กระบี่จงมา - ตอนที่ 124-128
ตอนที่ 124
สองข้างทางของทางสายเล็กบนภูเขา โคมกระดาษสีขาวที่ลอยค้างอยู่กลางอากาศโดยไม่มีกิ่งไม้สูงให้พึ่งพิงแกว่งไกวไปตามสายลม และได้กลายมาเป็นโคมสีแดงฉานมานานแล้ว เลือดสดดุจน้ำเดือดพล่าน เม็ดเลือดสาดกระเซ็นไปชนโคมดวงอื่นไม่หยุด เกิดเป็นเสียงเปรี๊ยะๆ ชวนขนหัวลุก
ผีสาวชุดแต่งงานยังคงร้องไห้คร่ำครวญอยู่กับตัวเอง ไม่ยอมปล่อยสองมือลง ไม่เห็นเทพหยินอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
จิตของเทพหยินขยับไหวเล็กน้อย ใช้เสียงในใจบอกกล่าวแก่หลินโส่วอีว่า หากเด็กหนุ่มมีโอกาสก็ให้ใช้ยันต์ทำลายเวทอำพรางตาที่ถือเป็นยันต์ภูเขา อันดับต่อไปเขาจะพยายามถ่วงรั้งผีสาวไว้ให้ได้มากที่สุด หากทำลายเวท “เส้นทางน้ำพุเหลือง” ออกไปได้ก็ให้รีบพาพวกเฉินผิงอันออกไปจากภูเขา ไม่ต้องสนใจเขา จำไว้ว่าห้ามเดินไปบนทางภูเขาใต้ฝ่าเท้าสายนี้อีก ให้เฉินผิงอันใช้ดาบยันต์มงคลบุกเบิกทางเส้นใหม่
หลังจากหลินโส่วอีตอบรับแล้วก็ลองถามหยั่งเชิงว่าต้องการให้เขาทิ้งดาบยันต์มงคลเล่มนั้นไว้หรือไม่ เทพหยินส่ายหน้า บอกว่าตนถือไม่ไหว ปราณกระบี่หนักเกินไป ใช้บุกเบิกทางใหม่ย่อมดีที่สุด เมื่อต้นไม้ใบหญ้าได้รับปราณกระบี่อย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา เต็มไปด้วยสง่าราศีซึ่งเป็นตัวพิชิตวัตถุชั่วร้ายมาตั้งแต่เกิด ฝ่ายตรงข้ามก็ย่อมไม่สะดวกให้อีกฝ่ายใช้กลอุบายต่ออีก
ผีสาวสวมชุดเจ้าสาวสะบัดสองมือทิ้ง เผยให้เห็นดวงตาซีดขาวที่ไม่เหลือคราบเลือดอีกแม้แต่หยดเดียว แสยะยิ้มดุร้าย “ทีแรกก็มาโดยไม่ได้รับเชิญ ตอนหลังยังจะไปโดยไม่บอกลา นี่ไม่ใช่พฤติกรรมที่วิญญูชนพึงกระทำ”
ใบหน้าของเทพหยินพลันพร่าเลือนเหมือนเทียนที่ละลายอย่างรวดเร็ว สุดท้ายกลายเป็นกลุ่มควันเข้มข้นดุจหมึกกลุ่มหนึ่งที่พุ่งเข้าใส่ผีสาวสวมชุดแต่งงาน
นางยกชายแขนเสื้อขึ้นแล้วแผ่เป็นวงกว้างคล้ายนกสยายปีกปกป้องอยู่เบื้องหน้าตัวเอง
แต่กระนั้นผีสาวก็ยังคงถูกพุ่งชนจนกระเด็นออกไปเจ็ดแปดจั้งในชั่วพริบตา โคมสีแดงสดระหว่างทางที่นางถอยกรูดออกไปพากันระเบิดแตกดังปึงปัง เลือดสในโคมไฟไม่ได้สาดกราวลงบนพื้นภูเขา แต่บินเข้าหาผีสาวที่ถูกเทพหยินชนจนถอยร่นเหมือนนกที่กลับคืนรัง ภาพเหตุการณ์คล้ายตอนที่ธงเรียกวิญญาณของนักพรตเฒ่าดูดดึงเอาแก่นวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของวัตถุชั่วร้ายเข้าไป
หลินโส่วอีกล่าวเสียงหนัก “ทุกคนมาอยู่ด้านหลังข้า แยกออกไปจากทางเส้นนี้ให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน เฉินผิงอัน เดี๋ยวพวกเราจะต้องบุกเบิกเส้นทางใหม่ออกไป ผู้อาวุโสเทพหยินบอกว่าให้เจ้าใช้ดาบยันต์มงคลเปิดทาง”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าจะไปแบกนักพรตเฒ่า ในเมื่อเห็นคนจะตายอยู่ตรงหน้าก็ไม่ควรนิ่งดูดาย”
นักพรตตาบอดนอนอยู่ห่างออกไปประมาณสิบกว่าจั้ง ลมหายใจรวยรินเต็มที
เฉินผิงอันวิ่งตะบึงเข้าไปแบกผู้เฒ่าที่น่าสงสารแล้วหมุนตัววิ่งจากมา
หลินโส่วอียืนนิ่ง นิ้วมือสองข้างคีบยันต์กระดาษเหลืองแผ่นหนึ่ง พึมพำคาถาเสียงเบาไม่หยุด
นี่ก็คือยันต์ทำลายเวทอำพรางตาหนึ่งในยันต์ภูเขาและแม่น้ำ ตามคำอธิบายของเทพหยินตนนั้น ยันต์ภูเขาและแม่น้ำมีมากมายหลายร้อยหลายพันชนิด ดาษดื่นละลานตา คือหนึ่งในยันต์จำเป็นที่ผู้ฝึกลมปราณต้องเตรียมไว้เวลาออกเดินทางไกล ป้องกันไม่ให้ถูกผีบังตาอย่างที่พวกชาวบ้านชอบพูดกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วเพราะกังวลว่าจะตกอยู่ในค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาที่ผู้ซึ่งเดินทางมาร่วมกันแอบร่ายไว้ หรือไม่ก็กลัวว่าจะถูกภูตผีบนภูเขาที่มีตบะลึกล้ำเล่นงาน โดยเฉพาะเมื่อเข้าไปยังสถานที่อย่างซากปรักสมรภูมิรบโบราณ หรือสุสานไร้ญาติ นักพรตโดยทั่วไปแล้วหากไม่มียันต์ทำลายเวทอำพรางตา ยันต์แขวนโคมพลังหยาง ยันต์ตรีวิสุทธิ์สงบใจ ฯลฯ ก็เท่ากับโยนตัวเองเข้าไปในแห
หลินโส่วอีพลันลืมตา จุดลึกในดวงตาของเด็กหนุ่มมีประกายแสงสีทองวูบผ่าน เอ่ยเสียงทุ้มหนัก “พวกเราเดินตามยันต์ไป”
เห็นเพียงว่ายันต์ทำลายเวทอำพรางตาที่อยู่ระหว่างนิ้วของเด็กหนุ่มบินออกไป หลังจากไปหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศสูงประมาณตัวคนก็เริ่มล่องลอยออกไป คล้ายคนเมาคนหนึ่งที่กำลังนำทาง
ยันต์ใบนั้นลอยมาหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศข้างทางใกล้กับผนังภูเขา หลี่ไหวเอ่ยถาม “จะให้พวกเขาโหม่งหัวเข้าชนหรือไง?”
หลินโส่วอีก้าวนำออกไปก่อนหนึ่งก้าว ร่างก็พลันหายวับไป
หลี่เป่าผิงและหลี่ไหวจึงทยอยกันเดินตามเข้าไป เฉินผิงอันที่แบกผู้เฒ่าอยู่บนหลังจูงลาขาวเดินตามเข้าไปหลังสุด เพียงไม่นานพวกเขาก็หายไปจากบนเส้นทางภูเขา
เดินทียันต์เหลืองแผ่นนั้นก็คิดจะตามเข้าไป แต่เหมือนถูกคนกระชากเอาไว้อย่างเงียบเชียบ ปราณวิญญาณหายสิ้น จึงร่วงผล็อยลงบนพื้น
คนทั้งกลุ่มมาปรากฏตัวอยู่ในจุดลึกมุมหนึ่งของป่าทึบ ทุกคนหันมามองหน้ากัน ต่อให้เป็ฯหลินโส่วอีที่ร่ายใช้ยันต์ทำลายเวทอำพรางตาด้วยตัวเองก็ยังมึนงงทำอะไรไม่ถูก
เฉินผิงอันให้หลินโส่วอีช่วยแบกผู้เฒ่านักพรตเต๋าก่อน ส่วนตัวเขาเริ่มปีนป่ายขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ กวาดตามองรอบด้านจากจุดที่สูงที่สุด ดูเหมือนว่าพวกเขาจะอยู่ตรงพื้นที่ราบระหว่างภูเขาที่มีผนังภูเขาสามด้านล้อมรอบ ต่อให้เป็นสายตาของเฉินผิงอันก็ยังไม่อาจมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจนนัก เห็นเป็นเพียงภาพคร่าวๆ ที่พร่าเลือนเท่านั้น
ก่อนจะออกมาจากเส้นทางภูเขา ห่างไปไกลบนเส้นทางสายนั้น เทพหยินกับผีสาวกำลังเปิดศึกกันอย่างดุเดือด เสียงระเบิดของโคมไฟดังมาให้ได้ยินไม่ขาดสาย
หลังอาศัยยันต์ทำลายเวทอำพรางตาเดินออกมาแล้วรอบด้านกลับเงียบสงัดไร้สรรพสำเนียง ความแตกต่างมหาศาลเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้หลี่ไหวสบายใจ กลับยิ่งเพิ่มความหวาดหวั่นให้เขาเข้าไปอีก
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง มือกระชับดาบยันต์มงคลเอาไว้แน่น “ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องเดินไปทางทิศใต้ มีเพียงทางฝั่งนั้นที่ไม่มีภูเขาสูงบดบัง”
……
ท่ามกลางพื้นที่ราบระหว่างภูเขาที่มีต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้ามีสิ่งปลูกสร้างเป็นหอเรือนสูงทับซ้อนเรียงกันเป็นตับโอ่อ่าใหญ่โต ขนาดใหญ่กว่าจวนของขุนนางทั่วไปในโลกมนุษย์ เกรงว่าคงมีแต่จวนของจวิ้นอ๋องเท่านั้นที่ถึงจะทัดเทียมได้
จวนแห่งนี้แขวนป้ายอักษรทองคำว่า “น้ำสวยลมสูง” ที่เขียนด้วยลายมือหนักแน่นทรงพลังดุจลายมือของเทพเซียน สองข้างฝั่งด้านนอกประตูใหญ่มีสิงโตหินขนาดยักษ์คู่หนึ่งตั้งวางอยู่ ทั้งสองล้วนสูงเท่าตัวคนสองคน สิงโตตัวหนึ่งยื่นกรงเล็บออกไปคว้ารูปปั้นหินเด็กขนาดเท่าตัวคนจริง ท่วงท่าองอาจมากบารมี
มีผู้เฒ่าสวมชุดเขียวคนหนึ่งถือโคมไฟดวงใหญ่เดินออกมาจากกลางอากาศที่เกิดริ้วคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอก
เขาก็คือใต้เท้าหลางจงที่รับผิดชอบงานพิธีบวงสรวงของกรมพิธีการต้าหลี
ผู้เฒ่าถอนหายใจ คิ้วขมวดเป็นปม เห็นได้ชัดว่ารู้สึกว่าการมาเยือนครั้งนี้เป็นปัญหาอย่างยิ่ง เขาเสียบโคมไฟที่อยู่ในมือไว้ใต้เท้าของสิงโตหินตัวหนึ่ง แทบจะชั่วพริบตานั้นจวนที่เงียบสงัดมืดมนไม่มีแม้แต่แสงไฟก็พลันสว่างไสว ไม่ว่าจะที่สูงที่ต่ำ จุดที่อยู่ใกล้หรือไกลของในจวน โคมเกือบพันดวงล้วนถูกจุดให้สว่างขึ้นในเวลาเดียวกัน
จากนั้นประตูจำนวนนับไม่ถ้วนก็ถูกเปิดออก ดรุณีน้อยหน้าตางดงาม พ่อบ้านวัยชรา สารถี พ่อครัว สาวใช้นางกำนัล บ่าวชายเฝ้าจวนที่ไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยคนก็เริ่มปรากฎตัวทำงานเหมือนได้รับคำสั่งจากเจ้านายในเวลาเดียวกัน
เพียงแต่ว่าคนเหล่านี้สีหน้าซีดขาว ดวงตาไร้แววชีวิตชีวาแทบทั้งหมด
ในสวนดอกไม้แห่งหนึ่ง เด็กหนุ่มขาเป๋กับแม่นางน้อยหน้ากลมนั่งพิงกันอยู่ตรงมุมกำแพง
เด็กหนุ่มขาเป๋มีเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดไม่หยุด บาดเจ็บสาหัสอย่างมาก ต่อให้ปล่อยเขาไป เกรงว่าเขาเองก็คงเดินได้แค่ไม่กี่ก้าว ก่อนหน้านี้เพื่อรับมือกับผีสาวชุดเจ้าสาวที่มีตบะน่าตะลึง เด็กหนุ่มชักดึงอักขระสีเงินสี่ตัวอย่าง “ปราบปีศาจจับผี” เข้ามาในทวารบนใบหน้าของตน ซึ่งเป็นวิธีการอำมหิตที่ทำลายจิตวิญญาณของตัวเอง
ส่วนแม่นางน้อยที่กรีดแขนของตัวเองหลายครั้ง จึงเสียเลือดไปมาก บวกกับที่ได้รับปราณชั่วร้ายบางส่วนมาจากผีสาว ต่อให้เป็นตอนนี้แม่นางน้อยก็ยังรู้สึกศีรษะหนักอึ้ง พะอืดพะอมอยากอาเจียน
เมื่อโคมไฟสว่างขึ้น สีหน้าของเด็กหนุ่มขาเป๋ยิ่งไม่น่ามอง เขารีบใช้มือปิดตาแม่นางน้อยเอาไว้
เพราะในการมองเห็นของเด็กหนุ่มขาเป๋คือซากโครงกระดูกหลายโครงที่โผล่พ้นจากบนพื้นมาแค่ครึ่งร่าง เบียดเสียดกันแน่นขนัดคล้ายผักที่ถูกปลูกไว้ในสวน จำนวนไม่ต่ำกว่าสี่สิบห้าสิบร่าง
เด็กหนุ่มขาเป๋รู้สึกสิ้นหวังเล็กน้อย
เพราะกระดูกของโครงกระดูกหนึ่งในนั้นกลับมีแสงสีทองจางๆ แผ่ออกมาจากกระดูกสันหลัง ส่วนกระดูกของแขนขาทั้งสี่กลับเป็นสีขาวสะอาดดุจหยกงาม ซึ่งนี่เป็นภาพปรากฎการณ์ “กิ่งทองใบหยก” ของนักพรตห้าขอบเขตกลางแล้ว อีกทั้งหากดูตามคำพูดของนักพรตเฒ่า มีเพียงผู้ฝึกลมปราณใหญ่ในระดับชั้นที่สูงของห้าขอบเขตกลางเท่านั้นถึงจะมีปรากฎการณ์แตกกิ่งออกใบเช่นนี้ได้ ผู้ฝึกลมปราณอิสระที่เพิ่งจะสัมผัสได้ถึงธรณีประตูของห้าขอบเขตกลางอย่างนักพรตเต๋าชราผู้นี้ แม้แต่กิ่งทองก็ยังฝึกไม่สำเร็จ ยิ่งอย่าได้หวังถึงใบหยก
มิน่าเล่าถึงได้แพ้ราบคาบขนาดนี้
ฝีมือต่างกันมากเกินไป
หน้าประตูจวน ประตูกลางเปิดอ้าต้อนรับหนึ่งในสามหลางจงที่มีอำนาจที่สุดของต้าหลีผู้นั้นด้วยพิธีการยิ่งใหญ่
ทว่าผู้เฒ่ากลับไม่ได้ข้ามธรณีประตูเข้าไป แต่นั่งอยู่บนธรณีประตู มองไปยังถนนกว้างขวางนอกจวน เอ่ยเสียงเบา “ฉู่ฮูหยิน ฟังข้าสักคำ อย่าสร้างความลำบากใจให้เด็กหนุ่มเด็กสาวพวกนั้นได้หรือไม่?”
โคมสีแดงดวงใหญ่ที่เขาวางขวางไว้ใต้เท้าสิงโตหินหน้าประตูแกว่งสะบัดอย่างรุนแรง
บนโคมเขียนสี่ตัวอักษรด้วยชาดสีแดงว่า “วิญญาณเอยจงกลับไป” และเมื่อโคมแดงแกว่งรุนแรงก็ทำให้เกิดคลื่นแสงสีแดงสดเป็นเส้นๆ
ผู้เฒ่าเอ่ยเตือนเสียงเข้มงวด “ฉู่ฮูหยิน! หากเด็กพวกนั้นเกิดเรื่องในถิ่นของเจ้า เมื่อถึงเวลานั้นอย่าว่าแต่จวนหลังนี้ของเจ้าเลย ต่อให้เป็นต้าหลีของพวกเราก็ต้องเดือดร้อนไปด้วย”
น่าเสียดายที่ไร้เสียงตอบรับ
ผู้เฒ่าเริ่มเดือดดาล “ฉู่ฮูหยิน!”
มีผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ท่าทางเหมือนพ่อบ้านวัยชรายืนอยู่หน้าประตู เขาสวมหมวกขนสัตว์ ยืนสองมือไพล่หลัง ค้อมตัวกระแอมไอ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาพร้อมรอยยิ้ม “ต้าหลีแบ่งภูเขาและแม่น้ำแถบนี้ให้เป็นถิ่นของคุณหนูของข้ามาหลายปีจนนับเวลาถ้วนแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาคุณหนูกับต้าหลีของพวกเจ้าก็อยู่ร่วมกันด้วยดีมาตลอด ถึงขั้นที่ว่าในช่วงเวลาอันยาวนานที่ข้าผู้อาวุโสยังไม่ได้ทำหน้าที่เป็นพ่อบ้าน ได้ยินมาว่าคุณหนูของเราเคยมีบุญคุณต่ออดีตฮ่องเต้บางองค์ของต้าหลีพวกเจ้า อีกทั้งตอนนี้ในจวนของพวกเรายังมีตำราทองคัมภีร์เหล็ก ‘ภูเขาแม่น้ำปรองดองตลอดกาล’ เล่มนั้นวางไว้อยู่เลยนะ หลังจากเกิดเรื่องโชคร้ายนั้นขึ้น นับตั้งแต่อดีตฮ่องเต้ของพวกเจ้ามาจนถึงฮ่องเต้องค์ปัจจุบันต่างก็อนุญาตให้คุณหนูของเราระบายความเจ็บแค้นได้ตามใจชอบมาโดยตลอด แต่ทำไมตอนนี้ถึงทำไม่ได้?”
ผู้เฒ่าชุดเขียวลุกขึ้นยืน หันกลับไปมองผู้เฒ่าสวมหมวกผ้า เอ่ยเนิบช้า “ไม่เพียงแต่วันนี้เท่านั้นที่ทำไม่ได้ เรื่องที่ทำลายบัณฑิตที่ผ่านทางมา หลังจากนี้ก็ทำไม่ได้! เหตุผลนั้นข้าจะบอกกับฉู่ฮูหยินด้วยตัวเอง แต่หากฉู่ฮูหยินไม่ยอมหยุดมือ อีกทั้งยังไม่ยอมพบข้า ถ้าอย่างนั้นก็อย่าหาว่าต้าหลีของพวกเราไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ครั้งเก่าก่อน!”
พ่อบ้านชราตบอกตัวเองให้หยุดไอ แล้วจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “สถานการณ์บ้านเมืองของต้าหลีในเวลานี้สั่นคลอนไม่แน่นอน เว้นเสียแต่ว่าอาจารย์หร่วนผู้นั้นลงมือด้วยตัวเอง หาไม่แล้วคุณหนูของข้าก็คงไม่กลัวใครจริงๆ ต่อให้เอาชนะพวกคนที่รับทำงานลับของต้าหลีอย่างพวกเจ้าไม่ได้ แต่หากคุณหนูคิดจะหลบซ่อนตัวจริงๆ พวกเจ้าจะมีพละกำลังเหลือมาขุดรากถอนโคนเทือกเขายาวร้อยลี้แห่งนี้ ขณะเดียวกันต้องตัดขาดแม่น้ำซิ่วฮวาจริงๆ หรือ ไม่กลัวว่าทำแบบนี้แล้วจะเดือดร้อนไปถึงภูเขาฉีตุนและถ้ำสวรรค์หลีจูที่เพิ่งร่วงลงสู่พื้นดินหรือไร?”
ผู้เฒ่าชุดเขียวสีหน้ามืดทะมึน “ใต้เท้าของพวกเราไม่ใช่ข้ารับใช้ต้าหลีที่เห็นหน้าตาตัวเองยิ่งใหญ่เทียมฟ้า และเขาก็เกลียดพวกคนที่ได้คืบจะเอาศอกมากที่สุด”
ประตูใหญ่ค่อยๆ ปิดลง พ่อบ้านวัยชรายืนอยู่ด้านในธรณีประตู ยิ้มตาหยี “คุณหนูของเราบอกแล้วว่าให้ต้าหลีของพวกเจ้าลองลงมือดู”
“ถ้าอย่างนั้นก็มาดูกัน!”
หลางจงแห่งกรมพิธีการต้าหลีส่ายหน้า เขาเองก็เป็นคนตัดสินใจรวดเร็วฉับไว ไม่มัวพูดจาโต้เถียง เดินลงบันไดไปโดยตรง หยิบโคมไฟสีแดงดวงใหญ่กลับมาแล้วขว้างขึ้นไปบนท้องฟ้า
ร่างของเขาหายวับไป
โคมดวงนั้นเป็นดั่งพระจันทร์สีเลือดที่ลอยขึ้นบนท้องนภา
……
บนถนนหน้าประตูจวน พวกเฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าหนักอึ้ง
ใครก็คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ จะออกจากกลางป่าทึบมาโผล่อยู่เบื้องหน้าจวนหลังใหญ่หรูหราแห่งนี้
เฉินผิงอันรับผิดชอบใช้ดาบยันต์มงคลฟันขวากหนามกิ่งไม้มาตลอดทาง เวลานี้จึงหอบหายใจแรงเล็กน้อย กำลังกายถูกเผาผลาญไปไม่มาก แต่กลับหนักใจเสียมากกว่า
ผู้เฒ่าตาบอดที่ถูกหลินโส่วอีแบกอยู่บนหลังพลันเลิกทำเป็นแกล้งตาย ตบบ้องหูตัวเองแล้วกล่าวน้ำตานองหน้า “คิดไม่ถึงว่าตบะของผีสาวจะน่ากลัวขนาดนี้ นักพรตผู้ต่ำต้อยดันเป็นฝ่ายไปหาเรื่องนางก่อน ยังคิดจะปราบมารกำจัดปีศาจกับนาง ตาสุนัขคู่นี้ไม่ได้บอดเสียเปล่าจริงๆ …”
หลินโส่วอีสะดุ้งตกใจ รีบปล่อยผู้เฒ่าตาบอดลงจากหลัง
หลี่ไหวหลบอยู่ด้านหลังหลี่เป่าผิง หลี่เป่าผิงหน้าซีดขาวเล็กน้อย กระตุกชายแขนเสื้อเฉินผิงอัน เอ่ยถามเสียงเบา “อาจารย์อาน้อย เจ้ากลัวหรือไม่?”
เฉินผิงอันยกหลังมือเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก พยักหน้ารับ “ต้องกลัวอยู่แล้ว แต่ไม่เป็นไร มีข้าและหลินโส่วอีอยู่”
หลินโส่วอียิ้มขื่น “ก่อนหน้านี้ยังรู้สึกว่าพอจะลองดูได้ แต่ตอนนี้ข้าคิดว่าความสามารถแค่นั้นของข้าเทียบได้กับปลายเล็บของอีกฝ่ายเท่านั้นเอง”
เฉินผิงอันสอดดาบยันต์มงคลกลับเข้าฝักดังเดิมแล้วคืนให้กับหลี่เป่าผิง มองเห็นว่านางและหลินโส่วอีต่างก็กลัดกลุ้ม เฉินผิงอันจึงอธิบายว่า “อีกเดี๋ยวให้ข้าลองดูแล้วกัน”
หลี่ไหวถามอย่างไร้เดียงสา “ผีสาวผู้นั้นไม่กลัวดาบยันต์มงคล ไม่กลัวยันต์ของหลินโส่วอี แต่กลับกลัวหมัดอย่างนั้นหรือ?”
เฉินผิงอันไม่ได้พูดอะไร แต่เริ่มกลั้นลมหายใจทำสมาธิ
ตอนที่ 125
หนึ่งกระบี่ทำลายอาคม
โดย
ProjectZyphon
เบื้องหน้าจวนที่แขวนกรอบป้ายคำว่า “น้ำสวยลมสูง”
ผู้เฒ่าตาบอดได้รับบาดเจ็บสาหัส คงเป็นเพราะรู้สึกว่าตัวเองใกล้ตายแล้วจึงพูดจาเลหวไหลราวคนสติฟั่นเฟือน
มือสองข้างที่อยู่ในชายแขนเสื้อของหลินโส่วอีคีบยันต์ไข่มุกกลางอ่างกับฝนไฟไว้สองแผ่น หวังเพียงว่าจะทำให้ดีที่สุด แต่จะสำเร็จหรือไม่คงต้องดูที่ฟ้าลิขิตเท่านั้น
เฉินผิงอันควบคุมปราณที่เป็นดั่งมังกรว่ายวนเส้นนั้นให้มุ่งหน้าไปยังช่องโพรงลมปราณสองช่อง เพื่อยืนยันว่าปราณกระบี่ยังคงอยู่ดังเดิม ไม่มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น
จะพิสูจน์ยังไง ง่ายมาก ขอแค่มังกรเพลิงที่มอบความรู้สึกอบอุ่นให้แก่ชีพจรตัวนั้นไม่กล้าหยุดอยู่เบื้องหน้าช่องโพรงลมปราณทั้งสองก็หมายความว่า ปราณกระบี่ที่ “เล็กมากๆ” สองเส้นนั้นต้องยังขดตัวอยู่ข้างในแน่นอน
คราวนี้เฉินผิงอันรู้สึกว่าไม่แน่เสมอไปที่ปราณกระบี่เส้นหนึ่งจะสามารถสังหารผีสาวชุดเจ้าสาวผู้นั้นได้
ถ้าอย่างนั้นก็ต้องใช้สองเส้น!
หลังจบเรื่องต้องเสียดายตายแน่ แต่จะอย่างไรก็คุ้มค่ากว่าตายจริงๆ
ทว่ายังไม่ทันได้เรียกปราณกระบี่ออกมา เฉินผิงอันก็เสียดายแทบตายแล้ว
ดังนั้นใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้เห็นแก่เงินจึงค่อนข้างแข็งกระด้าง ปราณสังหารท่วมท้น
หลี่ไหวค้นพบว่าลาขาวที่อยู่ข้างกายกระทืบเท้าแรงๆ อยู่ตลอดเวลา เปลี่ยนจากช่วงแรกเริ่มสุดที่กระวนกระวายหงุดหงิดกลายมาเป็นปลาบปลื้มดีใจ
ต่อให้ผีสาวสวมชุดแต่งงานจะลอยตัวอยู่เหนือขั้นบันไดนอกประตูใหญ่ ลาตัวนี้ก็ยังแค่ชะลอความเร็วในการกระทืบเท้าให้ช้าลงเท่านั้น
ผีสาวก้มหน้าลงมองชุดเจ้าสาวสีแดงสดที่ฉีกขาดอยู่หลายจุด นางข่มกลั้นความเดือดดาลที่พุ่งมาสุมเต็มอกเอาไว้ มองไปยังเด็กหนุ่มเด็กสาวแล้วพลิ้วร่างลงบนพื้น
ผีสาวเบี่ยงกายออกด้านข้างแล้วยอบตัวคารวะ เอ่ยน้ำเสียงนุ่มนวล “ขอต้อนรับแขกทุกท่านที่มาเยือน พวกเจ้าสามารถเรียกข้าว่าฉู่ฮูหยิน น่าเสียดายที่สามีข้าออกเดินทางไกลยังไม่กลับมา เชี่ยเซินจึงได้แต่ออกมารับรองพวกเจ้าเพียงลำพัง”
……
บนภูเขาฉีตุน ในป่าไผ่ต้นเล็กที่มีค่ายกลอำพรางตา เว่ยป้อที่อาศัยโชควาสนากลับคืนสู่ตำแหน่งเทพภูเขามองไปยังกระบอกไม้ไผ่ที่กองกันเป็นภูเขาขนาดย่อม ทั้งหมดล้วนเป็นไผ่เขียวที่ถูกอาเหลียงใช้ดาบฟันหักในครั้งเดียว ต่อให้มรสุมครั้งนี้ทำให้เขาได้รับผลประโยชน์เหนือกว่าความเสียหาย แต่พอเห็นไผ่เขียวที่ดูดซับปราณวิญญาณของเขาฉีตุนมานับร้อยนับปี ในสายตาของฉีตุนก็เหมือนเห็นสาวงามที่ถูกบั่นร่างขาดครึ่งท่อน ยังคงทำให้เขาอดทอดถอนใจด้วยความเสียดายไม่ได้อยู่ดี
ตุ้มหูทองของเว่ยป้อได้ใช้เวทอำพรางตาแล้ว เวลาปกติต่อให้เปิดเผยร่างจริงในถิ่นของตัวเอง งูดำตัวนั้นก็ไม่อาจสัมผัสได้ ไม่อาจมองเห็น เวลานี้เขาดีดนิ้วข้างหูตัวเองเบาๆ กระบอกไม้ไผ่หักท่อนที่อยู่บนพื้นดินก็เริ่มทยอยกันหายไปท่ามกลางความว่างเปล่า
รอจนเก็บสัมภาระทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว เว่ยป้อก็เดินออกจากป่าไผ่ มองไปก็เห็นว่าจุดที่งูดำที่ขดตัวอย่างกล้าๆ กลัวๆ อยู่ไม่ไกลยังมีผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่พาดกระบี่แนวขวางไว้ตรงเอวคนหนึ่งยืนอยู่ รวมไปถึง “คนคุ้นเคย” ที่ถือกาเหล้าแหงนหน้ากรอกสุราใส่ปาก ยอดฝีมือต้าหลีที่ถูกสายรุ้งของอาเหลียงชนกลับมาบนพื้นหินราบของเขาฉีตุน เว่ยป้อรู้แค่ว่าอีกฝ่ายแซ่หลิว สุดท้ายถูกผู้ฝึกกระบี่คนนั้นแบกขึ้นหลังไป เว่ยป้อเผยสีหน้าคลางแคลงใจ ชายที่ก่อนหน้านี้ร่อแร่ใกล้ตาย แม้ว่าสีหน้าจะยังอ่อนเพลียอยู่บ้าง แต่สามารถฟื้นตัวกลับมาเดินได้รวดเร็วขนาดนี้ ต่อให้ฝึกเวทลับขั้นสูงที่ใช้ในการหล่อหลอมเรือนกายและจิตวิญญาณโดยเฉพาะก็ยังไม่น่าจะมีประสิทธิภาพได้ถึงขั้นนี้
เพียงแต่ว่าบนเส้นทางของการฝึกตน สามารถเดินไปบนเส้นทางของสองขอบเขตสุดท้ายในห้าขอบเขตกลาง ใครบ้างที่ไม่มีความสามารถที่เก็บไว้ก้นกรุ เว่ยป้อย่อมไม่มีทางเปิดปากถาม หลักการที่ว่าเต๋าไม่ถามอายุขัย พุทธไม่ถามแซ่ เป็นที่กระจ่างกันมาตั้งแต่อดีตกาล
เช็ดคราบสุรามุมปากเสร็จ ชายฉกรรจ์แข็งแกร่งที่เปี่ยมไปด้วยกำลังวังชากล่าวเสียงทุ้มว่า “เทพผืนดินเขาฉีตุน ข้าชื่อหลิวอวี้ แม้เห็นเจ้าแล้วจะยังขัดหูขัดตา แต่พระคุณช่วยชีวิต วันหน้าจะต้องตอบแทนแน่นอน หากมีเรื่องเร่งด่วนให้ช่วยเหลือ บีบยันต์จดหมายให้แตก ขอแค่เวลานั้นข้าหลิวอวี้ไม่มีภารกิจของราชสำนักติดพัน ต่อให้อยู่นครมังกรเฒ่าทางใต้สุดของแจกันสมบัติทวีปก็จะรีบเดินทางมาทันที”
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำโยนแผ่นหยกสีขาวที่ทำจากหยกมันแพะงดงามชิ้นหนึ่งออกมา เว่ยป้อรับไว้แล้วกล่าวยิ้มๆ “รักเกลียดแยกชัด ทำอะไรตรงไปตรงมา อีกทั้งยังมีป้ายสันติสุขที่มีเฉพาะใน ‘ศาลภูเขาสำนักการทหาร’ ชิ้นนี้ หลิวอวี้เจ้าเป็นนักพรตศาลลมหิมะหรือนักพรตของเขาเจินอู่?”
ชายร่างกำยำแค่นเสียงเย็น “เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่เพิ่งกลับมาจากแม่น้ำซิ่วฮวาเอ่ยยิ้มๆ “หลิวอวี้คือแบบฉบับของคนปากคมเป็นมีดแต่ใจอ่อนดั่งก้อนเต้าหู้ เจ้าอย่าได้ถือสาเขาเลย”
เว่ยป้อโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน “มิกล้าๆ”
ผู้ฝึกกระบี่วางข้อศอกไว้บนกระบี่เล่มยาวอย่างไม่ใส่ใจ หัวเราะด้วยสีหน้าอ่อนโยน “มีธุระเร่งด่วนที่ต้องไปจัดการที่อำเภอหลงเฉวียนพอดี หากไม่รังเกียจ พวกเราออกเดินทางพร้อมกันดีไหม? แม้ว่าก่อนหน้านี้ข้าจะแจ้งไปยังอู๋ยวนนายอำเภอหลงเฉวียนแล้ว ตามหลักก็ไม่ควรมีปัญหาอะไร แต่ว่าไม่กลัวหนึ่งหมื่นกลัวเศษหนึ่งส่วนหมื่น (เปรียบเปรยว่าไม่กลัวสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำ แต่กลัวสิ่งที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้น สิ่งที่ไม่คาดคิด) เพราะอย่างไรซะแถบภูเขาลั่วพั่วในตอนนี้ไม่เพียงแต่มีท่านชิงอูจากสำนักโหราศาสตร์ ยังมีกองกำลังภายนอกอีกมากมาย ข้าไม่ต้องการให้ความสัมพันธ์ของเจ้ากับต้าหลีที่เพิ่งจะคลี่คลายลงได้ต้องแตกหักกันไปอีกครั้ง”
เว่ยป้อกล่าวเหมือนไม่อนาทรร้อนใจ “ดูจากความเคลื่อนไหวของศึกใหญ่ก่อนหน้านี้ คงไม่ใช่ว่ามีเทพขุนเขาทั้งห้าองค์ใดของต้าหลีโชคร้ายหล่นลงจากตำแหน่งหรอกกระมัง? ทำไม หรือว่าข้าเว่ยป้อก็สามารถฉวยโอกาสนี้แบ่งน้ำแกงถ้วยเล็กๆ กับเขาได้ด้วย? ภารกิจเร่งด่วนที่ใต้เท้าพูดถึงคงไม่ได้เกี่ยวกับข้าจริงๆ กระมัง?”
หลิวอวี้ที่มองดูเหมือนคนหยาบกระด้างวู่วามพลันหรี่ตาลง
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มยังคงพูดกลั้วหัวเราะอย่างผ่อนคลายดังเดิม “วางใจเถอะ ข้าไม่มีทางทำเรื่องข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานแน่นอน การเดินทางไปยังอำเภอหลงเฉวียนในครั้งนี้ สุดท้ายแล้วจะเป็นอย่างไรก็ยังต้องดูที่ความต้องการของเจ้าเว่ยป้อ ราชสำนักต้าหลีไม่มีใครบังคับขืนใจเจ้าแน่นอน ส่วนภารกิจนั้นคืออะไร บอกตามตรงว่าข้าเองก็ไม่รู้แน่ชัดนัก รู้แค่ว่าหลังจากฮ่องเต้ได้ยินเรื่องนี้ก็ให้ความสำคัญอย่างมาก สุดท้ายยังเพิ่มสี่คำว่า ‘ปฏิบัติอย่างมีมารยาท’ มาด้วย”
เว่ยป้อถอนหายใจ “ข้ามีนิสัยแย่ๆ อย่างชอบไม้นวมไม่ชอบไม้แข็งมาโดยตลอด ขนาดนี้แล้วข้าจะยังกล้าปฏิเสธอีหรือ? กลัวพวกเจ้าแล้วจริงๆ”
หลิวอวี้แค่นเสียงเย็น “ต้องพูดว่าไม่ชอบทั้งไม้นวมไม้แข็งถึงจะถูกกระมัง?”
เว่ยป้อยิ้มตาหยี “ชมเกินไปแล้ว ชมเกินไปแล้ว”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มปรายตามองไปยังงูดำที่ดูสงบเสงี่ยมว่าง่าย แล้วพูดอย่างสนใจ “สายตาเจ้าไม่เลว จำไว้ว่าวันหน้าเมื่อไปถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วห้ามก่อเรื่องเด็ดขาด บริเวณใกล้เคียงกับที่นั่นมีเพื่อนร่วมเผ่าพันธ์ของเจ้าตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในทะเลสาบกลางภูเขา ต่อให้พวกเจ้าตีกันขึ้นมาจริงๆ ทางที่ดีที่สุดก็อย่าให้เดือดร้อนคนธรรมดา นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรให้ต้องระวังแล้ว ในเมื่อวันนี้มีสถานะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนภูเขาของต้าหลี อย่างน้อยก็ไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะถูกนักพรตที่ผ่านทางมาสังหารตามใจชอบ”
งูดำตัวนั้นผงกศีรษะแรงๆ หลังจากกินหินดีงูที่มาจากถ้ำสวรรค์หลีจูถุงนั้นเข้าไป เรือนกายของมันไม่ได้ขยายใหญ่ขึ้นกลับเล็กลง ทว่ากรงเล็บสี่นิ้วที่เหมือนกับกรงเล็บของมังกรกลับยิ่งหนาใหญ่ เกล็ดสีหมึกทั่วร่างส่องประกายเป็นเงาวับ ตรงท้องยังมีลายเส้นสีทองเล็กๆ เส้นหนึ่งที่แทบจะสังเกตไม่เห็น
การเดินทางไปอำเภอหลงเฉวียนครั้งนี้ยังไม่มีใครรู้ ดังนั้นต่อให้พางูดำไปด้วยก็ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนตัวตอนกลางวันออกเดินทางตอนกลางคืนอย่างเดียวเท่านั้น
หลังจากเข้ามาในเขตแม่น้ำเถี่ยฝู พอได้รับคำอนุญาตจากผู้ฝึกกระบี่หนุ่ม งูดำก็เลื้อยลงน้ำอย่างระมัดระวัง แม้ว่าจะเบิกบานเป็นสุขอย่างมาก แต่ก็พยายามข่มกลั้นสัญชาตญาณของตัวเองอย่างสุดความสามารถ ไม่กล้าสะบัดร่างตีน้ำในแม่น้ำให้กระจายอย่างโอหัง คนทั้งสามยืนอยู่บนร่างของงูดำ เหมือนนั่งท่องเที่ยวโดยสารเรือ เลียบแม่น้ำเถี่ยฝูเดินทางมุ่งหน้าขึ้นเหนืออย่างผ่อนคลาย
เว่ยป้อขมวดคิ้ว สะบัดชายแขนเสื้อเบาๆ วักน้ำขึ้นมาหนึ่งฝ่ามือแล้วเขย่าคล้ายกำลังชั่งน้ำหนัก กล่าวด้วยความประหลาดใจ “เปลี่ยนจากลำคลองเป็นแม่น้ำ เรื่องนี้ข้ารู้ แต่ว่า…?”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มจึงช่วยไขข้อข้องใจให้ “หลังจากที่เทพแม่น้ำของแม่น้ำเถี่ยฝูผสานรวมกับแม่น้ำได้สำเร็จก็ได้พบเจอกับเหตุการณ์ประหลาด ดึงดูดความสนใจจากท่านชิงอูคนหนึ่งจึงรีบส่งรายงานไปแจ้งทางราชสำนัก ฮ่องเต้ทรงปิติยินดีอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้เลื่อนขั้นสองระดับติดต่อกันไปแล้ว คราวนี้ก็เลื่อนขึ้นไปอีกระดับ”
เว่ยป้อเหวี่ยงมือเบาๆ น้ำของแม่น้ำเถี่ยฝูกลางฝ่ามือหมุนคว้างตามไปด้วย เขาจึงจุ๊ปากพูด “เทพเลื่อนขั้นใหม่ผู้นี้ช่างโชคดีนัก นี่ไม่เท่ากับว่าเดินไปสู่จุดสูงสุดของทำเนียบภูเขาและแม่น้ำของโลกมนุษย์แล้วหรือ? น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ เวลาเพียงไม่กี่วันก็เดินไปถึงปลายทางของเส้นทางที่พวกเพื่อนร่วมงานต้องเดินนานหลายร้อยหรืออาจถึงขั้นนับพันปี พรสวรรค์และโชควาสนาเช่นนี้เรียกว่าฟ้าประทานจริงๆ ที่สำคัญที่สุดก็คือการเลื่อนขั้นของเทพแม่น้ำผู้นี้ดูเหมือนจะไม่ได้ยึดครองโชคชะตาของกระแสน้ำเส้นอื่นเลย จำต้องพูดว่าต้าหลีของพวกเจ้าดวงดีจริงๆ”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มเผยสีหน้าเคร่งเครียดออกมาเป็นครั้งแรก “เว่ยป้อ เจ้าแน่ใจหรือว่าการเลื่อนขั้นของนางไม่ได้ช่วงชิงโชคชะตาของภูเขาและแม่น้ำในรัศมีพันลี้ของที่แห่งนี้? แต่ทั้งหมดล้วนมีต้นกำเนิดมาจากลำคลองเถี่ยฝูสายเล็กๆ ในอดีต?”
เว่ยป้อเพียงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยตอบ
ระดับความเฉียบคมของสายตาที่มีเฉพาะในเทพขุนเขาเหนือแห่งแคว้นเสินสุ่ยในอดีตย่อมไม่ใช่สิ่งที่พวกท่านชิงอูของสำนักโหราศาสตร์ที่เป็น “คนนอกที่อยู่ในวงการ” จะทัดเทียมได้
เนื่องจากศึกใหญ่ก่อนหน้านี้ แผ่นดินของราชสำนักต้าหลีไม่มั่นคง โชคชะตาของประเทศจึงคลอนแคลนตามไปด้วย เทพของห้าขุนเขามีสามองค์ที่พลังต้นกำเนิดได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ตอนนี้จึงได้แต่มอบให้ท่านชิงอูเป็นผู้ตรวจสอบดูแลเรื่องนี้
สีหน้าของผู้ฝึกกระบี่หนุ่มหนักอึ้ง “เว่ยป้อ เชื่อว่าลำพังเพียงแค่ความสามารถนี้ เจ้าก็สามารถรับรางวัลชิ้นใหญ่จากทางราชสำนักแล้ว”
เว่ยป้อแหงนหน้าขึ้น ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า ขับให้ “ชายหนุ่ม” ที่เดิมทีก็เหมือนเซียนอยู่แล้วยิ่งดูล่องลอยคล้ายเซียนตัวจริงเข้าไปใหญ่ เขายิ้มบางๆ สายตาอ่อนโยน “สามารถเปลี่ยนมาเป็นโชควาสนาเล็กๆ ได้หรือไม่? ยกตัวอย่างเช่นให้ลูกศิษย์คนใหม่ของตำหนักฉางชุนที่เดิมทีมีคุณสมบัติจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง ในอนาคตสามารถเดินไปบนสะพานแห่งความอมตะอย่างราบรื่นได้ร้อยปี?”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มยิ้มตอบ “เรื่องนี้จะไปยากอะไร?”
เว่ยป้อพึมพำ “ข้าละอายใจต่อสกุลหลิ่วแห่งแคว้นเสินสุ่ย”
หลิวอวี้กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เรื่องเก่าแก่ตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว ต่อให้เป็นเทพแม่น้ำและเทพภูเขาที่มีอายุขัยเท่ากับแคว้นก็ยังไม่เคยมีใครจู้จี้จุกจิกอย่างเจ้า รัชสมัยแปรเปลี่ยน เทวรูปไม่แหลกสลายก็ถือว่าโชคดีเทียมฟ้าแล้ว หากได้เลือกนายใหม่ให้พึ่งพา เสวยสุขกับควันธูปและการกราบไหว้บูชา ก็ถือเป็นเรื่องดีที่แม้แต่ยามฝันเจ้าก็ยังปรารถนาจะได้ครอบครอง ต่อให้ตอนนั้นสกุลหลิ่วของแคว้นเสินสุ่ยมีพระคุณต่อเจ้า แต่นี่ก็ผ่านไปตั้งหลายร้อยปีแล้ว คนที่สมควรตายไม่สมควรตายก็ตายกันไปหมดแล้ว เจ้าเว่ยป้อจะยังงอแงอะไรอีก?!”
เว่ยป้อแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ในหูมีแต่เสียงน้ำในแม่น้ำ
หลิวอวี้ผู้มีนิสัยใจร้อนโผงผางกล่าวอย่างขุ่นเคืองไม่หาย “ก้อนหินเหม็นในห้องส้วม! แต่ข้าผู้อาวุโสกลับดันมาติดค้างบุญคุณของเจ้า ช่างเป็นความซวยแปดชาติของข้าหลิวอวี้จริงๆ”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มหัวเราะก้องกังวาน “กรรมสัมพันธ์ก็คือวาสนาอย่างหนึ่ง พวกเจ้าสองคนน่ะจงยอมรับชะตากรรมแต่โดยดีเถอะ”
หลิวอวี้ถามขึ้นมาเหมือนไม่ใส่ใจ “ไม่รู้ว่าการเดินทางลงใต้ของเฒ่าโคมไฟจะเกิดปะทะกับฉู่ฮูหยินหรือไม่? หากตีกันขึ้นมา ข้าว่าเฒ่าโคมไฟน่าจะต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบ”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มส่ายหน้า “หวังว่าจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้น ฉู่ฮูหยินมีความหมายต่อต้าหลีมาก แล้วนับประสาอะไรกับที่ฉู่ฮูหยินยังมีนิสัยรุนแรง มีปัญหาคราใดก็เลือกใช้วิธียอมพินาศกันทั้งสองฝ่าย หากไม่เป็นเพราะเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งนางยังจำเป็นต้องรีบกลับไปที่ตำหนักฉางชุนเพื่อรอรับเสด็จเหนียงเนียงท่านนั้น ข้าก็คงไม่ให้หันหลางจงรับผิดชอบคุ้มกันไปทางใต้ หันหลางจงภายนอกอ่อนโยนภายใต้กลับยึดคุณธรรมเคร่งครัด อันที่จริงเขาใจร้อยยิ่งกว่าเจ้าเสียอีก”
หลิวอวี้หัวเราะร่า “ไม่เป็นไรๆ คนกลุ่มนั้นไม่มีใครที่เป็นบัณฑิตรูปร่างสะโอดสะอง ฉู่ฮูหยินย่อมไม่เห็นอยู่ในสายตา กลับเป็นตาเฒ่าโคมไฟเสียอีกที่หากหนุ่มกว่านี้สักสามสิบสี่สิบปี ไม่แน่ว่าอาจถูกกักตัวไว้ในจวนให้ทำหน้าที่สามีของนางเลยกระมัง?”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มเอ่ยเย้า “ประโยคนี้ของเจ้า แน่จริงก็ไปพูดต่อหน้าฉู่ฮูหยินสิ”
หลิวอวี้หัวเราะหึหึ “หากนางกล้าออกมาจากพื้นที่แถบนั้น ข้าก็กล้าพูดแบบนี้”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มทอดถอนใจ “การที่อริยะถูกเรียกว่าอริยะ ก็เพราะได้ครอบครองฟ้าดินขนาดเล็กเป็นของตัวเอง เฝ้าพิทักษ์อยู่ด้านใน สามารถยึดครองฟ้าลิขิตดินอำนวยคนสามัคคีที่อยู่ข้างในนั้นได้หมด”
หลิวอวี้กล่าวด้วยความเสียดาย “น่าเสียดายใต้เท้าเจ้าคือผู้ฝึกกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่ไม่มีอะไรเช่นนี้ หากไม่ยกทัพโจมตีศัตรูก็มีพลังสังหารเป็นอันดับหนึ่ง หากยังมีฟ้าดินขนาดเล็กของอริยะเพิ่มเข้ามา มีพร้อมทั้งรุกทั้งรับ ถ้าอย่างนั้นใต้เท้าเจ้าก็…”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มเลิกคิ้ว กล่าวยิ้มๆ “มีกระบี่หนึ่งเล่มแล้ว ยังไม่พออีกหรือ?”
มีเพียงบัดนี้เท่านั้นที่ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มซึ่งมีบุคลิกเรียบง่ายมอบความรู้สึกสะดุดตาให้แก่คนมอง
หลิวอวี้หัวเราะแห้งๆ
เว่ยป้อพลันหันหน้ากลับไปมอง เห็นเพียงว่าบนผิวน้ำตรงริมชายฝั่งที่มีกิ่งหลิวยื่นออกมามีสตรีชุดกระโปรงดำสวมหน้ากากคนหนึ่งนั่งอยู่บนกิ่งหลิว
นางมีเส้นผมยาวเหยียดสีทองที่หาได้ยาก ผิวน้ำของแม่น้ำเถี่ยฝูใต้ฝ่าเท้านางกระเพื่อมไหวเบาๆ
ไม่รู้ว่าทำไมเว่ยป้อถึงนึกถึงกลอนบทหนึ่งที่ติดปากผู้คนขึ้นมา
เมล็ดหลิวกลางน้ำล่องลอยเป็นจอกแหน
หลังจากเห็นสตรีผู้นั้น ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มก็อธิบายเบาๆ ว่า “เทพแม่น้ำเถี่ยฝูก็คือนางนั่นแหละ เพิ่งจะสร้างร่างทองได้ไม่นาน ราชสำนักเองก็ยังไม่ได้สร้างศาลให้ ดังน้นั้นจึงยังมีภาวะที่จิตวิญญาณไม่มั่นคงอยู่บ้าง”
เว่ยป้อเอ่ยถามโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับ “นางชื่อว่าอะไร?”
หลิวอวี้แค่นเสียงเย็น “ชื่อของสตรีผู้นี้เพราะนักล่ะ หยางฮวา หยางฮวาที่เป็นดอกไม้ธาตุน้ำ! ตลอดทางที่เดินมาพบพานแต่โชคดีเทียมฟ้า ทำให้คนอิจฉาตาร้อน ถือกำเนิดในชนบท ท่านชิงอูเล็งเห็นในฐานกระดูกที่ไม่ธรรมดา ได้รับการยอมรับจาก “กระบี่อาญาสิทธิ์” ที่มีชื่อเสียงของลัทธิเต๋าแห่งต้าหลีพวกเรา ตอนนี้ยังได้กลายมาเป็นเทพแม่น้ำในระดับต้นๆ ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ ด้วยชะตาชีวิตที่ดีขนาดนี้ของนาง วันหน้าจะไม่ลอยขึ้นฟ้าเลยหรือ”
เว่ยป้อร้องอ้อหนึ่งที สีหน้ากลับคืนมาเป็นปกติ นั่งลงบนหลังงูดำ “นางถือว่ามีสภาพการณ์ของพิรุณเทพ มิน่าเล่าทุกอย่างถึงได้ราบรื่นไปหมด มีไอ้หมอนี่ที่พลังอำนาจแข็งแกร่งเป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียง ต้องมาพบหน้ากันบ่อยๆ สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย”
แม้ว่าผู้ฝึกกระบี่หนุ่มจะแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงมีความรู้สึกเช่นนี้
ทว่าปรากฎการณ์ของพิรุณเทพนับว่าร้อยปียากจะพานพบอย่างแท้จริง
พวกเว่ยป้อที่นั่งอยู่บนหลังงูสีดำเคลื่อนผ่านต้นหลิวต้นหยางต้นแล้วต้นเล่า หยางฮวาเทพแม่น้ำยังคงนั่งเฉยดังเดิม
แคว้นเสินสุ่ยในอดีตมีนักกวีที่โดดเด่นมากมาย โดยเฉพาะบทกลอนบอกลาที่ได้รับคำสรรเสริญจากคนบนโลกมากที่สุด ขับร้องสืบทอดผ่านเหล่าสตรีโคมเขียว เคยเป็นที่นิยมไปทั้งทวีป
หนึ่งในนั้นมีท่อนที่ว่าดอกหยางฮวาคือเมล็ดหลิว
เพียงแต่ว่าก็เป็นอย่างที่ชายฉกรรจ์หลิวอวี้กล่าวไว้ นี่คือเรื่องตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว
เว่ยป้อไม่พูด ใครจะสนใจ? ต่อให้พูดไปแล้ว แล้วใครจะเต็มใจฟัง?
มีเพียงอริยะสำนักขงจื๊อเท่านั้นที่เคยอธิบายไว้ว่า หยาง หลิวคือพืชชนิดเดียวกัน กิ่งก้านต่างชูขึ้นสูง
……
เว่ยป้อพลันหันกลับไปมอง แต่กลับมองไม่เห็นเทพแม่น้ำนามว่าหยางฮวาผู้นั้นอีกแล้ว
ส่วนพื้นที่แถบที่ขยับมาทางใต้ยิ่งกว่าภูเขาฉีตุน
ที่นั่นมีโคมไฟดวงใหญ่ดวงหนึ่งลอยขึ้นสูง
มือหนึ่งของผู้ฝึกกระบี่หนุ่มวางไว้บนด้ามกระบี่ตรงเอว กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ดูท่าข้าคงต้องไปเองสักรอบแล้ว”
ทว่าเวลานี้เอง
ท่ามกลางเทือกเขาสูงตระหง่านแห่งหนึ่งริมชายแดนต้าหลี แสงสีขาวเส้นหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นมาจากยอดเขาแล้วพุ่งไปทางทิศเหนืออย่างรวดเร็ว เหมือนดาวตกดวงหนึ่งที่ลากยาวเป็นแสงสีหิมะเส้นหนึ่ง
นั่นคือปราณกระบี่ของกระบี่บินเล่มหนึ่ง!
แต่กลับไม่เห็นเจ้าของกระบี่
ปราณกระบี่ยาวอีกทั้งยังหนักอึ้ง
หนึ่งกระบี่ร่วงลงห่างจากแม่น้ำซิ่วฮวาไปไม่ไกล
หนึ่งกระบี่ทำลายค่ายกลใหญ่ที่แข็งแกร่งดุจพื้นที่ของอริยะ ร่วงลงเบื้องหน้าลาขาวตัวหนึ่งพอดี
ตอนที่ 126
เซียนกระบี่พสุธา
โดย
ProjectZyphon
หนึ่งกระบี่แหวกม่านฟ้าตกลงมาบนถนนใหญ่หน้าประตูจวน
ปราณกระบี่ที่เป็นดั่งแสงดาวตกยังคงทิ้งร่องรอยไว้นับตั้งแต่จุดที่แหวกอาคมขอบเขตจนมาถึงที่แห่งนี้ ไม่สลายไปเป็นนาน คล้ายแสงอาทิตย์แสบตาเส้นหนึ่งที่ลอดผ่านบานหน้าต่างสาดเข้ามาในห้องนอนที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย
ลาขาวเหมือนได้พบคนรู้จักการบ้านเกิด ขยับเท้าวิ่งเป็นวงกลม
ผีสาวชุดแดงอึ้งตะลึงไปอย่างเห็นได้ชัด ในฐานะที่เป็นเจ้าของแผ่นดินแถบนี้ นางสัมผัสได้ถึงอานุภาพของหนึ่งกระบี่นั้นได้ชัดเจนยิ่งกว่าใคร รากฐานภูเขาสั่นคลอน ผิวน้ำเดือดพล่าน หากไม่เป็นเพราะนางใช้ลมปราณอำพรางจวนที่อยู่ด้านหลังตัวเองเอาไว้ เกรงว่าตะเกียงเกือบพันดวงในจวนคงดับไปเกือบครึ่งในรวดเดียว
ผีสาวทั้งตะลึงทั้งโกรธเกรี้ยว ไม่ได้มองไปยังจุดที่กระบี่บินตกลงมา แต่จ้องเขม็งไปยังช่องโหว่บนม่านฟ้าดำมืดที่ไม่มีทางซ่อมแซมได้ ขณะเดียวกันพื้นผิวของชุดเจ้าสาวสีแดงสดของนางก็มีเม็ดเลือดซึมออกมา เหมือนหยดน้ำที่กลิ้งบนใบบัว สุดท้ายยิ่งนานก็ยิ่งมากจนติดต่อกันเป็นแถบๆ
ผีสาวสะบัดชายแขนเสื้อทั้งสองข้าง แหงนหน้าคำรามเดือดดาล “ใครที่บุกเข้ามาที่นี่ล้วนสมควรตาย! เซียนกระบี่จอมโอหัง ข้าจะเด็ดหัวเจ้ามาปลูกในสวนดอกไม้ ให้เจ้ามีชีวิตเหมือนอยู่ไม่สู้ตายไปสิบปีร้อยปี!”
มีเสียงหัวเราะร่าดังมาจากที่ไกลแสนไกล สุดท้ายเสียงนั้นก็มารวมกันอยู่บนกระบี่ที่ลอยอยู่เหนือพื้นดิน น้ำเสียงนั้นไม่เพียงแต่อบอุ่นอ่อนโยน ยังมีท่วงทำนองที่เป็นเอกลักษณ์ ประหนึ่งคุณชายตระกูลสูงศักดิ์ที่พูดถึงความงามแห่งธรรมชาติ ให้ความรู้สึกเหมือนอาบไล้อยู่ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิ ทว่าถ้อยคำนั้นกลับไม่อาจปกปิดความหยิ่งทระนงเทียมฟ้าของตัวเองได้เลย “แม่นางโปรดรอสักครู่ เรือนกายที่มีเลือดเนื้อของข้าน้อยยังมารวมกันได้ไม่มั่นคงพอ เทียบกับความเร็วของกระบี่บินไม่ได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าทัศนียภาพในสวนดอกไม้ของแม่นางเป็นอย่างไร…”
“พื้นที่ไม่กว้าง ทัศนียภาพก็ไม่ดีสักเท่าไหร่ แต่ก็มากพอให้ปลูกหัวคนหัวหนึ่ง!”
สีหน้าที่เดิมทีซีดขาวของผีสาวเปลี่ยนมาเป็นสีม่วงอมเขียวน่าสยดสยองยิ่งกว่าเดิม รอยยิ้มดุดัน ธารน้ำสีแดงสดสองเส้นพุ่งทะลักออกจากชายเขนเสื้อของนางพุ่งเข้าหาม่านฟ้าที่เกิดเป็นรูโหว่
มีคนเอ่ยเสียงดังกังวาน “กระบี่ถึงสิ่งโสมมถอย!”
ม่านฟ้าหนาหนักสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
น้ำไหลสีเลือดสองขุมที่ลอยทวนขึ้นฟ้าไปรวมกันอยู่ตรงช่องโหว่พลันระเบิดกระจายซ่านเซ็นไปแปดทิศอยู่บนท้องฟ้าของฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ ประหนึ่งมีฝนเลือดอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวตกลงมา ร่างของผีสาวสั่นเทิ้ม สะบัดชายแขนเสื้อเบาๆ เม็ดฝนจำนวนนับไม่ถ้วนย้อนกลับเข้ามาในชายแขนเสื้อของนางอีกครั้ง
มีชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีขาวผู้หนึ่งพลิ้วกายลงมาจากท้องฟ้า ทั่วร่างล้อมวนไปด้วยปราณสีขาวขมุกขมัวชั้นหนึ่ง ประหนึ่งไอน้ำเหนือทะเลสาบ ประหนึ่งพายุลมกรดที่พัดอยู่บนยอดเขา ชายหนุ่มรวบผมเป็นมวยสวมกวานครอบแล้วปักปิ่น มือสองข้างประกบกันเป็นกระบี่ ทั่วร่างมีปราณกระบี่มหาศาลหนาใหญ่ดุจแขนของผู้ใหญ่เต็มตัว ส่องแสงสีหิมะพร่าตา เหมือนเจียวหลงสีขาวส่ายสะบัดร่างล้อมวนอยู่รอบกายอย่างรวดเร็ว หากกลิ่นอายของสิ่งชั่วร้ายโสมมและเลือดเหม็นคาวเหล่านั้นปะทะโดนปราณกระบี่ขุมนี้ก็จะแหลกสลายหายวับไปในชั่วพริบตา
มองชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่ยังไม่ถึงวัยตั้งตัว (อายุประมาณสามสิบปี) ที่พลิ้วกายมาอยู่ระหว่างพวกเฉินผิงอันกับผีสาวสวมชุดแต่งงาน กระบี่บินที่อยู่บนพื้นพุ่งสวบหนึ่งทีก็มาอยู่ข้างกายชายหนุ่ม ปลายกระบี่ชี้ไปยังกรอบป้าย “น้ำใสลมแรง” ของจวน
ชายหนุ่มเก็บนิ้วมือลง ปราณกระบี่เปี่ยมล้นที่เหมือนจะรวมตัวกันกลายมาเป็นของจริงหยุดชะงักเล็กน้อย ชายหนุ่มหันหน้าไปมองแล้วเห็นแม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงที่สะพายหีบหนังสือใบเล็ก สายตาชายหนุ่มพลันเลื่อนลอย เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าของเก่าบางชิ้นที่อยู่คู่กายมานานหลายปีไม่ใช่ของตนอีกต่อไปแล้ว แล้วเขาก็คลี่ยิ้มสง่างาม กวักมือเรียกหนึ่งที หีบหนังสือไม้ไผ่สีเขียวมรกตของหลี่เป่าผิงเอียงเล็กน้อย น้ำเต้าสีเงินยวงใบเล็กที่อยู่ด้านในแกว่งไกวเบาๆ กระบี่บินเล่มหนึ่งที่ยาวไม่เกินสองชุ่น ตลอดทั้งเล่มเป็นสีหิมะเงินยวงบินออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ปราณกระบี่ผสานรวมเข้าไปในกระบี่บินอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก ส่วนกระบี่บินก็รีบร้อนบินมายังหว่างคิ้วของชายหนุ่ม พริบตาเดียวก็หายวับไป
เซียนกระบี่หนุ่มนวดคลึงหว่างคิ้ว กล่าวด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน “วันหน้าพวกเรามีสี่สมุทรเป็นบ้าน เจ้าเองก็ไม่ใช่สตรีในห้องหอที่ต้องอยู่ติดบ้านไม่อาจย่างเท้าออกจากเรือนเสียหน่อย”
ลาขาวกระทืบกีบเท้าเบาๆ วิ่งมาหยุดอยู่ข้างกายชายหนุ่มอย่างลิงโลด แล้วใช้ศีรษะถูไถไหล่ของเขาด้วยความใกล้ชิดสนิทสนม
บุรุษยิ้มบางๆ ยื่นมือมาลูบศีรษะของลาขาว “เจ้าเพื่อนยาก ไม่ได้พบกันนาน คิดถึงเจ้าจริงๆ”
เมื่อบุรุษฝืนบุกเข้ามา รูโหว่บนม่านฟ้าก็ค่อยๆ ปิดประสานเข้าด้วยกัน แต่เพราะเหตุนี้จึงต้องสูญเสียปราณวิญญาณของพื้นที่แถบนี้ไปไม่น้อย เวลาเพียงสั้นๆ สมบัติที่เก็บสะสมไว้อย่างน้อยห้าสิบปีล้วนหายไปสิ้น ทั้งหมดล้วนกลายมาเป็นปราณขุ่นมัวที่ไร้ประโยชน์
ผีสาวชุดแต่งงานกลับคืนมาเป็นปกติ นางหัวเราะเสียงเย็นชา “พกกระบี่ ปราณกระบี่ที่ปลดปล่อยไว้ด้านนอก กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต แต่ละอย่างร้ายกาจไม่แพ้กัน ช่างเป็นเซียนกระบี่พสุธาที่องอาจผ่าเผยยิ่งนัก เจ้าคงไม่ใช่คนของต้าหลีกระมัง?”
เซียนกระบี่หนุ่มที่โผล่มาจากฟากฟ้ายิ้มอ่อน “ก็แค่จอกแหนไร้รากเท่านั้น ชื่อแซ่ยิ่งไม่มีค่าพอให้พูดถึง”
หลังกล่าวประโยคนี้จบ บุรุษไม่ใช่แค่หันหน้า แต่หันกลับไปทั้งตัวโดยตรง เผยแผ่นหลังให้กับผีสาวที่สวมชุดเจ้าสาวผู้นั้น เซียนกระบี่พสุธาที่เพิ่งจะออกจากการปิดด่านผู้นี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าถือเป็นเพื่อนของอาเหลียงครึ่งตัว อืม แค่ครึ่งตัวเท่านั้น อีกครึ่งหนึ่งถือว่าเป็นลูกศิษย์ของเขา น่าเสียดายที่อาเหลียงไม่ยอมรับ บอกว่านิสัยข้าคร่ำครึเกินไป กระทำการใดๆ ก็นุ่มนวลเกินไป ดังนั้นจึงออกกระบี่ได้ไม่เร็วพอ หากรับข้าเป็นศิษย์ เขาไม่หน้าหนามากพอให้ขายหน้าคนอื่น ครั้งนี้ข้าเดินทางมาไกลนับพันลี้ก็เพราะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของเจ้าเพื่อนยากกับกระบี่บินในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ขอละลาบละล้วงสักคำ อาเหลียงล่ะ แล้วพวกเจ้าคือ?”
เฉินผิงอันอธิบาย “พวกเราก็เป็นเพื่อนของอาเหลียงเหมือนกัน น้ำเต้าลูกนี้อาเหลียงเป็นคนมอบให้หลี่เป่าผิง ส่วนลาก็ให้หลี่ไหวช่วยดูแล ส่วนอาเหลียงไปที่ไหน เชื่อว่าหลังจากนี้เจ้าน่าจะได้ข่าวเอง”
เมื่อเทียบกับผีสาวชุดแต่งงานตนนั้นแล้ว หลี่ไหวที่ในสมองมีแต่ความคิดประหลาดอยู่ตลอดเวลากลับไม่รู้สึกห่างเหินกับเซียนกระบี่พสุธาที่เป็นเพื่อนอาเหลียงคนนี้แม้แต่น้อย ในสายตาของเด็กชาย เพื่อนของอาเหลียงก็ไม่ใช่เพื่อนของเขาหลี่ไหวด้วยหรือ? ส่วนเจ้าจะใช่เทพเซียนหรือไม่ เป็นเรื่องใหญ่ยิ่งกว่าความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนงั้นหรือ?
เพียงแต่ว่ามรสุมเมื่อครั้งที่เดินทางข้ามผ่านแม่น้ำซิ่วฮวาทำให้หลี่ไหวเหมือนคนที่ถูกงูกัดครั้งหนึ่งกลัวเชือกไปสิบปี ไม่กล้าพูดจาส่งเดชอีก จึงเอาแต่ขยิบตาให้ลาขาวตลอดเวลา
เซียนกระบี่หนุ่มรับฟังถ้อยคำของเด็กหนุ่มรองเท้าแตะอย่างตั้งใจ จากนั้นจึงพยักหน้ารับ “ข้าพอจะเข้าใจแล้ว”
แทบจะทุกคนล้วนสัมผัสได้ว่าพื้นแผ่นดินสั่นสะเทือนเล็กน้อยเหมือนปลาหัวมังกรพลิกตัว คล้ายสัญญาณบอกว่าแนวเทือกเขาจะพังถล่ม ผีสาวสวมชุดแต่งงานหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง กำลังจะเผ่นหนีแต่กลับค้นพบว่าตัวเองถูกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นจับจ้องทิศทางการโคจรลมปราณของนางเอาไว้อย่างแน่นหนา ไม่รู้ว่ากระบี่บินสีขาวหิมะเล่มนั้นมาลอยอยู่เหนือศีรษะของนางไปสามฉื่อตั้งแต่เมื่อไหร่
ไฟโทสะสุมแน่นอยู่เต็มอกของผีสาวสวมชุดแต่งงานจึงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “หันหลางจง เทพแม่น้ำซิ่วฮวา พวกเจ้าจะไม่สนใจบ้างเลยรึ?! หากถูกเทพหยินตนนั้นตัดขาดรากฐานของภูเขาลูกนี้ ตลอดทางขึ้นเหนือไม่เพียงแต่สามแม่น้ำใหญ่ที่รวมแม่น้ำซิ่วฮวาไว้ด้วย ยังมีภูเขาฉีตุน แม่น้ำเถี่ยฝู ลำคลองหลงซวี จะมีที่ใดบ้างที่โชคดีหลุดพ้นหายนะ ไม่ติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย?!”
มีผู้เฒ่าถือโคมใหญ่สีแดงคนหนึ่งยืนอยู่กลางอากาศนอกม่านฟ้า หัวเราะเสียงเย็นชา “บารมีของฉู่ฮูหยินก่อนหน้านี้หายไปไหนหมดแล้วล่ะ”
ผีสาวสีหน้ามืดทะมึน
ข้างกายผู้เฒ่ามีเทพขุนพลฝ่ายบู๊ที่สวมเสื้อเกราะ ตรงแขนมีงูสีดำรัดพันคนหนึ่งเดินออกมาไกล่เกลี่ยสถานการณ์ หลีกเลี่ยงไม่ให้หลางจงกรมพิธีการผู้นี้แตกหักกับฉู่ฮูหยินจริงๆ จนทำลายโชคชะตาของต้าหลี จึงเอ่ยเสียงทุ้มว่า “ฉู่ฮูหยิน ข้ากับหันหลางจงสามารถขัดขวางไม่ให้เทพหยินทำลายรากฐานของภูเขาลูกนี้ แต่พวกเราก็หวังว่าหลังจากนี้ไปการกระทำและคำพูดของฉู่ฮูหยินจะไม่เกินขอบเขตอีก”
ผีสาวที่สวมชุดแต่งงานยิ้มหวาน “หากเชี่ยเซินอยากจะประลองเวทกระบี่กับใต้เท้าเซียนกระบี่ผู้นี้เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ จะถือว่าเป็นการกระทำที่เกินขอบเขตอีกหรือไม่?”
หันหลางจงโกรธจัดจนกลายเป็นขำ “ฉู่ฮูหยินผู้มีจิตใจดั่งพระโพธิสัตว์ตัวดี! วันนี้ข้าผู้แซ่หันนับว่าได้รับคำชี้แนะแล้ว ดีๆๆ! วันหน้ากรมพิธีการของต้าหลีเราจะต้องตอบแทนคืนให้สาสมแน่!”
ผีสาวหลุดหัวเราะพรืด “แค่หลางจงตัวเล็กกลับพูดจาโอหังนัก คิดว่าขู่เด็กน้อยอยู่หรือไง? รอให้เจ้าเป็นเสนาบดีของกรมพิธีการเมื่อไหร่ถึงจะมีสิทธิ์มาชี้ไม้ชี้มือกับเชี่ยเซิน!”
งูดำบนแขนของเทพแม่น้ำท่านนั้นแลบลิ้นรัวเร็วพ่นควันขาวออกมาเป็นระลอก เห็นได้ชัดว่าเขาคุ้นเคยกับวงการขุนนางต้าหลีและทิศทางของสถานการณ์ในอนาคตมากกว่าผีสาวสวมชุดเจ้าสาวที่ตัดขาดจากโลกภายนอก จึงกล่าวด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “ฉู่ฮูหยิน!”
ผีสาวสวมชุดแต่งงานยกมือข้างหนึ่งปิดปากหัวเราะคิกคัก มืออีกข้างยกชายกระโปรง เบี่ยงกายยอบตัวคำนับ “เซี่ยเซินขอโทษใต้เท้าหันก็ได้”
ผู้เฒ่าถือโคมไฟโกรธจนปากเป็นสีเขียว แต่กระนั้นก็ยังกลั้นไว้ไม่พูดอะไร ทุกอย่างล้วนพิจารณาถึงความมั่นคงและสถานการณ์โดยรวมของบ้านเมืองเป็นหลัก
หากไม่เป็นเพราะสาเหตุนี้ มีหรือที่กรมพิธีการต้าหลีจะเลือกหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งกับพฤติกรรมสังหารบัณฑิตที่ผ่านทางอย่างกำเริบเสิบสานของฉู่ฮูหยินตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา?
แต่จะว่าไปแล้ว ผู้เฒ่ากลับไม่รู้สึกว่าราชสำนักต้าหลีทำผิด
ปกครองแผ่นดิน สืบทอดนานนับหมื่นรุ่น
คนตายแค่ไม่กี่คนจะนับเป็นอะไรได้? จะใช่คนบริสุทธิ์ คนโชคร้ายหรือไม่ จะนับเป็นอะไรได้?
เขาไม่ใช่ขุนนางของต้าหลี ไม่ใช่หลางจงกรมพิธีการที่ต้องรับผิดชอบเรื่องการติดต่อเรียกหาตัวผู้ฝึกลมปราณ ด้วยนิสัยของเขา และในฐานะที่เป็นคนของลัทธิขงจื๊อย่อมต้องลงมืออย่างเด็ดเดี่ยว ต่อให้ต้องพินาศกันทั้งสองฝ่ายก็ไม่เสียดาย ทว่าผู้เฒ่าเดินทีละก้าวจนมาถึงตำแหน่งสูงส่งอย่างในวันนี้ เคยผ่านสมรภูมิรบที่คนบาดเจ็บและล้มตายหลายหมื่นหลายแสน เคยเห็นหอสูงจวนใหญ่ของเมืองหลวงต้าหลีเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนาม เคยเห็นการลอบฆ่านักรบเดนตายของแคว้นอื่นที่ทำตัวเหมือนแมงเม่าบินเข้ากองไฟหลายครั้งหลายครา เคยเห็นโศกนาฎกรรมอันน่าอนาถที่เกิดขึ้นกับชาวบ้านนับไม่ถ้วนเพราะการเข่นฆ่าสังหารระหว่างเทพเซียนสองท่านบนภูเขาเพียงครั้งเดียว
อยู่ในตำแหน่งไหน พึงคิดถึงเรื่องของตำแหน่งนั้น
เขาผู้แซ่หันไม่ใช่บัณฑิตยากจนที่มุ่งมั่นศึกษาตำราปราชญ์ รู้จักแต่หลักการในหน้าหนังสือเหมือนในปีนั้นอีกแล้ว
เพื่อกฎหมายของต้าหลีแล้ว เขายังเคยสังหารจอมยุทธ์ชาวบู๊ที่ผดุงความเป็นธรรม บุกขึ้นภูเขาไปแก้แค้นเทพเซียนบนภูเขาเพื่อชาวบ้านผู้บริสุทธิ์กับมือของเขาเอง
คนผู้นั้นบาดเจ็บสาหัส ก่อนตายยังผรุสวาทอย่างเจ็บแค้น บอกว่าต้าหลีที่เป็นอย่างนี้ช่างน่าขำยิ่งนัก ด่าว่าเขาคือสุนัขรับใช้ของเทพเซียนบนภูเขา
เขาบอกกับคนผู้นั้นด้วยจิตใจที่สงบว่า บางทีอีกสามสิบปี ห้าสิบปีให้หลัง สรุปคือต้องมีสักวันหนึ่งที่ต้าหลีจะไม่มีคนที่ต้องตายอย่างอยุติธรรมเช่นเจ้าอีกแล้ว ชาวบู๊ที่จิตใจเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมผู้นั้นจึงกระอักเลือดถ่มใส่หน้าเขาก่อนตาย
ใต้หล้านี้ไหนเลยจะมีเรื่องง่ายดายเพียงนั้น?
ผู้เฒ่าถือโคมที่อารมณ์ซับซ้อนมองไปทางทิศเหนือ ไม่รู้ว่าทำไม ใต้เท้าผู้นั้นของตนถึงได้ไม่รีบร้อนเผยตัวลงมือ
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มไม่ได้สนใจฉู่ฮูหยินหรือหลางจงของต้าหลีอะไรทั้งนั้น ส่วนเทพแม่น้ำ เทพหยิน เขาก็ยิ่งคร้านจะถือสาหาความ เขาแค่หมุนตัวกลับมาอีกครั้ง เผชิญหน้ากับผีสาวชุดแต่งงานที่ถูกกระบี่บินของตนข่มขวัญ เอ่ยถามยิ้มๆ “เจ้าอยากจะประลองเวทกระบี่กับข้า?”
ผีสาวชุดแต่งงานยิ้มตาหยี “หากเป็นเพียงแค่ผิวเผิน เชี่ยเซินก็ยินดี เพราะอย่างไรซะเซียนกระบี่พสุธาที่อายุยังน้อยอย่างคุณชาย เชี่ยเซินก็พบเห็นมาน้อยครั้งในชีวิต”
เซียนกระบี่หนุ่มโบกมือ ลาขาวก็รีบวิ่งกลับไปหาหลี่ไหว ชายหนุ่มชี้นิ้วไปยังกระบี่ที่ลอยอยู่ข้างกาย พยักหน้ารับ “ได้สิ”
ผีสาวชุดแต่งงานหรี่ตาลง “อ้อ? คุณชายเอาจริงรึ?”
หลังจากกุมด้ามกระบี่ไว้ในมือ เซียนกระบี่หนุ่มก็เอ่ยเบาๆ ว่า “กระบี่มีนามว่าเทียนสล้าง”
กล่าวจบก็ฟันฉับลงมาหนึ่งที
ทว่ากลับทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี เป็นเหตุให้โลกใบเล็กที่บรรยากาศอึมครึมมืดสลัวสว่างจ้าทันใด
เพียงชั่วพริบตาปราณกระบี่ก็ฟันเข้าแสกหน้าผีสาว
ผีสาวสวมชุดแต่งงานที่ไม่ทันตั้งตัวได้แต่ยกสองมือขึ้นบังใบหน้า ชายแขนเสื้อกว้างสองฝั่งช่วยบดบังทั่วทั้งกาย
ผีสาวถูกฟันขาดสองท่อนคาที่
เสียงร้องโหยหวนของฉู่ฮูหยินท่านนี้ดังลั่นไปทั่วทั้งถนนใหญ่และจวนโอ่อ่าที่อยู่ด้านหลังผู้คน
เหล่าข้ารับใช้ทั้งหลายที่ยืนทึ่มทื่ออยู่กับที่เริ่มมีเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด บางส่วนนอนพังพาบไปกับพื้นแล้วกลายเป็นน้ำหนองข้นหนืดกองหนึ่ง
ด้านในจวน สตรีบางคนที่เรียนรู้งานบ้านงานเรือนแทงเข็มลงไปบนเนื้อตัวเองเข็มแล้วเข็มเล่ากลับไม่รู้ตัว บ่าวรับใช้ชายบางคนที่กำลังเรียนวรยุทธ์ยืนอยู่ที่เดิม แต่กลับออกหมัดต่อยศีรษะของฝ่ายตรงข้าม แม้ศีรษะจะแหลกเละไปเกินครึ่งก็ยังไม่ยอมหยุดมือ
ผีสาวรีบพุ่งเข้าไปในประตูใหญ่ของจวน ระหว่างเรือนกายที่ถูกผ่าออกเป็นสองท่อนเริ่มมีเส้นใยสีแดงจำนวนนับไม่ถ้วนเหมือนสายใยก้านบัวที่หักท่อนซึ่งเริ่มประสานกันอยู่กลางอากาศอย่างรวดเร็ว
เซียนกระบี่หนุ่มกล่าวเรียบๆ “เอาอีก”
หนึ่งกระบี่วาดออกไปในแนวนอน
แสงกระบี่เส้นหนึ่งปูแผ่ออกไปกลางอากาศคล้ายริ้วแสงที่กระเพื่อมไปบนผิวน้ำ
ผีสาวสวมชุดแต่งงานเหมือน “สาวงามโผล่พ้นน้ำ” ที่ถูกผิวน้ำนี้บั่นเอวขาดท่อน
ชุดเจ้าสาวชุดนั้นร่วงผล็อยลงบนบันไดขั้นบนสุด
ผีสาวกลายร่างเป็นควันดำที่กลิ้งหลุนๆ หายเข้าไปในกรอบป้ายตัวอักษรสีทอง หยดเลือดร่วงลงมาบนพื้นอย่างต่อเนื่อง ใบหน้าของสตรีที่บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดปูดนูนออกมาจากในกรอบป้ายเป็นระยะ ส่งเสียงร้องวิงวอนไม่หยุด “ท่านเซียนกระบี่โปรดไว้ชีวิต!”
เซียนกระบี่หนุ่มลงมือสองครั้ง หนึ่งกระบี่ฟาดลงในแนวตั้ง หนึ่งกระบี่เหวี่ยงไปในแนวขวางเท่านั้น ทว่าแค่นี้ก็ทำให้จิตจิตวิญญาณของผีสาวชุดแต่งงานที่โอหังอย่างถึงที่สุดถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วน จำเป็นต้องกลับเข้าไปในกรอบป้ายที่เป็นดั่ง “รากภูเขาต้นแม่น้ำ” ของฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ถึงจะเอาชีวิตรอดมาได้อย่างถูไถ บนโลกมีคำพังเพยว่า “พึ่งพิงอยู่ใต้ชายคา” อันที่จริงนั่นเป็นการเปิดเผยความลับสวรรค์ส่วนหนึ่งแล้ว ภายใต้ชายคาของมนุษย์ธรรมดาทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นคานบ้านหรือกรอบป้าย อันที่จริงแล้วมักจะซุกซ่อนความลี้ลับที่ยิ่งใหญ่เอาไว้
จิตใจของหลินโส่วอีหวั่นไหว มิน่าเล่าอาเหลียงถึงบอกว่าผู้ฝึกลมปราณบนโลก จิตใจของผู้ฝึกกระบี่สง่างามที่สุด พลังสังหารรุนแรงที่สุด ไม่มีเหตุผลมากที่สุด น่าเสียดายก็แต่หลินโส่วอีมีคุณสมบัติในการฝึกตนที่ดีมาก แต่กลับไม่เหมาะให้ฝึกกระบี่
หลินโส่วอีรู้สึกเสียดายเล็กน้อยแต่เพียงไม่นานก็ยึดมั่นใจในการฝึกตนของตัวเองไว้ได้ วันหน้าหากตนสามารถอาศัยเวทคาถายิ่งใหญ่ค้ำฟ้า เอาชนะเซียนกระบี่พสุธาที่มีเวทกระบี่ร้ายกาจเช่นนี้ได้จะไม่ยิ่งดีกว่าหรอกหรือ?
แต่หลินโส่วอีก็รู้ชัดเจนดีว่า คนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้น่าจะเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนในตำนาน หากจะบอกว่าผู้ที่ฝึกยุทธ์อย่างเดียวมีฐานะต่ำกว่าผู้ฝึกลมปราณระดับหนึ่ง ถ้าเช่นนั้นผู้ฝึกกระบี่ก็คือหนึ่งในผู้ฝึกลมปราณที่มีฐานะเหนือกว่าผู้ฝึกลมปราณทั่วไประดับหนึ่งเสมอ
เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะใครต่างก็ไม่ยินดีจะประมือกับผู้ฝึกกระบี่
เล่าลือกันว่าเคยมีคนคิดคำนวณ ในบรรดาผู้ฝึกลมปราณที่ทำลายสะพานแห่งความอมตะของคู่ต่อสู้มากที่สุด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้ฝึกกระบี่ยึดครองตำแหน่งหนึ่งในสาม อีกทั้งยังชนะนักพรตสำนักการทหารที่ลงมือสังหารอย่างเด็ดขาดไม่สนผลบุญและกรรม ต้องรู้ว่าเส้นทางแห่งการฝึกตนมีนับพันนับหมื่น ทุกเส้นทางล้วนมีโชควาสนา เมธีร้อยสำนัก สำนักหลัก สำนักรอง ฯลฯ ผู้ฝึกกระบี่ก็เป็นแค่หนึ่งในนั้นเท่านั้น
ความคิดของเฉินผิงอันไม่ได้ซับซ้อนอย่างหลิวโส่วอี เขาแค่กำลังพิจารณาเรื่องหนึ่ง ที่แท้กระบี่ก็เอามาใช้แบบนี้ได้ด้วย
เซียนกระบี่หนุ่มมือหนึ่งไพล่หลัง มือหนึ่งถือกระบี่ยาว เอ่ยยิ้มๆ “เรื่องเดียวไม่ควรทำเกินสามครั้ง ฉู่ฮูหยินรับกระบี่จากข้าอีกสักครั้งดีกว่ากระมัง?”
เรือนกายหนึ่งมาปรากฏตัวอยู่เบื้องใต้กรอบป้ายอย่างเงียบเชียบ คือชายหนุ่มที่อายุน้อยเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าหน้าตาไม่โดดเด่น พาดกระบี่ไว้หลังเอวในแนวขวาง เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ พอได้แล้ว”
เซียนกระบี่ชุดขาวเอ่ยยิ้มๆ “ต้องเรียกว่าเว่ยจิ้นแห่งหอเทพเซียนถึงจะถูก”
ไม่พูดอะไรให้มากความ เซียนกระบี่พสุธาที่บอกว่าขอบเขตของตัวเองยังไม่มั่นคงปล่อยกระบี่ออกไปอีกครั้ง
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามสีหน้าไร้อารมณ์ ยื่นมือออกไปกุมด้ามกระบี่แล้วชักออกมาช้าๆ จนกระทั่งได้ชุ่นกว่าก็ไม่ชักออกมาอีก
ทว่าทันใดนั้นตรงกลางระหว่างผู้ฝึกกระบี่ทั้งสองกลับมีเทือกเขาขนาดเล็กกะทัดรัดโผล่ออกมา แนวเทือกเขาทอดยาวคดเคี้ยวลอยค้างอยู่กลางอากาศ
กระบี่ของผู้ฝึกกระบี่หนุ่มเว่ยจิ้นฟันเทือกเขาเส้นนั้นจนขาด แต่ปณิธานในกระบี่นี้ก็ไม่เหลืออยู่อีก เขาจึงไม่ออกกระบี่อย่างไม่เลิกราต่อ
ห่างออกไปไม่รู้กี่พันลี้ เทือกเขาเส้นหนึ่งที่ยาวนับร้อยลี้ ยอดเขาที่สูงที่สุดปริแตกเกิดเป็นหุบเขาขนาดใหญ่ประหนึ่งถูกเซียนใช้กระบี่ฟันเบะ
ตอนที่ 127
คุมเชิง
โดย
ProjectZyphon
เว่ยจิ้นถามยิ้มๆ “เจ้าใช่คนผู้นั้นจากสำนักโม่หรือไม่?”
สีหน้าของผู้ฝึกกระบี่หนุ่มไม่ค่อยน่าดูนัก ในใจคิดว่าผู้อาวุโสอาเหลียงท่านพูดชื่อสักชื่อหนึ่งมันยากนักหรือไง?
เขาพูดกับเว่ยจิ้นว่า “รอสักครู่”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มหันหน้าไปมองผีสาวที่ซ่อนตัวอยู่ในกรอบป้าย ขมวดคิ้วพูด “ฉู่ฮูหยิน เรื่องมาถึงขั้นนี้ เจ้าช่วยแสดงความจริงใจบ้างได้หรือไม่?”
ผีสาวที่ซ่อนวิญญาณอยู่ในกรอบป้ายอักษรทองพยักหน้า จากนั้นม่านฟ้าก็ค่อยๆ หายไป นี่คือปรากฎการณ์ที่ขอบเขตภูเขาและแม่น้ำกำลังจะถอยหาย คล้ายคลึงกับการเปิดประตูต้อนรับแขกของชาวบ้านทั่วไป
ต่อให้นางจะแยกตัวอยู่อย่างสันโดษแค่ไหน แต่ก็ยังเคยได้ยินเรื่องราวมหัศจรรย์มากมายของคนผู้นี้ เกิดมาในสายของจอมยุทธ์พเนจรสำนักโม่ สวามิภักดิ์ต่อต้าหลีพร้อมกับจวี้จื่อท่านหนึ่งของสำนักที่มีฐานะเลื่องลือ จึงถูกฮ่องเต้ต้าหลีปรนนิบัติเป็นแขกผู้ทรงเกียรติ ตอนนี้มีฐานะสำคัญเป็นถึงหนึ่งในผู้พิทักษ์ประตูเมืองหลวงต้าหลี คือหนึ่งในบุคคลสำคัญที่สามารถสยบขวัญกองกำลังบนภูเขาของต้าหลีได้ ว่ากันว่าหากมีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็จะออกเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วสารทิศเพียงลำพัง ทุกครั้งที่เห็นความมหัศจรรย์ของภูเขาและแม่น้ำก็จะจับมาผสานให้เป็นปณิธานกระบี่ของตน
เมื่อเป็นเช่นนี้ตอนที่ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มปรากฏตัว หลางจงของกรมพิธีการกับเทพแม่น้ำซิ่วฮวาที่อยู่บนถนนใหญ่ต่างก็หันมากุมมือคารวะเขา ฝ่ายหลังทำเพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งของคนผู้นี้ในต้าหลีสูงส่งเพียงใด
เทพหยินตนนั้นก็ยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ปราณดุร้ายท่วมเทียมฟ้า เมื่อครู่นี้เขาเกือบจะทุ่มตบะทั้งหมดของตนโดยไม่เสียดายเพื่อตัดขาดรากฐานของภูเขาลูกนี้อย่างเด็ดเดี่ยว หมายจะใช้วิธีปลาตายตาข่ายขาด (เปรียบเปรยว่าต่อสู้จนตายตกไปตามกัน) กับผีสาวสวมชุดแต่งงาน หากรากฐานของภูเขาแตกทลายก็หมายความว่ายันต์คุ้มกันกายของผีสาวไม่เหลืออยู่อีกแล้ว และนางจะต้องสูญเสียความมั่นใจในการต้านทานกับนักพรตขอบเขตสิบไปอย่างสิ้นเชิง
แขนข้างหนึ่งขาวนวลงดงามเหมือนหยกมันแพะยื่นออกมาจากกรอบป้าย ชุดเจ้าสาวที่อยู่บนพื้นขยับเคลื่อนลอยล่องเข้าหากรอบป้าย เมื่อผีสาวมุดออกมาจากกรอบป้ายก็สวมชุดเจ้าสาวชุดนี้อีกครั้ง ก่อนหน้านี้เรือนกายถูกสองกระบี่ของเว่ยจิ้นแห่งหอเทพเซียนผ่าออกเป็นสี่ท่อน ทว่าต่อให้นางตกอยู่ในอันตรายจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด แต่ก็ยังไม่ลืมรักษาความสมบูรณ์แบบของชุดเจ้าสาวชุดนี้ เห็นได้ชัดว่าความทะนุถนอมที่นางมีต่อชุดนี้แทบจะใกล้เคียงกับคำว่ายึดติดอย่างไร้สติ
หลังจากผีสาวพลิ้วกายลงบนพื้นก็เหลือบไปเห็นหีบหนังสือด้านหลังเด็กๆ เหล่านั้น สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนในชั่วพริบตา กลิ่นอายของความดุร้ายทั่วร่างทะยานพรวดพราด แม้ว่าจะพยายามข่มกลั้นเอาไว้แล้ว แต่ความผิดปกติของผีสาวก็ยังเปิดเผยออกมาอย่างปิดไม่มิดอยู่ดี
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มถอนหายใจมองไปยังเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่เคยมีโอกาสได้พบหน้ากันครั้งหนึ่งบนแม่น้ำซิ่วฮวา กล่าวขอร้องด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พวกเจ้าสามคนช่วยเก็บหีบหนังสือลงไปก่อนได้หรือไม่ ความอาฆาตที่ฉู่ฮูหยินผู้นี้มีต่อคนเรียนหนังสือก็เป็นปมทางใจที่ปีนั้นนางละทิ้งตำแหน่งเทพภูเขาและแม่น้ำ ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ยากจะอธิบายให้กระจ่างเพียงประโยคเดียว เฉินผิงอัน หวังเพียงพวกเจ้าจะแสดงความเมตตา เห็นแก่ที่เรื่องราวยังไม่ร้ายแรงบานปลาย ปล่อยผ่านความแค้นครั้งนี้ไป ได้หรือไม่?”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มครุ่นคิดแล้วก็เอ่ยยิ้มๆ ว่า “หากเป็นไปได้ แค่อนุญาตให้ข้าร่ายใช้เวทอำพรางตาก็พอ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ได้สิ”
เพียงไม่นานหีบหนังสือสีเขียวมรกตใบเล็กสามใบก็หายไปจากสายตาของทุกคน แน่นอนว่าหากผู้ฝึกลมปราณเพ่งสมาธิมอง พวกมันก็จะปรากฎให้เห็น
สุดท้ายผู้ฝึกกระบี่หนุ่มหันไปมองเว่ยจิ้น นักพรตห้าขอบเขตบนที่หนุ่มที่สุดของบุรพแจกันสมบัติทวีป อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่พลังการต่อสู้สามารถยกระดับขึ้นไปได้อีกขั้นผู้นี้
อายุไม่ถึงสี่สิบก็เป็นห้าขอบเขตบน ไม่ว่าจะนำไปวางไว้ที่ทวีปใหญ่ใดๆ ต่อให้เป็นทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ก็ถือเป็นความภาคภูมิใจแห่งสวรรค์ที่มากพอจะทำให้ผู้คนครั่นคร้ามเพียงแค่ได้ยินชื่อแล้ว
เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ ซ่งจ่างจิ้งแห่งต้าหลีถือเป็นหยกคู่เหนือใต้ของกลุ่ม “คนหนุ่ม” ตามคำเรียกขานของนักพรตบนภูเขา ตอนนี้คนหนึ่งที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ฝ่าขอบเขตที่สิบเลื่อนสู่ขอบเขตที่สิบเอ็ด อีกคนหนึ่งคือขอบเขตที่สิบที่เรียกว่าขอบเขตปลายทางของวิถีการต่อสู้ในตำนาน ช่างไม่ทำให้คนผิดหวังเลยจริงๆ
คนทั้งสอง “หนึ่งบุ๋นหนึ่งบู๊” ความสำเร็จในอนาคตล้วนไม่อาจประเมิน
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มถามยิ้มๆ “ไม่ทราบว่าเซียนกระบี่เว่ยเดินทางมาต้าหลีครั้งนี้ นอกจากคลี่คลายมรสุมในวันนี้แล้ว ยังมีความคิดอื่นอีกหรือไม่?”
เซียนกระบี่ชุดขาวที่ท่องอยู่ในยุทธภพด้วยฐานะของจอมยุทธ์มาโดยตลอดคลี่ยิ้มถามกลับ “หากไม่มีความคิดอย่างอื่นจะเป็นอย่างไร แล้วถ้ามี จะเป็นอย่างไร?”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “หากเพียงแค่เดินทางมาชมทัศนียภาพ นอกจากพื้นที่ต้องห้ามของต้าหลีแล้ว สถานที่อื่นๆ ล้วนต้อนรับเซียนกระบี่เว่ยให้ไปเยี่ยมเยือน หากไม่รังเกียจ ข้าน้อยยินดีจะเดินทางไปเป็นเพื่อน แต่หากมีเจตนาอื่นเพราะเห็นว่าสถานการณ์ของต้าหลีคลอนแคลน ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยก็จะขวางอยู่ที่นี่ ทดลองด้วยตัวเองว่ากระบี่บินของเซียนกระบี่เว่ยเร็วแค่ไหนกันแน่”
เว่ยจิ้นเก็บกระบี่ในมือที่มีนามว่าเทียนสล้างเอาไปแขวนไว้ข้างเอว “ในศาลลมหิมะ ข้านับถืออาจารย์หร่วนมากที่สุด เพียงแต่ว่าด้วยสาเหตุหลายประการจึงไม่เคยได้พบหน้ากันเสียที คราวนี้พอได้รับข่าวจากป้ายสันติที่อาจารย์หร่วนส่งมาให้จากถ้ำสวรรค์หลีจูจึงรับภารกิจคุ้มครองเด็กๆ เหล่านี้ไปส่งที่ด่านเหย่ฟูชายแดนต้าหลี เพียงแต่ว่าระหว่างทางเจอกับผู้ฝึกกระบี่อาวุโสนามว่าอาเหลียง เขาได้ชี้แนะเวทกระบี่ให้แก่ข้า ถึงได้มีโอกาสปิดด่านฝ่าขอบเขต ดังนั้นข้าเดินทางขึ้นเหนือในครั้งนี้ เจ้าจึงไม่ต้องเป็นกังวลอะไรทั้งสิ้น”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มฝั่งตรงข้ามที่มีเวทกระบี่เลิศล้ำย้ายภูเขาได้ในกระบี่เดียวปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความให้เกียรติ เดิมทีเว่ยจิ้นก็มีนิสัยใจกว้างตรงไปตรงมา จึงไม่ได้มองท่าทีที่ค่อนข้างแข็งกระด้างของเขาเป็นการท้าทาย และตอบด้วยความจริงใจว่า “หากเจ้าคิดจะประลองเวทกระบี่ ข้าเต็มใจอย่างมาก เดิมทีนึกว่าไม่มีความจำเป็นให้ต้องท่องเที่ยวหาประสบการณ์ในแจกันสมบัติทวีปที่เป็นบ้านเกิดแห่งนี้อีกต่อไปแล้ว ได้ยินอาเหลียงเล่าถึงเรื่องมากมายเกี่ยวกับภายนอก ข้าจึงอยากจะไปดูที่ภูเขาห้อยหัวสักครั้ง ไปยังสถานที่ที่อาเหลียงฝึกปรือฝีมือเพื่อขัดเกลาวิถีกระบี่ของตัวเองอย่างแท้จริง”
แล้วก็เพราะเคยไปเยือนมาหลายสถานที่ เคยพบเจอคนหลายคน เว่ยจิ้นถึงได้รู้ดีถึงความล้ำค่าของสองคำว่า “ยืนหยัด”
ผู้เฒ่าตาบอดหาโอกาสสอดปากไม่ได้ แล้วก็ไม่มีความกล้ามากพอให้เอื้อนเอ่ยด้วย
เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะที่มีชื่อเสียงเลื่องระบือเพียงคนเดียวก็มากพอให้นักพรตเฒ่าที่เป็นเพียงผู้ฝึกตนนอกทางรู้สึกหายใจไม่ออกแล้ว
นักพรตห้าขอบเขตบนคนหนึ่งที่อยู่ในบุรพแจกันสมบัติทวีปคือบุคคลที่หายากดุจขนหงส์เขากิเลน ต้องรู้ว่านักพรตขอบเขตสิบถือเป็นเสาหลักของหนึ่งแคว้นแล้ว ไม่มีใครที่ไม่ถูกฮ่องเต้มองเป็นผู้ประคับประคองชะตาบ้านเมือง ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนคนใดบ้างที่ไม่ใช่มังกรเทพเห็นหัวไม่เห็นหาง นั่นคือบุคคลที่มีความสามารถมากพอจะเปิดภูเขาตั้งสำนัก แจกันสมบัติทวีมีราชวงศ์มากมายดุจต้นไม้ในผืนป่า แต่ตระกูลเซียนที่สามารถมีคำว่าสำนักเสริมท้ายมีสักกี่ตระกูลกัน? น้อยจนนับนิ้วได้!
เว่ยจิ้นยกสองมือขึ้นกุมประสาน เอ่ยกับผู้ฝึกกระบี่หนุ่ม “ไว้เจอกันใหม่”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มเองก็กุมมือคำนับกลับคืน “หวังว่าในอนาคตจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับเจ้าที่ส่งมาจากภูเขาห้อยหัว”
ผู้ฝึกกระบี่ทั้งสองสบตาแล้วยิ้มให้กัน
คนบางคนคบกันจนผมขาวก็ยังเหมือนคนแปลกหน้า คนบางคนเพียงแค่พบหน้ากลับเหมือนสหายที่สนิทกันมานาน ก็คือหลักการนี้นี่เอง
เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “ไปกันเถอะ”
หลี่เป่าผิง หลี่ไหวและหลินโส่วอีพากันพยักหน้ารับ
ผู้เฒ่าตาบอดกัดฟัน ปลุกความกล้าเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “เซียนซือ (คำเรียกขานเซียนที่แสดงถึงความให้เกียรติ) ท่านนี้ นักพรตผู้ต่ำต้อยมีลูกศิษย์อยู่สองคนที่ถูกฉู่ฮูหยินรั้งไว้ให้…เป็นแขกอยู่ในจวน ขอให้นักพรตผู้ต่ำต้อยพาพวกเขาจากไปด้วยได้หรือไม่? นักพรตผู้ต่ำต้อยกลัวก็แต่พวกลูกศิษย์จะเกเรไม่รู้ความ อาจจะทำลายกฎเกณฑ์ของฉู่ฮูหยินโดยไม่ทันระวัง…”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มหันหน้าไปพูดกับผีสาวชุดแต่งงานด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฉู่ฮูหยิน ปล่อยพวกเขาได้หรือไม่?”
ผีสาวชุดแต่งงานพยักหน้ารับ “ในเมื่อใต้เท้าออกปากแล้ว เชี่ยเซินจะกล้าไม่ปฏิบัติตามได้อย่างไร”
ผู้เฝ้าประตูเมืองหลวงที่เก็บซ่อนตัวลึกล้ำดันกระบี่ออกจากฝักเพียงแค่ชุ่นกว่าก็สามารถต้านรับกระบี่ที่สามของเว่ยจิ้นได้แล้ว ฝีมือของเขามีมากน้อยแค่ไหน ผีสาวชุดแต่งงานรู้ดีอยู่แก่ใจตัวเอง แต่สรุปก็คือนางไม่สามารถต้านทานได้ ต่อให้เป็นนางตอนที่อยู่ในสภาวะพร้อมรบสูงสุด ได้รับการปกป้องจากขุนเขาและแม่น้ำที่เป็นถิ่นของตน เกรงว่าก็คงยังไม่มีความหมายอะไรอยู่ดี
แล้วนับประสาอะไรกับที่นางยังไม่ใช่ขอบเขตสิบอย่างแท้จริง และสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าผู้ฝึกกระบี่นิสัยประหลาดที่มาจากสายจอมยุทธ์พเนจรสำนักโม่ผู้นี้จะใช่เซียนกระบี่พสุธาขอบเขตที่สิบเอ็ดอย่างเว่ยจิ้นหรือไม่
นางหรี่ตามองกลุ่มเด็กหนุ่มเด็กสาวด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย หากไม่เป็นเพราะในกลุ่มพวกเขาที่มีคนทำให้ตนจุดโคมไม่ได้ อีกทั้งเห็นสภาพน่ารังเกียจแบกหีบหนังสือออกทัศนาจรของพวกเขา นางจะตกอยู่ในสภาพชวนสังเวชอย่างในตอนนี้หรือ ไม่เพียงแต่ต้องรับสองกระบี่ของเซียนกระบี่เว่ยจิ้น แม้แต่รากฐานภูเขาและต้นกำเนิดแม่น้ำก็ยังเกือบจะถูกเทพหยินผู้นั้นทำลายล้าง
เว่ยจิ้นจูงลาขาว หันมาถามพวกเฉินผิงอันยิ้มๆ “ถ้าอย่างนั้นพวกเราออกเดินทางกันเลยไหม?”
เฉินผิงอันย่อมไม่มีความเห็นต่าง
หลังจากมีเซียนกระบี่พสุธามาเป็นเพื่อนร่วมเดินทางเพิ่มอีกคนหนึ่ง พวกเขาก็เดินจากไปช้าๆ ทั้งอย่างนี้
หลี่เป่าผิงวิ่งมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน “อาจารย์อาน้อย”
เฉินผิงอันถามเสียงเบา “ทำไมหรือ?”
หลี่เป่าผิงหัวเราะหึๆ “ไม่มีอะไร!”
เฉินผิงอันลูบศีรษะของนาง
แม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงเดินเคียงไปกับเฉินผิงอัน อันที่จริงนางค่อนข้างคิดถึงพี่ชายใหญ่ของตัวเอง
ผีสาวชุดแต่งงานกวักมือหนึ่งครั้งก็กระชากเอาร่างของเด็กหนุ่มขาเป๋และแม่นางน้อยหน้ากลมออกจากสวนดอกไม้ มาโยนลงข้างกายผู้เฒ่าตาบอด
หลังจากนั้นหางตาของนางก็เหลือบมองไปยังทิศทางหนึ่ง ผีสาวสวมชุดแต่งงานจึงเห็นว่าเด็กหนุ่มรองเท้าแตะหันหน้ากลับมามองพอดี
ทั้งสองฝ่ายจึงประสานสายตากัน
สายตาเด็กหนุ่มเย็นชา
วินาทีนั้นผีสาวสวมชุดแต่งงานพลันเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาในหัวใจ
เพียงแต่ไม่นานนางก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องน่าขำอย่างถึงที่สุด จึงถอนสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว ไม่สิ้นเปลืองเวลากับเด็กหนุ่มธรรมดาคนนั้นอีก ผีสาวชุดเจ้าสาวไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองถึงเกิดความคลางแคลงใจเช่นนี้
หลังจากนั้นรอจนนางหันกลับไปมองอีกครั้งเหมือนถูกผีอำ เด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่เดินจากไปก็หันหลังให้นาง ขยับไปอยู่ท้ายสุดของขบวนอย่างเป็นธรรมชาติแล้ว
……
สี่แซ่สิบตระกูลบนถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่ ตลอดหลายร้อยหลายพันปีที่ผ่านมา ลำพังเพียงแค่การแก่งแย่งชิงดีกันของเตาเผามังกรสามสิบกว่าแห่งก็เต็มเปี่ยมไปด้วยกลอุบาย ไม่ขาดกลิ่นคาวเลือด เพียงแต่ว่าตอนนี้เมื่อกลายมาเป็นอำเภอหลงเฉวียนอย่างเปิดเผย พวกเขาก็จำเป็นต้องสามัคคีปรองดองกัน ทว่าโดยส่วนตัวแล้วมีใครบ้างที่ไม่แอบติดต่อกับราชสำนักต้าหลี ไม่แอบมีความสัมพันธ์กับกองกำลังตระกูลเซียนทั้งหลายที่ซื้อภูเขาอย่างลับๆ?
ข่าวลือบางอย่างที่เล่าลือกันภายนอกเหมือนว่าจะเป็นความจริง แต่อันที่จริงแล้วหนึ่งตรอกหนึ่งถนนนี้กลับไม่เห็นเป็นจริงเป็นจัง ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่บอกว่าสกุลหลี่หนึ่งในสี่แซ่มีมังกรกิเลนหงส์ (สามในสี่สัตว์มงคล เปรียบเปรยถึงความล้ำค่าสูงศักดิ์) เมื่ออาจารย์ของหลี่เป่าผิง เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาซานหยาผู้นั้นเสียชีวิตไปอย่างน่าหดหู่ ก็ยิ่งเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะ หันกลับมามองเด็กนักเรียนอายุน้อยหลายคนที่รวมจ้าวเหยาเป็นหนึ่งในนั้น เด็กหนุ่มเด็กสาวที่มีหวังว่าจะกลายเป็นเทพเซียนบนภูเขาอย่างแท้จริงเหล่านี้ต่างหากถึงจะเป็นบุคคลที่ทุกตระกูลในเมืองเล็กไม่อาจดูแคลนได้ แต่ได้ยินว่าบุตรชายคนที่สองของประมุขสกุลหลี่ หลี่เป่าเจินพบเจอกับผู้สูงศักดิ์ระหว่างเดินทางไปเมืองหลวง จึงได้รับข้อยกเว้นให้กลายเป็นลูกศิษย์ของกั๋วจื่อเจียนโดยตรง ติดตามหลิวเหวินหู่ขุนนางผู้มีชื่อเสียงของราชสำนักปัจจุบันเรียนรู้ “พิธีการใหญ่” เรื่องนี้จึงสร้างมรสุมเล็กๆ ขึ้นมาในเมืองหลวงพักหนึ่ง
ส่วนบุตรชายคนโตของหลี่หง ในความทรงจำของพวกผู้ใหญ่ทุกคนบนถนนฝูลวี่ก็คือหนอนหนังสือที่ดีแต่อ่านหนังสือจนทึ่มทื่อ ส่วนหลี่เป่าผิงบุตรสาวคนเล็กของเขาก็คือเด็กบ้าที่ไม่เคยอยู่ติดบ้านมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย นอกจากนี้ก็ไม่มีความมหัศจรรย์ตรงไหนอีก มีเพียงหลี่เป่าเจินเท่านั้นที่พอจะยังความหวังจะสร้างเกียรติยศแก่วงศ์ตระกูลได้บ้าง
ในห้องหนังสือของตระกูลหลี่ เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีสีหน้าเย็นชาห่างเหินส่งจดหมายจากเมืองหลวงต้าหลีฉบับหนึ่งให้แก่หลี่หงบิดาของตน
หลี่หงยิ้มเอ่ย “เป่าเจินก็เหมือนกับน้องสาวของเขา ยอมส่งจดหมายมาให้พี่ชายใหญ่อย่างเจ้า แต่ไม่ยอมส่งจะหมายมาหาพ่อแม่ตัวเอง”
เด็กหนุ่มยิ้มขื่น ตอบเบาๆ ว่า “ท่านพ่อโปรดเตรียมใจกับเนื้อหาที่เขียนไว้ในหนังสือสักหน่อย”
สีหน้าของหลี่หงแข็งค้างในชั่วพริบตา หลังจากดึงจดหมายออกมาแล้วก็กวาดตาอ่านถ้อยคำทักทายปราศรัยช่วงตอนต้น แต่ยิ่งขยับมาช่วงท้าย สายตาก็ยิ่งเปลี่ยนมาเป็นเครียดขรึม บุรุษลุกขึ้นจุดตะเกียงหนึ่งดวง วางไว้กลางอ่างล้างพู่กัน แล้วเผาจดหมายฉบับนี้ทิ้ง ขี้เถ้าค่อยๆ ตกลงในอ่างล้างพู่กันสีเขียวผลลูกเหมยประณีตงดงาม สุดท้ายบุรุษให้ข้อสรุปแบบตอกตะปูปิดฝาโลงแก่การกระทำของลูกชายตัวเองด้วยคำสองคำ “เหลวไหล”
หลี่หงถาม “เจ้าคิดว่าอย่างไร? จะฟังคำแนะนำจากน้องชายของเจ้า ช่วยเอาสัญญาทาสของบรรพบุรุษพ่อลูกจูเหอจูลู่ที่อยู่ในมือตระกูลหลี่ของพวกเราไปลบทิ้งที่ที่ว่าการอำเภอ ช่วยให้พวกเขากลับมาเป็นชาวบ้านทั่วไปหรือไม่?”
หากพ่อลูกตระกูลจูสามารถเปลี่ยนสำมะโนครัวได้สำเร็จ ถูกลบสถานะทาสของสกุลหลี่บนถนนฝูลวี่อำเภอหลงเฉวียนทิ้ง ได้รับสถานะเป็นชาวบ้านทั่วไป นับจากนี้ลูกหลานก็ไม่ต้องตกเป็นบ่าวทุกรุ่นทุกสมัย จะใช้คำว่าปลาหลีกระโดดข้ามประตูมังกรมาบรรยายก็ไม่เกินจริงแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าแม้ยามเฝ้าประตูบ้านเสนาบดีก็อาจเป็นขุนนางขั้นเจ็ดได้ ทั้งหมดจึงล้วนต้องดูที่ว่าความสามารถของคนที่จะหลุดจากสัญญาทาสนั้นสูงหรือต่ำ หากเป็นพวกที่ดีแต่ประจบสอพลอ ก็คงต้องพึ่งพาต้นไม้ใหญ่ถึงจะมั่นคงยิ่งกว่าเดิม หากเป็นผู้ที่มีความสามารถจริงๆ แน่นอนว่าเมื่อตั้งตนเป็นอิสระได้แล้วก็จะยิ่งมีอนาคตยาวไกล
เด็กหนุ่มยิ้มเจื่อน “ท่านพ่อ ท่านตัดสินใจได้แล้ว”
หลี่หงเอนตัวไปพิงพนักเก้าอี้ด้านหลัง ใช้สองมือนวดคลึงจุดไท่หยาง “แต่ข้ายังอยากจะฟังความเห็นของเจ้า ตระกูลหนึ่งไม่ควรเอาแต่คิดจะแสวงหาความร่ำรวยจากการเสี่ยงภัย”
เด็กหนุ่มนั่งอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ตรงนั้น ดวงตาเป็นประกายเจิดจ้า “จุดที่เป็นปัญหาอย่างแท้จริงอยู่ที่ว่า ไม่ว่าท่านพ่อจะลำเอียงเข้าข้างฝ่ายไหนก็ล้วนทำให้คนของอีกฝ่ายหนึ่งเกิดความห่างเหินต่อตระกูล ดังนั้นครั้งนี้เป่าเจินทำไม่ถูก และการกระทำโดยพลการของเป่าเจินที่ไม่เหลือทางถอยให้กับตัวเองและตระกูลก็ยิ่งทำไม่ถูก ทำแบบนี้ไม่มีคุณธรรม และทำผิดต่อเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงที่ชื่อเฉินผิงอันผู้นั้นมากที่สุด”
หลี่หงมองบุตรชายคนโตของตัวเองด้วยสายตาซับซ้อน “เป่าเจินมีนิสัยอย่างไร เจ้าที่เป็นพี่ชายจะไม่รู้เชียวหรือ? หากรู้แต่แรกว่าจะต้องตกอยู่ในสภาวะกระอักกระอ่วนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างในตอนนี้ ทำไมตอนนั้นเจ้าถึงไม่ไปเมืองหลวงพร้อมกับเขา?”
เด็กหนุ่มกล่าวอย่างจนใจ “ท่านปู่ปิดด่าน เป่าผิงจากบ้านเดินทางไกล บวกกับสถานการณ์ของเมืองเล็กที่พลิกกลับตาลปัตร เป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะตัดสินทิศทางการดำเนินไปของแต่ละตระกูลใหญ่ในอนาคต สกุลหลี่ของพวกเราไม่อาจทำตัวเป็นเงาใต้โคมไฟ ข้าจากไปคงไม่สบายใจ ต่อให้จะไปก็ต้องรอให้สถานการณ์ทางฝั่งนี้ชัดเจนเสียก่อน หากไม่ได้จริงๆ เรื่องสอบเคอจวี่ก็สามารถปล่อยไปก่อนได้”
ได้ยินคำพูดที่หนักแน่นสุขุมช่วงต้น หลี่หงก็พยักหน้ารับน้อยๆ รอจนบุตรชายคนโตเอ่ยประโยคสุดท้าย หลี่หงพลันร้อนใจ ยืดเอวตั้งตรง เอ่ยเสียงดัง “ไม่ได้เด็ดขาด! สอบเคอจวี่คัดตัวขุนนางคือนโยบายบ้านเมืองที่สำคัญในสำคัญของต้าหลี ไม่เป็นรองเรื่องที่ราชสำนักชักชวนกองกำลังบนภูเขาเลย! หลี่เป่าเจินใจร้อนกว่าเจ้า ก่อนจะจากบ้านไป แม้จะพูดต่อหน้าข้าและท่านปู่ของพวกเจ้าว่าก่อนจะออกจากเมืองเล็ก เขาจะเคารพในกฎเกณฑ์ ใช้แผนการที่ตรงไปตรงมา จะไม่เลือกเดินทางเสี่ยงโดยหวังว่าจะโชคดีเด็ดขาด แต่ผลเป็นอย่างไร เขาก็ยังเลือกจะประหารก่อนค่อยรายงานไม่ใช่หรือ? ดังนั้นจึงได้แต่ปล่อยให้เขาทำตัวเหลวไหลต่อไป เมื่อเป็นเช่นนี้ หากเจ้ายังถ่วงเรื่องการสอบเคอจวี่ออกไป ก็เท่ากับรั้งฝีเท้าของตระกูลให้ก้าวช้าไปอย่างน้อยสามปี!”
เด็กหนุ่มกลืนคำพูดที่มารอตรงริมฝีปากกลับลงไปเงียบๆ
หากเขาพูดออกมาก็หมายความว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับน้องชายที่เดิมทีไม่ค่อยดีนักตกวูบลงเหวไปในชั่วพริบตา ซ้ำยังถึงขั้นที่ไม่มีโอกาสจะซ่อมแซมแก้ไขด้วย
อีกอย่างพูดไปแล้วก็ไม่มีความหมาย เพราะลึกๆ ในใจบิดาก็ไม่ได้ปฏิเสธการเสี่ยงอันตรายเพื่อแสวงหาความสูงศักดิ์ของน้องชาย
บนเส้นทางแห่งความผิดพลาด ออกเดินทางล่วงหน้าก่อนสามปี บนเส้นทางแห่งความถูกต้อง อดทนจำศีลรอสามปี ความต่างในการส่งผลกระทบที่ทั้งสองสิ่งมีต่อสกุลหลี่ในอนาคตไปอีกสามสิบปี ไปอีกสองชั่วคนนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ได้
หลังจากที่เด็กหนุ่มออกจากห้องหนังสือ มาเดินเพียงลำพังบนระเบียงกว้างขวางที่สลักรูปดอกไม้งดงาม เขาพลันได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งของกระดิ่งลมที่แขวนไว้ใต้ชายคา
เขารวบชายแขนเสื้อหลับตา เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย รับฟังเสียงกรุ๊งกริ๊งที่ดังกังวานในอากาศ แล้วพึมพำว่า “คนฉลาดมีมากเกินไปก็ไม่ใช่เรื่อง”
บัณฑิตชุดเขียว นามว่าหลี่ซีเซิ่ง
ตอนที่ 128
ภาพมหัศจรรย์
โดย
ProjectZyphon
ไม่มีผีสาวชุดแต่งงานแอบเล่นงานอย่างลับๆ พวกเฉินผิงอันจึงเดินทางได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค
ในพื้นที่ว่างระหว่างหุบเขามีเส้นทางสายหนึ่งที่ทอดยาวไปถึงจวนหลังนั้น เดิมทีรถม้าสองคันสามารถขับเคียงคู่กันไปได้ แม้ว่าตอนนี้จะมีพุ่มหญ้าขึ้นรก พร่างพรมด้วยหยาดน้ำฝนและไอเย็น แต่เมื่อเทียบกับเส้นทางที่หลังออกมาจากเส้นทางน้ำพุเหลืองเพราะอาศัยยันต์ทำลายเวทอำพรางตา แล้วเฉินผิงอันต้องใช้ดาบยันต์มงคลบุกเบิกฝ่าออกไปแล้วก็นับว่าดีกว่าเยอะมาก
หลังจากที่เข้ามารวมกลุ่ม บุรุษที่ถูกผีสาวสวมชุดแต่งงานเรียกขานเป็นเซียนกระบี่พสุธาก็พลันเงียบงัน เซียนกระบี่จากศาลลมหิมะและหอเทพเซียนท่านนี้ มือหนึ่งจูงลาขาว อีกมือหนึ่งจับด้ามกระบี่ตรงเอว หลับตาเดินด้วยจิตใจที่ล่องลอยไปไกล
หากจะบอกว่าระหว่างห้าขอบเขตล่างกับห้าขอบเขตกลางมีร่องลึกเส้นหนึ่งขวางกั้นอยู่ ถ้าอย่างนั้นระหว่างขอบเขตที่สิบกับขอบเขตที่สิบเอ็ดก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีปราการธรรมชาติกั้นขวาง ต่อให้ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตที่สิบจะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังซึ่งมีสถานะสูงส่งเป็นดั่งเสาคานของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ด้านล่างภูเขา ก็ยังจำเป็นต้องทำตัวเป็นเหมือนสุสานเดียวดายอยู่หลายสิบปีหรืออาจถึงขั้นเป็นร้อยปี สุดท้ายกว่าจะคลำเจอโอกาสฝ่าขอบเขตที่ “เป็นจุดเปลี่ยน” ของชะตาอันมืดมน ได้ออกจากถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล เดินลงไปจากภูเขา แต่ถึงท้ายที่สุดกลับได้มาเพียงความว่างเปล่าดั่งใช้ตะกร้าไม้ไผ่สานตักน้ำ ต้องย้อนกลับไปนั่งเดียวดายอยู่บนภูเขาก็มีให้เห็นอยู่ไม่น้อย
เว่ยจิ้นสิ้นสุดคาถาเข้าฌานที่มีเฉพาะในศาลลมหิมะอย่างเงียบเชียบ เมื่อลืมตาขึ้นก็หันหน้ากลับไปมองประเมินพวกเด็กๆ ที่สนิทสนมกับอาเหลียง เพียงแต่ความคิดในใจของเซียนกระบี่ชุดขาวผู้นี้กลับยังวนเวียนอยู่กับเรื่องพิธีเซ่นไหว้ของศาลลมหิมะที่ไม่อาจฝ่าฟันไปได้เสียที หลายปีมาแล้วที่เขาไม่อาจไปคำนับสุราต่อหน้าหลุมศพของอาจารย์ อีกอย่างก็คือหลังจากได้ยินเรื่องเล่าเรื่อยเปื่อยเหล่านั้นของอาเหลียง เว่ยจิ้นจึงเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังที่จะได้เห็นภูเขาห้อยหัวอันเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างสองใต้หล้า สำหรับกำแพงเมืองที่ด้านบนกำแพงมีแต่ผู้ฝึกกระบี่ก็ยิ่งเลื่อมใสใฝ่หา
เว่ยจิ้นถอนหายใจ รู้สึกเหมือนยังไม่หายอยาก
หากก่อนหน้านี้ตอนอยู่ใต้กรอบป้าย “น้ำใสลมแรง” แล้วเรือนกายที่มีเลือดเนื้อของเขามั่นคง ผสานรวมกับปราณกระบี่ได้อย่างสมบูรณ์แบบจนถึงขั้นเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน ถ้าเช่นนั้นการออกกระบี่ของเขาก็คงไม่มีข้อบกพร่องใดๆ และเกรงว่าตอนที่จอมยุทธ์พเนจรของสำนักโม่ออกหน้าขัดขวางเขาคงไม่ใช่แค่ชักกระบี่หนึ่งชุ่น อย่างน้อยสุดก็ควรต้องชักออกมาถึงครึ่งหนึ่ง
หลี่ไหวมองเทพเซียนชุดขาวที่สายตาเลื่อนลอยด้วยความสนใจใคร่รู้ แม้จะใคร่รู้ แต่ขณะเดียวกันก็เสียดายอย่างมาก หากอาเหลียงอยู่ตรงนี้ด้วยก็คงจะดี หลี่ไหวอยากตบไหล่อาเหลียงแล้วบอกว่าเขาต่างหากที่เป็นยอดฝีมือเวทกระบี่ที่แท้จริง เจ้าอาเหลียงยังห่างชั้นไปหน่อย วันหน้าต้องเรียนรู้จากคนอื่นเขาให้มาก ดูการเปิดตัวของเว่ยจิ้นสิ คนยังไม่เผยกายกระบี่บินก็มาถึงแล้ว ปราณกระบี่ล้อมวนอยู่รอบชุดขาว เล่นงานเสียจนผีสาวตัวร้ายผู้นั้นร้องหาพ่อเรียกหาแม่ ปรากฏตัวทีทำเอาฟ้าสะท้านดินสะเทือน เจ้าอาเหลียงที่สวมงอบจูงลาเดินอยู่ข้างแม่น้ำจะเปรียบเทียบกับเขาได้อย่างไร?
หลังจากหลินโส่วอีค้นพบว่าเว่ยจิ้นมองประเมินพวกเขา แล้วสังเกตเห็นว่าผู้ฝึกกระบี่ศาลลมหิมะผู้นี้จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เด็กหนุ่มผู้เย็นชาก็จับประคองหีบหนังสือของตัวเองอย่างไม่กระโตกกระตาก ครุ่นคิดถึงเรื่องการฝึกตนของตัวเอง
เคยได้เห็นเวทอภินิหารลึกล้ำไม่อาจประเมินการณ์ของผีสาวชุดแต่งงาน ได้เห็นการประลองเวทกระบี่ของเซียนกระบี่ทั้งสอง หลินโส่วอีก็ให้หนักใจ ภารกิจหนักอึ้งและหนทางยังยาวไกล ตบะเพียงเล็กน้อยแค่นั้นของตน ตอนนี้ยังไม่มากพอจะยัดซอกฟันของคนอื่นเลยด้วยซ้ำ
เว่ยจิ้นถอนสายตาที่เลื่อนลอยกลับคืนมา หยุดฝีเท้า หยิบป้ายหยกมันแพะเป็นประกายแวววาวชิ้นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ยิ้มแล้วกล่าวตรงไปตรงมา “ข้าไม่สามารถติดตามพวกเจ้าไปถึงด่านเหย่ฝูของชายแดนต้าหลีได้ จำเป็นต้องกลับไปที่ถ้ำสวรรค์หลีจูทันที ไปฝึกปรือขัดเลากระบี่เทียนสล้างและกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่แท่นสังหารมังกรของที่นั่น เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการไปภูเขาห้อยหัว เพราะผู้อาวุโสอาเหลียงเคยบอกว่า ที่แห่งนั้นที่ต้องข้ามผ่านภูเขาห้อยหัวไป ตอนนี้กำลังมีสงครามใหญ่ที่ร้อยปีจะพานพบสักครั้ง ข้าจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด”
เว่ยจิ้นเห็นว่าไม่มีใครยื่นมือออกมารับป้ายหยกจึงอธิบายด้วยความอดทนว่า “แม้ว่าพวกเจ้าจะมีเทพหยินที่พลังอำนาจไม่อาจดูแคลนคอยคุ้มครองอยู่ก่อนแล้ว แต่เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ไม่ให้เกิดอุบัติเหตุอย่างในวันนี้ขึ้นอีกครั้ง ข้าจึงมอบป้ายหยกชิ้นนี้ให้แก่พวกเจ้า นี่คือ ‘แผ่นหยกสันติสุขของศาลบนภูเขา’ ที่มีเฉพาะในเขาเจินอู่และศาลลมหิมะพวกเราเท่านั้น หากพบเจอกับอันตราย ขอแค่กรอกปราณของผู้ครอบครองเข้าไปแล้วถ่ายทอดคำพูดให้กับมัน พอปล่อยมือมันจะบินไปยังศาลบนภูเขา ขอความช่วยเหลือจากสำนักด้วยตัวเอง”
เว่ยจิ้นเห็นว่ายังคงไม่มีใครยอมรับแผ่นหยกที่มีความหมายสำคัญชิ้นนี้ก็ไม่ได้ตำหนิพวกเด็กๆ ที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ กลับหัวเราะแล้วพูดต่อว่า “หากพวกเจ้ารู้สึกว่าให้ข้าไปที่ด่านเหย่ฟูเป็นเพื่อนพวกเจ้าแล้วสบายใจยิ่งกว่าถือป้ายหยกเล็กๆ ชิ้นเดียวนี้ ข้าก็ไม่มีทางปฏิเสธหน้าที่ความรับผิดชอบ ข้าก็แค่ปรึกษากับพวกเจ้าเท่านั้น สุดท้ายจะเป็นอย่างไรยังต้องดูที่ความต้องการของพวกเจ้า”
เฉินผิงอันเปิดปาก “ผู้อาวุโสเซียนกระบี่สามารถเดินทางไปที่อำเภอหลงเฉวียนเพื่อหาแท่นสังหารมังกรมาลับคมกระบี่ได้เลย พวกเราจะรับป้ายหยกแผ่นนี้ไว้ เดิมทีการเดินทางไปยังด่านเหย่ฟูครั้งนี้ก็มีผู้อาวุโสเทพหยินคุ้มครองอยู่แล้ว บวกกับที่ก่อนหน้านี้ราชสำนักต้าหลีเคยรับปากพวกเราไว้ ดังนั้นคนทั้งสามถึงได้มาปรากฏตัวอยู่ข้างผีสาว แม้อาจจะมาช้าไปบ้าง แต่จะอย่างไรก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพวกเขารักษาคำพูดของตัวเอง”
เฉินผิงอันครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยอย่างจริงจังว่า “เชื่อว่าหลังจากนี้คงไม่มีเรื่องไม่คาดคิดที่ใหญ่เท่าวันนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก”
เขารับป้ายมาแล้วส่งต่อให้หลินโส่วอี กำชับเสียงเบา “เก็บรักษาไว้ให้ดี ทางที่ดีที่สุดอย่าเก็บไว้ในหีบหนังสือ อยู่ไกลเกินไป เวลามีเรื่องเร่งด่วนจะหยิบออกมาได้ไม่สะดวก”
หลินโส่วอีพยักหน้ารับ เอ่ยเสียงเบา “ข้ารู้แล้ว จะเอามันเก็บไว้ในชายแขนเสื้อพร้อมกับยันต์ที่เหลืออีกสองแผ่น”
เว่ยจิ้นยิ้มอย่างเข้าใจ รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยกับความเข้าใจและรู้ความของเด็กหนุ่มรองเท้าแตะคนนี้ อันที่จริงตอนแรกเว่ยจิ้นยังรู้สึกสงสัยอยู่บ้างว่าทำไมคนผู้นี้ถึงมีสิทธิ์ในการตัดสินใจแทนคนทั้งกลุ่ม ตอนที่อยู่บนถนนหน้าจวนของผีสาวก่อนหน้านี้ เว่ยจิ้นก็มองออกแล้วว่าเด็กหนุ่มหลินโส่วอีได้เดินไปบนสะพานแห่งความเป็นอมตะแล้ว ช่องโพรงลมปราณของเขาเต็มไปด้วยชีวิตชีวา กว้างขวางอีกทั้งยังมั่นคง คือตัวอ่อนในการฝึกตนที่หาได้ยากยิ่ง อีกทั้งเด็กหนุ่มยังมีนิสัยหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีจะยอมตกเป็นเบี้ยล่างของคนอื่นได้อย่างไร แถมที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือมองไปแล้วตัวเด็กหนุ่มเองก็คล้ายจะไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่ถูกต้อง?
ส่วนเจ้าเด็กที่อายุน้อยสุด แข็งแรงน่าเอ็นดูผู้นั้น ในเมื่ออาเหลียงสั่งให้เป็นคนดูแลลาขาว ก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงความโชคดีของเขาให้มากความ เพราะไม่ว่าจะอย่างไรเว่ยจิ้นก็ต้องมอบของขวัญบอกลาให้กับหลี่ไหวหนึ่งชิ้น เขาเว่ยจิ้นไม่มีใครให้ต้องห่วงหน้าพะวง หลังเดินทางพเนจรเพียงลำพังไปทั่วสารทิศมาแล้วหลายปี ได้พบเจอโชควาสนามหัศจรรย์มามากมายนับไม่ถ้วน ของดีที่เก็บไว้ในกระเป๋ามีไม่น้อย ส่วนใหญ่ที่หยิบออกมาแจกจ่ายให้กับคนที่มีโชควาสนาอย่างไม่ใส่ใจ จนถึงวันนี้ของเหล่านั้นล้วนกลายมาเป็นของดีที่สำคัญในสำคัญ
แล้วนับประสาอะไรกับที่เมื่อเว่ยจิ้นใช้จิตแห่งกระบี่ไปส่องมองอีกฝ่าย กวาดเอาหมอกพรางตาที่มีคนจงใจสร้างไว้ออกไป ถึงได้ค้นพบว่าฐานกระดูกที่มีมาตั้งแต่เกิดของหลี่ไหวกลับดีกว่าหลินโส่วอีด้วยซ้ำ คือหยกงามชั้นเยี่ยมที่เหล่าปรมาจารย์บรรพบุรุษสำนักการทหารศาลภูเขาปรารถนาจะได้ครอบครองแม้ในยามหลับฝัน
หันมามองแม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงที่มีหมอกขาวล้อมวนทั่วร่างในสายตาของเซียนกระบี่เว่ยจิ้น นางก็เปิดปากถามว่า “ป้ายชิ้นนี้ หากเจอกับสถานการณ์อย่างในวันนี้ มันจะบินออกไปได้จริงๆ หรือ? ถ้าเจอกับเส้นทางน้ำพุเหลืองเหมือนก่อนหน้านี้ รวมถึงม่านราตรีชั้นที่ถูกกระบี่บินของท่านผู้อาวุโสทะลวงในภายหลัง จะขัดขวางทางไปของมันหรือเปล่า?”
เว่ยจิ้นหัวเราะร่าเสียงดัง “วางใจได้เลย ต่อให้เป็นขอบเขตอริยะนักพรตขอบเขตสิบก็ไม่มีทางกักตัวมันไว้ด้วย ความเร็วของวัตถุชิ้นนี้เร็วมาก เหนือกว่าการควบคุมกระบี่ให้บินทะยาน ขณะที่ป้ายหยกบินไป ขอแค่นักพรตของศาลลมหิมะที่ออกมาหาประสบการณ์อยู่ด้านล่างภูเขาสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของมันก็จะใช้เวทลับชักนำมันไปอยู่ข้างกายตัวเอง และทุกคนก็มักจะเต็มใจให้ความช่วยเหลือ ดังนั้นส่วนใหญ่แล้วจึงไม่ต้องให้ปรมาจารย์ในสำนักลงมือเอง วิกฤตก็คลี่คลายได้แล้ว”
แม่นางน้อยพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว เดิมทีป้ายหยกนี้ก็คือเอกสารผ่านด่านชนิดหนึ่ง ถ้าหากเป็นศัตรูที่แม้แต่ผู้อาวุโสเทพหยินยังเอาชนะไม่ได้ ย่อมต้องมีฐานะที่ไม่ธรรมดาอย่างมาก ด้วยอายุและประสบการณ์ของพวกเขาย่อมมองป้ายสันติสุขของศาลลมหิมะชิ้นนี้ออกในปราดเดียว แล้วก็ต้องกริ่งเกรงในตัวผู้อาวุโสเซียนกระบี่และสำนักของท่านผู้อาวุโสด้วย ขอแค่แสดงป้ายหยกแผ่นนี้ก็สยบขวัญศัตรูได้แล้ว เพราะเท่ากับเป็นการเตือนฝ่ายตรงข้ามว่าอย่าคิดจะท้าทายศาลลมหิมะ”
เว่ยจิ้นตะลึง รู้สึกทึ่งในความฉลาดรอบรู้เกินวัยของแม่นางน้อย มองแม่นางน้อยที่มีสีหน้าจริงจังตั้งใจก็พลันเกิดความชื่นชอบ รู้สึกว่านางน่ารักและชวนให้ใกล้ชิดสนิทสนมอย่างเป็นธรรมชาติ
มาถึงท้ายที่สุดเว่ยจิ้นหันไปมองเด็กหนุ่มรองเท้าแตะโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือว่าเพียงแค่เพราะอายุมากกว่าทุกคนเล็กน้อยถึงได้เป็นผู้นำของเด็กสามคนนี้?
เว่ยจิ้นย้ายสายตามองไปยังหลี่ไหวที่ช่วยตนดูแลลาขาวมาตลอดทาง หลังจากชั่งน้ำหนักดีแล้วก็หมุนข้อมือหนึ่งครั้ง กลางฝ่ามือมีหุ่นดินตัวจิ๋วยืนเรียงกันเป็นแถว มีความสูงแค่ครึ่งนิ้วเท่านั้น บ้างก็เป็นผู้ฝึกกระบี่พกกระบี่ บ้างก็เป็นนักพรตเต๋าถือแส้ปัดฝุ่น บ้างก็เป็นขุนพลบู๊สวมเสื้อเกราะ บ้างก็เป็นหญิงสาวนั่งขี่อยู่บนห่าน บ้างก็เป็นชายตีฆ้องบอกเวลา รวมทั้งหมดห้าคน
เว่ยจิ้นมองไปทางหลี่ไหว “หุ่นดินทั้งห้านี้ถือเป็นของตายครึ่งตัว ผนึกความรู้ที่ลึกล้ำของเวทหุ่นเชิดสำนักหยินหยาง สำนักโม่และสายอักขระยันต์ของลัทธิเต๋า ข้าไม่เข้าใจความลี้ลับที่ซุกซ่อนอยู่ด้านใน รู้แค่ว่าหากเลี้ยงบำรุงไว้อย่างเหมาะสม ให้พวกมันคุ้นเคยกับปราณของเจ้า ไม่แน่ว่าวันใดอาจจะมีโอกาสฟื้นคืนชีพกลับมา หลังจากนั้นจำเป็นต้องป้อนด้วยแก่นของห้าธาตุอย่างอัคคีเทพ แก่นวารี ฯลฯ อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากได้รับขีดจำกัดจากช่องโพรงลมปราณ เส้นชีพจร ฯลฯ ในร่างเล็กๆ จึงทำให้ตบะที่สูงที่สุดของพวกมันอย่างมากก็แค่เท่ากับผู้ฝึกลมปราณขอบเขตที่เจ็ด ขอบเขตที่แปดเท่านั้น…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เว่ยจิ้นก็รู้สึกว่าตัวเองหลุดพูดมากเกินไปแล้ว จึงไม่พูดอะไรอีก เพียงมองหลี่ไหวยิ้มๆ
เด็กชายไม่ลืมหันหน้าไปมองเฉินผิงอัน ฝ่ายหลังรีบพยักหน้าให้ หลี่ไหวถึงได้โอบเอาหุ่นดินปั้นทั้งห้ามาไว้ในอ้อมอก ในใจคิดว่าเมื่อรวมกับหุ่นไม้หลากสีที่อยู่ในหีบหนังสือด้านหลัง ตนก็มีลูกสมุนตัวน้อยหกคนแล้ว!
เว่ยจิ้นพลิกตัวขึ้นหลังลา “ถ้าอย่างนั้นก็ลาล่ะ ขอให้พวกเจ้าจะเดินทางปลอดภัย”
แม้ว่าเว่ยจิ้นจะมีนิสัยใจกว้างเปิดเผย ชอบช่วยเหลือผู้อ่อนแอกว่า แต่กลับไม่มีนิสัยละโมบในเงินทองและรักเด็ก บนเส้นทางแห่งการฝึกตน มหามรรคายาวไกล มีโอกาสได้พบหน้า ได้รู้จักกันในช่วงเวลาสั้นๆ ผูกเป็นบุพเพวาสนา อันที่จริงยากที่จะรู้ได้ว่าเป็นบุญสัมพันธ์หรือกรรมสัมพันธ์ หากไม่เป็นเพราะช่วงเวลาประจวบเหมาะและเป็นโชควาสนาที่พอเหมาะพอควร ด้วยโชคชะตาที่เข้มข้นของเว่ยจิ้นในเวลานี้และเจตนารมณ์สวรรค์ลึกลับเกินจะหยั่งที่มองไม่เห็น คนที่รับของขวัญจากมือเว่ยจิ้น หากโชควาสนาของตัวเองไม่มากพอ สวรรค์เท่านั้นถึงจะรู้ว่าคนผู้นั้นจะกลับกลายเป็นว่าถูกเขาทำร้าย อายุขัยสั้นตายไปกลางทางก่อนหรือไม่?
นี่จึงเป็นเหตุที่ว่าทำไมคนบนภูเขาที่รับศิษย์ถึงต้องระวังแล้วระวังอีก? อีกทั้งประสบการณ์และการทดสอบมากมายล้วนยาวนานหลายปีหรืออาจถึงขั้นหลายสิบปี
เว่ยจิ้นเชื่อว่าเด็กเหล่านี้ที่ก่อนหน้านี้สามารถเดินทางร่วมกับอาเหลียงได้ ย่อมต้องไม่ธรรมดาเหมือนกัน
ส่วนเรื่องที่ว่าใครกันแน่ที่อาเหลียงเป็นห่วงมากที่สุด ให้ความสำคัญมากที่สุด และหน้าตาดีที่สุด อาจจะเป็นหลี่ไหวที่มีที่มาไม่ธรรมดา มีโชคดีค้ำฟ้า อาจจะเป็นแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงที่หน้าตาน่าเอ็นดูชวนให้คนนิยมชมชอบ หรืออาจจะเป็นหลินโส่วอีที่มีใจยึดมั่นเด็ดเดี่ยว เด็กสามคนนี้ล้วนมีความเป็นไปได้ หรืออาจจะครอบครองว่าเป็นไปได้คนละส่วน
เพียงแต่การเดินทางไปภูเขาห้อยหัวคือภารกิจที่เร่งด่วนสำหรับเว่ยจิ้น หาไม่แล้วจะต้องพลาดโอกาสไปร่วมมหาศึกอันน่าครั่นคร้าม ถ้าไม่อย่างนั้นเขาก็คงไปส่งเด็กกลุ่มนี้จนถึงด่านเหย่ฟูที่ชายแดนด้วยตัวเองจริงๆ
ในฐานะผู้ฝึกกระบี่ที่มีปณิธานว่าจะเดินขึ้นไปบนยอดเขาของวิถีกระบี่ มีหรือจะยอมพลาดโอกาสที่ร้อยปียากจะพานพบครั้งนี้?
เฉินผิงอันกุมมือคารวะตามจิตใจสำนึก เพียงแต่ว่าครั้งแรกที่กุมมือคารวะคนอื่นบนเรือข้ามแม่น้ำซิ่วฮวา เขาใช้มือซ้ายทับมือขวาตามความเคยชิน ตอนนี้พอเห็นว่าเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะกับผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนั้นเหมือนจะเอามือขวาทับมือซ้าย พอเปนเช่นนี้ เฉินผิงอันจึงรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย กลัวว่าตัวเองจะไม่รู้กฎเกณฑ์ จึงรีบเปลี่ยนตำแหน่งมือซ้ายกับมือขวาทันที
เว่ยจิ้นเห็นรายละเอียดพวกนี้อยู่ในสายตา พอเห็นท่าทางประดักประเดิดของเด็กหนุ่มรองเท้าแตะก็หลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ แล้วจึงค้อมตัวตบหลังเพื่อนยากของตัวเอง “ไปกันเถอะ”
ลาขาวย่ำเท้าด้วยความเบิกบาน พอเดินไปข้างหน้าได้สองสามก้าวก็พลันหมุนตัวกลับมา วิ่งเข้าหาเฉินผิงอัน ให้หัวดุนดันใบหน้าของเด็กหนุ่ม แล้วจึงออกเดินทางไกลไปพร้อมกับเจ้านายที่ไม่ได้พบหน้ากันมานานอีกครั้ง
ตลอดทางมานี้ แม้จะบอกว่าหลี่ไหวเป็นคนดูแลลาขาว ทว่าเด็กน้อยอย่างหลี่ไหว ไหนเลยจะมีความอดทนและความมุ่งมั่นนี้? ยังคงเป็นเฉินผิงอันที่ช่วยป้อนอาหาร เช็ดจมูกและปัดไล่ยุงและแมลงวันให้กับมัน
เฉินผิงอันคลี่ยิ้มโบกมือบอกลาลาขาว
ผู้ฝึกกระบี่ชุดขาวหลุดหัวเราะอีกครั้ง ร่างเอนมาด้านหลัง โยกคลอนขึ้นลงตามกีบเท้าลาที่ย่ำเดิน
ดีจริง ที่แท้ตนที่เป็นเซียนกระบี่พสุธายังได้รับความนิยมเท่ากับเจ้าสัตว์เลี้ยงเพื่อนยากของตน
……
ฟ้าดินเงียบสงัด แร้นแค้นรกร้าง
ระหว่างฟ้าดินเหมือนจะมีเพียงกำแพงที่ไม่รู้ว่ายาวเท่าไหร่ สูงเท่าไหร่
ต่อให้อยู่ทางทิศใต้ห่างไปร้อยลี้ มองไกลๆ ออกไปก็ยังคงมองเห็นตัวอักษรขนาดใหญ่สิบแปดตัวที่สลักด้วยปราณกระบี่
เห็นได้ชัดว่าตัวอักษรนี้ใหญ่ขนาดไหน แล้วกำแพงแห่งนี้สูงเพียงใด
ตัวอักษรสิบแปดตัวแบ่งออกเป็นกถามรรค (เต้าฝ่า) ซื่อตรงยิ่งใหญ่ (ฮ่าวหรัน) แดนสุขาวดี (ซีเทียน)
ปราณกระบี่คงอยู่ยาวนาน (เจี้ยนชี่ฉางฉุน) บ่อสายฟ้าพื้นที่สำคัญ (เหลยฉือจ้งตี้)
ฉี ต่ง เฉิน
ห้าวหาญ (เหมิ่ง)
ห่างออกไปหลายร้อยลี้ทางทิศใต้ของกำแพงเมือง เสียงแตรสัญญาณสนั่นหวั่นไหวคล้ายจะสะเทือนจนม่านฟ้าปริแตกพลันดังขึ้น
เงาดำจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกันแน่นขนัด เมื่อเสียงแตรสัญญาดังขึ้น แสงไฟก็ค่อยๆ ถูกจุด สุดท้ายเมื่อรวมอยู่ด้วยกัน หากยืนอยู่ในจุดสูงของทางทิศเหนือ ทอดสายตามองไปไกลๆ นั่นก็เรียกได้ว่าทะเลเพลิงพร่างพราวอย่างแท้จริง
เหนือกำแพงเมือง น้ำเสียงแก่ชราดังขึ้นอย่างเปี่ยมบารมี “ชูกระบี่!”
เหนือกำแพงเมืองที่ที่ทอดยาวหลายหมื่นลี้ ตั้งตระหง่านอยู่ ณ ที่แห่งนี้มานานนับหมื่นปี
พริบตานั้น
กระบี่บินหลายแสนเล่มก็พุ่งออกจากกำแพงเมือง บินทะยานไปทางทิศใต้ ปราณกระบี่เปล่งประกายเจิดจรัส
คล้ายเขื่อนแตกแล้วน้ำไหลบ่าทะลักทลาย
ภาพมหัศจรรย์แห่งใต้หล้า ไม่มีภาพใดจะเหนือไปกว่าภาพเหตุการณ์นี้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น