียน นี่เป็นหน้ากากของพวกเจ้า” 


 


 


ทั้งสองไม่คิดว่าตัวเองก็จะมีหน้ากาก รับมาอย่างยินดี ใส่ครอบศีรษะตัวเอง 


 


 


เมิ่งชื่อเห็นเด็กๆ ใส่หน้ากากหน้าตาแตกต่างกัน พูดขึ้น “พวกเจ้ารีบถอดหน้ากากออกเถอะ แม่เห็นแล้วใจคอไม่ดี” 


 


 


เมิ่งเสียนและเมิ่งอี้เซวียนถอดหน้ากากออก วางไว้ในมือ 


 


 


เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงยังเล่นสนุกอยู่ จึงยังไม่ถอด 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกวักมือเรียกพวกเขาพูดว่า “มานี่ พวกเจ้าสองคนไปเล่นห้องพี่ ให้ท่านแม่ได้พักผ่อน” 


 


 


เด็กน้อยทั้งสองเดินตามเมิ่งเชี่ยนโยวมาห้องตรงกลางอย่างเชื่อฟัง 


 


 


เมิ่งชื่อพูดกับเมิ่งเสียน “เสียนเอ๋อร์ เจ้าให้โยวเอ๋อร์ดูน้องทั้งสองคนให้ดี ตอนนี้แม่หัวใจเต้นแรงไม่หยุด รู้สึกเหมือนจะมีเรื่องไม่ดีบางอย่างเกิดขึ้น” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นพูดขึ้น “พวกเราทั้งหมดอยู่กันที่นี่ จะเกิดเรื่องไม่ดีอะไรได้ ข้าว่าเจ้าคงเหนื่อยแล้ว รีบเอนตัวพักผ่อนเถอะ” 


 


 


เมิ่งชื่อกุมหน้าอกเอนตัวนอน 


 


 


เมิ่งเสียน เมิ่งฉีและเมิ่งอี้เซวียนพูดว่า “ท่านแม่ ท่านนอนพักเถอะ พวกเราจะไปดูที่ห้องน้องสาว” 


 


 


เมิ่งชื่อพยักหน้า พูดกำชับ “กลุ่มคนที่มาชมโคมไฟด้านนอกยังไม่กลับไป พวกเจ้าห้ามออกไปตามลำพังเด็ดขาด และต้องดูเจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์ให้ดี อย่าให้พวกเขาไปเล่นซุกซน” 


 


 


ทั้งหมดพยักหน้า รับคำ “ทราบแล้ว ท่านแม่ วางใจเถอะ” 


 


 


เมิ่งเสียนและน้องๆ เดินมาที่ห้องกลาง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยววางโคมไฟไว้อีกด้านของโต๊ะ กำลังนั่งมัดปมหน้ากากของตัวเองอยู่บนเตียง เอาใส่ให้เมิ่งชิง 


 


 


พอเห็นพวกเขาเดินเข้ามา เมิ่งเจี๋ยวิ่งไปตรงหน้าพวกเขา ยื่นมือออกมาแล้วพูด “พี่ใหญ่ พี่รอง พี่อี้เซวียน มอบหน้ากากพวกท่านให้ข้า พี่สาวคิดวิธีที่ดีให้พวกเรา หน้ากากของพวกท่านพอเอามาใส่ที่หัวพวกเราก็จะไม่ล่วงหลุดแล้ว” 


 


 


ทั้งสามคนมอบหน้ากากให้เขา 


 


 


เมิ่งเจี๋ยดีใจถือหน้ากากไปตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยววัดใบหน้าน้อยของเมิ่งเจี๋ยแล้วมัดปม จากนั้นครอบหน้ากากไปที่หัวเขา 


 


 


เมิ่งเจี๋ยโยกสะบัดหัว เห็นว่าหน้ากากไม่หลุดแล้ว หันไปพูดกับเมิ่งชิงอย่างยินดี “พวกเรารวยแล้ว มีหน้ากากให้ใส่ได้หกอันแล้ว” 


 


 


เมิ่งชิงวิ่งเข้ามา ลองนับ มีหกอันจริงๆ จับมือเมิ่งเจี๋ยหมุนเป็นวงกลมพร้อมกับร้องตะโกนอย่างมีความสุข “พวกเรามีหน้ากากให้ใส่ได้หกอันแล้ว” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับคนทั้งสาม “พี่ใหญ่ พี่รอง อี้เซวียน คืนนี้พวกท่านก็เหน็ดเหนื่อยแล้ว กลับห้องไปพักผ่อนเถอะ ข้าจะเล่นกับพวกเขาอีกประเดี๋ยว” 


 


 


เมิ่งเสียนเห็นเด็กน้อยทั้งสองกำลังสนุกสุดขีด รู้ว่าพวกเขาคงไม่สงบได้ง่าย ก็พยักหน้าเห็นพ้อง พาเมิ่งฉีและเมิ่งอี้เซวียนกลับเข้าห้อง


129.3 เมิ่งเจี๋ยหายตัวไป

 


 


 


 


เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงเล่นอีกครึ่งชั่วยามได้ ดึกมากแล้ว ผู้คนที่พลุกพล่านจอแจบนท้องถนนก็แยกย้ายไปหมดแล้ว เหลือเพียงพ่อค้าหาบเร่ที่กำลังเก็บแผงลอย ในโรงเตี๊ยมก็เงียบสนิทหมดแล้ว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเด็กน้อยทั้งสองที่ยังเล่นสนุกไม่เลิก “เจี๋ยเอ๋อร์ ชิงเอ๋อร์ พวกเราควรพักผ่อนแล้ว” 


 


 


เมิ่งเจี๋ยรู้สึกอาวรณ์หน้ากากในมือ พูดวิงวอน “ท่านพี่ พวกเรายังอยากเล่นต่ออีกหน่อย” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกล่อม “นี่ก็ดึกมากแล้ว ทุกคนพักผ่อนหมดแล้ว หากเจ้ายังส่งเสียงโครมคราม จะรบกวนการพักผ่อนของคนอื่น เจี๋ยเอ๋อร์ ไม่ดื้อนะ รอพรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาพวกเจ้าค่อยเล่นใหม่” 


 


 


“เช่นนั้นข้าจะเอาหน้ากากพวกนี้กลับไปห้องท่านพ่อท่านแม่ด้วย” เมิ่งเจี๋ยพูด 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่คัดค้าน 


 


 


เมิ่งเจี๋ยเลือกหน้ากากไปสามอันอย่างสุขใจ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพาเขามาหน้าประตูห้องสองสามีภรรยาเมิ่ง เคาะประตูแล้วพูด “ท่านพ่อ ท่านแม่ข้าพาเจี๋ยเอ๋อร์มาส่ง” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นเปิดประตูห้อง เมิ่งเจี๋ยกอดหน้ากากเดินเข้าห้องอย่างเบิกบาน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “ท่านพ่อท่านแม่ พวกท่านพักผ่อนเถอะ ข้าก็จะกลับไปนอนแล้ว” 


 


 


เสียงเมิ่งชื่อดังลอยมาจากด้านใน “โยวเอ๋อร์ ก่อนนอนจะต้องปิดประตูหน้าต่างให้ดีนะ” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขานรับ “ทราบแล้วท่านแม่” พูดจบ หันหลังเดินกลับห้อง 


 


 


เมิ่งชิงกำลังจัดเรียงหน้ากากที่เหลืออีกสามอัน เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเขา “ชิงเอ๋อร์ นอนได้แล้ว” 


 


 


เมิ่งชิงได้ฟัง รีบเก็บหน้ากาก ขึ้นไปนอนบนเตียงแต่โดยดี 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวห่มผ้าห่มให้เขา แล้วจึงถอดเสื้อตัวนอกออก เอนตัวลงบนเตียง 


 


 


เดินชมโคมไฟหนึ่งชั่วยาม เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้สึกเหนื่อยล้า ล้มตัวนอนไม่ทันไร ก็สะลึมสะลือหลับไป 


 


 


จู่ๆ เสียงเร่งเร้าเคาะประตูก็ดังขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวพลันตกใจตื่น ยังไม่ทันได้ร้องถาม เสียงร้องตื่นตระหนกของเมิ่งชื่อก็ดังลอยมา “โยวเอ๋อร์ เจี๋ยเอ๋อร์อยู่ในห้องลูกหรือไม่” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหัวใจกระตุกวูบ รีบลุกจากเตียง คลุมตัวด้วยเสื้อนอก เดินมาเปิดประตูห้อง ถามอย่างร้อนใจ “เจี๋ยเอ๋อร์กลับห้องไปแล้วไม่ใช่หรือ” 


 


 


เมิ่งชื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ ร่างกายโงนเงน เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเข้าไปประคอง ถามเสียงกระเส่า “ท่านแม่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่” 


 


 


เมิ่งชื่อคว้ามือนาง พูดเสียงสั่น “พอเจี๋ยเอ๋อร์กลับมาที่ห้อง บอกว่าไม่ชอบหน้ากากที่ตัวเองถือมา จะออกไปเปลี่ยนกับเมิ่งชิง แม่เห็นว่าไม่เป็นอะไร จึงยอมให้เขาไป ไม่คิดว่าหายไปพักใหญ่เขาก็ไม่กลับมา แม่นึกว่าเขาจะมาเล่นกับชิงเอ๋อร์ในห้องลูกอีก จึงไม่ได้ร้องเรียกเขา กลับมาเห็นว่าเจ้าดับไฟในห้องแล้ว แม่ถึงตะโกนเรียกอย่างตื่นตระหนกเช่นนี้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย่นหัวคิ้ว ร้องเรียก “พี่ใหญ่ เจี๋ยเอ๋อร์อยู่ในห้องพวกท่านหรือไม่” 


 


 


เมิ่งเสียนและคนอื่นๆ เข้านอนกันหมดแล้ว ตกใจตื่นเพราะเสียงร้องตะโกนของเมิ่งชื่อ ต่างรีบลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าแล้ววิ่งออกมา ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวถามก็ส่ายหน้า “ไม่มี” 


 


 


เมิ่งชื่อทิ้งตัวลงกับพื้นฉับพลัน 


 


 


เมิ่งเสียนและคนอื่นๆ รีบเข้ามาประคองนาง 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นได้ยินเสียงเมิ่งชื่อก็วิ่งออกมา ถามขึ้น “เกิดอะไรขึ้น” 


 


 


เมิ่งชื่อพูดอย่างหัวใจจะขาด “พ่อ เจี๋ยเอ๋อร์หายไปแล้ว” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นตะลึงนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น ถามอย่างไม่เชื่อ “เป็นไปได้อย่างไร เจี๋ยเอ๋อร์ไม่ได้เอาหน้ากากมาเปลี่ยนห้องโยวเอ๋อร์หรือ” 


 


 


ไม่รอให้เมิ่งชื่อตอบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดขึ้นทันควัน “ท่านพ่อ ท่านประคองท่านแม่เข้าไปดูชิงเอ๋อร์ในห้องข้าให้ดี พวกเราจะออกไปตามหาในโรงเตี๊ยม” 


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้าเลิกลั่ก ประคองเมิ่งชื่อเข้าไปในห้องเมิ่งเชี่ยนโยว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรีบหันไปพูดกับทุกคน “พี่ใหญ่ ท่านหาชั้นบนนี้ให้ดี พี่รองท่านไปถามเสี่ยวเอ้อ ว่าเขาเห็นมีใครอุ้มเด็กออกไปจากโรงเตี๊ยมหรือไม่ ข้ากับอี้เซวียนจะไปหาที่ถนน ดูว่าเขาแอบหนีออกไปเล่นเองหรือเปล่า” 


 


 


คนทั้งหมดพยักหน้า แยกย้ายปฏิบัตการ 


 


 


เสียงร้องตะโกนของเมิ่งชื่อสร้างความตื่นตกใจให้แขกไม่น้อย ผู้คนต่างตื่นขึ้นมาสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น 


 


 


เมิ่งเสียนร้อนรนบอกทุกคนว่า น้องชายตัวเองหายไป สอบถามพวกเขาว่ามีใครเห็นบ้าง 


 


 


ผู้คนที่มาพักอาศัยส่งเสียงอื้ออึง แย่งกันถามว่าหายไปได้อย่างไร 


 


 


เมิ่งเสียนด้านหนึ่งตามหาอย่างว้าวุ่นใจ ด้านหนึ่งตอบคำถามทุกคน 


 


 


ผู้คนเริ่มประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าชั่วเวลาสั้นๆ เด็กจะหายไปได้อย่างไร บางคนจิตใจดีช่วยตามหา 


 


 


แต่ชั้นสองมีแต่ห้องพัก ไม่มีที่ให้คนหลบซ่อนได้ ไม่นานทุกคนก็หาเสร็จ ไม่เจอแม้แต่เงาของเมิ่งเจี๋ย 


 


 


เมิ่งเสียนร้อนรนกระสับกระส่าย แต่ก็ไม่กล้าขอเข้าไปหาในห้องพัก จำต้องรีบวิ่งลงมาชั้นหนึ่ง 


 


 


เมิ่งฉีสอบถามเสี่ยวเอ้อแล้ว เสี่ยวเอ้อบอกว่าไม่เห็นมีเด็กออกไป 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนมายังท้องถนน ท้องถนนเงียบสงัดว่างเปล่า แม้แต่คนหาบเร่แผงลอยก็เก็บข้าวของกลับบ้านไปหมดแล้ว 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองถนนที่มืดสนิทแวบหนึ่ง ตัดสินใจกลับโรงเตี๊ยม เดินมาที่ชั้นหนึ่งหน้าโต๊ะคิดเงิน ถามเสี่ยวเอ้อด้วยใบหน้าอึมขรึม “เจ้าแน่ใจว่าไม่เห็นมีเด็กออกไป” 


 


 


เสี่ยวเอ้อพยักหน้า 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามต่อ “เช่นนั้นเจ้าเห็นมีใครเพิ่งออกไปจากโรงเตี๊ยมหรือไม่” 


 


 


เสี่ยวเอ้อสะท้อนแววตา ส่ายหน้า 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเสี่ยวเอ้อด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ไปเรียกหลงจู๊ของพวกเจ้ามา” 


 


 


จูหลานและเซี่ยเจียงเฟิงมาจองทั้งสามห้องนี้ด้วยตัวเอง วันนี้พวกเขาทั้งสองคนก็เป็นคนไปรับเมิ่งเชี่ยนโยวและครอบครัวมา เสี่ยวเอ้อรู้ว่าพวกเขาเป็นแขกสำคัญ ย่อมไม่กล้ารอช้า รีบวิ่งไปหลังร้านร้องตะโกนเรียกหลงจู๊ 


 


 


ยุ่งมาทั้งวัน หลงจู๊เหนื่อยสายตัวแทบขาด เพิ่งจะได้เอนตัวนอน ก็ได้ยินเสียงเสี่ยวเอ้อมาเคาะประตู โมโหจนเกือบสบถด่าออกไป ถามด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “มีเรื่องอะไร” 


 


 


เสี่ยวเอ้อลนลานตอบกลับ “แขกสำคัญที่คุณชายจูและคุณชายเซี่ยเชิญมา เด็กที่พวกเขาพามาเพิ่งจะหายไปจากโรงเตี๊ยม ตอนนี้พวกเขาต้องการพบท่าน” 


 


 


อาการง่วงงุนของหลงจู๊กระเจิงหายไปพลัน รีบใส่เสื้อผ้าออกมา ร้อนรนถาม “เหตุใดเด็กถึงหายไปได้” 


 


 


เสี่ยวเอ้อตอบอย่างนอบน้อม “ข้าก็ไม่ทราบ เมื่อครู่คนในครอบครัวพวกเขาจู่ๆ ก็วิ่งลงมาจากชั้นบน ถามข้าว่าเห็นมีเด็กวิ่งออกไปหรือไม่ ข้าถึงได้รู้ว่าเด็กบ้านพวกเขาหายไป” 


 


 


โรงเตี๊ยมแห่งนี้เปิดทำการมาหลายปีแล้ว อย่าว่าแต่ทำเด็กหาย แม้แต่ทำของหายก็ยังไม่เคยเกิดขึ้น ดังนั้นจึงมีลูกค้ามีเงินเข้ามาพักไม่ขาด หากวันนี้มีเด็กหายไปจากโรงเตี๊ยมของตนจริงๆ เช่นนั้นชื่อเสียงของโรงเตี๊ยมได้ป่นปี้ในพริบตาเป็นแน่ ถึงตอนนั้นคงต้องปิดโรงเตี๊ยมสถานเดียว หัวใจของหลงจู๊พลันหนาวเหน็บยิ่งกว่าอากาศในฤดูหนาวนี้ ขาสั่นพั่บๆ ตลอดทางที่เดินไป 


 


 


หลงจู๊เดินมาถึงชั้นหนึ่ง เห็นเด็กๆ ยืนอยู่หน้าโต๊ะคิดเงิน พลันนิ่งอึ้ง 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ให้เสียเวลา พูดตามตรง “เมื่อครู่น้องชายคนเล็กของข้าหายไปจากโรงเตี๊ยม ข้าสงสัยว่าจะมีคนลักพาตัวเขาไป ตอนนี้เจ้าจงไปทำตามที่ข้าบอกสองเรื่อง” 


 


 


หลงจู๊เช็ดเหงื่อที่ตกใจผุดซึมออกมาเต็มหน้าผาก ถามขึ้น “สองเรื่องอะไร” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “เรื่องแรก เจ้าให้เสี่ยวเอ้อบังคับรถม้าพาข้าไปส่งบ้านคุณชายจู เรื่องที่สอง เจ้ารีบไปสั่งให้เสี่ยวเอ้อค้นหาโรงเตี๊ยมนี้ให้ครบทุกซอกทุกมุม ดูว่าน้องชายข้ายังอยู่ในโรงเตี๊ยมหรือไม่” 


 


 


เรื่องแรกยังพอทำเนา เรื่องที่สองจัดการยากแล้ว โดยเฉพาะชั้นสอง บางส่วนที่เข้าพักล้วนเป็นแขกสำคัญ หากไปรบกวนพวกเขากลางดึก ไม่รู้ว่าจะก่อให้เกิดความปั่นป่วนโดยคาดไม่ถึงหรือไม่ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวราวกับจะรู้ว่าเขาคิดอ่านสิ่งใด พูดขึ้นว่า “ไม่ต้องให้เสี่ยวเอ้อค้นหาทุกห้อง เพียงแค่ค้นหาที่ที่พอจะหลบซ่อนตัวได้ของโรงเตี๊ยมนี้ให้หมดทุกซอกทุกมุมก็พอ” 


 


 


หลงจู๊ถึงพูดอย่างโล่งอก “ข้ารู้แล้ว ข้าจะให้เสี่ยวเอ้อไปค้นหาเดี๋ยวนี้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามต่อ “โรงเตี๊ยมของพวกท่านมีประตูหลังหรือไม่” 


 


 


หลงจู๊พยักหน้า “มีบานหนึ่ง” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “รีบให้เสี่ยวเอ้อไปเฝ้าไว้ ยังมีประตูนี้ ก่อนที่ทางการจะส่งคนมาสืบค้น ใครก็ห้ามออกไปไหน” 


 


 


หลงจู๊รู้ว่าเรื่องนี้ร้ายแรงมาก รีบพยักหน้ารับคำ สั่งการเสี่ยวเอ้อให้รีบไปดำเนินการ 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ ท่านเฝ้าประตูนี้ไว้ ก่อนที่ข้าจะกลับมา ใครก็ห้ามออกไป” จากนั้นหันไปพูดกับเมิ่งฉีและเมิ่งอี้เซวียน “พวกท่านสองคนไปเฝ้าประตูหลัง ก่อนที่ข้าจะกลับมาห้ามใครออกไปเช่นกัน หากมีใครกล้าฝ่าออกไปตอนนี้ พวกท่านรู้ดีว่าต้องทำอย่างไร” 


 


 


ทั้งสามคนพยักหน้า 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวบอกกับทุกคนต่อว่า “ข้าจะไปหาคุณชายจูและคุณชายเปา แล้วจะรีบกลับมา” 


 


 


เมิ่งเสียนพูดเน้นย้ำ “ระวังตัวด้วย” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า เร่งฝีเท้าเดินขึ้นรถม้าที่เสี่ยวเอ้อบังคับออกมา สั่งเสี่ยวเอ้อให้ไปบ้านจูหลาน 


 


 


แม้ตัวอำเภอจะใหญ่ แต่ชื่อเสียงของคุณชายทั้งสี่แห่งอำเภอนี้ใหญ่คับฟ้ายิ่งกว่า แทบจะไม่มีใครไม่รู้จัก ไม่มีใครไม่เคยได้ยิน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบ้านของพวกเขา เสี่ยวเอ้อได้ยินคำสั่งของเมิ่งเชี่ยนโยว กระตุกบังเ**ยน บังคับรถม้าพุ่งทะยานฝ่าราตรีอันมืดมิดมาถึงหน้าประตูบ้านจูหลาน 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รอให้รถม้าจอดสนิท ลอยตัวลงมาจากรถม้า เดินมาที่หน้าประตูใหญ่ ทุบประตูใหญ่บ้านจูหลานเสียงดังปังๆๆ 


 


 


คนเฝ้าประตูตกใจตื่น ตวาดถาม “ใครกัน ดึกดื่นค่อนคืน มีเรื่องด่วนอันใด” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “ข้าคือเมิ่งเชี่ยนโยว เป็นเพื่อนกับคุณชายของพวกเจ้า หลายวันก่อนเคยมาบ้านพวกเจ้าพร้อมคุณชายเซี่ย” 


 


 


คนเฝ้าประตูพลันนึกขึ้นได้ว่าเป็นใคร ปลดกลอนประตูออกพลางซักถาม “ดึกเช่นนี้ แม่นางเมิ่งมีธุระด่วนอันใด” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “บ้านข้าเกิดเรื่องเร่งด่วน ต้องให้คุณชายของพวกเจ้าช่วย เจ้ารีบพาข้าไปหาคุณชายพวกเจ้าเถอะ” 


 


 


คนเฝ้าประตูเปิดประตูใหญ่ออกแล้ว ได้ยินนางพูดเช่นนี้ พูดขึ้นทันควัน “แม่นางเมิ่งรีบเข้ามา ข้าจะพาเจ้าไปหาคุณชายของพวกเราเดี๋ยวนี้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวก้าวข้ามประตู เดินตามคนเฝ้าประตูมาถึงเรือนของจูหลาน ไม่รอให้คนเฝ้าประตูแจ้งข่าว ก็ส่งเสียงร้องตะโกนขึ้นเองกลางลานบ้าน “จูหลาน รีบลุกขึ้น น้องชายคนเล็กข้าหายไปแล้ว” 


 


 


จูหลานสะลึมสะลือได้ยินเสียงคนมาตะโกนร้องยังนึกว่าเป็นความฝัน ต่อมารู้สึกว่าน้ำเสียงมีความคุ้นหู จึงตกใจตื่น ร้องถามเสียงดัง “แม่นางเมิ่งใช่หรือไม่” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับกลางลานบ้าน “ข้าเอง เจ้ารีบออกมา น้องชายคนเล็กข้าหายไปแล้ว” 


 


 


ครั้งนี้จูหลานได้ยินชัดเจนแล้วว่านางพูดอะไร ตะลีตะลานสวมเสื้อผ้า เปิดประตูห้องเดินออกมา ร้อนรนถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดน้องชายเจ้าถึงหายไปได้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “พวกเราเดินไปคุยไปเถอะ เจ้ารีบพาข้าไปบ้านเปาอีฝาน ให้เขาคิดหาวิธีให้ใต้เท้าเปาตามไปช่วยสืบคดี” 


 


 


จูหลานพยักหน้า 


 


 


ทั้งสองมาถึงด้านนอกประตูอย่างรวดเร็ว จูหลานพูดกับคนเฝ้าประตู “หากฟ้าสาง แล้วท่านพ่อท่านแม่ถามถึง เจ้าจงบอกว่าข้าไปช่วยแม่นางเมิ่งตามหาน้องชายที่หายไป” 


 


 


คนเฝ้าประตูรับคำอย่างนอบน้อม 


 


 


ทั้งสองไม่สนใจเรื่องต้องห้าม ขึ้นรถม้าไปคันเดียวกัน ระหว่างทางเมิ่งเชี่ยนโยวเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้จูหลานฟังอย่างละเอียด 


 


 


จูหลานย่นหัวคิ้ว “เจ้าบอกว่าเมิ่งเจี๋ยหายไปจากหน้าประตูห้องของพวกเจ้า” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “แม่ข้าบอกเช่นนี้ แต่ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ ประตูห้องของแม่ข้าและประตูห้องข้าห่างกันเพียงสองก้าว หากมีคนกล้าลักพาตัวเจี๋ยเอ๋อร์ไปจากหน้าประตู คนผู้นั้นก็กล้าหาญเกินไปแล้ว” 


 


 


จูหลานถามอีก “หากไม่ใช่ เช่นนั้นเจี๋ยเอ๋อร์จะหายไปได้อย่างไร” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “นี่เป็นเรื่องที่ข้าคิดไม่ตก ช่วงเวลานี้ข้าคอยสอนวรยุทธ์ให้พวกเขาตลอด แม้เจี๋ยเอ๋อร์จะเรียนรู้ไม่ได้ทั้งหมด แต่กระบวนท่าเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังพอได้ หากมีคนฝืนจะลักพาตัวเขาไป เขาไม่มีทางจะไม่ตอบโต้ แต่พวกเรากลับไม่ได้ยินเสียงผิดปกติอะไรเลย เช่นนั้นเจี๋ยเอ๋อร์จะหายไปได้อย่างไร” 


 


 


ไม่นานรถม้าก็มาถึงจวนผู้ว่าการอำเภอ 


 


 


จูหลานและเมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า มายืนอยู่หน้าประตูจวนผู้ว่า ออกแรงทุบประตูจวนผู้ว่าเต็มแรงพักหนึ่ง ด้านในก็ไม่มีความเคลื่อนไหว 


 


 


จูหลานกระวนกระวายพูด “ครอบครัวของเปาอีฝานอาศัยอยู่ด้านหลังจวนผู้ว่า ปกติไม่ค่อยมีใครมาเคาะประตูยามวิกาล ดังนั้นบ้านพวกเขาแม้แต่ยามเฝ้าประตูก็ไม่มี พวกเราทุบแบบนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่พวกเขาถึงจะได้ยิน” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปโดยรอบ พบว่าหน้าจวนมีกลองใบหนึ่ง รีบเดินขึ้นหน้า หยิบไม้พลองตีกลองทันใด 


 


 


จูหลานตกใจสะดุ้งโหยง รีบเข้าไปห้าม “นี่เป็นกลองส่งสัญญาณฉุกเฉิน เมื่อตีกลองนี้ยามวิกาลคนจะได้ยินทั้งอำเภอ ไม่ว่าเจ้าหน้าที่กำลังทำสิ่งใด จะต้องรีบวิ่งมารวมตัวที่จวนผู้ว่า ดังนั้นนอกจากเกิดเรื่องใหญ่ ไม่เช่นนั้นห้ามแตะต้องกลองนี้” 


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามกลับ “น้องชายข้าหายไปกลางดึกยังไม่เป็นเรื่องใหญ่หรือ อย่างไรอีกประเดี๋ยวใต้เท้าเปาก็ต้องเรียกรวมไพล่พลไปที่โรงเตี๊ยม ไม่เช่นนั้นพวกเราช่วยเขาตีกลองส่งสัญญาณก่อน พอใต้เท้าเปาออกมา เจ้าหน้าที่จะได้มาถึงพอดี” 


 


 


จูหลานครุ่นคิดแล้วก็เห็นด้วย หยิบไม้พลองในมือเมิ่งเชี่ยนโยวมา พูดว่า “ข้าเอง” พูดจบก็ตีกลองเต็มแรง 


 


 


คนในจวนผู้ว่าต่างตกใจตื่น เปาชิงเหอรีบสวมชุดเจ้าหน้าที่ทางการ พูดกับบ่าวรับใช้ “ไปดูว่าใครที่มันบังอาจ กล้ามาตีกลองโดยที่ข้าไม่ได้อนุญาต”


130.1 ตามหา

 


 


 


บ่าวรับใช้ผลุนผลันวิ่งออกไป


 


 


เปาอีฝานที่หลังจากส่งเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว ยังกลับไปเดินชมโคมไฟกับซุนฮุ่ยอีกรอบ กระทั่งงานชมโคมไฟเลิก ทั้งสองจึงกลับมาที่จวนผู้ว่า หลังจากล้างหน้าล้างตา เพิ่งจะล้มตัวลงนอน กลับได้ยินเสียงกลองใหญ่ดังขึ้น รีบร้อนสวมเสื้อผ้าออกมาถามขึ้น “ท่านพ่อ กลองใหญ่ด้านนอกดังขึ้นยามวิกาลเช่นนี้ เกิดเรื่องอันใดขึ้น”


 


 


เปาชิงเหอตอบอย่างฉุนเฉียว “พ่อก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น พ่อให้บ่าวไปนำตัวคนที่กล้ามาตีกลองใหญ่โดยพลการเข้ามาแล้ว”


 


 


สิ้นเสียง จูหลานและเมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินตามบ่าวเข้ามาในจวน


 


 


เปาอีฝานตกใจถาม “เหตุใดถึงเป็นพวกเจ้า เกิดเรื่องอันใดขึ้น”


 


 


จูหลานลนลานพูด “น้องชายคนเล็กของแม่นางเมิ่งเพิ่งจะหายตัวไปจากโรงเตี๊ยม”


 


 


เปาอีฝานตกตะลึง ถามขึ้นทันควัน “เป็นไปได้อย่างไร”


 


 


ตนเองดำรงตำแหน่งนี้มาสิบกว่าปี ปกครองอย่างเที่ยงตรงยุติธรรม ไม่เคยเกิดคดีปล้นชิงใหญ่ๆ สักครั้ง ตอนนี้พอได้ยินจูหลานพูดว่ามีเด็กหายตัวไป เปาชิงเหอก็ตะลึงค้าง รีบถามกลับ “ที่พวกเจ้าพูดเป็นความจริง”


 


 


ปกติจูหลานเจอเปาชิงเหอจะขานเรียกว่าท่านลุง แต่วันนี้พอเสียงกลองดัง เปาชิงเหอพลันคว้าชุดเจ้าหน้าที่ทางการมาสวมออกมายังห้องโถงด้านหน้า จูหลานเห็นเช่นนั้น ประสานมือตอบกลับ “กราบเรียนใต้เท้าเปา เป็นความจริงทุกประการ คนในครอบครัวแม่นางเมิ่งค้นหาทั่วทั้งโรงเตี๊ยมแล้ว ก็หาไม่เจอ พวกเราถึงได้รีบร้อนมาแจ้งความ ทุบประตูใหญ่หน้าจวนพักหนึ่งเห็นไม่มีความเคลื่อนไหว จำต้องตีกลองส่งสัญญาณรวมพลฉุกเฉินใบนั้น”


 


 


เปาชิงเหอขมวดคิ้วมุ่น ถามขึ้น “หายไปได้อย่างไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทั้งสองคนฟังอีกรอบ


 


 


เปาอีฝานฟังจบก็ขมวดคิ้วยุ่งพูดว่า “พวกเจ้าเข้าอำเภอมาเพื่อชมโคมไฟ ไม่มีความแค้นกับใคร จะมีคนลักพาตัวเมิ่งเจี๋ยได้อย่างไร จะต้องเป็นเมิ่งเจี๋ยที่แอบหนีไปเที่ยวเล่นที่ไหนเอง พวกเจ้าหาในโรงเตี๊ยมทั่วแล้วหรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “ทั้งชั้นบนชั้นล่าง ที่พอจะแอบซ่อนคนได้พวกเราหาหมดแล้ว ก็ไม่เจอเจี๋ยเอ๋อร์ ถึงวิ่งแจ้นมาแจ้งความ หวังว่าใต้เท้าเปาจะช่วยพวกเรานำกำลังเจ้าหน้าที่ไปช่วยค้นหาในห้องของแขกที่มาเข้าพักอีกรอบ”


 


 


เปาอีฝานพูดว่า “หากน้องชายเจ้าถูกคนลักพาตัวไปจริงๆ ตอนที่เจ้าออกมา พวกเขาจะต้องพาเขาออกไปแล้ว ต่อให้พวกเรานำกำลังคนไปค้นหาก็ไม่มีประโยชน์”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ตอนข้าออกมาได้กำชับหลงจู๊ของโรงเตี๊ยม และพวกพี่ใหญ่พี่รองไว้แล้ว ให้พวกเขาเฝ้าประตูหน้าประตูหลังให้ดี ห้ามให้มีคนเล็ดลอดออกไปได้แม้แต่คนเดียว ขอเพียงน้องชายข้ายังอยู่ในโรงเตี๊ยม จะต้องตามหาเขาเจอ”


 


 


เปาชิงเหอกล่าวชื่นชม “แม่นางน้อยจัดการได้อย่างรัดกุม”


 


 


เปาอีฝานหันไปพูดกับเปาชิงเหอ “ท่านพ่อ นางก็คือแม่นางเมิ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวที่ข้าเคยเอ่ยถึง”


 


 


เปาชิงเหอตกตะลึงเล็กน้อย มองประเมินนางขึ้นลง กล่าวว่า “ที่แท้เจ้าก็คือแม่นางเมิ่ง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างงุนงง


 


 


เปาชิงเหอเพิ่งรู้ตัวว่าพลั้งปากไป รีบพูดกลบเกลื่อน “ข้าเคยได้ยินฝานเอ๋อร์เอ่ยถึงเจ้า รู้ว่าเจ้าอายุยังน้อยก็มีความสามารถเกินคน จู่ๆ ก็ได้พบเจ้ากะทันหัน อดที่จะตกใจไม่ได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสะกดกลั้นความคับข้องใจนี้


 


 


เจ้าหน้าที่ที่อาศัยอยู่รอบจวนได้ยินเสียงกลองดัง รู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่ ตะลีตะลานสวมใส่เสื้อผ้า วิ่งกระหืดกระหอบมาที่จวน


 


 


เปาชิงเหอรอให้เจ้าหน้าที่มาโดยพร้อมหน้าถึงพูดเสียงดัง “เมื่อครู่แม่นางน้อยผู้นี้มาแจ้งความ บอกว่าน้องชายของนางหายตัวไปกะทันหัน พวกเจ้ารีบตามข้าไปที่โรงเตี๊ยม ทำการตรวจค้นอย่างละเอียด”


 


 


เจ้าหน้าที่ทั้งหมดขานรับคำสั่ง


 


 


เปาชิงเหอนั่งบนเกี้ยว เจ้าหน้าที่เดินตามหลัง เร่งรุดเดินทางมายังโรงเตี๊ยม


 


 


เปาอีฝาน จูหลานและเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งรถม้ารั้งท้ายตามติดมา


 


 


เปาชิงเหอมาถึงโรงเตี๊ยม หลงจู๊กุลีกุจอเข้าไปแสดงความเคารพ เปาชิงเหอโบกมือกล่าวว่า “เรื่องเร่งด่วน ไม่ต้องมีพิธีรีตอง เจ้าจงให้เสี่ยวเอ้อไปแจ้งข่าวแขกทุกคน ให้พวกเขาสวมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย และออกมารอด้านนอก เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจค้น”


 


 


หลงจู๊ปาดเม็ดเหงื่อที่หน้าผาก รีบให้เสี่ยวเอ้อไปทำตามคำสั่ง


 


 


แขกชั้นสองรู้เรื่องที่เมิ่งเจี๋ยหายตัวไปแล้ว ได้ยินเสี่ยวเอ้อมาบอกว่าเจ้าหน้าที่ทางการจะเข้ามาตรวจค้นห้องหับ ต่างทยอยลุกขึ้นแต่งกาย แล้วเดินออกมา ส่วนแขกที่มานอนพักชั้นหนึ่งไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ได้ยินเสี่ยวเอ้อบอกว่ามีคนจะขอเข้าทำการตรวจค้น ก็ต่อต้านไม่ยินยอม


 


 


รอจนแขกออกมาเกือบหมดแล้ว เปาชิงเหอโบกสะบัดมือ เจ้าหน้าที่สี่นายเดินขึ้นไปชั้นสอง ทำการตรวจค้นทีละห้องอย่างละเอียด แม้แต่ห้องพักทั้งสามห้องของบ้านเมิ่งก็ไม่ละเว้น แต่ก็ยังคว้าน้ำเหลว


 


 


เปาชิงเหอให้เจ้าหน้าที่อีกสี่นายตรวจค้นห้องพักชั้นหนึ่ง ก็ไม่พบสิ่งใด


 


 


เจ้าหน้าที่ที่เหลือทำการตรวจค้นหลังโรงเตี๊ยมอย่างละเอียด แม้แต่ห้องพักของหลงจู๊และบรรดาเสี่ยวเอ้อก็ไม่เว้น แต่ก็ยังคงไม่พบสิ่งใด


 


 


เปาชิงเหอขมวดคิ้วยุ่ง หันไปพูดกับหลงจู๊ “วันนี้เสี่ยวเอ้อคนไหนเข้าเวร ข้าจะสอบปากคำเขา”


 


 


เสี่ยวเอ้อเดินตัวสั่นเข้ามา


 


 


เปาชิงเหอถามขึ้น “เจ้าเห็นมีเด็กเดินออกไปเองหรือไม่”


 


 


เสี่ยวเอ้อส่ายหน้า


 


 


เปาชิงเหอถามอีก “เช่นนั้นเจ้าเห็นมีใครอุ้มเด็กออกไปจากโรงเตี๊ยมหรือไม่”


 


 


เสี่ยวเอ้อยังคงส่ายหน้า


 


 


เปาชิงเหอพูด “เช่นนั้นก็แปลกแล้ว เด็กตัวใหญ่ขนาดนั้นจะหายไปอย่างไร้ร่องรอยได้อย่างไร”


 


 


เปาอีฝานพูดขึ้น “หรือจะมีคนร้ายเข้ามาอุ้มเมิ่งเจี๋ยออกไป”


 


 


หลงจู๊รีบพูดทันควัน “ไม่มีทาง จะมีคนร้ายที่ไหนกล้าหาญ กล้าเข้ามาอุ้มเด็กออกไปจากโรงเตี๊ยม จะต้องเป็นน้องชายของแม่นางน้อยฉวยโอกาสที่เสี่ยวเอ้อไม่ทันสังเกตวิ่งออกไปเอง” เปาชิงเหอพยักหน้าเห็นพ้อง “เด็กน่าจะยังเล่นไม่เต็มอิ่ม ฉวยโอกาสนี้แอบวิ่งออกไป”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดค้านเสียงแข็ง “ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นเด็ดขาด เจี๋ยเอ๋อร์เชื่อฟังพวกเรามาตลอด หากไม่ได้รับการอนุญาตจากผู้ใหญ่ ไม่มีทางออกไปเล่นซุกซกตามอำเภอใจเด็ดขาด”


 


 


เปาชิงเหอถามขึ้น “หากเป็นอย่างที่เจ้าพูด น้องชายเจ้าจักต้องถูกคนอุ้มไป”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “จะต้องถูกคนอุ้มไป”


 


 


เปาชิงเหอขมวดคิ้วยู่ย่น “เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็แปลกประหลาดนัก พวกเราค้นทั่วทั้งโรงเตี๊ยมก็หาไม่เจอ ทั้งเสี่ยวเอ้อก็บอกว่าไม่เห็นมีใครออกไป หากมีคนอุ้มน้องชายเจ้าไปจริงๆ เช่นนั้นเขาจะหลบซ่อนอยู่ที่ไหน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ในโรงเตี๊ยมไม่มี แสดงว่าเขาจะต้องถูกพาตัวออกไปแล้ว”


 


 


หลงจู๊พูดขึ้น “ไม่มีทาง เสี่ยวเอ้อไม่เห็นมีใครออกไปสักคน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเสี่ยวเอ้อแวบหนึ่ง เสี่ยวเอ้อก้มหน้าอย่างกินปูนร้อนท้อง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มสงสัย เดินไปตรงหน้าเสี่ยวเอ้อ ถามด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าเห็นมีคนอุ้มเด็กออกไปหรือไม่”


 


 


เสี่ยวเอ้อลนลานส่ายหน้า พูดว่า “ไม่เห็น ไม่เห็นจริงๆ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามอีก “เช่นนั้นหลังจากพวกเรากลับเข้าโรงเตี๊ยม มีใครน่าสงสัยตามพวกเราเข้ามาหรือไม่”


 


 


เสี่ยวเอ้อครุ่นคิดแล้วส่ายหน้า “ไม่มี ตอนนั้นเหล่าคุณชายเป็นคนส่งแม่นางกลับมา ข้าเพ่งมองหลายครั้ง ก็ไม่เห็นมีคนที่ไม่รู้จักตามหลังพวกท่านมา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “เจ้าลองคิดให้ถี่ถ้วน ตั้งแต่ช่วงเวลาที่พวกเรากลับเข้าโรงเตี๊ยมจนถึงตอนที่ข้าวิ่งลงมาบอกเจ้าว่าน้องชายข้าหายตัวไป มีใครที่ไม่ใช่แขกของที่นี่เข้ามาหรือไม่”


 


 


เสี่ยวเอ้อตอบ “หลังจากแม่นางกลับเข้ามา แขกของโรงเตี๊ยมก็ทยอยกันกลับเข้ามา ข้าอยู่รอจนโคมไฟทุกห้องดับสนิท ถึงฟุบหน้างีบหลับบนโต๊ะคิดเงิน” เสี่ยวเอ้อพูดจบ ถึงได้สติว่าตัวเองพูดอะไรออกไป ใบหน้าขาวซีดพลัน


 


 


หลงจู๊ร้องถามเสียงแหลม “เอ้อร์จื่อ เจ้าว่าอะไรนะ เมื่อครู่เจ้านอนหลับไป”


 


 


เสี่ยวเอ้อตกใจคุกเข่าลงกับพื้นดัง “พลั่ก” พูดด้วยเสียงสั่นเทา “หลงจู๊ เพราะข้าเหนื่อยมากจริงๆ จึงฟุบหน้างีบหลับไปครู่หนึ่ง”


 


 


หลงจู๊โมโหถีบใส่เขาหนึ่งที ตวาดถาม “เหตุใดเมื่อครู่เจ้าถึงไม่พูด”


 


 


เสี่ยวเอ้อถูกถีบจนล้มกลิ้ง ไม่สนใจความเจ็บปวด รีบลุกขึ้นมา คุกเข่าใหม่อีกครั้งแล้วพูด “พอได้ยินว่าน้องชายของแม่นางหายไป ข้าก็ขวัญกระเจิง กลัวท่านจะตำหนิโทษ จึงไม่กล้าพูดออกมา”


 


 


หลงจู๊โมโหถีบเขาไปเต็มรักอีกครั้ง ร้องก่นด่า “เจ้าสวะ เกือบจะทำให้เสียเรื่องใหญ่ ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่”


 


 


เสี่ยวเอ้อคุกเข่าอย่างยอมรับผิดอยู่อีกด้าน ไม่กล้าปริปาก


 


 


เปาอีฝานพูดขึ้น “เมื่อเป็นเช่นนี้ จะต้องมีคนฉวยโอกาสตอนที่เสี่ยวเอ้อหลับ แอบอุ้มน้องชายแม่นางเมิ่งไป”


 


 


หลงจู๊ถามเสียงสั่น “จากความคิดเห็นคุณชาย ใครกันที่จะกล้าเข้ามาอุ้มเด็กในโรงเตี๊ยม”


 


 


เปาอีฝานวิเคราะห์ “มีความเป็นไปได้สองอย่าง หนึ่งคนร้ายฉวยโอกาสตอนที่เสี่ยวเอ้อหลับ แอบย่องเข้ามา ขืนใจอุ้มเมิ่งเจี๋ยไป สองครอบครัวแม่นางเมิ่งถูกคนจับตาดู พวกเขาแอบลักพาตัวเมิ่งเจี๋ยไป เพื่อจะเรียกเงินค่าไถ่”


 


 


เมิ่งเสียนร้อนใจถามขึ้น “เช่นนั้นตอนนี้จะทำอย่างไร”


 


 


เปาอีฝานหันไปพูดกับเปาชิงเหอ “ท่านพ่อ จากช่วงเวลาเมื่อครู่ ประตูเมืองได้ปิดลงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพวกค้ามนุษย์หรือลักพาตัวเด็กไปเรียกค่าไถ่ คืนวันนี้ยังออกไปจากเมืองนี้ไม่ได้ ท่านสั่งการเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังประตูเมืองให้ดี พรุ่งนี้ฟ้าสาง ให้ตรวจสอบคนที่เดินทางออกจากประตูเมืองอย่างเข้มงวด ใครที่ดูน่าสงสัยห้ามปล่อยให้เล็ดลอดไปได้เด็ดขาด”


 


 


เปาชิงเหอพยักหน้า สั่งให้เจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติตาม


 


 


เปาอีฝานหันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวต่อ “แม่นางเมิ่ง เรื่องมาถึงขั้นนี้ พวกเราคงได้แต่ให้ฟ้าสางก่อน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าสีหน้าเคร่งขรึม


 


 


เปาชิงเหอมองนางแวบหนึ่ง สั่งการเจ้าหน้าที่สองสามนาย “พวกเจ้าเฝ้าประตูหน้าและหลังของโรงเตี๊ยมให้ดี เมื่อฟ้าสางให้ตรวจค้นคนเข้าออกอย่างละเอียด”


 


 


เจ้าหน้าที่ขานรับคำ แยกกันไปยืนเฝ้าข้างประตูหน้าและหลัง


 


 


เปาชิงเหอมองดูท้องฟ้าพลางพูด “ยังมีอีกช่วงเวลาหนึ่งกว่าฟ้าจะสาง เจ้าตามพ่อกลับจวนเถอะ กลับไปแล้วพักผ่อนให้เพียงพอ เก็บแรงให้เต็มที่ รอจนฟ้าสางหากพบคนต้องการเรียกค่าไถ่จริงๆ พวกเราจะได้มีแรงรับมือ”


 


 


เปาอีฝานพยักหน้า พูดขึ้น “จูหลาน พวกเรากลับไปพร้อมกันเถอะ”


 


 


จูหลานมองเมิ่งเชี่ยนโยวที่มีอาการเซื่องซึมผิดปกติ พยักหน้าตกลง


 


 


หลังจากคนทั้งหมดจากไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็หันไปพูดกับเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ เมื่อมีเจ้าหน้าที่เฝ้าประตูแล้ว ท่านไปเรียกพี่รองและเมิ่งอี้เซวียนกลับมาเถอะ”


 


 


เมิ่งเสียนพยักหน้า เดินไปเรียกทั้งสองคนกลับมา


 


 


คนทั้งหมดเดินหน้าเคร่งขรึมกลับไปชั้นสอง


 


 


เมิ่งชื่อเห็นคนทั้งหมดกลับมา รีบเข้าไปถามไถ่ “โยวเอ๋อร์ เจอเจี๋ยเอ๋อร์หรือยัง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า


 


 


เมิ่งชื่อสิ้นหวังพังทลาย พูดอย่างอดรนทนไม่ได้ “เพราะแม่เอง! เป็นความผิดของแม่เอง! แม่ไม่ควรให้เขาออกไป”


 


 


เมิ่งชิงที่ตกใจตื่นตอนที่เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจค้นห้องจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เห็นเมิ่งชื่อคร่ำครวญโหยไห้ ตกใจผวาเข้าหาอ้อมกอดเมิ่งเชี่ยนโยว ร้องเรียก “ท่านพี่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลูบศีรษะเขา


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ถามอย่างร้อนใจ “เหตุใดถึงหาไม่เจอ ดึกเช่นนี้ เจี๋ยเอ๋อร์ไม่มีทางวิ่งไปไหนตามลำพัง จะต้องมีคนแอบเอาเขาไปซ่อน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก พูดว่า “ท่านพ่อ เมื่อครู่เสี่ยวเอ้อชั้นล่างฟุบหลับไป จึงไม่เห็นว่าเจี๋ยเอ๋อร์ถูกคนอุ้มไปจริงหรือไม่ คุณชายเปาวิเคราะห์ว่า อาจจะถูกพวกค้ามนุษย์อุ้มไป หรือไม่ก็มีคนจับตาดูพวกเราไว้นานแล้ว ฉวยโอกาสนี้ลักพาตัวเจี๋ยเอ๋อร์ไป เพื่อจะมาเรียกค่าไถ่กับพวกเรา”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นตกใจสุดขีด ถามอย่างจนปัญญา “เช่นนั้นจะทำอย่างไร ใต้เท้าเปาจะไม่สนใจแล้วหรือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ใต้เท้าเปาส่งเจ้าหน้าที่ไปที่ประตูเมืองแล้ว เมื่อฟ้าสางจะตรวจสอบคนเข้าออกเรียงตัว เมื่อได้ข่าวจะมาแจ้งพวกเรา”


 


 


เมิ่งชื่อโผเข้ามาจับแขนเมิ่งเชี่ยนโยว ถามอย่างกระสับกระส่าย “หากว่าไม่ได้ข่าวล่ะ เจี๋ยเอ๋อร์จะไม่กลับมาอีกแล้วใช่ไหม”


 


 


“ไม่มีทาง มีข้าอยู่ เจี๋ยเอ๋อร์จะต้องกลับมา” เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดยืนยันกับเมิ่งชื่อ


 


 


เมิ่งชื่อถามอย่างไม่เชื่อ “จริงๆ นะ เจี๋ยเอ๋อร์จะต้องกลับมาได้จริงๆ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดรับประกัน “ท่านแม่ วางใจเถอะ เจี๋ยเอ๋อร์จะต้องกลับมา”


 


 


เมิ่งชื่อปล่อยแขนนาง พูดพึมพำ “เช่นนั้นพวกเราก็รอ รออยู่ที่นี่ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเสนอเงื่อนไขอะไร พวกเราก็ตกลง”


 


 


พูดจบทิ้งก้นนั่งซึมกระทือไปบนพื้น


130.2 ตามหา

 


 


 


เมิ่งเสียน เมิ่งฉีเข้าไปประคองนางลุกขึ้น ไปนั่งบนเตียง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋น “ท่านพ่อ ดูแลท่านแม่ให้ดี อย่าให้นางก่อเรื่องอะไรขึ้นเด็ดขาด”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้าพูด “รู้แล้ว พ่อจะเฝ้าแม่เจ้าไม่ให้คลาดสายตา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับเมิ่งเสียนและคนที่เหลือ “พี่ใหญ่ ตอนนี้ฟ้ายังไม่สาง พวกท่านไปพักเสียหน่อยเถอะ”


 


 


เมิ่งเสียนพูด “หากยังไม่เจอน้องเล็ก พวกเราจะหลับลงได้อย่างไร”


 


 


“นอนไม่หลับก็ต้องนอน เก็บแรงเอาไว้ เมื่อฟ้าสางหากได้ข่าวอะไร พวกเรายังต้องไปตามหาน้องเล็ก” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยน้ำเสียงเน้นหนัก


 


 


เมิ่งเสียนพยักหน้า พาเมิ่งฉีและเมิ่งอี้เซวียนกลับห้อง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันมองสองสามีภรรยาเมิ่ง พาเมิ่งชิงกลับมาห้องข้างๆ เงียบๆ


 


 


เมิ่งชิงถึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นสะอื้น “ท่านพี่ เจี๋ยเอ๋อร์หายไปหรือ ถูกคนลักพาตัวไปใช่หรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอุ้มเขาไปนั่งบนเตียง จ้องตาเขาพูดว่า “พี่ขอรับประกันกับเจ้า เจี๋ยเอ๋อร์จะต้องได้กลับมา”


 


 


เมิ่งชิงพูดอย่างรู้ความ “ข้าเชื่อท่านพี่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกล่อม “ชิงเอ๋อร์ ไม่ดื้อ นอนหลับนะ”


 


 


เมิ่งชิงเอนตัวลงบนเตียงอย่างว่านอนสอนง่าย เมิ่งเชี่ยนโยวห่มผ้าห่มให้เขา ชั่วอึดใจเด็กตัวน้อยก็เข้าสู่ห้วงฝัน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเอนตัวลงบนเตียง ครุ่นคิดทบทวน รู้สึกลางๆ ว่ามีตรงไหนผิดปกติ กลับคิดไม่ออก จึงฝืนบังคับตัวเองให้หลับตา นอนพัก


 


 


ฟ้าสว่างแจ้ง แขกที่มาเข้าพักในโรงเตี๊ยมทยอยกันคืนห้อง เมิ่งเชี่ยนโยวพลันลืมตาตื่น เดินออกมาด้านนอก เห็นเจ้าหน้าที่สองนายหน้าประตูกำลังตรวจสอบการเข้าออกของแขกทุกคนอย่างละเอียด


 


 


เมิ่งเสียน เมิ่งฉีและเมิ่งอี้เซวียนก็เดินมาด้านนอก ถลึงตาโตจับจ้องมองแขกทุกคนที่พกกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ออกไป


 


 


กระทั่งแขกในโรงเตี๊ยมจากไปหมดแล้ว ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร


 


 


เมิ่งเสียนและน้องๆ ใจร้อนดั่งไฟ ถามขึ้น “น้องสาว จะทำอย่างไรดี”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “รอก่อน ทำใจรออย่างสงบ รอให้คนที่ลักพาตัวเจี๋ยเอ๋อร์ไปส่งข่าวมายื่นข้อเสนอเรียกค่าไถ่ หรือไม่ก็รอให้ใต้เท้าเปาส่งคนมาแจ้งข่าวดี”


 


 


เมิ่งฉีร้อนรนถาม “รอเช่นนี้ไม่ใช่วิธีที่ดี สู้พวกเราออกไปหาเองดีกว่า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถาม “อำเภอใหญ่โต แถมพวกเราก็ไม่คุ้นชิน จะไปหาที่ไหน วิธีที่ดีที่สุดก็คือรออยู่ในโรงเตี๊ยม รอให้คนส่งข่าวมา”


 


 


เมิ่งฉีรู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวพูดถูกต้อง อำเภอใหญ่เช่นนี้พวกเขาไม่อาจทำอะไรได้เลย จำต้องรออย่างกระวนกระวายใจอยู่ตรงที่เดิม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับเมิ่งอี้เซวียน “อี้เซวียน ชิงเอ๋อร์ยังไม่ตื่น เจ้าเข้าไปดูแลเขา ข้าไม่ร้องเรียก พวกเจ้าห้ามออกมาเด็ดขาด”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า กลับไปที่ห้อง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอีก “พี่ใหญ่ พี่รองพวกเราไปรอที่ห้องท่านแม่เถอะ”


 


 


เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีพยักหน้า ทั้งสามคนกลับมาที่ห้อง


 


 


เมิ่งชื่อยังคงคร่ำครวญไม่หยุด “เพราะข้าเอง! เพราะข้าคนเดียว!” พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวและคนที่เหลือเข้ามา พลันโผเข้าถามอย่างดีใจ “โยวเอ๋อร์ ได้ข่าวเจี๋ยเอ๋อร์แล้วใช่ไหม”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า


 


 


เมิ่งชื่อฝืนทนต่อไปไม่ไหว หมดสติล้มพับไปกับพื้นทันใด


 


 


เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีตกใจร้องเรียกพร้อมกัน “ท่านแม่”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ตกใจไม่น้อย เขย่าตัวเมิ่งชื่อ ปากร้องถามไม่หยุด “แม่ เจ้าเป็นอะไร เจ้าฟื้นสิ!”


 


 


“เร็ว แบกท่านแม่ไปวางไว้บนเตียงก่อน” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับทุกคนอย่างสุขุม


 


 


คนทั้งหมดยกตัวเมิ่งชื่อมาที่เตียง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวแตะชีพจรเมิ่งชื่อ


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นกระวนกระวายถาม “โยวเอ๋อร์ แม่เจ้าเป็นอะไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจับชีพจรให้เมิ่งชื่อเสร็จ พูดอย่างโล่งใจ “ไม่เป็นไร ท่านแม่เพียงจิตใจร้อนรุ่มจนเป็นลมไม่ได้สติไปเท่านั้น”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นร้อนรนถาม “เช่นนั้นพวกเจ้าเฝ้าดูแม่ไว้ พ่อจะให้เสี่ยวเอ้อช่วยไปตามหมอมา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามเขา ใช้นิ้วกดจุดกึ่งกลางใต้จมูกเมิ่งชื่อ


 


 


เมิ่งชื่อค่อยๆ ได้สติคืนกลับมา พอลืมตาก็ร้องไห้คร่ำครวญ “เพราะแม่เอง เป็นความผิดของแม่ แม่ไม่ควรให้เจี๋ยเอ๋อร์ออกไป”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นกำลังจะปลอบประโลม เมิ่งชื่อก็ลุกพรวดขึ้นจากเตียง พูดว่า “ไม่ได้ ข้าต้องไปตามหาเจี๋ยเอ๋อร์” พูดจบ ลงจากเตียง เดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะใส่รองเท้า


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นรีบเข้าไปขวางนาง “แม่เอ๊ย อำเภอใหญ่เช่นนี้ เจ้าจะไปหาที่ไหน”


 


 


เมิ่งชื่อตื่นตระหนกจนไม่รับรู้อะไรแล้ว ดึงมือเมิ่งเอ้ออิ๋นมาพูด “ข้าได้ยินเสียงเจี๋ยเอ๋อร์ร้องเรียกข้า เจี๋ยเอ๋อร์เอาแต่ร้องเรียกแม่ ข้าจะไปหาเจี๋ยเอ๋อร์ ข้าจะไปหาเจี๋ยเอ๋อร์!”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นตกใจขวัญผวา “แม่เอ๊ย ยังหาเจี๋ยเอ๋อร์ไม่เจอ เจ้าจะได้ยินเสียงเจี๋ยเอ๋อร์ร้องเรียกแม่ได้อย่างไร”


 


 


เมิ่งชื่อสะบัดมือเมิ่งเอ้ออิ๋น หันหลังเดินออกไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเดินขึ้นหน้า ใช้ฝ่ามือตีต้นคอเมิ่งชื่อ


 


 


ร่างของเมิ่งชื่ออ่อนระทวยล้มพับไปอีกครั้ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโอบอุ้มนางไว้ หันไปร้องเรียกเมิ่งเสียนและเมิ่งฉี “พี่ใหญ่ พี่รองพวกเท่านมาช่วยพาท่านแม่ไปวางไว้บนเตียง”


 


 


เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีรีบเข้าไปแบกเมิ่งชื่อขึ้นไปวางบนเตียง


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นถามอย่างร้อนรน “โยวเอ๋อร์ เจ้าทำสิ่งใดกับแม่เจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ตอนนี้ท่านแม่มีอาการเพ้อ ข้าทำให้นางสลบ ให้นางได้พักผ่อนให้เต็มที่”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นถึงวางใจลง ห่มผ้าห่มให้เมิ่งชื่ออย่างเอาใจใส่


 


 


หลังจากเปาอีฝานและจูหลานกลับถึงบ้าน ทำการพักผ่อนเล็กน้อย เมื่อฟ้าสาง ตรงมาที่หน้าประตูเมืองพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เข้าตรวจค้นผู้คนและรถที่ออกจากเมืองพร้อมเจ้าหน้าที่อย่างถี่ถ้วน เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนที่ได้รับแจ้งข่าวเร่งรุดมาช่วยเหลือ ผ่านไปครึ่งวันเช้า กลับไม่พบสิ่งผิดปกติใด


 


 


ทั้งสี่คนเริ่มมีสีหน้าว้าวุ่นใจ


 


 


เปาอีฝานพูดกับทุกคน “ไป พวกเราไปดูที่โรงเตี๊ยม หากมีคนจับเด็กไปเรียกค่าไถ่จริงๆ ไม่แน่ว่าแม่นางเมิ่งจะได้รับแจ้งข่าวแล้ว”


 


 


คนทั้งหมดพยักหน้า


 


 


เปาอีฝานกำชับเจ้าหน้าที่ให้ตรวจตราอย่าละเอียดต่อไป จากนั้นทั้งสี่ก็แยกย้ายไปขึ้นรถม้าตัวเอง มุ่งหน้ามาที่โรงเตี๊ยม


 


 


เจ้าหน้าที่ยังยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยม เห็นเปาอีฝานเข้ามา เอ่ยเรียกอย่างนอบน้อม “คุณชายใหญ่”


 


 


เปาอีฝานพยักหน้าถามขึ้น “เป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


เจ้าหน้าที่ส่ายหน้าตอบ “วันนี้พวกเราตรวจค้นแขกที่คืนห้องอย่างละเอียดอีกครั้ง ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใด”


 


 


เปาอีฝานถามอีก “แม่นางเมิ่งที่อยู่ข้างบนได้รับแจ้งข่าวใดหรือไม่”


 


 


เจ้าหน้าที่ตอบกลับ “ครอบครัวแม่นางเมิ่งเอาแต่อยู่ข้างบน ยังไม่ได้ยินว่าได้รับแจ้งข่าวใด”


 


 


ทั้งสี่หันหน้ามองกัน หัวใจกระตุกวูบ


 


 


ทั้งหมดขึ้นมายังชั้นสอง เปาอีฝานเคาะประตูห้อง


 


 


เมิ่งฉีเปิดประตู เห็นคนทั้งหมดร้องถามอย่างยินดี “คุณชายเปา เจอน้องชายข้าแล้ว”


 


 


คนในห้องได้ยินหันมองไปที่พวกเขา เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืนอย่างกระสับกระส่าย


 


 


เปาอีฝานส่ายหน้า


 


 


คนในห้องพลันไร้เรี่ยวแรง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูเมิ่งชื่อที่ยังคงนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง หันไปพูดกับเปาอีฝาน “พวกเราไปห้องข้างๆ”


 


 


ทั้งสี่คนพยักหน้า ตามเมิ่งเชี่ยนโยวมานั่งยังห้องข้างๆ เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีก็ตามเข้ามาด้วย ยืนคอยข้างเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


ในห้องพลันเงียบสงัด


 


 


ครู่หนึ่งเปาอีฝานถึงพูดขึ้น “พวกเราตรวจค้นรถที่ออกจากประตูเมืองทุกคันอย่างละเอียดแล้ว ไม่พบสิ่งผิดปกติข้อสงสัยใด พวกเรานึกว่าแม่นางเมิ่งจะได้รับแจ้งข่าวจากคนร้ายเรียกค่าไถ่แล้ว จึงเข้ามาดู ตอนนี้ดูท่า แม่นางจะยังไม่ได้รับแจ้งข่าวใด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “พวกเราอยู่ที่โรงเตี๊ยมตลอดทั้งเช้า ยังไม่ได้รับแจ้งข่าวใดๆ ทั้งสิ้น”


 


 


เซี่ยเจียงเฟิงพูดขึ้น “ไม่น่าเป็นไปได้ หากมีคนคิดจะเรียกค่าไถ่จริงๆ ข่าวน่าจะส่งมาถึงได้แล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “บางทีพวกเราอาจจะตรวจค้นเข้มงวดเกินไป ข่าวส่งเข้ามาไม่ถึง”


 


 


เปาอีฝานพยักหน้า “ข้าจะไปสั่งให้เจ้าหน้าที่หน้าประตูถอนกำลัง เพื่อเปิดทางให้คนส่งข่าวเข้ามา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ขอบคุณคุณชายเปา”


 


 


เปาอีฝานโบกมือพูด “เวลาไหนกันแล้ว ไยต้องเกรงใจอีก” พูดจบ เดินออกไปจากห้อง สั่งการเจ้าหน้าที่ด้านล่าง เจ้าหน้าที่รับคำสั่งล่าถอยออกไป


 


 


เปาอีฝานกลับเข้ามานั่งนิ่งในห้องอีกครั้ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้นต่อ “คุณชายเปา ท่านให้ใต้เท้าเปาออกประกาศได้หรือไม่ บอกว่าน้องชายข้าหายตัวไป หากผู้ใดพบเห็นให้มาแจ้งข่าว พวกเรามีเงินรางวัลให้หนึ่งพันตำลึง หากพาพวกเราไปพบได้ จะให้รางวัลหนึ่งหมื่นตำลึง”


 


 


เปาอีฝานถามกลับ “หากพวกเราทำเช่นนี้ จะไม่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นหรือ ถึงตอนนั้นเจี๋ยเอ๋อร์จะเป็นอันตรายได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียงเข้ม “ที่ข้าต้องการก็คือแหวกหญ้าให้งูตื่น ไม่ว่าจะเป็นพวกค้ามนุษย์หรือโจรเรียกค่าไถ่ ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่มีโอกาสไปจากเมืองนี้ หากมีประกาศนี้ออกมา พวกเขาจะต้องยิ่งไม่กล้าทำสิ่งใดบุ่มบ่าม ขอเพียงเจี๋ยเอ๋อร์ยังอยู่ในเมือง พวกเราจะต้องคิดหาวิธีหาเขาจนพบให้ได้”


 


 


เปาอีฝานลุกขึ้นยืน ขานรับคำ “ได้ ข้าจะกลับจวนบอกให้ท่านพ่อออกประกาศ”


 


 


จูหลาน เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนลุกขึ้นยืนพูด “พวกเราก็จะกลับไป ให้คนงานในร้านและบ่าวรับใช้ในบ้านออกไปช่วยกันสืบหา”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ขอบคุณทุกท่านมาก”


 


 


คนทั้งหมดโบกมือ เดินออกไปจากห้อง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีเดินมาส่งคนทั้งสามที่หน้าประตู


 


 


เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกมา คนงานบังคับรถม้าของจูหลานกะพริบตาปริบ ก้มหน้าหลบตาอย่างร้อนตัว ลืมแม้กระทั่งเปิดม่านบังรถให้จูหลาน


 


 


จูหลานตวาดเขา “จั่วซื่อ ทำอะไรของเจ้า”


 


 


จิ่วซื่อลนลานเงยหน้าขึ้น เปิดม่านบังรถออกให้จูหลานขึ้นรถม้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างไม่ใส่ใจแวบหนึ่ง


 


 


จิ่วซื่อรีบปิดม่านบังรถลง บังคับรถม้าจากไปอย่างลุกลี้ลุกลน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้ว รู้สึกเหมือนมีบางอย่างแล่นผ่านเข้ามาในสมอง กำลังจะคว้าไว้ กลับถูกเสียงเป็นห่วงของเมิ่งเสียนพูดแทรกเข้ามา “น้องสาว นี่ก็ล่วงมานานแล้ว ท่านแม่ยังไม่ฟื้น คงไม่เกิดเรื่องอะไรนะ”


 


 


สิ้นเสียง เสียงคลุ้มคลั่งของเมิ่งชื่อจากชั้นบนก็ดังขึ้น “ไม่ต้องมาห้ามข้า ข้าจะไปหาเจี๋ยเอ๋อร์”


 


 


คนทั้งหมดสบตากัน รีบวิ่งขึ้นไปบนห้องชั้นสอง เห็นเมิ่งชื่อกำลังยืนเท้าเปล่าอยู่ข้างประตู พยายามสะบัดการเกาะกุมมือของนางจากเมิ่งเอ้ออิ๋นสุดชีวิต


130.3 ตามหา

 


 


 


เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีรีบเข้าไปห้ามปราม


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับแผดเสียงดังสนั่น “ท่านแม่!”


 


 


เมิ่งชื่อหยุดการกระทำ มองนางอย่างเหม่อลอย


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ท่านแม่ ท่านดูสภาพตัวเองสิ หากเจี๋ยเอ๋อร์กลับมา จะต้องตกใจหวาดผวา”


 


 


เมิ่งชื่อถามอย่างเสียสติ “โยวเอ๋อร์ เจ้าบอกแม่ เจี๋ยเอ๋อร์จะต้องกลับมาอย่างปลอดภัยใช่หรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ใช่ เจี๋ยเอ๋อร์จะต้องปลอดภัยกลับมา”


 


 


เมิ่งชื่อพูดเร่งเร้า “เจ้ารับประกันกับแม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดยืนยัน “ข้าขอรับประกัน เจี๋ยเอ๋อร์จะต้องกลับมา”


 


 


เมิ่งชื่อไม่ดิ้นรนขัดขืนอีก แสยะแย้มยิ้ม “ได้ แม่เชื่อเจ้า แม่จะไปล้างหน้าล้างตา เจี๋ยเอ๋อร์กลับมาจะได้ไม่ตกใจ”


 


 


เห็นเมิ่งชื่อมีอาการเช่นนั้น เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีตกใจหนัก ร้องเรียกพร้อมกัน “น้องสาว!”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวปลอบโยนพวกเขา “พี่ใหญ่ พี่รองไม่ต้องเป็นห่วง ท่านแม่ไม่เป็นอะไร รอน้องเล็กกลับมาก็พอ”


 


 


ทั้งสองพยักหน้าอย่างหวาดผวา มองเมิ่งชื่อที่ใกล้จะเสียสติอย่างเป็นห่วง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกำชับกับเมิ่งเอ้ออิ๋น “ท่านพ่อ ท่านจะต้องเฝ้าดูท่านแม่ให้ดี ห้ามให้เกิดเรื่องอันใดกับนางเด็ดขาด”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้าหนักแน่น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ ท่านไปบอกเสี่ยวเอ้อให้ส่งอาหารขึ้นมา พวกเรากินอะไรเสียหน่อย เก็บเรี่ยวแรงเอาไว้ เมื่อได้ข่าวของเจี๋ยเอ๋อร์ พวกเราจะรีบไปทันที”


 


 


เมิ่งเสียนตกใจจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว ได้ยินคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยว รีบลงไปบอกเสี่ยวเอ้อให้ส่งอาหารขึ้นมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับให้สองสามีภรรยาเมิ่ง เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีกินข้าว ตัวเองก็ยกสำรับอาหารมายังห้องข้างๆ พูดกับทั้งสองคนว่า “อี้เซวียน ชิงเอ๋อร์กินข้าวเถอะ”


 


 


เมิ่งชิงกำลังเล่นหน้ากากอยู่บนโต๊ะ เมิ่งอี้เซวียนนั่งมองเขาอยู่อีกด้านเงียบๆ เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยกอาหารเข้ามา เมิ่งชิงรีบวางหน้ากากในมือลง


 


 


เมิ่งอี้เซวียนถามเสียงแผ่ว “ได้ข่าวแล้วหรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า


 


 


เมิ่งอี้เซวียนสีหน้าหมองเศร้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเขาอย่างหนักแน่น “อี้เซวียน เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง เจี๋ยเอ๋อร์จะต้องกลับมา อีกอย่าง เจ้าต้องดูแลชิงเอ๋อร์ให้ดี วันนี้พวกเจ้าสองคนอยู่แต่ในห้องนี้ ห้ามไปไหนเด็ดขาด”


 


 


เมิ่งอี้เซวียนพูดรับรอง “ข้ารู้แล้ว ข้าจะดูแลชิงเอ๋อร์เป็นอย่างดีเอง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าชื่นชม พูดเสียงเบา “กินข้าวเถอะ”


 


 


เมิ่งชิงยังเด็ก ตอนเช้าได้รับคำรับรองจากเมิ่งเชี่ยนโยว คิดว่าอย่างไรก็จะต้องหาเจี๋ยเอ๋อร์เจอ ดังนั้นจึงกินข้าวอย่างสุขสำราญใจ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนใจคอห่อเ**่ยว เพียงแค่กินไม่กี่คำอย่างขอไปที แล้วก็วางตะเกียบลง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบหน้ากากบนโต๊ะขึ้น มองดูส่งๆ แล้ววางกลับไปบนโต๊ะ


 


 


กินอาหารเที่ยงเสร็จ ทุกคนก็มานั่งกระสับกระส่ายรออีกครึ่งบ่าย แต่ก็ยังไม่มีข่าวส่งมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งไม่ติดอีกต่อไปแล้ว ลุกขึ้นพูดกับเมิ่งเสียนและเมิ่งฉี “พี่ใหญ่ พี่รองพวกท่านรอฟังข่าวที่โรงเตี๊ยม ข้าจะไปที่ประตูเมืองสืบถามว่าได้ข่าวอะไรหรือไม่”


 


 


พูดจบไม่รอให้ทั้งสองคนรับคำ ก็วิ่งพรวดพราดลงไปชั้นล่าง ให้หลงจู๊สั่งการเสี่ยวเอ้อเตรียมรถม้า นางต้องการไปที่ประตูเมือง


 


 


หลงจู๊ไม่รอช้า รีบสั่งการเสี่ยวเอ้อใกล้ตัวไปเตรียมรถม้าออกมา


 


 


อึดใจเดียวเสี่ยวเอ้อก็บังคับรถม้าออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นนั่งบนรถม้า พนักงานกระตุกบังเ**ยนนำรถม้ามายังประตูเมือง


 


 


เปาอีฝาน เซี่ยเจียงเฟิง อันอี่หยวนและจูหลานหลังจากกินอาหารเที่ยงก็รีบรุดมาที่ประตูเมือง ทำการตรวจตรารถที่ออกนอกเมืองทุกคันอย่างละเอียด


 


 


รถม้ามาถึงประตูเมือง เมิ่งเชี่ยนโยวรีบลงจากรถ ถามพวกเขาทั้งหมด “ได้ข่าวแล้วหรือไม่”


 


 


คนทั้งหมดส่ายหน้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวท้อแท้สิ้นหวัง


 


 


คนทั้งหมดไม่รู้จะปลอบนางอย่างไร ทำได้เพียงมองนางเงียบๆ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปโดยรอบแวบหนึ่ง มีผู้คนเข้าออกประตูเมืองจำนวนมาก รถที่ออกนอกเมืองกลับมีน้อย เวลาครู่ใหญ่ถึงจะมีรถออกมาคันหนึ่ง เจ้าหน้าที่หลายนายและพวกเปาอีฝานทั้งสี่คนเฝ้าอยู่หน้าประตู ไม่มีทางปล่อยให้รถเล็ดลอดไปได้ นั้นหมายความว่าเมิ่งเจี๋ยยังอยู่ในเมือง เช่นนั้นเหตุใดถึงไม่มีใครมาส่งข่าวเล่า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วขบคิด กวาดตามองรถม้าของจูหลานแวบหนึ่งอย่างไม่ตั้งใจ กลับเห็นคนงานที่บังคับรถม้าเปลี่ยนไป พลันถามขึ้นอย่างสงสัย “คุณชายจู คนงานที่เดิมบังคับรถม้าให้เจ้าเล่า”


 


 


ได้ยินนางถามถึงคนงานบังคับรถม้า จูหลานไม่เข้าใจ แต่ก็ยังตอบไปว่า “เขาบอกว่าที่บ้านมีธุระด่วน กลับบ้านเกิดไปแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่งเสียงอ่อ หันกลับมามองประตูเมือง ในสมองกลับมีบางสิ่งแว๊บเข้ามา พลันหันกลับไปถามอย่างเร่งเร้า “เขากลับไปตอนไหน”


 


 


จูหลานตอบ “กินอาหารเที่ยงเสร็จก็ไป ยังออกมาพร้อมกับรถม้าของข้าด้วย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวผลุนผลันคว้าเสื้อของเขาถามเสียงดังลั่น “เจ้ารู้หรือไม่ว่าบ้านเกิดเขาอยู่ที่ใด”


 


 


จูหลานตกใจตัวโยน รีบตอบกลับไป “ไม่รู้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาคำรามเสียงสนั่น “มีใครรู้หรือไม่ว่าบ้านเกิดเขาอยู่ที่ใด”


 


 


จูหลานส่ายหน้า “ข้าไม่รู้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวร้อนใจตาแดงก่ำ พูดเสียงเข้ม “รีบไปสอบถาม เขาจะต้องรู้ว่าเจี๋ยเอ๋อร์อยู่ที่ไหน”


 


 


เปาอีฝานและคนที่เหลือตกตะลึง ลนลานถาม “แม่นางรู้ได้อย่างไรว่าคนงานคนนั้นจะรู้ว่าเจี๋ยเอ๋อร์อยู่ที่ใด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ตอนนี้ข้าบอกพวกเจ้าได้ไม่ชัดแจ้ง รอให้เจอคนงานคนนั้นก่อนค่อยพูดเถอะ”


 


 


จูหลานหันไปพูดกับคนบังคับรถม้า “เจ้ารีบกลับไปสอบถาม มีใครรู้จักบ้านของจิ่วซื่อบ้าง”


 


 


คนงานตอบกลับ “นายท่าน ข้าเคยได้ยินจิ่วซื่อพูด เหมือนว่าบ้านเขาจะอยู่หมู่บ้านเซียงเหอไม่ไกลจากตัวอำเภอนี้ นั่งรถม้าไปไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็ถึง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหมุนตัวกลับขึ้นนั่งบนรถม้าของจูหลาน พูดกับคนงานอย่างเร็วรี่ “รีบพาพวกเราไป”


 


 


คนงานมองจูหลาน


 


 


จูหลานรีบขึ้นรถม้าพลางตวาดเขา “มองข้าทำไม ยังไม่รีบออกรถ”


 


 


คนงานรีบบังคับรถม้าออกไป


 


 


เปาอีฝาน เซี่ยเจียงเฟิงและคนที่เหลือหันหน้ามองกัน จากนั้นแยกย้ายขึ้นรถม้า ตามติดไป


 


 


ระหว่างทางจูหลานเอาแต่เร่งเร้า คนงานตะบึงฮ่อโจนทะยาน ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็มาถึงหมู่บ้านเซียงเหอ


 


 


คนในหมู่บ้านเห็นรถม้าหลายคันเข้ามาในหมู่บ้าน เกิดความสงสัยเข้ามาล้อมดู


 


 


คนงานบังคับรถม้าสอบถามว่าบ้านจิ่วซื่ออยู่ที่ไหน


 


 


มีคนชี้บอกทาง


 


 


คนงานบังคับรถม้าตรงมาถึงบ้านจิ่วซื่อ


 


 


จิ่วซื่อเองก็เพิ่งถึงบ้าน คนในบ้านต่างประหลาดใจ ซักถามเขาเหตุใดถึงไม่ตั้งใจทำงานในเมือง กลับบ้านมาด้วยเหตุใด


 


 


จิ่วซื่ออึกๆ อักๆ พูดไม่ออก


 


 


คนในบ้านกำลังจะถามต่อ กลับเห็นรถม้าหลายคันมาจอดหน้าประตูบ้าน ออกไปรับหน้าอย่างแคลงใจ


 


 


จูหลานลงจากรถม้าพูดขึ้น “ข้าเป็นนายจ้างของจิ่วซื่อ มีเรื่องด่วนต้องการพบเขา ไม่ทราบว่าเขาอยู่บ้านหรือไม่”


 


 


คนในครอบครัวพยักหน้าเลิกลั่ก “อยู่ๆๆ เขาเพิ่งกลับมา ตอนนี้อยู่ในบ้าน” พูดจบตะโกนเข้าไปในบ้าน “จิ่วซื่อ รีบออกมา นายจ้างของเจ้ามาหา”


 


 


จิ่วซื่อตกใจหน้าซีดเผือก เดินตัวสั่นออกมาจากในบ้าน ถามเสียงสั่น “นายท่าน มาหาข้ามีเรื่องอันใด”


 


 


จูหลานกำลังจะพูด เมิ่งเชี่ยนโยวกลับแย่งเขาพูดขึ้น “พรุ่งนี้นายท่านของเจ้าต้องการไปสำรวจร้านสาขา คุ้นชินกับการบังคับรถม้าของเจ้า หากในบ้านเจ้าไม่มีเรื่องอันใด ก็รีบตามพวกเรากลับไปเถอะ”


 


 


คนในครอบครัวจิ่วซื่อพอได้ยินว่าจิ่วซื่อได้รับความไว้วางใจเช่นนี้ รีบร้อนพูด “บ้านเราเดิมก็ไม่มีเรื่องอันใด ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงกลับมา ในเมื่อนายท่านขาดเขาไม่ได้ ก็ให้เขารีบกลับไปเถอะ”


 


 


จิ่วซื่อร้อนใจแทบคลั่ง ร้องพูด “ท่านแม่ ข้าไม่อยากกลับไป ข้าอยากอยู่ที่บ้านสักพักหนึ่ง”


 


 


แม่จิ่วซื่อตวาดเขา “เพิ่งจะพ้นปีใหม่มา เจ้าจะอยู่บ้านทำสิ่งใด ยังไม่รีบตามนายท่านกลับไปอีก”


 


 


จูหลานส่งสายตาให้คนงานบังคับรถม้า คนงานเข้าใจทันที เดินขึ้นหน้าไปดึงแขนจิ่วซื่อมาพูดอย่างสนิทสนม “พี่จิ่วซื่อ เจ้ารู้ไหมตลอดทั้งบ่ายนี้นายท่านเอาแต่รังเกียจว่าข้าบังคับรถม้าไม่ดี ดุว่าข้าหลายรอบแล้ว เจ้ารีบกลับไปกับพวกเราเถอะ” พูดจบลากจิ่วซื่อมาข้างรถม้าอย่างไม่รอช้า มอบบังเ**ยนในมือให้เขา


 


 


มือทั้งสองของจิ่วซื่อรับบังเ**ยนมาอย่างสั่นระริก แอบลอบมองเมิ่งเชี่ยนโยวแวบหนึ่ง เห็นนางยิ้มหวานมองมาที่ตน นึกว่าเจอเมิ่งเจี๋ยแล้ว จึงวางใจลง หันไปพูดกับคนในครอบครัว “ท่านพ่อท่านแม่ข้าจะกลับไปทำงานแล้ว”


 


 


แม่ของจิ่วซื่อยิ้มตาหยีพูด “ไปเถอะ ต่อไปไม่มีธุระอะไรไม่ต้องกลับมาบ่อยๆ ต้องรบกวนนายท่านของเจ้าเดินทางมารับเสียเปล่า”


 


 


จิ่วซื่อพยักหน้ารับคำ “ทราบแล้ว ท่านแม่”


 


 


จูหลานและคนอื่นๆ กล่าวอำลาพ่อแม่จิ่วซื่ออย่างมีมารยาท จึงเดินขึ้นรถ


 


 


จิ่วซื่อเลี้ยวหัวรถกลับ นั่งบนคานไม้หัวรถ กระตุกบังเ**ยน บังคับม้าเดินทางมุ่งหน้ากลับอำเภอ


 


 


กระทั่งมาถึงพื้นที่เปลี่ยว เมิ่งเชี่ยนโยวแผดเสียงตะคอก “หยุดรถ!”


 


 


จิ่วซื่อสะดุ้งตกใจ ตวัดดึงบังเ**ยน รถม้าหยุดฉับพลัน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถีบจิ่วซื่อลงจากรถ แผดเสียงคำรามถาม “น้องชายข้าอยู่ที่ใด” จิ่วซื่อตกจากรถม้า ล้มกลิ้งไม่เป็นท่าหลายรอบถึงหยุดสนิท


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกระโดดลงจากรถ สืบเท้ามายังเบื้องหน้าเขา เตะเขาจนพลิกตัวกลับ เหยียบไปบนร่างเขา ถามด้วยน้ำเสียงเ**้ยมอำมหิต “รีบพูด น้องชายข้าอยู่ที่ไหน”


 


 


จิ่วซื่อล้มกลิ้งจนหัวหมุน พลันพูดไม่ออก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวบดขยี้แรงใต้ฝ่าเท้า ตะเบ็งเสียงถาม “น้องชายข้าอยู่ที่ไหนกันแน่”


 


 


เปาอีฝานเดินขึ้นหน้าเข้าพูดห้าม “แม่นางเมิ่ง เจ้าอย่าเพิ่งใจร้อน รอให้พวกเราเข้าใจเรื่องทั้งหมดก่อนเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่แยแส หันไปข่มขู่จิ่วซื่อ “หากเจ้าไม่พูด ข้าจะให้เจ้าอยู่ก็เหมือนตาย”


 


 


จิ่วซื่อได้ฟังคำพูดนาง ตกใจจนวิญญาณออกจากร่าง พูดขึ้นทันใด “ข้าไม่รู้ว่าน้องชายเจ้าอยู่ที่ไหน ข้ารู้เพียงว่าคุณหนูเฉียวสั่งคนให้จับตัวน้องชายเจ้าไป”


131.1 ฆ่าคน

 


 


 


คนทั้งหมดได้ยินคำพูดจั่วซื่อ ต่างตะลึงค้าง


 


 


จูหลานถามอย่างไม่เชื่อ “เจ้าพูดว่าอะไรนะ”


 


 


จั่วซื่อพูดอย่างสั่นกลัว “เมื่อคืนวาน ท่านสั่งให้ข้าบังคับรถม้าส่งคุณหนูเฉียวที่ไม่สบายกลับไป ไปได้ครึ่งทาง คุณหนูเฉียวก็มอบให้เงินข้าห้าตำลึง ให้ข้าเปลี่ยนเส้นทางไปบ้านนาง ข้าได้ยินนางสั่งคนเฝ้าเรือนในจวนนางสองคน ให้พวกเขาไม่ว่าจะใช้วิธีใด จักต้องจับตัวใครก็ได้ในครอบครัวแม่นางเมิ่งมาให้ได้ ให้นางได้ลิ้มลองรสชาติความเจ็บปวดของการสูญเสียคนรัก จากนั้นถึงให้บังคับรถกลับจวนพวกเรา”


 


 


จูหลานพูดอย่างฉุนเฉียว “เหตุใดนางต้องทำเช่นนั้น”


 


 


จั่วซื่อส่ายหน้า “ข้าก็ไม่ทราบ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกระชากจั่วซื่อขึ้นมา โยนไปบนคานไม้หน้ารถ ร้องบอกกับคนงานอีกคน “รีบกลับเข้าเมือง”


 


 


คนงานผู้นั้นไม่กล้ารอช้า พอจูหลานขึ้นรถ ก็รีบกระตุกบังเ**ยนนำรถม้ามุ่งตรงเข้าเมือง


 


 


จูหลานสีหน้าเคร่งขรึม มาถึงหน้าประตูเมืองโดยไม่ปริปากตลอดทาง


 


 


เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเมืองเห็นรถม้าของพวกเขากลับมา เข้าไปแสดงความเคารพ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดม่านบังรถ คว้ามีดใหญ่จากเอวเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใกล้ที่สุด


 


 


เจ้าหน้าที่ตะลึงงัน ร้องตะโกนลั่น “บังอาจ คืนมีดมาเดี๋ยวนี้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจเขา หันกลับไปในรถ


 


 


เจ้าหน้าที่คิดจะเข้าไปแย่งคืน เปาอีฝานห้ามเขา “ถอยไป มีดนี้พวกเรายืมใช้ก่อน กลับถึงจวนแล้วจะคืนให้เจ้า”


 


 


ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ เจ้าหน้าที่ชะงักมือ กลับไปยืนอย่างพินอบพิเทา


 


 


เปาอีฝานโบกมือ บรรดาเจ้าหน้าที่หลีกทางให้รถม้าทั้งหมดเข้าเมือง


 


 


เหล่าเจ้าหน้าที่หันหน้ามองกัน ไม่รู้ว่าพวกเขาจะยืมมีดไปทำสิ่งใด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถือมีดใหญ่กลับเข้ามาในรถ นั่งนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอยู่ตรงข้ามจูหลาน


 


 


จูหลานมองมีดเล่มใหญ่ส่ายไปมา กำลังจะอ้าปากพูด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเอ่ยปาก “เห็นแก่หน้าเจ้า หากน้องชายข้าไม่เป็นอะไร ข้าจะไว้ชีวิตนาง หากเกิดสิ่งใดขึ้นกับน้องชายข้า ข้าจะหั่นศพนางเป็นชิ้นๆ”


 


 


จูหลานกลืนคำพูดที่ปลายลิ้นลงไป


 


 


รถม้าทั้งหมดมาถึงหน้าประตูบ้านจูหลาน เมิ่งเชี่ยนโยวถือมีดใหญ่ ลงจากรถม้า จูหลานเดินตามหลังมาติดๆ เปาอีฝาน เซี่ยเจียงเฟิง อันอี่หยวนต่างแยกย้ายลงจากรถ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสาวเท้าตรงเข้าบ้านจูหลาน จูหลานรีบเดินไปขวางเบื้องหน้านาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้ามองเขาอย่างเย็นเยียบ


 


 


จูหลานพูด “บิดามารดาข้าอายุมากแล้ว เจ้าถือมีดใหญ่มาด้วยจะทำพวกเขาตกใจได้ เจ้าช่วยเก็บมีดก่อนได้หรือไม่ รอให้ข้าเข้าไปซักถามนาง หากนางปฏิเสธ เจ้าคิดจะทำสิ่งใดก็แล้วแต่เจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูด จ้องเขาเขม็งครู่หนึ่ง มอบมีดใหญ่ในมือให้เปาอีฝานที่อยู่ข้างหลัง


 


 


จูหลานพูดกับคนที่เหลือทั้งสาม “รบกวนพวกเจ้านำตัวจั่วซื่อเข้ามาภายหลัง”


 


 


คนทั้งหมดพยักหน้า


 


 


จูหลานเดินเข้ามาในลานบ้าน เห็นเรือนอาศัยของพ่อจูและแม่จู


 


 


พ่อจูออกไปตรวจตราร้านสาขา แม่จูกำลังนั่งคุยกับเฉียวหมิ่น เห็นจูหลานกลับมา แม่จูถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “เจ้ากลับมาได้อย่างไร แม่นางเมิ่งเจอน้องชายแล้วหรือ”


 


 


เฉียวหมิ่นสะท้อนแววตา


 


 


จูหลานไม่ได้ตอบ เดินไปเบื้องหน้าเฉียวหมิ่น ใช้แววตาคับข้องใจมองนาง


 


 


เฉียวหมิ่นถูกมองจนร้อนตัว ฝืนส่งยิ้มถาม “เหตุใดถึงมองข้าเช่นนี้”


 


 


จูหลานถาม “เพราะอะไร”


 


 


เฉียวหมิ่นชะงักงัน ถามอย่างร้อนตัว “เจ้าพูดสิ่งใด ข้าไม่เข้าใจ”


 


 


จูหลานเน้นน้ำเสียง ถามอีกครั้ง “เหตุใดเจ้าต้องลักพาตัวน้องชายแม่นางเมิ่ง”


 


 


แม่จูร้องเสียงหลง “หลานเอ๋อร์ เจ้าพูดอะไร หมิ่นเอ๋อร์จะลักพาตัวน้องชายแม่นางเมิ่งได้อย่างไร เจ้าเข้าใจผิดหรือไม่”


 


 


จูหลานตอบกลับ “ท่านแม่ ข้าก็หวังให้เป็นเรื่องเข้าใจผิด”


 


 


แม่จูยังคงไม่เชื่อ พูดขึ้น “หมิ่นเอ๋อร์จะทำได้อย่างไร สองวันมานี้นางอยู่ที่จวนของพวกเราตลอด หาได้ออกไปไหนไม่”


 


 


เฉียวหมิ่นยิ้มพูด “ใช่ ข้าคอยอยู่เป็นเพื่อนพูดคุยกับท่านป้า ยังมิได้ไปที่ใด”


 


 


จูหลานยิ้มอย่างสังเวช กล่าวว่า “หากเจ้ายอมพูดความจริงกับข้าตอนนี้ ว่าน้องชายแม่นางเมิ่งอยู่ที่ใด เห็นแก่ความสัมพันธ์ของพวกเราในอดีต ข้ายังจะพอรักษาชีวิตนี้ของเจ้าไว้ได้ ไม่เช่นนั้น เจ้าจะต้องตายก็เหมือนอยู่ อยู่ก็เหมือนตายทั้งเป็น”


 


 


เฉียวหมิ่นตกใจตัวสั่นเทิ้ม กลับฝืนกล้ำกลืนพูด “ข้าไม่ได้ลักพาตัวน้องชายแม่นางเมิ่งจริงๆ ข้าไม่รู้ว่าท่านพูดเรื่องอะไร”


 


 


จูหลานปัดถ้วยชาข้างมือนาง แผดเสียงร้องคำราม “เพราะอะไรกันแน่”


 


 


เฉียวหมิ่นตกใจกรีดร้องลุกขึ้นยืน


 


 


แม่จูก็ตกใจไม่น้อย พูดติเตียน “หลานเอ๋อร์ หลักฐานก็ไม่มี เจ้าปฏิบัติกับหมิ่นเอ๋อร์เช่นนี้ได้เยี่ยงไร”


 


 


จูหลานถอนหายใจยาว ส่งเสียงพูดไปด้านนอก “พวกเจ้าเข้ามาเถอะ”


 


 


คนทั้งหมดจับจั่วซื่อเข้ามาในห้อง


 


 


แม่จูเห็นสภาพยับเยินจนไม่อาจทนดูได้ของจั่วซื่อ ร้องอุทานเสียงหลง “เกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดเขาถึงมีสภาพเช่นนี้”


 


 


จั่วซื่อพูดไม่ออกแล้ว


 


 


เฉียวหมิ่นเห็นสภาพน่าอนาถของจั่วซื่อ หวาดกลัวเข้าไปหลบหลังแม่จู


 


 


จูหลานหันไปพูดกับเฉียวหมิ่น “จั่วซื่อยอมคายเรื่องทั้งหมดออกมาแล้ว เจ้ายังไม่พูดความจริงอีก เจ้าจับน้องชายแม่นางเมิ่งไปซ่อนไว้ที่ไหน”


 


 


เฉียวหมิ่นยังคงดื้อดึง พูดว่า “ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าท่านพูดเรื่องอะไร”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง ถามอย่างเย็นเยียบ “หากคุณหนูเฉียวบอกมาตอนนี้ว่าน้องชายข้าอยู่ที่ไหน ข้าจะถือว่าไม่เคยเกิดเรื่องนี้ขึ้น”


 


 


เฉียวหมิ่นลังเลครู่หนึ่ง กลับยังส่ายหน้าพูด “ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าพูดสิ่งใด”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสะท้อนแววตาเ**้ยมอำมหิต สาวเท้าขึ้นหน้า ถีบใส่เฉียวหมิ่นที่หลบหลังแม่จู


 


 


เฉียวหมิ่นถูกถีบผงะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ชนเข้ากับโต๊ะด้านหลัง เด้งสะท้อนกลับมา ล้มคมำหน้าคว่ำไปบนพื้นอย่างอนาถ


 


 


แม่จูผวาตกใจ ร้องเสียงหลง ก้าวขึ้นหน้าประคองเฉียวหมิ่นขึ้น หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างเคืองขุ่น “แม่นางเมิ่ง หมิ่นเอ๋อร์เป็นสะใภ้ที่ยังไม่ตบแต่งของบ้านจู เจ้าปฏิบัติต่อนางโดยไม่แยกแยะถูกผิด ไม่ทำเกินไปหน่อยหรือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร


 


 


แม่จูยังคงพูดอย่างฉุนเฉียว “เสียแรงที่ข้าคอยชื่นชมเจ้าต่อหน้าหมิ่นเอ๋อร์ ไม่คิดว่าเจ้าอายุเท่านี้จะโหดเ**้ยมได้ถึงเพียงนี้”


 


 


จูหลานรีบร้องเรียก “ท่านแม่!”


 


 


แม่จูหันไปตวาดเขา “ไม่ต้องเรียกแม่ ข้าไม่มีลูกอย่างเจ้า ภรรยาที่ยังไม่ตบแต่งของตัวเองถูกรังแกยังไม่รู้จักปกป้อง”


 


 


เปาอีฝานร้อนรนพูด “ท่านป้า ท่านเข้าใจผิดแล้ว แม่นางเมิ่งไม่มีทางลงมือโดยไม่มีสาเหตุ คุณหนูเฉียวลักพาตัวน้องชายนางไปจริงๆ จั่วซื่อได้สารภาพความจริงทั้งหมดแล้ว”


 


 


แม่จูยังมีความเชื่อถือเพื่อนๆ ของจูหลานอยู่บ้าง ได้ยินเปาอีฝานพูดเช่นนี้ อดถามขึ้นไม่ได้ “หมิ่นเอ๋อร์ พวกเขาพูดเป็นความจริงหรือไม่”


 


 


เฉียวหมิ่นส่ายหน้าร่ำไห้ “ท่านป้า ข้าไม่ได้ทำจริงๆ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจคนโดยรอบ จ้องเฉียวหมิ่นเขม็งแล้วพูด “ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง น้องชายข้าอยู่ที่ไหน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ตอบ กลับยิ่งโหยไห้คร่ำครวญ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่โมโหกลับยิ้มเยาะ หันหลังไปคว้ามีดใหญ่ในมือเปาอีฝาน ย่างสามขุมมาตรงหน้าเฉียวหมิ่นประหนึ่งมัจจุราชจากขุมนรก


 


 


แม่จูไม่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะกล้าถือมีดเข้ามา ตกใจชะงักงันอยู่ตรงนั้น


 


 


เฉียวหมิ่นยิ่งตกใจกรีดร้อง “จูหลาน ช่วยข้าด้วย!”


 


 


จูหลานลืมตัวก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง เปาอีฝานรั้งเขาไว้ หันไปส่ายหน้าให้เขา


 


 


จูหลานหยุดชะงักฝีเท้าอย่างเจ็บปวด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวสะบัดมือ มีดเล่มใหญ่แฉลบผ่านใบหน้าเฉียวหมิ่น เฉือนเส้นผมนางหลุดหนึ่งกำ


 


 


เฉียวหมิ่นตกใจทิ้งร่างอ่อนระทวยไปกับพื้น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างเย็นเยียบ “น้องชายข้าอยู่ที่ไหน”


 


 


เฉียวหมิ่นใกล้จะสูญสิ้นสติแล้ว กลับยังฝืนพูดอย่างไร้เรี่ยวแรง “ข้าไม่รู้จริงๆ”


 


 


สิ้นเสียง ทุกคนเห็นเพียงแสงสะท้อนจากใบมีด แล้วใบหน้าของเฉียวหมิ่นก็มีรอยแผลเพิ่มขึ้นหนึ่งรอย


 


 


เฉียวหมิ่นเจ็บปวดกุมบาดแผลนอนกรีดร้องทุรนทุราย


 


 


แม่จูโมโหโทโส คิดจะเดินขึ้นหน้า จูหลานรั้งนางไว้แน่น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวใช้เท้าเหยียบตัวเฉียวหมิ่น คำรามเสียงต่ำ “น้องชายข้าอยู่ที่ไหน”


 


 


เฉียวหมิ่นยังคงตอบว่า “ข้าไม่รู้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตวัดมีดอีกครั้ง ใบหน้าเฉียวหมิ่นมีรอยแผลเพิ่มขึ้นอีกรอย


 


 


เฉียวหมิ่นกรีดร้องอย่างโหยหวนอีกครั้ง


 


 


แม่จูทนไม่ไหวแล้ว สะบัดหลุดออกจากมือจูหลาน เข้าไปขวางที่เบื้องหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว พูดว่า “ข้าเห็นหมิ่นเอ๋อร์มาตั้งแต่เล็ก นางบอกว่าไม่รู้ก็คือไม่รู้ หากเจ้ายังกระทำการเ**้ยมโหดเช่นนี้ ข้าก็ขอสู้ตาย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยววางมีดใหญ่ในมือลงต่ำ เดินไปข้างจั่วซื่อ ถีบเขาอย่างคลุ้มคลั่ง ปลุกจั่วซื่อที่ใกล้จะสลบไปให้ฟื้นขึ้นมา


 


 


จั่วซื่อที่ลืมตาก็เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวถือมีดใหญ่มีเลือดไหลหยด ตกใจขวัญกระเจิง ลนลานวิงวอนร้องขอ “แม่นางเมิ่งไว้ชีวิตด้วยเถิด ที่ข้าพูดไปเป็นความจริงทุกอย่าง ข้าได้ยินกับหูว่าคุณหนูเฉียวสั่งคนให้ไปลักพาตัวคนในครอบครัวแม่นาง”


 


 


แม่จูถามอย่างไม่เชื่อ “จั่วซื่อ เจ้าพูดสิ่งใด”


 


 


จั่วซื่อตอบอย่างอ่อนระทวย “ฮูหยิน เป็นความจริงทุกประการ เมื่อคืนวานข้าได้ยินมากับหูจริงๆ”


 


 


แม่จูเกรี้ยวกราดพูด “เหลวไหล เมื่อวานหลังจากที่หมิ่นเอ๋อร์กลับมา ก็อยู่กับข้าตลอด จะไปสั่งการใครตอนไหน”


 


 


จั่วซื่อตอบกลับ “เมื่อคืนวานก่อนกลับมา คุณหนูเฉียวสั่งให้ข้าไปจวนเฉียว ข้าได้ยินนางพูดเองกับหู”


 


 


จั่วซื่อเพิ่งพูดจบ เฉียวหมิ่นก็แผดเสียงตะโกนอย่างลืมความเจ็บปวด “เจ้าพูดเหลวไหล ข้านั่งรถม้าตรงกลับมาจวนจู ข้ากลับบ้านตัวเองตอนไหน เจ้าจะต้องถูกนังแพศยานี่ซื้อตัวมาพูดให้ร้ายข้า”


 


 


เห็นนางไม่ยอมรับ จั่วซื่อกลัวเมิ่งเชี่ยนโยวจะตวัดมีดใส่ตัวเอง ร้อนรนพูดอย่างหวาดผวา “ที่ข้าพูดเป็นความจริง คุณหนูเฉียวยังให้เงินข้าห้าตำลึง กำชับข้าห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป” พูดจบหยิบเงินห้าตำลึงออกมาหันไปพูดกับทุกคน “นี่คือเงินที่คุณหนูเฉียวมอบให้ข้า”


 


 


จั่วซื่อเป็นคนงานบังคับรถม้า เงินค่าแรงแต่ละเดือนได้เพียงหกร้อยอีแปะ ตอนนี้กลับล้วงเงินออกมาถึงห้าตำลึง แม่จูรู้ว่าที่เขาพูดจะต้องเป็นความจริง หันไปถามเฉียวหมิ่นอย่างไม่เชื่อ “หมิ่นเอ๋อร์ เจ้าทำเรื่องนี้จริงหรือ”


 


 


เฉียวหมิ่นเห็นจั่วซื่อหยิบเงินห้าตำลึงออกมา รู้ว่าเฉไฉต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ พูดอย่างยอมรับโดยดุษฎี “ใช่ ข้าเป็นคนสั่งให้คนไปทำ ก็แล้วอย่างไร”


 


 


แม่จูได้ยินนางยอมรับ ถามนางราวกับเป็นคนแปลกหน้า “เหตุใดเจ้าต้องทำเช่นนี้”


 


 


เฉียวหมิ่นไม่สนใจเลือดที่ยังไหลรินบนใบหน้า หัวเราะพูด “เพราะอะไร ก็เพื่อให้นังแพศยานั่นได้ลิ้มรสชาติการสูญเสียคนที่รักไปอย่างไร”


 


 


แม่จูไม่เข้าใจ


 


 


เฉียวหมิ่นสูดลมหายใจเข้าลึกพูดต่อ “ข้าหมั้นหมายกับจูหลานมาแต่เยาว์วัย เราเติบโตมาด้วยกัน ข้าเห็นเขาเป็นคนที่ข้าไว้เนื้อเชื่อใจที่สุด รอคอยให้เขารีบขอข้าแต่งงาน แต่หลังจากที่เขารู้จักกับนังแพศยานี่ อ้าปากหุบปากก็มีแต่พูดว่านางดีอย่างไร มีความสามารถแค่ไหน แม้แต่พวกเขาก็เช่นกัน มักชื่นชมนางต่อหน้าข้า ข้าพยายามกล้ำกลืนฝืนทน คิดว่าเมื่อพวกเราแต่งงานกันแล้วคงจะดีขึ้น ไม่คิดว่าเขา…เมื่อวานเขากลับพูดกับข้าว่ายังไม่คิดแต่งงาน เขาจะต้องลุ่มหลงนางแพศยานี้จนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว ในเมื่อข้าไม่ได้จูหลาน ข้าก็จะให้นางได้ลิ้มรสชาติการสูญสิ้นคนรักไปบ้าง”


 


 


แม่จูอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง


 


 


เปาอีฝาน เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนทั้งสามมองนางอย่างไม่คาดฝัน


 


 


จูหลานไม่คิดว่าจะเป็นสาเหตุนี้ ตะลึงลานอยู่ตรงนั้น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถือมีดเดินไปตรงหน้าหน้า ถามด้วยเสียงเย็นเยียบ “น้องชายข้าอยู่ที่ไหน”


 


 


เฉียวหมิ่นแสยะยิ้มอย่างเห่อเหิมใจ พูดว่า “อย่างไรใบหน้าข้าก็ถูกเจ้าทำลายสิ้น ข้าแต่งกับจูหลานไม่ได้แล้ว ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสของการสูญเสียนี้บ้าง ต่อให้ตาย ข้าก็ไม่มีวันบอกเจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปาก พูดหลอกล่อ “ขอเพียงเจ้าบอกว่าน้องชายข้าอยู่ที่ไหน ข้าจะรักษารอยมีดบนใบหน้าเจ้า”


 


 


เฉียวหมิ่นเผยแววตามีหวัง ถามขึ้น “จริงเหรอ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “จริง ขอเพียงเจอน้องชายข้า ข้าจะปรุงยาให้เจ้าทันที ไม่นานเท่าไหร่ใบหน้าของเจ้าก็จะฟื้นคืนดั้งเดิม”


 


 


เฉียวหมิ่นยินดีปรีดา กำลังจะบอกที่ซ่อนของเมิ่งเจี๋ย กลับเห็นใบหน้าสิ้นหวังของจูหลาน ได้สติคืนกลับมา ส่ายหน้าพูด “ข้าทำเรื่องเช่นนั้น จูหลานไม่มีทางแต่งกับข้าแล้ว รักษาใบหน้าข้าได้จะมีประโยชน์อะไร ไว้มาดูพวกเจ้าเสวยสุขอย่างนั้นหรือ ไม่ ข้าจะบอกเจ้าไม่ได้ เช่นนี้ทุกครั้งที่เจ้าเห็นจูหลาน เจ้าจะได้คิดว่าน้องชายตัวเองต้องตายเพราะเขา เช่นนั้นพวกเจ้าจะไม่มีวันอยู่ด้วยกันได้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามอีกครั้ง “เจ้าจะไม่พูดจริงๆ ”


 


 


เฉียวหมิ่นตอบกลับ “เจ้าฆ่าข้าเถอะ อย่างไรต่อไปข้าก็อยู่เหมือนตายทั้งเป็นแล้ว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองนางอย่างเย็บเยียบ สะบัดข้อมืออีกครั้ง ใบหน้าเฉียวหมิ่นมีรอยแผลลึกเพิ่มขึ้นอีกรอย


 


 


เฉียวหมิ่นเจ็บปวดดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้น


 


 


อย่างไรก็เป็นลูกสะใภ้ที่ตัวเองชอบพอมานานหลายปี ต่อให้นางทำเรื่องหยาบช้าเช่นนี้ แม่จูก็ยังปวดใจจนทนไม่ได้ ร้องพูดเสียงหลง “หมิ่นเอ๋อร์ เจ้ารีบบอกที่ซ่อนของน้องชายแม่นางเมิ่งออกมา นางจะได้ไว้ชีวิตเจ้า”


 


 


เฉียวหมิ่นเสียสติไปแล้ว ได้ยินคำพูดของแม่จู ตวาดแว้ดกลับ “พวกเจ้าใครก็อย่าได้ฝัน ข้าไม่มีวันพูด ข้าจะให้นางมีชีวิตทุกข์ระทม ชาตินี้ไม่มีวันได้ครองคู่กับจูหลาน”


 


 


คนทั้งหมดเห็นนางอย่างไรก็ไม่สำนึกผิด ต่างถอนหายใจยาว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเหยียบตัวเฉียวหมิ่น หยุดยั้งการดิ้นทุรนทุรายของนาง


 


 


เฉียวหมิ่นเจ็บจนทนไม่ไหว แผดเสียงคำราม “เจ้าฆ่าข้าสิ ฆ่าข้าเลย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องนางราวจะกินเลือดกินเนื้อ เค้นถามเสียงต่ำ “น้องชายข้าอยู่ที่ไหน”


 


 


เฉียวหมิ่นไม่แยแส เอาแต่พูดให้เมิ่งเชี่ยนโยวฆ่านาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเหยียบมือเฉียวหมิ่น พูดว่า “ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง น้องชายข้าอยู่ที่ไหนกันแน่”


 


 


เฉียวหมิ่นหัวเราะคลุ้มคลั่ง “ข้าไม่มีวันบอกเจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกดแรงเหยียบ นิ้วมือหนึ่งของเฉียวหมิ่นถูกเหยียบหักดังกรอบ


131.2 ฆ่าคน

 


 


 


เฉียวหมิ่นหวีดร้องเจ็บปวด เกือบจะเป็นลมหมดสติไป


 


 


“จะพูดไม่พูด” เมิ่งเชี่ยนโยวถามอีกครั้ง


 


 


เฉียวหมิ่นยังคงส่ายหน้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวออกแรงเหยียบอีกนิ้วมือหนึ่ง


 


 


เฉียวหมิ่นกรีดร้องเจ็บปวด “ฆ่าข้าสิ ฆ่าข้าให้ตายเลย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวย่อตัวลง พูดเสียงต่ำ “ฆ่าเจ้า เสียเปรียบเจ้าเกินไป หากหาน้องชายข้าไม่เจอ ข้าจะให้ในทุกวันของเจ้าต้องมีชีวิตอยู่ก็เหมือนตาย”


 


 


พูดจบลุกขึ้นยืน เหยียบนิ้วมืออีกนิ้วของนาง


 


 


เฉียวหมิ่นทนต่อไปไม่ไหว เป็นลมสลบไป


 


 


คนในห้องไม่คิดว่าเฉียวหมิ่นจะคลุ้มคลั่งได้ถึงขั้นนี้ ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมบอกที่ซ่อนเมิ่งเจี๋ย พลันไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเฉียวหมิ่นสลบไป หยิบมีดเฉือนข้อมือเฉียวหมิ่นเป็นรอยแผลลึก


 


 


เฉียวหมิ่นถูกทำให้ตื่นด้วยความเจ็บปวด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงถามอีกครั้ง “จะพูดหรือว่าไม่พูด น้องชายข้าอยู่ที่ไหนกันแน่”


 


 


ไม่รู้ว่าเฉียวหมิ่นเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน หัวเราะขึ้นฟ้า “พวกเจ้าไม่มีวันหาเขาเจอ ข้ากำชับเวรยามสองคนนั้นแล้ว วันนี้ตอนบ่ายให้พวกเขาใช้ข้ออ้างมารับข้ากลับบ้าน นำรถม้าพาเด็กสมควรตายนั้นส่งไปขายให้พวกค้ามนุษย์นอกเมือง ตอนนี้ไม่รู้เขาถูกขายไปอยู่ที่ไหนแล้ว”


 


 


ทุกคนตกตะลึง ไม่คิดว่านางจะเสียสติถึงขั้นขายเมิ่งเจี๋ยให้พวกค้ามนุษย์ไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวฟังคำพูดนางจบ พลันหมุนตัวกลับ เดินไปพูดไปอย่างไม่หันหลังกลับ “มอบให้พวกเจ้าแล้ว ห้ามปล่อยให้นางตายเด็ดขาด”


 


 


เปาอีฝานตามติดไป พูดขึ้น “ข้าไปกับเจ้าด้วย”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดห้าม ทั้งสองมาถึงนอกประตู


 


 


คนงานกำลังจะเชิญพวกเขาขึ้นรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวกลับตวัดมีดตัดเชือกที่คล้องตัวม้าไว้ กระโดดขึ้นหลังม้า


 


 


เปาอีฝานรีบร้องตะโกน “แม่นางเมิ่งรอข้าด้วย!”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาแวบหนึ่ง ตวัดมีดตัดเชือกคล้องตัวม้าให้เขาเช่นเดียวกัน เปาอีฝานกระโดดขึ้นหลังม้าเร็วรี่ ทั้งสองควบม้ามุ่งหน้าไปประตูเมือง


 


 


ใกล้จะพลบค่ำ คนบนถนนบางตาไปมาก เพียงอึดใจเดียวทั้งสองก็มาถึงประตูเมือง


 


 


เจ้าหน้าที่หน้าประตูเมืองยังคงตรวจตราคนออกนอกเมืองอย่างละเอียด เห็นม้าสองตัวทะยานมุ่งหน้ามา ก็สะดุ้งตกใจ ต่างหยิบมีดใหญ่ข้างเอวออกมา พอเห็นชัดว่าเป็นพวกเปาอีฝาน ก็ถอนใจโล่งอก ถามอย่างนบนอบ “เย็นย่ำเช่นนี้แล้ว คุณชายยังจะออกนอกเมืองหรือขอรับ”


 


 


เปาอีฝานจับบังเ**ยนแน่น ถามโดยที่ยังนั่งอยู่บนหลังม้า “เมื่อครู่มีรถม้าต้องสงสัยออกนอกเมืองหรือไม่”


 


 


เจ้าหน้าที่นายหนึ่งตอบ “เรียนคุณชาย ไม่มีขอรับ”


 


 


เปาอีฝานย่นหัวคิ้ว


 


 


เจ้าหน้าที่นายตอบ “ทว่า ก่อนหน้านี้ครึ่งชั่วยาม เวรยามสองคนของบ้านเฉียวบอกว่ามีธุระ บังคับรถม้าเปล่าออกนอกเมืองไป ตอนนั้นพวกเรารู้สึกผิดสังเกต จึงตรวจสอบทั้งภายในภายนอกอย่างละเอียด ไม่พบสิ่งต้องสงสัยใด จึงปล่อยพวกเขาไป”


 


 


เปาอีฝานรีบสอบถาม “เห็นว่าพวกเขาไปตามเส้นทางใดหรือไม่”


 


 


เจ้าหน้าตอบกลับ “ข้ามองอยู่ครู่หนึ่ง เห็นพวกเขามุ่งหน้าไปทางทิศใต้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและเปาอีฝานหันหน้าสบตากัน ตวัดบังเ**ยนพร้อมกัน ควบม้าฮ่อทะยานไปทางทิศใต้


 


 


เจ้าหน้าที่ร้องตะโกนไล่หลัง “คุณชาย ใกล้จะมืดค่ำแล้ว พวกท่านจะกลับมาอีกหรือไม่”


 


 


ม้าสองตัววิ่งไปไกลแล้ว ไม่มีเสียงตอบกลับ


 


 


หลังจากเปาอีฝานและเมิ่งเชี่ยนโยวจากไป เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนก็หันหน้ามองกัน ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อ


 


 


แม่จูรีบร้อนไปสั่งพ่อบ้าน “รีบไปตามหมอมา”


 


 


พ่อบ้านไม่รู้ว่าด้านในเกิดอะไรขึ้น ได้ยินแม่จูสั่งการ ผลุนผลันออกไปบอกคนรับใช้ให้ไปตามหมอมา ส่วนตัวเองเข้ามาในห้องเห็นสภาพน่าสังเวชของเฉียวหมิ่น ผวาตกใจจนขาอ่อน เกือบจะคุกเข่าไปบนพื้น เดินตัวสั่นเทิ้มมาเบื้องหน้าแม่จู ถามขึ้น “ฮูหยิน เกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดคุณหนูเฉียวถึงมีสภาพเช่นนี้”


 


 


แม่จูถอนหายใจยาว พูดว่า “เวรกรรมแท้ๆ”


 


 


จูหลานมองเฉียวหมิ่นที่สลบไปอีกครั้งอย่างเหม่อลอย ไม่ได้พูดอะไร


 


 


ในเวลาไม่นานหมอก็มาถึง เห็นสภาพของเฉียวหมิ่น ก็ตกใจสะดุ้งโหยง ลนลานสั่งให้แบกนางไปรักษาที่โรงหมอ


 


 


แม่จูครุ่นคิดอย่างลำบากใจ พูดว่า “ท่านหมอเขียนใบสั่งยา แล้วให้บ่าวรับใช้ออกไปซื้อกลับมาเถอะ เรื่องน่าอับอายไม่ควรแพร่งพราย ตอนนี้พวกเรายังไม่ต้องการให้เรื่องแพร่กระจายออกไป”


 


 


หมอทำการตรวจรักษาให้บ้านเศรษฐีมานาน รู้ว่าบางครั้งพวกเขาก็มีความลับบางอย่างที่ไม่อยากให้คนนอกรู้ ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้า เขียนสิ่งที่ต้องการ ให้คนรีบไปจัดยา


 


 


เพียงอึดใจเดียวบ่าวรับใช้ก็นำสิ่งของที่ต้องใช้ทั้งหมดเข้ามา หมอทายาห้ามเลือดบนบาดแผลเฉียวหมิ่น คิดจะพันแผลให้นางกลับเป็นเรื่องยาก ทำได้เพียงพันแผลที่ข้อมือของนางก่อน แล้วหันไปพูดกับแม่จู “รอยแผลบนใบหน้าของคุณหนูท่านนี้ไม่อาจพันได้ แต่ยังดีที่บาดแผลไม่ลึก ขอเพียงระวังอย่าให้แผลติดเชื้อก็พอ ไม่กี่วันก็จะหายดี”


 


 


แม่จูพยักหน้า “ขอบใจท่านหมอ”


 


 


หมอโบกมือ


 


 


แม่จูดพูดขึ้นอีก “รบกวนท่านช่วยดู นิ้วมือของหมิ่นเอ๋อร์มีปัญหาใดหรือไม่”


 


 


หมอถึงสังเกตเห็นนิ้วมือสองสามนิ้วของเฉียวหมิ่นบิดเบี้ยวผิดรูป รีบจับคลำอย่างละเอียด ส่ายหน้าทอดถอนใจ “นิ้วมือสองสามนิ้วของคุณหนูท่านนี้กระดูกแหลกละเอียด ต่อไปเกรงจะต้องพิการแล้ว”


 


 


แม่จูตกใจหน้าซีด พูดอย่างเจ็บปวด “ภายหน้าจะให้หมิ่นเอ๋อร์มีชีวิตอยู่อย่างไร!”


 


 


หมอชราไม่พูดอะไร


 


 


จูหลานได้สติกลับมา พูดขึ้น “ท่านแม่ ท่านวิงวอนให้แม่นางเมิ่งตามหาน้องชายนางให้เจอเถอะ ไม่เช่นนั้นจุดจบของหมิ่นเอ๋อร์จะยิ่งน่าสมเพชกว่านี้”


 


 


แม่จูนึกถึงดวงตาเ**้ยมอำมหิตยามที่ตวัดมีดฟันคนของเมิ่งเชี่ยนโยว พลันสั่นไปทั้งตัว หันไปพูดกับเฉียวหมิ่นที่ยังไม่รู้สึกตัว “เหตุใดเจ้าถึงเลอะเลือนได้เช่นนี้ กระทำเรื่องชั่วช้าเช่นนั้นได้อย่างไร”


 


 


ย่อมไม่มีเสียงตอบรับจากเฉียวหมิ่น


 


 


หมอชรารู้ว่าเรื่องนี้พัวพันถึงเรื่องภายในของบ้านเศรษฐี ตัวเองไม่ควรอยู่ฟัง ผลุนผลันพูดขึ้น “บาดแผลของคุณหนูท่านนี้ข้าไร้ความสามารถ พวกท่านเชิญหมอท่านอื่นมาดูเถอะ”


 


 


แม่จูไม่ให้เขาต้องลำบากใจอีก ให้พ่อบ้านจ่ายค่ารักษา แล้วส่งเขาออกไป


 


 


หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวและเปาอีฝานพ้นประตูเมืองออกมา ก็ควบม้ามุ่งไปทิศใต้ ตามมาได้ครึ่งชั่วยามก็ยังไม่เห็นร่องรอยของรถม้า ทั้งสองหยุดรถม้า


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกระโดดลงจากหลังม้า แทบจะหมอบไปกับพื้นมองดูอย่างละเอียด กลับไม่พบรอยกีบเท้าม้า เม้มริมฝีปาก ลุกขึ้นพูดกับเปาอีฝาน “พวกเราตามผิดแล้ว พวกเขาไม่ได้มาทางนี้”


 


 


เปาอีฝานขมวดคิ้วมุ่น พูดว่า “ไม่มีทาง เมื่อเจ้าหน้าที่เห็นพวกเขามาทางใต้ พวกเขาจะต้องใช้เส้นทางนี้ พวกเรามุ่งหน้าต่อไปอีกหน่อยเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ไม่จำเป็นแล้ว พวกเราตามไปเช่นนี้ก็ช่วยอะไรไม่ได้ พวกเรากลับไป ดูว่าเวรยามทั้งสองคนนั้นกลับถึงบ้านเฉียวหรือยัง”


 


 


เปาอีฝานมองเส้นทางมืดทมึนสุดลูกหูลูกตาตรงหน้า ตามไปเช่นนี้ก็ช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ พยักหน้าเห็นด้วย


 


 


ทั้งสองกระตุกหัวม้าย้อนกลับไปทางเดิม


 


 


เจ้าหน้าที่ที่เฝ้าประตูเมืองไม่ได้ยินเสียงตอบของเปาอีฝาน กระทั่งใกล้ถึงเวลาปิดประตูเมือง ก็ยังไม่กลับไป จนเห็นม้าสองตัวฮ่อตะบึงตรงมาลิบๆ ก็พูดอย่างยินดี “คุณชายกลับมาแล้ว!”


 


 


เปาอีฝานขี่ม้าพ้นประตูเมืองเข้ามา ดึงเชือกให้ม้าหยุด ถามขึ้น “รถม้าของบ้านเฉียวกลับมาหรือยัง”


 


 


เจ้าหน้าที่นายหนึ่งตอบ “กลับมาแล้ว ตอนที่พวกท่านออกไปไม่นานเท่าใดก็กลับมา”


 


 


เปาอีฝานสั่งการ “พวกเจ้าไปบอกพ่อข้า บอกว่าจับคนที่ลักพาตัวน้องชายแม่นางเมิ่งได้แล้ว ให้เขาพากำลังคนมาจวนเฉียว”


 


 


เจ้าหน้าที่ทั้งหมดพยักหน้า รุดหน้าไปโดยเร็ว


 


 


ทั้งสองคนควบม้าตะบึงเข้าเมืองไปอีกครั้ง


 


 


เปาอีฝานรู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวไม่คุ้นชินเส้นทางในอำเภอ พูดขึ้น “เจ้าตามข้ามา พวกเราไปบ้านเฉียว”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า ตะเบ็งเสียงดังลั่น “ไปบ้านจูหลาน”


 


 


เปาอีฝานไม่เข้าใจ กลับมาถึงหน้าประตูบ้านจูหลานพร้อมนาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากหลังม้า เดินเข้าไปในบ้าน


 


 


คนในบ้านทั้งหมดต่างได้ยินเรื่องที่นางใช้มีดเฉือนคนโดยไม่สะทกสะท้านแล้ว เห็นนางกลับมาพร้อมพลังสังหาร ตกใจหลบเป็นพัลวัน


 


 


เฉียวหมิ่นฟื้นขึ้นมาแล้ว นอนเหม่อลอยอยู่บนพื้นไม่พูดไม่จา


 


 


คนทั้งหมดมองนางอย่างพูดไม่ออก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามา เซี่ยเจียงเฟิงรีบร้อนถาม “แม่นางเมิ่งกลับมาแล้ว พบน้องชายเจ้าหรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ตอบ เดินตรงไปหน้าเฉียวหมิ่นด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ก้มตัวลง ยกแขนข้างหนึ่งของนางขึ้นลากออกไปข้างนอก


 


 


เฉียวหมิ่นส่งเสียงร้องเจ็บปวด


 


 


แม่จูทนดูไม่ได้ คิดจะขัดขวาง


 


 


จูหลานสะกัดกั้นนางไว้


 


 


แม่จูทุบตีเขา พูดอย่างโกรธเกรี้ยว “นั่นเป็นภรรยาที่ยังไม่ตบแต่งของเจ้านะ เจ้ายอมให้คนอื่นรังแกนางเช่นนี้ได้อย่างไร”


 


 


จูหลานถามกลับ “ท่านแม่ นางกระทำเรื่องเช่นนี้ งานแต่งของพวกเรายังจะมีได้อีกหรือ”


 


 


แม่จูตะลึงค้าง


 


 


จูหลานเดินออกจากประตูตามไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลากเฉียวหมิ่นออกมานอกจวน


 


 


เฉียวหมิ่นเจ็บจนแม้แต่แรงจะก่นด่าก็ไม่เหลือแล้ว บาดแผลบนใบหน้าและข้อมือฉีกออกอีกครั้ง หยดเลือดไหลกระเซ็นตลอดทางที่ลากมา


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวคิดจะโยนนางขึ้นบนหลังม้า ทดลองอยู่หลายครั้งก็ไม่ประสบผลสำเร็จ


 


 


เปาอีฝานพูดขึ้น “ให้ข้าช่วยเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า มองตรงไปที่จูหลาน


 


 


จูหลานยิ้มแหยๆ ก้มตัวอุ้มเฉียวหมิ่นขึ้น วางนางลงบนหลังม้าของเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างระมัดระวัง


 


 


ยังไม่ให้เขาวางเสร็จดี เมิ่งเชี่ยนโยวก็กระโดดขึ้นหลังม้า หันไปพูดกับเปาอีฝาน “ไป!”


 


 


เปาอีฝานเข้าใจทันที กระโดดขึ้นหลังม้า ควบตะบึงม้านำหน้าไปจวนเฉียว


 


 


จูหลานและเซี่ยเจียงเฟิงรวมถึงอันอี่หยวนรีบขึ้นนั่งบนรถม้าตามติดไป ทว่าอึดใจเดียวก็ไม่เห็นคนทั้งคู่แล้ว


 


 


เซี่ยเจียงเฟิงพูดขึ้น “ดูจากอาการของแม่นางเมิ่ง น่าจะยังไม่พบน้องชายนาง นางพาเฉียวหมิ่นไปด้วยโมหะคุกรุ่นเช่นนี้ คาดว่าจะต้องไปจวนเฉียว พวกเรารีบตามไปเถอะ”


 


 


อันอี่หยวนและจูหลานพยักหน้า คนทั้งหมดนั่งรถม้ามุ่งหน้าไปจวนเฉียว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและเปาอีฝานมาถึงหน้าประตูจวนเฉียว ลงจากม้า เมิ่งเชี่ยนโยวกระชากเฉียวหมิ่นลงจากหลังม้า มือข้างหนึ่งลากนางอีกข้างถือมีดเดินตรงไปที่ประตูใหญ่จวนเฉียว


 


 


เวรยามที่เฝ้าประตูเห็นเด็กสาวไม่มักคุ้น ในมือถือมีดใหญ่ มืออีกข้างลากคนที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตายเดินมุ่งหน้ามายังประตูใหญ่บ้านพวกตน ตกใจร้องตวาดพร้อมกัน “หยุดนะ!”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจ ยังคงเดินไปข้างหน้า


 


 


เวรยามตื่นตะลึง เข้าไปยืนขวางเมิ่งเชี่ยนโยว แสดงอาวุธที่พกติดตัว ร้องพูดเสียงดัง “หากเจ้าไม่หยุด อย่าโทษที่พวกเราต้องลงมือ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดชะงักฝีเท้า พูดอย่างเย็บเยียบ “ไม่อยากตายก็หลีกไป”


 


 


เหล่าเวรยามตกใจกับพลังเย็นเยือกอำมหิตรอบตัวนาง ต่างถอยหนีไปตั้งหลัก


 


 


เปาอีฝานตามหลังมาติดๆ


 


 


เหล่าเวรยามย่อมรู้จักเขา เวรยามคนหนึ่งรีบตะโกนถาม “คุณชายเปา เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”


 


 


เปาอีฝานตอบเสียงเย็นเยียบ “ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า พวกเจ้าถอยไปได้แล้ว”


 


 


เหล่าเวรยามย่อมไม่ยอมล่าถอย พูดขึ้น “คุณชายเปา หากให้พวกท่านลากคนที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตายเข้าไปในจวนเฉียว พวกเรามีหวังตกงานเป็นแน่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโยนเฉียวหมิ่นไปบนพื้น หันไปพูดกับเหล่าเวรยาม “ดูเอาเองว่าเป็นใคร”


 


 


เฉียวหมิ่นใบหน้าอาบไปด้วยเลือด เนื้อตัวสกปรกมอมแมม เหล่าเวรยามเดินกล้าๆ กลัวๆ ขึ้นดู ครู่หนึ่งถึงจำได้ว่าเป็นนาง ร้องอุทานโวยวาย “คุณหนู ท่านถูกใครทำร้ายจนมีสภาพเช่นนี้ได้”


 


 


เฉียวหมิ่นพยายามเผยอปาก แต่กลับพูดไม่ออก


 


 


ยามคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว “พี่น้องเรา นังตัวดีสมควรตายนี่กล้าทำร้ายคุณหนูของพวกเรา พวกเราห้ามปล่อยนางไปเด็ดขาด พวกเรารวมแรงกันจับนางไว้ จะฆ่าจะแกงให้คุณหนูตัดสินใจเอง”


 


 


เหล่าเวรยามพยักหน้า ขยับอาวุธในมือพุ่งตรงเข้าจัดการเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองพวกเขาอย่างดูแคลน ยกมีดใหญ่ในมือขึ้นเดินดาหน้าเข้าหา


 


 


หลังการปะทะกันไม่กี่อึดใจ เหล่าเวรยามต่างลงไปนอนร้องครวญครางอยู่บนพื้น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวใช้มีดกดเวรยามนายหนึ่งถามขึ้น “วันนี้ตอนบ่ายใครเป็นคนบังคับรถม้าไปรับคุณหนูของพวกเจ้า”


 


 


เวรยามคนนั้นแววตาเลิ่กลั่ก พูดว่า “ข้าไม่รู้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยกมือฟันฉับ หูของเวรยามนายนั้นก็ขาดออกจากกัน


 


 


เวรยามดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด กรีดร้องโหยหวน


 


 


เวรยามคนอื่นๆ ตกใจหดตัวม้วนเป็นก้อน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปเบื้องหน้าเวรยามอีกนายหนึ่ง ถามน้ำเสียงเฉียบขาด “วันนี้ใครเป็นคนไปรับคุณหนู”


 


 


เวรยามคนนั้นตกใจจนพูดเสียงสั่น “เฉียวต้าและเฉียวเอ้อ”


 


 


“พวกเขาอยู่ที่ไหน” เมิ่งเชี่ยนโยวตวาดถามต่อ


 


 


เวรยามตอบกลับ “พวกเขาบอกว่าวันนี้ทำงานใหญ่ให้คุณหนู คุณหนูมอบสินจ้างให้ไม่น้อย พอดีกับที่วันนี้พวกเขาไม่มีเวร จึงออกไปดื่มเหล้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถามด้วยน้ำเสียงวิปลาส “รู้ไหมว่าอยู่ที่ไหน”


 


 


เวรยามตกใจจนพูดไม่ออก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะถามต่อ เสียงตะคอกหนึ่งดังลอยมาจากประตู “หยุดเดี๋ยวนี้!”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังกลับ เห็นเปาชิงเหอพากำลังเจ้าหน้าที่ดาหน้าเข้ามา


131.3 ฆ่าคน

 


 


 


เปาชิงเหอเดินมาตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว กล่าวขึ้น “แม่นางเมิ่ง ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าก็ไม่ควรทำร้ายชีวิตคน ไม่ว่าเรื่องใดทางการจะเป็นผู้ตัดสินเอง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “เช่นนั้นดี ท่านไต้เท้าเปาช่วยใช้วาจาสุภาพถามแทนข้า ว่าน้องชายข้าถูกพวกเขาขายไปอยู่ที่ไหน ดูว่าพวกเขาจะบอกท่านหรือไม่”


 


 


เปาชิงเหอขมวดคิ้วย่นยู่ กำลังจะว่ากล่าวนาง


 


 


เปาอีฝานก็เดินขึ้นหน้า บอกเรื่องที่เมิ่งเจี๋ยถูกคนของเฉียวหมิ่นลักพาตัวไป จากนั้นเวรยามก็นำเขาไปขายให้พวกค้ามนุษย์


 


 


เปาชิงเหอตกใจหนักถามขึ้น “มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น”


 


 


เปาอีฝานพยักหน้า


 


 


เปาชิงเหอพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “บ้านเมืองมีขื่อมีแป กลับกระทำเรื่องไรมนุษยธรรมเช่นนี้ได้ ข้าไม่มีวันอภัยให้พวกมันเด็ดขาด”


 


 


บิดามารดาเฉียวหมิ่นได้ยินรายงานจากบ่าวรับใช้ วิ่งพรวดพราดออกมา เห็นเปาชิงเหอนำกำลังเจ้าหน้ามายืนอยู่หน้าประตู ผวาตกใจ รีบเข้าไปทำความเคารพแล้วถาม “ไม่ทราบว่าไต้เท้าเปามาจวนเฉียวยามวิกาลเช่นนี้ มีเรื่องอันใด”


 


 


เปาชิงเหอแค่นเสียงหึ พูดขึ้น “รีบส่งตัวบุตรสาวของพวกเจ้าออกมา นางกระทำเรื่องชั่วช้าสามานย์ ข้าจะกุมตัวนางไปสอบสวนบัดเดี๋ยวนี้”


 


 


พ่อเฉียวไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พูดอย่างไม่เข้าใจ “บุตรสาวผู้น้อยไปจวนจู ยังไม่กลับมา ไม่ทราบว่านางกระทำสิ่งใดให้ไต้เท้าเปาต้องบันดาลโทสะเช่นนี้”


 


 


ไม่รอให้เปาชิงเหอเอ่ยปาก เวรยามนายหนึ่งก็ร้องเรียกเสียงสั่น “นายท่าน!”


 


 


พ่อเฉียวถึงสังเกตเห็นเหล่าเวรยามต่างนอนเนื้อตัวสะบักสะบอมอยู่บนพื้น กำลังจะตะคอกใส่พวกเขา เวรยามคนนั้นกลับชี้คนที่นอนไม่ไหวติงอีกคนบนพื้นพูดว่า “คุณหนูอยู่ตรงนี้”


 


 


พ่อเฉียวแม่เฉียวต่างตกตะลึง ลุกลนเข้าไปประคองคนผู้นั้น พลิกกลับมาดู เป็นเฉียวหมิ่นบุตรสาวของพวกตนจริงๆ


 


 


แม่เฉียวปวดใจสลบไปทันใด สาวรับใช้ข้างๆ รีบเข้าประคองนาง พ่อเฉียวเองก็ร่างกายโงนเงน ฝืนถามขึ้นเสียงเกรี้ยว “หมิ่นเอ๋อร์ ใครทำเจ้าบาดเจ็บถึงขั้นนี้”


 


 


เฉียวหมิ่นสลบไม่ได้สติไปแล้ว จึงตอบไม่ได้


 


 


พ่อเฉียวรีบร้องตะโกน “ยังไม่รีบไปตามหมอมา!”


 


 


เวรยามคนหนึ่งตะเกียกตะกายลุกขึ้นวิ่งออกไป


 


 


พ่อเฉียวเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวถือมีดใหญ่มีเลือดไหลหยด เข้าใจฉับพลัน ใช้นิ้วชี้หน้านางพูดอย่างเดือดดาล “พวกเราไม่มีความแค้นต่อกัน เหตุใดต้องลงมือกับบุตรสาวข้าเ**้ยมโหดเช่นนี้”


 


 


จูหลาน เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนนั่งรถม้าเพิ่งมาถึงจวนเฉียว ต่างรีบร้อนลงจากรถ


 


 


พ่อเฉียวเห็นจูหลาน ลนลานพูด “หลานเอ๋อร์ เจ้ารีบมาดู หมิ่นเอ๋อร์ถูกนังตัวดีคนนี้ทำร้ายจนไม่เหลือแล้ว เจ้าจะต้องเรียกร้องความยุติธรรมให้นาง”


 


 


จูหลานชะงักฝีเท้าครู่หนึ่ง ถึงเดินไปยืนข้างพ่อเฉียวกล่าวว่า “ข้าทราบแล้ว”


 


 


พ่อเฉียวถลึงตาโต ถามอย่างไม่เชื่อ “เจ้ารู้แล้ว”


 


 


จูหลานพยักหน้า


 


 


พ่อเฉียวชี้หน้าเขาอย่างไม่รู้ว่าโกรธหรือร้อนใจ พูดอะไรไม่ออก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยกมีดชี้เวรยามนายนั้นถามขึ้น “เฉียวต้าและเฉียวเอ้อดื่มเหล้าอยู่ที่ไหน”


 


 


เวรยามนายนั้นเห็นมีดมีเลือดไหลหยด ขดตัวอย่างหวาดกลัว ตอบกลับเสียงสั่น “อยู่หอชุ่ยชุน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังเดินออกไป


 


 


เปาอีฝานรั้งนางไว้ “หอชุ่ยชุนเป็นหอนางโลม ให้เจ้าหน้าที่ไปเถอะ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดชะงักฝีเท้า


 


 


เปาชิงเหอสั่งการเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่ง “พวกเจ้ารีบไปหอชุ่ยชุน จับกุมเฉียวต้าและเฉียวเอ้อมาดำเนินคดี”


 


 


เจ้าหน้าที่เหล่านั้นรับคำสั่งแล้วจากไป


 


 


หมอวิ่งกระหืดกระหอบตามเจ้าหน้าที่มา เห็นสภาพน่าสังเวชของเฉียวหมิ่น พลันตกใจไม่รู้ควรทำอย่างไร


 


 


แม่เฉียวเห็นเขานิ่งอึ้ง กระวีกระวาดร้องเรียก “ยังจะนิ่งอึ้งอะไร ยังไม่รีบดูอาการให้หมิ่นเอ๋อร์อีก!”


 


 


หมอเดินขึ้นหน้า ย่อตัวลง มองดูใบหน้า บาดแผลใหญ่น้อยนับไม่ถ้วนบนตัวเฉียวหมิ่น พูดได้เพียงว่า “ฮูหยินเฉียว ให้คนทำความสะอาดเนื้อตัวให้คุณหนูเฉียวก่อนเถิด สภาพเช่นนี้ของนางข้าไม่อาจลงมือได้”


 


 


แม่เฉียวรีบร้อนสั่งหญิงรับใช้พาเฉียวหมิ่นเข้าไปในบ้าน ช่วยกันทำความสะอาดบาดแผลให้นาง


 


 


พ่อเฉียวได้สติคืนกลับมาแล้ว ถามจูหลานอย่างเกรี้ยวกราด “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”


 


 


จูหลานบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด


 


 


พ่อเฉียวยืนมึนงงถามขึ้นอย่างไม่เชื่อ “หมิ่นเอ๋อร์กระทำเรื่องไร้มนุษยธรรมเช่นนั้นจริงๆ”


 


 


จูหลานพยักหน้า “นางยอมรับสารภาพหมดแล้ว”


 


 


พ่อเฉียวพูดอย่างฉุนเฉียว “ข้าจะไปถามว่านางกระทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร”


 


 


พูดจบหันหลังจะกลับเข้าไปถามเฉียวหมิ่นในบ้าน


 


 


เปาชิงเหอยับยั้งเขา “ตอนนี้เฉียวหมิ่นยังไม่ได้สติ เจ้าไปถามก็ไม่ได้ความ สู้รอเจ้าหน้าที่นำตัวเฉียวต้าและเฉียวเอ้อมา ถามให้รู้แจ้งเถอะ”


 


 


พ่อเฉียวตอบ “ได้ ข้าจะรอยู่ที่นี่ หากพวกเขาทำจริงๆ ข้าไม่มีวันปล่อยพวกเขาไป หากมีคนให้ร้ายบุตรสาวข้า ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต ข้าก็ต้องทวงคืนความยุติธรรมให้นางให้ได้”


 


 


หน้าประตูบ้านสงัดเงียบฉับพลัน


 


 


หลังจากเจ้าหน้าที่ไปถึงหอชุ่ยชุน พบเฉียวต้าและเฉียวเอ้อกำลังร่ำสุราเคล้านารี


 


 


พอทั้งสองเห็นเจ้าหน้าที่เข้ามา ตกใจหน้าถอดสี เตรียมจะวิ่งหนี กลับถูกเหล่าเจ้าหน้าที่ประสานกำลังจับกุม ใส่กุญแจมือ นำตัวกลับมา


 


 


พ่อเฉียวเห็นทั้งสองคนถูกเจ้าหน้าที่กุมตัวกลับมา ร้องตะวาดเสียงลั่น “เจ้าเดรัจฉาน ยังไม่รีบสารภาพเรื่องที่พวกเจ้ากระทำออกมา”


 


 


เฉียวต้าและเฉียวเอ้อตกใจ คุกเข่าลงกับพื้นดัง “พลั่ก” พูดวิงวอน “นายท่าน ไว้ชีวิตด้วย ทั้งหมดนี้คุณหนูเป็นคนสั่งให้พวกเราไปทำขอรับ!”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินขึ้นหน้า ถีบเฉียวต้าล้มคว่ำไปกับพื้น เค้นถามอย่างเ**้ยมอำมหิต “พวกเจ้าทำอะไรกับน้องชายข้า”


 


 


เฉียวต้าเห็นมีดใหญ่ในมือนาง กลืนน้ำลายอึกใหญ่ พูดเสียงสั่นรัว “เดิมคุณหนูให้พวกเราคิดหาวิธีนำเด็กน้อยนั่นไปขายต่างเมือง แต่ประตูเมืองตรวจตราแน่นหนา พวกเราจึงไม่กล้าออกไป รอจนวันนี้บ่ายพวกเราถึงลองผ่านประตูเมืองออกไป แต่กลัวไปต่างเมืองจะกลับมาไม่ทัน ทำให้นายท่านและฮูหยินสงสัย จึงเปลี่ยนความผิดกะทันหัน ขายเด็กนั่นให้พวกค้ามนุษย์ในตำบลข้างๆ”


 


 


พอได้ยินว่าเมิ่งเจี๋ยยังไม่ถูกฆ่า ทุกคนต่างโล่งใจ


 


 


เปาอีฝานถามขึ้น “ตอนนี้พวกค้ามนุษย์อยู่ที่ไหน”


 


 


เฉียวต้าตอบกลับ “พวกเราก็พบเข้าโดยบังเอิญ ที่อยู่เป็นหลักแหล่งของพวกเขา พวกเราก็ไม่รู้ว่าคือที่ไหน”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยกมีดกวัดแกว่ง


 


 


เฉียวต้าหลับตาปี๋ เฉียวเอ้อลนลานพูดเสียงดัง “พวกเขาน่าจะยังอยู่ในตำบลข้างๆ”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขา


 


 


เฉียวเอ้อพูดอย่างหวาดผวา “ตอนพวกเขาให้เงิน ข้าได้ยินพวกเขาพูดว่า เทศกาลโคมไฟปีนี้จับเด็กมาได้ไม่กี่คน พวกเขาต้องคิดหาวิธีจับมาเพิ่ม ถึงค่อยนำไปขายที่อื่น จากคำพูดพวกเขา เหมือนหลายวันนี้จะยังไม่ไปจากตำบลใกล้ๆ นี้”


 


 


“เจอพวกเขาอย่างไร”


 


 


เฉียวเอ้อตอบ “ตอนพวกเราแลกเปลี่ยนสินค้ากับพวกเขา ทำกันในบ้านเก่าแห่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าพวกเขาจะย้ายไปแล้วหรือยัง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังเดินออกไป เปาอีฝานจับตัวเฉียวเอ้อตามติดออกมา


 


 


เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนเดินตามออกมา


 


 


จูหลานก็หันหลังเดินออกมา


 


 


พ่อเฉียวร้องเรียก “หลานเอ๋อร์ แล้วหมิ่นเอ๋อร์เล่าจะทำอย่างไร”


 


 


จูหลานหันหลัง พูดอย่างราบเรียบ “หากน้องชายแม่นางเมิ่งไม่เป็นอะไร ข้าจะขอร้องนางไว้ชีวิตหมิ่นเอ๋อร์ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ท่านก็ให้นางตายส่งศพตามไปด้วยเถอะ” พูดจบหันหลังสาวเท้าก้าวตามออกไป


 


 


พ่อเฉียวตะลึงค้าง


 


 


เปาชิงเหอสั่งการเจ้าหน้าที่ “ล้อมจวนเฉียวให้ดี เมื่อคนร้ายฟื้น ให้จับกุมตัวส่งไปส่งไปดำเนินคดีที่ศาลาว่าการ”


 


 


เจ้าหน้าที่รับคำอย่างพร้อมเพรียง ยืนตัวตรงข้างสองประตูใหญ่


 


 


คนทั้งหมดเดินออกมาจากประตูใหญ่ เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับพวกเขา “พวกเจ้าไปดูแลคนในครอบครัวข้าที่โรงเตี๊ยม บอกพวกเขาอีกไม่นานข้าจะพาเจี๋ยเอ๋อร์กลับมา ให้พวกเขารออย่างสบายใจ”


 


 


เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนพยักหน้า


 


 


จูหลานยืนหยัดจะตามไปด้วย “ข้าจะต้องไปกับพวกเจ้าด้วย เรื่องทั้งหมดเกิดเพราะข้า หากไม่ได้เห็นน้องชายเจ้าอยู่รอดปลอดภัย ข้าคงอยู่ไม่เป็นสุข”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาแวบหนึ่ง ไม่พูดสิ่งใด กระโดดขึ้นหลังม้า


 


 


เปาอีฝานยกเฉียวเอ้อกระโดดขึ้นหลังม้าเช่นกัน


 


 


จูหลานมองรถม้าของตัวเอง ร้อนใจแทบคลั่ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวบังคับม้ามาที่หน้ารถเขา ตวัดมีดตัดเชือกคล้องรถกับตัวม้าของเขาออก


 


 


จูหลานยิ้มดีใจ ปีนขึ้นหลังม้าได้อย่างเหนื่อยยาก ภายใต้การช่วยเหลือของคนงาน


 


 


เปาอีฝานขี่นำมาถึงหน้าประตูเมือง


 


 


ประตูเมืองปิดสนิทแล้ว ทหารยามที่เฝ้าประตูเห็นม้าตะบึงฮ้อตรงมา กำลังจะร้องคำราม เปาอีฝานก็ล้วงป้ายออกนอกเมืองในอกเสื้อออกมา


 


 


ทหารยามผลุนผลันเปิดประตูเมืองให้ คนทั้งหมดจากไปด้วยความเร็วสูง มุ่งหน้าตรงไปยังตำบลข้างๆ


 


 


ชั่วเวลาหนึ่งก้านธูปก็มาถึงตำบลข้างๆ


 


 


เปาอีฝานถามเฉียวเอ้อ “บ้านเก่านั่นอยู่ที่ใด”


 


 


เฉียวเอ้อโคลงเคลงบนรถม้าจนวิงเวียนมึนงง ครู่หนึ่งถึงปรับตัวได้ จำแนกทิศทาง ชี้ถนนสายหนึ่งพูดขึ้น “ไปตามถนนสายนี้จนสุดทางก็จะเจอ”


 


 


ทั้งสามขี่ม้าไปสุดถนน เห็นบ้านเก่าหลังหนึ่ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดรถม้า พลิกตัวลงจากหลังม้า วิ่งตรงไปบ้านนั้นอย่างไม่รอรี


 


 


เปาอีฝานก็พลิกตัวลงมา โยนเฉียวเอ้อไปบนพื้น ตะคอกใส่ “รออยู่ตรงนี้เงียบๆ ห้ามส่งเสียง” จากนั้นทะยานตามเมิ่งเชี่ยนโยวไป


 


 


จูหลานงกๆ เงิ่นๆ ลงจากหลังม้า วิ่งโซซัดโซเซตามไป


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวและเปาอีฝานมาถึงหน้าประตูบ้าน แอบมองลอดแสงที่ส่องออกมาจากประตูบ้านซ่อมซ่อ พบชายสองคนเดินไปมาอยู่หน้าประตู ในบ้านยังมีเงาคนจำนวนหนึ่งเคลื่อนไหวไปมา


 


 


หนึ่งคนในนั้นพูดเสียงเบาขึ้น “ครั้งนี้ไม่เป็นไปตามแผน เพิ่งจับเด็กมาได้แค่สามคน ยังห่างไกลจากที่พวกเรารับปากอีกฝ่ายไว้อีกเจ็ดคน ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้พวกเราจะยังจับตัวมาได้อีกหรือไม่”


 


 


อีกคนก็พูดเสียงเบาขึ้น “พี่ใหญ่บอกแล้ว วันนี้ที่ประตูเมืองตรวจค้นเข้มงวด มีหลายคนที่ได้ตัวเด็กแต่ออกมาไม่ได้ รอพรุ่งนี้ลดความเข้มงวดลง พวกเขาก็จะส่งเด็กมาได้”


 


 


คนแรกถามเสียงเบาขึ้นอีก “เจ้าว่าวันนี้ในอำเภอตรวจตราอย่างเข้มงวด แต่พวกเขาส่งตัวเจ้าเด็กคนนั้นมาได้อย่างไร”


 


 


คนหลังตอบกลับ “เจ้าดูไม่ออกหรือไร วันนี้พวกเขาบังคับรถม้ามา เห็นก็รู้แล้วว่าพวกเขาไม่ได้ทำงานสายนี้โดยตรง คงเป็นความขัดแย้งภายในของเจ้าบ้าน จึงแอบนำตัวลูกของอีกฝ่ายมาขายทิ้ง”


 


 


คนแรกหัวเราะแหะๆ พูดว่า “ข้าว่าเจ้าเด็กนั่นก็ไม่เหมือนเด็กบ้านนอกทั่วไป ผิวละเอียดเนื้อนุ่ม พอพวกเรากลับไป จะต้องขายได้ราคางาม”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถีบประตูใหญ่เปิดอ้า


 


 


ชายสองคนที่หน้าประตูสะดุ้งตกใจ ตะคอกถาม “พวกเจ้าเป็นใคร”


 


 


แสงไฟในห้องถูกเป่าดับฉับพลัน ด้านในไม่มีเสียง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยกมีดเดินเข้าหา ชายสองคนที่หน้าประตูตกใจหนีกระเจิง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจพวกเขา เดินตรงมาที่ประตูบ้าน ใช้เท้าถีบประตูออก


 


 


คนในบ้านทั้งสามคนกระโจนเข้าหาพร้อมกัน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโบกสะบัดมีดในมือ คนคนหนึ่งถูกฟัน ส่งเสียงร้องโหยหวน


 


 


อีกสองคนไม่สนใจเขา ยืนเงียบในความมืดไม่ส่งเสียง คอยหาโอกาสลงมือ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลั้นลมหายใจ ฟังเสียงจำแนกตำแหน่ง ย่องเข้าใกล้ชายทั้งสอง


 


 


ทั้งสองคนจู่โจมกะทันหัน เมิ่งเชี่ยนโยวเอี่ยวตัวหลบ ใช้มีดฟันฉับ


 


 


ชายคนหนึ่งถูกฟัน กรีดร้องอย่างโหยหวน


 


 


อีกคนที่เหลือหลบหนีออกมา กลับถูกเปาอีฝานสะกัดขาล้มกลิ้งไม่เป็นท่า ตะคอกถามเสียงเ**้ยม “เด็กที่พวกเจ้ารับซื้อมาวันนี้อยู่ที่ไหน”


 


 


คนที่ปลายเท้ากระเสือกกระสนจะลุกขึ้น เปาอีฝานเหยียบตัวเขา ถามอีกครั้ง “รีบพูด เด็กอยู่ที่ไหน”


 


 


คนผู้นั้นไม่ปริปาก


 


 


เปาอีฝานเตะเสยศีรษะเขา คนผู้นั้นหมดสตินอนตัวอ่อนไปกับพื้นพลัน


 


 


เปาอีฝานล้วงหินจุดไฟออกมาจากอกเสื้อเขา เดินเข้ามาในบ้าน จุดตะเกียงไฟ


 


 


ภาพภายในบ้านนี้สว่างแจ่มชัด นอกจากกล่องใบใหญ่จำนวนหนึ่ง ไม่มีเงาของเด็กเลยสักคน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเหยียบชายค้ามนุษย์คนหนึ่งที่เอาแต่กุมข้อมือตัวเอง ถามด้วยใบหน้าเ**้ยมเกรียม “เด็กที่พวกเจ้าซื้อมาวันนี้เล่า”


 


 


ชายค้ามนุษย์ไม่ตอบ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเหยียบขยี้บาดแผลเขา


 


 


ชายค้ามนุษย์เจ็บจนเกือบหมดสติไป อดทนต่อไปไม่ไหว พูดเสียงสั่นเทา “อยู่ในกล่อง”


 


 


เปาอีฝานรีบตรงเข้าไปเปิดกล่องทุกใบออก เมิ่งเจี๋ยและเด็กอีกสองคนปรากฏขึ้นตรงหน้า


 


 


จูหลานเข้ามาถึงพอดี เห็นสภาพของเมิ่งเจี๋ยในกล่อง สูดลมหายใจเข้าปาก


 


 


เมิ่งเจี๋ยถูกมัดมือทั้งสองข้าง วางอย่างลวกๆ ไว้ในกล่อง สองตาปิดสนิท ทั้งใบหน้าบวมแดง โดยเฉพาะที่ปาก บวมเป่งจนไม่เหลือเค้าเดิม


 


 


เปาอีฝานลองใช้นิ้วมือแตะใต้จมูกเมิ่งเจี๋ย อึดใจหนึ่งถึงรับรู้ได้ถึงลมหายใจรวยริน พูดอย่างยินดี “ยังมีชีวิต” พูดจบก็อุ้มเมิ่งเจี๋ยออกมาอย่างระวัง


 


 


จูหลานรีบเดินขึ้นหน้า ช่วยแก้มัดเชือก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังกลับ มองชายค้ามนุษย์ทั้งสองคนในห้องราวกับมองคนตาย


 


 


หนึ่งคนในนั้นร้องตะโกน “จะโทษพวกเราไม่ได้ พอเด็กมาถึงมือเราก็เอาแต่ร้องโวยวาย ยังกัดมือพี่ใหญ่พวกเราไม่ยอมปล่อย พวกเราถึงไม่มีทางเลือก…” ยังพูดไม่จบ ก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวใช้มีดบั่นคอฉับ พลันไร้สิ้นเสียง


 


 


ชายค้ามนุษย์อีกคนตกใจถอยหนี เมิ่งเชี่ยนโยวยกมีดในมือขึ้นอย่างไม่ลังเล ปลิดชีวิตชายค้ามนุษย์คนนั้น


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวโยนมีดในมือทิ้ง รับเมิ่งเจี๋ยมาอย่างระวัง ก้าวเท้าเดินออกไป


 


 


จูหลานเดินตามหลัง


 


 


เปาอีฝานอยู่รั้งท้าย คิดจะอุ้มเด็กอีกสองคนออกมา กลับอย่างไรก็อุ้มไม่ขึ้น เงยหน้าจะตะโกนบอกจูหลาน กลับพบว่าชายค้ามนุษย์ที่ถูกตนเองเตะสลบฟื้นได้สติแล้ว กำลังถือกริชเดินเข้าหาเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เปาอีฝานรีบร้องตะโกน “แม่นางเมิ่ง ระวัง!”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ทันได้หันหลังกลับ ชายค้ามนุษย์ก็พุ่งมาที่ด้านหลังนาง หมายจะใช้กริชแทงให้มิดด้าม ปากพร่ำร้องพูด “ข้าจะฆ่าเจ้า แก้แค้นให้พี่ใหญ่ข้า!”


 


 


จูหลานตกใจ เบี่ยงตัวขวางแผ่นหลังเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


ชายค้ามนุษย์ปักกริชไปที่ตัวจูหลานมิดด้าม


 


 


เปาอีฝานตะเบ็งร้องสุดเสียง “จูหลาน!”


132.1 จุดจบของเฉียวหมิ่น

 


 


 


จูหลานทิ้งตัวอ่อนระทวยเข้าหาเมิ่งเชี่ยนโยว


 


 


เปาอีฝานกระโจนออกจากในบ้าน เตะชายค้ามนุษย์ลอยกระเด็น


 


 


ชายค้ามนุษย์ถูกเตะตัวลอยชนเข้ากับกำแพงบ้าน เด้งสะท้อนกลับมา เจ็บปวดจนหมดสติไป


 


 


เปาอีฝานเข้าไปโอบจูหลานอย่างระวัง ร้องถามเสียงหลง “จูหลาน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


จูหลานลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “ไม่ต้องพูด เก็บแรงไว้ พวกเราจะพาเจ้าไปหาหมอเดี๋ยวนี้”


 


 


พูดจบอุ้มเมิ่งเจี๋ยหันหลังเดินออกไป


 


 


เปาอีฝานอุ้มจูหลานตามออกมา


 


 


ทั้งสองมาถึงที่พักม้าอย่างรวดเร็ว เปาอีฝานหันไปพูดกับเฉียวเอ้อ “ในบ้านยังมีเด็กอีกสองคน เจ้าเข้าไปอุ้มพวกเขาออกมาตามพวกเราเข้าเมือง กลับไปข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”


 


 


เฉียวเอ้อเห็นจูหลานถูกกริชปักคาร่าง เปาอีฝานอุ้มนำตัวออกมา หัวใจหล่นวูบ พอได้ยินคำพูดเปาอีฝาน ไม่แม้แต่จะลังเล รีบวิ่งเข้าไปในบ้านซอมซ่ออุ้มเด็กสองคนออกมา


 


 


ทั้งสามขึ้นหลังม้า มุ่งหน้าฮ้อทะยานกลับอำเภอชิงซี


 


 


ทหารยามที่เฝ้าประตูเมืองเห็นม้าสามตัวมุ่งตรงเข้ามาลิบๆ ต่างรีบร้อนเปิดประตูเมือง ทั้งสามทะลุผ่านเข้าเมืองโดนไม่รอช้า


 


 


เปาอีฝานที่ควบตะบึงม้าหันไปพูดกับเฉียวเอ้อ “เจ้าพาเด็กส่งไปจวนเฉียว บอกพ่อข้าว่าพวกเราช่วยเด็กออกมาได้แล้ว”


 


 


เฉียวเอ้อพยักหน้า หักเลี้ยวบังเ**ยนไปจวนเฉียว


 


 


เปาอีฝานพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “เจ้าตามข้ามา” พูดจบ ขี่นำมาถึงโรงหมอที่ใกล้ที่สุด อุ้มจูหลานลงจากหลังม้าอย่างระวัง บุกเข้ามาในโรงหมออย่างไม่รอรี


 


 


หมอในโรงหมอช่วยเฉียวหมิ่นจัดการบาดแผลเสร็จเพิ่งกลับมา กำลังจะล้างหน้าล้างตาพักผ่อน ประตูโรงหมอกลับถูกคนถีบเข้ามา ตามด้วยคนบุกเข้ามา หมอตกใจขวัญผวา กำลังจะร้องถาม เปาอีฝานรีบพูดขึ้นก่อน “ช่วยห้ามเลือดให้เขาเร็ว”


 


 


หมอเห็นเป็นเขา กลืนคำถามลงไป รีบร้อนพูด “รีบพาคนไปวางที่เตียงรักษา”


 


 


เปาอีฝานรีบรุดเดินมาข้างเตียงรักษา วางจูหลานลงอย่างระวัง


 


 


หมอลอบมองแวบหนึ่ง พอเห็นว่าคนที่บาดเจ็บคือจูหลาน หัวใจก็หล่นวูบ พอเห็นว่ามีกริชเล่มหนึ่งปักอยู่ในร่างจูหลาน ก็สูดลมหายใจเข้าปาก พูดตะกุกตะกัก “คะ คุณชายเปา กะ กริชนี้ข้าไม่กล้าดึงออก”


 


 


เปาอีฝานคำราม “เจ้าเป็นหมอแต่ไม่กล้าดึงกริช”


 


 


หมอตกใจถอยหลังไปหนึ่งก้าว


 


 


“ข้าเอง!” เสียงเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้นด้านข้าง


 


 


หมอมองนางอย่างตกตะลึง


 


 


เปาอีฝานพลันยินดี รีบร้อนพูด “เร็วเข้า!”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยววางเมิ่งเจี๋ยบนเตียงรักษาอีกตัว หันไปพูดกับหมอ “ไปนำยาห้ามเลือดมาอีก”


 


 


หมอเปิดกล่องยาหยิบยาห้ามเลือดทั้งหมดออกมามอบให้นาง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปวางใส่มือเปาอีฝาน พูดอย่างขึงขัง “ข้านับหนึ่ง สอง สาม เมื่อข้าดึงกริชออก เจ้าจงใช้ยาห้ามเลือดพวกนี้โรยไปที่บาดแผลเขาทันที”


 


 


เปาอีฝานพยักหน้า เปิดจุกปิดขวดยาห้ามเลือดทั้งหมดออก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวใช้สองมือกำกริชแน่น นับเสียงเบา “หนึ่ง สอง สาม” นับเสร็จดึงกริชออกฉับพลัน


 


 


เปาอีฝานนำยาห้ามเลือดทั้งหมดสาดใส่บาดแผลจูหลานอย่างเร็วรี่


 


 


เลือดกลับไหลออกมา เปาอีฝานหันไปตะเบ็งเสียงใส่หมอ “ไปเอายาห้ามเลือดออกมาอีก”


 


 


หมอวิ่งเงอะๆ งะๆ ไปที่ตู้จ่ายยา หยิบขวดยาจำนวนหนึ่งออกมาอย่างสั่นเทิ้ม


 


 


เปาอีฝานเปิดทั้งหมดออก เทราดไปที่บาดแผลจูหลาน


 


 


เลือดหยุดไหล ไม่มีเลือดทะลักออกมาอีก


 


 


เปาอีฝานถอนใจโล่งอก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังเดินมาที่โต๊ะตรวจรักษา หยิบพู่กันเขียนใบสั่งยามอบให้หมอชรา พูดว่า “ต้มยาตามใบสั่งนี้แล้วยกเข้ามา”


 


 


หมอจัดยาตามใบสั่ง รีบรุดเข้าไปหลังร้าน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมานั่งข้างเตียง อังหน้าผากจูหลาน รู้สึกมีไข้เล็กน้อย จิตใจกระสับกระส่ายพูดว่า “สถานการณ์ไม่ค่อยดี เริ่มมีไข้แล้ว เจ้ารีบคิดหาวิธีแจ้งข่าวคนในครอบครัวจูหลาน ให้พวกเขามาคอยเฝ้าดูอาการเขา”


 


 


พอดีกับที่หมอสั่งคนงานต้มยาเสร็จเดินกลับเข้ามา เปาอีฝานหันไปพูดกับเขา “เจ้ารีบส่งคนงานไปจวนจู บอกว่าจูหลานได้รับบาดเจ็บ ให้พวกเขารีบส่งคนมารับใช้ดูแล”


 


 


หมอกลับไปหลังร้านสั่งคนงานไปแจ้งข่าวอีกครั้ง


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวถึงเดินมาข้างเตียงรักษาอีกเตียง ลูบคลำใบหน้าบวมแดงของเมิ่งเจี๋ยอย่างปวดใจ


 


 


เปาอีฝานเดินเข้ามาพูดปลอบใจ “เขาคงจะถูกพวกค้ามนุษย์เอายาให้กิน เวลาผ่านไปก็จะฟื้นขึ้นมาเอง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ยังคงลูบคลำใบหน้าเมิ่งเจี๋ยอย่างแผ่วเบา


 


 


เปาอีฝานไม่รู้ว่าควรพูดปลอบอย่างไร ทำได้เพียงอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ


 


 


โรงหมอพลันสงัดเงียบ


 


 


คนงานของโรงหมอวิ่งตรงมาจวนจู บอกกับเวรยามว่าคุณชายของพวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้รับการรักษาอยู่ที่โรงหมอของพวกเขา สถานการณ์ไม่ค่อยดี ให้คนในครอบครัวรีบเร่งตามไป


 


 


พอได้ยินคำพูดของคนงาน เวรยามตกใจวิ่งแจ้นเข้าบ้านร้องตะโกนไปตลอดทาง


 


 


พ่อจูออกไปตรวจร้านสาขาค่ำมืดถึงกลับมา พอเข้าบ้านแม่จูก็เล่าเรื่องให้เขาฟังอย่างอดใจรอไม่ไหว พ่อจูก็ตกใจหนัก ไม่คิดว่าลูกสะใภ้ที่ยังไม่ตบแต่งที่เห็นมาตั้งแต่เด็กจะมีจิตใจเ**้ยมโหดได้เช่นนี้ ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน เวรยามก็ร้องตะโกนวิ่งเข้ามา


 


 


พ่อจูบันดาลโทสะ กำลังจะตวาดที่เขาไร้มารยาท เวรยามกลับละล่ำละลักพูดก่อน “นายท่าน ฮูหยิน แย่แล้ว คนงานโรงหมอมาแจ้งข่าว บอกว่าคุณชายได้รับบาดเจ็บสาหัส ให้พวกเรารีบส่งคนไปดูแล”


 


 


พ่อจูกระเด้งตัว “ผึง” ขึ้นจากเก้าอี้ ถามอย่างไม่เชื่อ “เจ้าว่าอะไรนะ”


 


 


เวรยามพูดคำพูดเมื่อครู่อีกครั้ง


 


 


แม่จูร่างกายโงนเงน กรีดร้องเสียงหลง “ลูกแม่”


 


 


พ่อจูร้องตวาดเสียงลั่น “เวลาไหนแล้วยังจะร้องไห้ ยังไม่รีบตามข้าไปดูลูกอีก”


 


 


แม่จูเลิกลั่กพยักหน้า ร้องเรียกบ่าวรับใช้จำนวนหนึ่งตามไปด้วย


 


 


คนทั้งหมดใจร้อนดั่งไฟตามคนงานมาถึงโรงหมอ


 


 


แม่จูเห็นเปาอีฝานอยู่ในโรงหมอ รีบร้อนถาม “คุณชายเปา หลานเอ๋อร์เล่า”


 


 


เปาอีฝานเบี่ยงตัว แม่จูเห็นจูหลานนอนใบหน้าซีดขาว ดวงตาปิดสนิทอยู่บนเตียงรักษา กระโจนเข้าหาแผดเสียงร้องเรียก “หลานเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


ไม่มีเสียงตอบรับจากจูหลาน


 


 


แม่จูยิ่งร้อนรน ใช้มือเขย่ามือจูหลาน พูดด้วยเสียงสั่นเครือ “หลานเอ๋อร์ เจ้าฟื้นสิ อย่าทำแม่ตกใจ”


 


 


เปาอีฝานรีบเข้าพูดห้ามปราม “ท่านป้า เราเพิ่งจะห้ามเลือดให้จูหลาน ท่านเขย่าตัวเขาเช่นนี้จะทำให้บาดแผลเปิดได้”


 


 


แม่จูตกใจหยุดชะงักพลัน อยากจะดูบาดแผลของบุตรชายก็ไม่กล้าทำ


 


 


พ่อจูที่พอจะสงบนิ่งกว่า หันไปถามเปาอีฝาน “หลานเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร”


 


 


เปาอีฝานตอบกลับ “พวกเรารู้ที่ซ่อนของน้องชายแม่นางเมิ่งจากปากเวรยามจวนเฉียว รีบรุดไปช่วยเหลือ จูหลานบอกว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะเขา ไม่ได้เห็นน้องชายแม่นางเมิ่งปลอดภัยกลับมากับตาเขาไม่วางใจ รั้นตามพวกเราไป หลังจากที่พวกเราช่วยเด็กๆ ออกมาได้ กลับไม่ระวังถูกพวกค้ามนุษย์แทงเข้าด้วยกริช”


 


 


แม่จูคร่ำครวญ “เจ้าลูกโง่ เรื่องพวกนี้จะเกี่ยวข้องกับเจ้าได้อย่างไร ล้วนเกิดจากคนไร้มนุษยธรรมอย่างเฉียวหมิ่นต่างหากที่เป็นคนทำ หากเจ้าเป็นอะไรขึ้นมา แม่จะให้นางชดใช้ด้วยชีวิต”


 


 


พ่อจูเอ็ดนาง “พูดซี้ซั้วอะไร หลานเอ๋อร์จะเป็นอะไรได้อย่างไร”


 


 


แม่จูโหยไห้น้ำตาริน


 


 


พ่อจูปลอบประโลมนาง “เจ้าไม่ต้องเสียใจแล้ว หลานเอ๋อร์ของเราเป็นคนดีสวรรค์คุ้มครอง จะต้องไม่เป็นอะไร”


 


 


แม่จูคร่ำครวญร้องไห้โฮ


 


 


พ่อจูถอนหายใจยาว


 


 


คนงานยกยาที่ต้มเสร็จเข้ามา แม่จูรับมาป้อนให้จูหลานด้วยตัวเอง


 


 


ไม่นานหน้าผากจูหลานก็มีเหงื่อซึมผุดออกมา


 


 


เปาอีฝานแอบถอนหายใจโล่งอก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวที่เอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จาหันไปพูดกับคนงาน “ต้มยานี้ออกมาอีกสองสามเทียบแล้วตั้งอุ่นไว้บนเตา ทุกสองชั่วยามยกออกมาป้อนเขาหนึ่งครั้ง”


 


 


คนงานพยักหน้า เดินไปที่ตู้จัดยาแบบเดียวกันออกมาอีกสองสามเทียบ นำไปต้มหลังร้าน


 


 


พ่อจูถึงเห็นว่าเมิ่งเชี่ยนโยวก็อยู่ในโรงหมอ ส่งเสียงร้องทัก “แม่นางเมิ่ง…” กลับได้เห็นเมิ่งเจี๋ยที่นอนใบหน้าบวมเป่งอยู่บนเตียงรักษา ตกใจร้องถาม “เหตุใดเด็กถึงถูกตีจนมีสภาพเช่นนี้”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวลูบใบหน้าเมิ่งเจี๋ย ไม่พูดอะไร


 


 


แม่จูหันหลังกลับมา เห็นสภาพน่าเวทนาของเมิ่งเจี๋ย ปิดปากตนเองอย่างตกใจ


 


 


เปาอีฝานพูดขึ้น “หลังจากน้องชายแม่นางเมิ่งถูกพวกค้ามนุษย์จับไป ก็เอาแต่ร้องโวยวาย ยังกัดมือของพวกค้ามนุษย์ พวกเขาก็เลยบันดาลโทสะลงมือรุนแรงกับเขา”


 


 


“พวกสัตว์เดรัจฉาน ไร้มนุษยธรรม จับได้จะต้องแล่เนื้อเป็นร้อยเป็นพันชิ้น” แม่จูพูดอย่างแค้นเคือง


 


 


พ่อจูพยักหน้าสนับสนุน


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร


 


 


พ่อจูลองหยั่งเชิงพูด “แม่นางเมิ่ง เหตุใดน้องชายเจ้ายังไม่ฟื้น ต้องการให้หมอมาช่วยดูหรือไม่”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงไม่พูดสิ่งใด


 


 


พ่อจูมองเปาอีฝานอย่างกระอักอ่วนแวบหนึ่ง


 


 


เปาอีฝานรีบพูด “พวกค้ามนุษย์คงจะกลัวเขาร้องอาละวาดอีก จึงป้อนยานอนหลับให้เขา เพื่อยาหมดฤทธิ์ เขาจะฟื้นขึ้นมาเอง”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอุ้มเมิ่งเจี๋ยขึ้น หันไปพูดกับเปาอีฝาน “ข้าจะกลับโรงเตี๊ยม ยาที่ให้คนงานต้มจะต้องป้อนให้เขาทุกๆ สองชั่วยาม หากฟ้าสางแล้วไม่มีไข้อีกก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”


 


 


เปาอีฝานพยักหน้าพูด “เจ้าไม่คุ้นชินเส้นทาง ข้าจะไปส่งเจ้า”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ไม่ต้องแล้ว เจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่เถอะ หากจูหลานสถานการณ์เลวร้าย เจ้าจะได้มาเรียกข้าที่โรงเตี๊ยมได้”


 


 


พูดจบ ก็อุ้มเมิ่งเจี๋ยออกไปจากโรงหมอ


 


 


พ่อจูถอนหายใจยาว พูดว่า “แม่นางเมิ่งยังคงตำหนิโทษพวกเรา”


 


 


เปาอีฝานรีบร้อนพูด “ท่านลุงอย่าคิดเช่นนี้เป็นอันขาด แม่นางเพียงเห็นว่าน้องชายตนเองถูกตีจนมีสภาพเช่นนั้น เสียใจรับไม่ได้ ถึงมีกิริยาเย็นชาเช่นนั้น ความจริงใจของนางรู้จักแยกแยะถูกผิด ไม่เช่นนั้นคงไม่ช่วยชีวิตจูหลาน”


 


 


แม่จูถามอย่างตะลึงลาน “นางเป็นคนช่วยชีวิตหลานเอ๋อร์”


 


 


เปาอีฝานพยักหน้าพูด “พอพวกเรามาถึงโรงหมอ อย่างไรหมอก็ไม่กล้าดึงกริชออกจากตัวจูหลาน แม่นางเมิ่งวางน้องชายตัวเองลง แล้วมาช่วยดึงกริชออกให้จูหลาน ยังเขียนใบสั่งยา ให้หมอนำไปต้ม ทั้งบอกให้ข้าหาวิธีตามตัวพวกท่านมา ตอนนี้นางเห็นจูหลานพ้นขีดอันตรายแล้ว ถึงจากไป”


 


 


แม่จูพูดอย่างตื้นตันใจ “ต่อไปแม่นางเมิ่งก็คือผู้มีคุณที่ช่วยชีวิตหลานเอ๋อร์ของพวกเรา ภายหน้าหากมีสิ่งใดที่พวกเราช่วยได้ พวกเราไม่มีทางปฏิเสธเด็ดขาด”


 


 


เปาอีฝานกะพริบตาสะท้อนแววตา ไม่ได้พูดสิ่งใด


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวอุ้มเมิ่งเจี๋ยขึ้นหลังม้า ค่อยๆ เดินกลับโรงเตี๊ยม


 


 


หลงจู๊โรงเตี๊ยมเห็นนางอุ้มเด็กกลับมาก็ยินดี รีบออกมาจากโต๊ะเก็บเงินเข้าถามไถ่นาง กลับเห็นสภาพน่าเวทนาของเมิ่งเจี๋ยจนต้องสูดลมหายใจเข้าปาก ไม่กล้าพูดอะไรอีก


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจเขา อุ้มเมิ่งเจี๋ยขึ้นไปชั้นสอง


 


 


เมิ่งชื่อใกล้จะเสียสติแล้ว เอาแต่หวีผมล้างหน้าซ้ำไปซ้ำมา ปากพูดพึมพำ “ข้าต้องทำเนื้อทำตัวให้สะอาด เจี๋ยเอ๋อร์กลับมาจะได้ไม่ตกใจ”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋นมองนางอย่างไม่ให้คลาดสายตา


 


 


เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีก็คอยเฝ้าดูอยู่ห่างๆ


 


 


เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนคอยอยู่กับพวกเขาเงียบๆ


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาถึงชั้นสอง เซี่ยเจียงเฟิงที่ยืนอยู่หน้าประตูเห็นนางก่อน เห็นนางอุ้มเด็กกลับมา ก็พูดอย่างปิติ “แม่นางเมิ่ง หาน้องชายเจอแล้ว”


 


 


เมิ่งชื่อได้ยินคำพูดเขา พุ่งทะยานออกมาชนเซี่ยเจียงเฟิงกระเจิง สองมืออุ้มเมิ่งเจี๋ยแน่น ร่ำไห้คร่ำครวญ “เจี๋ยเอ๋อร์ของแม่กลับมาแล้ว”


 


 


เมิ่งเอ้ออิ๋น เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีก็รีบวิ่งออกมา พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวอุ้มเมิ่งเจี๋ยกลับมา พูดขึ้นอย่างยินดีพร้อมกัน “เจี๋ยเอ๋อร์กลับมาแล้ว!”


 


 


เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเมิ่งชื่อแผ่วเบา “ท่านแม่ น้องออกไปเล่นมาทั้งวัน เหนื่อยมากแล้ว พวกเราพาเขาไปนอนพักที่เตียงก่อนเถอะ”


 


 


เมิ่งชื่อพยักหน้างุด หลีกทางให้พูดว่า “ดีๆๆ ให้เจี๋ยเอ๋อร์พักผ่อนก่อน”


 


 


คนทั้งหมดถึงเห็นใบหน้าเมิ่งเจี๋ยบวมเป่งจนแทบจะไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว ต่างยืนตะลึงงันอยู่ตรงนั้น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)