พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1239-1240

 บทที่ 1239 คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสายลับ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เล่นบ้าอะไรกัน? เหมียวอี้แอบพึมพำในใจ แต่ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปฟังว่าเรื่องอะไรก็ดีเหมือนกัน ถ้ากลับไปไม่ได้ก่อนการทดสอบจะจบ ตอนก็อาจจะต้องเตรียมตัวเพื่ออยู่ที่นี่นานแล้วจริงๆ


แต่เขาก็ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรไม่ใช่เหรอ เรื่องรับรองแขกย่อมมีลูกน้องเตรียมการให้อยู่แล้ว


ประมาณหนึ่งชั่วยามหลังจากนั้น ห้าปราชญ์ก็ทยอยกันมาถึง เหมียวอี้นำจินม่านและพวกขุนพลใหญ่มารับแขกด้วยตัวเอง ขบวนของแขกที่มาก็ไม่เล็กเหมือนกัน ประมุขขุนพลของห้าปราชญ์และขุนพลใหญ่ที่สามารถพามาได้ก็พาหมาหมดแล้ว


ตอนที่นำแขกเข้ามาถึงด้านในและนั่งลงด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เหมียวอี้ก็แอบถ่ายทอดเสียงถามพวกอวิ๋นอ้าวเทียนว่า “เรื่องอะไรกัน?”


ปรากฏว่าพวกเขาไม่มองแม้แต่หางตา ไม่มีใครตอบ ทำให้เหมียวอี้กลุ้มใจอยู่พักหนึ่ง


หลังจากรอให้ลูกน้องรินน้ำชาเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็เห็นพวกอวิ๋นอ้าวเทียนแต่ละคนทำสีหน้าเรียบเฉย จึงหันกลับไปมองจินม่านที่ยืนอยู่ข้างๆ เพื่อขอความเห็น


จินม่านพยักหน้าเบาๆ เหมียวอี้ถึงได้ยิ้มพร้อมถามทุกคนว่า “ไม่ทราบว่าทั้งห้าท่านให้เกียรติมาเยือนด้วยธุระอะไร”


อย่าว่าแต่ฝ่ายนี้เลย แม่ทัพคนอื่นๆ ของห้าปราชญ์ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าห้าคนนี้มาที่นี่เพราะเรื่องอะไรกันแน่ แต่ละคนพากันมองปฏิกิริยาของเจ้านายตัวเอง


อวิ๋นอ้าวเทียน ฉางเหลย ซือถูเซี่ยวกับจีฮวนเคลื่อนสายตาเล็กน้อยเหลือบมองมู่ฝานจวิน ทั้งสี่ไม่ได้พูดอะไร ในเมื่อเป็นมู่ฝานจวินที่ต้องการจะจุดคบเพลิงนี้ พวกเขาก็จะไม่โผล่หัวไปคนแรก เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกมู่ฝานจวินใช้ประโยชน์


โถงใหญ่ตกอยู่ในสภาพเงียบเงียบไร้เสียงในชั่วพริบตาเดียว สถานการณ์ค่อนข้างแปลก


จินม่านเหลือบมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง กำลังครุ่นคิดว่าหรือว่าทุกคนรู้กันหมดแล้วว่าที่ลัทธิอู๋เลี่ยงเหมียวอี้พูดจาไม่มีน้ำหนักอะไร? จึงไอเบาๆ ทำคอให้โล่งแล้วถามพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่ทราบว่ามาด้วยธุระอะไรกันแน่?”


พวกอวิ๋นอ้าวเทียนยังคงไม่มีปฏิกิริยาอะไร เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะเสียเวลาต่อไป มู่ฝานจวินที่หรี่ดวงตาหงส์เล็กน้อยในที่สุดก็กล่าวอย่างช้าๆ ว่า “มีบางอย่างที่ไม่รู้ว่าควรพูดหรือเปล่า ถ้าพูดออกมาเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อความสามัคคีของหกลัทธิ แต่ถ้าไม่พูดออกมา เรื่องนี้กี่ยวข้องกับส่วนร่วม แล้วพวกเราก็กลัวจะเกิดเรื่องด้วย ในเมื่อพี่น้องหกลัทธิผลักดันพวกเราให้ขึ้นสู่ตำแหน่งนี้แล้ว พวกเราก็ต้องรับผิดชอบต่อความเป็นความตายของพี่น้องหกลัทธิ และเพื่อรับผิดชอบต่อพวกเราเองด้วยเช่นกัน”


มีเรื่องอะไรกันแน่? เหมียวอี้กวาดสายตามองพวกเขาอย่างสงสัย


จินม่านยิ้มตอบว่า “ในเมื่อเรื่องนี้สำคัญกับส่วนรวม ปราชญ์เซียนก็พูดมาตรงๆ ได้เลย ดูว่าเป็นเรื่องอะไร ดูว่าทุกคนจะปรึกษาหาทางแก้ไขได้มั้ย”


มู่ฝานจวินเคลื่อนสายตาไปมองบนหน้าพวกอวิ๋นอ้าวเทียนทีละคน แล้วถามว่า “ถ้าอีกสี่ท่านไม่มีความเห็นอะไร เช่นนั้นข้าก็จะพูดแล้วนะ?”


ทั้งสี่แอบด่าในใจ ผู้หญิงคนนี้ดึงดันจะลากพวกเขาลงน้ำไปด้วยให้ได้ ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรขึ้นมาก็ไม่อยากจะรับผิดชอบคนเดียว จะได้พิสูจน์ได้ง่ายว่าเป็นการตัดสินใจร่วมของทั้งห้าคน


ทั้งสี่คนไม่พูดอะไร นั่นก็แสดงว่าเห็นด้วยแล้ว สายตามู่ฝานจวินพลันจ้องไปที่เหมียวอี้ แล้วโบกมือชี้ไปหาเหมียวอี้ พร้อมกล่าวอย่างไม่ปรานีเลยสักนิดว่า “พวกเราสงสัยว่าเขาคือสายลับที่โจรกบฏส่งตัวมา!”


เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ก็สั่นสะเทือนราวกับฟ้าผ่า ทำให้ทุกคนตกใจไม่เบา แทบจะตะลึงค้างกันหมดแล้ว


อย่าว่าแต่สืออวิ๋นเปียน กงซุนลี่เต้าและอ๋าวเถี่ยที่อยู่ข้างกันเลย เหลียงหรงกับหมี่หลิงที่อยู่ข้างหลังก็ยิ่งทำสีหน้าเหลือเชื่อ ถึงอย่างไรทั้งสองก็ติดตามรับใช้เหมียวอี้มาหลายสิบปีแล้ว พอจะมีความผูกพันอยู่บ้าง และไม่หวังให้เกิดเรื่องขึ้นกับเหมียวอี้ด้วย


ส่วนเหมียวอี้ก็พลันเบิกตากว้าง สิบนิ้วจับที่วางมือของเก้าอี้ไว้แน่นทั้งสองข้าง จับจนข้อนิ้วขาว จากนั้นก็รีบพยายามผ่อนคลาย


ในปีแรกๆ เขากังวลเรื่องนี้มาตลอด ตอนหลังเห็นห้าปราชญ์ไม่มีปฏิกิริยาอะไร ก็ยังนึกว่าเรื่องนี้จะผ่านไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าสิ่งที่กังวลยังคงเกิดขึ้น


เหมียวอี้หัวใจกระตุกวูบในชั่วพริบตาเดียว แววตาเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ กวาดสายตามองบนหน้าอวิ๋นอ้าวเทียน ฉางเหลย ซือถูเซี่ยวและจีฮวน สายตาหยุดอยู่บนหน้าอวิ๋นอ้าวเทียนนานที่สุด เห็นได้ชัดว่าทั้งห้าปรึกษาเรื่องนี้กันมาอย่างดีแล้ว คนอื่นๆ เขาพอจะเข้าใจได้ แต่นึกไม่ถึงว่าอวิ๋นอ้าวเทียนจะเล่นงานเขาให้ถึงตายเหมือนกัน ท่านนี้คือปู่ของฮูหยินของตนนะ! เขาไม่ขอให้อวิ๋นอ้าวเทียนช่วยเหลือตน แต่ไม่ต้องมาร่วมวงวางแผนทำร้ายตนไม่ได้เหรอ?


สุดท้ายสายตาของเหมียวอี้ก็กลับมาหยุดอยู่บนหน้ามู่ฝานจวิน แล้วถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “ยายแก่นแก้ว เจ้ากำลังล้อเล่นใช่มั้ย?”


พออ้าปากก็เรียกฉายาเลย แม้แต่ความเคารพสักนิดก็ไม่เหลือแล้ว


แต่สิ่งที่เขาไม่ได้สังเกตก็คือ ลูกประคำสีเขียวเข้มที่อยู่ใต้คอเสื้อของเขากำลังกะพริบแสงอ่อนๆ


จินม่านที่ทำสีหน้าตกตะลึงถามเช่นกันว่า “ปราชญ์เซียน คนเรากินมั่วได้ แต่จะพูดมั่วไม่ได้นะ!”


มู่ฝานจวินกล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่ได้พูดมั่วแน่นอน เมื่ออยู่กับพวกโจรกบฏเขามีอีกสถานะหนึ่ง คือหนิวโหย่วเต๋อ ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน เรื่องนี้คนอื่นๆ สามารถเป็นพยานได้!”


พวกอวิ๋นอ้าวเทียนไม่มีใครพูดอะไร เห็นได้ชัดว่ายอมรับแล้ว


“หนิวโหย่วเต๋อ?” สืออวิ๋นเปียนอุทาน


“ดาวเทียนหยวน ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ หนิวโหย่วเต๋อ!” จินม่านอุทานเช่นกัน นางหันขวับไปมองเหมียวอี้ที่นั่งไม่สะทกสะท้านอยู่ด้านข้าง พลางถอยหลังโดยจิตใต้สำนึก


“อันดับหนึ่งจากการทดสอบที่สถานที่ไร้ชีวิตครั้งก่อน หนิวโหย่วเต๋อที่ตัดหัวข้าทาสของโจรกบฏไปสามพันกว่าหัวเหรอ?”


“หนิวโหย่วเต๋อที่บุกโจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกในทัพใหญ่หนึ่งล้าน?”


“หนิวโหย่วเต๋อ…” ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นประหลาดใจสงสัย


เห็นได้ชัดว่าทุกคน ‘เลื่อมใส’ ชื่อเสียงอันโด่งดังของหนิวโหย่วเต๋อมานานแล้ว อย่าไปมองว่าประมุขปราชญ์เหมียววรยุทธ์ไม่สูงเชียวนะ เพราะชื่อเสียงโด่งดังอยู่ข้างนอกตั้งนานแล้ว ในใต้หล้านี้เกรงว่าคงจะมีนักพรตอยู่ไม่กี่คนที่ไม่เคยได้ยินนามอันยิ่งใหญ่นี้ ถึงแม้คนทางนี้จะถูกขังอยู่ในนรก แต่ข้างนอกยังมีลูกน้องเก่าที่รอดตายและหนีมาไม่ทันเหลืออยู่ ไม่แปลกหูกับชื่อของหนิวโหย่วเต๋อที่เคยที่ก่อเรื่องไว้ครึกโครม


“เจ้าเองเหรอหนิวโหย่วเต๋อ?” จ่างซุนจูถามอย่างตกใจ แล้วก็หันกลับมามองมู่ฝานจวินที่อยู่ข้างๆ อีก “ประมุขปราชญ์! เรื่องนี้จะล้อเล่นไม่ได้เชียวนะ”


“เฮอะ!” มู่ฝานจวินพ่นเสียงทางจมูก “ถ้าพวกเจ้าไม่เชื่อ ก็ส่งลูกน้องเก่าที่อยู่ข้างนอกไปสืบที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนดูสิว่าหนิวโหย่วเต๋อหน้าตาเป็นยังไง ดูซิว่าหน้าตาจะเหมือนเขารึเปล่า!”


เย่สิงคง ประมุขขุนพลลัทธิมารตะคอกถามเหมียวอี้ตรงนั้นทันที “เหมียวอี้ เจ้ายังมีอะไรจะอธิบายอีกมั้ย?”


เหมียวอี้นั่งสงบไม่ขยับไปไหน หลับตาลงอย่างช้าๆ เขารู้ว่าเวลาแบบนี้เขายิ่งต้องเยือกเย็น ถ้าลุกลี้ลุกลนจะรับมือไม่ไหว เหตุการณ์ที่เลวร้ายจะต้องมาถึงแน่ ไม่ว่าใครก็ช่วยเหลือเขาไม่ได้ ปากจึงพูดถ่วงเวลาอย่างใจเย็นว่า “มีคนวางแผนทำร้ายข้า ข้าจำเป็นต้องอธิบายด้วยเหรอ?”


ในหัวกำลังรีบคิดหาทางฝ่าวิกฤต คิดไปคิดมา ก็พบว่าสถานะที่แท้จริงของตัวเองคือแผลที่ทำให้ถึงตาย ในปีนั้นก็นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าตัวเองจะมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ในนรก ดังนั้นจึงไม่ได้เตรียมตัวอะไร คนที่เคยเห็นเขาที่ตลาดสวรรค์มีเยอะเกินไปแล้ว หลังจากที่เขารู้ว่าในหกลัทธิมีลูกน้องเก่าที่รอดตายอยู่ข้างนอก เขาก็กังวลว่าฐานะของตัวเองจะเปิดเผยในสักวัน นี่ก็เป็นเหตุผลข้อใหญ่ที่สุดที่เขาอยากจะปลีกตัวออกจากสถานการณ์อันตรายนี้


ไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร ฝั่งโจรกบฏจะต้องพิสูจน์แน่นอน เขาพอจะมีลางสังหรณ์ว่าจะผ่านเคราะห์นี้ไปได้ยาก


อวิ๋นอ้าวเทียนก็หลับตาสองข้างแล้วเชนกัน ในใจแอบถอนหายใจ รู้ว่าครั้งนี้เหมียวอี้จะต้องตายแน่นอน เขาคิดไม่ออกว่าเหมียวอี้จะหาทางเอาตัวรอดจากที่นี่ไปได้อย่างไร


ในหัวของเขาตอนนี้ปรากฏเงาร่างของอวิ๋นจือชิว เขาหลับตาลงเพราะไม่อยากสบตากับเหมียวอี้ตรงๆ เขาจินตนาการไม่ออกว่าในภายหลังจะไปเผชิญหน้ากับอวิ๋นจือผู้ซึ่งพยายามช่วยเหลือตระกูลอวิ๋นอย่างสุดความสามารถหลังจากมาพิภพใหญ่อย่างไร


สาวน้อยชุดชมพู ประมุขขุนพลลวี่เกอแห่งลัทธิปีศาจ เดิมทีก็ไม่ได้รู้สึกดีกับเหมียวอี้อยู่แล้ว นางเองก็โดนเหมียวอี้ลูบคลำไปทั้งตัวทั้งข้างล่างข้างบนเช่นกัน ตอนนี้ตะคอกเสียงดังว่า “รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าหมอนี่ไม่ใช่คนดี จินม่าน เรื่องนี้ลัทธิอู๋เลี่ยงของพวกเจ้าจะว่ายังไง?”


หลัวซิง ประมุขขุนพลลัทธิพุทธประนมมือถามเสียงต่ำว่า “จินม่าน เจ้าน่าจะรู้ถึงผลลัพธ์ที่โจรกบฏส่งคนเข้ามาอยู่ในแกนกลางของพวกเรานะ?”


หลายลัทธิเอย่ถาม แสดงเจตนาชัดเจนว่าต้องการคำอธิบายจากลัทธิอู๋เลี่ยง!


หน้าอกที่อิ่มเอิบของจินม่านกระเพื่อมขึ้นลงสองที นางถอนหายใจยาง แล้วจ้องเหมียวอี้พร้อมถามเน้นย้ำทีละคำว่า “เจ้าไม่คิดจะให้คำอธิบายเรื่องนี้สักหน่อยเหรอ?”


ใครจะคิดว่าเหมียวอี้ที่หลับตาอยู่กลับบ่ายเบี่ยงไปถามอย่างอื่น “มู่ฝานจวิน เรื่องนี้เป็นแผนการของเจ้าใช่มั้ย? เป็นเพราะข้าไม่ได้ให้ของที่เจ้าต้องการใช่มั้ย เจ้าถึงได้ใส่ร้ายข้า?”


“ช่างน่าขำ!” มู่ฝานจวินถามกลับว่า “เจ้าจะให้ของดีอะไรข้าได้?” นางอยากจะฉวยโอกาสนี้ยืนยันให้แน่ใจว่าของอยู่ในมือเหมียวอี้หรือไม่


เหมียวอี้ไม่มีทางยอมรับว่าในมือตัวเองมีเบาะแสของหกเคล็ดวิชาพิเศษ ขอเพียงเขาไม่พูด ต่อให้มีคนได้แผนที่บนตัวเขาไป ก็อย่าได้คิดเลยว่าจะหาที่ซ่อนสมบัติเจอได้ง่ายๆ


ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขายังพอจะมอบหกเคล็ดวิชาพิเศษให้พวกมู่ฝานจวินฝึกได้ง่ายๆ แต่พอมาดูตอนนี้ ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดเลยว่าจะได้ไป ต่อให้มู่ฝานจวินเอาเรื่องเยว่เหยามาขู่ก็ไม่มีประโยชน์ คนที่ไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขาไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของเขาในตอนนี้ได้ โดนทรยศหักหลังอยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เพียงพอที่จะทำให้เขาทำเรื่องที่โหดเหี้ยมไร้ความปรานีได้ ตอนนี้หัวใจของเขาเย็นชาเหมือนน้ำแข็งแล้ว!


จินม่านที่สีหน้าเย็นเยียบถามอีกครั้งว่า “เหมียวอี้ ถ้าเจ้าไม่อธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ เกรงว่า…”


สายตาพลันเหล่มอง เห็นสืออวิ๋นเปียนที่อยู่ข้างๆ พลันหยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา กำลังฟังข่าวอะไรสักอย่าง ขัดจังหวะคำถามของจินม่านแล้ว


จินม่านเองก็รู้เช่นกัน ว่าในโอกาสและสถานที่แบบนี้ การที่สืออวิ๋นเปียนหยิบระฆังดาราออกมาอย่างไม่กล้าชักช้า แสดงว่ามีเรื่องสำคัญอะไรบางอย่างแน่นอน หรือไม่ก็มีตัวละครสำคัญติดต่อมาจึงไม่สามารถชักช้าได้


สืออวิ๋นเปียนที่ฟังข่าวจบเก็บระฆังดารา มองเหมียวอี้ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ดูค่อนข้างสับสนปนซับซ้อน


“มีเรื่องอะไร?” จินม่านถามด้วยเสียงจริงจัง


สืออวิ๋นเปียนก้าวเข้ามาใกล้ๆ แล้วถ่ายทอดเสียงบอกว่า “สายลับฝั่งโจรกบฏส่งข่าวมา ว่าชื่อปลอมของประมุขปราชญ์คือหนิวโหย่วเต๋อจริงๆ เป็นสายลับที่เข้าไปแฝงตัวอยู่ในหน่วยงานภายในของโจรกบฏ ต้องผ่านผ่านอุปสรรคและใช้ความพยายามหลายครั้งกว่าจะยืนอย่างมั่นคงได้ ทางนั้นบอกว่าฉากใหญ่แห่งการโต้ตอบได้เปิดขึ้นแล้ว แค่รอโอกาสเหมาะ ฐานะของประมุขปราชญ์ทางฝั่งโจรกบฏเกี่ยวข้องกับเรื่องสำคัญ ห้ามผิดพลาดเด็ดขาด!”


“ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นสายลับ…” จินม่านอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้ นางตัวสั่นหวาดกลัวทันที รีบมองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว กวาดมองทุกคนที่อยู่ตรงนั้น


แต่ไหนแต่ไรมา สายลับที่แทรกไว้ฝั่งโจรกบฏก็ไม่เคยติดต่อมาทางนี้ง่ายๆ ก็เพราะด้วยเหตุนี้ นางจึงรู้สึกตกตะลึงอย่างอธิบายออกมาได้ยาก เห็นอยู่ตำตาว่าทุกคนที่อยู่ตตรงนี้ไม่มีทางติดต่อกับภายนอกได้ แต่ทำไมสายลับที่อยู่ทางนั้นจึงรีบส่งข่าวมาในเวลานี้ล่ะ เห็นได้ชัดว่ารู้แล้วว่าทางนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงส่งข่าวมาห้ามพวกเขาได้ทันเวลา


หรือว่าจะมีคนได้ข่าวล่วงหน้าแล้วหรือเปล่า?


นางหวังให้เป็นแบบนี้ ไม่อย่างนั้นแค่คิดนางก็กลัวแล้ว เพราะไม่มีทางจินตนาการถึงผลลัพธ์ที่ตามมาได้เลย ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนรับรู้เหตุการณ์ของฝั่งนี้แบบตามติดใกล้ชิดขนาดนี้ สามารถรู้เหตุการณ์ฝั่งนี้ได้ตลอดเวลา ถ้าทุกอย่างที่เกิดขึ้นทางนี้ล้วนอยู่ในการควบคุมของคนอื่น ขนาดแค่คิดเฉยๆ ยังขนลุกเลย


พอสงบสติอารมณ์ได้แล้ว แววตาที่สับสนของจินม่านก็ไปหยุดอยู่บนใบหน้าที่สุขุมเยือกเย็นของเหมียวอี้พักหนึ่ง เสร็จแล้วถึงได้หันมาบอกทุกคนว่า “ทุกคน เรื่องนี้อาจจะมีการเข้าใจผิดกัน ประมุขปราชญ์ของพวกเราไม่มีทางเป็นสายลับที่โจรกบฏส่งมาแน่นอน ให้มันจบลงตรงนี้แล้วกัน!”


…………………………


บทที่ 1240 ไม่ใช่สายลับ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เพิ่งจะกดดันให้เหมียวอี้อธิบายอยู่เลย ชั่วพริบตาเดียวก็รับประกันให้เหมียวอี้อีกแล้ว การเปลี่ยนแปลงที่กลับหัวกลับหางซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ทำให้ทุกคนงุนงง


โดยเฉพาะพวกมู่ฝานจวิน เมื่อเห็นจินม่านตัดสินอย่างแน่วแน่ขนาดนี้ ก็ทำเอารับมือไม่ทันนิดหน่อย การเปลี่ยนแปลงนี้เหนือความคาดหมายของพวกเขาจริงๆ ละครดีเพิ่งจะเริ่มต้น แต่ก็โดนคนบีบคอหักแล้ว นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?


อย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้แต่เหมียวอี้ก็คิดตามไม่ทันไปชั่วขณะ


แต่สถานการณ์ก็ชัดเจนมาก บ่อเกิดของความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังจากที่สืออวิ๋นเปียนใช้ระฆังดาราติดต่อกับใครบางคน จากนั้นทุกคนก็สัมผัสได้ว่าสืออวิ๋นเปียนกับลังถ่ายทอดเสียงสื่อสารกับจินม่าน ทุกคนก็เห็นสีหน้างุนงงของจินม่านแล้วเช่นกัน


ทุกคนอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าใครกันที่ติดต่อกับสืออวิ๋นเปียน ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้จินม่านมองข้ามฐานะของเหมียวอี้ตอนอยู่ฝั่งโจรกบฏ


เพียงแต่พอกล่าวมาแบบนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าห้าปราชญ์เริ่มนั่งไม่ติดที่แล้ว นิ่งสงบต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ


ล่วงเกินเหมียวอี้แบบหวังให้ถึงตายไปแล้ว เรียกได้ว่าผลักเหมียวอี้สู่หนทางที่ต้องตายโดยตรง ถ้าตอนนี้ควบคุมเหมียวอี้ไม่ได้ นั่นก็แปลว่าล่วงเกินเหมียวอี้อย่างโหดร้ายแล้วจริงๆ ลูกศิษย์และลูกสาวของพวกเขาล้วนเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้


ถ้าจะพูดตรงๆ ก็คือ ทั้งห้าล้วนมีตัวประกันอยู่ในมือเหมียวอี้ อาศัยอำนาจของเหมียวอี้ที่ดาวเทียนหยวน แค่ออกคำสั่งคำเดียวก็สามารถคร่าชีวิตลูกสาวและลูกศิษย์ของพวกเขาได้แล้ว ถ้าจะเอาชีวิตพวกนางไปก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ฆ่าไปตรงๆ เสียจะได้หมดเรื่องหมดราว อย่างมากทุกคนก็มีฐานะที่สมดุลกันแล้ว กลัวก็แต่ว่าเหมียวอี้กลับไปแล้วจะนำเรื่องที่พวกเขาทรยศไปบอกพวกนาง แล้วจะให้ผู้ใหญ่ที่มองข้ามชีวิตแต่งงานของลูกสาวและลูกศิษย์ตัวเองอย่างพวกเขาทนความรู้สึกได้อย่างไร!


เดิมทีพวกเขาจะฉวยโอกาสนี้ควบคุมเหมียวอี้ไว้ให้ได้ ไม่ให้โอกาสเหมียวอี้ได้ติดต่อกับภายนอกอีก จากนั้นก็ปิดบังสาเหตการตายของเหมียวอี้อย่างถึงที่สุด แต่ใครจะคิดว่าจะเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงแบบนี้ การเล่นที่มีโอกาสชนะยังไม่ทันได้เริ่มก็โดนฟันขาดกลางตัวแล้ว เป็นสิ่งที่ยากจะรับไหวจริงๆ


โดยเฉพาะมู่ฝานจวินที่เป็นแกนนำ รับไม่ได้นิดหน่อยกับการเปลี่ยนแปลงกะทันหันเหมือนคว่ำกระดานแบบนี้ นางล่วงเกินเหมียวอี้หนักที่สุด จึงลุกขึ้นยืนทันที ถามจินม่านด้วยสีหน้าเย็นเยียบว่า “ประมุขขุนพลจิน เจ้ารู้รึเปล่าว่ากำลังพูดอะไรอยู่? ถ้าให้สายลับของโจรกบฏปะปนเข้ามาอยู่ในใจกลางของพวกเรา ก็เป็นไปได้สูงว่าทำให้ทัพใหญ่หกลัทธิดับสิ้น เจ้าอย่าบอกเชียวนะว่าเจ้าไม่รู้ผลลัพธ์ที่ร้ายแรงของเรื่องนี้”


เหมียวอี้เลิกคิ้วทันที เหล่ตาจ้องนางอย่างเย็นเยียบ


จินม่านส่ายหน้าบอกว่า “ข้ายืนยันได้ว่าประมุขปราชญ์ของพวกเราไม่ใช่สายลับของโจรกบฏ”


อย่างไรเสียมู่ฝานจวินก็เป็นประมุขปราชญ์ลัทธิเซียน ยังไม่สามารถควบคุมลัทธิอู๋เลี่ยงได้ ที่จริงอำนาจยังคงอยู่ในมือจินม่าน ตราบใดที่จินม่านไม่อนุญาตให้ลงโทษเหมียวอี้ อีกห้าลัทธิก็ต้องชั่งน้ำหนักดูสักหน่อย ไม่อย่างนั้นถ้าขัดแย้งกันภายในเพราะเรื่องนี้จะทำให้สิ้นเปลืองกำลังของหกลัทธิ ในสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ตอนนี้ หกลัทธิสิ้นเปลืองต่อไปไม่ไหวแล้ว


เมื่อเห็นว่าไม่สามารถพูดให้จินม่านเข้าใจได้ มู่ฝานจวินจึงหันกลับไปมองประมุขขุนพลจ่างซุนจูแวบหนึ่ง แล้วส่งสายตาให้เขา


จ่างซุนจูเข้าใจความหมายที่นางจะสื่อ นางกำลังต้องการให้เขาออกหน้า จึงกล่าวเสี่ยงต่ำทันทีว่า “จินม่าน ไม่ต้องรีบตัดสินแบบนี้ก็ได้ ตรวจสอบให้ชัดเจนก่อนว่าเป็นหนิวโหย่วเต๋อ ผู้บัญชาการตลาดสวรรค์ของดาวเทียนหยวนหรือไม่ แล้วก็ค่อยว่ากัน ถ้าหากไม่ใช่ พวกเราก็จะขออภัยต่อหน้าอีกที คืนความบริสุทธิ์ให้ประมุขปราชญ์ของพวกเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ตอนหลังจะได้ไม่ต้องเอาแต่วนเวียนอยู่กับเรื่องนี้อีก เป็นอย่างไร?”


จินม่านขมวดคิ้วเล็กน้อย ทำท่าครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วถ่ายทอดเสียงตอบว่า “จ่างซุนจู เกรงว่าเจ้าจะไม่เชื่อในสิ่งที่ข้าพูด เรื่องนี้ไม่มีอะไรน่าสงสัยเลยจริงๆ เมื่อครู่สายลับที่อยู่ฝั่งโจรกบฏส่งข่าวมา ถ้าเจ้าอยากรู้สาเหตุ ก็ลองให้ฝ่ายตัวเองติดต่อกับสายลับฝั่งโจรกบฏโดยตรงดูสิ แล้วเจ้าก็จะรู้สาเหตุเอง”


ตอนที่ทิ้งวิธีการไว้ให้ติดต่อกับสายลับในปีนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดคิดและผิดพลาด ยกตัวอย่างเช่นถ้าใครบางคนรบตายแล้วก็เป็นไปได้สูงว่าจะตัดขาดการติดต่อกับโจรกบฏ ดังนั้นสืออวิ๋นเปียน เหลิ่งจัวฉุน ตานฉิง กุยอู๋ ฉางหง เมิ่งหรู ในมือขุนพลใหญ่ทั้งห้าจึงมีระฆังดาราที่ไว้ใช้ติดต่อกับสายลับ ถึงอย่างไรในมือของประมุขขุนพลทั้งหกที่โดนขังในปีนั้นก็ไม่มีสิ่งนี้


เมื่อได้ยินจินม่านเอ่ยถึงสายลับ จ่างซุนจูก็ทำสีหน้าเคร่งขรึมทันที ต้องทราบไว้ว่าไม่ว่าจะเป็นฝั่งนี้ติดต่อกับสายลับ หรือจะเป็นสายลับติดต่อกับฝั่งนี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ค่อยติดต่อกันเท่าไรเลย สายลับที่อยู่ทางนั้นก็เคยบอกแล้ว ว่าถ้าไม่จนตรอกจริงๆ ก็อย่าเป็นฝ่ายติดต่อไปหาเขาก่อน


ในตอนนี้ จ่างซุนจูจำเป็นต้องหันกลับมาถ่ายทอดเสียงบอกเมิ่งหรู ให้เขาติดต่อกับสายลับ ถามว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่


เมิ่งหรูอึ้งนิดหน่อย แต่ก็ยังหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับสายลับที่อยู่ฝั่งโจรกบฏ


“ประมุขขุนพล จะวุ่นวายอยู่กับเรื่องนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว เหมียวอี้ไม่ใช่สายลับที่โจรกบฏส่งมาจริงๆ แต่เป็นสายลับของฝ่ายเราที่จับไปยัดไว้ฝั่งโจรกบฏ…” เมิ่งหรูรีบถ่ายทอดเสียงบอกสิ่งที่สายลับบอกให้จ่างซุนจูรู้


มีปฏิกิริยาเดียวกับจินม่าน จ่างซุนจูก็ตกตะลึงไม่หยุดเช่นกัน เดาออกแล้วว่าที่จินม่านมีปฏิกิริยาแบบเมื่อเมื่อครู่นี้เพราะฝั่งสายลับส่ข่าวมาห้ามเรื่องเมื่อครู่นี้ไว้ทัน สามารถรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นฝั่งนี้ได้ทันท่วงที ความสามารถในการควบคุมแบบนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว ยังมีอะไรอีกบ้างที่สายลับไม่รู้?


จ่างซุนจูปรับอารมณ์ให้กลับคืนสู่ปกติ แล้วพยักหน้าเบาๆ ให้เมิ่งหรูเพื่อบอกว่ารู้แล้ว จากนั้นก็เอียงหน้าถ่ายทอดเสียงบอกมู่ฝานจวิน “ประมุขปราชญ์ ยืนยันแล้วว่าเหมียวอี้ไม่ใช่สายลับจริงๆ เรื่องนี้ปล่อยผ่านไปเถอะ อย่าทำแบบนี้ต่อไปเลย ไม่อย่างนั้นทุกคนจะมองหน้ากันไม่ติด”


พอได้ยินแบบนี้ มู่ฝานจวินก็เรียกได้ว่าทำสีหน้าเดือดดาล มาถึงขั้นนี้แล้วมีหรือที่นางจะยอมรับความจริงว่าล้มเหลวในตอนสุดท้ายได้ง่ายๆ  จึงถ่ายทอดเสียงถามอย่างเย็นเยียบว่า “พวกเจ้าได้ข่าวมาจากไหนเพื่อยืนยันว่าเขาไม่ใช่สายลับที่โจรกบฏส่งมา? พวกเจ้าไม่ตรวจสอบด้วยซ้ำว่าเขาเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนหรือเปล่า แล้วจะตัดสินได้ยังไงว่าเขาไม่ใช่สายลับ? ในฐานะที่ข้าเป็นประมุขปราชญ์ลัทธิเซียน จะเอาความเป็นความตายของพี่น้องนับล้านมาล้อเล่นไม่ได้!”


จ่างซุนจูถอนหายใจ แล้วตอบว่า “ประมุขปราชญ์ พูดกับท่านอย่างนี้แล้วกัน ต่อให้ตรวจสอบเจอว่าเหมียวอี้มีอีกสถานะหนึ่งที่สำคัญก็ไม่มีความหมายอะไร ต่อให้แน่ใจว่าไม่ผิดพลาดก็ไม่มีประโยชน์ คนอื่นๆ ที่อยู่ตรงนี้ล้วนไม่เชื่อว่าเขาคือสายลับที่โจรกบฏส่งมา” พูดจาแบบเด็ดขาดไปแล้ว โน้มน้าวให้นางหยุดทำเรื่องนี้


มู่ฝานจวินรู้สึกสะเทือนในใจ ที่มากกว่านั้นคือแอบร้องว่าแย่แล้ว เป็นความรู้สึกแบบขโมยไก่ไม่ได้ ทั้งยังเสียข้าวสารอีกกำมือ นึกไม่ถึงว่าเกราะป้องกันของเหมียวอี้จะแข็งแกร่งขนาดนี้ ขนาดทำแบบนี้ยังทำอะไรเขาไม่ได้เลย นางแอบกัดฟันถามว่า “เป็นใครกันที่ส่งข่าวให้พวกเจ้า ถึงได้ทำให้พวกเจ้าแน่ใจขนาดนี้?”


จ่างซุนจูลังเลนิดหน่อย แต่ก็ยังเกลี้ยกล่อมว่า “ประมุขปราชญ์ ก่อนที่ท่านจะรวมเป็นหนึ่งเดียวของพวกเราอย่างถึงที่สุด ก็ยังบอกท่านไม่ได้ว่าใครเป็นคนส่งข่าวมา”


เป็นเพราะสายลับคนนั้นมีความสำคัญต่อทัพใหญ่หกลัทธิที่พยายามเอาชีวิตรอดมากเกินไป ในหกลัทธิมีคนรู้สถานการณ์เบื้องลึกอยู่ไม่กี่คน จะให้ข่าวแพร่ออกไปข้างนอกง่ายๆ ไม่ได้ นี่ไม่ใช่แค่สิ่งที่ผู้วางค่ายกลบอกไว้ในปีนั้น ต่อให้ไม่ได้บอกไว้ แต่หกลัทธิก็ไม่มีทางปล่อยให้ข่าวรั่วไหลออกไปง่ายๆ อยู่ดี เรื่องนี้ชัดเจนมาก ตอนที่ทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์บุกโจมตีเข้ามาในนรก คนที่สามารถรู้ทิศทางการเคลื่อนไหวของทัพใหญ่ได้อย่างทันท่วงทีจะต้องมีฐานะที่ตำหนักสวรรค์ไม่ต่ำแน่ ถ้าตำหนักสวรรค์รู้ว่าในหน่วยงานภายในระดับสูงมีสายลับของโจรกบฏ  เกรงว่าตำหนักสวรรค์คงจะกวาดล้างอย่างไม่เสียดาย ถ้าสายลับคนนั้นถูกพบหรือไม่ก็ถูกปลุกระดมให้ก่อกบฏ นั่นก็จะเป็นภัยคุกคามอย่างใหญ่หลวง ดีไม่ดีอาจจะเกี่ยวโยงมาถึงความเป็นความตายของทัพใหญ่หกลัทธิโดยตรง


พอเป็นแบบนี้ ก่อนที่พวกมู่ฝานจวินจะถูกมองว่าเป็นพวกเดียวกันกับพวกเขาอย่างเต็มที่ จะปล่อยให้เรื่องลับเฉพาะที่สุดแบบนี้รั่วไหลออกไปไม่ได้เด็ดขาด ไม่ใช่เพราะอะไร นี่เป็นแผนเพื่อความอยู่รอด ถ้าไม่ใช่เพราะเตรียมตัวเพื่อความอยู่รอด พวกเขาก็ไม่มีทางยอมรับพวกมู่ฝานจวินเป็นประมุขปราชญ์เหมือนกัน!


คำพูดนี้ทำให้มู่ฝานจวินเถียงอะไรไม่ออก นางรู้ชัดอยู่แก่ใจ อย่าคิดว่าตัวเองเป็นประมุขปราชญ์แค่ไม่กี่วันแล้วจะควบคุมกำลังพลกลุ่มนี้ได้ ระดับความร้อนของไฟยังไม่ได้ที่ ก็ไม่มีทางกดดันให้อีกฝ่ายคายความลับสุดยอดออกมาเช่นกัน


ถ้าคิดจะทำอะไรเหมียวอี้อีกก็ไม่มีโอกาสแล้ว มู่ฝานจวินทำได้เพียงกลืนลูกมะระขมนี้ไว้ เมื่อไม่ได้รับการสนับสนุนจากที่นี่ อาศัยศักยภาพของนางก็ไม่สามารถทำอะไรที่นี่ได้เช่นกัน จึงสะบัดแขนเสื้อเดินก้าวยาวจากไป ไม่ได้พูดอะไรสักคำ ถ้าพูดเหลวไหลอีกก็เท่ากับไม่รู้จักแยกแยะดีชั่วและตบหน้าตัวเอง


“เป็นความเข้าใจผิด หกลัทธิร่วมเผชิญชะตากรรมด้วยกันมา ปราชญ์เซียนเองก็คำนึงถึงความอยู่รอดของหกลัทธิถึงได้ทำแบบนี้ ถ้ามีจุดไหนที่ล่วงเกิน ประมุขปราชญ์อู๋เลี่ยงก็ได้โปรดอย่าเก็บมาใส่ใจ ขอตัวลา!” จ่างซุนจูกุมหมัดขออภัยเหมียวอี้อย่างเป็นทางการ แล้วหันตัวไปส่งสายตาให้พวกขุนพลใหญ่ลัทธิเซียนที่ทำสายตาสงสัย บอกใบ้กว่ารอให้กลับไปก่อนแล้วค่อยคุยกัน นำพวกเขากลับไปแล้ว


เหมียวอี้ยังคงนั่งนิ่งไม่สะทกสะท้าน แต่ในใจกลับหดหู่ต่างจากที่แสดงออกมาภายนอก เหมือนพลิกแม่น้ำคว่ำทะเลจริงๆ ในใจกำลังรีบคิดว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่?


มู่ฝานจวินก่อเรื่องจนเสียหน้ากลับไป พวกอวิ๋นอ้าวเทียนงุนงงอยู่บ้าง และไม่รู้ด้วยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้?


ลัทธิมาร ลัทธิพุทธ ลัทธิปีศาจ ลัทธิผี ประมุขขุนพลทั้งสี่ลัทธิก็พบความไม่ชอบมาพากลเช่นกัน จึงถ่ายทอดเสียงถามจินม่านทันทีว่าเรื่องเป็นอย่างไร คำตอบของจินม่านก็เหมือนกับที่ตอบจ่างซุนจู ให้พวกเขาไปถามเอาเอง จะได้ไม่ต้องเดาไปเรื่อยไม่รู้จักจบจักสิ้น…


ณ ตำหนักเซียน ขณะมองคล้อยหลังมู่ฝานจวินที่สีหน้าคร่ำเครียดเดินหายเข้าไปในประตูตำหนักแล้ว จ่างซุนจูที่สวมชุดสีขาวก็หยุดฝีเท้าอยู่ตรงประตู ขมวดคิ้วโดยไม่พูดอะไร


เมิ่งหรูที่อยู่ข้างกันถามอ่ย่างลังเลว่า “ประมุขขุนพล ท่านสังเกตหรือเปล่าว่าเจตนาของประมุขปราชญ์ครั้งนี้เหมือนจะไม่ค่อยบริสุทธิ์?”


จ่างซุนจูเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอียงหน้าบอกว่า “ให้หวงอิ้งหงกับก่งหลิงอวี้มาพบข้าหน่อย”


หวงอิ้งหงกับก่งหลิงอวี้ก็คือคนที่เขาส่งไปติดตามรับใช้มู่ฝานจวินก่อนหน้านี้ เพียงแต่ตอนหลังมู่ฝานจวินใช้งานคนของตัวเอง กันผู้หญิงทั้งสองไว้วงนอก


สถานที่นัดพบก็คือในทะเลทรายรกร้างที่มีลมหนาวกระโชกแรง


ผู้หญิงทั้งสองรีบเหาะมา พอเห็นจ่างซุนจูกับเมิ่งหรูที่ยืนเอามือไขว้หลัง ก็รีบกุมหมัดคารวะทันที “คารวะประมุขขุนพล คารวะขุนพลใหญ่”


จ่างซุนจูหันตัวมา “ข้าถามพวกเจ้าหน่อย หลายปีมานี้พวกเจ้าสังเกตเห็นความผิดปกติอะไรของประมุขปราชญ์บ้างรึเปล่า?”


ผู้หญิงทั้งสองสบตากัน ก่อนที่หวงอิ้งหงจะตอบว่า “หลายปีมานี้พวกเราก็แค่วิ่งเต้นทำงานเบ็ดเตล็ดอยู่ข้างกายประมุขปราชญ์เท่านั้น เป็นเรื่องยากมากที่จะมองเห็นจุดที่ผิดปกติของประมุขปราชญ์ค่ะ”


เป็นอย่างที่คาดไว้ พอถามอีกสองสามคำ เห็นว่าถามไม่ได้ความอะไร เมิ่งหรูก็มองจ่างซุนจูที่นิ่งเงียบแวบหนึ่ง แล้วพูดไล่ให้ไปทำงานแทนว่า “พวกเจ้าสองคนจำไว้นะ ถ้าพบว่าประมุขปราชญ์มีอะไรผิดปกติก็ให้รีบรายงานได้ทุกเมื่อ”


“ค่ะ!” ผู้หญิงทั้งสองเอ่ยรับคำสั่ง ขณะกำลังจะถอยออกไป ก่งหลิงอวี้กลับพูดห้ามว่า “ประมุขขุนพล ข้าน้อยนึกเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นได้”


“หืม!” จ่างซุนจูถามทันที “เกี่ยวกับประมุขปราชญ์เหรอ?”


“ใช่แล้ว!” ก่งหลิงอวี้พูดจากความทรงจำว่า “นั่นเป็นตอนที่พวกเราสองคนเพิ่งถูกส่งไปอยู่ข้างกายประมุขปราชญ์ จู่ๆ ประมุขปราชญ์ก็ถามพวกเราสองคนเกี่ยวกับประมุขไป๋”


“ประมุขไป๋?” จ่างซุนจูแปลกใจ “นางถามเรื่องประมุขไป๋ทำไม?”


“ข้าก็นึกออกแล้วเหมือนกัน” หวงอิ้งหงที่ถูกเตือนความจำพยักหน้าซ้ำๆ พูดต่อไปว่า “นางถามพวกเราว่าเคยเจอประมุขไป๋หรือเปล่า พวกเราตอบว่าเคยเห็น นางจึงถามทันทีว่าประมุขไป๋หน้าตาเป็นยังไง ตอนนั้นข้าตอบไปว่า ประมุขไป๋เป็นชายรูปงามแบบที่หาพบได้ยากในโลกนี้ แต่ใครจะคิดว่าพออธิบายรูปร่างหน้าตาของประมุขไป๋ไปคร่าวๆ แล้ว นางก็ถามอีกว่าประมุขไป๋มีช่อผมขาวสองช่อตรงจอนผมใช่มั้ย แต่ประมุขไป๋ที่พวกเราเคยเห็นมีผมดำขลับทั้งศีรษะ ไม่มีผมขาวเลย พวกเราย่อมตอบว่าไม่ใช่ ทำให้นางไม่ถามต่อแล้ว สถานการณ์ก็ประมาณนี้ค่ะ” เวลาผ่านไปแล้วหลายสิบปี เหมือนจะไม่กล้าแน่ใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นสักเท่าไร ตอนพูดประโยคสุดท้ายนางหันไปมองก่งหลิงอวี้ด้วย


…………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)