พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1241-1242

 บทที่ 1241 พลิกสถานการณ์ร้ายให้ปลอดภัย

โดย

Ink Stone_Fantasy

ก่งหลิงอวี้พยักหน้า ช่วยพูดยืนยันให้แน่ใจ “เป็นอย่างนี้ค่ะ”


จ่างซุนจูกับเมิ่งหรูมองหน้ากันเลิกลั่ก ก่อนที่เมิ่งหรูจะถามว่า “ยังมีอย่างอื่นอีกมั้ย?”


ทั้งสองคิดดูให้ละเอียด แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้า นึกเรื่องอื่นไม่ออกแล้ว


“พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ” หลังจากเมิ่งหรูกันผู้หญิงทั้งสองออกไปแล้ว ก็หันกลับมาถามว่า “หรือว่าประมุขปราชญ์เคยเจอประมุขไป๋?”


จ่างซุนจูจอบว่า “ในเมื่อนางมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้ จะเคยเจอมาก่อนก็ไม่แปลก เพียงแต่ประมุขไป๋ถูกขังไว้ในเจดีย์สยบปีศาจ ไม่รู้เหมือนกันว่าเคยไปพบกันตอนไหน บางทีอาจจะไม่เคยเจอก็ได้ ประมุขไป๋มีผมขาวด้วยเหรอ?”


เมิ่งหรูส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ…


อีกด้านหนึ่ง ประมุขขุนพลทั้งสี่ที่ได้รับการตอบกลับจากสายลับที่อยู่ทางตำหนักสวรรค์ทยอยกันเกลี้ยกล่อมให้ประมุขปราชญ์ทั้งสี่กลับไป บอกอย่างชัดเจนว่าเหมียวอี้ไม่มีทางเป็นสายลับของโจรกบฏแน่นอน ส่วนเหตุว่าเพราะอะไร ประมุขขุนพลทั้งสี่ก็ไม่ยอมเปิดเผย


ในเมื่อประมุขขุนพลทั้งสี่แน่ใจขนาดนี้ว่าเหมียวอี้ไม่ใช่สายลับ สี่ปราชญ์ก็ว่าอะไรไม่ได้เช่นกัน อำนาจของสี่ลัทธิยังไม่ได้อยู่ในมือตัวเองอย่างแท้จริง พวกเขาทำตามอำเภอใจไม่ได้


เพียงแต่พอเป็นแบบนี้ ก็ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าในใจทั้งสี่วุ่นวายขนาดไหน เดิมทีอยู่ด้วยกันอย่างสงบไร้ปัญหาแล้วแท้ๆ แต่พอโดนมู่ฝานจวินเสี้ยมจนวุ่นวายแบบนี้ จากก็ที่เกี่ยวดองกันเพราะการแต่งงานก็ต้องกลายเป็นศัตรู ครั้งนี้ล่วงเกินเหมียวอี้หนักแล้วจริงๆ ชัดเจนว่าจะเอาชีวิตของอีกฝ่าย อีกฝ่ายไม่แค้นก็แปลกแล้ว


ในบรรดาพวกเขา ความรู้สึกของอวิ๋นอ้าวเทียนซับซ้อนที่สุด ลูกหลานของคนอื่นเป็นแค่อนุภรรยาของเหมียวอี้ แต่หลานสาวของเขาเป็นฮูหยินภรรยาเอกของเหมียวอี้ การที่ตนทำแบบนี้ ถือว่ามีคุณสมบัติเลวร้ายเกินไป ดีไม่ดีอาจจะทำให้สองสามีภรรยาไม่รักใคร่กลมเกลียวกัน


ก่อนจะเดินออกมาจากประตู อวิ๋นอ้าวเทียนก็หันกลับมามองแวบหนึ่ง เห็นเหมียวอี้ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างไม่สกสะท้านแม้แต่น้อย เพียงแต่เมื่อเหลือบไปเห็นสายตาที่เย็นเยียบผิดปกติของเขา ก็ทำให้ตัวสั่นแม้จะไม่ได้หนาว จึงถ่ายทอดเสียงบอกทันทีว่า “เหมียวอี้ น้องชิวไม่ได้รู้เรื่องนี้ด้วย”


เหมียวอี้จ้องเขาอย่างเย็นเยียบ แต่ไม่ได้ตอบอะไร ไม่ได้พูดอะไรสักคำ เย็นชาจนน่ากลัว


เมื่อเห็นสถานการณ์แบบนี้ อวิ๋นอ้าวเทียนก็ทำได้เพียงแอบถอนหายใจเบาๆ แล้วหันตัวเดินจากไป


ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก ถ้าอีกฝ่ายจะเชื่อก็คงเชื่อ ถ้าไม่เชื่อแล้วพูดอะไรมากไปก็เปลืองคำพูดเปล่าๆ เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้ตัวเองทำอย่างไร้คุณธรรมจริงๆ แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าหากมู่ฝานจวินทำแบบนี้อีกครั้ง เขาเองก็ไม่มีทางเลือกอยู่ดี คงไม่ออมมือให้เพราะว่าตัวเองเกี่ยวข้องกับเหมียวอี้โดยการแต่งงาน เพื่อผลประโยชน์ของทั้งตระกูลอวิ๋น สิ่งที่ควรช่วงชิงก็ยังต้องไปช่วงชิง เขาจะยังทำแบบเดิม คนที่เดินมาถึงจุดของเขาจะต้องเผชิญหน้ากับความจริง การที่เขาไม่เอาลูกสาวหลานสาวไปแลกกับความร่ำรวยก็นับว่ารักษาเส้นตายของตัวเองแล้ว


ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ ด้วยบุญคุณความแค้นที่มีระหว่างกัน หกปราชญ์ก็คงจะเป็นศัตรูคู่แค้นกันไปนานแล้ว จะมารวมตัวทำงานด้วยกันได้อย่างไร ในปีนั้นตอนที่ต่อสู้เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ที่พิภพเล็ก ระหว่างพวกเขามีญาติที่มิตรตายด้วยน้ำมือฝ่ายตรงข้ามไปไม่รู้ตั้งเท่าไรแล้ว ก็เหมือนเหมียวอี้ที่ฆ่าจีเหม่ยเหมยลูกสาวของจีฮวน แต่จีฮวนก็ยังมอบลูกสาวอีกคนให้แต่งงานกับเหมียวอี้ได้


ถ้าจะพูดให้น่าฟังหน่อยก็คือ ผู้ที่ทำการใหญ่มักจะต้องมีการเสียสละเสมอ ถ้าพูดให้ฟังดูแย่หน่อยก็คือ ไม่มีมิตรสหายที่ถาวร มีแค่ผลประโยชน์ที่ยั่งยืน และเช่นเดียวกัน ไม่มีศัตรูที่ถาวร ผลประโยชน์ต่างหากที่อยู่ยาวจนถึงตอนสุดท้าย เขาหวังเพียงว่าเหมียวอี้จะเข้าใจหลักการนี้ อะไรที่ควรปล่อยวางก็ต้องปล่อยวาง อย่าใช้อารมณ์วู่วาม


คนนอกไปกันหมดแล้ว เหมียวอี้เหลือบมองจินม่านอย่างเย็นชา และส่งคำถามแบบเดียวกันให้นาง “เรื่องนี้เจ้าไม่คิดจะให้คำอธิบายสักหน่อยเหรอ?”


จินม่านยิ้มเจื่อน “นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลือก ในเมื่ออีกฝ่ายเปิดโปงฐานะผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ของท่านแล้ว ไม่ว่าเปลี่ยนเป็นใครก็ต้องสงสัยทั้งนั้นว่าเป็นสายลับที่โจรกบฏส่งมา เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับส่วนรวม จำเป็นต้องทำให้กระจ่าง”


เหมียวอี้จึงบอกว่า “ในเมื่อรู้แล้วว่าข้ามีอีกตัวตนหนึ่ง ทำไมไม่ลงโทษให้พอเป็นพิธีหน่อยล่ะ พวกเจ้าไม่กังวลเชียวเหรอว่าข้าจะทรยศพวกเจ้า?”


จินม่านส่ายหน้า “มีคนยืนยันให้แล้วว่าท่านไม่ใช่สายลับของโจรกบฏ แต่เป็นสายลับที่แฝงตัวเข้าไปอยู่ในกลุ่มโจรกบฏ”


เป็นใครกันที่ช่วยยืนยันให้ตน? การยืนยันของใครกันที่สามารถทำลายความน่าสงสัยของหกลัทธิได้ง่ายขนาดนี้? เหมียวอี้เกิดความคิดบางอย่างในใจ จึงถามทันทีว่า “ใครกันที่พิสูจน์ยืนยันให้?”


จินม่านงงทันที นางยังนึกว่าเหมียวอี้รู้จักว่าคนคนนั้นคือใคร พอได้ยินเหมียวอี้พูดแบบนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าเหมียวอี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าในโจรกบฏมีเรื่องสายลับอยู่ ในเมื่อเป็นแบบนี้ นางจึงทำได้เพียงปฏิเสธไม่ตอบอะไร “รอให้ประมุขปราชญ์รับช่วงต่ออำนาจของลัทธิอู๋เลี่ยงอย่างเป็นทางการ ถึงตอนนั้นก็ย่อมรู้เอง ตอนนี้ยังไม่สะดวกจะบอกอะไร”


เมื่อถามไม่ได้คำตอบอะไร เหมียวอี้ก็ยืนขึ้นส่งแขกแล้ว “ถ้าไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ข้าก็ไม่สะดวกจะอยู่เป็นเพื่อนแล้ว” นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพูดจาไม่เกรงใจจินม่าน


จินม่านอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ดูจากอีกฐานะหนึ่งที่สำคัญของของประมุขปราชญ์ หลังจากข้าหลุดจากค่ายกลแล้ว ข้าก็เคยได้ยินชื่อหนิวโหย่วเต๋อที่เป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์มาบ้างเหมือนกัน สร้างร้านขายของชำขึ้นมาด้วยมือตัวเอง ทั้งยังประหารทาสรับใช้ในตระกูลของพวกโจรกบฏไปสามพันกว่าคน ลงหลักปักฐานอย่างมั่นคงที่ตลาดสวรรค์ ทั้งยังบุกโจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกอยู่ในทัพใหญ่หนึ่งล้าน ความสามารถของประมุขปราชญ์ไม่มีอะไรน่าสงสัย เรียกได้ว่าทั้งกล้าหาญทั้งมีแผนการ เป็นหทารกล้าที่โลกจดจำ แต่ทำไมกลับไม่ยอมรับช่วงต่ออำนาจของของลัทธิอู๋เลี่ยง?”


ตั้งแต่ได้รู้ว่าเหมียวอี้ที่อยู่ตรงหน้าคือหนิวโหย่วเต๋อ ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ที่อาศัยวรยุทธ์บงกชทองก่อเรื่องอย่างคึกโครมอยู่ท่ามกลางโจรกบฏ นางก็เรียกได้ว่ามองเขาด้วยมุมมองใหม่ พบว่าประมุขปราชญ์ท่านนี้ไม่ได้ไร้ความสามารถอย่างที่ตัวเองคิดไว้


เช่นเดียวกับนาง สืออวิ๋นเปียน กงซุนลี่เต้าและอ๋าวเถี่ยที่อยู่ข้างๆ ก็มองเหมียวอี้ด้วยสายตาที่ไม่เหมือนเดิมแล้ว เขาสามารถอาศัยตัวตนสายลับรับมือกับเรื่องต่างๆ อยู่ท่ามกลางโจรกบฏ ถ้าไม่ใช่คนที่กล้าหาญและเจ้าแผนการจะไม่สามารถทำได้ ทั้งยังมีความกล้าหาญ พวกเขารู้ตัวแล้วว่าดูถูกประมุขปราชญ์ท่านนี้เกินไปหน่อย มีความเปลี่ยนแปลงทางด้านความรู้สึก


เหมียวอี้ยังจะพูดอะไรได้อีก? จะให้บอกเหรอว่าตัวเองก่อเรื่องที่ตำหนักสวรรค์และเตรียมตัวจะหนีกลับพิภพเล็กอยู่ตลอด ไม่ได้ลงหลักปักฐานอย่างมั่นคงเลยจริงๆ จะให้บอกเหรอว่าถ้าตัวเองดวงไม่ดีก็คงตายไปหลายรอบแล้ว? จะให้บอกเหรอว่าตอนอยู่ที่นี่ตัวเองกังวลมาตลอดว่าตัวตนจะเปิดเผย?


มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ถึงสถานการณ์ที่แท้จริง ที่จริงเขาเองก็เข้าใจเช่นกัน ว่าตัวเองมีเรื่องกับคนที่ตำหนักสวรรค์เยอะเกินไป คนที่มีความสามารถจริงๆ คงไม่เอาแต่กดดันให้ตัวเจอทางตันแบบนี้ อวิ๋นจือชิวก็ว่ากล่าวเขาแล้วไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง บอกว่าเขามีแผนการแต่ไม่รอบคอบ ทำอะไรบุ่มบามเกินไป คนที่เจ้าแผนการจริงๆ คงไม่ทำเรื่องอย่างเขาหรอก


ในเมื่อตอนนี้มีคนที่ทำให้กลุ่มโจรกบฏเชื่อถือบอกว่าเขาเป็นสายลับที่ไปอยู่กับตำหนักสวรรค์  ก็เท่ากับช่วยให้เขาผ่านพ้นสถานการณ์ที่จนตรอกไปได้ภายในรวดเดียว สร้างทางที่ราบเรียบอีกทางไว้ให้เขาเพื่อพลิกสถานการณ์ร้ายให้กลายเป็นความปลอดภัย ปัดกวาดพุ่มไม้หนามให้เขาตลอดทาง การพิสูจน์ยืนยันนี้มาแบบทันเวลาเกินไปแล้ว เรื่องบางเรื่องกลับจัดการง่ายขึ้นด้วยซ้ำ


เพียงแต่นี่เป็นพฤติกรรมของใครกันแน่ ก็ยังเป็นสิ่งที่ทำให้เหมียวอี้กังวลอยู่ในใจ กังวลนดิหน่อยว่ากำลังช่วยโจรกบฏกลุ่มนี้วางหมากอะไรหรือเปล่า แต่ถ้าก้าวมาถึงจุดนี้ก็ไม่มีทางถอยแล้ว ทำได้เพียงเล่นไปตามสถานการณ์เพื่อรักษาชีวิตตัวเอง ถึงได้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “พวกเจ้าเองก็รู้สถานะของข้าที่ฝั่งโจรกบฏแล้ว ข้าจำเป็นต้องกลับไปที่ฝั่งโจรกบฏ ข้ายังต้องอยู่ที่นั่นเพื่อเตรียมตัวสำหรับอนาคต จะได้ให้ความร่วมมือกับทัพใหญ่หกลัทธิได้สะดวก ข้าไม่ได้มีวิชาแยกร่างหรอกนะ ไม่สามารถดูแลพร้อมกันสองฝั่งได้ ทำได้เพียงทิ้งฝั่งหนึ่งเอาไว้ ช่วยไม่ได้ที่ข้าไม่สะดวกจะเปิดเผยสถานะสายลับให้ข้างนอกรับรู้ กลัวว่าจะทำให้เกิดความยุ่งยากโดยไม่จำเป็น ก็เลยไม่เคยได้บอกพวกเจ้าเลย”


สืออวิ๋นเปียนพยักหน้า “ถ้าเป็นแบบนี้ ก็ไม่แปลกใจที่ประมุขปราชญ์ไม่ได้ฝึกมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง ไม่อย่างนั้นตัวตนของประมุขปราชญ์ทางฝั่งโจรกบฏก็จะถูกเปิดโปงได้ง่ายเกินไป”


เจ้าช่วยเข้าใจแทนข้าได้ แบบนั้นก็ดีสุดๆ ไปเลย! เหมียวอี้ขอบคุณในใจ ส่วนปากก็บอกว่า “เรื่องราวเปิดเผยชัดเจนแล้ว ข้าเองก็ไม่มีอะไรจะปิดบัง ข้าจำเป็นต้องกลับไปทางฝั่งโจรกบฏ ตำแหน่งประมุขปราชญ์ทางนี้ไม่เหมาะกับข้าจริงๆ ประมุขขุนพล ข้ามอบตำแหน่งประมุขปราชญ์ให้เจ้านั่งแทนก็สิ้นเรื่องแล้ว”


สืออวิ๋นเปียน กงซุนลี่เต้าและอ๋าวเถี่ยได้ยินแล้วมองหน้ากันเลิกลั่ก จินม่านกล่าวด้วยสีหน้าเครียดเล็กน้อยว่า “ตำแหน่งประมุขปราชญ์จะส่งต่อกันไปมาเหมือนของเด็กเล่นได้ยังไง ถ้าทำแบบบนี้จริงๆ ในภายหลังทุกคนจะไม่พากันจ้องอยากได้ตำแหน่งใหญ่จนจิตใจแตกความสามัคคีหรอกเหรอ? ในเมื่อประมุขปราชญ์เคยรับการคุกเข่าคารวะจากทุกคนแล้ว ก็ไม่สามารถเปลี่ยนตำแหน่งได้ง่ายๆ!”


แต่สถานการณ์จริงก็คือ ถ้ายังไม่ได้รับอนุญาตจากใครบางคน จินม่านเองก็ไม่กล้ารับอำนาจนี้ต่อโดยพลการ ความเป็นความตายของคนกลุ่มหนึ่งล้วนอยู่ในมือของคนคนนั้น ไม่อย่างนั้นคงไม่ถึงคราวที่พวกเหมียวอี้จะได้เป็นประมุขปราชญ์ของหกลัทธิหรอก


ถ้าไม่ปล่อยตนไปก็จะยุ่งยากแล้ว เหมียวอี้แอบกระวนกระวาย ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่รู้ชัดว่าใครกันแน่ที่ยืนยันเรื่องนั้นให้เขา เขาก็ไม่กล้าอยู่ที่นี่นาน เพราะกังวลว่าจะมีการหลอกลวง มีเพียงการปลีกตัวออกจากการผูกมัดด้วยอำนาจของโจรกบฏกลุ่มนี้ เขาถึงจะรู้สึกสงบใจ เขารีบบอกว่า “ข้ามีเรื่องสำคัญต้องทำข้างนอก การทดสอบที่โจรกบฏจัดขึ้นกำลังจะจบลงแล้ว ข้าต้องกลับไปให้ทันเวลา”


พวกจินม่านมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา เรื่องนี้วุ่นวายแล้ว


สุดท้ายก็ยังเป็นคนรีบร้อนจะปลีกตัวอย่างเหมียวอี้ที่เสนอวิธีการที่พบกันครึ่งทางว่า “ไม่สู้เอาอย่างนี้ดีมั้น ข้าจะควบตำแหน่งประมุขปราชญ์ไว้ด้วย ที่จริงรายละเอียดงานก็ให้ประมุขขุนพลจัดการแทนต่อได้เลย ส่วนอย่างอื่นก็ค่อยว่ากันในภายหลัง ดีมั้ย?”


ไม่มีวิธีการอื่นแล้ว ในเมื่อเหมียวอี้ไม่สามารถดูแลพร้อมกันทั้งสองฝั่งได้ ฝืนอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร กอปรกับฝ่ายนี้ก็มีคนกลุ่มใหญ่ที่ไม่เชื่อฟังเหมียวอี้จริงๆ ในเมื่อเหมียวอี้เป็นฝ่ายเสนอขึ้นเอง ทางนี้ก็ทำได้แค่กึ่งยอมกึ่งไม่ยอมแล้ว


เมื่อกำหนดเรื่องราวได้ ก่อนที่ทุกคนจะกล่าวอำลา เหมียวอี้ก็บอกอีกว่า “ครั้งนี้ข้ามาในนามของผู้เข้าร่วมการทดสอบ ถ้าสามารถได้คะแนนจากการทดสอบกลับไปได้นิดหน่อย ก็จะยิ่งทำอะไรที่ฝั่งโจรกบฏได้สะดวกขึ้น” ความหมายในคำพูดหยุดลงเท่านี้ ไม่ต้องพูดอะไรมากแล้ว


จินม่านเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าบอกว่า “ประมุขปราชญ์วางใจได้ ข้าจะไปเตรียมการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย ไม่ปล่อยให้ประมุขปราชญ์กลับไปมือเปล่าค่ะ”


“เช่นนั้นก็ดี” เหมียวอี้ดีใจแล้ว


หลังจากมองส่งทุกคนเดินจากไป ใบหน้ายิ้มของเหมียวอี้ก็ค่อยๆ แข็งทื่อ แทนที่ด้วยสีหน้าอันเย็นเยียบดุร้าย เขาหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเชียนเอ๋อร์และเสวี่ยเอ๋อร์


เชียนเอ๋อร์และเสวี่ยเอ๋อร์ในตอนนี้กำลังรับแขกเป็นเพื่อนอวิ๋นจือชิวอยู่ในห้องส่วนตัวของร้านโฉมเมฆา มีฮูหยินชนชั้นสูงจากจวนหัวหน้าภาคมาซื้อเครื่องประดับศีรษะ อวิ๋นจือชิวจึงอยู่กับแขกด้วยตัวเอง


หลังจากเชียนเอ๋อร์พบว่าเหมียวอี้ส่งข่าวมา ในใจนางก็แปลกใจอยู่บ้าง เพราะตั้งแต่เหมียวอี้แต่งงานกับอวิ๋นจือชิว ก็เรียกได้ว่าน้อยครั้งมากที่จะติดต่อกับพวกนางโดยตรง โดยทั่วไปถ้ามีเรื่องอะไรล้วนเป็นอวิ๋นจือชิวที่เตรียมการให้ ครั้งนี้ติดต่อนางตรงๆ โดยกันอวิ๋นจือชิวออกไป เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นน้อยมาก


นางไม่ได้อยู่กับเหมียวอี้มาแค่ปีสองปี ไม่จำเป็นต้องบอกอะไร ก็เข้าใจว่าเหมียวอี้ต้องมีเรื่องที่ไม่สะดวกจะบอกให้ฮูหยินรู้แน่นอน


เชียนเอ๋อร์ฉวยโอกาสส่งสายตาให้เสวี่ยเอ๋อร์ แล้วถอยออกมานอกห้องส่วนตัว หาที่ลับตาคนแล้วมองสำรวจไปรอบๆ ครู่หนึ่ง เสร็จแล้วถึงได้หยิบระฆังดาราออกมาตอบ : นายท่าน ยังสบายดีใช่มั้ยเจ้าคะ?


เหมียวอี้ : ฮูหยินไม่ได้อยู่ข้างๆ เจ้าใช่มั้ย?


เชียนเอ๋อร์ : ฮูหยินกำลังรับแขกอยู่เจ้าค่ะ


เหมียวอี้ : ฮูหยินรู้รึเปล่าว่าข้ากำลังติดต่อมาหาเจ้า


เชียนเอ๋อร์ : ตอนนี้ฮูหยินยังไม่รู้เจ้าค่ะ นายท่านมีอะไรจะกำชับหรือเปล่า?


สมกับเป็นหญิงรับใช้ประจำตัว เหมียวอี้โล่งอกแล้ว ถามว่า : ช่วงนี้ฮูหยินมีอะไรผิดปกติบ้างรึเปล่า?


บทที่ 1242 ดุร้าย

โดย

Ink Stone_Fantasy

 เมื่อส่งข้อความนี้ออกมา เชียนเอ๋อร์ก็ยังนึกว่าตัวเองฟังผิดไป รู้สึกงุนงงนิดหน่อย ถึงขั้นหวาดกลัวอยู่บ้างด้วยซ้ำ หรือว่านายท่านกำลังสงสัยอะไรฮูหยิน? ไม่อย่างนั้นทำไมจะต้องถามคำถามแบบนี้โดยหลบเลี่ยงฮูหยินด้วยล่ะ?


หารู้ไม่ว่าเหมียวอี้ก็ไม่อยากจะสงสัยเหมือนกัน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเผชิญเรื่องราวที่ถูกคนทรยศ เขาเคยโดนคนอื่นหลอกใช้ประโยชน์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เพราะจู่ๆ มีพยานที่ลึกลับโผล่ออกมา เขาก็ไม่มีหนทางรอดชีวิตภายใต้สถานการณ์แบบนั้นเลย อยู่ในรังของทัพใหญ่หกลัทธิ อยากจะหนีก็ไม่มีทางให้หนี


ตอนที่เขาเผชิญกับสภาวะตกอับ ห้าตระกูลที่เกี่ยวดองกับเขาเพราะการแต่งงานร่วมมือกันทรยศเขา แต่ละคนต้องการเล่นงานเขาให้ถึงตาย!


ก่อนหน้านี้เขายังกังวลว่าถ้าตัวเองโดนเปิดโปงตัวตนแล้วจะพลอยทำให้พวกอวิ๋นอ้าวเทียนลำบากไปด้วย แต่ใครจะคิดว่าคนที่อันตรายที่สุดไม่ใช่คนนอก แต่กลับเป็นพวกเดียวกัน!


ก่อนหน้านี้ถึงแม้จะหว่างพวกเขาจะมีการต่อสู้กันทั้งอย่างลับๆ และโจ่งแจ้ง แต่ก็ยังมีขีดจำกัดเพราะเกี่ยวดองกันไว้ด้วยการแต่งงาน แต่ครั้งนี้เขาปวดใจผิดหวังมากจริงๆ ความสงสัยเคลือบแคลงต่างๆ นาๆ พรั่งพรูขึ้นมาในจิตใจ


ตอนนี้เขากำลังสงสัยว่าบรรดาอนุภรรยาของตัวเองรู้เรื่องนี้ล่วงหน้าอยู่แล้วหรือเปล่า ถึงอย่างไรตอนที่พวกจีเหม่ยลี่แต่งงานกับเขาก็ล้วนมีจุดประสงค์อยู่แล้ว เขาถึงขั้นสงสัยว่าอวิ๋นจือชิวรู้เรื่องนี้ล่วงหน้าหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นหลังทำเรื่องแบบนี้แล้ว จากอวิ๋นอ้าวเทียนจะไปอธิบายต่ออวิ๋นจือชิวได้อย่างไร?


เขาหวังให้พวกนางไม่รู้ แต่ด้วยความรู้สึกของเขาในตอนนี้ทำให้เขาไม่เชื่อใจใครทั้งนั้น ไม่ว่าใครก็กลายเป็นเป้าหมายให้เขาสงสัย ในด้านสภาพจิตใจเกิดความรู้สึกว่าไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ส่วนตัวใดๆ ทั้งนั้น จิตมารก่อตัว เขาไม่มีทางควบคุมความคิดที่น่ากลัวแบบนี้ของตัวเองได้ ห้าฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับเขาเพราะการแต่งงาน ไม่มีฝ่ายไหนน่าเชื่อทั้งนั้น!


เชียนเอ๋อร์ตอบว่า : นายท่าน ฮูหยินเป็นเหมือนปกติ ไม่มีตรงไหนที่ผิดปกติเลยเจ้าค่ะ


เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า : เรื่องที่ข้าติดต่อกับเจ้าเมื่อครู่นี้ ห้ามให้ฮูหยินรู้นะ


เชียนเอ๋อร์ : เจ้าค่ะ!


ทั้งสองหยุดติดต่อกันตรงนี้ เชียนเอ๋อร์กลับมาพร้อมความไม่เข้าใจและความสงสัย ตอนที่กลับมาถึงห้องส่วนตัว ก็พบว่าอวิ๋นจือชิวมาส่งแขกที่ประตูแล้ว


พอส่งแขกเสร็จ อวิ๋นจือชิวที่รูปร่างอรชรอ่อนช้อยก็หันตัวมาพร้อมกับชุดกระโปรงสีเขียวคราม สายตาไปหยุดอยู่บนตัวเชียนเอ๋อร์ครู่หนึ่ง พบว่าเชียนเอ๋อร์สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนิดหน่อย จึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่นี้นางแยกตัวออกไป เลยถามว่า “มีเรื่องไม่สบายใจเหรอ?”


เสวี่ยเอ๋อร์ที่เดินตามอยู่ข้างๆ ก็มองเชียนเอ๋อร์แวบหนึ่งโดยจิตใตสำนึกเช่นกัน


เชียนเอ๋อร์รีบส่ายหน้า “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ”


“อ้อ!” อวิ๋นจือชิวยิ้มหวาน และไม่ได้ถามอะไรมากอีก เดินผ่านร้านไปที่ลานบ้านด้านหลังแล้ว


เหมียวอี้ในตอนนี้กันเหลียงหรงกับหมี่หลิงออกไป นั่งอยู่เงียบๆ ลำพังบนตำแหน่งหลักในโถงหลัง ลมหายใจหนักหน่วง สองมือกำตรงที่วางมือไว้แน่น บนใบหน้าเริ่มฉายแววดุร้ายทีละนิด สุดท้ายก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวิ๋นจือชิว


อวิ๋นจือชิวเพิ่งจะกลับมานั่งลงในบ้านของชัยภูมิถ้ำสวรรค์ จู่ๆ ก็ได้รับข้อความจากเหมียวอี้ นางดีใจทันที ตราบใดที่เหมียวอี้ยังส่งข่าวกลับมา ก็แสดงว่าเขายังปลอดภัย จึงตอบกลับทันทีว่า : ข้าอยู่! หนิวเอ้อร์ ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง?


สีหน้าดุร้ายของเหมียวอี้ยังไม่หายไป เขาตอบกลับมาว่า : ทางข้าสบายดีจะตาย ตอนนี้เจ้าไปจัดการธุระให้ข้าสักเรื่องสิ


อวิ๋นจือชิวแปลกใจ : เรื่องอะไร?


เหมียวอี้ : เจ้าไปเรียกสองพี่น้องหลางหลางหวนหวน จีเหม่ยลี่ อวี้หนูเจียว ฝ่าอินแล้วก็หงเฉินให้ไปในหุบเขาทางตะวันออกของเมืองเดี๋ยวนี้ รวมทั้งหญิงรับใช้ประจำตัวของพวกนางด้วย ห้ามขาดไปแม้แต่คนเดียว อีกประเดี๋ยวถ้ามีคนลงมือกับพวกนาง เจ้าก็ห้ามยื่นมือเข้าไปแทรกแซง!


เขาต้องการจะล้างแค้น ในใจราวกับซ่อนมารร้ายเอาไว้ พอจิตมารบังเกิด แม้แต่สองพี่น้องหลางหลางหวนหวนเขาก็ไม่คิดจะปล่อยไป!


อวิ๋นจือชิวตกใจจนลุกขึ้นยืน : ลงมือกับพวกนางเหรอ? ใครจะลงมือกับพวกนาง?


คำตอบแค่ละคำของเหมียวอี้ช่างน่าตกใจ : ข้าเอง! ข้าต้องการลงมือกับพวกนาง! ก่อนจะติดต่อกับพวกนางส่งคนไปจับตาดูพวกนางไว้ ถ้าพบว่ามีคนไม่ไป หรือมีความผิดปกติอะไรก็บอกข้าทันที ข้าจะส่งคนไปจัดการ!


เมื่อกล่าวมาแบบนี้ อวิ๋นจือชิวก็ตัวสั่นหวาดกลัวแล้วจริงๆ เรียกได้ว่าสีหน้าเปลี่ยนไปมาก รีบถามทันทีว่า : เจ้าเป็นใคร? เจ้าเป็นใครกันแน่?


นี่เป็นคำถามที่หลอกตัวเอง นอกจากเหมียวอี้ก็ไม่มีใครที่สามารถกระตุ้นตราอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้ที่อยู่ในระฆังดาราเพื่อติดต่อกับนางได้แล้ว เพียงแต่นางไม่เชื่อว่าเหมียวอี้จะพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้ ไม่น่าเชื่อว่าต้องการจะฆ่าเหล่าอนุภรรยาของตัวเอง เหมียวอี้ที่ทำเรื่องแบบนี้ได้ไม่เหมือนเหมียวอี้ที่นางรู้จัก


เหมียวอี้สงสัยนางทันที ภามกลับว่า : นอกจากข้าแล้วยังจะมีใครได้อีก? เจ้ายืนอยู่ฝ่ายใครกันแน่ ฝ่ายข้าหรือว่าฝ่ายพวกนาง?


อวิ๋นจือชิวสีใบหน้างามถอดสีกระโปรงสะบัดรัวๆ นางเดินไปเดินมาอยู่ในบ้าน เอามือบตบหน้าอกที่อิ่มเอิบเบาๆ พร้อมถอนหายใจ พยายามสงบสติอารมณ์ไว้ หลังจากบอกตัวเองให้ใจเย็นได้แล้ว ก็เขย่าระฆังดาราตอบกลับไปว่า : หนิวเอ้อร์ ข้าจับตาดูพวกนางมาตลอด พวกนางไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่ผิดต่อเจ้าเลย ทำไมเจ้าต้องฆ่าพวกนางด้วย? เจ้าบอกข้ามาเสียดีๆ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?


เหมียวอี้ยิ่งสีหน้าดุร้ายกว่าเดิม ถามกลับว่า : ปู๋เจ้ายังไม่ได้บอกเจ้าเชียวเหรอ?


อวิ๋นจือชิวร้อนใจแล้ว : เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าบอกให้ชัดเจนเดี๋ยวนี้นะ!


เหมียวอี้ตอบกลับอย่างดุร้ายว่า : พวกปู่เจ้าอยากจะเอาชีวิตข้าไง…


เหมียวอี้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้ฟังอย่างไม่ใส่สีตีไข่


หลังจากฟังจบ อวิ๋นจือชิวก็ตกใจจนอึ้งไป สีหน้าซีดขาว ตกใจจนหน้าไม่มีเลือดฝาดแล้ว นางนั่งลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนแรง ตกใจจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าผู้ชายของตัวเองไปเดินวนรอบประตูผีมาแล้วรอบหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนแอบยื่นมือช่วยเหลือ เกรงว่าชีวิตของสามีคงจะถูกพวกท่านปู่เก็บไปแล้ว เกรงว่าหลังจากเรื่องจบตัวเองก็อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสามีตายอย่างไร ท่านปู่ต้องไม่ยอมบอกความจริงแน่นอน จะต้องปิดบังนางแน่นอน


ห้าตระกูลที่เกี่ยวดองกันโดยการแต่งงาน ไม่มีตระกูลใดน่าเชื่อถือเลย! ในที่สุดอวิ๋นจือชิวก็รู้แล้วว่าทำไมเหมียวอี้จึงทำตัวเหมือนมารคลั่ง เพราะโดนห้าตระกูลที่เกี่ยวดองร่วมมือกันทรยศ พอปีนขึ้นมาจากหลุมแห่งความตายได้ คาดว่าหัวใจคงจะดำดิ่งจนถึงจุดต่ำสุด ในตอนนี้ถ้าเปลี่ยนให้ใครไปตกอยู่ในสภาพแบบนั้น ก็คงจะเชื่อใจใครไม่ได้เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่เอาชีวิตตัวเองมาเล่นหรอก!


ยังมีความโชคดีในความโชคร้าย โชคดีที่ไม่เกิดเรื่อง! อวิ๋นจือชิวที่ได้สติกลับมาค่อนข้างร้อนใจ ไม่รู้ว่าจะตอบกลับระฆังดาราที่อยู่ในมืออย่างไร ตอนนี้นางไม่ได้กังวลเรื่องความปลอดภัยของเหมียวอี้ แต่กลับกังวลสภาพจิตใจที่เปลี่ยนไปของเหมียวอี้ ขนาดสองพี่น้องหลางหลางหวนหวนก็ไม่ปล่อยไป แค่คิดก็รู้แล้วว่าน่ากลัวขนาดไหน!


แต่ไหนแต่ไรมา สุดท้ายบุคคลผู้ยอดเยี่ยมก็จะได้เดินบนเส้นทางที่ไม่ไว้หน้าญาติมิตร นั่นล้วนเป็นเพราะผ่านประสบการณ์การโดนโจมตีทางด้านจิตใจและการโดนทรยศหักหลังต่างๆ มาอย่างโชกโชน ต่อให้สุดท้ายจะได้กลายเป็นราชันผู้ยิ่งใหญ่ แต่ก็จะทำให้ตัวเองกลายเป็นคนโดดเดี่ยวเดียวดาย ไม่เชื่อใจใครทั้งนั้น!


นางหวังว่าเหมียวอี้จะเดินไปได้ไกลกว่านี้ แต่ไม่ได้หวังให้เหมียวอี้ขาดความเป็นมนุษย์ นางไม่หวังให้เหมียวอี้ไร้เดียงสาเกินไป ไม่อยากให้ทำงานโดยใช้อารมณ์เกินไป หวังเพียงให้เหมียวอี้ใช้เหตุผลมากขึ้นสักหน่อย ไม่หวังให้เหมียวอี้กลายเป็นคนทะเยอะทะยานที่ไม่ไว้หน้าญาติพี่น้องแน่นอน! ถ้าก้าวไปถึงจุดนั้นจริงๆ เช่นนั้นระหว่างนางกับเหมียวอี้ก็คงเดินมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ไม่มีทางอยู่กันได้ยาวนาน!


ถ้าให้เหมียวอี้ฆ่าล้างอนุภรรยาของตัวเองจริงๆ หลังจากมีจิตใจที่ไร้คุณธรรมน้ำมิตรแบบนี้แล้ว เหมียวอี้ก็จะหันหลังกลับไม่ได้แล้วจริงๆ ต่อไปในโลกนี้จะมีใครบ้างที่เหมียวอี้ฆ่าไม่ได้ล่ะ ยังจะมีเรื่องไหนที่เหมียวอี้ทำไม่ได้อีก?


หลังจากสงบสติอารมณ์แล้ว นางก็ตัดสินใจที่จะห้าม พูดเกลี้ยกล่อมทันทีว่า : หนิวเอ้อร์ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกนาง เจ้าอย่าทำซี้ซั้ว ถึงอย่างไรพวกนางก็เป็นผู้หญิงของเจ้า!


เหมียวอี้โมโหแล้ว : เจ้าบอกว่าเจ้าไม่รู้ไม่ใช่เหรอ? งั้นเจ้ารู้ได้ยังไงว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกนาง?


อวิ๋นจือชิว : หนิวเอ้อร์ เจ้าใจเย็นลงหน่อย เรื่องเล็กน้อยแบบนี้มีค่าพอให้เจ้าลงมือกับคนของตัวเองเหรอ? ถ้าเจ้าโมโหเจ้าก็ต้องระบายให้ถูกที่! พูดในกรณีที่เลวร้ายที่สุด เจ้าเคยคิดถึงผลที่ตามมาหลังจากฆ่าพวกนางมั้ย? ถ้าทำให้พวกมู่ฝานจวินโมโหขึ้นมา พวกเขาก็สามารถเปิดโปงเรื่องของเจ้าให้ตำหนักสวรรค์รู้ได้ทุกเมื่อ แน่นอน เจ้าอาจจะไม่สนใจความเป็นความตายของข้า แต่เจ้าคิดจะเป็นโจรกบฏที่หลบอยู่ในนรกตลอดชีวิตเลยเหรอ จะโดนขังอยู่ในนรกตลอดไปงั้นเหรอ?


คำพูดนี้ได้ทำให้เหมียวอี้ที่ตกอยู่ในความบ้าระห่ำสงบลงแล้วจริงๆ เขาไม่สามารถแตะต้องพวกจีเหม่ยลี่ได้ง่ายๆ พวกนางไม่ใช่คนธรรมดาที่ไม่มีภูมิหลังอะไรเลย ยังตระกูลฝ่ายหญิงที่มีหน้ามีตา


เหมียวอี้ก็ได้สติกลับมาจากความดื้อรั้นที่จะล้างแค้นแล้วเช่นกัน นั่งลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนแรง แต่ก็ยังปากแข็งถามว่า : อวิ๋นจือชิว เจ้าตัดสินใจแน่วแน่แล้วใช่มั้ยว่าจะสู้กับข้า?


อวิ๋นจือชิว : หนิวเอ้อร์ ข้าไม่ได้อยากสู้กับเจ้า! ข้าให้เวลาเจ้าสามวัน รอให้เจ้าใจเย็นลงก่อน ถ้าผ่านสามวันนี้ไปแล้วเจ้ายังอยากฆ่าพวกนางอยู่ ข้าค่อยลงมือก็ยังไม่สาย แต่ตอนนี้! ข้าไม่อนุญาตเด็ดขาด! ตอนนี้แม่คนนี้จะสู้กับเจ้าแล้ว!


เหมียวอี้ที่นั่งอย่างอ่อนปวกเปียกอยู่บนเก้าอี้หลับตาลงอย่างพูดไม่ออก


เมื่อเห็นว่าไม่มีคำตอบกลับมา อวิ๋นจือชิวก็รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับสองพี่น้องหลางหลางหวนหวน สั่งให้พวกนางมาหาตนผ่านทางใต้ดินทันที ตอนนี้ตนต้องส่งพวกนางให้ไปอยู่ในที่ปลอดภัย เพราะที่นี่คืออาณาเขตของเหมียวอี้ ต่อให้ตนไม่ลงมือ เหมียวอี้ก็ให้คนอื่นลงมือแทนได้อยู่ดี


หลังจากส่งข่าวไปแล้ว อวิ๋นจือชิวก็เดินออกมานอกบ้าน พอบังเอิญเหลือบไปเห็นเชียนเอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์ที่จ้องมองมาทางนี้อย่างลับๆ ล่อๆ นางก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ จึงกวักมือเรียกทั้งสองทันที “พวกเจ้ามานี่หน่อย”


สองสาวก้าวขึ้นมา สายตาของอวิ๋นจือชิวไปหยุดอยู่บนหน้าเชียนเอ๋อร์ หลังจากจ้องเชียนเอ๋อร์จนอึดอัดไปทั้งตัว ถึงได้กล่าวอย่างเนิบนาบว่า “เชียนเอ๋อร์ ก่อนหน้านี้ตอนข้าอยู่ในห้องรับแขก เจ้าไปไหนมา?”


เชียนเอ๋อร์พยายามทำตัวสงบนิ่งเข้าไว้ “ไม่ได้ไปไหนเจ้าค่ะ แค่กลับไปเอาของนิดหน่อยที่ลานบ้านด้านหลัง”


อวิ๋นจือชิวถามเสียงเรียบว่า “งั้นก็แปลกแล้ว เมื่อครู่ตอนที่นายท่านติดต่อกับข้า เขาบอกว่าเขาเพิ่งติดต่อกับเจ้าไป?”


“หา…” เชียนเอ๋อร์งงทันที เมื่อครู่นี้นายท่านบอกเองว่าไม่ให้นางบอกฮูหยิน ใครจะคิดว่าผ่านไปชั่วพริบตาเดียวเขาจะขายนางซะแล้ว ทำให้นางกลายเป็นคนโกหกที่ถูกจับได้ต่อหน้าฮูหยิน จะให้นางทนความรู้สึกได้อย่างไร


แต่ไม่นานนางก็มองออกถึงลับลมคมในจากคำพูดของอวิ๋นจือชิว จึงแอบร้องในใจว่าแย่แล้ว ตัวเองตกหลุมพรางฮูหยินแล้ว โดนฮูหยินหยั่งเชิงเสียแล้ว


“เฮ้อ!” อวิ๋นจือชิวมองอะไรบางอย่างออกแล้วจากปฏิกิริยาของเชียนเอ๋อร์ นางส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “เจ้าผีบ้าเอ๊ย ขนาดข้าก็โดนสงสัยแล้ว…แต่ก็ยังถือว่ามีมโนธรรมอยู่บ้างนิดหน่อย ยังเห็นแก่ความผูกพันที่เป็นสามีภรรยากัน ไม่ได้สั่งให้คนมาเอาชีวิตข้าไปด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่านี่เป็นการหยั่งเชิงข้าอยู่รึเปล่า! เจ้าผีบ้านี่ทำให้ข้าพูดอะไรไม่ออก เวลาที่ฉลาดก็ฉลาดมาก แต่เวลาโง่ขึ้นมาก็เลอะเลือนมาก เมื่อไรถึงจะมีสติปัญญาแบบจริงๆ สักที บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับนิสัยของเขา เกรงว่าทั้งชีวิตนี้คงจะแก้ไขไม่ได้แล้ว เฮ้อ!”


พอกล่าวมาแบบนี้ พอได้ยินว่าเหมียวอี้เหมือนจะเอาชีวิตของอวิ๋นจือชิว สองสาวก็ตกใจทันที รีบถามว่า “ฮูหยิน เกิดเรื่องอะไรกับนายท่านหรือเจ้าคะ?”


อวิ๋นจือชิวไม่ได้ปิดบังพวกนาง เล่าเรื่องที่เหมียวอี้ประสบอันตรายและบอกว่าจะฆ่าพวกจีเหม่ยลี่ให้ฟังคร่าวๆ


…………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)